ความคิดเห็นที่ 1 เพราะสังคมเราเป็นสังคมผู้เสพย์ไม่ใช่ผู้พัฒนาครับ สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเสพย์มานานแล้วครับ มันเป็นผลพวงของการตกผลึกทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลงลึกในระดับ ที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้แล้ว ตั้งแต่โบราณมาเราก็เสพย์สินค้า เครื่องอุปโภค และเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ จากต่างประเทศ มานานแล้ว เช่น สมัยสุโขทัย/อยุธยาก็นำเข้าของจากจีนบ้าง อาหรับบ้าง ฝรั่งบ้าง เรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ก็ตาม การส่งออกของเรา เราก็มิได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาแล้วสักเท่าไหร่ เพราะแต่โบราณมาอีกเหมือนกันเราส่งออก วัตถุดิบทางการเกษตร ผลิตอย่างไรก็ส่งออกไปแบบนั้น ต่างจากประเทศอื่นที่เขารับวัตถุดิบดิบของเราแล้วนำไปสร้าง ผลิตภัณฑ์ส่งกลับมาขายเราอีกทีหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันก็ไม่ได้ต่างกันเลย เราเป็นผู้ซื้อมานานแล้ว สิ่งเหล่านี้มันก็เลยตกทอด กันมาฝังหัวคนรุ่นต่อรุ่นว่าของนอกดีกว่า จนถึงปัจจุบันเราก็ยังต้องซื้อของเขาใช้เหมือนเดิม การจะไปลงทุนพัฒนาอะไร ใหม่จึงแลดูเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองงบทางด้านวิจัยเราจึงน้อยกว่าในหลายๆ ประเทศ และอีกประการหนึ่ง คนในประเทศส่วน หนึ่งยังขาดแม้กระทั่งสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งตรงนั้นเมื่อมีการพัฒนาจะเห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมสำหรับ นกม. มากกว่า การสนับสนุนทุนวิจัยซึ่งแม้ว่าจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและตรงจุดมากกว่าแต่ไม่สามารถเห็นผลได้รวดเร็วชัดเจนและเข้า ถึงกลุ่มชนชั้นที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ จากคุณ : Prince Ganymedes เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 00:17:16

ความคิดเห็นที่ 2 ชาติไทยเราเน้นสบายครับ ...ซื้อเขาดีกว่า เสียเวลาว่ะทำเอง....... ===> สันดานมักง่าย+ขี้เกียจ ...ซื้อทำไมของแท้ ของก๊อปก็ได้เหมือนกัน ไม่เห็นต่าง...... ===> ทำลายการสร้างสรรค์ ...ทำทำไม basic research เอาไว้บนหิ้งหรือไง ..... ===> เอออ...แล้วเราได้ know how หรืออะไรมาไหมครับเวลาซื้ออย่างเดียว แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 00:31:46 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 00:19:47

ความคิดเห็นที่ 3 ทำมาแล้วขายไม่ออกก็เลยไม่ค่อยมีคนคิดประดิษฐิ์อะไรออกมามั๊งครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 01:12:36 จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 01:12:10

ความคิดเห็นที่ 4 ของเราบางครั้งแค่คิดจะทำเอง ส่วนมากจะพบว่ามีคำพูดเอ่ยออกมาซื้อดีกว่าทำเองไม่ได้เรื่องหรอก จากคุณ : บู้บี้ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 01:17:54

ความคิดเห็นที่ 5 ของไทยจำได้เลยเยาวชนอยากเป็นดารานางแบบอันดับ 1 อันดับ 2 นักร้อง อันดับ 3 เป็นต้นมาก็ประมาณหมอ วิศวะ ส่วนนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ จำได้แต่ว่าเกินอันดับ 8 แน่ๆ ที่อยากเป็น เท่าที่ฟังกับอ่านอาจจะไม่ถูกแต่มีมากจริงๆที่ออกแนวถ้ามีเงิน เหลือจะเอาไปทำบุญสร้างวัด มีน้อยมากๆที่จะเอาเงินไปอุดหนุน ให้วิจัยสร้างยารักษาโรคมาเลเรีย วิจัยพันธุ์ข้าวต้านทานโรคแมลง ทั้งๆที่อย่างหลังสร้างประโยขน์ได้มากกว่า ทั้งๆที่ความรู้วิทยาศาสตร์ การลงทุนทางวิทยาศาสตร์ให้ผลตอบ แทนที่ดีกว่า ชัดเจนกว่า สำคัญมากกว่าแต่แทบไม่มีใครสนใจ ถ้าให้สันนิษฐาน 1.เราไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ดีพอทำให้เราไม่รู้ว่ามี ไม่รู้ว่าสำคัญยังไง และไม่ตระหนักว่ามีผลกับเรามากน้อยแค่ไหน 2.สังคมเราวัฒนธรรมการพูดคุยถกเถียงอย่างมีเหตุผลไม่แข็งแกร่ง พอ เมื่อไม่มีการถกเถียงอย่างมีเหตุผล ก็ไม่มีการแลกเปลี่ยนความรู้ รู้ยังไง ก็รู้เหมือนเดิมยังงั้น คือสมัยก่อนเชื่อยังไง ปัจจุบันก็เชื่อยังงั้น อยากได้สาเหตุที่เพื่อนๆคิดครับ ว่าคิดเห็นยังไง (Brainstorming) ยิ่งหลากหลายยิ่งดี :) จากคุณ : นาย ก เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 02:10:22 A:124.120.93.9 X: TicketID:301268

