ความคิดเห็นที่ 1 อันดับที่ 9 Polar Bear Plunge       “หมีขั้วโลกกระโดด” เป็นงานที่จัดขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยผู้เข้าร่วมจะต้องลงกระโดดลง ในน้ำที่มีอุณหภูมิติดลบ ความจริงงานนี้จัดขึ้นทั่วโลก แต่จัดยิ่งใหญ่สุดอยู่ที่สวนสาธารณะ Sand Point รัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกาประจำทุกปี เพื่อนำเงินสมทุบองค์กรการ กุศล โดยผู้ร่วมสมัครจะต้องเขียนสัญญา “หากตายจะไม่ฟ้อง” เนื่องจากการลงในน้ำที่เย็น จัดอาจทำให้คนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นเป็นตะคริว หรือภาวะอัมพาต หรือตายได้ แต่ กระนั้นก็มีคนบางคนกล้าทำแบบนี้ จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 14:50:40

ความคิดเห็นที่ 2 อันดับที่ 8 Firework Battle – Chios, Greece             ถ้าคุณคิดว่าโบสถ์น่าเบื่อละก็ ขอบอกว่าคุณคิดผิด อย่างน้อยก็ไม่ใช้คนในเกาะชิออส ในประเทศกรีซแน่นอน เกาะเล็กๆ แห่งนี้มีประเพณีที่สุดแสนเร้าใจ โดยทุกปีเมื่อถึงเทศกาล อีสเตอร์ของชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ จะเตรียมการป้องกันบ้านเรือนของพวกเขาด้วยการ นำแผ่นโลหะมาปิดบังหลังคาและตัวบ้าน เพื่อป้องกันพลุไฟนับร้อยๆ ลูกที่อาจจะตกใส่บ้าน ของพวกเขา เพราะเมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงคืนของวันเสาร์ ก่อนถึงวันอีสเตอร์ของชาวออร์โธดอกซ์ ชาวบ้าน ที่โบสถ์ เซนต์มาร์กอส และโบสถ์ พานาเกีย เอริเธียนี่ จะระดมยิงพลุที่เตรียมไว้นับหมื่นลูก ใส่กันและกัน โดยระยะห่างระหว่างโบสถ์ประมาณหนึ่งกิโลเมตร เป้าหมายของพวกเขาคือ หอระฆังของโบสถ์ฝ่ายตรงข้าม แต่พลุที่พุ่งไปนั้นก็กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ แม้ว่าภาพที่เห็นจะดูน่าตื่นตาตื่นใจจากแสง พลุในยามค่ำคืน แต่ก็มีอันตรายมาก บ่อยครั้งที่พลุตกในพุ่มไม้หรือบ้านเรือน จนทำให้เกิด ไฟลุกลาม ด้วยเหตุนี้ หน่วยดับเพลิงต้องเตรียมพร้อมตลอดคืน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ฉุกเฉิน ประเพณีนี้มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคที่กรีซอยู่ในอาณาจักรออตโตมันเมื่อศตวรรษที่ 19 ตำนาน หนึ่งเล่าขานกันว่า กลาสีเรือได้ยิงปืนใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ ทำให้ทหาร ออตโตมันสั่งยึดปืนใหญ่ทั้งหมด เพราะเกรงว่าชาวบ้านจะใช้ปืนใหญ่มาใช้ก่อการกบฏ ชาวบ้านจึงต้องหันไปใช้พลุยิงเฉลิมฉลองแทน ในอดีตเทศกาลนี้ทำให้เกิดไฟไหม้ได้สร้างความ เสียหายต่อบ้านเรือนและมีแม้กระทั้งคนเสียชีวิต แต่ประเพณียังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าโบสถ์ ทั้งสองแห่งจะถูกถล่มด้วยพลุจำนวนมาก แต่ภายในโบสถ์ก็ยังคงประกอบพิธีมิสซากันตาม ปกติ ส่วนตำรวจก็ต้องปิดเส้นทางถนนระหว่างโบสถ์ทั้งสองไว้ เพื่อความปลอดภัยของชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมเทศกาลนี้ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่มีผู้ใดได้รับ บาดเจ็บจากสงครามพลุบนเกาะไคออส เพราะทางการวางมาตรการรักษาความปลอดภัย ค่อนข้างรัดกุม รวมทั้งมีการเปิดสัญญาณไซเรนในพื้นที่ ก่อนที่การยิงพลุจะเริ่มขึ้น เพื่อเตือน ให้ทุกคนหลบอยู่แต่ในที่ปลอดภัย (แนะนำให้ดูคลิปเพราะอย่างกับสงครามโลกอย่างงั้นแหละ) จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 14:53:18

ความคิดเห็นที่ 3 อันดับที่ 7 Baby Dropping Ritual – Solapur, India                “เทศกาลโยนทารก” เป็นเทศกาลของชาวอินเดียในเมืองโชลาปูร์ ประเทศอินเดีย โดยชาวฮินดูและชาวมุสลิมจัดพิธีกรรมโยนเด็กๆ อายุประมาณ 2 ขวบ รวบมือและเท้า เขย่า ตัวในอากาศก่อนโยนลง จากที่สูงจากชั้นบนของหลังคาสุเหร่าบาบา อูเมอร์ ดูร์กา ซึ่งมีความ สูงกว่า 15 เมตร ลงมายังผ้าที่มีเหล่าผู้ใหญ่ชายหนุ่ม 14 คน ขึงรับอยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นประเพณี ที่ปฏิบัติกันมานานเกือบ 700 ปี ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้เด็กสุขภาพดี และนำโชคดีมาสู่ ครอบครัว ทั้งยังเป็นการแก้เคล็ดเนื่องเด็กอินเดียมีอัตราเสียชีวิตสูง โดยเด็กแต่ละคนกรีดร้องเสียงหลงอย่างเสียขวัญ ด้านผู้จัดงานครั้งนี้ ยืนยันว่าไม่มีเด็กคนใด ได้รับบาดเจ็บ แต่นักสิทธิมนุษยชนเห็นว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงที่จะป้องกัน การกระทำนี้ที่เสี่ยง ต่อสุขภาพของเด็ก ปล่อยให้ชาวบ้านทำเรื่องที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 14:55:08

ความคิดเห็นที่ 4 อันดับที่ 6 Cooper’s Hill Cheese-Rolling – Gloucester, England                  เทศกาลกลิ้งชีส (ดูแล้วเหมือนเทศกาลกลิ้งคนมากกว่า) เป็นเทศกาลที่จัดบนเนินเขาคูเปอร์ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองเชลเท่นแฮม และกลูเชสเตอร์ ในประเทศอังกฤษ ในวันจันทร์สุดท้ายของ เดือนพฤษภาคม ตอนเที่ยง โดยเทศกาลนี้มีประวัติเก่าแก่ถึง 200 ปี โดยพวกเขาจะกลิ้งชีส ก้อนกลมโตที่เรียกว่า Double Gloucester Cheese ลงมาจากบนเนินเขา โดยคนที่วิ่งตามลง มาเก็บได้ก่อนจะได้รับชีสนั้นกลับบ้านไปเป็นรางวัล ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ความจริงมันไม่ง่าย เลย เพราะว่าชีสที่กลิ้งลงเขานั้นเร็วมากประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ไม่มีทางเลย ที่คนจะวิ่งลงเขาจะเก็บชีสนี้ได้ทัน ดังนั้นวิธีที่เอาชนะได้ก็คือ วิ่งตามชีสจนถึงตีนเขา และเก็บมันเท่านั้นถึงจะเป็นผู้ชนะ อีกทั้ง การวิ่งลงเนินเขานั้นมันก็ไม่ง่ายเลย ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะกลิ้งลงมาจากเนินเขาอย่างทุลัก ทุเล บางคนถึงกับตีลังกาหลายสิบตลบก็มีกว่าจะมาถึงตีนเขา แม้มีคนกลิ้งลงเขาจะบาดเจ็บ แต่กระนั้นก็ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต อย่างมากก็ข้อเท้าเคล็ด และกระดูกหักนิดหน่อย ปัจจุบันเทศกาลนี้โด่งดังมากจนนักท่องเที่ยวหลายประเทศต่างเข้าร่วมหลายร้อยคนมาท้าทาย จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 14:56:48

