ความคิดเห็นที่ 1 กล้องก็จะวัดขนาดรูม่านตาเราอีกทีครับ จากคุณ : PyDE เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 12:01:47

ความคิดเห็นที่ 2 ผมไปตรวจที่โรงบาลมา ก้อเอาหน้าไปวางหน้ากล้อง ตรวจตาเมหือนกัน แต่ไม่เห็นมีรูปกระท่อมอะไร เห็นแต่ สว่างอย่างเดียว พักหนึ่งหมอก้อบอกว่า เสร็จแล้ว ... เขียนสั่งตัดแว่นให้เลย ควักจ่ายไปสามพันแปดรวมแว่น ผมหายใจไม่สะดวกเลยครับ 3800 บาท ไม่คิดว่าจะขนาด นั้นอ่ะครับ ... ดีนะไม่มีภูเขากระท่อมให้ดูในกล้อง ไม่งั้น คงแพงกว่านี้อีกแน่นอนเลยผมว่า... แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 53 12:53:07 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 12:45:50

ความคิดเห็นที่ 3 อ้าว กรรมๆๆ โทษครับๆ ผมกดผิด ช่วยมาเขียวที พอดีจะแดงอีกทู้นึง จากคุณ : arsarn เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 13:00:25

ความคิดเห็นที่ 4 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 13:04:26

ความคิดเห็นที่ 5 รู้ตัวผีไฟแดงในห้องนี้แระ จากคุณ : Moonui เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 13:10:38

ความคิดเห็นที่ 6 มันต้องลองเลนส์อีกทีนี่ ที่ให้มองบอร์ดตัวเลขน่ะ เครื่องวัดมันโอเวอร์นะผมว่า จากคุณ : คนมาบแค เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 14:00:10

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่แน่ใจว่าเครื่องเดี๋ยวนี้ทันสมัยแค่ไหนนะครับ แต่ทางที่ดีหมอควรใช้วิธีแบบดั้งเดิม ทดลองเปลี่ยนเลนส์ไปเรื่อยๆจนชัดที่สุด แบบที่ให้เราอ่านตัวอักษารเล็กใหญ่น่ะครับ สำหรับการตัดแว่นน่าจะเป็นแบบนั้น หากวัดด้วยเครื่องผมว่ายังไม่แม่นยำพอที่จะตัดแว่น จากคุณ : Tamจัง เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 14:02:24

ความคิดเห็นที่ 8 ที่ผมตัดใช้ทั้ง 2 วิธีครับ ใช้เครื่องวัดเพื่อให้การทดลองเปลี่ยนเลนส์ทำได้เร็วขึ้น จากคุณ : Phantom thief เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 14:04:43

ความคิดเห็นที่ 9 เอ่อ...มีไม่เชื่อเครื่องกันด้วย ตลกดี จากคุณ : meddy hao เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 14:14:21

ความคิดเห็นที่ 10 ตอนไปวัดสายตากันหลายคน ก็เลยได้เห็นอีกด้านของเครื่องวัดสายตา อีกฝั่งจะเป็นภาพจากกล้องโทรทัศน์ที่ถ่ายภาพตาของเราอยู่ มีจอยสติกควบคุมอยู่ ผู้วัดสายตาจะโยกจอยสติกให้วงกลมในจอภาพไปทาบที่รูม่านตาของเรา เหมือนเล็งเป้าในเกม แล้วก็กดปุ่ม ทำอยู่ 2-3 ครั้งก็เสร็จแล้ว แสดงว่าเครื่องมันน่าจะมีโปรแกรมที่ทำการวัดค่าต่าง ๆ เป็นลำดับ จากคุณ : Mr. SJ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 14:49:00

ความคิดเห็นที่ 11 จะให้เชื่อเครื่องได้ไงผมสั้นไม่ถึงร้อย มันเล่นบอกว่าผมสั้นร้อยห้าสิบ จากคุณ : คนมาบแค เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 15:08:24

