ความคิดเห็นที่ 1 10. Creating iPS Cells Safer and Faster : วิธีใหม่ในการผลิตเซลล์ต้นกำเนิด iPS  ในขณะที่เทคโนโลยีเซลล์ต้นตอหรือ stem cellจากตัวอ่อนมนุษย์ยังไม่สามารถทำได้หรือทำได้ยาก  นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าการทำ  Induced Pluripotent Stem (iPS) Cells คือการนำเซลล์ต้นตอจากเซลล์ที่เจริญวัยเต็มที่แล้วมาเปลี่ยน ให้มีคุณสมบัติเหมือนกับเซลล์ต้นตอจากตัวอ่อนมนุษย์ งานวิจัยใน Children's Hospital Boston ใช้เซลล์จากผิวหนังมนุษย์มา reprogram โดยใช้ไวรัสและยีนที่ทำให้เกิดมะเร็งมาทำให้มันมีคุณสมบัติคล้ายเซลล์ตัวอ่อนได้สำเร็จ และในปัจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้การตัดต่อยีนจาก RNA แทนที่การใช้ไวรัสและยีนมะเร็ง ซึ่งจะทำให้นำมาใช้ในมนุษย์ได้ปลอดภัยขึ้น และวิธีการใหม่นี้จะทำให้ประสิทธิภาพในการผลิต iPS Cells มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมถึง 100 เท่า การค้นพบนี้นับว่าเป็นความหวังใหม่ที่จะทำให้การรักษาโรคโดยใช้ stem cell เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:22:17

ความคิดเห็นที่ 2 อ่านเพิ่มเติม  http://www.idi.harvard.edu/news_events/articles/new_method_offers_safer_more_efficient_route_to_stem_cells_via_rna/ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:22:34

ความคิดเห็นที่ 3 9. Artificial Ovary : รังไข่เทียม ข่าวดีของผู้ที่มีบุตรยากหรือผู้ที่มีโรคในรังไข่ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ของ Brown University and Women & Infants Hospitalในอเมริกา สามรถสร้างรังไข่เทียมเซลล์รังไข่บริจาคโดยผู้ป่วยวัยเจริญพันธุ์ที่โรงพยาบาล หลังจากที่มันเติบโตเป็นรูปร่างรังผึ้ง เซลล์ไข่ของมนุษย์จะถูกแทรกลงในหลุมของโครงสร้างและในสองสามวันเซลล์จะห่อหุ้มไข่ซึ่งจะเหมือนรังไข่จริง เทคนิคนี้จะทำให้ความสำเร็จในการเด็กหลอดแก้วหรือ IVFนั้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากว่าไข่ที่ยังเจริญไม่เต็มที่ ที่เก็บจากรังไข่ของแม่ก็สามารถนำมาเพาะเลี้ยงต่อในรังไข่เทียมนี้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้สตรีที่มีโรคเกี่ยวกับรังไข่ให้มีบุตรได้  รวมถึงการรักษาภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีที่ต้องรักษามะเร็งในอนาคต ภาพแสดงไข่ที่เจริญเติบโตในรังไข่เทียม จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:23:08

ความคิดเห็นที่ 4 อ่านเพิ่มเติม http://www.sciencedaily.com/releases/2010/09/100914102108.htm แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 53 23:24:21 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:23:29

ความคิดเห็นที่ 5 8. Predicting IVF Success:การทำนายความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้ว การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ  in vitro fertilization (IVF) มีโอกาสที่จะสำเร็จประมาณ 30 % เท่านั้น ทำให้คู่สมรสคู่หนึ่งกว่าจะสมหวังในการมีบุตร ต้องทำ IVF หลายๆครั้ง นับเป็นข่าวดีเมื่อทีมวิจัยจาก Stanford University ได้คิดค้นวิธีคัดเลือกตัวอ่อน(embryo) ที่แข็งแรงที่สุด เพื่อเพิ่มความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว เทคนิคนี้ทำโดยการถ่ายรูปการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในช่วงแรกๆหลังปฏิสนธิ ซึ่งจะทำให้ทราบได้ว่าตัวอ่อนตัวไหนมีแนวโน้มที่จะอยู่รอดมากที่สุด โดยดูจากระยะเวลาในการแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ ตัวอ่อนที่แข็งแรงที่สุดจะมีความเร็วในการแบ่งตัวมากที่สุด   วิธีนี้จะได้ถูกนำมาใช้ในคลินิคผู้มีบุตรยาก เพื่อเพิ่มความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้วต่อไป โดยจะใช้ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ฮอร์โมนที่แม่ได้รับ อายุของคนไข้ เป็นต้น   อ่านเพิ่มเติม http://www.reuters.com/article/idUSN0125903720080702 แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 53 23:44:15 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:24:29

