ความคิดเห็นที่ 1 1. การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทำให้ฝนตกมากขึ้นหรือน้อยลง ในแง่ของฝน ฝนเป็นตัวนำความร้อนออกจากโลก การระเหยของน้ำจากบนโลกไปบนฟ้าจะต้องดึงพลังงานจากพื้นโลกที่อัตรา 2,300 kJ/kg ซึ่งเมื่อกลั่นตัวเป็นละอองน้ำบนเมฆ ความร้อนนั้นส่วนใหญ่ก็ถูกคายไปสู่อวกาศ และบางส่วนก็สะท้อนลงสู่พื้นโลก ถ้าคำนวณดูแล้ว ปริมาณพลังงานที่วงจรฝนนำออกจากพื้นโลก คำนวณตามปริมาณน้ำฝนจะได้ดังต่อไปนี้ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 21:42:05 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:03:15

ความคิดเห็นที่ 2 ปริมาณ 72.93 W/m2 นี่ก็เป็นการพาพลังงานออกถึงร้อยละ 30% ของพลังงานที่มาจากแสงอาทิตย์ทีเดียว สิ่งนี้ทำให้การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกน้อยกว่าที่โมเดลภาวะโลกร้อนใดๆจะทำนายออกมา ถ้าอุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้น มันก็หมายความว่า น้ำก็จะระเหยมากขึ้น และพอไปถึงข้างบน มันก็เปิดโล่งสู่อวกาศ และพอเสียความร้อนออกไปมันก็กลั่นตัวกลับลงมาเริ่มวงจรวัฏจักรน้ำใหม่ จะเห็นได้ก็จากกราฟข้างล่าง ที่แสดงให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ทำให้ฝนตกมากขึ้น รูปที่ 1: ความสัมพันธ์ของอุณหภูมิโลกและปริมาณฝน จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:05:20

ความคิดเห็นที่ 3 รูปที่ 1 แสดงให้เห็นว่า การเพิ่มของอุณหภูมิเป็นส่วนทำให้เกิดฝนมากขึ้น แต่ก็ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของฝนนั้นโดยค่าเฉลี่ย 100 ปีที่ผ่านมาก็ไม่มากเลย เพิ่มขึ้นแค่ 2 mm ระดับความผันแปรของปริมาณฝน จะเห็นได้ว่ามันมีการเหลื่อมของคาบกัน พวกกราฟภาวะโลกร้อนนี้มักมีการบิดเบือน Scale ให้สูงน่าสพรึงกลัวกว่าความจริง ดูเทียบได้จากรูปที่ 2 และ 3 รูปที่ 2 การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ด้วย Scale ตามที่นิยมของกระแสโลกร้อน จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:06:21

ความคิดเห็นที่ 4 รูปที่ 3 การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิตาม Scale นับเริ่มจาก 0 oC จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:07:08

ความคิดเห็นที่ 5 ทีนี้ถ้าเรามาสังเกตการเกิดฝนตก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดูได้จากรูปที่ 4 สังเกตว่า โทนสีของสองรูปนั้นก็เหมือนๆกัน แต่ มันจะไปตกคนละที่กัน การที่ฝนไม่ตกในที่ๆเคยตก ก็คือสภาพฝนแล้ง และก็เป็นเหตุผลที่คนออกมาโวยวายกันเรื่องภาวะโลกร้อน สรุปถึงตรงนี้ เรื่อง ฝน ผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิมีผลให้เกิดปริมาณฝนมากขึ้น ซึ่งไม่มาก การกล่าวกันเรื่องภาวะฝนแล้ง ถ้าจะเกิดคือเกิดจากด้านความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ ฝนไปตกที่ที่ๆไม่เคยตก เสียมากกว่า รูปที่ 4: การกระจายตัวของฝนบนพื้นโลก จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:09:04