ความคิดเห็นที่ 12 เคยถามเขาบอกว่าใช้ Laser ขออีกรอบเขาบอกต้องรอ 1 เดือน ให้ม่านตาหายก่อน เสียค่าโง่ไปสามพันกว่า ทั้งที่สายตาไม่สั้น จากคุณ : DVB เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 15:44:52

ความคิดเห็นที่ 13 เครื่องได้มาค่าหนึ่ง เอาแว่นเก่าไปวัดได้มาค่าหนึ่ง สรุป ตัดตามที่เอามาลองแล้วชัด ไม่ใช่ทั้งสองค่า 555 จากคุณ : nutxnut เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 15:58:59

ความคิดเห็นที่ 14 ทำไม วันนี้ กระทู้สายตาสั้นเยอะจัง...กระทู้ที่สามแล้วนะนี่ หุหุ เครื่องวัดค่าความคลาดเคลื่อนของการหักเหแสงอัตโนมัติ ครับ ... พยายามแปลจัง คือ Autorefractometer (ใช้คำนี้รึเปล่าหว่า) ก็คือ...ต้องย้อนกลับไปหา คำว่า สายตาสั้น ยาว เอียง ก่อน จะรวมๆ เรียกว่า Refractive error ใครเรียนฟิสิกส์เรื่องแสง มานิดๆ หน่อยๆ ก็คงพอทราบครับ การ Refraction เป็นสมบัติหนึ่งของแสง คือ การหักเหของแสง เมื่อแสงผ่านตัวกลางที่ต่างกัน ปกติ แสง จะ หักเห เข้าไปในลูกตา แล้วไปตกลงจุดโฟกัส ที่ตำแหน่งตรงจอตา เป๊ะ...เมื่อไร ที่ไม่เป๊ะ ก็จะเรียกว่า มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น ... ซึ่งที่มีผลต่อการมองเห็นมาก คือ Refractive error  นี่เองครับ คือมือที่วัดค่า ความคลาดเคลื่อนนี้ ก็เรียกว่า Retinoscope ครับ เป็นการวัดด้วยผู้ตรวจ เป็นวิธี manual ครับ ... ซึ่งก็ขึ้นกับความชำนาญของคนวัดเป็นหลัก ก็เลยมีเครื่องอัตโนมัติ ก็คือ เครื่องที่เห็นตามร้านที่มีการตัดแว่น ทั้งนั้นแหละครับ...เอาคางวาง แล้วให้มองเข้าไป ... ไม่ว่าจะเป็น กระท่อม บอลลูน จุดไฟ ... อะไรก็ตามแต่ เพื่อดูว่า แสงมันตกไปลงบนจอตา "เป๊ะ" หรือไม่...ไม่ใช่เลเซอร์นะครับ ขอย้ำ... และไม่ได้วัดค่าของรูม่านตาด้วย... จะมีกล้องอินฟราเรด ที่ทำให้ไม่ต้องเปิดไฟส่อง ก็เห็นลูกตาได้ เพื่อคนวัด จะได้ เล็งได้ว่า ตำแหน่งไหน เป็นกลางรูม่านตา...แล้วเครื่องก็จำวัดค่าความคลาดเคลื่อนดังกล่าวนี้ครับ เนื่องจากว่า ผู้ถูกตรวจ จะต้องจ้องมองที่จุดที่ให้มอง...การที่เพ่ง อาจทำให้ค่าความคลาดเคลื่อนนี้ ผิดพลาดได้ครับ เพราะกลไกการเพ่ง ทำให้ลูกตา เปลี่ยนรูปร่างไปเล็กน้อย มักจะวัดได้ค่า เป็น ลบ กว่าความเป็นจริงครับ ดังนั้น ไม่ควรเพ่ง แบบ เพ่งให้เห็นน่ะครับ มองไปตรงๆ ไกลๆ แล้วภาพในช่องนั้น จะชัดขึ้นเรื่อยๆครับ เพราะเครื่องก็จะพยายาม หาจุดที่โฟกัสชัดที่สุดครับ ก็จะได้ตัวเลขมาค่าหนึ่ง...ส่ิงที่สำคัญกว่า คือ ต้องมีการ "ลองแว่น" ครับ (Subjective refraction) เพราะค่าที่ได้จากเครื่องอาจผิดพลาดไปได้บ้างครับ ... เราจะใส่แว่นครับ เราไม่ได้ต้องการตัวเลข คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับ จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 16:23:20

