ความคิดเห็นที่ 1 เป็นศาสนา เพราะคุณต้องมีความเชื่อครับ เชื่อว่ากรรมมีจริง ซึ่งมันไม่มีทางพิสูจน์ กฏแห่งกรรม ได้เลยครับ และที่สำคัญ พระพุทธเจ้า เหนือกว่านักวิทยาศาสตร์มากนะครับ เพราะความจริงที่นำมาบอก เป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะบอกได้อีก จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:03:20

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเห็นด้วยครับ แต่มีบางคนบอกว่า ที่คุณเข้าใจเป็นแก่น ส่วนพวกความงมงาย บ้าวัตถุต่าง ๆ นา ๆ ที่คุณยกมาเป็นเปลือก มีเปลือกไว้ก็เป็นประโยชน์ เพื่อใช้รักษาแก่นครับ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 54 17:10:01 จากคุณ : Phoenix032 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:04:14

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่เลยครับ ผมว่า ไม่ใช่นักวิทยาศษสตร์ ดีๆ  เลยสักนิด เเต่เป็นมากกว่านั้นเยอะครับ จากคุณ : werty_max เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:11:56

ความคิดเห็นที่ 4 เรื่องกรรม อาจจะเป็นกุศโลบาย ที่พระพุทธเจ้าต้องการสอนให้คนเป็นคนดี มนุษย์เราหากบอกอะไรตรงๆ มักไม่ค่อยเชื่อ ต้องใช้วิธีหลอกล่อนิดหน่อย โดยส่วนตัวคิดว่า หลักคำสอน และ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆมีความเป็นเหตุเป็นผลอยู่ในตัวสูงมาก แต่ไม่ใช่ในส่วนที่ถูกบิดเบือนไปนะ พวกพิธีกรรมไรต่างๆ วัตถุนิยมไรพวกนั้น ไม่ขอนับว่าเป็นพุทธ ความจริงหลายๆอย่างที่พระพุทธเจ้าค้นพบ คงจะต้องใช้เวลาพิสูจน์นานหน่อย เฉกเช่นทฤษฎีของไอน์สไตน์ แรกๆก็ฟังดูน่าเหลือเชื่อ เกินจริง แบบพลิกความคิดของนักวิทยาศาสตร์ทั้งโลก แต่ปัจจุบันนี้เราก็พิสูจน์ได้ว่ามันจริง จากคุณ : สายลมแห่งจักรวาล เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:13:03

ความคิดเห็นที่ 5 วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ให้เห็น จากการทำการทดลอง ส่วนพระพุทธเจ้าก็ทดลองแล้ว แต่อธิบายเยอะแยะไปหมด ผมไม่ได้อ่านพระไตยปิดกนะ ไม่รู้ข้างในเขียนอะไรบ้าง บางทีถ้าอ่านภาษาบาลีออก คนจะเข้าใจมากกว่านี้ พอพระไตยปิฎกแปลเป็นไทย นี้มันถอดคำพูดมาไม่ชัดเจน อ่านเข้าใจยากยังไงไม่รู้ อยากจะบอกว่าแปลเป็น ภาษาง่ายๆไม่ได้หรือไง ทำไม ต้องมีวลี ปัญญาอ่อน "ดูกร เจ้าเอ๋ย!!!" จากคุณ : wsp เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:13:23 A:58.64.111.183 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 6 คห.2 ผมว่าไม่ใช่เปลือกเเน่ๆ  ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น เป็น เเค่ เชื้อรา ที่มาเกาะกิน มากกว่า จากคุณ : werty_max เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:14:19

ความคิดเห็นที่ 7 พระไตรปิฎกก็ไม่ใช่พระธรรมล้วน ๆ เพราะเขียนหลังจากมีพระพุทธเจ้า รวมทั้งปรับแก้มาแล้วหลายครั้ง แล้วจะเชื่อได้ยังไงล่ะครับ จากคุณ : Phoenix032 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:15:55

ความคิดเห็นที่ 8 คำสอนของพระพุทธเจ้ามีหลายอย่างที่เราถือว่าเป็นความเชื่อนะคับ อย่างพระโสดาบัน, พระอรหันต์, พระอริยะเนี่ยเป็นเนื้อหาหลักของพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าอะไรคือพระโสดาบัน, พระอรหันต์, พระอริยะ ฯลฯ แล้วเราก็เชื่อตามๆกันมาตามที่พระพุทธเจ้าบอกอย่างเดียวเลยว่าสิ่งนั้นคือพระโสดาบัน สิ่งนั้นคือพระอรหันต์ คนนั้นเป็นพระอริยะ ฯลฯ ซึ่งถ้าจะให้พิสูจน์จิงๆก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ไม่ได้ ถึงพระพุทธเจ้าจะสอนให้เราไม่ต้องเชื่อศาสดาแต่สุดท้ายเราก็ต้องเชื่อศาสดาอยู่ดี... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:18:45 A:223.207.59.146 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไม่แปลกใจเลยว่า สมัยพุทธกาล พระอรหันต์สำเร็จต่อเบื้องพระพักตร์จึงเกิดขึ้นง่าย เพราะได้รับคำสอนที่เป็นแก่นแท้ล้วน ไม่มีเปลือกเจือให้สับสนเหมือนสมัยนี้ จากคุณ : 2612 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:32:21 A:58.9.153.122 X: TicketID:115608

ความคิดเห็นที่ 10 คห.นี้ตอบแบบวิทย์ ผมเชื่อเพราะได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง จากผลของสมาธิในแต่ละขั้นตอน ซึ่งออกมาตรงตามคัมภีร์เมื่อสองพันกว่าปีก่อนเป๊ะๆ มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พิสูจน์ได้จริงๆ น่าทึ่งครับ จากคุณ : 2612 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:40:55 A:58.9.133.77 X: TicketID:115608

ความคิดเห็นที่ 11 ผมกับคุณ จขกท มีความบังเอิญมากผมก็นับถือพุทธแล้วก็เรียนโรงเรียนคริสต์มา12ปีเหมือนกัน และกำลังจะตั้งกระทู้แนวนี้พอดีแต่มาเห็นกระทู้นี้ก่อน ศาสนาพุทธที่แท้จริงก็มีแค่คำสอนกับการปฎิบัตติตนเท่านั้นเอง แต่เพื่อให้ศาสนาอยู่รอดก็ต้องปรับตามที่ๆนั้นด้วยก็ที่เราเห็นอยู่ทุกๆวันนี้แหละมีพิธีกรรม มีความเชื่อต่างๆแต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่แก่นสารของศาสนาพุทธที่แท้จริงเลย ที่ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นคือไม่เน้นให้เชื่อโดยไม่มีเหตุผลแต่จะให้ปฎิบัติเองแล้วเห็นผลจึงจะยืนยันได้แล้วมันต่างจากวิทยาศาสตร์ตรงไหนล่ะ ในเรื่องกฎแห่งกรรมถ้าเราลองคิดดีๆเช่นถ้าเราไปทำอะไรให้คนอื่นเดือดร้อนเขาก็ต้องอยากเอาคืนคุณเป็นเรื่องธรรมดาจริงไหมแล้วจะต้องมีการแก้แค้นกันไปมาจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหยุดหรือที่เรียกว่าอโหสิ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้ตั้งกฎเกณแต่เป็นเพียงผู้ค้นพบเท่านั้นแหละว่าความจริงมันเป็นอยางไรแล้วนำมาเผยแพร่ ในเรื่องภพภูมต่างๆถ้ามองในแง่วิทยาศาสตร์เราอยู่บนพื้นฐานของ4มิติแต่นักวิทยาศาสตร์ยับอกเองว่าจักรวาลมีมากกว่านั้นเหนือจากนั้นมนุษย์เองก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เลย วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงมีแค่ความว่างเปล่าเท่านั้นแหละ แต่ที่พิสูจน์ได้มันก็วัดจากสิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้นแหละสิ่งที่มนุษย์สังเกตการณ์ได้............................ใครจะว่าผมบ้าก็เชิญแต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าซักวันหนึ่งวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนาก็จะมาบรรจบกันอย่างลงตัวแน่นอน จากคุณ : NINE (NINEec01) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:42:33