ความคิดเห็นที่ 5 อันดับที่ 5 Onbashira – Japan                เทศกาลเสาเกียรติยศหรือเทศกาลแห่งความกล้าหาญ เป็นเทศกาลในนากาโนะ ประเทศญี่ปุ่น ที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในรอบหกปี (ในปีขาลและปีวอกตามปฏิทินราศีของจีน) ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมและครั้งที่สองในเดือนเมษายน โดยส่วนที่เป็นอันตรายของ เทศกาลคือชาวบ้านจะเข้าไปในป่าแล้วตัดต้นไม้ใหญ่มาจากภูเขาแล้วใช้เชือกมัดกับต้นไม้ จากนั้นพวกเขาก็ลากเชือกพร้อมต้นไม้ลงจากภูเขา เพื่อสร้างอนุสรณ์รอบๆ ทั้ง 4 มุมของ ศาลเจ้า Suwa Taisha Shrine โดยเทศกาลนี้มีเหล่าคนหนุ่มซึ่งมีความกล้าหาญจาก 6 หมู่บ้านในแถบเมืองซุวะ ร่วม 210,000 คน เข้าร่วมงานเทศกาลศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ ส่วนที่มาของเทศกาลนี้ไม่มีใครทราบ แต่จากหลักฐานจากภาพวาดเขียนไดเมียวจินซุวาโกะในสมัยมุโรมาชิ พบว่าจักรพรรดิในสมัย เฮอัน (ปี 781-806) ได้มีรับสั่งให้สร้างศาลเจ้าในปีเสือและวอก จึงว่ากันว่าเป็นต้นกำเนิด ของเทศกาลซึ่งหลายคนบอกว่านี้เป็นเทศกาลแห่งความกล้าหาญ แต่ก็มีรายงานผู้ได้รับ บาดเจ็บและเสียชีวิตในขณะเข้าร่วมเทศกาลมากมายหลายราย จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 14:58:14

ความคิดเห็นที่ 6 อันดับที่ 4 Christmas Trees                หลายคนทั่วโลกที่นับถือคริสต์มักจัดเทศกาลคริสต์มาสในเดือนธันวาคมด้วยการซื้อต้นไม้สดหรือต้นไม้เทียมเพื่อจัดตกแต่งงานคริสต์มาสในบ้านของพวกเขา จนกลายเป็นสัญลักษณ์ ที่ขาดไม่ได้ในวันสำคัญนี้ไปเสียแล้ว อย่างไรก็ตามในช่วง 2003-2006 มีกรณีถึง 240 ราย ที่ไฟไหม้บ้านซึ่งเกิดขึ้นทุกปีโดยต้นเพลิงมาจากต้นคริสต์มาส โดยจากสถิตของสมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติพบว่า โดยเฉลี่ยมีผู้เคราะห์ร้าย 16 ราย เสียชีวิตเพราะไฟไหม้ และ 25 รายได้รับบาดเจ็บในแต่ละปี แม้ว่าโอกาสที่จะเกิดไฟลุก ต้นคริสต์มาสจะยาก แต่เมื่อเกิดขึ้นก็ก่อให้เกิดหายนะอย่างใหญ่หลวงที่ยากจะป้องกันได้ จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 14:59:41

ความคิดเห็นที่ 7 อันดับที่ 3 Female circumcision                การขริบอวัยวะเพศหญิง หมายถึง การตัดส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด หรือทำอันตราย ต่ออวัยวะเพศภายนอกของสตรีไ ม่ว่าจะเป็นการกระทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม หรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เพื่อการรักษาพยาบาล โดยประเทศที่มีประเพณีนี้ก็มีอียิปต์ ซีดาน มาลิ และเอธิโอเปีย โดยมีความเชื่อที่ว่าผู้หญิง ที่ไม่ได้ขริบอวัยวะเพศอาจมีอารมณ์ทางเพศเมื่อออกไปข้างนอก จนอาจไปขืนใจผู้ชายได้ จึงต้องตัดต้นตอจุด ที่ถือว่าไวต่อความรู้สึกทางเพศนั้นทิ้งเสีย ขั้นตอนเหล่านี้ กระทำโดย การเฉือนอวัยวะเพศด้านนอกบางส่วน หรือทั้งหมด และเย็บรวมไว้ด้วยกัน โดยเหลือช่องเล็กๆ ไว้สำหรับให้เลือดประจำเดือน และปัสสาวะไหลออกมาได้เท่านั้น วิธีการเหล่านี้ทำให้นำไปสู่ความตายจากความเจ็บปวดสุดแสนสาหัส หรือเลือดตกในมากไป เนื่องจากไม่มีการใช้ยาชา นอกจากนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ผ่านการขริบอวัยวะเพศมักจะมีปัญหา ด้านสุขภาพหลายประการ รวมถึงการการตกเลือดอย่างรุนแรงถึงขั้นตายได้ โดยจากการคาด การขององค์การอนามัยโลกพบว่าผู้หญิงที่ผ่านพิธีนี้ 1/3 จะตายเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:01:32

ความคิดเห็นที่ 8 อันดับที่ 2 Running of the Bulls – Pamplona, Spain                  เทศกาลซานเฟอร์มิน เป็นเทศกาลที่เริ่มจัดขึ้นในปี 1910 ที่เมืองปามโปลน่า ประเทศสเปน เป็นที่รู้จักในชื่อเทศกาลวิ่งวัวกระทิง จัดขึ้นเป็นประจำตั้งแต่วันที่ 7-14 กรกฎาคมของทุกปี ใน 8 วันของเทศกาล 9 วัน จะมีผู้คนจำนวนมากทั้งใน และต่างประเทศเดินทางมาเข้าร่วม แออัด ในถนนของเมืองถูกสร้างสิ่งกีดขวางไว้ คนที่ร่วมแข่งขันแต่งชุดพื้นเมืองสีขาว ผูกผ้า คลุมเอวและผ้าพันคอสีแดง เพื่อรอสัญญาณเตรียมวิ่งหนีการไล่ขวิดของวัวกระทิงที่ถูกปล่อย ออกมาหกตัว ให้วิ่งอุตลุดไปตามถนนแคบๆ การแข่งขันกินเวลาเพียง 2-3 นาที แต่ในแต่ละปีมีผู้บาดเจ็บเป็นร้อย และมีผู้เสียชีวิตเกิน โหลทุกวัน จะมีการปล่อยวัวกระทิงไปจนถึงวันสุดท้ายของเทศกาล และระยะทางการวิ่งจะอยู่ ที่ประมาณ 846 เมตร โดยมีเวลาวิ่งเฉลี่ยตั้งแต่จุดเริ่มไปจนถึงเส้นชัยประมาณสามนาที วัวจะ วิ่งจากคอกไปจนถึงสนามสู้วัวกระทิงที่พวกมันจะต้องสู้กับนักสู้วัวกระทิงในตอนบ่ายวันเดียว กัน และปัจจุบันมีกลุ่มคนที่ต่อต้านเทศกาลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการทารุณ กรรมสัตว์ จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:03:05

