ความคิดเห็นที่ 1 ผมอยู่ในกลุ่ม 2 แต่ไม่ได้สายคอมพิวเตอร์ อยากเรียนด้านนี้ด้วยแต่มันเรียนได้ที่ละคณะนี่สิ จากคุณ : Phantom thief เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 11:48:49

ความคิดเห็นที่ 2 ผมชอบเด็กประเภทที่ 2 นี้มากเลย เวลาให้ทำงานอะไร ทำ Project จะออกมาดีมาก ๆ แต่มันหายากเหลือเกิน รุ่นนึงจะมีแค่ 1-2 คนเอง จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 12:10:41

ความคิดเห็นที่ 3 แบบ 2 สิครับ   คนที่ทำงานได้ดี คือคนที่รัก และคลั่งไคล้งานที่ทำ จากคุณ : AIM-9X เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 12:26:16

ความคิดเห็นที่ 4 ผมอยู่กลุ่ม 2 แต่ผมไม่ยังกะรุ่งเท่าไร แหะ จากคุณ : Calamelman #4 (O-BoteJama) เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 12:55:02

ความคิดเห็นที่ 5 1 ครับ ฟันธง เพราะ 2 มันได้ไม่เกิน C เลย แสดงว่าเกรดไม่ถึง 2.00 ซิ่วแน่ๆครับ ^^ ------------------------------------- เข้าเรื่องดีกว่า ไม่ต้องคิดมากเลยครับ 2 ชัวร์ๆ ถึงแม้คนแบบ 1 จะเก่ง และศึกษามากเพียงใด แต่เซ้นของเค้าก็สู้แบบ 2 ไม่ได้หรอกครับ อีกทั้งความชอบในวิชาอีก ที่ผมเคยเรียนมา คนเก่งๆมากมาย มาเจอ C# ก็กลายเป็น C+ ไปล่ะครับ ส่วนคนที่ D D+ C วิชาหลักๆ แต่เก่งคอมเค้าก็ยังทำ C# ให้เป็น A ได้ครับ จากคุณ : คิดชื่อนานมากๆ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 12:56:29

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าเป็นไปได้ ทุกที่เขาก็อยากได้แบบ1+2 นี่ครับ ทั้งพื้นฐานดี และทำงานเป็น จากคุณ : Shineokung เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 13:19:18

ความคิดเห็นที่ 7 พอๆกันทั้งสองแบบ 1. บางคนเรียนเก่ง แต่ไม่เชียวเรื่องคอม พอมาเรียน คนมันเรียนเก่งอะครับ เรียนอะไรก็เก่ง สุดท้ายมันเก่งทั้งเรียนเก่งทั้งคอม 2. พวกนี้เกรดจะต่ำหน่อย แต่เอาตัวรอดได้ ทำงานได้ จากคุณ : Teerarod เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 13:23:09

ความคิดเห็นที่ 8 เท่าที่ ผมทำงาน มาแบบแรก มันก็มี เรียน พอจบ code เขียนไม่ค่อยจะได้แต่เกรดดีพอสมควร ก็เป็นระดับคนธรรมดาแหล่ะครับ พอถูๆไถๆไปได้เพราะเกรดดี ความรู้ที่เรียนมาคือ อาจาร์นหมดเมื่อเรียนจบ เอาความรู้ที่ติดตัวไปใช้ไม่ได้ แบบที่ สองพวก เขียน code เป็นส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เกรดจะห่วย ทฤษฏีจะไม่สนใจ ก็เลยไม่สามารถเอาสิ่งใหม่ๆ มาปรับช้ได้ แต่ก็ทำงานได้ แบบที่ สาม เป็น ทั้งสองแบบ ฟิวชั่น เก่งทุกอย่างพยาหาอะไรใหม่ๆ มาปรับใช้เสมอๆ เกรดค่อนข้่างดีเำพราะมันเก่งทุกอย่าง คนแบบนี้รุ่นนึงจะมีซัก 2-3 คน ไปรุ่งสุดๆ จากคุณ : CoCoMo เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 14:10:26 A:125.24.14.171 X: TicketID:222189