ความคิดเห็นที่ 12 เจ้าแมวน้ำนี่ตอนแรกก็นึกว่ามีความรู้ แค่โสดาบันยังไม่รู้คืออะไรอย่ามาพูดเรื่องศาสนาพุทธดีกว่ามั้ง เห็นเข้าห้องศาสนาบ่อยไม่ได้อะไรกลับมาเลยหรอ ตอบเจ้าของกระทู้       สมัยก่อนเคยมีคนเปรียบพระองค์ว่าเป็นนักปรัชญาแต่พระองค์ไม่ตอบคำถามเรื่องจักวาลเพราะอาจทำให้คนฟังเข้าใจผิดหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อการหลุดพ้น และโน้มน้าวให้พ้นทุกข์มากกว่า       ผมมองว่าท่านมองการณ์ไกลคิดเป็นเหตุเป็นผล ทุกสิ่งมีมาด้วยเหตุ จะเห็นได้ว่าแบ่งคนออกเป็น4เหล่าและเลือกธรรมะให้คนแต่ละเหล่าฟังให้เข้าใจง่ายๆๆ      เห็นด้วยนะที่ว่าควรใช้ภาษาในหนังสือธรรมะง่ายๆๆเพราะแม้แต่ศาสนาอิสรามเองตอนเช้าๆๆถ้าเปิดทีวีก็เห็นเขาใช้ภาษาง่ายๆๆเช่นกัน      คำว่าบรรลุโสดาบัน กับพระอรหันต์นั้น ไม่ได้หมายถึงพระต้องหายตัวเหาะได้นะครับ-*-อย่าไปเข้าใจผิด อันนั้นมันเปลือกผิวเผิน      ถ้าอยากเข้าใจศานาพุทธลองสวดมนต์แปลดูแล้วทำความเข้าใจก่อนช้าๆหลายๆๆรอบ ลองมองทุกอย่างแบบอริยะสัจ 4 ดู ถ้าไม่ไหวก็อ่านธรรมะสำหรับครองเรือน อ่านง่ายเพราะมีตัวอย่างด้วย      ผมเองก็ศึกษามาไม่นานหรือตอนเด็กๆเคยบวชภาคฤดูร้อน 3ครั้งก็เห็นว่าสอนเรื่องอิทธิฤทธ์จริงๆ วิชาพุทธประวัต  แต่จริงๆๆแล้วแก่นแท้หาใช่เรื่องพวกนั้นไม่ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:54:22

ความคิดเห็นที่ 13 ผมคิดแบบนี้น้ะ ประเทศไทย เกิดมาเท่าที่จารึกไว้ ยังไม่ถึง พันปีเลย ศาสนาพุทธ เกิดมาประมาณ สองพันกว่าปี กำลังจะบอกว่าแค่เรื่องในประเทศเรา ใกล้ตัวกว่า ศาสนาเมื่อสองพันกว่าปี เรายังรู้ไม่จริงเลย หรือ ละเอียดพอเลยด้วยซ้ำไป แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะก็ไม่ใช่คนไทยอีกด้วย เป็น เจ้าชายประเทศอื่นด้วยซ้ำ แถมยังเกิดก่อนประเทศไทยอีก ดังนั้น คำสอนต่างๆ ตัวละครต่างๆ สำหรับผม มองเป็นนิทาน ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ เล่นๆ ว่า ตัวเราเองยังไม่รู้จริงเลย แต่เอาเป็นว่า ผมก็นับถือ เพื่อเอาตัวรอดจากสังคม ที่ต้องอยู่ แต่คำสอนดีๆ ก็พยายามทำ ตามสมควร โดยไม่สนว่าใครเป็นคนคิด หากดีก็ทำ -_-" จากคุณ : บัตรเผ่น เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:59:29 A:174.36.199.201 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 14 มีเปลือกเพื่อรักษาแก่นแบบคห.2นะถูกแล้วละ... แต่ขอบอกตามตรงเลยว่าตัวเองเป็นIrreligionหรือไม่มีศาสนานั่นเอง ถามว่าทำไมก็เพราะว่าเราไม่สามารถปฏิบัติตามศาสนาพุทธได้ทังหมด หลายๆอย่างเช่นกาลามสูตรนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ยอมรับเลยปัจจุบันคนหลายคนนับถือพุทธแค่ตามทะเบียนบ้านแค่นั้น ถ้าไม่นับถือจริงก็น่าจะเปลี่ยนว่าไม่มีเลยแบบเกาหลี ญี่ปุ่น พอเราจะไปบอกพ่อว่าอยากจะเปลี่ยนว่าไม่มีพ่อดันว่าเราเราอีก เซง... จากคุณ : MicaFeresz เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:05:42

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าวัดสมัยนี้มีแต่วัดที่ เน้นปฎิบัติแบบพระป่าก็จะดีมาก เพราะฉันมื้อเดียว  ต้องบิณฑบาต ทุกวัน  อยู่แบบสมถะ ไม่สุขสบายจนเกินไป  แต่ทุกวันนี้พระมีรถเก๋งส่วนตัวมีทีวี พัดลม สเตอริโอไว้ฟังเพลง มีคอมไว้แชท มีโทรศัพท์ไว้คุยเล่น  ไม่มีอันปฎิบัติธรรม ที่บอกว่าไม่มีใครรู้ว่าบรรลุขั้นไหนได้นะผิดเลยครับ และสมัยนี้หรือว่าสมัยไหน  ผู้ที่บรรลุธรรมย่อมรู้ว่าตัวเองบรรลุธรรมนะครับ ยกเว้นเป็นพระอริยเจ้าแบบสุกขวิโก เท่านั้น  ที่อาจจะไม่รู้ได้อย่างแน่ชัด ถ้าได้ฌาน4จะรู้เองว่าบรรลุไม่บรรลุ  และรู้ถึงคนอื่นด้วยว่าคนอื่นอยู่ในระดับไหน  ถ้าเขาสําเร็จขั้นสูงกว่า แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 54 18:10:14 จากคุณ : PredatorNeverdie เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:09:23