ความคิดเห็นที่ 9 อันดับที่ 1 College Hazing                       ประเทศไทยมักพูดบ่อยๆ ว่าประเพณีรับน้องโหดๆ นั้นประเทศเรามีเจ้าเดียวในโลกที่ทำแบบนี้และโหดที่สุด ก็ขอบอกว่าผิดครับ ประเพณีรับน้องโหดนี้มีอยู่ทั่วโลก เราเรียกประเพณีเหล่านี้ ว่า College Hazing มีความหมายว่าพิธีกรรมหรือกิจกรรมอื่นๆ ที่ล่วงละเมิดหรือทำให้ผู้เข้าร่วมอัปยศอดสู่ เช่น เปลือยกาย โดยพิธีกรรมเหล่านี้พบในรูปแบบแตกต่างกันในสังคมกลุ่ม เช่น คลับ, ทีมกีฬา, หน่วยทหาร, สถานที่ทำงาน, สถานศึกษา พบมากในอเมริกาและแคนาดา เชื่อว่าประเพณีการรับน้องมี รากเหง้ามาจากทวีปยุโรปในสมัยกลางประมาณ 700 ปีก่อน โดยเชื่อว่าน้องใหม่ที่เข้ามาเรียน ในมหาวิทยาลัยยังขาดการศึกษาไม่เป็นอารยะชนต้องผ่านการขัดเกลาด้วยความลำบากก่อน ที่จะได้รับชีวิตใหม่ที่ดีในมหาวิทยาลัย เพื่อให้รู้จักประพฤติตัวให้เหมาะสมก็จะถูกบังคับให้ใส่ ชุดแปลกๆ ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกเล่นตลกที่หยาบคายหรือรีดไถเงินหรืออาหารมื้อเย็น สองร้อยปีต่อมาระบบนี้ก็ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วยุโรป แต่ว่าเป็นระบบที่อันตราย มีการบันทึกในเรื่องคนเจ็บ และคนตายจนผู้ปกครองนักศึกษา หวาดกลัวประเพณีนี้มาก ปัจจุบันพิธีกรรมเหล่านี้ผิดกฎหมาย เนื่องจากทำให้ผู้เข้าร่วม กิจกรรมเกิดอันตรายต่อร่างกายหรือจิตใจ ส่วนภาพข้างบนคือภาพพิธีรับน้องใหม่ที่บังดุง ประเทศอินโดนีเซีย และสามารถชมคลิปรับน้องจากทั่วโลกได้ได้คลิปข้างล่าง จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:05:22

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณ Cradit:  http://www.toptenthailand.com แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 53 15:09:26 จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:08:32

ความคิดเห็นที่ 11 สู้ของเราไม่ได้ตายได้ทุกเทศกาล - - จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:08:44

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่มีของอินเดียที่ไปอาบน้ำคงคาหรือครับ เหยียบกันตายทุกปี หรือเพราะเค้ามองที่ตัวประเพณี น่าจะใช่ เพราะการเหยียบกันไม่ได้เกิดจากประเพณีโดยตรง ถามเองตอบเองซะงั้น แฮ่ๆ จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:10:09

ความคิดเห็นที่ 13 น่ากลัวที่สุด ก็โยนเด็กกับ... การขริบผู้หญิง ตอนขริบนี่ผู้หญิงไม่เจ็บตายชักเหรอ อ่านแล้วคิดว่าตกเลือดตายไปเลยก็ยังดีกว่าแผลขริบกลายเป็นผังผืดทรมานไปตลอดชีวิต   -______________-" แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 53 15:20:58 จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:11:37

ความคิดเห็นที่ 14 เล่นสงกรานต์ไทนก็อันตรายนะครับ ยกตัวอย่าง -ขับมอไซค์ซ้อน 3 ซิ่งแหวกเข้าไปในดงที่ผู้คนกำลังสาดน้ำ ละเลงแป้งกันอยู่ -20 คนขึ้นไปยืนเบียดบนรถกระบะพร้อมถังน้ำใบใหญ่ ขณะที่คนขับที่กำลังกินเหล้าอยู่ -เดินเล่นสงกรานต์อยู่ดีๆในงานวัด โดนกระสุนปริศนาเจาะเข้าหัว -แก๊งวัยรุ่นยกพวกตีกันกลางถนน ขณะเล่นสงกรานต์ -ฯลฯ ถ้านับยอดผู้เสียชีวิตผมว่าน่าจะขึ้นเป้นอันดับ 1 แน่นอน จากคุณ : deemakak เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:23:45

ความคิดเห็นที่ 15 เขาวัวน่ากลัวโคตรๆ โดนเสียบจังๆตายแน่นอน จากคุณ : Dequardo เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:26:10

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบข้างบน โดยมีความเชื่อที่ว่าผู้หญิง ที่ไม่ได้ขริบอวัยวะเพศอาจมีอารมณ์ทางเพศเมื่อออกไปข้างนอก จนอาจไปขืนใจผู้ชายได้ จึงต้องตัดต้นตอจุด ที่ถือว่าไวต่อความรู้สึกทางเพศนั้นทิ้งเสีย ความเชื่อที่ว่า  คิดว่าผู้ชายหรือผู้หญิงเป็นคนเชื่อละ คิดออกมาได้ยังไง  เลวจริง ๆ จากคุณ : สักวันเราคงจะรู้จักกัน เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:38:30

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่ชอบเล้ย รับน้องโหด จากคุณ : สายน้ำตะวันออก เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:47:01

ความคิดเห็นที่ 18 ยิงพลุท่าจะมันส์ จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 15:48:18

ความคิดเห็นที่ 19 กระโดดหอคอยของชาวเขาแถวๆปาปัวฯหรือวานูอาตูไม่ติดหรอ เรื่องจริงผ่านจอเคยไปทำเรื่องนี้อยู่นะ จากคุณ : BONDJUNG_TH เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 16:10:41

ความคิดเห็นที่ 20 คห.14 ไปทำความเข้าใจกับเทศกาลมาใหม่ จากคุณ : ผีฟรีคิก เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 16:25:32

ความคิดเห็นที่ 21 เชื่อค่ะ ว่าพิธีรับน้องใหม่ น่ากลัวมาก รุ่นพี่....จิ๊หาย จากคุณ : Kryta (Kryta Ja) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 16:28:00

ความคิดเห็นที่ 22 ต่อไปของไทยก็คงต้องติดอันดับโลกกับเขาด้วย  คือประเพณี "กีฬาสี" ของไทยไงครับ  แข่งกันขึ้นมาแต่ละที  ผมว่าข้างบนๆ นี่ชิดซ้ายไปเลย  เราจัดได้ใหญ่กว่า  ตายจริง  เจ็บจริง  ครั้งต่อไปไม่รู้สีไหนจะจัด  ต้องติดตามชมหรือจะลงไปร่วมแข่งด้วยเลยก็ตามอัธยาศัยครับ จากคุณ : แว่นใสใจดี เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 16:28:28

ความคิดเห็นที่ 23 จากคุณ : CherryBlossom669 เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 17:01:50

ความคิดเห็นที่ 24 กระทู้นี้คาดว่า แนะนำ แน่ๆ จากคุณ : อาบะเรนเจอร์ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 17:35:25

ความคิดเห็นที่ 25 #17 นั่น หนังเรื่อง full matel jaket ไม่ใช่เหลอครับ เรื่องนี้ โหดมักๆ จำได้ อึ๋ยๆๆๆๆ จากคุณ : noname เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 17:38:17 A:203.153.166.116 X: TicketID:111907

ความคิดเห็นที่ 26 ขริป โหดมาก สงสาร ญ จัง จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 18:17:49

ความคิดเห็นที่ 27 อันดับ 8  ผมนึกว่าอุกกาบาตตก 55555555+   ใครไม่รู้จริง  หลบไม่ทัน  ตายได้เลย 555+ จากคุณ : คนหน้าตาดี ไม่อยากมีแฟน เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 18:22:49

ความคิดเห็นที่ 28 #19 จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 18:29:33

ความคิดเห็นที่ 29 อืมตอนแรกเข้ามาลุ้นว่า ประเพณีปาส้มของอิตาลี่จะมีบ้างหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ไม่ติดอันดับแฮะ แต่พูดไปแล้ว ผมว่าอันดับ 3 เนี่ย น่ากลัวกว่า อันดับ 1 อีกแฮะ (May the newtype be with you) ขอให้นิวไทป์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : Norah เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 18:38:56

ความคิดเห็นที่ 30 สงกรานต์ไฟที่สเปนก็น่ากลัวนะ จากคุณ : interaction เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 19:06:34

ความคิดเห็นที่ 31 อันดับ ๓ นี่ทารุณอย่างรุนแรง  น่าสงสารผู้หญิงมาก ทำยังไงเขาจะเลิกเชื่อแบบนี้กันซักที จากคุณ : ขุนไกรครับผม เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 19:12:38

