ความคิดเห็นที่ 1 สิ่งที่เห็นล้วนเป็นรูปจากตาที่เราสมมุติ เป็นแบบ ลองหลับตา แล้วระลึกถึงจิต ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แค่นี้ก็เป็นปัจจุบัน ละครับ จากคุณ : คุณชายไข่เจียว เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 00:14:54

ความคิดเห็นที่ 2 เข้าใจ สิ่งที่ผมต้องการสื่อแล้วใช่มั้ย จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 00:22:41

ความคิดเห็นที่ 3 ทันทีที่คุณเริ่มคิด สิ่งที่คุณคิดก็เป็นอดีตครับ ความเร็วกระแสประสาทแค่ 120เมตร/วินาทีเอง น้อยกว่าความเร็วแสงมากมายนัก จากคุณ : เถ้าลอย เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 00:25:45

ความคิดเห็นที่ 4 อยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง จากคุณ : Entitas เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 00:33:25

ความคิดเห็นที่ 5 So? จากคุณ : ชาลีฟ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 00:41:44

ความคิดเห็นที่ 6 อืมม   กระทู้จุดประกายความคิดเลย จากคุณ : EleMent M@stER เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 00:52:59

ความคิดเห็นที่ 7 อยากรู้เหรือว่าทำไม ผมกำลังบอกว่าเราย้อนอดีตได้แต่สิ่งที่อยู่ห่างไกลจากเรา ด้วยการเข้าไปใกล้สิ่งนั้นให้ได้ยิ่งเร็วมากเท่าไหร่ ก็จะอยู่กับปัจจุบันของสิ่งนั้นได้มากขึ้น อีกนัยนึง หากวัตถุหรือดาวนั้นวิ่งเข้าใกล้โลกมากขึ้น แล้วมันโดนแสงของดวงอาทิตย์ สะท้อนเข้าสู่ตาเราเร็วขึ้นเนื่องด้วยระยะทางที่สั้นลง ดาวดาวงนั้นก็ กำลังทำให้เราเห็นปัจจุบันของมันมากขึ้น โดยที่ จุดอ้างอิงคือตัวเราอยู่กับที่ แต่มันเข้ามาใกล้แหล่งแสงของเราที่เราใช้ในการมองเห็นเป็นแหล่งแสงเดียวกัน สรุป คือ หากจะย้อนอดีตได้ ก็คงใช้แนวคิดนี้เพื่อไปหาอดีตที่ยังมาไม่ถึงจากจุดสังเกตเดิมไปอยู่ในจุดสังเกตใหม่ที่ใกล้ขึ้น แต่หากจะย้อนอดีตไปหาสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เช่น จากตัวอย่างสมมุติ ดาวห่างจากโลก 1.2 ล้าน กม เมื่อเราเคลื่อนที่ไปยังดาวนั้น ความเร็ว 3 แสน กม ต่อวินาที วินาทีที่ 2 เราจะเห็นอดีตเมื่อ 2 วินาที ของดาวดวงนั้น แล้วอยากย้อนไปดูอดีตที่วินาที ที่ 3 ของดาวดวงนั้นที่มองจากโลกอีกครั้ง คุณต้องกลับลำ แล้ววิ่งกลับด้วยความเร็วที่มากว่าตอนเดินทางไปหาดาดวงนั้นอย่างมากเพื่อ ไปดักหน้าภาพที่ วินาทีที่ 3 ที่แสงพาผ่านพ้นโลกไปแล้ว จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 01:09:16

ความคิดเห็นที่ 8 หลักจาก ได้แนวคิดไปแล้ว ทีนี้มาถึงแนวทางการประยุกต์ใช้งานบ้างนะ ** หากคุณเห็นเพื่อนคุณยืนอยู่ เดินเข้าไปใกล้ๆเค้า ไปแตะไหล่เพื่อน แล้วพูดว่า เพื่อนฉันย้อนอดีตมาหานายนะ แม้จะเป็นแค่ 1ในล้านวินาที ก็ตาม และนายก็ควรจะดีใจนะ ที่นายก็ได้ย้อนอดีตมาหาฉันด้วยเหมือนกัน เพราะฉันพาตัวเองเข้ามาใกล้ๆนาย ** หากคุณเห็นแฟนคุณยืนอยู่ไกลๆ ตะโกนบอกไปเลย ที่รัก!! ผมจะย้อนเวลาไปหาคุณด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ผมจะทำได้.. (แล้วก็ วิ่งเต็ม สตีมไปหาเค้าเลย อิๆ) คง งง ไปเลยแหละ 55+ ** เหตผลที่คนควรอยู่ด้วยกัน และอยู่ใกล้ๆกัน เพื่ออยู่กับปัจจุบันของคนๆนั้นให้มากที่สุด พอเข้าใจความหมายของการกอดมากขึ้นก็คราวนี้แหละ ^__^ พาออกทะเลเองซะงั้น จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 01:28:44