ความคิดเห็นที่ 16 จขกท ตั้งกระทู้นี้จะรับได้ไหมถ้าพระพุทธเจ้าจะถูกวิจารณ์เสียๆหายๆ เมื่อเป็นสิ่งที่วิจารณ์ได้ทางเดียว มิฉะนั้นจะผิดกฏหมายก็แปลว่ามันอยู่นอกขอบข่ายของวิทยาศาสตร์โดยสภาพ ใช้สติกันด้วย ถ้ากระทู้นี้จะมีไอ้แมวน้ำ หรือไอ้บ้าตัวไหนมาตามด่า ทั้งหมดคือความผิดของ "สิ่งมีชีวิตหน้าคอม" ที่ตั้งกระทู้นี้ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:16:30

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่รู้ใครบอกเนอะ เรื่อง กฎแห่งกรรม แล้วยังจะมาบอกว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร มันเป็นทฤษฎีที่ขัดกันเห็นๆ หรือใครจะแย้งจะแถ อีกครับ จากคุณ : ไหย่ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:18:49 A:58.64.111.183 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นแค่นักปรัชญาแหละครับ ไม่มีวิทยาศาสตร์เลย ไม่รู้ทำไมพยายามโยงกันจัง จากคุณ : K.raywind เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:27:01

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าฝึกปฎิบัติธรรมตามพระพุทธองค์ แล้วจะรู้ว่า ที่ท่านตรัสสั่งสอนมานั้นเป็นของจริงเลยหล่ะ แต่อย่างว่า บางคนรู้สึกว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วแล้วไม่ได้ชั่ว เลยไม่ค่อยจะเชื่อถึง ทำตัวให้เป็นคนดีกัน จากคุณ : ป๊อปปูล่า เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:27:58

ความคิดเห็นที่ 20 กฏ แห่งกรรม  แต่เราหยุด กรรมได้ไง ครับ จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:28:21

ความคิดเห็นที่ 21 เห็นด้วยค่ะ  หลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ เมื่อวิเคราะห์แล้วประกอบด้วยเหตุผลทั้งสิ้น ส่วนพิธีกรรมอะไรต่างๆเป็นเหมือนกุศโลบายมากกว่า แม้แต่กฏแห่งกรรม  เมื่อวิเคราะห์แล้วก็คล้ายกฏของนิวตัน (ใช่นิวตันหรือเปล่านะ) action = reaction   ใครทำอะไรไว้ก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่าลูกบอล(หรือกรรมนั้น) มันจะกระเด้งมาหาเราเมื่อไหร่ จากคุณ : ฟุมิ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:29:42

ความคิดเห็นที่ 22 ผมว่าคนที่คิดแบบมีเหตุมีผลก่อนจะสรุปเรื่องอะไรคงต้องเรียนรู้เรื่องนั้นๆให้ดีเสียก่อนอย่างศาสนาพุทธนั้นที่แท้สอนอะไร อะไรที่เป็นแก่นแท้ อะไรที่เป็นพิธีกรรม หรืออะไรที่เป็นการบิดเบือนหรือหาประโยชน์แอบแฝง ถ้ายังไม่รู้จริงๆแล้วด่วนจะไปสรุปเข้าก็ไม่ใช่การคิดแบบมีเหตุผล  ห้องนี้ก็มีมากทั้งคนที่รู้จริงและชอบออกความเห็นทั้งๆที่ไม่รู้ จากคุณ : Mr MOT เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:33:31

ความคิดเห็นที่ 23 เพื่อนต่างชาติผมที่เป้นอิสลาม เขาก็บอกว่าคำสอนของเขาเป็นวิทยาศาสตร์เหมือนที่คุณพูดนี่แหละ เป๊ะเลย จากคุณ : คนพิจิตร เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:38:45

ความคิดเห็นที่ 24 ทำไม จขกท ถึงได้ไปลดค่าของ พระพุทธเจ้าละครับ มันเหนือกว่านั้นเยอะ ไอสไตน์และนักวิทยาศาสตร์เอกสาขาต่างๆ ได้ค้นพบกฏของโลก กฎของธรรมชาติ และหามีนักวิทยาศาสตร์ท่านใด หลุดพ้นและพบความสุขที่แท้จริงดังที่พระพุทธองค์ค้นพบไม่ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:39:35

ความคิดเห็นที่ 25 เคยเรียนโรงเรียนคริสต์เหมือนกัน แต่นับถือแก่นแท้ของศาสนาพุทธมาตลอด ไม่เปลี่ยนแปลง จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:49:15

ความคิดเห็นที่ 26 ผมเจ้าของกระทู้ ขอตอบความคิดเห็นที่ 16 "จขกท ตั้งกระทู้นี้จะรับได้ไหมถ้าพระพุทธเจ้าจะถูกวิจารณ์เสียๆหายๆ" รับได้ครับ - หากความคิดเห็นนั้นมีเหตุผลก็คิดตาม(ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะคล้อยตาม) - หากไม่มีเหตุผลก็อ่านข้าม ผมคิดว่าศาสนา(ที่พวกเรามองว่า)มีเหตุผล และตั้งบนอยู่บน "สติปัญญา" ทำให้เราควรที่จะก้าวข้ามพรมแดนสิ่งสมมติต่างๆ และกล้าที่จะตั้งคำถาม(ซึ่งบางครั้งอาจได้คำถามเพิ่มด้วยซ้ำ)กับทุกสรรพสิ่งนะครับ หรือเพื่อนๆ เห็นด้วยกับการเชื่อโดยไม่มีเหตุผล, เชื่อในประโยคที่ว่า"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" คำพูดแบบนี้คือการปิดกั้นทางความคิดอย่างแท้จริงไม่ใช่หรือครับ? ผมคิดมาเสมอว่าการ "คิดต่าง" คือข้อดี(ถ้าไม่มีใครคิดต่าง ป่านนี้เราคงไม่มีเสื้อผ้าใส่, ไม่กล้าปิ้งปลา และคงยังอยู่ในถ้ำ) แต่การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นต่างหากที่เป็นปัญหา ทุกวันนี้ที่บ้านเรามีปัญหาก็เพราะบรรทัดบนไม่ใช่หรือครับ ถ้าหากกระทู้นี้มีโทษมากกว่าประโยชน์ ผมผิดเอง และขอผู้ดูแลระบบลบกระทู้นี้ทิ้งเลยครับ จากคุณ : สิ่งมีชีวิตหน้าคอม เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 18:54:56

