ความคิดเห็นที่ 1 ... แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 03:26:56 จากคุณ : Mr.Feynman เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 03:21:19

ความคิดเห็นที่ 2 ฝากถามผู้รู้ไว้ด้วยครับ โดยโครโมโซมที่กลายพันธ์นั้น ที่มีชื่อว่า CCR5 Delta32 เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าเรามีโครโมโซมนี้หรือไม่ จากคุณ : Big Worm. เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 04:52:29

ความคิดเห็นที่ 3 ทำ PCR ครับ เจาะเลือดคนไข้-เรามา แล้วมาทำ ผมเคยทำตอนสมัยอยู่ ป.โท ครับ เป็น thesis เพื่อนผม แต่ว่าผมนั่ง design primer ให้มันแลกกับ Whopper หาก CCR5-delta32 มีการ deletion ความยาว PCR product มันจะสั้นกว่าของ insertion ไป 32 คู่เบสครับ เพื่อนผมเพิ่งตีพิมพ์ accept ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนนี้เอง แต่เพื่อนผมเทียบระหว่าง high copies กับ low copies นะ นั่นแสดงว่าคนที่ CCR5 แบบ deletion 32 ก็ยังสามารถติดเอดส์ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 09:44:22 แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 08:34:59 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 08:23:15

ความคิดเห็นที่ 4 เพิ่มเติม คำว่าไม่พบเชื้อเอดส์ไม่ได้แปลว่าไม่มีเชื้อเอดส์นะครับ เพราะขีดจำกัดในการตรวจเชื้อ HIV โดยการทำ Viral load คือ 40 copies/ml ครับ (คือไวรัส 40 ตัวต่อพลาสมา 1 ซีซี) อย่างไรต้องให้ยาต้านไวรัสต่อไปครับ ---------------------------------------------- ส่วนการที่ทำลายไขกระดูกนั้นก็เหมือนกรณีทำฉายแสงหรือทำคีโม ในคนที่เป็นลิวคีเมียทั่วไปครับ เพราะก่อนปลูกถ่ายไขกระดูกต้องทำลายโคลนเดิมของเม็ดเลือดทิ้งไปให้หมด ไม่เช่นนั้นแล้วจะเกิดภาวะแทรกซ้อนคือ Graft-rejection ได้ ตัว Virus HIV จะหลบอยู่ใน T helper cell และ Macrophage รวมถึงเซลล์อื่นๆ บ้างเล็กน้อย ตรงนี้สำคัญครับ ไม่พบในเลือด แต่มันพบที่อื่นได้ อดีตอาจารย์ผมเคยถาม qualified ในห้องสอบรุ่นพี่จนหงายเก๋ง สอบไม่ผ่านมาแล้ว ทำให้การทำลายเซลล์ไขกระดูก ซึ่งเป้นต้นกำเนิดเม็ดเลือดทั้งหลายทำให้ไวรัสไม่มีที่อาศัยตายในที่สุด แล้วจากนั้นเอาไขกระดูกชุดใหม่เข้าไปให้ แต่ผมไม่แน่ใจว่า HIV ที่หลบอยู่ใน glia cell มันจะออกมาอีกหรือเปล่้า ต้องดูกัน ไอ้เรื่อง CCR5 mutation มันเป็นแค่การลดความเสี่ยงเท่านั้นเองครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 08:49:48 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 08:28:41

ความคิดเห็นที่ 5 #2-#4 หว้าก๊ออออ -หว้ากอ จริงๆ......  แน่นไปด้วยสาระ แต่อ่านแล้ว.....เบลอ   พอจะอธิบายให้ง่ายขึ้นกว่านี้ได้   จะเยี่ยมเลย แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 08:54:46 จากคุณ : . (bvi) เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 08:49:25