ความคิดเห็นที่ 32 http://www.google.com/search?sourceid=navclient&ie=UTF-8&rls=CYBA,CYBA:2009-05,CYBA:en&q=%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA+%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B5 น่ากลัวมากๆ จากคุณ : สวยแต่ไม่มีใครรู้ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 19:18:21

ความคิดเห็นที่ 33 อันที่ 2 น่าสนุกจังครับ วิ่งหนีวัวกระทิง จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 19:19:15

ความคิดเห็นที่ 34 อันดับที่3 โดยมีความเชื่อที่ว่าผู้หญิง บลา บลา บลา ใครเชื่อยะ!?!?? จากคุณ : ~N~ Still captivating++ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 19:31:56

ความคิดเห็นที่ 35 อันดับ 3 น่าสงสารจัง   จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 19:33:26

ความคิดเห็นที่ 36 ขลิบอวัยวะเพศหญิง ... โอ๊ย มันไม่มีให้ขลิบเหมือนผู้ชายซักหน่อย คิดได้ไงเนี่ย จากคุณ : Margaret เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 19:48:23

ความคิดเห็นที่ 37 รับน้อง จากคุณ : Napoleonic เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 20:15:34

ความคิดเห็นที่ 38 อันดับที่ 3 Female circumcision บางรายก็ขริบ บางรายก็เย็บรวมกันไว้ (แค่คิดก็เสียวน้องแล้วอ่ะ - -" มันจะทำได้ยังง้ายยยย ไม่เหมือนของน้องจู้ของผู้ชายสักหน่อย) อยากถามว่า แล้วจะมีลูกยังไง? ในเมื่อช่องนั้นมันเล็กกะติ๊ดเดียว มนุษย์ประเทศนั้นไม่สูญพันธ์แย่หรอคะ -0- (สรุปหมกมุ่นอยู่เรื่องเดียว 5555) จากคุณ : softii-z เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 20:48:27

ความคิดเห็นที่ 39 ประเพณีปล่อยโคมลอยของเชียงใหม่นี่ไม่ติดเหรอครับ อันนี้ตัวเองไม่เดือดร้อน แต่อาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ส่วนอันบนๆน่ะ อันไหนที่แส่หาเรื่องเอง ทำแล้วเจ็บเอง ไม่ไปเดือดร้อนคนอื่นก็ปล่อยมันไปเต๊อะ แต่อันที่เดือดร้อนคนอื่นเช่นขลิบ ญ น่าจะเอาไอ้คนทำกับให้คนบังคับทำมาขลิบสดๆบ้าง จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 20:58:27

ความคิดเห็นที่ 40 รับน้องโหด จากคุณ : ไผ่พริ้ว (PyDE) เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 21:08:53

ความคิดเห็นที่ 41 ตอนเรียน ป.โท อาจารย์ที่สอนวิชา Multicultural Education เคยเอาเรื่องขลิบของผู้หญิงมาให้อ่าน เพื่อให้เข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่างของคนชาติต่าง ๆ อ่านแล้วเศร้า สยอง และโกรธมาก คลาสวันนั้นถกกันเมามันสุด ๆ ไปเลย เพราะถึงแม้เพื่อนร่วมชั้นจะมีคนผิวดำเยอะ แต่ไม่มีใครเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และน้อยคนมากที่รู้ว่ามีพิธีกรรมแบบนี้อยู่ และยังคงมีอยู่ อาจารย์บอกว่าแม้กระทั่งในอเมริกาเอง คนที่อพยพมาจากประเทศที่มีการขลิบก็ยังมีการแอบทำพิธีกรรมนั้นอยู่ค่ะ ถึงแม้ว่าจะผิดกฏหมายก็ตาม ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นคนต้นคิดนะคะ ถ้างั้นทำไมไม่ตัดของผู้ชายบ้างล่ะ ผู้หญิงมันจะกลัดมันได้ฝ่ายเดียวหรือไง ถ้าจะโหดแล้วก็ขอให้เท่าเทียมหน่อยเหอะ จากคุณ : i BeliEve iN deStiny เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 21:28:37

ความคิดเห็นที่ 42 ชอบ the rocket war มากครับ จากคุณ : SignPost เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 21:33:12

ความคิดเห็นที่ 43 ประเพณีบวชนาค ชัยภูมมิน่าจะติด จากคุณ : aekerteam เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 21:35:52

ความคิดเห็นที่ 44 อันดับหนึ่งไม่ใช่ที่เราคิดแฮะ -_-'  นึกว่าประเพณีโยนภรรยาเข้ากองไฟที่เผาศพสามีซะอีก  อันนั้นตายแทบจะ100%  แม้อินเดียจะบอกว่าประเพณีนี้ผิดกฎหมายแต่ยังมีการทำกันอยู่ โดยเมื่อสามีตาย ภรรยาจะถูกจับโยนเข้ากองไฟให้ตายตกตามสามี น่ากลัวที่ซู้ดดดดดดดดดดด จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 22:11:12

ความคิดเห็นที่ 45 เทศกาลสงกรานต์ ?  หุหุ นี่แหละความจริงที่หลายคนรับไม่ได้ จากคุณ : ไหปลาร้า เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 22:27:41

ความคิดเห็นที่ 46 อันดับ 8 ถ้่าบ้านเราอยู่แถวโบสถ์นั่น มีย้ายหนีแน่นอน จากคุณ : แฮมแฮมพลังเค เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 22:38:33

ความคิดเห็นที่ 47 เรื่องการขริบนี่เราเกลียดสุดๆเลยค่ะ พวกผู้ชายที่ตั้งกฏมันเห็นแก่ตัวอย่างมาก ผู้หญิงบ้าที่ไหนจะอยากไปไล่ขืนใจผู้ชายฟะ  ทีของพวกผู้ชายไม่ตอนบ้างล่ะ จะได้ไม่ข่มขืนผู้หญิง จากคุณ : amamizu เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 22:53:17

ความคิดเห็นที่ 48 ขลิบอวัยวะเพศหญิง ขนลุกอ่ะ จากคุณ : Tarsier เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 22:55:27

ความคิดเห็นที่ 49 สงกรานต์บ้านเรา ตัวประเพณีไม่อันตรายครับ แต่พฤติกรรมของคนในช่วงประเพณีนี้ต่างหากที่อันตราย จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 22:56:39

ความคิดเห็นที่ 50 สำหรับความคิดของเรานะคะ คือประเพณีสงกรานต์เราไม่ได้น่ากลัวนะคะ คือ จากที่ใน 10 อันดับ ความตาย อุบัติเหตุ เนี่ยมันจะเกิดจาก ตัวประเพณีเอง ที่เป็นอันตราย คือเป็นเพราะประเพณีนี้จริงๆ เป็น อุบัติเหตุที่เกิดจากประเพณีนี้จริงๆ แต่สงกรานต์ เนี่ย มันเกิดเพราะ องค์ประกอบข้างเคียงมากกว่า การกินเหล้า การขับมอไซต์ มากกว่า ถ้าตัดสินจากตัวประเพณี เราว่า มันไม่ได้น่ากลัวเลย การเปลี่ยนแปลง ทางสังคมที่ทำให้ ประเพณีนี้มันเปลี่ยนมากกว่า แถมเปลี่ยนในแง่ลบ ไม่ได้เป็นการพัฒนาเลย แต่ก็เป็นบางที่มากกว่า ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ยังมีที่ดีดี ที่จัดขึ้นตามประเพณีจริงๆ (เหลือน้อย) ส่วนตัวเราชอบนะ สงกรานต์ เราได้กลับบ้าน เจอหน้าทั้งตระกูลเลย เจอเพื่อนด้วย แต่ไม่ได้เล่นแล้ว เพราะ รู้สึกว่าตัวเองแก่เหลือเกิน เหมือนมีเด็ก ม.ต้น ม.ปลายซะมากกว่าที่เล่น (เล่นอันตรายด้วย) บางคน จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 53 23:37:55