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่เกี่ยวกับคนทั้งสองประเภทครับ ประสบการณ์ในการทำงานและโอกาสของชีวิต มีผลทำให้รุ่งหรือร่วงมากกว่า แล้วที่เคยเจอมา พวกประเภท 2 มักจะมีความเป็นศิลปินในตัวมาก บางครั้งมากจนเกินไป ทำงานเข้ากับทีมไม่ได้ ทำงานตามอารมณ์ ไม่สนใจกำหนดเวลา และความต้องการของลูกค้า ไม่สามารถคอนโทรลให้อยู่ในระบบได้ ชอบแหกกฏ ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทในไทยจะไม่ใช่อย่างกูเกิ้ล ซึ่งมีทรัพยากรเหลือใช้มากพอที่จะซัพพอร์ตคนพวกนี้ได้ เท่าที่เห็นคนประเภท 2 นี่จะไปเป็นฟรีแลนซ์ ทำโปรเจคก็เยอะมาก แต่ก็ไม่ค่อยจะได้พัฒนาตัวเองเท่าไหร่ จมอยู่กับการเป็นคนรับจ้างทำ สุดท้ายก็ไม่ก้าวหน้าไปไหนในชีวิต นอกจากจะมีความสามารถในประเภทที่ 1 มาผสมบ้าง อันนี้จะค่อนข้างไปรุ่งทีเดียว ไอคิว อีคิว ความมีระเบียบวินัย ต้องมีผสมกันครับ ถึงจะไปรุ่ง มีดานใดด้านหนึ่ง ก็มักจะไม่สมดุลและหกล้มง่ายครับ จากคุณ : [STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 14:30:38 A:27.130.64.32 X: TicketID:267882

ความคิดเห็นที่ 10 เราว่าเราเป็นพวก 2 นะจะรุ่งหรือจะริ่งต้องติดตามตอนต่อไป ฮ่าๆ จากคุณ : MzChewiize เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 14:30:41

ความคิดเห็นที่ 11 คนที่มีความสามารถด้านภาษามากกว่า จะไปได้รุ่งกว่าครับ ....... จากคุณ : ginosty เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 14:51:21

ความคิดเห็นที่ 12 ผมเรียนวิศวะคอม ผมอยากให้มองว่า วิศวะคอม ไม่ใช่วันๆนั่งเขียนโค้ดนะครับ วิศวะคอมนี้กว้างมาก มีทั้ง Hardware , Software , Network ฯลฯ เข้าเรื่องดีกว่า ผมมองว่าคนที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต คือคนที่อยากรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอครับ และต้องเป็นคนที่มีหัวอยากรวยด้วยครับ ไม่เกี่ยวเท่าไหร่หรอกครับจะหัวดีหัวไม่ดี หัวดีแต่หาเงินไม่เป็นก็ไม่เท่าไหร่ :-) จากคุณ : KenSei เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 14:55:50

ความคิดเห็นที่ 13 แบบที่ 1 ถ้าเค้าเก่งบริหารเค้าอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าแบบที่ 2 นะ เขียน code ไม่เก่ง โปรแกรมไม่ค่อยได้ แต่ติดตามงาน วางแผนงาน รู้รายละเอียดขั้นตอน แตกออกมาเป็นแผนการณ์ได้ สามารถบริหารจัดการควบคุม project ได้ แบบนี้ก็ประสบความสำเร็จได้ แบบที่ 2 พวกนี้เก่งในเรื่องงานของตัว ปกติคนประเภทที่ 2 ถ้าไม่สุดโต่ง เค้าจะได้รับการยอมรับในเรื่องการทำงานของตัวเองเป็นทุน ถ้าบริหารเวลา บริหารต้นทุน มีมนุษยสัมพันธ์ ทำงานเป็นทีมได้ คนแบบที่ 2 น่ากลัวกว่าแบบที่ 1 เพราะถ้าขึ้นมาควบคุม Project ได้ละก็อย่างน้อยจะได้รับการยอมรับ น่าเชื่อถือมากกว่าแบบที่ 1 ครับ จากคุณ : X-Sy เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 14:59:26