ความคิดเห็นที่ 6 ซ้ำค่ะ แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 53 23:44:36 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:25:14

ความคิดเห็นที่ 7 7. Blood Test for Heart Attack : ตรวจเลือดบอกความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจล่วงหน้า โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายแบบเฉียบพลันเกิดจากการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจซึ่งมาจากปัจจัยเสี่ยงหลายๆอย่างรวมกัน ในการจะตรวจดูสภาพของเส้นเลือดนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ การฉีดสีหรือที่เรียกกันว่า angiogram ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุ่งยากและทำให้ผู้ป่วยเจ็บตัวมาก ส่วนการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคหัวใจที่ผ่านๆมาก็จะตรวจหาโปรตีนที่เรียกว่า cardiac troponin T ซึ่งบอกให้รู้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจเสียหายไปแล้ว ซึ่งจะตรวจก็ต่อเมื่อ มีอาการของโรคหัวใจเฉียบพลัน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of the American Medical Association ปีนี้ ได้ค้นพบวิธีการตรวจเลือดหาโปรตีน troponin T (cTnT)  โดยใช้ตัวอย่างเลือดมากถึง 3,500 ตัวอย่าง พบว่าสามารถใช้บอกความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลันได้   โปรตีนที่ตรวจพบ เป็นโปรตีนที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจที่เสียหาย บ่งบอกว่าบุคคลนั้นเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจภายในเวลา 6 ปี สูงเกือบ 7 เท่า เมื่อนำมารวมกับประวัติ ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ จะทำให้แบ่งคนไข้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหรือต่ำ ซึ่งจะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงลงได้ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 00:24:37 แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 53 23:46:14 แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 53 23:26:49 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:26:16

ความคิดเห็นที่ 8 อ่านเพิ่มเติม http://www.sciencedaily.com/releases/2010/12/101207190409.htm แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 53 23:27:32 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:26:49

ความคิดเห็นที่ 9 6. The FDA Restricts Avandia:FDA จำกัดการใช้ยา Avandia Avandia (rosiglitazone) ซึ่งเป็นยารักษาโรคเบาหวานอย่างแพร่หลายทั่วโลกมานานหลายปี ได้ถูกจำกัดการใช้โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐ เนื่องจากมีรายงานว่ายาตัวนี้เพิ่มอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ จึงคำแนะนำให้ใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้เมื่อผู้ป่วยดื้อต่อยาตัวอื่นเท่านั้น (US-FDA ได้ออกคำเตือนถึงการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา Avandia โดยได้มีการเพิ่มคำเตือนลงฉลากยาว่า การใช้ Avandia ตัวเดียวหรือการใช้ร่วมกับยาลดระดับน้ำตาลตัวอื่น เป็นสาเหตุให้เกิดการสะสมของเหลวซึ่งอาจนำไปสู่การเกิด heart failure หรือมีการกำเริบของ heart failure ขึ้น) http://www.fda.gov/newsevents/newsroom/pressannouncements/UCM226975.htm   จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:30:33

