ความคิดเห็นที่ 1 เติมคำถาม อะไรคือ cistron? จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 10:56:03

ความคิดเห็นที่ 2 กางเกง จากคุณ : เอาเมียไปเก็บที เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 10:59:11 A:61.7.190.25 X: TicketID:195832

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นนิยามเชิง function ครับ ว่าต้อง "ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม" จากคุณ : เสือต้าน เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 11:03:39

ความคิดเห็นที่ 4 จขกท. เข้าใจสารเคมีของยีนถูกต้องแล้ว และมันคือสิ่งซึ่งถ่ายทอดจากต้นตอไปสู่ลูกหลาน อาจเรียกได้ว่ายีนคือต่อสืบทอดชาติภพ จากชาตินี้สู่ชาติหลัง หรือสู่ชาติหน้า ในคน พ่อแม่คือชาติก่อนของลูก และลูกเป็ฯชนชาติหน้าของพ่อแม่ จากคุณ : swathcu@yahoo.com เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 11:18:19 A:115.67.152.13 X: TicketID:281681

ความคิดเห็นที่ 5 1) chromosome คือ DNA รวมกับโปรตีนครับ ลองนึกถึง DNA เหมือนสายไฟยาวๆ หรือด้ายยาวๆ ถ้าเราปล่อยไว้ ยาวๆ อย่างนั้น มันก็จะยุ่งพันกันไปหมด เซลล์ก็ใช้โปรตีน คือ Histone เป็นเหมือนแกนด้ายให้เอาสาย DNA มา พันให้เป็นระเบียบ ม้วนไปม้วนมากับ scaffold proteins ก็กลายเป็น Chromosome อย่างที่เห็น http://en.wikipedia.org/wiki/Chromatin รูปข้างล่างซ้ายมือสุดคือ DNA ครับ สาย ATCG นั่นแหละ พันไปพันมาจนเป็น Chromosome ทางขวามือ แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 54 11:29:30 จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 11:28:16

ความคิดเห็นที่ 6 มารอเก็บความรู้ จากคุณ : ksk เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 11:40:23

ความคิดเห็นที่ 7 1. เริ่มที่ start codon (ATG, GUG หรือ UUG) แต่โดยมากมักจะเป็น ATG ซึ่งเราต้องหาอีกทีว่า reading frame ที่ start codon อันไหนเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริง (เพราะมันอาจไม่ใช่ ATG แรกที่เจอ อาจเป็นตัวต่อมาก็ได้) และจบที่ stop codon (TAG, TAA และ TGA) แต่บางคนจะคิดส่วนที่เป็น 5' UTR กับ 3' UTR ด้วย จะนับว่ามันเริ่มตรงนี้ 2. ส่วนมากไม่ติดกัน มักจะมี intergenic region คั่นไว้ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 11:49:02

ความคิดเห็นที่ 8 2) Gene คือส่วนหนึ่งของสาย DNA ใน Chromosome (ดูรูปข้างบนย้อนจากขวามาซ้าย) แล้วส่วนไหนคือ gene ณ ตอนนี้เรารู้ว่ามี Gene อยู่ 2 ประเภท คือประเภทที่เก็บข้อมูลเพื่อใช้สร้าง RNA ที่จะโดนถอดรหัสเป็น โปรตีน และประเภทที่เก็บข้อมูลเพื่อสร้าง RNA ที่ไม่ได้ถูกถอดรหัสเพื่อสร้างโปรตีน Gene คือส่วนหนึ่งของ DNA ที่มีข้อมูลทั้งหมดที่พอจะใช้สร้าง RNA ครับ นั่นคือเราสามารถตัด DNA ส่วนนั้นไป แปะไว้ที่ไหน แล้ว DNA ส่วนนั้นสามารสร้าง RNA ได้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า DNA ตรงนั้นเป็น Gene คือ Gene ต้องมีรหัส DNA ที่เรียกว่า Promoter ที่จะบอกจุดที่ จะเริ่มสร้าง RNA เจ้า Promoter นี้ มีรหัสเฉพาะตัวที่เราพอจะสามารถนั่งค้นสาย DNA หาได้เลย ถ้าเจอ Promoter ตรงไหน มีความเป็นไปได้สูงว่า DNA ตรงนั้นจะเป็น Gene ครับ แต่อย่างที่บอก เราต้องหาว่า DNA ตรงนั้นแค่ไหนจึงจะมีข้อมูลพอเพื่อจะสร้าง RNA เพื่อจะบอกขอบเขตของ Gene นั้นๆ http://en.wikipedia.org/wiki/Gene จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 11:51:04