ความคิดเห็นที่ 9 อืม.   เรานิยามคําว่าอดีตเหมือนกันป่าว อะคับ การย้อนอดีตแบบที่ชาวบ้านเราๆท่านๆนึกถึงคือการกลับไปอยู่ในเหตุการณ์และสถานที่ที่ผ่านเลย ไปแล้ว. หรือ เรากำลังพูดถึงหลักการการมองเห็นภาพของดวงตาคนกับระยะเวลาการตกกระทบของแสง จนถึงการรับผลภาพที่เห็นกัน ตามที่ผมอ่านข้อความของ กท.  ผมเข้าใจว่าเราไม่ได้ย้อนเวลานะ เพียงแต่เราอาจจะเห็นภาพก่อนหรือหลัง กว่าใครมากกว่า(หรือผมเข้าใจคลาดเคลื่อนขออภัยด้วย). ถ้าการที่เราสามาถเห็นภาพก่อนคนอื่นหรือหลังคนอื่น ของวัตถุเดียวกันนั้น แล้วเราจะเอาอะไรเป็นช่วงเวลาปัจจุบัน สำหรับอ้างอิงอะคับ ว่าอันไหนคือปัจจุบัน เปรียบเสมือนการมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้น บางประเทศเห็นกันตั้งแต่ตี4 บ้างที่เห็น6โมงเช้า. สรุปแล้ว เราพูดถึงอดีต ตามหลักการอะไร จากคุณ : อาท (chan ty) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 01:39:17

ความคิดเห็นที่ 10 อดีตที่ว่า ไม่ได้อ้างอิงแค่ผลจาก ทรงกลมของโลก นะครับ ซึ่ง การที่โลก กลมๆ มีผลกับการเห็นที่ไม่เท่ากัน เนื่องจากความโค้ง แสงอาทิตย์ มาถึงไม่พร้อมๆกันทั้งโลก  ด้านไหน โลกหันเข้าดวงอาทิตย์ก็ เห็นอาทิตย์ก่อน ด้านมืด หรือ หากคุณมองกลับไปดีๆ ความโค้งของโลก ก็คือระยะทาง เพียงแต่มันโค้งเอาไว้ ลองยืดมาเป็นเส้นตรงก็จะไม่ต่างกัน อดีต ของทุกสิ่ง เกิดจากความล่าช้าของการรับรู้จาก เหตการณ์จริง จนมาถึงที่เรารู้ ในที่ นี้ ผม ยกตัวอย่างด้วยความเร็วแสง กับสิ่งที่เราจะมองเห็นจากการเดินทางของแสง มายังตาเรา อย่าไปเที่ยบ อดีตที่ว่าเหตการ์เกิดขึ้นคืนนี้ แต่ข่าวเอาไปรายงานพรุ่งนี้ มันช้ากว่าเหตกาณ์จริงมากๆ ทั้งในระดับเวลาของคน และ เวลาของแสงที่ใช้ในการรายงาน ภาพ เหตการณ์นั้นออกมา แม้คุณจะบอกว่าย้อนเวลาไปยัง โลกอีกฝั่งที่ยังมืด จากด้านสว่างที่คุณอยู่ โดยการ นั่งเครื่องบิน บินสวนการหมุนของโลก ให้ไวกว่าความเร็วการหมุนของโลก นั่นเป็นแค่การ หลอก time zone ด้วยตัวเราเอง เพราะ การที่โลกมันโค้งกลม นั่นแหละ เมื่อไป ถึงที่นั่นกลางคืน หากมีแสงไฟ ให้คุณเห็นอะไรรอบๆ คุณก็หนีกฏอดีต ของ ความเร็วแสงไม่พ้นอยู่ดี ผมกำลัง ยกตัวย่างค่าอดีตที่เกิดขึ้นได้ในทุกกรณีไม่ว่าจะบนโลก หรือ ในอวกาศ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่ไหน เป็นผลจากการเดินทางของแสงที่ทำให้เรารับรู้ทั้งสิ้น จึงถือเป็นหลักการของอดีตที่ ครอบคลุม ส่วนอดีตที่ผ่านมานั้น คืออดีตที่เหตการณ์ นั้นๆผ่านไปแล้ว เช่นเมื่อ 1 ชม ที่ผ่านมา ภาพที่สะท้อนตัวคุณเมื่อ 1 ชม ที่แล้วมันวิ่งไปถึงไหนแล้วละ จะตามมันไปดูมั้ย มันไกลนเป็น 1 ชม แสงแล้วนะ จะตามไปดูอีก คงยาก มันก็เลยผ่านไป... ให้นึกถึงทุกเหตการณ์ทุกขณะ เวลา มันเคลื่อนไป เราจะรู้หรือไม่รู้ มันก็เดินทาง ออกไปแล้ว ด้วยความเร็ว 3 แสน กม ต่อวินาที จะย้อนกรอเทปกลับด้วยความเร็วมากกว่า 3 แสน กม ต่อวินาทีได้ยังไง เพราะต้องเร็วกว่าแสง มากๆ ถึงจะไปดัก ทัน ยิ่งเหตการณ์ ผ่านไปนาน ก็ยิ่งต้องเร็วมากขึ้นไปอีก ถึงจะได้เห็นเหตการ์นั้นๆไม่ช้าเกินไป** หากเรายังพัฒนาให้สามารถเดินทางได้เร็ว กว่า 3 แสน กม ต่อ วินาทีไม่ได้ เราคงจะทำได้แค่ย้อน อดีตไปหาปัจจุบันของต้นกำเนิดเหตการณ์ หรือจุดที่เรากำลัง มองเห็นมันอยู่ ณ จุดนี้จากระยะทางนี้....ให้ได้เวลาที่สั้นที่สุดหลังจากเหตการณ์ใดๆเกิดขึ้น เพื่อให้ผลจากอดีตของแสงที่ใช้ในการเดินทางสั้นลงก็เท่านั้น.... แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 02:20:20 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 02:12:00