ความคิดเห็นที่ 6 2. การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกทำให้เกิดภัยพิบัติมากขึ้นหรือไม่ สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเกิดอุทกภัยหรือวาตภัยหรือการเกิดเหตุวิกฤติต่างๆ ที่เรารู้สึกว่ามันเพิ่มมากขึ้นเหลือเกิน โลกจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว มันอาจเกี่ยวข้องกับการเสพข่าวสารของเรามากกว่าที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ แน่นอน โดยโมเดลภาวะโลกร้อน มันก็บ่งชี้ความเป็นไปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของสมดุลอุณหภูมิโลกอาจทำให้เกิดฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล มีการเกิดของพายุต่างๆ แต่ทว่า ความสัมพันธ์ของการเกิดของภัยธรรมชาติด้านลมและฝน กลับไม่ได้บ่งชี้ชัดว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกทำให้ภัยพิบัติเกิดมากขึ้นจริง ตามข้อมูลชอง American Meteorological Society สัดส่วนภัยพิบัติที่บันทึกนั้นรวบรวมแล้วลุ่มๆดอนๆ แถมมันจะไปในด้านลดลงเสียมากกว่าด้วยซ้ำตรงช่วงหลังปี 2000 รูปที่ 5: สถิติการเกิดพายุ ตาม American Meteorological Society จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:10:28

ความคิดเห็นที่ 7 แน่นอนว่าข้อมูลเดียวก็อาจไม่แน่ชัด ผู้เขียนจึงไปดึงข้อมูลจากด้าน World Climate Report มันก็แสดงผลคล้ายๆกัน ไม่ว่าจะในรูปที่ 5 หรือ 6 คือ จำนวนพายุที่มีการบันทึกไว้ มันไม่มี Trend ที่บ่งชี้ถึงการเพิ่มของพายุต่อปริมาณ CO2 หรือความร้อนที่เพิ่มขึ้น รูปที่ 6: สถิติการเกิดพายุอ้างตาม World Climate Report จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:11:49

ความคิดเห็นที่ 8 สิ่งที่เราได้ยินและเชื่อว่ามันมีมากขึ้น มันก็เกิดจากจำนวนข่าว ซึ่งจำนวนข่าวขึ้นอยู่กับทั้งปัจจัยการตรวจวัด และความสนใจของผู้บริโภค การพบเห็นข่าวใดข่าวหนึ่งมาก ไม่ได้หมายความว่าเหตุเกิดมากจริง แต่มันแสดงว่าคนในสังคมสนใจเรื่องอะไรมากกว่า ในการ Scale up เพื่อหาความสัมพันธ์ย้อนไปในอดีต จะต้องคิดถึงปริมาณและความถี่สถานีตรวจวัดมาปรับตัวแปรด้วย แน่นอน สถิติของการเกิดพายุที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่บอกว่าไม่มีผล (1)บางทีมันอาจมีผลก็เป็นได้ เพราะการ extrapolate ข้อมูลปัจจุบันย้อนไปอดีตมันก็ต้องมี Error บางทีอาจแค่เพราะ Error ของการตรวจวัดนั้นสูงกว่าเลยมองไม่เห็นผลการเพิ่มของการเกิดความแปรปรวน แต่ (2)นั่นก็หมายความว่า ข้อสรุปว่าการเพิ่มขึ้นของ CO2 ที่ส่งผลถึงการเพิ่มความแปรปรวนภูมิอากาศของ IPCC ก็ยิ่งจะเป็นข้อสรุปที่ไม่มีหลักฐานที่เป็นที่ประจักษ์ใดๆเลย รูปที่ 7: ตำแหน่งของสถานีตรวจวัดอากาศ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:13:22