ความคิดเห็นที่ 15 #11 แล้วคุณทำยังไงถึงรู้ว่าจริงๆแล้วสั้นไม่ถึงร้อย เครื่องมันก็มีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่แล้ว แต่มันก็น่าจะแม่นยำและสะดวกกว่าวิธีอื่น ไม่งั้นเค้าไม่สร้างขึ้นมาหรอก หลักการทำงานก็มี ไม่ใช่มั่วขึ้นมา คนไม่รู้ก็อาจจะดูว่าเวอร์ เทียบกับการ X-ray ซึ่งก็มีผิดพลาดได้ และไม่ได้ทำให้รู้ให้เห็นหมดทุกอย่าง ถ้าหมอเห็นว่าควรทำ แต่คุณปฎิเสธบอกว่าไม่เชื่อ มันมั่ว แล้วแบบนี้จะเป็นไง จากคุณ : meddy hao เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 18:18:18

ความคิดเห็นที่ 16 วัดสายตาตัดแว่นใหม่มาทุกปี ก็สงสัยเหมือนกันว่าใช้เครื่องวัดแล้วทำไมยังต้องใช้วิธีดั้งเดิมตอนจบทุกครั้งทุกที่ด้วย ล่าสุดเลยขอดูตัวเลขพบว่าค่าเครื่องวัดกับการทดลองแว่นไม่เท่ากัน ช่างบอกว่าใช้ค่าจากเครื่องวัดเป็นค่าลองเริ่มต้นเพื่อให้เร็วขึ้นเท่านั้นสุดท้ายยังต้องลองสวมเลนส์แบบดั้งเดิมและยึดค่าจากการทดลองเลนส์เป็นคำตอบสุดท้าย  ซึ่งค่าที่ลองกับเลนส์จริงมันชัดและสบายตากว่าจริงๆ จากคุณ : ลิงจุ่น เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 18:31:35

ความคิดเห็นที่ 17 ผมเชื่อค่าจากเลนส์ที่ลองสวมแล้วมองภาพครับ ผมเป็นคนมองเองและเห็นเองว่าชัด หรือผมเห็นว่าชัดแล้ว ไม่ควรเชื่อตัวเองต้องเชื่อเครื่องครับ จากคุณ : คนมาบแค เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 19:17:24

ความคิดเห็นที่ 18 ร้านแถวบ้านผม เขาไปนั่งลองสลับเลน แล้วดูว่าเลขในสีเขียวหรือแดงชัดกว่าอีกรอบหลังจากไปนั่งเพ่งกระท่อมอ่ะครับ แต่เขาบอกไม่ควรตัดตรงสายตาเป๊ะๆ มันจะมองตกสูงตกต่ำ ผมไม่รู้จริงหรือเปล่า จากคุณ : devilnaked เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 01:25:43

ความคิดเห็นที่ 19 เพิ่มเติม จาก คคห.ที่ 18 ครับ การดู สีเขียว หรือ สีแดง ว่า อันไหนชัดกว่า เป็นการวัดอย่างละเอียดครับ (Fine adjustment) โดยปกติ เราเห็นสีแดง กับ สีเขียว มีความเหลื่อมกันเล็กน้อยครับ คล้ายกับการมองภาพสามมิติ ครับ คือ แสงแต่ละสี มีความยาวคลื่นไม่เท่ากัน ทำให้ ตกลงบนจอตา ต่างตำแหน่งกัน...เรียกว่า...หุหุ จำไม่ได้ครับ Chromosteropsis หรืออะไรประมาณนี้อะครับ...หุหุ ขออภัยครับ แต่โดยทั่วไปแล้ว ถ้าตัดแว่น ก็ไม่ถึงกับต้องแยก ความชัด หรือวัดค่าที่แม่นยำขนาดนั้นครับ ถ้าใครเคยทำ LASIK จะทราบครับ ก่อนทำ จะมีการวัดค่าสายตา อย่างละเอียดมากๆ ก่อนครับ โดยใช้ กระจกกลมๆ เล็กๆ พลิกไปๆมาๆ เรียกว่า Jackson flip mirror ครับ เป็นการหาค่า refractive error ที่มีความละเอียด และแม่นยำมากขึ้นไปอีกครับ จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 01:47:40