ความคิดเห็นที่ 6 1. วิทย์นั้น เรียนให้ดียากมาก 2. กระแส พวก ธุรกิจขายเงา ขายภาพลวงตา มันทำเงิน ดูแล้ว ช่างน่าชื่นชม เห็นแต่เปลือกว่า เป็นของสวยของงาม แล้ว เงินก้อได้มาง่ายๆ ไม่ต้อง คิดให้หนักสมอง แค่สองอย่างนี่ เด็ก ก้อโน้มไปทางโน้นเยอะแล้ว อีกอย่าง เวลานี้ ท่องไทย กะสังคมให้ได้มากๆ ก้อสอบคณะดีๆ ได้แล้ว หลังจากนั้น ก็ไปลุ่นเอาในเวลาเรียน ป. ตรี จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 02:26:18

ความคิดเห็นที่ 7 เพราะเงินครับ ใครจะอยากเรียนมายากๆ แล้วมารับเงินเดือนอันน้อยนิด  บางทีงบวิจัยโดนตัดอีก เห็นpromoของพวกlabต่างประเทศแล้วน่าอิจฉามากๆ   คงทำlabกันมีความสุขและสนุกน่าดู จากคุณ : Meredith R. McKay เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 03:25:07

ความคิดเห็นที่ 8 แม้แต่องค์กรที่ผมสังกัดอยู่ คนที่ได้รับวุฒิวิศวะมา ไม่ว่าจะจบจากใหน ยังมีเงินเดือนเริ่มต้นที่สูงคนจบวุฒิวิทยาศาสตร์ อย่างมาก  ทั้งๆที่ลักษณะงานเหมือนกัน  บางทีทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ  HR เค้าสนแต่วุฒิ เอาตัวอักษรมาเทียบว่าตรงมั้ยแค่นั้น มันเรยกลายเป็นค่านิยมครับ จากคุณ : Meredith R. McKay เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 03:29:39

ความคิดเห็นที่ 9 การศึกษาที่มีคุณภาพถูกจำกัดการเข้าถึง ลูกหลานที่เข้าถึงได้คือคนที่อยู่ภายใ้ต้เศรษฐกิจชนชั้นนำเท่านั้น ส่วนลูกหลานคนส่วนใหญ่ของประเทศโอกาสน้อยมากที่จะเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้ ยิ่งถ้าไม่มี กยศ. และ การเรียนฟรี พร้อม การยกระดับ โรงเรียนต่างๆ อนาคตก็ยิ่งแย่ใหญ่ ทุกวันนี้ กยศ. ก็ยืนด้วยลำแข้งลำบาก เพราะไม่มีเงิน หวยบนดินมาค้ำจุนกองทุน ต้องใช้เงินกู้ของ รบ. การเรียนฟรี ที่ไม่มีเงินหวยมาหมุน มีแ่ต่ภาษีกับเงินกู้ แล้วจะเอาอะไรปยกระดับโรงเรียน อนาคต เศรษฐกิจแย่ เงินกู้หมด... โอ้ววว... ยิ่งเศร้าใจยิ่งนัีก เมื่อเป็นเช่นนี้... วิทยาศาสตร์กินไม่ได้ ใครจะสนใจ ??? จากคุณ : ปีศาจตาเดียว เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 04:00:50

ความคิดเห็นที่ 10 อยากเป็นนักวาดการ์ตูน    อยากมีผลงาน แต่ทำงานการ์ตูนในไทยก็ต้องทำใจ เหมือนกัน พวกงานวิทยาศาสตร์ ประดิษฐ์ เช่นกัน จากคุณ : takpiboon เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 04:42:13