ความคิดเห็นที่ 14 แบบแรกจะเป็นพวกเรียนอะไรก็ได้ รู้เรื่องหมด ส่วนใหญ่จะเรียนรู้อยู่ในกรอบ แบบสองจะอาร์ต ไม่ชอบจริง ก็ไม่เอา กล้าลองกล้าเล่น ถ้าอยากรู้ การจะประสปความสำเร็จมันก็มีหลายปัจจัย ถ้าแบบแรกค้นพบตัวเองว่าไม่ชอบในสิ่งที่เรียน มันก็คงจะเบื่อ ไม่มีแรงกระตุ้นให้ทำต่อ แต่ถ้าเกิดชอบและสนุกขึ้นมา มันก็เป็นไปได้ที่จะเป็นคนทั้งสองแบบ ส่วนแบบที่สอง ถ้ายังยึดติดกับความรู้เดิมๆ ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ก็ยากที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหมือนกัน รับประกันได้เลย ว่ายังมีความรู้จากมหาวิทยาลัยอีกเยอะ ที่แบบที่สองยังไม่รู้มาก่อน ถ้าใช้เกณฑ์จากการดูคะแนนสอบหรือใบทรานสคริปต์ แบบที่ 1 กินขาด ถ้าดูจากผลงาน โปรเจ็ค ความรู้รอบตัว ต้องยกให้แบบที่ 2 ครับ จากคุณ : chayenkung เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 16:14:05

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าตอนเรียนคนแบบที่ 1 กับแบบที่ 2 ช่วยกันเรียน ก็จะไปรุ่งทั้งสองแบบละครับ สิ่งที่สำคัญคือความรับผิดชอบและความตั้งใจของคนแต่ละคนว่าจะทำมันได้ดีแค่ไหน เมื่อรู้จุดอ่อนของตนเองแล้วก็ต้องพยายามพัฒนาตนเองขึ้นมา ผมเป็นแบบที่ 1+2 คือใช้ผลการเรียนตอนมัธยมยื่น(มีความสามารถทางคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง) ปี 1 จุดอ่อนคือวิชา Calculus ก็ไปขอให้เพื่อนที่ admission เข้ามา หลายคนๆติวให้ ก็ผ่านวิชาพื้นฐานมาได้ด้วยดี (ต่ำสุดได้ B) พอหมดวิชาพื้นฐานก็จะได้เริ่มเรียนวิชาเฉพาะของสาขาที่เรียนคือวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ก็เปลี่ยนไปช่วยสอนเพื่อน admission ที่เลือกเข้ามาเรียนเพราะไม่รู้จะเรียนอะไรดี หรือได้คะแนนสูงทางบ้านเลยให้มาเรียนวิศวฯ แต่ไม่ใช่ว่าถ้าไม่ถนัดแล้วจะมารอเวลาให้เพื่อนมาสอนให้อย่างเดียว ต้องรู้จักขวนขวายเองด้วย อ่านหนังสือหรือดูตัวอย่างแล้วต้องคิดตาม ไม่เข้าใจเนื้อหาหรือขั้นตอนไหนก็เก็บไปถามคนที่รู้(อาจารย์,เพื่อน,เว็บบอร์ด,google) ที่อยากเน้นคือเวลาช่วยสอนเพื่อน ให้สอนวิธีการคิดและวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาไปด้วย อย่าสอนวิธีแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเป็นอย่างหลัง เพื่อนจะเอาไปใช้อะไรไม่ค่อยได้ถ้าเจอปัญหาที่มีการพลิกแพลงหรือมีความซับซ้อนมากขึ้น สิ่งที่แย่ที่สุด ที่เห็นกันบ่อยๆคือ เมื่อตัวผู้เรียนเมื่อไม่เข้าใจเนื้อหา กลับไม่กล้าถามคำถาม เพราะอายบ้าง กลัวเสียเวลาเพื่อนคนอื่นบ้าง ซึ่งเป็นการปิดโอกาสตนเองและเพื่อนคนอื่นๆที่อาจจะเนียนพยักหน้างืมๆทำเป็นเข้าใจ อย่าให้ลองเปลี่ยนใหม่เป็นหันว้ายหันขวาถามเพื่อนข้างๆว่าเข้าใจเนื้อหาตะกี้ไหม ถ้าไม่ก็ควรจะถามผู้สอน ปล.ภาษาอังกฤษสำคัญมากในการเรียนสาขาวิชาทางคอมพิวเตอร์(จริงๆ) แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 53 16:37:46 จากคุณ : RemusLupin เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 16:31:37