ความคิดเห็นที่ 11 จขกท มีไอเดีย สร้างสรรค์ดีครับ จากที่อ่านดู น่าจะบอกว่า สิ่งที่เราเห็นคืออดีต อันเนื่องจากความต้องการเวลาในการเดินทางของแสง แต่เราไม่สามารถนำพาตัวเราไปในอดีต (หรือ ย้อนอดีต) ได้ จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 02:58:23

ความคิดเห็นที่ 12 ....        นี่เป็นคำพูดของท่าน James Cook (login ที่หายสาญสูญไป) ท่านกล่าวไว้            " ดวงดาวที่เราเห็นบนท้องฟ้าทุกวันนี้ มันเป็นอดีตของดวงดาวทั้งหมด                    แต่ผมอยากรู้ว่า ณ.ปัจจุบัน ดวงดาวบนท้องฟ้านั้นเป็นอย่างไร"                                                                                                        ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 05:31:54

ความคิดเห็นที่ 13 ดังนั้น ที่จุดอ้างอิง คือตัวเรา ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็จะเจอแต่อดีต ู^ ในทางวิทย์  ให้ถือว่าเวลามีอยู่จริง แต่มัน กลับแนบแน่นอย่างยิ่งกับพื้นที่หรืออวกาศ ณ จุดอ้างอิงเฉพาะ การเอาตัวเองเป็นจุดอ้างอิง  เป็น เพียงจินตนาการ ซึ่งถ้าจะเอาความเร็วในการเดินทางมาสมมุติ  ก็จะมีเรื่องแสงเข้ามาเกี่ยว ซึ่งเป็นไปได้ว่า  แสงนั่นแหละ คือ  ตัวแปรX ที่มีธรรมชาติเหมือน จิตหรือผู้คิด ถ้ามีรูหนอน  ปัญหาเรื่องเวลาอาจหมดไป เวลาจะเป็นมิติที่ถูกลดความหมาย  พอๆกับอวกาศที่ถูกพับทบเป็นท่อนๆ เราก็จะอยู่กับ ปัจจุบันได้ในทุกกรณี (หรือใกล้เคียงมากๆ) จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 10:08:18

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ใช้ปลอกของหนอนปลอกไปก่อนได้มั้ยครับ จากคุณ : Hephaestuz เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 10:17:45

ความคิดเห็นที่ 15 ทำให้ ผมคิดได้ว่า ทำไม ถึงต้องมีแรงดึงดูดระหว่างมวล มวลต้องการดึงสรรพสิ่งให้เข้าใกล้ปัจจุบันของตัวเองให้มากที่สุด หลุมดำคงต้องการให้แม้กระทั่งแสงไปอยู่กับปัจจุบันของมัน เพื่อจะได้ไม่มีใครมองเห็นมันอีก ไม่มีอดีตของหลุมดำที่เราจะเห็นด้วยตา แต่ก็ใช่ว่าเวลาจะไม่ดำเนินต่อไป... จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 11:24:41