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ เอาง่ายๆแต่แรกนะครับ การที่เชื้อ HIV มันจะเข้าไปสู่เม็ดเลือดขาวที่ชื่อว่า T helper cell ได้มันต้องมี Receptor อยู่บนเม็ดเลือดขาวนั้นครับ ในที่นี้คือ CD4+ นั่นเอง (ดังนั้นเราถึงเห็นคนเป็นเอดส์เล่าว่า CD4+ 150 อะไรอย่างงนี้) ถ้าไม่มี CD4+ โดยปกติ HIV จะไม่เข้าไป แต่ CD4+ เฉยๆ ถามว่า HIV เข้าได้ไหม ตอนไม่ได้ ต่อให้ได้ก็ไม่เยอะ ต้องมี Co-receptor หรือตัวจับร่วมด้วยซึ่งเท่าที่ผมทราบคือ CCR5 และ CXCR4 ครับ การศึกษาที่ จขกท. และ คห.2 กล่าวถึงก็คือในคนที่มี CCR5 mutation (การกลายพันธุ์ของ CCR5) จะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HIV เพราะ co-receptor มันไม่สมบูรณ์ การกลายพันธุ์ที่พบได้บ่อยคือ CCR5-delta32 deletion โดยคนปกติจะมียีน CCR5 ยาวที่ความยาวนึง แต่คนที่กลายพันธุ์จะมี CCR5 สั้นลงไป 32 คู่เบสครับ ส่งผลให้อาจมีความปิดปกติของโปรตีน CCR5 ได้ เพราะฉะนั้นเขาถึงเป้นที่ศึกษากันว่าคนที่มี CCR5 กลายพันธุ์แบบ delta32 insertion/deletion อาจจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV น้อยกว่าครับ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 08:56:04

ความคิดเห็นที่ 7 ภาพปรากรอบ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 08:59:31

ความคิดเห็นที่ 8 คราวนี้ผมยกประโยคที่ จขกท. ก็อปมาอีกที นึงแล้วก็อภิปราย โดยมีแพทย์เยอรมัน นำวิธีจากข้อ 1 มาใช้รักษาผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นผลสำเร็จ การรักษาเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2008 จนวันที่ 15/12/2010 ทางแพทย์ที่รักษาก็ได้ประกาศผลสำเร็จในการรักษาออกมาแล้ว ผู้ป่วยคนนั้นตรวจไม่พบเชื้อเอดส์ เป็นเวลากว่าสองปีแล้ว จากที่ผมเคยทำ HIV viral load มานั้น พบว่ามันมีขีดจำกัดอยู่คือ HIV ในพลาสมาต้องไม่ต่ำกว่า 40 ตัวต่อ 1 มิลลิลิตร (เวลาตรวจ HIV ต้องใช้พลาสมา ไม่ใช้เลือด เนื่องจากว่าเป็นการตรวจ active HIV) ดังนั้นต่อให้ไม่พบแล้ว คนผู้นี้ต้องรักษาไปตลอดชีวิตครับ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:04:25

ความคิดเห็นที่ 9 แต่คราวนี้จากที่ จขกท. ยกมา แต่อย่าลืมว่า การรักษานี่โหดเข้าขั้นเลย เหมือนตายทั้งเป็น ทำลายเซลล์ไขสันหลังของเดิมทิ้งทั้งหมด( ฉายแสง , คีโม ) อยุ่ในห้องปลอดเชื้อตลอดเวลา ปลูกฝัง stem cell ใหม่ จากนั้นก็รอปฏิหารย์ ซึ่งเป็นการรักษา HIV โดยการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ผมอภิปรายว่า - การรักษาแบบนี้เป็นการรักษาคล้ายกับคนที่เป็นลิวคีเมียครับ คือ การทำลายไขกระดูกชุดเดิมทั้งหมดด้วยการทำเคมีบำบัดและการฉายรังสี   การทำลายไขกระดูกจะส่งผลให้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดขาว (รวมทืั้งเม็ดเลือดอื่นด้วย) ตายทั้งหมด จะส่งผลให้เม็ดเลือดขาวที่มีอยู่เดิมลดลงไปเรื่อย   ผลก็คือ HIV มันไม่มีที่จะเข้าไปอยู่นั่นเอง ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นแค่อนุภาคที่ไม่มีชีวิตรอการกำจัด แต่ - HIV ไม่ได้หลบอยู่แค่ใน CD4+ T cell และ macrophage เท่านั้น หากลอง review ดูดีๆ HIV ยังเข้าไปในระบบประสาทอีกด้วยแม้จะไม่มากเมื่อเทียบกับในเลือด เช่น ใน astrocyte และ glia cell (ซึ่งก็คือ macrophage ชนิดหนึ่งที่ไปอยู่ในระบบประสาท) - ดังนั้นจะทราบได้ไงว่ารักษา HIV หมดเกลี้ยงแล้วจริงๆ วันดีคืนดี พอคนไข้รายนี้ได้ไขกระดูกใหม่มา ไอ้ HIV ที่แอบอยู่ในระบบประสาท อาจจะออกมาติด CD4+ t cell อีกก็ได้ - เพราะฉะนั้นต่อให้คนไข้นี้หายแล้ว อาจต้องรับยาต้าน HIV และได้รับการตรวจ HIV viral load ไปตลอดชีวิต   แล้วแน่นอนว่าเขาได้ชีวิตใหม่แน่นอน เพราะ antibody ต่อ HIV ที่เกิดจากเซลล์ชุดเดิมของเขาก็หายไปด้วย ทำให้การตรวจ screening ไม่พบ HIV (เลือดเป็นลบ) จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:13:20