ความคิดเห็นที่ 9 ส่งท้าย โดยสรุปตรงนี้ ในแง่ของการเพิ่ม/ลดของฝน: มีข้อบ่งชี้ว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยส่งให้เกิดฝนตกมากขึ้นโดยมีหลักฐานรองรับที่ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2 mm ในรอบ 100 ปี ในแง่ความแปรปรวนของภูมิอากาศ: แม้โมเดลจะบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของ Flux พลังงานที่มีการถ่ายเทมากขึ้น ทว่า กลับไม่มีหลักฐานที่เด่นชัดถึงการเพิ่มขึ้นของภัยธรรมชาติ บางทีที่เรารู้สึกเรื่องภาวะโลกร้อน ทั้งหมดนี้มันอาจจะเป็นการคิดไปเอง เป็นแค่เพราะสื่อมีการโหมประโคมข่าวอุทกภัย วาตภัย มากขึ้น และมีความพยายามที่จะโยงทั้งหมดเข้ากับภาวะโลกร้อนก็เป็นได้ อ้างอิง http://en.wikipedia.org/wiki/Rain http://earthobservatory.nasa.gov/GlobalMaps/view.php?d1=TRMM_3B43M# http://bobtisdale.=ไม่ใช่ลิขวิด=.com/2008/07/correlation-between-temperature-and.html http://www.eoearth.org/article/Global_distribution_of_precipitation http://www.worldclimatereport.com/index.php/category/climate-extreme/ http://journals.ametsoc.org/doi/pdf/10.1175/2010BAMS3001.1 บทความเก่า โมเดลจำลองการเกิด Green House Effect: http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/04/X9132979/X9132979.html โมเดลภาวะโรคร้อน ภาคทฤษฏี 2 Greenhouse effect 2 ตามรอย คาร์บอนไดออกไซด์: http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/08/X9533478/X9533478.html แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 21:17:35 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:17:01

ความคิดเห็นที่ 10 เสียดายนิดที่เอาลงได้ช้าไปหน่อย ตอนนี้ก็มาเรื่องน้ำท่วมแล้ว แต่ก็คงมีความชัดเจนกับสิ่งที่พยายามจะสื่อเรื่องค่าเฉลี่ยและการกระจายของฝนนะครับว่า แล้ง ไม่ได้หมายความว่าฝนไม่ตก แต่หมายความว่าเก็บกักน้ำไว้ใช้ไม่ได้ การศึกษาทำบทความย่อมช้ากว่าการนั่งเทียนเสมอ เหอๆๆ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:25:55

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาดู ข้อมูล ครับ ประเด็นแรก - การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทำให้ฝนตกมากขึ้นหรือน้อยลง หากฝน เกิดจาก เมฆ เมฆ เกิดจาก น้ำ บนพื้นผิวโลกหรือ ไอน้ำ ชุ่มชื้นจากป่าเขา ขึ้นไปสมทบกันเป็นเมฆ แน่นอน น้ำที่ได้รับความร้อน มากขึ้นก็จะกลายเป็น ไอน้ำมากขึ้น เมื่อเมฆมากขึ้น ก็ จะกลั่น เป็นฝนมากขึ้น ดังนั้น หากโลกร้อนขึ้นส่งผลให้น้ำทะเล เป็นไอได้ง่ายขึ้น ผลก็คือ ปริมาณฝนก็จะมากขึ้นตาม ประเด็นที่ 2 - การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกทำให้เกิดภัยพิบัติมากขึ้นหรือไม่ ฝนตก ธรรมดา ไม่ได้มากกว่าปกติ หรือไม่ได้ ก่อความเสียหาย จากปริมาณที่มันเคยตกมาก่อน ก็ไม่ถือเป็นภัยพิบัติ แต่ จากผลของประเด็นแรก ฝนที่ตกมากๆ บ่อยๆ หรือติดต่อยาวนาน หรือไปตกในที่ๆ ไม่ใช่ตำแหน่งเก่า หรือไปหนักในที่ๆไม่เคยตกหนัก ล้วนเรียกว่าก่อให้เกิด ภัยพิบัติ ได้ทั้งสิ้นครับ ใครมีอะไรจะเสริมมั่งครับ ผิดถูก ก็ชี้แจงกันไป.. จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 23:45:33

ความคิดเห็นที่ 12 ประการที่ 2 เรื่องเป็นไปได้นี่ไ่ม่แย้งอะไร ปัญหาอยู่ที่ พอจับข้อมูลมาเทียบ วัดหลักฐานไม่ปรากฎชัดขนาดที่กระแสประโคมกันอยู่นี่น่ะสิ การเปรียบเทียบสถิติกับกระแสข่าวทำได้เฉพาะช่วงสั้นๆ ถ้าดึงข้อมูลย้อนยาวไป จะต้องมีการปรับฐานจำนวนสถานีตรวจวัดกับเหตุการณ์ที่เกิดเข้าด้วย การที่มีสถานีตรวจวัดมากขึ้น การค้นพบปรากฏการณ์ก็มีโอกาสมากขึ้นเป็นธรรมดา จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 00:20:42