ความคิดเห็นที่ 11 -เพราะเราโดนปิดหูปิดตาปิดปาก- เราโดนปิดหูปิดตามานาม เราพึงถูกเปิดหูเปิดตา2-3ปีที่ผ่านมาโดยการขยายตัวของเทโนโลยีการสือสาร ให้เราถึงรับรู้ว่าโลกจริงๆเป็นอย่างไร เราเคยถูกสอนให้เชื่อว่าเมืองไทยนี้ดีในน้ำมีปลาในนามีข้าว รายการโทรทัศน์ไม่มีอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ เราโดนปิดปากด้วยระบบลำดับขั้นสมัยใหม่ทุกคนมีหัวหน้าและหัวหน้ามีหัวหน้าอีกที่ และหัวหน้าสูงสุดมีสิทธิเด็ดขาดที่จะชี้อนาคตของประชาชนคนธรรมดาคนนึง แม้ประชาชนอย่างเราๆจะเห็นความผิดปกติการคดโกงก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะมีอนาคตและครอบครัวเป็นเดิมพัน ระบบการปกครองแบบนี้มักจะมาพร้อมกับการคอรัปชันและศาสนาที่ผิดเพี้ยนและนำไปสู่การปิดกันข้อมูล ที่เป็นศัตรูของวิทยาศาสตร์ -การแยกกันระหว่างวิทยาศาสร์กับวิศวกรรม- ถ้าเรามีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่ไม่เคยนำเอาความรู้นั้นมาช่วยให้สังคมดีขึ้น งานวิจัยส่วนใหญ่มักจบลงที่มหาวิทยาลัยไม่มีการสานต่อให้เป็นสิ้นค้าเพื่อให้คนในสังคมสะดวกสบายขึ้น แม้จะทุ่มงบไปเท่าไรก็เหมือนกับหลุมดำไม่ตอบแทนอะไรกลับมา อย่างไรก็ตามแนวโน้มความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับวิศวกรรมเริ่มมีแสงรำไรเราได้เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจาก สวทช 2-3ปีที่ผ่านมา หนึ่งในปัญหาหลักที่เราไม่สามารถพลักดันให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในประเทศคลอดออกมาเป็นสินค้าและบริการได้คือระบบโครงสร้างภายในประเทศ เราไม่มีโรงงานสร้างวัสดุสำคัญเช่นเหล็กกล้าไร้สนิมและการขาดแคลนด้านพลังงาน ผมเชื่อแนวโน้มกำลังดีขึ้นทุกอย่างต้องใช้เวลา(แต่อย่านานเกินไปนะ) จากคุณ : icebee เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 04:43:37

ความคิดเห็นที่ 12 สมัยอยุธยา เราส่งออกนะครับ พวกเครื่องกระเบื้อง ที่เราพัฒนาการเผาและเคลือบได้ดี จนจีนซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ ต้องมาสั่งซื้อจากเรากลับไปแทน (ถ้าไม่เชื่อ ลองไปศึกษาเรื่องโบราณคดีใต้น้ำดู จะพอทราบเลาๆได้บ้างพวกผ้าทอ ก็เช่นกัน กล่าวกันว่า ไหมญี่ปุ่น นอกจากจะได้รับเทคโนโลยีมาจากจีน แต่การทอมือนี่ ญี่ปุ่นเอง รับจากเราไปด้สยเช่นกัน แต่เนื่องจากสังคมเกษตร ซึ่งไม่ผิดที่เราเป็นเกษตร ทุกวันนนี้ทำงานหากเกษียณหรือขี้เกียจเป็นลูกจ้า ก็จะทำเกษตรนี่แหละ การเป็นสังคมเกษตรนี้ มันไม่ได้ทำให้เราต้องไปโฟกัสในอุตสาหกรรมหนัก การรบ ก็รบแค่แถวๆนี้ ไม่ได้ตีรันฟันแทงข้ามประเทศไปมาแบบยุโรป ซึ่งกระหายเลือดมากกว่า(มั้ง) ผมไม่ได้มองว่าเน็ต เป็นตัวลดช่องว่างอะไรหรอก แต่เป้นสื่อที่เพิ่มความเป็นอัตตาของตัวเองในที่สาธารณะมากกว่า ความเป็นตัวเอง ถ้ามันมีคนรวมกลุ่มมาก ก็จะเป็นกระแส ซึ่งกระแสจากเน็ต ถ้าอิสสระเกิน ไร้จรรยาบรรณ ก็ชักจะเริ่มเป็นแบบตอนนี้ จากเหตุแพรคืบ แพรศอก นี่แหละ จริงไม่จริงไม่รุ้ แต่รูปตัดต่อประกอบคำพูด ซึ่งไม่รู้ว่าจริงไม่จริง ก็ว่อนไปทั่วเน็ต ทำตัวเป็นคนตัดสินใจแทนคนอื่น โดยอ้างว่าเป็นกระแสจากประชาชน พิมพ์แบบนี้ ก็ตั้งใจกระตุกต่อมคิดขึ้นมาบ้าง เท่านั้นแหละ เพราะผมก็ยังเป็น คนไทย 1ล้านคน ในหลายๆเรื่องเหมือนกัน ต่ออีกนิด นิ้วไวไปหน่อย ส่วนเรื่องการวิทยาศาสตร์นี่ ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจาการสนับสนุนในดรงเรียนนั่นแหละ ถ้าเทงบลงไปอีกหน่อย อ.ผู้สอนมีเทคนิคการสอนที่ดี ไม่ได้มุ่งเป้าสอนเพื่อชงให้ไปเรียนตามติวเตอร์ มันก้น่าจะดีขึ้น(แหละนะ) แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 06:27:13 จากคุณ : bbiggy เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 06:24:17