ความคิดเห็นที่ 16 เวลาเดินต่อ  ตราบเท่าที่ การขยายตัวของเอกภพดำเนินไป แต่ที่หลุดดำ   อาจเป็น  ทางไปสู่   บิกแบงค์ใหม่  ต่างจาก บิกแบงค์แรกนั้น จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 12:22:19

ความคิดเห็นที่ 17 แม้แต่ การขายตัวของ เอกภพ ดำเนินต่อไปก็อยู่ภายใต้เวลาที่มากขึ้น เวลานั้น อะไรจะหยุดมันได้... แม้หลับตา หนี อดีตไปทุกๆสิ่งรอบๆตัว แต่เวลาก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไปอยู่ดี... จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 12:58:31

ความคิดเห็นที่ 18 พอเข้ามาที่ตัวเรา หรือผู้คิด เวลา  อาจไม่มีอยู่จริง สำหรับบางคน ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันจริง  เราอาจไม่รับรู้ถึงการไหลเลื่อนของเวลา ต่อเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆรอบตัว หรือเอาตัวเราไปสัมพันธ์กับมัน  เวลาก็เกิดขึ้น นั่น  อาจเพราะ แสงซึ่งเป็นตัวแปรลับ  ที่ก่อให้เกิดทุกสิ่ง  เป็นสัมพัทธภาพ อาจเป็นได้ว่า  แสง ก็คือ ผู้คิด จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 14:19:08

ความคิดเห็นที่ 19 อายุกี่ขวบแล้วเนี่ยกำลังคิดออกเหรอ จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 14:55:34

ความคิดเห็นที่ 20 ทุกๆสิ่งที่มองเห็น อาศัยเวลาของแสงในการเดินทางมาถึงตาเรา เพื่อให้เรารับรู้ถึงการมีอยู่ด้วยการเห็น ***ไม่จริงหรอกสมมุตินะ ผมอยู่บนดาวดวงหนึ่ง ถือเชือกอยู่เส้นหนึ่ง คุณก็อยู่บนดาวดางหนึ่งห่างกัน 3วินาทีแสง(สมมุติให้ดาวทั้ง2 อยู่นิ่งสัมพัทธ์กัน)เราถือเชือกเส้นเดียวกันเชือกเส้นนี้ขึงตึง สมมุติคุณหลับอยู่ผมกระตุกเชือกคุณก็รู้ตัวทันทีใช่ป่ะ(ถ้าไม่ใช่ลองจับผิดดู) **** ดังนั้น เวลาที่ 0 นั้น จะมีจริงตอนที่เราปิดตา หากเราลืมตารับภาพ เมื่อไหร่ เราจะเริ่มเห็นอดีต ต่างกันแค่ว่ามันมากหรือน้อย *****เวลาที่0 ไม่มีจริงครับเวลามีสมบัติ Homogeneous คือเหมือนกันทุกที่ครับ ตามทฤษฎัสัมพัทธภาพเวลามีตลอดครับ แนวคิดที่คุณพูดข้างบนเป็นแนวคิดเชิงประจักษ์นิยม แบบทฤษฎีควอนตัมเลยครับ***** มอง คนทื่อยู่ห่างไป 300 เมตร ก็เท่ากับมองอดีต เมื่อ 1 ในล้าน วินาที ที่แล้ว ***เออ ดูบอลก็ไม่ต้องลุ้นมากนะมันก็ไม่สดหรอก ขนาดไปดูในสนามยังไม่สดเลย**** มอง หลอดสปอร์ตไลท์ ที่ห่างออกไป 3 แสน กม ก็คือมอง อดีตเมื่อ 1 วินาที ที่แล้ว มอง ดวงอาทิตย์ก็คือมองอดีต เมื่อ 8.03 นาที ที่แล้ว เรากำลังมองแต่อดีต ของทุกๆสิ่งรอบๆตัว อยากมอง อดีตให้ไวขึ้น ก็แค่ เข้าใกล้ๆ สิ่งนั้น อดีตก็จะสั้นลง ******จริงแค่กรณีเข้าไปใกล้วัตถุเล็กๆครับถ้าเข้าไปใกล้หลุมดำเวลาจะยืด*** จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 15:51:03

ความคิดเห็นที่ 21 สมมุติ คุณเดินทางไป หาดาวดวงนึงที่ห่างจาก โลก 1.2 ล้าน กม ด้วยความเร็ว 3 แสน กม ต่อวินาที **********ถ้าคุณเดินทางด้วยความเร็วแสงเลาจะไม่เดินครับ*** จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 15:53:23