ความคิดเห็นที่ 13 เหมือนกับว่า เขาพยายามโยง ภาวะโลกร้อน->กระแสน้ำร้อนกระแสน้ำเย็นผิดเพี้ยน->สภาพภูมิอากาศผิดเพี้ยน โดยส่วนตัวผมก็คิดว่าโลกอันกว้างใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายๆด้วยมือคนเท่าไหร่หรอกครับ แต่ว่ามนุษย์จะแพ้ภัยตัวเองต่างหาก ใช้ทรัพยากรหมดเอง ข้าวยากหมากแพง สงครามก็จะตามมา ปล. กระทู้นี้ หว้ากอตัวอย่าง โหวต!!! แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 00:51:12 จากคุณ : Hephaestuz เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 00:48:30

ความคิดเห็นที่ 14 ตรง คห.3 การเพิ่มอุณหภูมิเล็กน้อยอาจจะมีผลมากก็ได้ เขาก็เลยใส่สเกลละเอียด จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 03:48:28 A:116.58.231.242 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 15 ....เยี่ยม จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 07:20:27

ความคิดเห็นที่ 16 มีอ้างอิงให้ตามไปอ่านด้วยขอบคุณครับ จากคุณ : ค้างคาวเฒ่า เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 07:53:42

ความคิดเห็นที่ 17 ด้านพื้นที่ป่า อัตราเติบโตและลดลงของป่าหละ? เทียบเสกลอัตราการเกิดภัยพิบัติด้วยสิ... เพราะถ้าการเปลี่ยนแปลงแม้จะเพียง 0.3 C. ยัง... 1.โลกมันร้อนขึ้นจริง นี่ขนาดแค่มีผลขนาดนี้ ไม่ต้องรอให้มันร้อนขึ้นหรอก แค่นี้ก็ตายหยังเขียดแล้ว. 2.โลกมันก็เหมือนเดินนั่นแหละ แต่เราต่างหากที่.... แสดงว่าคนเรา นับแต่ปรับตัวสู่ยุคโลกาภิวัฒน์มากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งขาดสัญชาติญานเอาตัวรอดต่อธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น เลยเกิดความรู้สึกโทษธรรมชาติง่ายขึ้นด้วย.. ^^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 08:43:40

ความคิดเห็นที่ 18 ตัว Scale ภัยพิบัตินี่เป็นสิ่งที่ขาดอยู่ การอ้างในปัจจุบันมีการใช้ Placebo เยอะมาก ดูสิมันเกิดมากขึ้นนะ แต่ก็ไม่มีการเอาสถิติมาเทียบจริงๆจังๆ แค่ที่ผมหาข้อมูลย้อนไปตามรูปที่ 5 และ 6 นี่ก็เต็มกลืนแล้ว ข้อมูลภัยพิบัติไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆเลย ข้อมูลมีการกระจัดกระจายค่อนข้างเยอะและหยาบๆไม่จัดเป็น Category ละเอียดอย่าง CO2 ณ ปัจจุบันผมไม่สรุปหรอกนะว่าภัยพิบัติไม่ได้เพิ่มขึ้นจริง แต่ผมสรุปได้ว่า ข้อสันนิฐานการเพิ่มขึ้นของภัยพิบัติ ที่เอามาโม้เป็นคุ้งเป็นแควของฝั่งโลกร้อน ไม่มีหลักฐานรองรับ หรืออีกนัยหนึ่ง ทางฝั่งโลกร้อน จำเป็นต้องมาช่วยกันแกะ ชำแหละข้อมูล ใส่หลักฐานลงไปในส่วนการ Claim ว่าภาวะโลกร้อนก่อภัยพิบัติ ให้มากกว่านี้ครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 10:14:06

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : gift is a present เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 11:14:47