ความคิดเห็นที่ 51 อ่านไปขนลุกไป น่ากลัวมากมาย จากคุณ : nowan เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 01:39:13

ความคิดเห็นที่ 52 อิสลามมันคิดบ้าๆครับ คิดแต่ล่ะอย่างเอาเปรียบผู้หญิงชัดๆ ไปขลิบของผู้หญิงเพราะผู้หญิงไปไล่ขืนใจผู้ชาย โอ๊ว มันเอาสมองอันน้อยนิดส่วนใหนมันคิด หรือ มีเมียได้หลายคน ศาสนาเห็นแก่ตัวชัดๆ พูดตามตรง ถึงแม้จะต้องเลี้ยงดูให้ดีทุกคนก็เหอะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ มีใครทำครับ ฆ่าเพื่อเกียติยศ คุณจะฆ่าน้องสาว เมีย หรือ ญาติเพศหญิงคนใหนก็ได้เพียงแค่คิดว่าเขานอกใจสามี ยังไม่นับประเพนีอีกหลายๆเรื่องที่ผมได้เจอะเจอ ตอนมีเพื่อนเป็นอิสลาม ผมว่านิ่มันเป็นศาสนาที่กดขี่ผู้หญิงครับ ทุเรศจริงๆ ไม่ได้หาเรื่องศาสนานี้นะ  พูดออกมาจากที่เจอ พูดออกมาจากที่เห็น จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 03:22:59

ความคิดเห็นที่ 53 เคยอ่านหนังสือนิยายของคุณ โสภาค สุวรรณ เรื่องเจ้าชาย ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องการขลิบอวัยวะเพศ ด้วยคะ รู้สึกว่า จะกระทำก่อน ที่ เด็กผู้หญิงจะมีประจำเดือน ก่อนที่จะรับรู้ ก่อนที่จะมีความต้องการทางเพศ เผื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ถ้าครอบครัวมีฐานะ ก็จะมียาชา มีหมอทำให้ แต่ถ้ายากจนข้นแค้น ก็จะเป็นผู้เฒ่าคนแก่เป็นคนลงมือ เป็นความเชื่ออนุรักษ์ประเพณีธรรมเนียมเก่าแต่ ตามหมู่บ้าน ยังเชื่อว่า พวกผู้หญิงจะไม่สงบเสงี่ยมอยู่ในจารีตประเพณี ถ้าไม่ขลิบหรือตัดอวัยวะเพศส่วนที่ว่าออกให้หมด ถ้าไม่จำกัดความรู้สึกทางเพศของผู้หญิงให้หมดจดก็จะทำให้การควบคุมผู้หญิง ทั้งเด็ก ทั้งสาว ทุกวัยจะเป็นปัญหาเหมือนสังคมอื่น ๆ ผู้ชายจะเหมือนกับว่า มีผู้หญิงไว้เป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ ตัณหา เหมือนเป็นแค่เครื่องประดับ และสัตว์เสี้ยงภายในบ้าน ผู้หญิงเกิดมา เพือยอมรับกับการเจ็บปวดอยู่แล้ว ทั้งการมีประจำเดือน การมีเพศสัมพันธ์ การคลอดลูก ปัญหาที่ ยังส่งผลถึง การติดเชื้อจากใบมีดโกน การมีผลจำเดือน การคลอดลูก และการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การแต่งงานมักจะเป็นการคลุมถุงชน และสภาพ ร่างกายของเจ้าสาวยยังไม่พร้อม บวกกับอายุยังน้อย ก่อนที่จะแต่งงาน  จะมี ทางฝ่ายเจ้าบ่าว จะมีการส่งญาติผู้ใหญ่ หรือคุณหมอ มาดู ว่า ทางฝ่ายเจ้าสาวได้ทำการขลิบเรียบร้อยแล้วหรือยัง มีบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า  Only men enjoy sex เท่านั่น เท่าที่สมองอันน้อยนิดของเรา จำได้ ในหนังสือ เขียนไว้ประมาณนี้ จำได้แม่น เพราะว่า สะเทือนใจมาก ได้รู้ถึงประเพณี โหด ๆ อีกมุมหนึ่งในโลกใบนี้ จากคุณ : eissee เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 06:24:01

ความคิดเห็นที่ 54 อ่านแล้วหดหู่ที่สุด ก็ขลิบอวัยวะเพศหญิงนี่แหละ เพื่อ.... กันไม่ให้ผู้หญิงมีอารมณ์เมื่ออกไปข้างนอก แล้วจะไปข่มขืนคนอื่น ....... คิดว่าคนที่คิดประเพณีนี้ขึ้นมาไม่ใช่ผู้หญิงแน่นอน โชคดีที่เกิดเป็นคนไทย ที่ผู้หญิงไม่โดนกดขี่ขนาดนี้ จากคุณ : สดใสซาบซ่า เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 11:04:52

ความคิดเห็นที่ 55 ขลิบอวัยวะเพศหญิง น่าจะอยู่อันดับ  1 น่ากลัวมากๆ จากคุณ : พาไล เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 11:46:59

ความคิดเห็นที่ 56 ห้ามทำหมัน มีเมียหลายคน ห้ามแต่งข้ามศาสน เรียนศาสนาก็เพียงพอ ฯลฯ มันเป็นเทคนิคการขยายลัทธิครับ แข่งกัน ได้แต่ปริมาณ ปราศจาก คุณภาพโดยสิ้นเชิง จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 12:01:28

ความคิดเห็นที่ 57 อร๊ายยย...อันดับ 3 อ่านไป ขมิบไป....หวาดเจี๋ยว ทำไมมันโหดขนาดนั้น ทำยังกะผู้หญิงไม่ใช่คน จากคุณ : เต่าพันปี เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 13:05:27

ความคิดเห็นที่ 58 เทศกาลกลิ้งชีส น่าสนุกมากเลย^^ จากคุณ : ซึนเดเรกโกะ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 14:29:34

ความคิดเห็นที่ 59 อันดับแปด น่ามาเจอกับบั้งไฟเมืองไทย จากคุณ : นั่งกินลมชมวิว เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 14:35:09

ความคิดเห็นที่ 60 กลัวขลิบที่สุดเลยค่ะ จากคุณ : wippygal25 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 15:27:31

ความคิดเห็นที่ 61 เรื่องขลิบ ญ นี่เคนอ่านมาครับ เค้าบอกว่า ความสุขทางเพศ ควรมีแต่เพศชายเท่านั้นที่ได้รับ เพศที่ด้อยค่ากว่าอย่างเพศหญิง ไม่ควรได้รับความสุข อันสุดยอดนี้ครับ ดังนั้นจึงต้องขลิบซะ เพื่อจะได้ลิ้มรสความสุขทางเพศน้อยลง ส่วน อันดับที่ 8 นี่ ผมว่าไทยส่งเสือ้แดงไปแข่ง ท่าทางจะชนะแหง อิอิ จากคุณ : สายฟ้า เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 15:54:11 A:118.172.54.86 X: TicketID:299822

ความคิดเห็นที่ 62 แนวคิดที่ว่าผู้หญิงเป็นเครื่องตอบสนองทางเพศของผู้ชายที่บ้านเราก็เป็นค่ะ เพียงแต่เราไม่ได้ทำร้ายผู้หญิงแบบนั้น แค่เราชอบวัดคุณค่าของผู้หญิงที่ความสด ความซิง ผู้หญิงที่ดีคือคนที่ไม่มีความต้องการทางเพศ เคยมีอะไรกับผู้ชายเพียงคนเดียวคือสามี มีหน้าที่เป็นแม่และภรรยา ในขณะที่ผู้ชายสามารถมีได้ไม่อั้น (ในอดีตวัฒนธรรมไทยก็อนุญาตให้ผู้ชายมีเมียได้เยอะๆเหมือนกันแหละค่ะ จนปัจจุบันผู้ชายที่ยังไม่พัฒนาก็ยังคงพฤติกรรมเช่นนั้นอยู่) บางครั้งผู้ชายไทยเองก็ทำร้ายผู้หญิงทางอ้อมจากการกำหนดมาตรฐานเหล่านี้ใส่ผู้หญิง (และผู้หญิงหลายคนก็ดันยอมรับมาตรฐานที่ผู้ชายวาดไว้เสียด้วย) จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 16:21:22