ความคิดเห็นที่ 22 # 19 คิด ออกช้าไป ก็อย่าว่ากันเลยครับ การอธิบาย เรื่องนี้น่ะมันละเอียด ก่อนนี้สิ่งที่คุณคิดได้แบบนี้เคย โพสมาก่อนรึยังครับ หากซ้ำกับคุณ แสดงว่าคุณเข้าถึงได้เร็วกว่า และสิ่งที่ผมคิดออกมาได้ด้วยตัวเอง ก็เป็นคามคิดที่ช้ากว่าคุณเท่านั้น การเรียนรู้ของคน ช้าเร็วไม่เหมือนกัน หรือ บางคนคิดได้เร็วแต่ไม่ได้ มีเวลามานั่งคิด พอนั่งคิดก็คิดออกมาได้ก็มาแชร์ความคิดกัน อยากจะเห็นคนที่บอกว่าคิดเช่นกัน คิดเหมือนกันมากกว่า มาบอกได้ว่าเพิ่งคิดได้เหรอ ผมไม่ยึดติดว่า คน อายุน้อยกว่า จะคิดได้ก่อนไม่ได้ ผมยึดติดที่ ว่าคน คิดได้ก่อนแล้ว ดูถูกคนที่คิดได้ช้ากว่าเนี่ย เป็นคนยังไง... เอาละ แสดงว่า เรื่องแนวคิดนี้ ผมก็คิดได้เหมือนคุณ และ คุณก็คิดได้เหมือนผม เมื่อได้รู้ได้เข้าใจ แล้วน่าจะยินดี ไปกับคนที่ได้รู้ เช่นเดียวกัน อยากรู้ คุณ Aloner นั้นตอนนี้คิดไปถึงขั้นไหนของสิ่งนี้แล้วต่อยอดได้ไปถึงไหนมาแชร์ ความคิด ความรู้กันดีกว่า นะครับ ผมอยากฟังคนที่คิดได้ก่อนผม  ตอนนี้ มีสิ่งไหนที่ ผม ยังคิดไม่ถึงอีก บ้าง จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 15:55:30

ความคิดเห็นที่ 23 จากเริ่มเดินทาง จน ถึงวินาที ที่ 2 คุณ จะย้อนอดีตไปหาดาวนั้น จาก 4 วิ เหลือ 2 วินาที ขณะเดียวกัน หากคุณหันกลับไปมองโลก คุณก็จะเห็น อดีต ของโลก เมื่อ 2 วินาที ที่แล้ว **********งั้นผมจะสมมุติว่าคุณไม่มีมวล (คุณเป็นโฟตอญ) คุณจะเห็นโลกเราเป็นปัจจุบันครับและเวลาของโลกไม่เดินเพราะแสงที่วิ่งเข้าตาคุณความเร็วเท่าคุณดังนันผมว่ามองไม่เห็นอะไรมากกว่า**** เมื่อ วินาที ที่ 4 คุณถึงอีกดาว เป็นเวลาใกล้ปัจจุบัน ของที่นั่น แต่คุณ กลับเห็น อดีตของโลก ช้ากว่าเหตการ์จริงบนโลกไป 4 วินาที ******ถ้าตอนหยุดนิ่งแล้วคิดว่าคงใช่**** ดังนั้น ที่จุดอ้างอิง คือตัวเรา ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็จะเจอแต่อดีต จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับระยะทาง จริงไหมครับ ***ขึ้นอยู่กับความเร็วด้วยครับ ในสัมพัทธภาพพิเศษนะ**** จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:04:00

ความคิดเห็นที่ 24 #20 ผมว่าคุณเข้าใจแค่ผิวเผินนะครับ จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:05:55

ความคิดเห็นที่ 25 ผมมีอะไรอยากแชร์เยอะมาก แต่ไม่ค่อยมีเวลา จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:08:22