ความคิดเห็นที่ 27 #12 ผมไม่ได้เข้าห้องศาสนามาเป็นปีแล้วคับอมยิ้มโดนยึดไปยังไม่ได้คืนเข้าไปไม่ได้ (แล้วไปเห็นผมเข้าบ่อยได้ยังไง??? T_T) แล้วคุณจะบอกว่าคุณรู้งั้นเหรอคับว่าพระโสดาบันคืออะไร??? คุณว่าผมว่าผมไม่รู้ว่าโสดาบันคืออะไรงั้นคุณจะบอกว่าคุณรู้ว่าพระโสดาบันคืออะไรงั้นเหรอคับ??? คุณจะบอกว่าคุณพิสูจน์ได้งั้นเหรอคับว่าใครบรรลุโสดาบันใครไม่บรรลุ???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 19:08:05 A:223.207.59.146 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ แต่ก็เข้าใกล้คำว่าวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสดาองค์อื่นๆ จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 19:13:54

ความคิดเห็นที่ 29 ...       แน่ใจหรือครับว่า พุทธศาสนานั้นเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าคิดว่าใช่ กรุณาตอบ คำถามนี้ให้ได้ครับ     1.ดวงจิตดวงแรกเกิดขึ้นมาได้อย่างไรครับ     2. พรหม เกิดขึ้นมาได้อย่างไรครับ     พุทธ เล่าแค่เรื่องแค่ตรงกลางให้คนเชื่อเท่านั้นครับ แต่ต้นและปลายไม่ได้เล่าไว้ ครับ และเมื่อถามมากๆ ก็อ้างว่า เป็น อจินไตย     อย่างอ้างอจินไตยครับ เพราะนั้นไม่ใช่คำตอบ เป็นเพียงแต่ข้ออ้างที่จะไม่ ตอบเมื่อไม่รู้ ถ้าไม่รู้ ก็บอกไม่รู้ครับ นี่คือวิทยาศาสตร์ครับ     อย่างไรตอบคำถามให้ได้ก่อนครับ ถ้าไม่ได้ พุทธก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ เพราะ ไม่สามารถพิสูจน์ที่มาได้ เมื่อไม่มีที่มา ก็เท่ากับว่า เรื่องราวทังหมดก็เป็นแค่นวนิยาย ครับ                                                                                                          ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 19:20:51

ความคิดเห็นที่ 30 สถานะความเป็นศาสดาไม่ควรใช้ร่วมกับสถานะอื่นครับ เพราะความเป็นศาสดาเป็นการสถาปนาความศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง เป็นเอกเทศน์ต่อเรื่องทุกเรื่อง ถ้าจะชื่นชมเพราะพระองค์เป็นเสมือนนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักคิด ในทางด้านดี ก็ต้องพร้อมที่จะรับคำวิจารณ์ในทางด้านลบเช่นกัน คุณเปิดใจหรือ? สังคมเปิดใจหรือ ? แต่ในความเป็นจริงแล้วคนเราส่วนมาก เข้าถึงศาสนาด้วยความศรัทธา จากกระบวนการปลูกฝังอย่างต่อเนื่องของคนรอบข้าง มากกว่าการซึมซาบถึงแก่นสารเอง ท้ายที่สุดศาสนา คนที่ไม่ผ่านการศึกษาเข้าถึงแก่นสาร บทบาทก็เพียงแค่คำเรียกหรูๆ ว่าพุทธศาสนิกชน แปะบนบัตรว่า "พุทธ" ให้ดูมีวัฒนธรรมแค่นั้นเองครับ ... อย่างคนส่วนมากในสังคมหรือแม้แต่พวกคุณเอง ผมเอง ก็ไม่ได้มีความอิสระทางความคิดซักเท่าไหร่นัก เพราะมักมีอคติแฝงทั้งนั้น เช่น การตีความเข้า้ข้างตนเองว่า พุทธมีความเป็นวิทย์ เป็นปรัชญา แต่กลับมีข้อยกเว้นบางประการที่ไม่สามารถเอ่ยถึงได้ ? ตาข้างหนึ่งหลับ หลับในเรื่องราวที่ไม่ต้องการรู้ เช่น สิ่งที่อธิบายไม่ได้แต่ต้องเชื่อๆไปก่อน  รวมถึงเรื่องที่ผู้ปฏิบัติรู้ได้ด้วยตนเอง รวมถึงกฏแห่งกรรม แต่เรื่องที่ลืมตากลับเป็นเรื่องดี เรื่องที่เป็นประโยชน์อนันต์ ซึ่งหยิบยกมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นเอง.. ผมมีความคิดว่าปรัชญาของพุทธเพียงเ้ข้าใกล้ความจริงแท้ และผ่านกระบวนการที่รอบคอบกว่าหลายๆลัทธิศาสนา ที่ยังมีกลิ่นอายของพระเจ้ามากเกินไป ทั้งๆที่เนื้อหาอันน่าสนใจของพุทธมีมากมาย แต่สุดท้ายดึงมาใช้ได้น้อยเพราะติดขัดพิธีการของมนุษย์ที่เติมแต่งเข้าไปเอง ซึ่งนั่นเป็นจุดที่ทำให้คนหลงทาง และไปนับถือวัตถุกันมากมายครับ จากคุณ : UrmiaRest เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 19:23:24

ความคิดเห็นที่ 31 #29 ทำไมศาสนาต้องตอบได้ครับ ผมไม่เข้าใจ เพราะคำถามที่คุณถามวิทยาศาสตร์ก็ตอบไม่ได้ ปล.ผมไม่ได้นับถือศาสนาใด ๆ ครับ จากคุณ : Phoenix032 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 19:30:07

ความคิดเห็นที่ 32 คห.17 ครับ -----เรื่อง กฎแห่งกรรม แล้วยังจะมาบอกว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร--- คุณแยกแยะไม่ออกแล้วล่ะ ถึงจะมีคนที่ไม่ได้จองเวรก็ไม่ได้แปลว่าคนที่ทำกรรมจะพ้นบ่วงกรรมไปได้ แต่เพื่อความปล่อยวางและสบายใจของคนที่ไม่จองเวรตะหาก จากคุณ : โอไซริส เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 19:35:11

ความคิดเห็นที่ 33 พิมพ์แล้วหายขี้เกียจพิมพ์ละ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 54 19:39:21 จากคุณ : ต๊ะ (FotoSexy) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 19:36:29