ความคิดเห็นที่ 10 5. Taking the Resuscitation Out of CPR:การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการช่วยฟื้นคืนชีพ เป็นเวลา 50 ปีแล้ว นับแต่มีการสอนการช่วยฟื้นคืนชีพ cardiopulmonary resuscitation (CPR)มา ขั้นตอนของการช่วยเหลือชีวิตเมื่อพบเห็นเหตุการณ์คือ การเป่าปากช่วยหายใจ ตามด้วยการกดหน้าอก แต่จากการศึกษามาเป็นระยะเวลานาน การเริ่มด้วยขั้นตอนนี้ ทำให้การช่วยเหลือชีวิตถูกละเลย(เนื่องจากผู้ช่วยไม่สบายใจที่จะเป่าปาก)  ,การเปิดทางเดินหายใจ จะทำให้การกดหน้าอกช้าไป และมีการเก็บข้อมูลว่าการช่วยชีวิตโดยการกดหน้าอก(chest compression) อย่างเดียวก็มีประสิทธิภาพพอๆกับการเป่าปาก ร่วมกับการกดหน้าอก ดังนั้นสมาคมโรคแพทย์โรคหัวใจของอเมริกา หรือ the American Heart Association (AHA)จึงได้ประกาศใช้ Guideline ใหม่ของการ CPR ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยให้เริ่มต้นจากการกดหน้าอกช่วยชีวิตได้ในทันที โดยไม่ต้องเริ่มเป่าปากก่อน สรุปว่าเปลี่ยนขั้นตอนของ Basic life support เป็น  C-A-B ไม่ใช่ A-B-C อย่างที่เคยทราบกัน   แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 00:06:42 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:31:32

ความคิดเห็นที่ 11 เพิ่มเติม เมื่อเจอคนหมอสติ ให้ปลุก + เรียกคนอื่นมาช่วย + ตามรถพยาบาล + ตามเครื่องกระตุ้นหัวใจ ถ้าไม่มีชีพจรหรือคลำไม่เป็นเริ่มกดหน้าอกทันที ด้วยความเร็ว >100 ครั้งต่อนาที เมื่อครบ 30 ครั้ง ค่อยเริ่มเปิดทางเดินหายใจ และเป่าปาก 2ครั้ง  ถ้าทำไม่เป็น หรือไม่อยากทำก็ไม่ต้องเป่าปาก และให้กดหน้าอกต่อ จนกว่ารถพยาบาลหรือเครื่องกระตุ้นหัวใจจะมา ส่วนการใช้ "ตาดู หูฟัง แก้มสัมผัส"ก็ยกเลิกไปแล้วนะคะ ถ้าสงสัยว่าผู้ป่วยหยุดหายใจ หรือหายใจเป็นเฮือกๆ ก็ให้ทำการช่วยชีวิตได้ทันที ดังนั้นการช่วยชีวิตแบบเก่า ตามคลิปนี้ out ไปแล้วนะคะ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:31:59

ความคิดเห็นที่ 12 สำหรับหมอๆทุกท่าน สามารถดาวน์โหลด 2010 Guidelines for CPR ของ AHA ที่ออกมาตอนเดือนตุลา มาอ่านได้ ตามนี้จ้า http://www.heart.org/idc/groups/heart-public/@wcm/@ecc/documents/downloadable/ucm_317350.pdf จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:33:24

ความคิดเห็นที่ 13 4. FDA Approves Botox for Migraines:Botox รักษาไมเกรนเรื้อรัง ความเจ็บปวดจากไมเกรนนั้น ถ้าใครได้เคยพานพบจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่สุดจะทน เป็นความบังเอิญที่พบว่าคนไข้ที่มาเสริมความงามโดยการฉีด botox เพื่อลบรอยเหี่ยวย่นนั้นมีความเจ็บปวดจากไมเกรนลดลง บริษัทยา Allergan เจ้าของ Botox จึงได้ทำงานวิจัย เก็บเคสมากกว่า 1,000 เคส พบว่าคนไข้ไมเกรนที่ได้รับการฉีด Botox บริเวณใบหน้าก่อนจะมีอาการปวดศีรษะ  2-3 วัน มีอาการน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษานี้ ทำให้ FDA ของสหรัฐ รับรองให้ Botox เป็ยนาฉีดเพื่อรักษาไมเกรน ทำให้บริษัทประกันต้องจ่ายเงินครอบคลุมการรักษาในส่วนนี้ เป็นเงินถึงหลายพันเหรียญในแต่ละเดือน http://www.fda.gov/NewsEvents/Newsroom/PressAnnouncements/ucm229782.htm เพิ่มเติม การฉีด Botox จะใช้ในผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรังหรือผู้ที่มีอาการปวดศีรษะอย่างน้อย 15 วันและไม่ต่ำกว่า 8 วันต่อเดือน โดยแพทย์ระบบประสาทเป็นผู้ฉีด งานวิจัยพบว่าสามารถลBotox สามารถลดจำนวนผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรังได้ร้อยละ 50 โดยทำให้กล้ามเนื้อคอและหน้าผากอ่อนแรง โดยผู้ป่วยจะได้รับการฉีดยาทุก 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของไมเกรน   จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:35:09