ความคิดเห็นที่ 16 ประสบการณ์ สัมภาษงานของบรรดาเพื่อนๆ ส่วนมากให้โคดโปรแกรม  หรือแก้ไข หรือถ้าจบใหม่ช่วงทดลองงานก็ทำโปรแกรม  ไม่ผ่าน  หรือไม่ไ้ด้ก็หมดสิทธิ :) ส่วนประสบการณ์จริงเคยต้องเฝ้าห้องสอบคัดผู้ร่วมงานใหม่  เพื่อนในแผนกก็ตั้งโจกท์กันมาแกล้งน้องใหม่  สรุปคนที่ผ่านหมด  คือคนที่ได้เกรด 2 กว่าๆ  เรียกว่าตอนส่ง  proprsal แทบคัดออกตอนแรก (ปล. ที่ให้ในแผนกคัดกันเองเพราะต้องมาทำงานในสายงานเดียวกันค่ะ) ส่วนคนที่เจ๋งสุดๆ  คนแบบ 1+2 รวมกัน  ซึ่งมักเจอได้ทั่วไป   ส่วนพวกแบบ 2 ขั้นสูง มักจะไปเจอตามมุมห้องเทคนิค เพราะพี่แกมักจะหาโอกาสทำอะไรแผลงๆ จากคุณ : พู่กันไร้สี เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 17:08:46

ความคิดเห็นที่ 17 อยู่ที่ ego ครับ ต้องเข้าใจก่อนว่า computer เป็น field ที่กว้างอย่างสุดๆ มันมีตั้งแต่คนที่เขียนโค้ดขั้นเทพแต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเน็ตเวิร์กเลย คนที่ทำงานวิจัยทางคอมออกมาได้เป็นสิบๆ ชิ้น โดยที่เขียนโค้ดจริงไม่เป็น คนที่ผ่านงานจริงวางระบบการจัดการให้มาเป็นสิบๆ ที่ แต่พอเขียนโปรแกรมที่เกี่ยวกับ CG ง่ายๆ ก็ไปไม่เป็น สิ่งหนึ่งที่ผมพบคืองานคอมเนี่ยมีอีโก้ไม่ได้เลยครับ เพราะถึงแม้ว่าคุณจะเก่งในส่วนของคุณอย่างสุดๆ แต่คอมมันกว้างซะจนต่อให้คุณเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งที่สุดในโลกที่สามารถย่อรูปปัญหา NP มาโค้ดให้อยู่ในรูป P ได้ (โจทย์ที่ยากที่สุดในวงการคอมปัจจุบัน) ก็ไม่ได้แปลว่าคุณคือสุดยอด คุณอาจจะโดน Project Manager ระดับกลางๆ ดาษๆ มองเห็นข้อผิดพลาดก็ได้เมื่อมองมาจากมุมของเค้า ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ครับและปฏิเสธข้อผิดพลาดไม่ได้ด้วย วงการนี้ผมว่าความอยากเรียนรู้และการเปิดใจพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เป็นเรื่องสำคัญที่สุดครับ ไม่ว่าจะแบบ 1 หรือแบบ 2 ถ้าคิดว่าเก่งแล้วก็ทำแต่ในฟิลด์ตัวเอง แถมไม่เรียนรู้เพิ่มเติมคิดแต่ว่าก็ตัวข้ามันอัจฉริยะ ยังไงก็สู้คนธรรมดาไร้สมองแต่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาไม่ได้ครับ นี่คือความเป็นจริงในงานคอม การติดตามข่าวสารและการยอมรับมุมมองใหม่ๆ จากฟิลด์อื่นๆ ในงานคอมด้วยกัน เป็นเรื่องสำคัญกว่าพื้นความรู้เดิมและสมองหลายเท่า ที่ผมพบนะครับส่วนมาก ปัญหาของพวก 1 คือมักจะเป็นหัวไม่ถึงไม่ได้คิดเป็นนักคอมจริงๆ ส่วนปัญหาของพวก 2 มักจะเป็นการหมกมุ่นในฟิลด์งานของตัวเองมากจนเกินไปครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 17:17:30