ความคิดเห็นที่ 34 การตอบได้ไม่ได้หมายความว่าเป็นวิทยาศาสตร์ครับ ถ้าตอบได้ ก็ต้องมีกระบวนการสร้างสมมุติฐาน และหลักฐานยืนยัน และต้องมีวิธีพิสูจน์ว่าถ้ามันไม่เป็นจริงด้วย โดยหลักๆการสรุปทางวิทยาศาสตร์ต้องไม่สรุปเกินหลักฐาน ถ้ามันเป็นการ Projection ออกไป มันก็จะใช้เป็นคำว่าทฤษฏี มีความน่าจะเป็น มีค่าความเบี่ยงเบนกำกับไว้ (ว่ามันจะแม่นได้ถึงขนาดไหน) แต่แบบพุทธ ไม่มีวิธีพิสูจน์ว่ามันไม่จริงเนื่องจากเครื่องมือคือตัวจิตเอง ไม่มีทางใดเลยที่จะพิสูจน์ข้อผิดพลาดของเครื่องมือนี้ ถ้ามีข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งหมดนั้น จะเป็นความผิดของผู้ใช้เครื่องมือ (เหมือนเครื่องมืออะไรคุ้นๆไหม ในขณะเดียวกัน การตอบไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือตอบผิดก็ยังไม่ใช่ว่ามันจะไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ปล ผมแจ้งตรงไปพันทิปแล้ว เพราะมีผีไฟเขียวปล่อยผ่าน ผมหวังว่าสักวันหนึ่ง ประชาชนคนไทยจะมีสติพอจะเอามาถกตามเจตนารมณ์ จขกท การที่ จขกท จะยอมรับการหมิ่นศาสดาตนเองได้ นั่นเป็นความเข้มแข็งทางใจของ จขกทเอง แต่ตอนนี้ มันยังผิดกฏหมายอยู่ครับเรื่องการละเมิดนี้ ดังนั้น ไม่ว่าศาสนาใดๆ ตราบที่ยังมีกฏหมายคุ้มครองศาสนาอยู่ มันก็ยังอยู่นอกขอบข่ายวิทยาศาสตร์ครับ ปล 2 แทนที่จะด่าแมวน้ำ ผมว่าพวกท่านๆควรได้คิดว่าตรงนี้มันความผิดของกระทู้ที่เปิดโอกาสให้แมวน้ำมาสำราก หรือเป็นความผิดเฉพาะของแมวน้ำเอง อย่างน้อย คุณความดีของแมวน้ำตัวนี้ หมอนี่จะไม่ตั้งกระทู้เพื่อโชว์เกรียนศาสนาครับ แต่มันจะแจมกระทู้ที่พอจะดึงไปเรื่องศาสนาได้ Don't Feed the Troll!!! จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 19:43:39

ความคิดเห็นที่ 35 ตอบ คห.17 คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ต้องแยกแยะ เวร กับ กรรม ก่อนครับ เวร กับ กรรม คนละความหมายครับ เวร หมายถึงความพยาบาท กรรม หมายถึงผลของการกระทำ กฏแห่งกรรม = ใครทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ (ไม่ได้หมายถึงต้องได้รับผลจากคู่กรณี แต่เป็นผลจากบาปกรรมคุณงามความดีที่ได้กระทำไว้ เช่น พรากลูกนกทำให้กำพร้า เป็นผลกรรม ที่ไม่ได้เกิดจากคู่กรณี แต่เป็นผลจากการกระทำที่ได้เคยทำไว้) เวร ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร = นาย ก. ตีหัว นาย ข. , นาย ข. ถือคตินี้ เลยไม่ตีหัว นาย ก. กลับ , แต่ยังไง นาย ก. ก็ต้องได้รับผลจากการกระทำครั้งนี้จากกฏแห่งกรรม โดยที่นาย ข. จะไม่มีกรรมเหมือนนาย ก. ครับ  ถ้านาย ข. ตีหัวนาย ก. กลับ จะทำให้ทั้งนาย ก. และนาย ข. มีกรรมทั้งคู่ครับ สรุป เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร คือคนที่ทำกรรมคนแรก จะได้รับผลแห่งกรรมตามกฏแห่งกรรม  ทำให้ไม่มีการเกิดกงเกวียนกรรมเกวียนครับ ไม่ขัดแย้งกันครับ *ปล. แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 54 20:02:54 จากคุณ : kwankitty_55555 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 20:01:05

ความคิดเห็นที่ 36 การเลี้ยงแมวน้ำคือการให้ ถือเป็นการทำบุญได้นะครับทวดปริน จากคุณ : Phoenix032 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 20:05:41

ความคิดเห็นที่ 37 แล้ว อจิณไต มันผิดตรงไหน เมื่อไม่รู้ก็ไม่ต้องไปพยายามหาคำตอบเท่านั้นเอง แล้วโลกเกิดขึ้นจากไหน จักรวาลเกิดขึ้นจากไหน บิ๊กแบง เป็นกฏ หรือทฤษฎี บิ๊กแบง ก็ไม่ได้แตกต่างจาก อจิณไต วิถีแห่งพุทธ คือวิถีแห่งธรรมชาติ ไม่ได้มุ่งเน้นเพื่อหาคำตอบว่าดวงจิต ดวงแรกเกิดมาจากไหน พรมใครเป็นผู้สร้าง ผมไม่คิดว่า พุทธ เข้าใกล้วิทศาสตร์ เลย เพราะ จุดมุ่งหมายของพุทธ สูงกว่านั้น แต่วิทยาศาสตร์ต่างหากที่เข้าใกล้พุทธเอง จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 20:13:03

ความคิดเห็นที่ 38 #34 อะไรกันคร๊าบบบบ... ผมแค่แสดงความเห็นเรื่องศาสนาในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น จะมาบอกว่าผมโชว์เกรียนอะไร??? หรือคุณจะบอกว่าความเห็นของผมผิด??? พระโสดาบันพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์??? พระอรหันต์พิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์??? พระอริยะพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 20:16:57 A:223.207.59.146 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 39 คห. 38 แล้วคุณรู้หรอครับว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร จากคุณ : kwankitty_55555 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 20:27:34

ความคิดเห็นที่ 40 Saramaimee จากคุณ : Jut เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 20:27:42 A:58.64.111.183 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 41 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์ ละกิเลศ ตัณหา อุปทาน ไม่ได้ เพียงแต่รู้บางสิ่งบางอย่าง ในด้านฟิสิคส์ จากคุณ : จบ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 20:31:16 A:61.19.66.249 X: TicketID:259615

ความคิดเห็นที่ 42 เคยอ่าน ''ภาษาคน ภาษาธรรม'' ของท่านพุทธทาสภิกขุครับ มีความเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านตั้งใจใช้ภาษาให้แปลได้หลายระดับ คนที่ไม่ได้คิดลึกซึ้งมากนักอาจจะมองว่าเป็น ''ความเชื่อ'' ก็ได้ ใครที่ขบคิดเป็นอุปมาอุปไมยมากหน่อยก็จะมองเห็นว่าเป็นหลักเหตุผล ซึ่งไม่ว่าจะตีความในระดับไหนก็ล้วนมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกันคือการละจากความทุกข์ เช่นว่าเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ใครที่เข้าใจน้อยหน่อยจะตีความว่าปฏิจจสมุปบาทแปลว่าการเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ตายไป เกิดอีก ตายอีกที แล้วเกิดใหม่ ไปเรื่อยๆ ก็คงได้ ซึ่งมันก็จะอยู่ในรูปของความเชื่อ ไม่รู้จะเอาอะไรมาพิสูจน์ ใครที่เข้าใจมากกว่านั้นก็จะมองเห็นว่าท่านสอนเรื่องการเกิดของความทุกข์ ภพ ชาติ และคำอื่นๆที่ใช้ในนั้นก็มีความหมายว่าเป็นที่เกิดของความทุกข์ สอนเพื่อให้เห็นแล้วจะได้ตัดวงจรนี้ได้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็วขึ้น  ไม่ได้หมายความว่าต้องรอไปเกิดใหม่อีกกี่แสนชาติถึงจะค่อยดับทุกข์ได้ แต่ไม่ว่าจะตีความแบบไหนก็หมายถึงการออกไปให้พ้นจากความทุกข์เหมือนกันครับ ส่วนจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่ อย่างไร .... อันนี้ไม่มีความเห็นเหมือนกัน จากคุณ : ekawatchaow เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 20:56:12