ความคิดเห็นที่ 20 ตอนจบก็ต้องลองแว่นให้สบายที่สุด เราสั้นประมาณ 1000 ก็เลือกแบบพอสบายๆ ไม่งั้นตายเลย จากคุณ : 0-0 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 02:26:08 A:58.9.233.254 X: TicketID:213384

ความคิดเห็นที่ 21 # 15 ผมอยากจะบอกว่า พวกค่าที่วัดได้จากอุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่ใช่ว่าจะดีกว่าการวัดด้วยระบบ manual แบบโบราณเสมอไปหรอกครับ ยกตัวอย่างง่ายๆเลย เครื่องวัดความดันแบบที่มีลูกยางบีบด้วยมือ แล้วก็ใช้ฟังเสียงด้วย stethoscope เนี่ยให้ค่าความดันที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่าการวัดด้วยเครื่องอัตโนมัติมากๆ ยิ่งเวลาที่คนไข้ช็อคความดันต่ำมากๆ หมอแทบจะไม่ใช้เครื่องอัตโนมัติเลย เพราะรู้ว่ามัน error ได้มาก เทียบการการวัดด้วยมือที่เราได้ยินเสียงเองดีกว่าเยอะ ส่วนเรื่องการวัดสายตาเนี่ย วิธีแบบโบราณใช้การนำเลนส์มาวางที่ตาโดยตรง ซึ่งดีกว่าการวัดด้วยเครื่อง เพราะต้องไม่ลืมว่า แว่นตาที่ดีที่สุดไม่ใช่แว่นที่เลนส์มีกำลังขยายใกล้เคียงกับค่าสายตาจริงมากที่สุด แต่เป็นแว่นที่ทำให้ผู้ใส่มองเห็นภาพได้ชัดที่สุดโดยที่ไม่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เห็นพื้นสูงไม่เท่ากัน ฯลฯ (ผมเองสายตาสั้น ข้างขวา 600 ข้างซ้าย 350 ก็ต้องใส่แว่นที่มีกำลังขยาย 500 / 300 เพราะถ้าใส่ตรงกับสายตาจะเวียนหัวมาก และเห็นพื้นไม่เท่ากัน) ซึ่งการวัดด้วยเครื่องจะไม่สามารถบอกได้ต้องลองเอาเลนส์มาวางที่ตาเท่านั้นครับ ดังนั้นโปรดอย่าดูถูกวิธีการรักษาแบบโบราณที่ใช้มากว่า 100 ปีเลยครับ มันอาจจะชักช้าและยุ่งยากกว่า แต่ถ้ามันใช้ไม่ได้ผลจริงๆ หมอทั่วโลกคงเลิกใช้ไปนานแล้วครับ จากคุณ : นศพ. เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 11:28:40 A:10.7.79.20 X:202.28.181.200 TicketID:294725