ความคิดเห็นที่ 9 ที่คุณ panote_saechiew เข้าใจ มันก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่มัน คลาดเคลื่อนอยู่นิดหน่อย เลยฟังดูแปร่งๆ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนครับว่า โครโมโซม ดีเอ็นเอ ยีน 3 คำนี้มีที่มาจากคนละทิศคนละทาง แต่มาบรรจบรวมกันอยูู่ในเรื่องพันธุศาสตร์โมเลกุลครับ สมัยก่อนที่นักชีววิทยาศึกษาองค์ประกอบของเซลล์ นิยมนำสีชนิดต่างๆ มาย้อมเซลล์แล้วส่องกล้องดูครับ เค้าก็พบว่า นิวเครียสติดสี (ที่ใช้สมัยนั้น) ได้ดี แล้วพอลองย้อมสีเซลล์ที่กำลังแบ่งตัวก็พบว่า ร่างแหในนิวเครียสหดตัวเป็นแท่งๆ (คล้ายปาท่องโก๋) มีเฉพาะแท่งๆ เท่านั้นที่ติดสีย้อม จึงเรียกแท่งๆ นี้ว่า "โครโมโซม" ที่แปลว่า ติดสี หรือ ส่วนที่ติดสี ครับ ในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าแท่งๆ โครโมโซม คืออะไร แต่เชื่อว่ามันเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เมื่อลองแยกองค์ประกอบของโครโมโซมออกมาพบว่ามันประกอบด้วยสารเคมีประเภท กรดนิวคลีอิก และโปรตีน แต่ยังไม่มีใครทราบการจัดเรียงโครงสร้าง จนกระทั่งวัตสันและคริก หาคำตอบได้ว่าส่วนของกรดนิวคลิอิกมีการจัดเรียงตัวเป็นกลียวคู่คล้ายบันไดเวียน มีเบสจับกันเป็นคู่ๆ ส่วนนี้เรียกว่า ดีออกซีไรโบนิวคลิอิกแอซิด หรือ ดีเอ็นเอ ในส่วนของโปรตีนในโครโมโซมนั้นพบว่าส่วนใหญ่เป็นโปรตีน ชื่อ ฮิสโตน ดังนั้น โครโมโซมที่ เห็นเป็นแท่งๆ ติดสี จึงเกิดจาก สายดีเอ็นเอพันรอบก้อนโปรตีนฮิสโตน และม้วนอัดตัวกันแน่นจนเป็นแท่งๆ ครับ คำว่า ยีน ก็มีที่มาจากการศึกษาเรื่องการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อแม่ไปสู่ลูก เมนเดลเชื่อว่ามีปัจจัยบางอย่างที่เเป็นตัวถ่ายทอดลักษณะจากพ่อแม่ไปสู่ลูก จึงทดลองกับต้นถั่ว ในการทดลองนั้นใช้คำว่า factor เรียกสิ่งที่ถูกถ่ายทอดครับ ต่อมาจึงพบว่า factor ที่ว่านี้อยู่ในดีเอ็นเอนั่นเอง และภายหลังจึงถูกเรียกว่า ยีน ครับ คำว่ายีนจึงหมายถึง ส่วนดีเอ็นเอที่ทำงานได้ (function) โดยในการทำงานนี้อาจหมายถึง ดีเอ็นเอส่วนนั้นมรการถอดรหัสไปเป็นโปรตีน หรือ เป็น อาร์เอ็นเอ หรือมีส่วนควบคุมการแสดงออกของยีนอื่นๆ ก็ได้ ขอบเขตของยีนจะมีรหัสบอกจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดที่แน่นอนเพื่อบ่งบอกเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ถอดรหัส การเรียงตัวของยีนจึงเป็นไปได้หลายแบบ ทั้ง มีช่องว่าง และไม่มีช่องว่างระหว่างยีน [...][....][ATCGTTCGGGCTTAGGATACG]..... ...[...]....[ATCGTTCGGGCTTAGGATACG]....... หรือแม้กระทั่งยีนซ้อนทับกัน (ในไวรัสบางชนิด) ...[AAGT[ATCGTT]CGGGCTTAGGATACG]. ...[ATCGT[TCGGGCTTAGG]ATACG]..... จากคุณ : Entitas เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 11:51:29