ความคิดเห็นที่ 26 # 21 ถ้าเวลา ไม่เดินแล้ว เราจะเห็นอดีต ของ สิ่งที่แสงพาผ่านระยะทางไกลๆมาได้ยังไง ทำไมเราถึงมองเห็นอดีต ของ สิ่งที่แสงพามา แม้แต่เดินทางด้วยความเร็วแสงก็ยังคงเห็น อดีต ของ สิ่งที่ห่าง ออกไปอยู่ดี ด้วยเวลาที่ยังคงเดินต่อไป ความเร็ว แสงก็แค่ความเร็วนึง ใน 1 วินาที ยังไงก็ต้องใช้เวลาอยู่ดีไม่งั้น จะมีเวลาที่แสงใช้เดินทางได้เป็น ปีแสงเพื่อ มายังโลกเหรอ สิ่งที่แสงพามา ณ เวลานั้น วิ่งมาหาเราลองนึกภาพเหมือนแสงกำลังส่งภาพ ถ่าย ณ เวลานั้นๆ ของ จุดเกิดเหตมาให้เราดูมันด้วย คามเร็ว 3 แสน กม ต่อ วินาที หาก คุณวิ่งเร็วเท่าแสง และ ออกตัวไป พร้อมกับ ภาพเหตการณ์ปัจจุบัน เหมือนคุณจะ มองเห็นแต่ ภาพ ภาพเดียวที่แสงกำลังออกไป คือภาพ ขณะคุณ ออกตัว ด้วยความเร็วแสง แบบทันทีทันใด คุณวิ่งช้าลงไปนิดก็จะเห็นภาพที่เกิดหลังออกตัว วิ่งไวไปกว่าแสงอีกนิดก็เห็นภาพก่อนหน้าคุณจะออกตัว แต่กระนั้น คุณก็ต้อง ใช้เวลาอยู่ดี เพราะแสงเร็ว 3 แสน กม ต่อวินาที คุณก็เร็ว 3 แสน กม ต่อวินาที หากผ่านไป 2 วินาที คุณก็ไปได้ 6 แสน กม ไหนบอกไม่มีเวลาไงทำไม คุณถึงไปได้ไกล ขึ้นเรื่อยๆเมื่อ เวลาผ่านไป ส่วนเรื่อง นี้ ********************** ทุกๆสิ่งที่มองเห็น อาศัยเวลาของแสงในการเดินทางมาถึงตาเรา เพื่อให้เรารับรู้ถึงการมีอยู่ด้วยการเห็น ***ไม่จริงหรอกสมมุตินะ ผมอยู่บนดาวดวงหนึ่ง ถือเชือกอยู่เส้นหนึ่ง คุณก็อยู่บนดาวดางหนึ่งห่างกัน 3วินาทีแสง(สมมุติให้ดาวทั้ง2 อยู่นิ่งสัมพัทธ์กัน)เราถือเชือกเส้นเดียวกันเชือกเส้นนี้ขึงตึง สมมุติคุณหลับอยู่ผมกระตุกเชือกคุณก็รู้ตัวทันทีใช่ป่ะ(ถ้าไม่ใช่ลองจับผิดดู) **** ********************* ขอ วิเคราะห์ ครับ นี่คือ สิ่งที่เรียกว่า ปรากฏการณ์ คู่ขนาน ระหว่าง ต้นทางกัปลายทาง หาใช่ การส่งผ่านจากที่นึงไปอีกที่นึง นั่นเพราะ โจทย์ มันผิดตั้งแต่แรก** เพราะคุณได้ใช้เวลานานแค่ไหนไม่รู้ที่ จะลาก เส้นด้ายเส้นนั้นให้ไปถึงดาวดวงนั้นก่อน ที่คุณจะเริ่มทำการทดลอง ซะอีก หากคุณลากด้าย ทั้ง 2 ให้ถึงกัน ด้วยความเร็ว แสง คุณก็ต้อง ใช้เวลา 3 วินาที ในการ ลากเส้นด้ายอยู่ดี แล้วคุณจึงค่อย action ดึงปลายด้ายเพื่อ ให้เกิดปรากฏการณ์ คู่ขนานที่ปลายด้ายอีกข้าง ที่ห่างออกไป 9 แสน กม ถึงกระนั้นด้วยระยะทางแรงกระทำก็ไม่ได้ส่งผลที่เวลา 0 วินาที จริงๆ กับอีกปลายทางเนื่องจาก มีแรงหนึด แรงตึงตัวของ เส้นด้ายเป็นตัวแปร ที่คุณอาจะมองข้าม** หากคุณจะนับการทดลอง นี้ของคุณ คุณต้อง บวกเวลาลากเส้นด้าย กับ เวลาเริ่มดึง จน ปลายทางเริ่มขยับ นั่นหมายถึงมันนานกว่าเดิม นานกว่าแค่ให้แสงส่งไปถึงใน 3 วินาที เพียวๆ ตามความเร็วแสงของมัน เสียอีกครับ ยินดีที่ได้แชร์ความรู้ครับ ปล แก้ คำผิดคีย์บอร์ด มัน ไม่ค่อยดี กดไปไม่ค่อยขึ้นบางตัว 55+ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 16:29:14 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 16:24:16 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:21:26