ความคิดเห็นที่ 63 อันดับ 3 น่ากลัวและน่าสงสารมากๆ ค่ะ จากคุณ : Jemie_A เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 16:32:15

ความคิดเห็นที่ 64 ผมว่าดูบอลไทยน่าจะอันตรายเหมือนกัน จากคุณ : ReHeat เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 20:28:51

ความคิดเห็นที่ 65 เข้าใจว่าการขลิบอวัยวะเพศหญิงนี่ไม่ใช่ศาสนาอิสลามนะคะ เป็นความเชื่อของเผ่าในประเทศทางแอฟริกามากกว่า ถ้าจำไม่ผิดค่ะ จากคุณ : i BeliEve iN deStiny เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 21:32:36

ความคิดเห็นที่ 66 ข้อความต้นฉบับคัดลอกมาจากบทความของ “คุณดำรง พุฒตาล” “คู่สร้าง คู่สม” ปีที่23 ฉบับที่415 เมษายน ปักษ์แรก 2545    คุณซาโลยาบอกกับคุณหมอมาลินีว่า พ่อของเธอเป็นอดีตเอกอัครราชทูตโซมาเลีย เรียกได้ว่าเป็นลูกของบุคคลชั้นนำของประเทศที่ได้รับการศึกษาสูง และทันสมัยที่สุด แต่เธอก็ยังต้องเข้าสุหนัด เพื่อตัดขลิบอวัยวะเพศตามประเพณี เมื่อตอนอายุ 13 ขวบ ขณะย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์     เนื่องจากโซมาเลียมีชาวพื้นเมืองอยู่หลายเผ่า บางเผ่าจึงให้เด็กผู้หญิงเข้าสุหนัดตั้งแต่อายุ 6 ขวบ การเข้าสุหนัด มีหลายระดับ สุดแต่ประเพณีของท้องถิ่น หรือตามความประสงค์ของพ่อแม่ที่ไม่เหมือนกัน สุดแล้วแต่ว่า จะสงสารลูกสาวของตนแค่ไหน ระดับที่ 1 ตัดเฉพาะคลิตอริส ระดับที่ 2 ตัดคลิตอริส กับแคมเล็ก หรือแคมใน ระดับที่ 3 ตัดทั้งคลิตอริส แคมเล็ก และแคมใหญ่ ระดับที่ 4 นอกจากตัดแล้ว ยังเย็บปิดช่องคลอดบางส่วนด้วย     คุณซาโลยา ผู้แทนจากโซมาเลีย จึงเอามาเปิดเผยในที่ประชุมให้รู้ว่า เหตุการณ์แบบนี้ยังคงมีอยู่ และอยากให้สหประชาชาติได้ช่วย อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย เหตุผลการเข้าสุหนัดของผู้หญิงชาวโซมาเลียถือว่า ผู้หญิงคือสมบัติของผู้ชาย ผู้หญิงมิบังควรรู้รสชาติของการมีเพศสัมพันธ์ และไม่ต้องการให้เกิดความต้องการทางเพศ จนต้องสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง จึงตัดต้นตอจุดที่ทางแพทย์ถือว่าไวต่อความรู้สึกทางเพศมาก ๆนั้นเสียเลย      วิธีการตัดนั้นก็แสนจะทารุณ เพราะเฉือน ออกแบบสด ๆด้วยมีดโกน สมัยก่อนเคยใช้คมไม้ไผ่ด้วยซ้ำ พอถูกตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อแม่จึงจะถือว่าลูกสาวสะอาดบริสุทธิ์ เป็นคนดีมีคุณค่า พร้อมที่จะมีสามีได้       ข้อสำคัญ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะไม่มีผู้ชายอยากแต่งงานด้วย เพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นผู้หญิงที่สะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทินหรือไม่ วาริส ดีรี นางแบบสาวชาวโซมาเลีย เล่าไว้ในหนังสือชีวประวัติของเธอ ชื่อ Desert Flower วาริส -ดอกไม้ทะเลทราย    วาริส ดีรี เป็นเด็กมุสลิมผิวดำชาวแอฟริกัน รูปร่างผอมสูง ครอบครัวยากจนเร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายอันร้อนระอุ และแห้งแล้งของประเทศโซมาเลีย เธอเป็นลูกสาวชาวบ้านที่เติบโตมาในสังคมปศุสัตว์ เร่ร่อนหาแหล่งอาหารกันตลอด     เมื่อเด็กหญิงวาริส อายุได้ 13 ขวบ พ่อของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับผู้ชายแก่ เธอตัดสินใจหนีออกจากเผ่า วิ่งฝ่าป่าและทะเลทราย รอดชีวิตจากสิงโตและการถูกข่มขืนอย่างหวุดหวิด ผ่านชีวิตที่ตกระกำลำบากอย่างแสนสาหัส กว่าชะตาและโชคจะเล่นตลกให้เธอได้ไปเป็นคนใช้ที่ทำเนียบฑูตโซมาเลีย ประจำลอนดอน และได้ผันตัวเองไปเป็นนางแบบมุสลิมแอฟริกันมีชื่อเสียงที่สุดของโซมาเลีย ต้องบินไปแสดงแบบเสื้อผ้ายี่ห้อดังๆ ระหว่างลอนดอน นิวยอร์ค อยู่เสมอ ๆ        ทำให้เธอได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์เปิดเผยเรื่อง “ของลับ” ของเธอให้กับนิตยสาร “มารี แคลร์” นั่นแหละ โลกจึงได้รับรู้...       ขั้นตอนการเข้าสุหนัดนั้นไม่มีพิธีรีตรองอะไรมาก เรียบง่าย แต่เลือดเย็น จะเตรียมการบ้างก็คือ เงินค่าจ้างหมอตำแย หรือหมอผี กับให้กินน้ำนมแต่น้อยในคืนก่อนเข้าพิธีสุหนัด เพื่อจะได้ไม่ต้องปวดปัสสาวะมาก       พิธีเริ่มในตอนเช้าตรู่ สถานที่คือลานกลางดิน ตรงไหนก็ได้ที่ห่างไกลจากหมู่บ้าน พอที่คนในหมู่บ้านจะไม่ได้ยินเด็กร้องอย่างเจ็บปวดตอนทำพิธี คนเป็นแม่ จะใช้รากไม้กำมือหนึ่งใส่ปากให้ลูกสาวกัดไว้ จะได้ไม่ร้องเวลาเจ็บ บางคนเอาผ้าผูกตาลูกสาวไว้ด้วย เครื่องมือที่ใช้เฉือนมีทั้งคมไผ่ มีดธรรมดา หรือใบมีดโกน        สำหรับวาริส เธอบอกว่า ถูกกรีดและตัดชิ้นเนื้อส่วนสำคัญยิ่งของลูกผู้หญิงด้วยใบมีดโกนหักๆ มีคราบเลือดของใครบ้างก็ไม่รู้ติดอยู่ เมื่อพร้อมแล้ว แม่จะเข้าไปกอดลูกทางด้านหลังกดหัวลูกแนบไว้กับอก เท้า ๒ ข้างยื่นออกไปข้างหน้า ถัดและถ่างขาของลูกให้เปิดกว้าง เพื่อให้หมอตำแยยิปซีทำงานได้อย่างสะดวก         แม่หมอจะไม่ใช้ยาฉีด ยาชา อะไรทั้งสิ้น แต่จะเฉือนลงไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เฉือนกันสด ๆ ในขณะที่กล้ามเนื้อทุกส่วนของเด็กหญิงสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับเสียงร้องที่เล็ดลอดออกมาจากรากไม้ในปาก ส่วนใหญ่แล้ว จะสลบไปในไม่กี่นาทีถัดไป          ใครที่เข้าพิธีแค่ระดับ ๑ จะพอค่อยยังชั่วหน่อย บาดแผลไม่มากนัก เจ็บประเดี๋ยวเดียวก็แห้งหายไปเอง แต่ที่ต้องทำระดับ ๔ อย่างที่วาริสเจอ มันเจ็บจนร่างกายรับไม่ไหว เพราะพอเฉือนทั้งบริเวณคลิตอริส แคมใน และแคมนอกออกหมดแล้ว           ขั้นตอนต่อไปคือ ใช้หนามจากต้นอะคาเซีย ซึ่งทั้งแหลมและแข็งแทนเข็ม แทงเข้าไปข้างแผลทั้งสองด้าน แล้วสอดด้ายตาม เย็บแคมสองข้างให้เข้ามาติดกัน เหลือแค่ช่องเล็ก ๆ ให้ปัสสาวะ และประจำเดือนพอไหลออกมาได้เท่านั้น เย็บแผลเสร็จ           ขั้นต่อไป คือใช้แถบผ้ายาว ๆ มัดตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงสะโพกไม่ให้ขาแยกออกจากกัน ทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์ จนกว่าแผลจะหาย จึงค่อยแก้ออก            การทำสุหนัดแบบพื้นเมือง ที่ไม่ใช้เครื่องมือทางการแพทย์นี้ ทำให้เด็กหญิงชาวพื้นเมืองที่เข้าพิธี ต้องเสียชีวิตเพราะแผลติดเชื้อเป็นจำนวนไม่น้อย ส่วนผู้ที่รอดมาได้ อวัยวะเพศของเธอก็ต้องผิดรูปจนเห็นได้ชัดเจน            วาริส อดีตนางแบบชื่อดังรุ่นเดียวกับนาโอมิ แคมเบล เล่าว่า เธอเคยเปิดให้เพื่อนนางแบบด้วยกันดูที่ลอนดอน เธอคนนั้นต้องเบือนหน้าหนี และร้องไห้โฮ น้ำตาร่วงพรูทันที    เพื่อนคนนั้นเองที่ขอร้องกึ่งบังคับ จนสามารถพาเธอเข้าโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ผ่าตัดแก้ไข รอยเข็มของหมอตำแยเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อนโน้น            ก่อนหน้านี้ เวลามีประจำเดือนแต่ละครั้งจะทรมานมาก บางคนปวดจนเป็นลม เพราะเลือดที่เสียออกไม่สะดวก ปัสสาวะแต่ละครั้งก็แสนจะทารุณ เพราะเหมือนค่อย ๆเล็ดออกมาทีละหยด เพราะรูที่เปิดไว้เล็กมาก            เรื่องความรู้สึกทางเพศนั้นเลิกพูดได้เลย พอ ๒-๓ สัปดาห์ต่อมา เมื่อแผลหายดีแล้ว วาริสบอกว่า เธอมีความสุขที่สุดที่ได้นั่งส้วมแล้ว “ฉี่” พุ่งออกมาอย่างรุนแรง และปลอดโปร่งเป็นครั้งแรก หลังจากเข้าพิธี            ปัจจุบันวาริส ดีรี แต่งงานแล้ว และมีลูก ๑ คน เธอบอกว่า ถ้าไม่ให้แพทย์ผ่าตัดแก้ไข คงลำบากมากที่จะมีลูก เพราะช่องคลอดที่หมอตำแยยิปซีคนนั้นตัดและเย็บไว้ มีรูนิดเดียวพอให้ร่วมเพศได้เท่านั้น แต่ไม่ใหญ่หรือกว้างพอที่จะคลอดลูกได้            วาริสตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร “มาร แคลร์” เพื่อเปิดเผยให้โลกได้รับรู้ว่า การเข้าสุหนัดนั้น สร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้หญิงแค่ไหน และปัจจุบันนี้ ก็ยังมีการยึดถือปฏิบัติกันอยู่            เมื่อนิตยสารฉบับดังกล่าวออกวางตลาด ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากผู้อ่านมาก และได้เรียกร้องไปยังองค์การสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ให้หาทางยุติประเพณีดังกล่าว ให้สิทธิผู้หญิงให้ได้รับความสุขทางเพศเท่ากับผู้ชาย และบอกว่า ” ผู้หญิงก็ควรมีสิทธิในอวัยวะทั้งปวงของตนเอง ตามที่มีมาแต่กำเนิดเหมือนกับผู้ชายเหมือนกัน” ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติบอกว่า ในโลกนี้มีเด็กผู้หญิงถูกจับเข้าพิธีสุหนัดแล้วถึง 130 ล้านคน แต่ละปีจึงมีผู้หญิงถูกตัดอวัยวะเพศประมาณ 2 ล้านคน หรือวันละประมาณ 6,000 คน เลยทีเดียว และประเทศที่เด็กผู้หญิงถูกบังคับเข้าสุหนัดแบบระดับ 4 นั้น80% เกิดขึ้นในโซมาเลีย ที่แปลกไปกว่านั้น คือ ปัจจุบันเด็กผู้หญิงเชื้อสายแอฟริกันในรัฐนิวยอร์ค ได้ผ่านการเข้าสุหนัดมาแล้วถึงประมาณ 27,000 คน วัฒนธรรมอัฟริกันในการตัดอวัยวะเพศหญิงที่สืบทอดต่อกันมาถึง 4,000 ปีแล้ว หลายคนเข้าใจผิดว่า นี่คือข้อกำหนดของศาสนาอิสลาม แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย ไม่ได้มีการระบุไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน หรือไบเบิลแต่ประการใดด้วย มันเป็นเพียงประเพณีที่ผู้ชายกำหนดขึ้น ด้วยความโง่เขลาเห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง เพื่อที่จะสามารถถือสิทธิ์ในตัวผู้หญิงได้อย่างเต็มที่ และเสพสุขจากเรือนร่างของเธอ ตามความพอใจของตนฝ่ายเดียว!!!!!!! ต้องขอบคุณวาริส ดีรี ที่กล้านำเรื่องนี้ออกมาเปิดเผย ถ้าต้องการทราบรายละเอียดที่มากกว่านี้ ก็ไปหาซื้อหนังสือย้อนหลัง ที่มีบทความนี้ลงได้. http://www.moomkafae.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=moomkafaecom&thispage=1&No=50434 จากคุณ : ผู้ชายสำรองใช้ระหว่างเศร้า เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 21:37:54