ความคิดเห็นที่ 10 รักษาโรคนี้ได้เดี๋ยวก็มีโรคใหม่มาอีก แย่จิงๆ จากคุณ : psybuster เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:25:53

ความคิดเห็นที่ 11 เดี๋ยวเชื้อ HIV มันก็กลายพันธุ์จนก่อโรคให้กับคนเหล่านี้ได้เองแหละครับ ทางที่ดีหยุดนำตัวเองไปเสี่ยงกับโรคจะดีกว่า จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:27:24

ความคิดเห็นที่ 12 ใช่รายเดียวกันไหมหว่า              ในปี 2007 คนไข้เอดส์รายหนึ่งที่เป็น AML (ลิวคีเมียชนิดหนึ่ง) ได้ทำเคมีบำบัดเพื่อรักษามะเร็งและเตรียมตัวในการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก             แต่บังเอิญว่าผู้บริจาคนั้นมีไขกระดูกที่มียีน CCR5 แบบ 32 deletion พอดี             ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวชุดใหม่ (เลือดที่ผ่านจากการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเม็ดเลือดจะมี DNA และหมู่เลือดตรงกับผู้บริจาค) นั้นมี CCR5-delta32 แบบ deleion ตามไปด้วย             หลังจากนั้นพบว่าเป็นเวลากว่า 600 วันแล้วที่ไม่พบ HIV ในเลือด ในตัวอย่างของสมองและตัวอย่างของเรคตัม จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:59:56

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ ^ ผมจำได้ว่าเคยอ่านใน nature นะ ของ คห.12 คือเป็นมะเร็งด้วยพอดีเลยต้องทำ ปลูกถ่ายไขกระดูก (ใครจะกล้าใช้วิธีนี้รักษาคน โดยไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไงด้วยซ้ำ) จากคุณ : รบมิพัก รักมิยั้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 11:46:02

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ ผมว่ามันก็ยังไม่ง่ายอยู่ดีนะ แต่ก็ขอบคุณที่ยังช่วยอธิบายครับ เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องเฉพาะทางทำให้อธิบายยากเนื่องจากเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคคนทั่วไปอ่านแล้วคงมึน งั้นผมขอถามตามความเข้าใจผมดีกว่าครับ 1 คนที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยโรคเอดส์ แล้วไม่เป็นเอดส์มีจริงหรือไม่ หรือแค่โอกาสติดต่ำมาก 2 ถ้ามีจริงหรือโอกาสติดต่ำมาก ผมสามารถตรวจที่โรงพยาบาลได้หรือไม่ ว่าผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนผู้โชคดีหรืเปล่า และถ้าไปตรวจต้องบอกโรงบาลว่าตรวจอะไร 3 สรุปว่า ณ ตอนนี้สามารถรักษาเอดส์ให้หายขาดได้หรือยังครับ นิยามคำว่าหายขาดของผมคือ ไม่แพร่เชื้อไปสู่คู่นอนน่ะครับ จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 12:34:15