ความคิดเห็นที่ 43 #37 ต่างสิครับ บิ๊กแบงเราต้องหาคำตอบ แต่อจินไตยห้ามหาคำตอบ โอย ขึ้นมาแค่นี้ก็ผิดกันไกลโขแล้ว เรื่องกรรมแรกนี่ยกมาทีไร ชาวพุทธจะแถตกโค้งทุกที ไม่ก็โชว์พาวแบบว่า คนฉลาดอย่างเราไม่จำเป็นต้องตอบคนโง่ๆ สรุปคือ ผมโง่ตั้งแต่ตั้งคำถามแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น แต่สาวกน่ะ ยึดมั่นถือมั่นเป็นอันดัีบ 1 แล้วไอ้กาลามสูตรที่ชอบอ้างว่าเป็นวิทยาศาสตร์นั่น เท่าที่เห็นคนที่อ้างน่ะ มันทำตัวขัดกาลามสูตรตั้งแต่ข้อแรกแล้ว ในสายตาผมหลักธรรมของพุทธศาสนาเป็นปรัชญาแขนงหนึ่ง ส่วนตัวศาสนาเป็นรัฐศาสตร์ ศาสนาพุทธสอนให้เป็นคนดีหรือไม่่? อันนี้ตอบยาก แต่ที่ตอบได้ทันทีคือศาสนาพุทธทำให้สังคมปกครองง่าย จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 21:08:00 A:223.206.181.105 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 44 นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ด้วยการทดลอง ไม่ใช่นั่งเทียนครับ หลักพุทธศาสนาวิธีพิสูจน์ความจริงท่านก็บอกแล้วให้นั่งสมาธิ ทำกันหรือยังครับ สำหรับนักวิทยาศาสตร์บางคนที่วิจารณ์ศาสนาเก่งเหลือเกิน จากคุณ : Warefare เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 21:20:34

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อะไรเลย จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 21:26:31

ความคิดเห็นที่ 46 แล้ว บิ๊กแบงหาคำตอบได้หรือยัง แล้วรู้มากกว่าหรือน้อยกว่าอจิณไต ตกลงใครสร้างมนุษย์คนแรก จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 21:40:19

ความคิดเห็นที่ 47 #46 Big Bang หาคำตอบได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในขอบเขตของหลักฐานที่เรามี ตอนนี้เรารู้เหตุการณ์ย้อนไปได้ถึงเวลาที่จักรวาลมีอายุได้ 10^-43 วินาที และบอกได้ว่ากระบวนการหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างไร การค้นพบทางฟิสิกส์อนุภาคก็ยิ่งทำให้เรารู้ process ของการกำเนิดจักรวาลมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด จาก Microwave Background Radiation นักดาราศาสตร์วิเคราะห์ pattern รังสืพื้นหลังของจักรวาล และทำให้เรามี hint ของเหตุการณ์อะไรบางอย่าง "ก่อน" big bang ซะอีก แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ขอบเขตและจุดมุ่งหมายของศาสนา จึงไม่แปลก และไม่ผิด ที่ศาสนาจะไม่รู้อะไรเลย การที่บางคนพยายามเอาศาสนามาอธิบายสิ่งเหล่านี้ ไม่เคยทำนายปรากฏการณ์อะไรได้จริง และไม่ก่อให้เกิดความรู้ใดๆ จากคุณ : ikkyu เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:00:47

ความคิดเห็นที่ 48 พระพุทธเจ้า ต่างยังไงกับพระอรหันต์ท่านอื่นๆ นิพพานเหมือนๆกัน จากคุณ : ใหม่ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:01:48 A:125.27.39.37 X: TicketID:290749

ความคิดเห็นที่ 49 คำสอนของ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาถึงความจริง ก่อนที่จะเชื่อ 10ประการ  1. อย่าเพิ่งเชื่อ ตามที่ฟังกันมา  2. อย่าเพิ่งเชื่อ ตามที่ทำต่อๆกัน  3. อย่าเพิ่งเชื่อ ตามคำเล่าลือ  4. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยอ้างตำรา  5. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยการนึกเดา  6. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยการคาดคะเนเอา  7. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยนึกคิดตามแนวเหตุผล  8. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะถูกกับทฤษฎีของตน  9. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้ 10. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจาร์ของตน แค่นี้ก็เป็นพื้นฐานทางวิทย์แล้วนะ ส่วนอจิณไต นั้นก็ถ้าให้พูดก็ ประมาณว่า หลายสิ่งไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่เรารู้ว่ามีจริง เช่น เรามีทวดของทวดจริง แต่เราไม่เคยเห็น อากาศมีจริง แต่เราไม่เคยเห็น เอาเป็นว่าความรู้ในโลกนี้ก็แค่ใบไม้ในกำมือ ถ้าเทียบกับทั้งป่า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่ง แต่เราควรรู้ในสิ่งที่ควรรู้ และพิจรณาตามหลัก ปล.ท่านไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่ท่านเป็นบรมครูผู้สอนให้สัตว์โลกหลุดพ้น จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:04:39

ความคิดเห็นที่ 50 แล้วศาสนาพุทธตั้งขึ้นมาทำนายอนาคตงั้นหรือ  จริงผมไม่คิดว่าพุทธเป็นศาสนาด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตั้งใจสอนชาวโลกให้คนพบสัจจธรรมอันประเสริฐไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา เพราะพุทธคือธรรมชาติ แต่คนในภายหลังกลับเอาคำว่าศาสนาไปยัดเยียดให้พุทธ ปล ยังไงซะแม่ชีจะลอยน้ำได้เป็นชัวโมงก็ต้องใช้สมาธิ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:11:15

ความคิดเห็นที่ 51 # 49 เห็นด้วย ท่านไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ มุ่งศึกษาจักรวาลภายนอก แต่พุทธ กลับศึกษาจักรวาลภายในจิตใจ วิทยาศาสตร์ เมื่อเทียบกับท่านก็ไม่ต่างจาก เม็ดทรายในกำมือ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:14:40