ความคิดเห็นที่ 27 ผมสมมุติว่ามันเป็นไม้ละกันงั้นเอาแบบความแข็งเป็นอินฟินนิตี้ ล่ะ ......(มีคำเฉลย อยู่กระทู้ก่อนๆ) จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:27:18

ความคิดเห็นที่ 28 # 27 งั้น ใช้เวลาส่งไม้ไปด้วยเวลาเท่าไหร่ ถึงเริ่มทดลองได้ ??? ok ไม่ต้อง บวกเวลาหนืดอะไรตามโจทย์ แต่เอาไม้ไปวางให้ได้ก่อนโดยเวลาเป็น0เนี่ย ทำได้มั้ย จะได้เริ่ม ทดลอง ปรากฏการณ์คู่ขนาน ที่คุณ ชอบยกตัวอย่าง หากเอาง่ายๆ ถือ ไม้ระห่างคน 2 คน แล้ว ดึง ปลายนึง อีกปลายก็ ขยับตาม เพราะ มันเป็นชิ้นเดียวกัน มันจึงเคลื่อนไปพร้อมๆกันไง ทั้งหัวทั้งท้าย แต่ใน ภาวะของแสง แสงไม่ได้ ยึดติด กันเป็นท่อนแสงเดียว แบบไม้ แต่มันโดน บังได้ ที่ระยะทางเท่าไรของมันก็ได้ ต่างกับท่อนไม้ ที่คงที่หัวท้ายตลอด ความยาวของมัน แต่ให้มองเป็นท่อนไม้ที่วิ่งได้ละกัน เมื่อหัวไม้มาถึงคุณ แล้วมันค่อยๆผ่านคุณไป อีกสักพัก คุณ ถึงจะเจอกับปลายไม้ แม้ไม้นั้น จะวิ่งเร็วแค่ไหน มันก็ต้องใช้เวลา วิ่ง จากหัวไปยังปลาย เพราะ มันมีระยะทาง ของมันอยู่ หาก เทียบในรูปแบบ แสง ยกตัวอย่าง เช่น ปล่อยแสง ด้วย หลอดไฟ ที่กำลังแรงสูง และสามารถกระจายแสงได้รอบทิศทางทางเป็นทรงกลม แบบที่ดาฤกษ์ทำได้ ออกมาด้วยระยะเวลาเพียง 1 ใน 3 วินาที จะได้แสงที่มี ความต่อเนื่อง ระยะยาว 1 แสน กม เป็นเหมือน โดนัททรงกลม วงใหญ่ กระจายไปรอบทิศทาง โดย ขนาด ห่วง วงแหวน โดนัทคงที่ ที่ระยะ 1 แสน กม โดนัทยักษ์นี้ ขยายรัศมีของมันเองได้ 3 แสน กม ทุกๆวินาที ไม่มีวันหยุด มัน กระจายไปเรื่อยๆ สมมุติ ให้มันไม่มีการ lost ใดๆ หาก คุณ ยืน ห่างไปจาก จุดปล่อยแสง 1.2 ล้าน กม คุณจะเห็น แสงจากหลอด นั้นสว่างหลังจากปล่อยแสงออกมา เมื่อเลา ผ่านไป 4 วินาที และ แสงจะสว่าง ให้คุณเห็นแค่ 1 ใน 3 นาที แล้วก็จะเห็นหลอดไฟมันดับลงไป ทำนองนั้น ทุกอย่าง ต้องใช้เวลา  ต้องใช้ความเร็วในการเดินทาง** แม้แต่การจะเอา อะไรก็ตาม จาก ฝั่งนึงไปอีกฝั่งนึง เพื่อทำการทดลอง ใดๆเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ คู่ขนาน ก็จต้อง เริ่มต้นที่ ว่า จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถึง จะเริ่มทำการทดลองได้** พอเข้าใจไหมครับ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:52:13

ความคิดเห็นที่ 29 คห 3 เขาหมายถึงกระแสจิตครับ ไวกว่าความเร็วแสงไม่รู้ซักกี่เท่า จากคุณ : Zen Entania เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 22:44:44

