 |
เห็นหลายคนพูดถึงเรื่องนิยามของคำว่า "วาทกรรม" กันไปหลายคนแล้ว ผมขอเสริมในบางประเด็นดังนี้ครับ
ประการแรก คือเรื่องแนวคิดที่ว่าด้วยวาทกรรมชุดต่างๆนั้น นับเป็น "ความรู้" ที่ประดิษฐ์ขึ้นตามแนวคิด post-modern หรือแปลเป็นไทยคือ "แนวคิดสกุลหลังสมัยใหม่" ที่มีคอนเซปต์คือ "พยายามรื้อสร้างองค์ความรู้ที่เคยประดิษฐ์ขึ้นหรือสถาปนาขึ้นในสมัยใหม่ (modern)" กล่าวง่ายๆคือเป็นการพยายาม "รื้อ" ความรู้แบบสมัยใหม่หรือความเป็นสมัยใหม่ (modernity) ที่เคยมีอิทธิพลทางความคิดหรือมีอำนาจในรูปแบบต่างๆที่ "ครอบงำ" หรือ "แทรก" เข้ามาในชีวิตประจำวันอย่างไม่รู้ตัวครับ อย่างเช่น องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในความคิดของนักวิชาการหลังสมัยใหม่จะมองว่าเป็นเพียง "วาทกรรม" ชุดหนึ่งที่ทรงอิทธิพลในช่วงหลังการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ โดยความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นมี "อำนาจ" ในการเข้าไปกำหนดหรืออธิบายสิ่งต่างๆว่าเป็นความจริงหรือไม่ เช่น เข้าไปกำหนดหรือตัดสินเรื่องความรู้แพทย์แผนโบราณว่าเป็นสิ่งที่ "ไม่น่าเชื่อถือ" เพราะไม่เป็นไปตามขั้นตอนของการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ในขณะที่แพทย์แผนใหม่นั้นกลับถูกวาทกรรมทางวิทยาศาสตร์กำหนดว่าเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ หรือถูกทำให้เป็นความจริง หากพิจารณาในอีกมุมหนึ่งการกำหนดว่าอะไร "จริง" และ "ไม่จริง" โดยใช้เกณฑ์เรื่องประสาทสัมผัสหรือสิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ นับเป็น "ชุดความคิด" ที่สถาปนาขึ้นในโลกตะวันตกและเข้าไปมีอำนาจตัดสิน "ชุดความคิด" ของคนในโลกตะวันออกที่อาจมีวิธีการเข้าถึงความจริงอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างจากโลกตะวันตก เช่น ไสยศาสตร์ เป็นต้น
ดังนั้นประโยชน์ของการศึกษาวาทกรรมนี้คือ ทำให้เห็นถึงสภาวะของ "อำนาจ" อีกรูปแบบหนึ่งที่มิใช่มาด้วยอำนาจทางการทหาร อาวุธ หรือการสงคราม แต่มาด้วยในรูปของความคิด ความรู้ที่ผ่านการถ่ายทอดออกมาโดยภาษา (หรือที่ฟูโกพูดว่า "ความรู้คืออำนาจ" นั่นเองครับ)
ประการต่อมาคือ แนวคิดเรื่องวาทกรรม และการศึกษาโดยใช้มุมมองแบบหลังสมัยใหม่นี้ได้แผ่อิทธิพลมายังการศึกษาในสายมนุษยศาสตร์ด้วย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ และวรรณคดี อย่างเช่น ในทางประวัติศาสตร์มีวิทยานิพนธ์เรื่องหนึ่งที่ทำเรื่องเกี่ยวกับเกย์ในสังคมไทย ทำให้ทราบว่าในสมัยก่อน เกย์ถูกอธิบายด้วยวาทกรรมที่ว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง โดยคนที่สถาปนาชุดความรู้นี้ขึ้นมาคือ "แพทย์" ซึ่งหากพิจารณาสถานะทางสังคมของแพทย์นับได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยวาทกรรมที่ว่าด้วยวิทยาศาสตร์ดังกล่าวทำให้สิ่งที่แพทย์พูดหรือความรู้ที่แพทย์ผลิตออกมานั้นถูกทำให้เชื่อว่าเป็น "ความจริง" และความรู้เหล่านั้นมี "อำนาจ" เข้าไปจัดการกับกลุ่มเกย์เหล่านั้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมผ่านกระบวนการที่เรียกว่า "การปฏิบัติการทางสังคม" เช่น การบำบัดอาการที่เรียกว่า "เกย์" ด้วยวิธีจิตเวช หรือการส่งเสริมให้เกย์แต่งงานกับผู้หญิงโดยเชื่อว่าหากมีลูกด้วยกันแล้ว อาการรักร่วมเพศจะหายไปได้ เป็นต้น
ประการที่สามคือ หากพูดถึงวาทกรรมการพัฒนาในประเทศไทยแล้ว วาทกรรมดังกล่าวได้นำเอามาใช้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในสมัยจอมพลสฤษดิ์ หลังจากที่ท่านจอมพลกลับมาจากการพักรักษาตัวในอเมริกา โดยแนวคิดเรื่อง "การพัฒนา" ที่กล่าวมานี้ยึดตามนิยามของสหรัฐที่มุ่งเน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ ตลอดจนให้ความสำคัญกับ GDP เป็นเครื่องชี้วัดความเจริญของประเทศ ซึ่งแนวคิดนี้ได้เป็นแม่แบบในการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติในปี 2504
ลักษณะของการพัฒนาที่เรารับเอามาใช้ในคราวนั้นจะเป็นเน้นการพัฒนาแบบ "กระจุก" ไม่ใช่ "กระจาย" โดยตามทฤษฎีของการพัฒนาแบบนี้เชื่อว่าหากการพัฒนากระจุกตัวตามเมืองใหญ่ๆแล้ว ก็จะทำให้ต่างจังหวัดต้องเร่งรัดหรือกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาตามไปด้วย แต่ผลลัพธ์ที่เกิดในบ้านเรานั้นมิได้เป็นเช่นนั้น แต่กลับสร้างปัญหาเกี่ยวกับกระจายรายได้และโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มีความเหลื่อมล้ำกันมากในปัจจุบันครับ
อ่านเพิ่มเติมได้ใน
1. ธีรยุทธ บุญมี. มิเชล ฟูโกต์. กรุงเทพฯ : วิภาษา, 2551 2. ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. ภาษากับการเมือง/ความเป็นการเมือง. กรุงเทพฯ : โครงการตำราและสิ่งพิมพ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2551. 3. เทอดศักดิ์ ร่มจำปา. วาทกรรมเกี่ยวกับ "เกย์" ในสังคมไทย พ.ศ. 2508-2542. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาฯ, 2545. 4. ชาตรี เพ็ญศรี. วาทกรรมการพัฒนาของรัฐไทย : พ.ศ. 2504-2539. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาฯ, 2543.
ปล. เดี๋ยวนี้ผมจะกลายเป็นสาวกของฟูโกกลายๆไปแล้ว เพราะงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ปัจจุบันนี้หยิบยืมเอาแนวคิดของเขาไปใช้เป็นอันมากทีเดียวครับ
แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 53 20:26:15
จากคุณ |
:
ภารตยุทธ (ภารตยุทธ)
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ธ.ค. 53 20:22:26
|
|
|
|
 |