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบข้อ 1.นิยามของยีน คือ ชิ้นส่วนของ DNA (หรือ RNA ในไวรัสบางชนิด) ที่สังเคราะห์โปรตีนได้ 1 สาย ยีนเริ่มตั้งแต่โค๊ดเริ่ม (initiation code) และโค้ดจบการสังเคราะห์  โค้ดเริ่มการสังเคราะห์เป็นอะไรที่เรียนสนุกมาก เพราะมันจะหลากหลาย เพื่อจะได้ควบคุมได้ว่า จะสังเคระห์ RNA ออกมาเมื่อไหร่ดี เช่น เวลาป่วย ก็จะต้องสังเคราะห์ยีนที่เอามาช่วยภูมิคุ้มกัน 2.ยีนอยู่ติดกันแทบไม่มีช่องว่างเลย ในแบคทีเรีย  แต่ในสัตว์และพืชชั้นสูง บางยีนอยู่ห่างกันมาก ระหว่างยีนเป็นโค้ดที่นักชีววิทยาก็ยังค้นไม่พบประโยชน์ของพวกมัน    ลักษณะที่สำคัญของโค้ดคั่นยีน คือ ส่วนมากจะไม่มีโค้ดมั่ว แต่เป็นการซ้ำของเบส เช่น AAAAAA.... หรือ CTCTCT....  เป็นต้น    บางคนบอกว่าเป็นโค้ดขยะ บางคนบอกว่ามันคงทำหน้าที่อะไรซักอย่างที่เรายังไม่รู้  บางคนบอกว่ามันมีไว้เพื่อควบคุมการคลายตัวของสาย DNA ที่พันอยู่กับ Histone (คือถ้าไม่คลายออกมา ก็สังเคราะห์ RNA ไม่ได้)     คิดดูว่าเรารู้โค้ดเบสทุกตัวในมนุษย์แล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจ(ส่วนใหญ่ของ)มัน มันเป็นศาสตร์ลึกลับที่รอคอยการพิสูจน์ จากคุณ : Black-White&Gray เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 12:00:56

ความคิดเห็นที่ 11 3) ต่อเรื่อง Cistron ผมไม่คุ้นคำนี้นะ แต่พอเจอคำว่า Polycistronic เลยเข้าใจว่า Cistron คืออะไร คือผมจะคุ้นกับคำว่า Open Reading Frame มากกว่า คือ Gene ที่เก็บข้อมูลของโปรตีน เนี่ยจะมีส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุม เช่น เจ้า Promoter หรือส่วนที่เป็นเหมือนสวิทช์ สำหรับเปิดปิดยีน เจ้าส่วนพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของยีน แต่ไม่ได้เก็บข้อมูลของโปรตีน ส่วนของ Gene ที่เก็บข้อมูลของ โปรตีน เราเรียกว่า Cistron ส่วน Polycistronic คืออะไร เรื่องนี้จะตอบคำถามด้วยว่า Gene อยู่ติดกันได้ไหม แล้วยีนอยู่ติดกันได้ไหม คำตอบคือได้ในพวก Prokaryote ครับ (แบคทีเีรีย) สำหรับ Eukaryote ไม่พบ บ่อย และที่พบมักเป็น Gene ที่สร้างโปรตีนทับซ้อนกับยีนที่สร้างเฉพาะ RNA (ยีนที่สร้าง RNA ก็ไปปิดสวิทช์ ยีนที่สร้างโปรตีนที่มันทับซ้อนอีกที) Polycistronic ในพวกแบคทีเรียคือ Gene มาเป็นชุดๆ ควบคุมด้วย Promoter เดียว คือเมื่อเป็น RNA จะเป็นสายเดียว แต่เมื่อถอดรหัสเป็นโปรตีนจะกลายเป็นหลายโปรตีน ตามจำนวนยีนติดๆ กันที่บรรจุในสาย RNA ตัวอย่าง http://en.wikipedia.org/wiki/Lac_operon Lac operon มี ยีน 3 ยีนติดกันเป็นแผงคือ lacZ lacY และ lacA เวลาเป็น RNA ก็เป็นสายเดียว แต่ พอถอดรหัสจะเป็น 3 โปรตีน จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 12:12:36