ความคิดเห็นที่ 16 1 คนที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยโรคเอดส์ แล้วไม่เป็นเอดส์มีจริงหรือไม่ หรือแค่โอกาสติดต่ำมาก ==>แค่โอกาสต่ำมากครับ ถึงแม้ว่าจะมีการกลายพันธุ์ของยีนต่างๆ ทำให้การติดเชื้อยากขึ้นก้ตาม 2 ถ้ามีจริงหรือโอกาสติดต่ำมาก ผมสามารถตรวจที่โรงพยาบาลได้หรือไม่ ว่าผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนผู้โชคดีหรืเปล่า และถ้าไปตรวจต้องบอกโรงบาลว่าตรวจอะไร ==> ตอนนี้ยังไม่มีที่ไหนรับตรวจครับ แต่ว่า หากสนใจเป้นอาสาสมัครสุขภาพดีให้กับหน่วยวิจัยเอดส์ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ครับ         อย่างที่จุฬาฯ ลองโทรไปหาคุณพูนลาภดูนะครับ ตรวจฟรีครับ เผลอๆได้ตังค์อีก (แต่คุณต้องเซนต์ยินยอมให้ตรวจก่อนนะ)         บอกว่าตรวจ CCR5-delta32 (ซีซีอาร์ไฟว์-เดลต้าสามสิบสอง)         กับอีกกรณีนึงถ้าคุณเป็นเอดส์อยู่แล้ว (ซึ่งหวังว่าคงไม่ได้เป็น) แล้วไปคลินิกนิรนามเขาอาจจะมีโครงการวิจัยเรื่องนี้ คุณก็ไปถามเขาได้เลยครับ อันนี้ก้ตรวจฟรี 3 สรุปว่า ณ ตอนนี้สามารถรักษาเอดส์ให้หายขาดได้หรือยังครับ นิยามคำว่าหายขาดของผมคือ ไม่แพร่เชื้อไปสู่คู่นอนน่ะครับ ==> ไม่ทราบครับ และ คงยังไม่มีใครกล้ายืนยันครับ เพราะ ส่วนใหญ่เขาจะตรวจจากพลาสมา (น้ำเลือด) เป็นหลักเวลาตรวจทำ Viral load ดังนั้นในสารคัดหลั่งอื่นๆ จะมีเชื้ออยู่หรือไม่คงยากที่จะยืนยันครับ เพราะ มาตรฐานของ WHO คือ พลาสมา แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 12:50:49 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 12:43:04

ความคิดเห็นที่ 17 ขอถามต่อนะครับ ถ้าเป็นอาสาสมัครสุขภาพดีให้กับหน่วยวิจัยเอดส์ แล้วผมต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ (คร่าวๆก็ได้ครับ) เช่นต้องไปตรวจทุกอาทิตย์ หรืออะไรอย่างนี้ หาทางได้ตังฟรี ว่าแต่แล้วโทรหาคุณพูนลาภได้ที่เบอร์อะไรครับ - -" จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 13:19:41

ความคิดเห็นที่ 18 คุณCuSO45H2O สรุปก็คือตอนนี้ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ใช่ไหมครับ เพราะการรักษาแบบนี้เชื้อก็ยังแอบอยู่ตามทิสชูต่างๆ ผมเข้าใจถูกไหมครับ จากคุณ : Mr.Feynman เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 13:24:59

ความคิดเห็นที่ 19 เชื้อ HIV มันแทรก DNA ของมันเองเข้าสู่ DNA ของคนเรา ถ้า cell นั้นๆ ไม่ตาย คนที่เป็นยังไงก็ไม่หายหรอกครับ อย่างมากก็ไม่มีอาการ ไม่มีการตรวจพบ active virus จากคุณ : recombination เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 13:25:54