ความคิดเห็นที่ 13 ลำพังแค่งบดำเนินการที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำ เช่นพวกเงินเดือน มันก็กินเงินงบประมาณไปเกือบทั้งหมดแล้ว จะเหลืองบวิจัยและพัฒนาสักเท่าไหร่เชียว ปัญหาเรื่องปากท้องและสิ่งใกล้ตัว ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตมากกว่าจะไปสนใจเรื่องอื่นๆที่มันไกลตัวและใช้เวลานานในการเห็นผลลัพธ์ จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 07:47:56

ความคิดเห็นที่ 14 แสดงว่าสังคมไทยมีปัจจัยที่น่าเชื่อถือกว่าวิทยาศาสตร์ และใช้ได้ผล จึงไม่สน วิทยาศาสตร์ จากคุณ : เขาว่า เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 08:25:49 A:61.19.66.56 X: TicketID:259615

ความคิดเห็นที่ 15 วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตร์แขนงเดียวที่จะต้องสนใจนี่ครับ ศิลปะศาสตร์  ภาษาศาสตร์ ธุรกิจศาสตร์ และอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน ถ้าจะถามว่า คนที่ชอบศาสตร์อื่นๆ ทำไมไม่สนใจวิทยาศาสตร์ แล้วคนที่ชอบวิทยาศาสตร์ ไปสนใจศาสตร์อื่นๆบ้างไหม จากคุณ : AIM-9X เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 08:43:03

ความคิดเห็นที่ 16 จากประสบการณ์ตรง บางครั้งการสอนก็น่าเบื่อครับ น๊าน นานที จะมีแลป... จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:26:47

ความคิดเห็นที่ 17 แล้วอะไรทำให้ จขกท. เข้าใจว่าคนไทยไม่ใส่ใจวิทยาศาสตร์ล่ะครับ งบประมาณที่ลงไปกับงานวิจัยมันไม่ได้ผันแปรตรงกับการใส่ใจในวิทยาศาตร์โดยตรงหรอกครับ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:29:44

ความคิดเห็นที่ 18 น่าเบื่อ   ยุ่งยาก   เข้าใจยาก   มีเรื่องวุ่นวายให้ขบคิด มีศัพท์เฉพาะกิจมากไปหน่อย   เซ็งที่จะเรียนรู้ ไม่มีอะไรให้น่าตื่นตาตื่นใจ เฉยๆ เรื่อยๆ จากคุณ : NON@AT1 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:31:02

ความคิดเห็นที่ 19 ทีวี  ทีวี    ทีวี  ทีวีไทยมีแต่นิยายไร้สาระ    และตลก   และรัฐบาลไทยไม่ส่งเสริม รายการไหนทิ่เป็นวิทยาศาสตร  อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือนก็จะหาสปอนเซอร์ไม่ได้ครับ จากคุณ : น้าช่าง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 10:31:11

ความคิดเห็นที่ 20 ^ คิดถึง "กาลิเลโอเกม" จัง จากคุณ : กระรอกเทา เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 13:07:50

ความคิดเห็นที่ 21 ความคิดเห็นที่ 10 MsgStatus(Msv[10], 10); อยากเป็นนักวาดการ์ตูน    อยากมีผลงาน แต่ทำงานการ์ตูนในไทยก็ต้องทำใจ เหมือนกัน พวกงานวิทยาศาสตร์ ประดิษฐ์ เช่นกัน จากคุณ : takpiboon   จับมือครับผมเองก็อยากเป็นนักเขียนการ์ตูนอยากสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์ของตนเองเหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่อยากเข้ามาในวงการประเภทที่ต้องคิดหรือสร้างสรรค์ผลงานในไทยนี่ต้องทำใจกันซักหน่อยละนะครับว่าประเทศไทยนั้นไม่ค่อยจะมีการปลูกฝังให้ประชาชนเป็นมากกว่าแค่"ผู้บริโภค" อีกทั้งยังไม่ค่อยจะมีแรงจูงใจให้เรามีความคิดสร้างสรรค์(ความจริงคนไทยมีหัวคิดสร้างสรรค์มากเลยนะครับ แต่ชอบยึดติดกับคำว่า"ซื้อของเขาเอาสะดวกกว่า") จากคุณ : me//ขอนอกเรื่องนิดหน่อยนะครับ (nadashiko) เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 14:08:35