ความคิดเห็นที่ 20 ขออนุญาตร่วมแจม กับผู้อาวุโส 1. ประชากรโลกมากขึ้น 2. ป่า(ใบ)ไม้ลดลง 3. ป่าคอนกรีตมากขึ้น 4. มีการใช้ fossil fuel มากขึ้น 5. แสงอาทิตย์มีประมาณเท่าเดิม ไม่เกิน 1000 W/m^2 น้ำทะเลจึงถูกต้มด้วยแสงเท่าเดิม แต่โอกาสในการระบายความร้อนมีน้อยลง เพราะ . . พื้นดินดูดแสงได้น้อยลง โดยเปรียบเทียบใบไม้เท่ากับ แผง solar cell ความสามารถของพื้นดินในการดูดกลืนแสง (l400-700 nm) ย่อมจะน้อยลง ทำให้ อุณหภูมิสิ่งแวดล้อม (ambient) สูงขึ้นได้ =====> ภูมิอากาศ จึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย คือ ฝนถูกอั้นไว้ (อากาศข้างล่างร้อนระอุ) ทำให้แล้ง และตกลงทีละมาก ๆ (เพราะอั้นไม่ไหวแล้ว) จนท่วม อย่างที่เห็น ไม่มีการเฉลี่ย ๆ เหมือนชายทะเล แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 14:12:58 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 14:07:55 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 14:02:51 จากคุณ : อีคิวศูนย์ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 13:31:54

ความคิดเห็นที่ 21 คห 20 นั่นคือข้อสมมุติฐานน่ะครับ ตอนผมค้นเรื่องนี้ ผมเองก็ตั้งข้อสมมุติฐานประมาณคุณ อีคิวศูนย์ว่า แต่ประเด็นคือหลักฐาน ซึ่งถ้าจะเอาให้เชื่อว่าปัญหาภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดภัยพิบัติได้ มันก็ควรมีข้อมูลทางสถิติมาอิง และก็ควรมีโมเดลคณิตศาสตร์ออกมาบ้าง ตัวโมเดลผมแสดงไปแล้วว่า Flux เพิ่มจริงในกระทู้ภาคแรกยังเป็นปัจจัยส่งให้ฝั่งภาวะโลกร้อนด้วยซ้ำ แต่ข้อมูลทางสถิตินี่ไม่ใช่เลย ซึ่งถ้ามีคนที่เชื่อเรื่องภาวะโลกร้อนเข้ามาอ่าน ผมละอยากขอร้องให้ช่วยๆกันเอาข้อมูลเชิงสถิติมารวบรวมเพื่อวิเคราะห์ครับ ข้อมูลไม่ใช่ข่าวแค่เรื่องสองเรื่อง แต่เป็นข่าวที่อ้างอิงย้อนกลับไปได้อย่างน้อยควรสัก 100 ปี และหักลบกับความน่าจะเป็นในการเจอปรากฏการณ์ออกด้วย มีข้อสันนิฐานเพิ่มคือบางทีเหตุการณ์อาจเกิดบ่อยๆได้ในช่วงการ Swing ของอุณหภูมิโลก แต่ข้อมูลที่ละเอียดๆเช่นในคห 6 ไม่ย้อนยาวพอจะใช้เป็นหลักฐาน มันใช้เป็นได้แค่ข้อสังเกต จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 14:20:44

ความคิดเห็นที่ 22 เหมือนเคยฟังใครสักคนมาพูดว่า ประเทศอื่นที่ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าประเทศไทย เค้ายังสามารถจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ไม่แล้งได้ แต่ตั้งแต่ผมจำความได้ มีข่าวอีสานแล้งทุกปี รบกวนถามด้วยครับว่า ในอนาคตมันจะมีวันที่โลกเย็นลงกว่านี้มั้ยครับและอีกนานเท่าไหร่กว่าจะเริ่มเย็น หรือมันจะคงที่ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ หรือจะมีแต่ร้อนกว่าเดิมขึ้นเรื่อย ๆ ครับในช่วงอายุของเรา จากคุณ : แตงโมสีรุ้ง เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 16:29:39

ความคิดเห็นที่ 23 มันจะร้อนที่สุดอย่างไรมันก็ไม่มีทางเกินอุณหภูมิ BlackBody ไปได้ อุณหภูมิสูงสุดจึงมีข้อจำกัดอยู่ เรื่องการไล่ไปถึงความผิดปรกติรูปแบบอุณหภูมิที่ขึ้นๆลงๆนี่ผมไปไม่ถึง มันจำเป็นจะต้องแกะไปจนระดับจำลองการไหลเวียนของกระแสลมและกระแสน้ำในมหาสมุทรเป็นอย่างน้อยจึงจะบอกได้ แต่ถ้าดูจากสถิติในอดีต ไม่ช้าไม่นานก็อาจจะมีการพลิกกลับอย่างรุนแรงก็เป็นได้ ตรงนี้ถกกับคุณ กาลามะชน แกน่าจะตอบได้ดีกว่า เพราะเชิงสถิติแกมีข้อมูลมากกว่าผม จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 18:26:55