ความคิดเห็นที่ 67 ประเทศไทยก็มีงานบุญบั้งไฟไง ได้ข่าวอยู่ทุกปีว่าบั้งไฟพุ่งใส่คน ตายบ้าง บาดเจ็บบ้าง บั้งไฟแตกบ้าง  อันตรายเหมือนกันนะ จากคุณ : ชื่อแรกก็ซ้ำซะแล้ว เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 22:57:20

ความคิดเห็นที่ 68 เราอ่านแล้ว สงสารเธอ ๆ กลุ่มนั้นจังค่ะ และสงสารผู้หญิงหลาย ๆ คน ที่ในสังคม ยังด้อยกว่าผู้ชายอยู่เยอะค่ะ ????? จากคุณ : กุ๊กไก่ไม่ขันมาหาฉันจะกระต๊าก เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 53 23:26:35 A:223.207.161.180 X: TicketID:191399

ความคิดเห็นที่ 69 จาก คห.66 มีด็อกเตอร์มุสลิมหญิงคนหนึ่งตั้งองกรณ์ที่ต่อต้านประเพณีการกดขี่ผู้หญิงทุกรูปแแบบรวมทั้งประเพณีปิดหน้าในมุสลิม แต่เธอโดนขู่ฆ่าบ่อยเลยต้องย้ายหลักแหล่งบ่อยๆ เธอชื่ออะไรครับ จำไม่ได้เลย มีใครรู้บ้างครับ จากคุณ : นายสายฟ้า เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 00:07:48