ความคิดเห็นที่ 22 อย่าว่าแต่คนไทยทั่วไปเลย แม้แต่คนที่เรียนวิทยาศาสตร์โดยตรง ก็ยังไม่สนใจวิทยาศาสตร์มากไปกว่าการทำมาหากินตามวิชาความรู้ที่เรียนมา จากคุณ : LNL เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 16:56:00 A:223.206.130.159 X: TicketID:300933

ความคิดเห็นที่ 23 เรายังหลอกตัวเองว่าเราเป็นสังคมเกษตรกร ครับ ทั้งๆที่รายได้จากภาคกสิกรรมบ้านเรา ทำได้แค่ 11% ของ GDP ทุบตึกทำนาทั้งประเทศ มันก็ยังไม่พอเลี้ยงคนทั้งประเทศนะครับ ยกเว้นว่าคุณจะยอมอยู่อย่างชาวนาโบราณ ทำได้ไหม แค่ลองไม่ใช้ไฟฟ้า เลิกเล่นเนท ไม่ขับรถเท่านั่้นเอง :P ชาวนาก็ยากจนดักดาน ยกเว้นลูกหลานแลนด์ลอร์ดทำนาทีหลายสิบไร่ อันนี้แหละถึงจะทำเงินรวยกับเขาได้ เราใช้เทคโนโลยีในการเกษตรน้อยมาก ผลผลิตต่อไร่ รายได้ต่อไร่ เราต่ำกว่าประทศอื่นๆมาก หลงแต่ภาพลวงกับตัวเลขส่งออกรวมว่ามากที่สุด หารู้ไม่ว่ากำไรที่ได้จริงๆต่อชาวนาของเรา เราน้อยกว่าบางประเทศที่เราชอบดูถูกว่าเขาล้าหลังเสียอีก คนในเมืองก็หลงภาพมายา นิยายขายฝันชนชั้นกลาง ว่าเป็นกสิกรอยู่บ้านนอกใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ต้องดิ้นรนก็อยู่ได้ กะไว้ว่าหลังเกษียณจะไปทำ ซึ่งมันผิดจากความเป็นจริงฟ้ากับเหว เราต้องเลิกหลอกตัวเอง แล้วมุ่งไปสู่อนาคตได้แล้วครับ มุ่งพัฒนาเทคโนโลยี จะเทคโนโลยีการเกษตรก็ได้ พัฒนาให้ไปถึงขั้นลดการใช้แรงงาน เพิ่มการแปรรูปที่กำไรดีกว่า แต่ไม่ใช่ไปทุ่มเงินเลี้ยงควายสร้างภาพหลงยุคกัน  ลองมองออกไปประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลกกัน เขาทำอย่างไร ชนชั้นล่างสุดของเขาถึงสามารถมีปัจจัยสี่ครบถ้วนได้ ทำไมคนจบปริญญาบ้านเราถึงมีคุณภาพชีวิตต่ำกว่ากรรมกรบางประเทศเสียอีก? เราจะหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าเราไม่เจริญวัตถุแต่เจริญทางจิตใจ ทั้งๆที่ตัวเลขจริง เรามีคดีฆาตรกรรมมากกว่าญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่า ประชาชนไร้ศาสนาเสียอีกนั่นหรือ? ทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละ ทำให้เรายังไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ เข้าถึงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ ก็ในเมื่อเรายังไม่กำหนดเทคโนโลยีเป็นยุทธศาสตร์ชาติ แต่ยังหลอกตัวเองว่าเป็นประเทศกสิกรรม แล้วงบมันจะไปทุ่มทางไหนได้ แล้วคนจะเห็นอนาคตได้อย่างไร ว่าศึกษาทางไหนแล้วจะรุ่ง? ถ้าระดับบริหารไม่กำหนด ก็ยากที่จะทำให้คนส่วนใหญ่รู้แจ้งได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่มีโอกาสได้เข้าถึงองค์ความรู้แต่แรกครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 21:03:00 จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 20:59:07

ความคิดเห็นที่ 24 น่าจะมีใครสักคน ทำกราฟ งบประมาณของชาติ ระหว่าง กระทรวงกลาโหม กับ ศึกษา ในระหว่าง 50 ปี ที่ผ่านมา ข้อมูล จะบอกความจริงในอดีต จากคุณ : ใบโหระพา เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 22:47:51