ความคิดเห็นที่ 52 ^ #39 ผมอาจจะไม่เข้าใจในวิทยาศาสตร์แต่คุณไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์เพื่อผมก็ได้นิคับ คุณก็พิสูจน์มาแบบวิทยาศาสตร์แล้วผมจะเอามาจับผิดเอ้ยเอามาดูแค่นั้น... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:18:25 A:223.207.59.146 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 53 เสต๊ปสมาธิ ความรู้สึกจากการนั่งสมาธิ เป็นรูปแบบที่ทำได้ทุกคน เป็นไปตามพระไตรปิฏก วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา ใครนั่งก็ได้เสต๊ปนี้เหมือนกันหมด ที่จริงนักวิทย์ไทยควรจะหาคำตอบของความรู้สึกทางสมองเหล่านี้ว่าคืออะไร เกิดอะไรขึ้นขณะเรานั่งสมาธิ แม้จะไม่เชื่อเรื่องจิต ก็เชื่อเรื่องกิจกรรมในสมองได้ ยังไงก็วัดความต่างของสภาวะต่างๆได้แน่นอน ส่วนวิปัสสนา ก็เป็นเรื่องลดความทุกข์ ผมพิสูจน์แล้วลดได้จริงๆ คงพิสูจน์ทางวิทย์ยาก แต่วิทย์ควรพิสูจน์เรื่องนั่งสมาธิ เพราะข้อมูลพระไตรปิฏกละเอียดแจกแจงมาก แยกลงไปถึง จิตและเจตสิก ซึ่งก็เปรียบเหมือน ธาตุเคมีพื้นฐานของวิทย์ จากคุณ : @VVIEWW เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:36:52 A:58.64.107.19 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 54 วิทยาศาสตร์มันก็เป็นชื่อของกระบวนการทางความคิด บางทีเป็นเรื่องของภาษาศาสตร์ด้วยซ้ำ การที่ตอบว่าพุทธอยู่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์เยอะ ก็คือการที่ผู้ตอบมีจิตยึดมั่นและศรัทธาในตัวพุทธนั่นแหละ ถ้าผมจะนิยามวิทยาศาสตร์ว่าเป็นกระบวนทางทางความคิดหนึ่งซึ่งมีเหตุและผล มีการตั้งสมมติฐานและทดสอบอย่างเป็นระบบ วิทยาศาสตร์ก็จะไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี หรือ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาตอบสนองกิเลศมนุษย์ แต่จะเป็นวิธีการที่ใครก็ได้เป็นผู้ใช้ แล้วจะใช้หาคำตอบของอะไรก็แล้วแต่ ภายในจิตใจหรือภายนอกก็ได้ สุดท้ายเรื่องแบบนี้เถียงให้จบยังไงก็ไม่ได้เพราะต้องยอมรับอยู่ดีว่ายังไงก็ยังเป็นเรื่องของ ความเชื่อ ความศรัทธา จากคุณ : ซาลาเปาบัวหิมะ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:42:08

ความคิดเห็นที่ 55 พระพุทธเจ้า ท่าน ค้นพบ หนทางแห่งการดับทุกข์ และทรงนำมาโปรดสัตว์โลก อย่างนี้ เรียกว่า ท่านเป็น นักวิทยาศาสตร์ หรือ ครัับ   บางท่าน อาจจะ  มองว่าใช่  ที่ท่านค้นพบ แต่ผม มองว่า ท่านมีเมตตา สูง ยิ่งไปกว่านั้น ที่เสียสละ มาโปรด เวไนยสัตว์ ทั้งหลาย เฉกเช่น พวกเรา เพื่อให้ รู้ถึงหนทาง  ดับทุกข์ และไม่ ต้องกลับ มาเวียน ว่ายตายเกิด อีก ในความหมายใดๆทั้งหมด  ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึง มีความหมาย  " เหนือ "กว่าความเป็น " นักวิทยาศาสตร์ " หลายร้อย พันเท่า แล้ว ละครับ   ปล ตั้งหัวกระทู้แบบนี้ ผม เห็นว่าไม่สมควร แสดงถึงการไม่เคารพ จากคำพูด นี้ ครับ  "........พระพุทธเจ้านี่นักวิทยาศาสตร์ดีๆ นี่เอง  " แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 54 22:46:28 จากคุณ : ถ้าช้างอมบ๊วยจะร้องยังไงคะ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:43:02

ความคิดเห็นที่ 56 ดิชั้่นเรียนและจบ ป.โท จากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ แต่ดิชั้นไม่เคยศรัทธาในวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถขจัดความฟุ้งซ่านในจิตใจของดิชั้นได้ในหลายๆเรื่อง ต่างกับการที่ดิชั้นศึกษาในเรื่องของจิตในพุทธศาสนา จนดิชั้นได้มารู้ว่าถึงจะศึกษาวิทยาศาสตร์ถึงระดับอะตอม หรือออกนอกจิต ไปจนถึงระดับดาวยูเรนัส ดิชั้นก็ยังโกรธ และฟุ้งซ่านอยู่เป็นบางเวลา กินอาหาร อร่อยเท่าเดิม รู้เรื่องพวกนี้มากไปไม่เห็นจะทำให้จิตใจเราสูงขึ้นมาเลย ต่างกับการได้มารู้เรื่องจิตในพุทธศาสนา ดิชั้นปล่อยวางได้มากขึ้น สงบมากขึ้น นี่ก็เหมือนการพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว ปล. เมื่อผ่านมา2500ปี ท่านบอกว่าศาสนาจะเสื่อมลง จะเริ่มมีคนสงสัยในคำสอนมากขึ้น อืม..ท่าจะจริงแหะ จากคุณ : Rusty nail เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:52:12

ความคิดเห็นที่ 57 ความเข้าใจเรื่อง การมีอยู่ บนความ ไม่มีอยู่ การรับรู้ภาวะ การไม่มีอยู่ บนสิ่งที่เราเป็นอยู่ ใครเข้าใจ  ไม่เก่งเท่ากับ อธิบายให้คนทั่วโลกเข้าใจ 2554 ปี มาแล้ว จากคุณ : labor_pu เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 22:58:05

ความคิดเห็นที่ 58 เจ้าแมวน้ำมันบัวไต้ตมจริงๆๆ จริงๆแล้วเจ้าของกระทู้ก็มีส่วนผิดนะที่ทำให้สัมภเวสีมาสิงในกระทู้ได้ เรื่องบิ๊กแบ้งเคยมีคนถามพระพุทธองค์แล้ว แต่ทรงไม่ตอบคำถามแนวนี้เพราะ 1.อาจทำให้คนฟังแล้วเข้าใจผิด 2.ถึงรู้ไปก็ไม่เป็นประโยชน์แก่คนผู้นั้น เรื่องบรรลุโสดาบันนั้นง่ายมากจะว่ายากก็ยากถ้าเสิซกูเกิลน่าจะมีมั้งถ้ามีพระอรหันต์ไปแสดงธรรมกลางตลาดอาจมีคนบรรลุโสดาบรรจำนวนมากได้ง่ายๆเลย เรื่องบรรลุอรหันนั้นยิ่งยากเพราะเกี่ยวกับกายวาจาใจ เรียกได้ว่าเพลอไปเหยียบปืนไต้ทรายแล้วไปโดนอีกฝ่ายยังเชื่อได้ว่าไม่ได้ตั้งใจมีสติระลึกได้ให้คีเวิดแค่นี้ถ้าอยากรู้ต้องศึกษาเอา      ปัจจุบันในทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ยกย่องพระองค์ว่าเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ (หาอ่านเพิ่มเติมในหนังสืออภิปรัชญา) ไม่ได้ยกย่องพระองค์ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ครับ     ห้องนี้ดีขึ้นเรื่อยๆเพราะหลายๆท่านช่วยกันปรับปรุง และตั้งแต่มีข่าวห้องนี้ก็เป็นที่สนใจของเด็กเยาวชนที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถ้าเข้ามาเจอคนที่ไม่รู้ดีชั่วโชว์เกรียนอย่างไร้สติแบบนี้มันจะไม่น่าเชื่อถือเอา แค่ศาสนาประจำชาติเรื่องพื้นๆก็น่าจะรู้จัก ในสมัยอยุทธยาตอนฝรั่งมังค่ามาแปลงศาสนามากลั่นแกล้งพระ พระเองยังแค่ว่า เรานั้นเห็นศาสนาท่านเป็นสิ่งที่ดี เหตุไดท่านไม่เห็นศาสนาเราเป็นสิ่งที่ดีบ้าง อยากให้เข้าหัวบัวไต้ตมอย่างแมวน้ำจัง จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 23:04:51