ความคิดเห็นที่ 18 ผมอยู่ในประเภทที่ 2 ด้วยสิ  4 เทอม C ล้วนๆ ได้ A มา 2 ตัว 555 จากคุณ : rbko เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 09:54:48

ความคิดเห็นที่ 19 แบบแรกคิดถึงเรื่องความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย จึงบริหารจัดการให้ได้เกรดดีทุกวิชา พวกนี้มักจะไปได้ไกล แม้ว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องเทคนิค ส่วนใหญ่จบแล้วจะไปเรียนต่อต่างประเทศ จบมาได้เงินเดือนเยอะ แต่ถ้าทำงานไม่เป็นก็ตกงานทีหลัง ส่วนมากพวกนี้จะรวยเพราะเอาสติปัญญาไปทำงานด้านบริหารหรือการเงิน มากกว่าทำงานในสายวิศวะคอม แบบสองเงินเดือนจะต่ำกว่า เพราะเกรดต่ำ แต่ทำงานได้จริง ถ้าได้ทำงานถูกสาย และสื่อสารกับเขาดีๆ ผลงานจะออกมาดีมาก และจะมีไอเดียใหม่ๆมาส่งเสริมความได้เปรียบทางธุรกิจเรื่อยๆด้วย แต่จะทำงานอยู่แต่ในด้านเทคนิค ซึ่งในไทยเงินเดือนมันน้อยนิด ต้องดิ้นรนไปทำงานต่างประเทศถึงจะไปได้ไกล จากคุณ : CraZyHero เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 11:19:42 A:58.8.232.194 X: TicketID:295791

ความคิดเห็นที่ 20 แบบแรกคิดถึงเรื่องความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย จึงบริหารจัดการให้ได้เกรดดีทุกวิชา พวกนี้มักจะไปได้ไกล แม้ว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องเทคนิค ส่วนใหญ่จบแล้วจะไปเรียนต่อต่างประเทศ จบมาได้เงินเดือนเยอะ แต่ถ้าทำงานไม่เป็นก็ตกงานทีหลัง ส่วนมากพวกนี้จะรวยเพราะเอาสติปัญญาไปทำงานด้านบริหารหรือการเงิน มากกว่าทำงานในสายวิศวะคอม แบบสองเงินเดือนจะต่ำกว่า เพราะเกรดต่ำ แต่ทำงานได้จริง ถ้าได้ทำงานถูกสาย และสื่อสารกับเขาดีๆ ผลงานจะออกมาดีมาก และจะมีไอเดียใหม่ๆมาส่งเสริมความได้เปรียบทางธุรกิจเรื่อยๆด้วย แต่จะทำงานอยู่แต่ในด้านเทคนิค ซึ่งในไทยเงินเดือนมันน้อยนิด ต้องดิ้นรนไปทำงานต่างประเทศถึงจะไปได้ไกล จากคุณ : CraZyHero เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 11:20:31 A:58.8.232.194 X: TicketID:295791

ความคิดเห็นที่ 21 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 20:11:05

ความคิดเห็นที่ 22 ปัญหาจริงๆคือมันจะมีคนประเภท 3 ที่ไม่ใช่ทั้งแบบ 1 และ 2 แต่ว่ารู้มากกว่า user ทั่วไปขึ้นมาเล็กน้อยแล้วชอบกล่าวอ้างว่าตัวเป็นแบบ 2 และโทษโชคชะตาสังคมไปเรื่อยโดยไม่ยอมโทษตัวเองเลย ผมมองว่าคนส่วนมากที่บอกว่าเป็นประเภท 2 น่ะมันก็ได้แค่ประเภท 3 ที่ไม่ยอมรับความจริงเท่านั้นแหละ และที่สำคัญมันยังมีคนประเภท 1+2 อีกไม่น้อยด้วยซึ่งแน่นอนว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าเป็นไหนๆ โลกเรามันไม่ได้แคบที่จะมีแค่คนที่เก่งอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น คนที่มันเก่งไปซะทุกอย่างมันก็มีอยู่ด้วย จากคุณ : คามิยามะมาเยือน!!! เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 53 05:39:36