ความคิดเห็นที่ 25 อันดับการวิจัยในสาขาต่างๆของไทย ในเทอมของจำนวนงานวิจัยในสาขาต่างๆ ตั้งแต่ปี ๑๙๙๖ ถึง ๒oo๘ สะสมอยู่ในอันดับที่ ๔๑ ของโลก จากเกือบ สองร้อยประเทศ ซึ่งก็ไม่ใช่อันดับที่ดีเพราะจำนวนประชากรเราเยอะพอควร แต่ก็ไม่แย่มาก แล้วกราฟจำนวนงานวิจัยต่อปีในช่วงปีหลังๆ ขึ้นแบบเอ็กซ์โพเทนเชี่ยล ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี แต่ต้องดูกันต่อไป ๒๓ คนเมือง ชนชั้นกลางที่หาเช้ากินค่ำ ต่อสู้กับค่าครองชีพ เดือนชนเดือน เค้าก็ใช้ชีวิตอยู่บนโลกของความเป็นจริงเหมือนกับทุกชนชั้นนั่นแหละครับ ไม่มีเห็นจะใครหลอกตัวเอง เค้าก็ทำงานพัฒนาชาติกันอยู่นี่แหละทุกชนชั้น ที่เราพอจะไปแข่งขันในเวทีโลกในด้านต่างๆกับเค้าได้บ้างเนี่ยะ ก็ไม่ใช่เพราะชนชั้นกลาง ผู้มีการศึกษาเหรอครับ หลายคนเค้าก็ถีบส่งตัวเองให้มาอยู่ในชนชั้นกลางได้เค้าคงไม่ใช่พวกเพ้อฝันอะไรนั่นหรอกครับ . What if YOUR VERSION OF TRUTH is WRONG?. หลายอย่างงที่คุณพูดผมเห็นด้วยนะ ผลผลิตต่อไร่ การเกษตรอะไรต่างๆ แต่ที่บอกว่า พวกจบ ป ตรี ในไทย คุณภาพชีวิตต่ำกว่ากรรมกร แล้วจะบอกว่าสังคมไทยแย่ ผมว่ามันเป็นที่เพราะ ประชากรในประเทศเค้า productive กันมากกว่า ประชาไทย ผลิตได้มาก ส่งขายนอก เอาเงินเข้ามาได้เยอะ ค่าเงินก็สูงตาม รายได้ทุกชนชั้นก็ย่อมมากตาม ในไทยก็มีแต่กลุ่มคนจีน เจ็ด ล้านคน ที่ productive แล้วมันจะฉุดที่เหลือขึ้นมายังไงไหว ส่วนพวกกรรมกรในออสก็ยังเป็ชนชั้นล่าง ใครว่าสังคมฝรั่งไม่เหยียดชนชั้น เวลาผมไปหาบ้านเช่า แลนด์ลอร์ดทั้งฝรั่ง จีน เกาหลี เค้าจะรับแต่นักเรัยนมหาลัยและพวกทำงานออฟฟิส เค้าจะเช็คเลย ถ้าเป็นพวกกรรมกร คนขับรถบันทุก หรือแม้กระทั่งแท็กซี่ เค้าจะไม่รับเลย ทุกคนเป็นที่รู้กันในหมู่นักเรียน มันมีหมดแหละยังงี้ทุกประเทศ ไหนจะยังมี บริษัทพวกยิว ที่จะรับแต่คนจีนกับยิวทำงาน หรือการเมืองเยอะแยะในบริษัทฝรั่ง เล่นพรรคพวกมีเยอะแยะ แต่แปลก เค้าก็ยัง productive ได้ แล้วไทยมันเป็นอะไรนักหนา ข้อแม้เยอะจัง จากคุณ : Epping เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 23:01:49 A:121.217.110.16 X: TicketID:271337