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับผม จากคุณ : tus_sks เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 15:26:00

ความคิดเห็นที่ 25 แล้วที่เค้าประโคมข่าวว่า น้ำแข็งขั้วโลก ธารน้ำแข็งกรีนแลนด์ และตามยอดเขาสูงต่าง ๆ ละลายไปมาก ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้จริงเท็จแค่ไหนครับ เท่าที่ผมลองคิดดู อุณหภูมิเพิ่มขึ้นแค่ประมาณไม่ถึง 1 องศาเซลเซียสในรอบร้อยกว่าปีนี้ ไม่น่าทำให้น้ำแข็งละลายอย่างมีนัยสำคัญขนาดนั้น เพราะสถานที่เหล่านั้นอุณหภูมิน่าจะติดลบแบบเยอะ ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในฤดูร้อน มีข้อมูลเฉลี่ยอุณหภูมิแบบแยกตามพื้นที่, ข้อมูลระดับน้ำทะลที่เปลี่ยนไปในรอบร้อยปีที่ผ่านมา เอามาวิเคราะห์ร่วมด้วย น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นครับ จากคุณ : เตยทะเล เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 08:36:43

ความคิดเห็นที่ 26 มันมีการละลายจริง ที่ระดับ 1.7 mm ต่อปีจากประวัติปี 1870 ครับ http://climate.nasa.gov/keyIndicators/index.cfm#SeaLevel แต่ตรงนี้คุณกาลามะชนเขาก็เคยบ่งชี้ว่ามันน่าจะเป็นกลไกการย้อนกลับของยุคน้ำแข็งย่อยก็เป็นได้ ประเด็นในเรื่องโลกร้อน ถ้าไล่หัวข้อดู * ภาวะโลกร้อนเกิดจากมนุษย์หรือเกิดจากธรรมชาติ หรือเป็นการผสมผสาน (ศึกษากลไก) * ผลของการเพิ่มอุณหภูมิโลกมีผลกระทบต่ออะไรบ้าง และในทิศทางไหน * ภาวะจำกัดของภาวะโลกร้อนอยู่ที่ใด (อุณหภูมิไม่มีทางเพิ่มแบบไร้ขีดจำกัด) ทั้ง 3 หัวข้อ ก็มีหัวข้อย่อยๆออกไปค่อนข้างมาก ต้องมีคำตอบทั้งทางทฤษฏี และการวัดผล โดยตัดการคิดทึกทักไปเองออกไป แม้แต่การพบว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจริงก็ไม่ใช่ว่าจะสรุปเอาง่ายๆว่าโลกร้อนเกิดจากฝีมือมนุษย์ แม้แต่จะสรุปว่ามันมาจากการที่อุณหภูมิสูงขึ้นก็ยังไม่ได้ถ้าไม่มีทฤษฏีรองรับ โดยข้อสันนิฐานนะครับ จากโมเดลภาวะโลกร้อนของผมเอง Flux พลังงานมีการเปลี่ยนแปลงในระดับสูง แม้อุณหภูมิจะไม่สูงตาม แต่ถ้าจุดสมดุลของอุณหภูมิโลกอยู่สูงกว่าระดับปัจจุบัน Flux พลังงานเหล่านี้จะเป็นตัวเร่งให้เข้าถึงจุดสมดุลอุณหภูมิได้เร็วขึ้น หรือการละลายอาจไม่เกี่ยวกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา แต่อาจเกี่ยวกับกลไกการพาความร้อนเช่นฝนที่จะทำให้การละลายที่เป็นไปช้าๆเกิดได้เร็วขึ้นครับ ถ้ามันเป็นไปตามข้อสันนิฐานนี้ ต่อให้คง Carbondioxide ไว้ ณ ระดับปัจจุบัน อุณหภูมิเฉลี่ยโลกและระดับน้ำทะเลก็จะยังสูงขึ้นอยู่ดีที่อัตราที่เสมือนช้าลงจนกว่าจะถึงจุดสมดุลพลังงานของโลก จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 12:44:18