ความคิดเห็นที่ 14 3. Blood Test for Alzheimer's:ตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีวิธีการตรวจวิเคราะห์โรคมากมาย แต่  Alzheimer's ก็ยังเป็นอีกโรคหนึ่งที่ยังไม่มีวิธีวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ ได้แต่อาศัยอาการทางคลินิค และโรคที่เกิดจากความเสื่อมของสมองนี้ จะได้รับการวินิจฉัยอย่างเด็ดขาดก็ต่อเมื่อตรวจชิ้นเนื้อในกรณีที่เสียชีวิตแล้วเท่านั้น ข่าวดีก็คือ นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยพบการตรวจหาสารโปรตีนในเลือด เพื่อที่จะวินิจฉัยภาวะนี้ได้ตั้งแต่เริ่มแรกที่มีอาการ ซึ่งการตรวจจะมีความแม่นยำมากกว่า  80% ทำให้มีความหวังว่าจะสามารถวินิจฉัยโรคที่ไม่มีทางรักษานี้ได้แต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะชะลอความเสื่อมของสมองอย่างได้ผล งานวิจัยนี้เป็นของ UT Southwestern Medical Center โดยการวิเคราะห์กลุ่มของสารโปรตีนจำนวนมากกว่า 24 ชนิดในเลือด รวมกับการตรวจร่างกายในส่วนอื่นๆทั่วไปด้วย พบว่าการตรวจวิเคราะห์จากผลเลือดมีความถูกต้องกว่า 94 เปอร์เซนต์ในรายที่มีอาการของโรค และถูกประมาณ 84 เปอร์เซนต์ในการวิเคราะห์เลือดในรายที่ไม่มีอาการของโรคสมองเสื่อม   เพิ่มเติม http://www.medscape.com/viewarticle/728621 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:36:19

ความคิดเห็นที่ 15 2. Synthetic Cell:เซลล์สังเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ มนุษย์เราคงเข้าใกล้พระเจ้าเข้าไปทุกทีแล้ว เมื่อ Dr. J. Craig Venter  เจ้าของ J. Craig Venter ได้ใช้เวลาถึง 15 ปี ในการสังเคราะห์เซลล์สิ่งมีชีวิตขึ้นในห้องทดลองสำเร็จเป็นครั้งแรก พวกเขาสังเคราะห์และต่อชิ้นส่วน DNA จนกลายเป็นแบคทีเรียสังเคราะห์สายพันธุ์   Mycoplasma mycoides JCVI-syn1.0 สำเร็จเป็นครั้งแรก   ประโยชน์ของเซลล์สังเคราะห์นี้ คือ ในอนาคตอาจจะมีการนำมาใช้ เช่น พัฒนาวัคซีนที่ป้องกันเอดส์ ไข้หวัดต่างๆ รวมถึงเป็นแหล่งผลิตพลังงานเชื้อเพลิง เป็นต้น เวปของ JCVI http://www.jcvi.org/cms/research/projects/first-self-replicating-synthetic-bacterial-cell/overview/ Mycoplasma mycoides แบคทีเรียสังเคราะห์ชนิดแรกของโลก จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:38:49

ความคิดเห็นที่ 16 1. AIDS Drugs Lower the Risk of HIV Infection : ยารักษาโรคเอดส์สามารถลดอัตราการติดเชื้อ HIVได้   ยาต้านไวรัสที่ใช้ในคนไข้ติดเชื้อ HIV ทุกวันนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า มันสามารถลดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายผู้ป่วยได้ นอกจากนั้น งานวิจัยยังพบว่ามันสามารถใช้ "ป้องกัน" การติดเชื้อในบุคคลทั่วไปอีกด้วย งานวิจัยของสถาบัน National Institute of Allergy and Infectious Diseases (NIAID)ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา    จากการเก็บข้อมูลในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือ ชายรักร่วมเพศจำนวน 2,500 คน พบว่าการใช้ยาต้านไวรัส Truvada สามารถลดอัตราการติดเชื้อ HIV ลงได้ถึง 44% และเมื่อให้อาสาสมัครกินยาอย่างสม่ำเสมอในขนาดปกติ พบว่าอัตราการติดเชื้อลดลง 73% เมื่อเทียบกับยาหลอก ประโยชน์ของยาต้านไวรัสนี้ ยังคงต้องมีการศึกษาทดลองต่อไปจึงจะนำมาใช้ได้จริง อย่างไรก็ตาม การป้องกันตัวเองที่เรียกว่า  pre-exposure prophylaxis(PrEP) โดยการมี safe sex การใช้ condom ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด   http://www.physorg.com/news/2010-11-aids-drug-shown-hiv-multinational.html จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:40:29