ความคิดเห็นที่ 70 อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม   ประเพณีขริบบ้าอะไรกัน นี่มันความโหดร้าย และเห็นแก่ตัวชัดๆ แล้วทำไมแม่ถึงใจร้ายยอมให้เค้าเอาลูกสาวไปทำแบบนี้ ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน?    พ่อของเด็กก็เหมือนกัน  ยังไงเค้าก็เป็นลูกคุณนะ คุณเลี้ยงดูเค้ามาตั้งแต่เด็ก  คุณไม่สงสารเค้าบ้างเลยเหรอ?   แล้วทำไมถึงไม่มีใครถามเด็กบ้าง ไม่มีเด็กคนไหนหรอกที่อยากจะทำ   แค่เข็มฉีดยาฉีดวัคซีนที่มีประโยชน์ เด็กยังกลัวเลย นับประสาอะไรกับเรื่องแบบนี้   ที่ต้องเจ็บปวดทรมาน และก็มีรอยแผลเป็นไปชั่วชีวิต แถมยังไร้ประโยชน์อีกต่างหาก    หรือถ้าคุณเชื่อว่าไอ้ประเพณีแบบนี้มันมีประโยชน์จริง  คุณก็น่าจะให้สิทธิเค้าเลือก ถ้าเค้าเห็นว่ามันดีจริง เมื่อเค้าพร้อม เค้าก็จะทำมันเอง เฮ้อออ อ่านเรื่องประเพณีขริบบ้านี่แล้วปวดจิต    ประเพณีน่ะมันเป็นสิ่งดีงามที่คนเค้าปฎิบัติต่อกันมา   แต่ถามหน่อยเถอะว่าไอ้ประเพณีแบบนี้น่ะ มีคนที่ต้องปฎิบัติคนไหนที่เค้ามองว่ามันเป็นสิ่งดีงามบ้าง?  มีแต่ไอ้คนยัดเยียดให้ปฎิบัติเท่านั้นแหละที่มองว่ามันเป็นสิ่งดีงาม ไม่รู้หัวใช้อะไรคิด หรือคิดได้แค่ตัวเองเพราะสมองมันมีแค่นั้น แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 53 01:33:10 จากคุณ : MeeMuay เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 01:23:35

ความคิดเห็นที่ 71 เคยอ่านหนังสือเล่มที่คุณ คห. ที่ ๖๖ กล่าวอ้าง น่าสงสารและเห็นใจผู้หญิงเหล่านั้นจริงๆ โหดร้าย และทารุณอย่างที่สุด จากคุณ : สวยสุดซอย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 02:33:37

ความคิดเห็นที่ 72 จากคุณ : tottui เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 10:17:22

ความคิดเห็นที่ 73 ขอเพิ่มประเพณีลอยโคมยี่เป็งของทางภาคเหนือของไทยไปด้วยได้มั้ยครับ ประเพณีนี้อันตรายน่ะครับ โคมลอยไปตกบ้านก็ไหม้บ้าน ตกป่าก็ไหม้ป่า ตกคนไม่ต้องพูดถึง (หาคนผิด ก็ยากมาก) ที่ทำไปนึกว่าจะได้บุญที่ไหนได้ ได้บาปไปเต็มๆ และคนที่ปล่อยจริงๆไม่คิดถึงการทำบุญหรอก คิดแต่สนุกๆมากกว่า แต่คนที่เดือดร้อนไม่ได้สนุกไปด้วยเลย ป่าที่ไฟไหม้ สัตว์ก็ตาย ไม่มีที่อยู่ อันตรายจะตาย ลอยโคมจริงๆ ไม่ควรจะมีได้แล้วครับ ลองอ่านกระทู้แนะนำในห้อง BP อันนี้ได้ครับ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10021109/E10021109.html จากคุณ : tottui เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 10:24:30

ความคิดเห็นที่ 74 ประเพณีต่อยกันของโบลิเวียไม่มีเหรอ ต่อยกันซะฟันร่วง ผู้หญิงก็มีมาตบกัน จากคุณ : donkeyfool เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 11:09:12

ความคิดเห็นที่ 75 รับน้องโหดเมืองไทยตายทุกปี จากคุณ : tottui เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 14:22:54

ความคิดเห็นที่ 76 อยากให้กิฟท์ คคห ที่ 62 มากเลยครับ อธิบายได้โดนใจ จากคุณ : MSM69 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 15:44:20

ความคิดเห็นที่ 77 ม้าทรง ไม่ติดเลยอ่า.... จากคุณ : ShowNoLiMite เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 20:17:18

ความคิดเห็นที่ 78 เทศกาลกีฬาสีบ้านเราโหดสุด จากคุณ : หมวดดิว เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 53 21:22:09

ความคิดเห็นที่ 79 อ่านเรื่องราวของคุณ วาริส ดีรี แล้วผมน้ำตาซึมด้วยความสงสาร ประเพณีบัดซบอะไรกันวะเนี่ย ! เลิกกันได้แล้วโว้ย !! จากคุณ : macenjoy เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 53 12:20:19

ความคิดเห็นที่ 80 ผมสงสัยว่าใครลอกใครกันแน่ ใครเป็นต้นฉบับ http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=282 จากคุณ : kurokatt เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 53 20:08:09

ความคิดเห็นที่ 81 อ่านขริบแล้ว รู้สึกดีใจและภูมิใจมากๆ ที่เกิดเป็นคนไทยนะ เห็นแล้วน่ากลัวสุดๆเลยอ่ะ จากคุณ : หน่วยย่อย889 เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 10:40:23

ความคิดเห็นที่ 82 เมื่อวานเพิ่งเปิดโทรทัศน์เจอ เทศกาลประมาณว่าจับคู่ต่อยกัน ที่โบลีเวีย ดูแล้วต้องบอกว่าโหดได้โล่ห์ พี่แกซัดกันเลือดท่วมเลย ใครมีข้อมูล เผยแพร่ทีครับ จากคุณ : se-ge-o เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 21:03:51

ความคิดเห็นที่ 83 ประเพณีโคมลอย (ยี่เป็ง) นั้น ถ้าไฟไม่ดับมันก็ไม่ตกนะครับ กรุณาเข้าใจให้ดีๆเสียก่อน เมื่อมันไม่ตก แล้วมันจะไปทำให้ไฟไหม้บ้านใครได้ หรือบ้านของคุณเคยโดนไฟไหม้ จากโคม ลอยล่ะ จากคุณ : ข้าวเหนียวอุ่น เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 17:30:00

ความคิดเห็นที่ 84 ประเพณีโคมลอย เมื่อก่อนของเชียงใหม่ เป็นการปล่อยโคมลอยตอนกลางวัน เป็นโคมลอยทำด้วยกระดาษบางๆ บรรจุควันลมร้อน ที่ก่อไฟบรรจุควันที่พื้นดินเท่านั้น จะไปปล่อยกันตามวัด โคมไฟลอยเริ่มจะมีมาไม่ถึงสิบห้าปี โคมไฟลอยที่ใช้จุดเชื้อไฟลอยไปด้วย น่าจะเริ่มจากที่งานจุดเทียนเล่นไฟที่สุโขทัยของ ททท. ที่คนรับจัดงานไปเอารูปแบบโคมไฟลอยมาจากญี่ปุ่น (เคยมีสารคดีแสดงประเพณีลอยโคมไฟในญี่ปุ่นออกทางทีวีด้วย)มาประกอบการแสดง หลังจากนั้นพวกนักจัดงานทั้งหลายก็มักเอาโคมไฟลอย เพื่อจะได้เห็นมุมถ่ายภาพสวยงามในตอนกลางคืนหรือสร้างรูปแบบให้งานมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ที่ว่าจะเป็นการส่งบาปเคราะห์กรรม หรือส่งการระลึกหรืออุทิศอะไรให้ใคร น่าจะเป็นความคิดที่ผิดๆของสังคมไทยอีกอย่างหนึ่ง เป็นประวัติที่ถูกสร้างขึ้นอีกเหมือนการชวนเชื่ออื่นๆ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 20:03:47 จากคุณ : คนแดนไท (คนแดนไท) เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 19:53:23