ความคิดเห็นที่ 30 # 29 ในทาง วิทยาศาสตร์ หากยังวัดคามเร็วของกระแสจิต ด้วยวิธีการทดลองใดๆ หรือ บ่งบอกตัวตนได้ว่า กระแสจิต เป็นยังไง เร็วแค่ไหน พิสูจน์ได้ไหม ซึ่งหากยังไม่มีผลการทดลอง มาเสริมก็เป็นได้แค่การคาดเดาว่ามันจะเร็วกว่าครับ หรืออยากทดลอง มั้ย...เริ่มกันเลย ทดสอบ ใน อวกาศ ให้คนส่งกระแสจิต อยู่จุดนึงในอวกาศ คนรับกระแสจิต อยู่อีกจุดนึงในอวกาศ ทั้ง 2 ห่างกัน 1.2 ล้าน กม ระหว่าง คน ทั้ง 2 คน ไม่มีสิ่งใดขวางกัน จากโจทย์นี้ หากเรามีกระจกบานใหญ่อยู่ที่คนรับกระแสจิต เมื่อเรา ฉายแสงจากคนส่งกระแสจิตไปยังกระจกปลายทางที่ผู้รับกระแสจิตอยู่ เราที่อยู่กับผู้ส่งกระแสจิต จะเห็น แสงสะท้อนกลับมาหาเรา ในเวลา 8 วินาที (4 วินาที ขาไป + 4 วินาที ขากลับ = 8 วินาที) วิธีการทดสอบคือ สุ่มบอกสีต่างๆให้ผู้ส่ง ได้ส่งกระแสจิต ไปบอกให้ผู้รับที่อยู่ปลายทางกดหลอดไฟสีนั้นๆ ตอบกลับมา โดย หลังจากบอกสีที่ต้องการทดสอบให้คนส่งกระแสจิตแล้ว ที่ฝั่งผู้ส่งกระแสจิต จะต้องได้เห็นแสงสีที่ถูกต้อง ตอบกลับจากคนรับภายในไม่เกินเลา 8 วินาที เสมอ หากทำซ้ำๆ แล้วถูกต้องเร็วกว่า 8 วินาทีเสมอ ได้ % ประมาณ 90 % จากจำนวนครั้งทั้งหมดที่ทำการทดสอบ ผมจะยอมรับเลยว่า จิตไวกว่าแสง*** แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 13:10:29 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 00:39:01 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 00:37:21 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 00:33:00

ความคิดเห็นที่ 31 .....         ต้องแยกให้ออกครับ ระหว่าง ความคิด กับ จิต ครับ ที่บอกว่า พอคิดถึง เชียงใหม่ ก็เห็นเชียงใหม่ทันที นั้นมันความคิดครับ ไม่ใช่จิต ถ้าเห็นเชียงใหม่จริงๆ ต้องตอบได้ครับว่า ที่นั่นขณะนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พอเอาเข้าจริงๆ ก็ตอบไม่ได้ครับ เพราะแค่เป็นความคิดเท่านั้น          อนึ่ง จิตไปไวกว่าแสงนั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจครับ ในทางปฏิบัติจริงๆ ทั้งลัทธิ โยคี หรือ ทางจิตวิญญานของพุทธ ก็ตาม จิตจะแยกออกจากร่างไม่ได้ครับ นอกตายเท่านั้น แต่ก็ยังมีหลายคนออกมาบอกว่า มันแยกได้ ยิ่งพระดังๆ บางองค์ ไปโน่นเลย นรก สวรรค์ เรื่องอย่างนี้ ไม่มีใครเคยไปครับ จะพูดอะไรก็ได้ เพราะไม่ เคยมีใครเห็น พระเถระผู้ใหญ่ก็ออกมาเตือนออกมาบอกครับว่า จิตมันแยกจากร่าง ไม่ได้ ต่อให้ได้ ฌาณสมาบัติ 8 ก็ตาม (ส่วนอภิญญา 5 หรือ 6 นั้น มันอภินิหารเกินไป ไม่ขอกล่าว) ฌาณสมาบัติ เชื่อว่ามีจริง ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้น สัตว์ต่างๆ ก็สามารถ จำศีลได้ในช่วงฤดูหนาวที่ยาวนาน แต่คนเราต้องฝึก แต่สัตว์เป็นไปโดยสัญชาติญาณ ดังนั้น เรื่องจิตไวกว่าแสงนั้น จะทราบได้ต่อเมื่อตายแล้วเท่านั้น แล้วใครจะเชื่อล่ะ เพราะคนตายไปแล้ว ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกสักคนครับ                                                                                                           ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 14:22:39

ความคิดเห็นที่ 32 กระแสจิตไม่ใช่ปริมาณทางฟิสิกส์ในตอนนี้ แต่ก็พอเป็นไปได้นะครับในทางquantum ตอนนี้ก็มีถกกันเรื่อง free will อยู่ จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 14:57:12

ความคิดเห็นที่ 33 อยากจะบอกว่า "แหม หว้าก้อ หว้ากอ กันจริง" จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 12:11:02