ความคิดเห็นที่ 26 รวบรวมและย่อ (เรียงตามความคิดเห็น) 1. -วัฒนธรรมเราเน้นซื้อมาใช้มากกว่าพัฒนา ซื้อกันเคยชินมาแต่โบราณ 2. -เน้นสบาย มองอีกแง่หนึ่งมีทางเลือกที่เชื่อว่าดีกว่า 3. -ขายไม่ออก 4. -แค่คิดก็โดนสวนว่าซื้อดีกว่าทำ 5. -ของนาย ก 6. -สายวิทยาศาสตร์เรียนรู้ยาก เมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น 7. -เงินเดือนน้อย งบสนับสนุนงานก็น้อย 8. -งานเดียวกันแต่จบวิทดันได้เงินเดือนน้อยกว่า 9. -โอกาสการเข้าถึงการศึกษาน้อย 10. -... 11. -โดนปิดหูปิดตา ไม่เคยให้สัมผัสโลกวิทยาศาสตร์แบบดีๆ โครงสร้างการปกครองไม่เอื้อให้เกิด -วิทกับวิศวไม่ประสานกัน งานวิจัยอยู่บนหิ้ง ไม่ออกมาสู่สาธารณะ+โครงสร้างมีปัญหา 12. -เราเป็นสังคมเกษตร เลยไม่ค่อยสนใจวิทยาศาสตร์มากเท่าประเทศที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก -การสอนไม่สามารถทำให้นักเรียนสนใจตระหนักได้ 13. -จน เงินไม่มี ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายวันต่อวันก็กินเงินหมดแล้ว 14. -สังคมไทยมีปัจจัยที่น่าเชื่อถือกว่าวิทยาศาสตร์ และใช้ได้ผล จึงไม่สนวิทยาศาสตร์ 15. -วิทยาศาตร์ไม่ใช่ศาสตร์เดียวที่คนไทยต้องสนใจ 16. -การสอนน่าเบื่อ 17. -จะรู้ได้ไงว่าคนไทยไม่สนใจวิทยาศาสตร์จริงๆ 18. -มีเรื่องให้คิดมาก ยุ่งยาก ศัพท์เฉพาะเยอะ เซ็ง ไม่ตื่นตาตื่นใจ 19. -สื่อไทยไม่เอื้อต่อการสนับสนุนวิทยาศาสตร์ 20. -... 21. -... 22. -คนที่จบวิทยาศาสตร์สนใจแค่จะได้เงินเดือนสูงๆมากกว่าจะไปทดลอง วิจัย หาความจริง 23. -เราเชื่อผิดทาง ไม่มียุทธศาสตร์ทางเทคโนโลยี 24. -ทำกราฟงบกลาโหมกับศึกษามาเทียบ ว่าจริงๆคนไทยสนใจวิทน้อยจริงรึเปล่า 25. -การวิจัยในไทยไม่เลวร้ายอย่างที่คิด เดี๋ยวมาต่อครับ 901111990640801501790901301460611990790201001011790611990101211511101411 i43b23 จากคุณ : นาย ก เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 05:12:39 A:124.120.235.151 X: TicketID:301268

ความคิดเห็นที่ 27 #25 งานวิจัยของไทยมีจำนวนไม่น้่อยจริงครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นทางด้านสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ(ดูัตัวเลขได้ มหิดลนำโด่ง) ส่วนงานทางสายเทคโนโลยีส่วนใหญ่แทบไม่ได้นำมาใช้จริงครับ  ต้องยอมรับเลยว่าเอกชนบ้านเรา ไม่เคยลงทุนกับงานวิจัย แืทบหาไม่เจอที่เอกชนไปจ้างมหาลัยรัฐวิจัยงานมาทำสินค้า ในขณะที่บ.ต่างชาติเขาทั้งลงทุนวิจัยเองและจ้างนักวิจัยจากมหาลัยมาพัฒนาสินค้า (บ.ที่ผมเคยเห็นกระทั่ง ให้ทุนวิศวกรไปเรียนต่อป.เอก และให้เงิืนพิเศษกับการคิดค้นสิทธิบัตรใหม่ๆ) ตรงนี้แหละที่ทำให้เราเป็นผู้ซื้อเทคโนโลยีไปตลอดกาล และไม่มีทางแข่งขันกับใครได้ เมื่อก่อนเราแข่งด้านแรงงานราคาถูก ตอนนี้จีนแซง แล้วอนาคตเราจะเอาอะไรกิน? ส่วนชนชั้นกลางฝัน ผมหมายถึงพวกที่ฝันว่าอยากเป็นเกษตรกร โดยที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสว่าชาวนาเราลำบากแค่ไหน พวกที่บอกประเทศเราเป็นประเทศกสิกรรม โดยที่ไม่เคยรู้ว่ารายได้แค่ 11% ของ GDP พวกนี้แหละครับที่สร้างมายาคติมากดหัวชาวนาเราเอาไว้ ผมล่ะขำดีเวลาคนเมืองหลวงชอบพูดว่า อยากให้บ้านนอกไม่เจริญมากไป อยากให้อยู่อย่างเรียบง่าย เวลาไปเที่ยวจะได้ดูสงบๆดี เออ ไม่อยากให้ชาวบ้านเขาอยู่สบายทัดเทียมคนในเมืองบ้างซะงั้น ให้ลำบากดักดานกันต่อไป เวลาจะทุ่มเงินลงทุนกับเทคโนโลยี ก็ดาหน้าออกมาบอกว่าเราต้องทุ่มกับกสิกรรมสิ เดี๋ยวไม่พอเพียง เหอๆ จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 10:45:16