ความคิดเห็นที่ 12 ***     "ยีนส์" มีกำเนิดมาเป็นเวลานับร้อยปีแล้วครับโดยพวกฝรั่งจะเรียกยีนส์ว่า บลูยีนส์ (Blue  Jeans) เพราะยีนส์มีสีโทนน้ำเงินมาแต่กำเนิด  ไม่ได้มีสีต่าง ๆ ให้เลือกอย่างในปัจจุบัน  โดยผ้ายีนส์ขนานแท้แบบดั้งเดิมนั้นจะเป็นผ้าฝ้ายลายสอง  ใช้สำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าใส่ทำงานที่ต้องการความทนทาน  ผ้ายีนส์ทั่วไปทอจากเมืองเจนัว (Genoa) ประเทศอิตาลี  แต่ช่างทอผ้าชาวฝรั่งเศสเรียกเมืองนี้ว่า แชน(Genes) อันเป็นที่มาของคำว่า "ยีนส์" นั่นเอง       อย่างไรก็ดีต้นกำเนิดของยีนส์นั้นดำเนินควบคู่มากับประวัติของช่างเสื้อวัย ๑๗ ที่ชื่อ "ลีวาย สเตราส์" (Levi Strauss) ซึ่งอพยพมาอยู่ ณ เมืองซานฟรานซิสโกในยุคเฟื่องของเหมืองทองราวทศวรรษที่ ๒๓๙๓-๒๔๐๓  แต่แทนที่สเตราส์จะร่วมเสี่ยงโชคขุดทองดังวัตถุประสงค์ของผู้คนทั้งหลายที่หลั่งไหลมาที่ซานฟรานซิสโก  แต่ด้วยสายตานักธุรกิจที่กว้างไกลเขากลับนำผ้าใบมาขายซึ่งตรงกับความต้องการของตลาดในช่วงนั้นมาก **รูปของนาย "ลีวาย สเตราท์" **   (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 12:28:09

ความคิดเห็นที่ 13 ***     นั่นเพราะนักขุดทองพากันซื้อผ้าใบมาใช้เป็นเต็นท์และใช้คลุมรถลาก  นอกจากนั้นความฉลาดเฉลียวของพ่อหนุ่มคนนี้ยังมองเห็นช่องทางอื่นอีก  เขารู้ว่าคนที่ทำงานในเหมืองต้องการกางเกงที่เหมาะกับลักษณะงานลุยมาก  เขาจึงนำผ้าใบซึ่งทนต่องานหนักๆได้ดีมาใช้ตัดเย็บเสื้อกางเกง  ถึงแม้กางเกงจากฝีมือของเขาจะหยาบและผ้าก็กระด้างแต่มันก็บรรลุความต้องการใช้งานได้ดียิ่งทำให้ "สเตราส์" กลายเป็นช่างตัดเย็บที่ทุกคนเรียกหา       ในต้นทศวรรษที่ ๒๓๙๔-๒๔๐๔ "สเตราส์" ได้เปลี่ยนจากผ้าใบมาใช้ผ้าฝ้ายที่มีเนื้อนุ่มกว่าซึ่งเป็นผ้าที่ทอจากเมือง "นีม" ประเทศฝรั่งเศส  โดยชาวยุโรปจะเรียกผ้าชนิดนี้ว่า  "แซร์จ เดอ นีม" (Serge de nimes) แต่คนอเมริกันจะเรียกเป็น "เดนิม" (denim)  นอกจากนี้นายสเตราส์ยังค้นพบด้วยว่าสีของผ้าเดนิมซึ่งเป็นสีฟ้าครามช่วยปิดบังรอยเปื้อนดินได้ดี  ดังนั้นสินค้าปรับปรุงใหม่ของเขาจึงขายดิบขายดีไม่ยิ่งหย่อนกว่าเก่า   (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 12:29:58

ความคิดเห็นที่ 14 ว่าแล้วต้องมีใครกางใบเตรียมล่องนาวี จากคุณ : ไข่เจียวยัดไส้ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 12:54:06

ความคิดเห็นที่ 15 *** ส่วนพวก "คาวบอย" ซึ่งต้องการกางเกงที่กระชับก็จะใช้วิธีใส่กางเกงของสเตราท์แล้วลงไปแช่ในรางซึ่งใส่น้ำไว้ให้ม้ากินจากนั้นจึงลุกมานอนตากแดดให้ผ้าเดนิมหดเข้ารูป  ถึงผ้าเดนิมจะขาดยากแต่ลูกค้าคนงานในเหมืองก็ยังติว่าฝีเย็บกระเป๋ามักจะแตกเพราะต้องใส่เครื่องมือหนัก ๆ  สเตราส์จึงแก้ปัญหาด้วยการหยิบยืมความคิดของช่างเสื้อชาวยิว-รัสเซียผู้หนึ่ง  ชื่อ "จาคอบ ดาวิส"  โดยในปี ๒๔๑๖ เขาได้ใช้หมุดทองแดงติดย้ำที่ตะเข็บกระเป๋าและที่ฐานของสาบกางเกงเพื่อกันตะเข็บปริขณะนั่งร่อนทอง       แต่หมุดทองแดงก็ก่อปัญหาใหม่ขึ้นจนได้  เพราะคนงานเหมืองไม่ค่อยอินังขังขอบกับการสวมกางเกงใน  เวลานั่งผิงไฟยามค่ำคืนหมุดทองแดงจะร้อนและไหม้ผิว  การใช้หมุดทองแดงจึงต้องเลิกราไป  ส่วนหมุดที่กระเป๋าใช้กันอยู่จนถึงปี ๒๔๘๐ จึงเลิกไปด้วยเหตุผลคนละอย่าง  กล่าวคือ  สมัยนั้นเด็ก ๆ ใส่ชุดยีนส์ไปโรงเรียน หมุดที่กระเป๋าหลังจึงขูดขีดโต๊ะเก้าอี้ไม้เป็นรอย  ต้องซ่อมแซมกันเป็นการใหญ่ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 12:58:33