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าคุณไม่ได้เป็นเอดส์ก็ตรวจครั้งเดียวครับ เซนต์ใบยินยอมเข้าร่วมโครงการ แล้วบอกว่าตรวจ CCR5-delta32 ครับ (จริงๆตอนนี้ที่แล็บนั้นเขาตรวจตัวอื่นอีกสองตัวด้วยครับ เขาคงทำให้คุณหมดทั้งสามอันนั่นแหละครับ) แล้วว่าเลือดของคุณอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยภายภาคหน้าได้ครับ (ซึ่งแน่นอนไม่มีการเปิดเผยชื่อคุณแน่นอน) จนกว่ามันจะหมด ปล. ผมให้เมลล์ติดต่อคุณพูนลาภหลังไมค์ไปแล้ว จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 13:32:42

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณมากครับ หวังว่าผมจะเป็นหนึ่งในผู้โชคดี หากผมเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้โชคดี เลือดของผมก็สามารถเป็นประโยชน์ต่อการวิจัย และช่วยคนเป็นโรคเอดส์ได้สินะ ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองสุขภาพดีมาก เพราะปีๆนึงเป็นหวัดอย่างมากไม่เกินสองครั้ง ^ ^ จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 13:36:13

ความคิดเห็นที่ 22 โหวตๆ จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 14:41:33

ความคิดเห็นที่ 23 คห.18 เท่าที่ผมทราบน่าจะเป็นอย่างนั้นครับ แต่ผมก็ไม่ได้โปร HIV อะไรครับ พอดีเพื่อน/อาจารย์ผมมาปรึกษาผมหลายครั้ง ผมก็เลยอ่านไว้บ้างครับ ท่านที่ทำงานด้านนี้โดยตรง มาตอบอีกทีก็ได้ครับ ผมรู้ท่านอ่านอยู่ใช่ไหมเหอะๆ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 15:26:06

ความคิดเห็นที่ 24 ....        เปล่าครับ ผมไม่ได้พิมพ์อะไรนะครับ                                                           ++ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 19:36:44 แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 19:35:56 แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 19:35:35 จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 19:35:15

ความคิดเห็นที่ 25 กระทู้ทรงคุณค่า อ่านไม่รู้เรื่องหรอก  แต่ชอบๆ 555 จากคุณ : BIZZARE เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 01:56:13

ความคิดเห็นที่ 26 ขอแย้งคุณ จุนสี นะครับ ผมเชื่อว่าอย่างกรณีคนไข้รายนี้ น่าจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า "หายแล้ว" เพราะไม่มีเซลล์เม็ดเลือดขาวใดที่น่าจะทำให้ไวรัสเข้าไปในเซลล์ได้ ทีนี้มาถึงกรณีของคนไข้ ต้องบอกว่าถ้าให้เลือก ผมเลือกเป็น HIV ยังดีกว่า คนไข้รายนี้ไม่ได้ตั้งใจรักษา HIV แต่เขาดันเป็น leukemia ชนิดหนึ่งพอดี ก็เลยทำเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก แล้วไขกระดูกนั้นก็ดันเป็นชนิดที่เชื้อ HIV จับไม่ได้ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างติด HIV กับเป็น leukemia ต้องบอกว่า HIV มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ามาก หากทราบแต่แรก รักษาอย่างถูกต้อง ทานยาสม่ำเสมอ ไม่ไปรับเชื้อเพิ่ม สามารถอยู่ได้ นานหลายสิบปี แต่ถ้าเป็น leukemia ต้องดูว่าเป็นชนิดไหน ถ้าเป็นชนิดที่เลือกทำปลูกถ่ายไขกระดูก ได้ ก็ต้องมาดูว่าแข็งแรงพอหรือไม่ ทำแล้วก็ไม่ได้สำเร็จทุกราย บางรายก็ไม่สำเร็จ ติดเชื้อไปก่อน บางรายเท่านั้นที่ทำสำเร็จไม่ต้องทานยาไปตลอดชีวิต ต้องทานยาไปตลอดชีวิต ซึ่งก็แทบไม่ต่างกับ ที่เป็น HIV แล้วเลยครับ จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 16:47:24