ความคิดเห็นที่ 27 สร้างเขื่อนสูญต้นไม้ที่เขื่อน 100ต้น แต่ไปสร้างต้นไม้ที่อื่นอีกนับไม่ถ้วน จากคุณ : ทิดชา เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 13:34:21

ความคิดเห็นที่ 28 อ่านกระทู้นี้แล้วใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย จากคุณ : ไตรตรึงษ์สวรรค์ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 53 00:38:30

ความคิดเห็นที่ 29   ตามมาอ่านกระทู้ดีมีสาระ จากคุณ : say a words เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 53 12:50:38

ความคิดเห็นที่ 30 มีกระทู้แนวนี้ 2 คนอีกคนนึงคือคุณกาละมะชนขานั้นหายไปนานไม่รู้ซุ่มทำโปรเจคอ่ะไรอยู่หรือรอหน้าหนาวหว่า ฮี่ ๆ  แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 53 20:09:26 จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 53 20:09:05

ความคิดเห็นที่ 31 ผมคิดตามแล้วค่อนข้างจะเห็นด้วยว่า ชั้นบรรยากาศเป็นส่วนสำคัญในกลไกการถ่ายเทความร้อนออกจากโลก เพราะความร้อนจะออกจากโลกได้วิธีเดียวคือการแผ่รังสี โดยประกอบด้วยการแผ่รังสีจากพื้นโลก(ส่วนเป็นของแข็งและน้ำ) และการแผ่รังสีจากส่วนที่เป็นแกสคือชั้นบรรยากาศ ซึ่งการแผ่รังสีจากพื้นโลกจะถูกจำกัดด้วยพื้นที่ผิวของโลก ตามสมการ q = σ A < T p4 > แต่ส่วนบรรยากาศ ซึ่งเป็นแกสต่างๆสามารถแผ่รังสีผ่านทุลุกันและออกไปได้ไม่ถูกจำกัดอยู่แค่พื้นที่ผิวของชั้นบรรยากาศ สมการการแผ่รังสีก็ซับซ้อนกว่านี้และแผ่รังสีได้มากกว่า อีกประเด็นที่เห็นด้วยซึ่งเป็นประเด็นที่เสริมความสำคัญของของชั้นบรรยากาศในการถ่ายเทความร้อนออกจากโลก คือการที่พื้นโลก(ส่วนที่เป็นของแข็งและน้ำ)จะถ่ายเทความร้อนส่วนใหญ่ให้กับชั้นบรรยากาศ (โดย 3 วิธีคือการนำความร้อน, การพาความร้อน และขบวนการกลายเป็นไอ) แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วความร้อนจะออกจากโลกได้ก็ด้วยการแผ่รังสีเท่านั้นและส่วนใหญ่จากส่วนบรรยากาศ จึงต้องมาพิจารณาว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับการแผ่รังสีของแกส ซึ่งที่ว่าแกสสามารถแผ่รังสีผ่านกันและกันได้นั้นไม่ใช่ ผ่านได้ทั้งหมด ยังมีส่วนที่ดูดกลืนไว้และส่วนที่สะท้อนไปมาอยู่ในกลุ่มแกส ซึ่งแกสแต่ละอย่างมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และที่ว่า แกสคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกก็คงหมายถึงตรงนี้หรือเปล่าครับ จากคุณ : peterfly เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 53 00:40:00 A:1.46.251.179 X: TicketID:276814