ความคิดเห็นที่ 17 หมดแล้วค่ะ กระทู้นี้ไม่รู้จะมีคนอ่านหรือเปล่า หมอนสุดๆ สนใจเรื่องของนวัตกรรมต่างๆในปีที่ผ่านมา เขียนไว้ในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9923168/X9923168.html นะคะ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 23:41:41

ความคิดเห็นที่ 18 ใครคิดยารักษามะเร็งได้  ผมจะยกให้ผู้นั้นเป็นพระเจ้า จากคุณ : แว่นใสใจดี เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:02:15

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบกระทู้นี้ค่ะ   อ่านเข้าใจยากหน่อย   แต่อ่านแล้วมีความหวัง  อีกหน่อยโรคยาก ๆ หรืออะไรที่เป็นไปแทบไม่ได้จะเยียวยาได้สักที ขอบคุณค่ะ  ^^ จากคุณ : gift is a present เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:18:28

ความคิดเห็นที่ 20 หมอสุดๆมาก 55+ บางอย่างผมต้องอ่านหลายๆรอบมากกว่าจะเข้าใจ T-T ผมติดใจเรื่องการช่วยชีวิตนิดๆครับ พี่หมอหมูเหมียว ผมเรียนการปฐมพยาบาลเบื้องต้นมา(นิดนึง T-T) คือไอ่การปั้มหัวใจเนี่ย เราจะไม่รีบทำกับคนที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ล้มใช่ไหมครับ หรือว่าต้องดูสาเหตุอื่นด้วย(เช่นอาจซี่โครงหัก) เพราะตอนนั่งฟังอาจารย์(เหม่อด้วย ><) บอกว่าใช้กับผู้ป่วยช็อก  ชักเป็นเวลานาน โคมา จมน้ำ ไฟฟ้าดูด อื่นๆอีกมั้งจำไม่ค่อยได้อ่ะครับ พี่หมอช่วยอธิบายนิดครับ พิมตกเยอะมาก - -* แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 00:31:36 แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 00:26:24 แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 00:22:06 จากคุณ : รถม้า-ปาแอ่ว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:18:58

ความคิดเห็นที่ 21 กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ห่างหายการ CPR ไปนานมาก เดี๊ยนเพิ่งรู้นะเคอะว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็น C-A-B แล้ว อกอีแป้นจะแตก ถ้าเจอคนหมดสติข้างถนนจริงๆ เราคงทำ A-B-C เหมือนเดิมตามอัตโนมัติ คงคิดตามไม่ทันง่า ขอบคุณพี่หมูเหมียวสุดๆๆๆๆ เลย ตกใจมากนะนี่ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 01:02:05 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:37:15