ความคิดเห็นที่ 22 # 15 ผมอยากจะบอกว่า พวกค่าที่วัดได้จากอุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่ใช่ว่าจะดีกว่าการวัดด้วยระบบ manual แบบโบราณเสมอไปหรอกครับ ยกตัวอย่างง่ายๆเลย เครื่องวัดความดันแบบที่มีลูกยางบีบด้วยมือ แล้วก็ใช้ฟังเสียงด้วย stethoscope เนี่ยให้ค่าความดันที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่าการวัดด้วยเครื่องอัตโนมัติมากๆ ยิ่งเวลาที่คนไข้ช็อคความดันต่ำมากๆ หมอแทบจะไม่ใช้เครื่องอัตโนมัติเลย เพราะรู้ว่ามัน error ได้มาก เทียบการการวัดด้วยมือที่เราได้ยินเสียงเองดีกว่าเยอะ ส่วนเรื่องการวัดสายตาเนี่ย วิธีแบบโบราณใช้การนำเลนส์มาวางที่ตาโดยตรง ซึ่งดีกว่าการวัดด้วยเครื่อง เพราะต้องไม่ลืมว่า แว่นตาที่ดีที่สุดไม่ใช่แว่นที่เลนส์มีกำลังขยายใกล้เคียงกับค่าสายตาจริงมากที่สุด แต่เป็นแว่นที่ทำให้ผู้ใส่มองเห็นภาพได้ชัดที่สุดโดยที่ไม่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เห็นพื้นสูงไม่เท่ากัน ฯลฯ (ผมเองสายตาสั้น ข้างขวา 600 ข้างซ้าย 350 ก็ต้องใส่แว่นที่มีกำลังขยาย 500 / 300 เพราะถ้าใส่ตรงกับสายตาจะเวียนหัวมาก และเห็นพื้นไม่เท่ากัน) ซึ่งการวัดด้วยเครื่องจะไม่สามารถบอกได้ต้องลองเอาเลนส์มาวางที่ตาเท่านั้นครับ ดังนั้นโปรดอย่าดูถูกวิธีการรักษาแบบโบราณที่ใช้มากว่า 100 ปีเลยครับ มันอาจจะชักช้าและยุ่งยากกว่า แต่ถ้ามันใช้ไม่ได้ผลจริงๆ หมอทั่วโลกคงเลิกใช้ไปนานแล้วครับ จากคุณ : นศพ. เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 11:28:56 A:10.7.79.20 X:202.28.181.200 TicketID:294725

ความคิดเห็นที่ 23 ต้องใช้ทั้งสองวิธีนะเราว่า..เครื่องมันคงไม่ตรงขนาดนั้นอ่ะ.. จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 11:36:33

ความคิดเห็นที่ 24 เคยไปตัดแว่นในห้างสยามดิสฯ ร้านเครือเดียวกับท๊อปเจริญ แต่ไม่ได้ใช้ชื่อร้านว่าท็อปเจริญ ตัดออกมาห่วยมาก เหมือนไม่ได้ใส่แว่นเลย ต้องไปเสียเงินตัดที่่อื่นใหม่ จากคุณ : Dequardo เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 13:28:16

ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อวัดสายตาครั้งล่าสุด เจ้าเครื่องที่ว่าบอกว่าตาเราแพ้แสงอีกด้วยแน่ะ จากคุณ : anthurium เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 15:51:37

ความคิดเห็นที่ 26 ตอนผมไปตัดล่าสุด ทั้วเครื่อวัดอัตโนมัติ อ่านเลข สีแดงเขียว แต่ตกม้าตายตอนเลือกเลนส์สุดท้าย มันมีสองตัวที่จะใส่ได้ ผมไปเลือกตัวอ่อนไปหน่อย เพราะกลัวปวดตา แต่ก็โอเค แต่ภาพในระยะไกลๆ ไม่ค่อยคมเท่าไร จากคุณ : atheist เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 15:52:32

ความคิดเห็นที่ 27 มันเอาไว้กะแบบคร่าวๆครับ เพราะเวลาตัดแว่น เอาอันที่เหมาะกับสายตา ใส่สบายครับ เอาเลนส์เบอร์เดียวกับที่วัดมาใส่ แล้วลองสลับไปเรื่อย ดีขึ้นมั๊ย แย่ลงมั๊ย อันไหนดีกว่า นี่ใส่เอียงช่วยด้วยนะ นี่ไม่เอียงเลย...... วัดรอบเอวได้เท่านั้นเท่านี้ แต่กางเกงที่ใส่แล้วรู้สึกสบาย ไม่จำเป็นต้องเท่ากับเอวนี่ครับ จากคุณ : โลหการ4 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 21:07:14

ความคิดเห็นที่ 28 กระทู้ดีมีความรู้ มากๆๆ ครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 10:51:16