ความคิดเห็นที่ 32 ก๊าซที่เกี่ยวข้องสำคัญคือน้ำกับคาร์บอนไดออกไซด์ โดยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มี Band Gap การรับรังสีเหลื่อมออกมาจากน้ำ การพาความร้อนให้ไปด้านบนก้อนเมฆนั้น ตัว Atmospheric height ของการแผ่รังสีก็จะสั้นลง ก็จะผ่านออกสู่บรรยากาศโดยไม่ต้องมีการ Sequence กับไอน้ำได้ ก็เรียกว่าเป็นการลัดขั้นตอนการแผ่รังสีออกจากระดับพื้นโลกที่จะต้องมีการ Sequence ผ่านชั้นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ ซึ่ง ก็มีอธิบายไว้เป็นส่วนใหญ่แล้วในกระทู้ภาค 1 ครับ ช่วงเวลานี้น่าจะเป็นช่วงเวลาเหมาะของคุณ กาลามะชน เลยทีเดียว แกอาจจะกำลังรอคนมาบอกฤดูหนาวสุดๆนี่เพราะภาวะโลกร้อนก็เป็นได้ เรียกว่าแกเน้นจะถล่มกับพวกที่สติเตลิดตามกระแสเป็นหลัก (พวกที่ตั้งกระทู้ถามนี่ผมไม่เรียกว่าสติเตลิดนะ ผมหมายถึงพวกที่สรุปไปเองแล้วประเภท เห็นมั๊ยว่าโลกเราวิปริตขนาดนี้แล้ว บลาๆๆดังนั้นจงเชื่อในโลกร้อน) ส่วนตัวผมเน้นการให้แนวทางความเข้าใจทฤษฏีมากกว่า และผมก็ไม่สนด้วยซ้ำว่าใครจะอยู่ฝั่งไหน แค่ของให้มันมีพื้นฐานทางวิชาการ และมีการค้นคว้าด้วยตัวเองกันต่อไม่ใช่คลั่งชาบูชาบูกันไปวันๆ สักวัน เราน่าจะได้ทางออกและบทสรุปที่เป็นความจริงกันครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 53 10:37:54

ความคิดเห็นที่ 33 นิยามของ ก๊าซเรือนกระจก คัดลอกมาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Greenhouse_gas A greenhouse gas (sometimes abbreviated GHG) is a gas in an atmosphere that absorbs and emits radiation within the thermal infrared range. This process is the fundamental cause of the greenhouse effect.[1] The primary greenhouse gases in the Earth's atmosphere are water vapor, carbon dioxide, methane, nitrous oxide, and ozone. In the Solar System, the atmospheres of Venus, Mars, and Titan  also contain gases that cause greenhouse effects. Greenhouse gases greatly affect the temperature of the Earth; without them, Earth's surface would be on average about 33 °C (59 °F)[note 1] colder than at present.[2][3][4] Since the beginning of the Industrial revolution, the burning of fossil fuels has substantially increased the levels of carbon dioxide in the atmosphere.[5] จากคุณ : peterfly (peterfly) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 53 20:56:06

ความคิดเห็นที่ 34 รูปประกอบ จากคุณ : peterfly เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 53 20:59:45

ความคิดเห็นที่ 35 อ่านนิยามนี้แล้วกลายเป็นว่าไอน้ำที่มากขึ้นยิ่งทำให้โลกร้อนขึ้น จากคุณ : peterfly เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 53 21:25:04

ความคิดเห็นที่ 36 นิยามนั้นถูกต้อง เวลาพูดถึงก๊าซเป็นรายตัวไป แต่เวลาพูดถึงส่วนผสมของกลุ่มก๊าซแล้ว มันต้องเอา Absorption Bandgap ขึ้นมาดู ซึ่งเมื่อพูดถึงก๊าซผสม และการมีน้ำในอากาศเกิน 100 ppm มีเธน จะไม่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนเลย คาร์บอนไดออกไซด์นั้นมีผลเพราะมันมีช่วง ฺBandgap ที่น้ำดูดซับไม่หมด ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ดูดซับในส่วนนั้น การดูดซับ ก็คือรับเข้าสู่โมเลกุลของ CO2 และแผ่ออกเป็นรังสีความร้อนทุกทิศทาง ถ้ารังสีเข้ามา 200 W อยู่ในช่วงที่ CO2 ดูดซับได้ 10 W สิ่งที่เกิดคือ รังสีผ่านสู่โลกตรงๆ 190 W ดูดซับโดยคาร์บอนไดออกไซด์ 10 วัตต์ และแผ่ออกในช่วง IR เข้าสู่โลก 5 W กลับสู่อวกาศ 5 W จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 53 21:30:22