ความคิดเห็นที่ 22 #18 ยารักษาโรคมะเร็งก็มีการให้ยาเคมีบำบัดซึ่งมีผลข้างเคียงมากและไม่ได้หาย 100 % ค่ะ ถ้าใครคิดค้นวิธีที่รักษาที่หน่วยของยีนได้ ต้องเหมือนพระเจ้าแน่ๆเลย #19 ยอมรับว่าอ่านยากจริงๆค่ะ ขนาดคนแปลยังแก้แล้วแก้อีก ขอบคุณที่พยายามทำความเข้าใจนะคะ #20 ในคนไข้อุบัติเหตุก็ทำได้ค่ะ ที่อาจจะต้องระวังก็คือ การกดหัวใจอาจจะทำให้กระดูกซี่โครงที่หักอยู่แล้วไปทิ่มปอดได้ คือในผู้ใหญ่เนี่ย สาเหตุของหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลมักจะเป็น ventricular fibrillation หรือ VF (หัวใจเต้นพริ้ว) ซึ่งมีโอกาสรอดสูงถ้าได้รับการกดหน้าอกหรือกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าอย่างทันท่วงที ถ้ามัวแต่เปิดทางเดินหายใจ จะทำให้การกดหน้าอกช้าไปค่ะ การช่วยเหลือชีวิตอาจจะเริ่มด้วยการเป่าปากถ้าหากว่าเห็นๆว่าสาเหตุของหัวใจหยุดเต้นมาจากทางเดินหายใจอุดกั้น อย่างจมน้ำเห็นๆ สำลักอาหาร หรือในเด็กแรกเกิดที่มักมีปัญหาทางเดินหายใจเป็นหลักค่ะ งงไหมคะ? นี่พี่ต้องเปลี่ยนการสอนเลคเชอร์ CPR ให้นักศึกษาแพทย์ใหม่หมดเลยค่ะ คนสอนยังงงเลย งง งง จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:38:17

ความคิดเห็นที่ 23 #21 หนูกิ๊ฟตกเทรนด์ได้ไงอ่ะ รีบไปโหลดอ่านโดยด่วน ฉบับเต็มใน Circulation จ้า http://circ.ahajournals.org/content/vol122/18_suppl_3/ รูปใหญ่ไป ลบๆ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 00:42:12 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:41:18

ความคิดเห็นที่ 24 ช่วงนี้มีอบรม Update CPR 2010 ด้วย ยังเหลืออีก 2-3 ครั้ง เผื่อใครสมัครไปฟังทัน จะได้ไม่ต้องอ่านหนังสือมาก เพิ่งไปฟังที่เชียงใหม่มาค่ะ มีหนังสือให้ด้วย แปลจาก Circulation เลย พอดีหนังสือไม่อยู่ ไม่งั้นจะเอามาโชว์ให้ดู แปะตาราง (แต่ดูตารางแล้ว ที่อื่นแค่ครึ่งวันเอง จะยัดเนื้อหาลงไปยังไงไหวหว่า ? ฟังที่เชียงใหม่เต็มวัน สมองบวมเลย -*- ) แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 00:52:23 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:50:32

ความคิดเห็นที่ 25 ของไทยก็มีหนิ อะไรที่สมองๆกลางๆ อะ     ซู้ดยอดเลยทีเดียว จากคุณ : camtoeng เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:52:18

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณมากครับพี่ เข้าใจแล้วครับ ^^ ติดใจแต่ตรงนั้นแหละครับ แหะๆ สรุปคือทำได้แต่ต้องระวัง นี่เอง ปล.ผมจะตั้งใจเรียนตอนอาจารย์สอนแล้วครับบบ T-T จากคุณ : รถม้า-ปาแอ่ว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:56:32

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าให้คิดแบบ แฟนตาซีหน่อย มะเร็งคือขั้นบันไดสู่ความเป็นอมตะรึเปล่า?? ที่เคยได้ยินมา เซลล์มะเร็งที่ค้นพบของคนไข้คนแรก ยังมีชีวิต(เฉพาะเซลล์)อยู่ในแลปอยู่เลย O_o! จากคุณ : BLiNDiNG เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 00:59:39

ความคิดเห็นที่ 28 เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง CPR ใครแล้วอะค่ะ แต่ยังไงเรื่องนี้สำคัญต้องรู้อยู่ดี แหม ตกข่าวดังแอ๊กเลยเรา จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 01:05:40

ความคิดเห็นที่ 29 น่าจะมีคนคิดค้นการสร้างไตเทียมได้ รู้สึกเปลืองมากมาย ถ้ามีไตเทียมแทนการฟอกจะดีไม่น้อยเลย จากคุณ : rd เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 03:17:08 A:74.103.123.144 X: TicketID:071236

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณอาจานย์หมูเหมียวมากๆครับสำหรับกระทู้ดีๆแบบนี้ จากคุณ : Doctor-K (Devamorana) เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 03:23:59

ความคิดเห็นที่ 31 ได้ความรู้อีกเพียบ ขอบคุณคะ จากคุณ : ssangar เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 04:26:09