ความคิดเห็นที่ 28 เพิ่งนึกออกแบบเจาะในรายละเอียด วัฒนธรรมของผู้ประกอบการไทยยังอยู่แค่เอาตัวรอด ไม่เคยคิดที่จะสร้างแบรนด์ สร้างสินค้าให้แตกต่างอย่าง มีนัยยะสำคัญเน้นราคา รูปแบบ รูปทรง ประมาณว่าสร้าง บริษัทเพื่อมาเป็นผู้รับจ้างผลิต ผิดกับไต้หวันนี้ สร้างบริษัทปุ๊ปแบรนด์ต้องมาด้วย ทำทุกอย่างเพื่อให้บริษัท โตด้วยตัวเอง ฟังมาจากวิทยุว่าฝรั่งเขาวิจัยประเทศแถบเอเชีย ทั้งหมดเพื่อดูลักษณะของผู้ประกอบการในแต่ละประเทศ และสรุปมาอย่างข้างบน กฏหมายปกป้องทรัพย์สินทางปัญญามีปัญหาในทางปฏิบัติ ไม่เคยอ่านกฏหมายเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ แต่เท่าที่ฟังจากวิทยุ เจ้าของบริษัทที่เป็นนักประดิษฐ์เคยแนะนำว่าถ้าอยากปกป้อง สิทธิ์ของตัวเองให้จดสิทธิบัตรที่อเมริกาจะได้ผลในการควบคุม สินค้าที่ขายในประเทศไทยมากกว่าจดที่ประเทศไทย ฟังแล้ว แปลกๆ การสนับสนุนจากรัฐบาลไม่มากเท่าที่ควร จริงๆควรจะมากกว่านี้ กับเรื่องสำคัญระดับนี้ เมื่อก่อนสมัยเด็กก็คิดเหมือนกันว่าชีวิตคนต่างจังหวัดน่าจะสบาย แต่หลังๆมาคิดด้วยเหตุผล มันขัดๆกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาหลายๆเรื่อง ก็ไม่เข้าใจว่าความคิดนี้มาได้ยังไง จากคุณ : นาย ก เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 06:13:26 A:124.120.72.219 X: TicketID:301268

ความคิดเห็นที่ 29 อยู่ที่ผู้นำ ให้ความสำคัญเพียงใด สังคมไทยรู้ๆกันอยู่ ไม่มีใต้โต๊ะ รอไปเถอะ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 16:23:42

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่เกี่ยวกับหัวข้อนี้ แต่เอามาให้อ่านเล่นๆ จริงๆผมยังไม่ได้อ่านหรอกไปอ่านจากหนัง สือพิมพ์ที่เขาสรุปมาให้อีกทีบอกแต่ว่าเดินถอย หลังตลอด วิกฤตการศึกษาไทย http://www.niets.or.th/ เล่ม 1 http://www.niets.or.th/upload-files/uploadfile/9/c81018b6821449c3c4e96395628c8d5f.pdf เล่ม 2 http://www.niets.or.th/upload-files/uploadfile/9/8670a2327ecac87780f41e937405401e.pdf จากคุณ : นาย ก เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 19:32:44 A:124.120.3.199 X: TicketID:301268

ความคิดเห็นที่ 31 ถึง T7Promoter จริงๆเอาตัวเลขแบบไปสัมภาษณ์แบบรายบุคคลไม่มีหรอกครับ ก็ใช้แต่ที่สังเกตุเอาจากเหตุการณ์รอบตัว ถ้าพูดกันจริงๆก็วัดยากอยู่ว่าจะวัดยังไงว่าเชื่อวิทยาศาสตร์มากน้อยแค่ไหน เพราะแนวคิดวิทยาศาสตร์กว้างมาก ไม่รู้จะวัดช่วงไหน แต่เชื่ออย่างนึงว่าโดยหลักถ้าเราเชื่อวิทยาศาสตร์มากเท่าญี่ปุ่น อเมริกา เราก็น่าจะก้าวหน้าพอๆกับเขา ไม่ใช่โดนทิ้งห่างอย่างนี้ ทั้งเรื่องการบริหาร (ถูกทำให้เป็นวิทยาศาสตร์ครบทุกสายแล้วไม่ว่าการตลาด การผลิต การขาย การเงิน การจัดการ การวางผังองค์กร) วิศวกรรม วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ฯลฯ จากคุณ : นาย ก เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 19:42:00 A:124.120.3.199 X: TicketID:301268

ความคิดเห็นที่ 32 เพิ่งนึกออกอีก ปัญหาทางโครงสร้างทางร่างกาย สมองพัฒนาการไม่สมบูรณ์ พูดง่ายๆ iq ต่ำ คือการคิดเป็นเหตุเป็นผล การช่างสังเกตุ เป็นพัฒนาการของสมองที่ถูกพัฒนาสมบูรณ์แต่สืบเนื่อง สมองพัฒนาการไม่สมบูรณ์เลยไม่สามารถคิดแบบเป็น เหตุเป็นผลได้ดีเท่าที่ควร หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือคิด แบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ดีเท่าที่ควร ลืมไปว่าหนังสือที่แจกมีแบบย่อด้วย เล่ม 1 แบบสรุป http://www.niets.or.th/upload-files/uploadfile/9/b17f7d32c5fbef002f5b21b6a3030527.pdf จากคุณ : นาย ก เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 20:04:27 A:124.120.3.199 X: TicketID:301268