ความคิดเห็นที่ 16 ***    ยีนส์ปรากฏหลักฐานการเข้าสู่วงการแฟชั่นในปี ๒๔๗๘ ด้วยการลงโฆษณาในนิตยสาร "โว้ค" เป็นภาพผู้หญิงที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงสังคมสองคนสวมยีนส์ทรงคับ  ดึงแนวโน้มแฟชั่นให้เป็น "เท่ห์แบบตะวันตก"  แต่ความคลั่งไคล้ในช่วงนั้นยังไม่อาจเทียบกับช่วงทศวรรษที่ ๒๕๑๓-๒๕๒๓ ซึ่งมีการประชันขันแข่งการออกแบบชุดยีนส์กันอย่างเข้มข้น     กางเกงยีนส์จึงเปลี่ยนหน้าที่จากการรับใช้งานหนักมาเป็นกางเกงสำหรับใส่เล่น  จนถึงกับทำให้เกิดอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้าน ยีนส์ยี่ห้อดังบางยี่ห้อขายได้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ตัวต่อสัปดาห์ทีเดียว **ขอขอบคุณเครดิตของข้อมูลต่างๆจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม จากสำนักพิมพ์สารคดีด้วยครับ** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 12:59:36

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ ^ อ้าว! คุณจขกท.ไม่ได้หมายถึงกางเกงยีนส์หรอกหรือ -_-" (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 13:00:11

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นการออกทะเลที่อู้ฟู่มาก จากคุณ : ชินโนะสึเกะคุง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 13:11:08

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นการออกทะเลที่ได้ความรู้ ดีครับ ได้เข้าใจเรื่องของยีนในหลายแง่มุม จากคุณ : Entitas เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 13:50:14

ความคิดเห็นที่ 20 ตอนเรียน Genetic ได้ A นะ แต่พอมาอ่านอีกที ทำไมเหมือนไม่เคยได้ผ่านเข้าในสมองเลยหว่า ==' ..เราสอนหลานว่า โครโมโซมเป็นแท่งๆ   DNA คือเนื้อของโครโมโซม ส่วนยีนเป็นท่อนๆอยู่บนโครโมโซมนั่นแล..อธิบายอย่างนี้ได้รึปล่าวคะ จากคุณ : เต่าพันปี เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 14:07:15

ความคิดเห็นที่ 21 มันไม่จำเป็นต้องรู้จุดเริ่มรึเปล่า จับมาเรียงจนมันซ้ำเมื่อไหร่ก็คือสุด อันซ้ำก็ไม่เอา จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 14:59:05 A:58.137.175.82 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 22 คุณเจไดต่อเรือเดินสมุทร ระวางขับน้ำ 450 ตันเลยนะ จากคุณ : เสือต้าน เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 15:48:35

ความคิดเห็นที่ 23 gene เริ่มต้นที่ promoter สิ้นสุดที่ terminator ครับ ถ้าเริ่มที่ start codon จบที่ stop codon นั่นเรียก ORF gene มีทั้งอยู่ติดกันแลัแยกกันอยู่ครับ บางทีมันอยู่ที่เดียวกันเลย แต่ใช้ DNA คนละเส้น (บนกับล่าง) จากคุณ : recombination เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 16:02:40

ความคิดเห็นที่ 24 เราเสียใจ ที่ไม่ได้ตั้งใจเรียน เหอะๆ จากคุณ : แม่นางคำ เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 54 01:26:36

ความคิดเห็นที่ 25 โอวว ได้ที่มาของทั้งสองยีน (- -)า จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 54 10:33:40