ความคิดเห็นที่ 32 ..ขอบคุณมากเลยคะ คุณพี่หมอหมูเหมียว.. ..คนนี้คะ>>>> เขาสนใจอ่านใหญ่เลยค่ะ..5555 จากคุณ : uswitch เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 09:18:13 A:183.89.111.70 X: TicketID:293046

ความคิดเห็นที่ 33 ขอเพิ่มเติมข้อ 7 ครับ การตรวจ TnT ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่ใหม่คือ ใช้แปลผลได้ในการตรวจกับคนไข้ที่ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกครับ จากคุณ : dans Juillet เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 11:26:35

ความคิดเห็นที่ 34 งั้นพระเจ้าอยู่ในไทยนี่แหละ แต่ไม่มีใครเชื่อพระเจ้าท่านนี้สิ  ปัญหา จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 11:30:33

ความคิดเห็นที่ 35 #29 คงยากค่ะ การทำงานของไตค่อนข้างซับซ้อนมาก เพราะมีเรื่องระบบการกรอง การผ่านของสารต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างหัวใจยังเป็นเรื่องของระบบการปั๊ม ยังจะทำเลียนแบบง่ายกว่า #33 ใช่ค่ะ หมายถึงแบบนั้นแหละ เดิมทีเราใช้ cardiac enzyme เป็นตัววินิจฉัย แต่งานวิจัยที่อ้างถึงจะใช้เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงในการเกิดโรค เพิ่มเติม วิธีการวัด TnT ใช้วิธีที่เรียกว่า "Elecsys Troponin T" เป็นของบริษัทยาRoche ซึ่งจะไวกว่าการตรวจแบบเดิมนับสิบเท่า ปกติแล้วเราจะตรวจพบTnT ในคนทั่วไปไม่ถึง 1% แต่ถ้าใช้วิธีนี้จะเจอถึง 25%   แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 12:29:19 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 12:27:24

ความคิดเห็นที่ 36 เรื่อง CPR ถ้าคนป่วยเป็นสาวสวยก็คง A-B-C ถ้าเป็นผู้ชาย ก็คง C-A-B ^^ จากคุณ : Lambert K. เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 15:24:59

ความคิดเห็นที่ 37 ในที่สุดมนุษย์ก็สามารถ"สังเคราะห์"ชีวิตได้แล้ว จากคุณ : Dequardo เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 15:37:59

ความคิดเห็นที่ 38 # 27 คุ้นๆ เคยอ่านผ่านๆ  ว่า ยีนส์ที่ทำให้แก่ จะเป็นตัวเดียวกับที่ทำให้ไม่เกิดเซลมะเร็ง จากคุณ : Timshel เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 20:36:25

ความคิดเห็นที่ 39 #11 นั่นมัน CPR หรือเล่นปูไต่ครับ จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 23:24:44

ความคิดเห็นที่ 40 เข้ามาตะลึงงึงงัน กับ CPR Guidlines ใหม่ ที่เรียนมา พับใส่กระเป๋า แล้วฝังไปเลย เหอๆ นี่ตกข่าวไปสองเดือนกว่าแล้วนะนี่... ให้ไปใส่ ET-tube , CPR ตอนนี้นี่ ต้องจำเป็นจริงๆนะครับ ไม่งั้น ไม่ทำแน่นอน เหอๆ ลืมแทบเกลี้ยงแล้ว จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 53 02:06:23

ความคิดเห็นที่ 41 เท่าที่ผมอ่าน(แบบงงๆ)จาก scientific american งานของน้า Craig ventor (ซึ่งเคยเป็นป๋าของ Human genome project ก่อนที่น้าแกจะรู้สึกว่า ตูอยู่เอกชนดีกว่า แล้วลาออกมาตั้งบริษัทเอง) ยังไม่ได้สร้างชีวิตขึ้นเองทั้งหมด แต่ใช้เปลือกของแบคทีเรียตัวนึง เอารหัสพันธุกรรมเดิมออก แล้วต่อ nucleotide ขึ้นใหม่จนครบเสร็จ จึงค่อยจับเจ้าสายยาวๆเนี่ยใส่เข้าไปแทน เมพมากๆครับ.... จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 18:22:53