ความคิดเห็นที่ 59 เอาเป็นว่าสัตว์โลกก็เป็นเช่นนี้แล...บัวมีสี่เหล่า จะคุยกันก็ต้องปรับให้เขากับเหล่าของบัวเหล่านั้นครับ เถียงกันไปไยหละท่าน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 23:08:47

ความคิดเห็นที่ 60 ^ #58 ตกลงแล้วคุณก็จะไม่พิสูจน์อะไร... แล้วก็ประนามคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเหมือนคุณว่าบัวใต้ตม???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 23:12:03 A:223.207.59.146 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 61 จขกท. เอาพระพุทธเจ้ามาเทียบกับนักวิทยาศาสตร์แบบไหน 1) วิธีการคิด การสังเกตสภาวะของจิต จนเป็นที่มาของอริยสัจ 4 การทำวิปัสสนา อันนี้พออนุโลมให้ได้ว่าทรงมีแนว คิดบางอย่างเหมือนวิทยาศาสตร์ แต่ยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์ด้วยหลายๆ เหตุผล 2) เพราะในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึง Big bang โลกกลม ทฤษฎีสัมพัทธภาพ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน หลายๆ เรื่อง ทั้งๆ ที่คุณนั่นแหละที่พยายามตีหวยโยงสองเรื่องเข้ากัน กรณีนี้คุณก็แค่พวกพุทธกาฝากวิทย์ มองใน สายตานักวิทยาศาสตร์ คือพวกยึดติดคำภีร์ จับแพะชนแกะแบบน่าเกลียดๆ ก็เท่านั้น มองในสายตาชาวพุทธจริงๆ (เช่น ท่าน ว.) คุณกำลังดูถูกพระพุทธศาสนา ว่ายังดีไม่พอต้องเอาศาสตร์อื่นมารับรอง มาพ่วงไปด้วย จขกท. ลองคิดดูดีๆ ว่าอยู่พวกไหน จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 23:23:44

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณ 59 ที่ให้สติ ผมจะไม่กล่าวกับ แมวน้ำในกระทู้อีกแล้ว เพราะเห็นแล้วอดไม่ได้ คนบางพวกชมว่าดี แล้วจะทำดียิ่งขึ้น คนบางพวกว่ากล่าวแล้วจะทำตัวให้ดียิ่งขึ้น ผมก็พยายามให้เขาหัดว่ายน้ำเอง หรือแนะวิธีให้เขาไปฝึกอ่านทฤษฏีว่ายน้ำก็เท่านั้นละครับ                         61 วัดที่ผมเคยบวชภาคฤดูร้อนเป็นวัดสายท่านพุทธธาตุยอมรับว่า บางเรื่องไม่เข้าใจจริงๆๆบางเรื่องต้องเก็บไว้โตขึ้นมาถึงรู้หรือลืมไปแล้วก็มีด้วยการทำงานและวัยที่ต้องคิดเรื่องอื่นๆ           พอเข้าพันทิปก็อ่านของท่านหลวงปูชา ยอมรับว่าเข้าใจได้ง่ายจริงๆ แต่ของท่าน ว. ผมยังไม่เคยสัมผัสเพราะเคยเห็นท่านเทศเรื่องไทเกอร์วูดเมื่อตอนเข้าวงการใหม่ๆแล้วไม่ชอบ การเอาวิทยาศาสตร์มารับรองศาสนาผมก็ว่าเหมือนไม่มันใจในศาสนาพุทธต้องเอานั่นเอานี่มารับรอง ผมว่าพุทธแท้ๆนี่สุดยอดแล้วครับ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 00:14:47

ความคิดเห็นที่ 63 ^ พุทธแท้ๆนั้นสุดยอด พุทธแท้ๆไม่ใช่วิทยาศาสตร์??? แล้วผมผิดตรงไหน???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 00:28:05 A:223.207.59.146 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 64 ป.ล.บัวไต้น้ำในความเห็นผมคือ บัวที่เราบอกสอนกล่าวอะไรแล้วก็ไม่เข้าใจ จะให้แต่เราช่วยเหลือไปตลอดชี้นำให้ตลอดไม่พยายามขวานขวายเพื่อช่วยเหลือตัวเองเลย จนต้องทนทุกข์ด้วยฐิทิ ไฟที่รุมตัวเอง จนกลายเป็นคน มืดมน และขาดความเขลาเหมือนดังน้ำที่เต็มแก้วแล้วเทเท่าไหร่ก็ล้นออกหมด ผมไม่ได้ว่าไครนะครับ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 00:34:29

ความคิดเห็นที่ 65 กระทู้แรงขึ้นเรื่อยๆ.... ไม่ขอออกความเห็นละกัน เรื่องแบบนี้.... จากคุณ : Mikegelo เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 01:01:28

ความคิดเห็นที่ 66 ^ #64 คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นบัวใต้น้ำ... ส่วนคนที่รู้แล้วและเข้าใจแล้วก็เป็นน้ำเต็มแก้ว??? สรุปคุณจะเอายังไงกับชีวิต???... สรุปคือคนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้โดยแท้จิงก็คือคนที่เคยศึกษานั่นก็คือจะต้องเคยบวชเป็นพระ??? แล้วถ้าคนไม่เคยบวชเป็นพระจะไม่เข้าใจพุทธแล้วพระพุทธเจ้าจะเข้าใจพุทธได้ยังไงในเมื่อพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบวชเป็นพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าบวชเป็นโยคีเป็นฤาษีในศาสนาพราห์ม-ฮินดูซะด้วยซ้ำ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 01:26:31 A:223.207.59.146 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 67 ....        จริงๆแล้ว ผมรู้จักท่าน แมวน้ำ ตั้งแต่อยู่ที่ห้อง tech hardware แล้วครับ สมัยท่าน Alphadog โด่งดัง        แต่ก็แอบฟังความคิดเห็นอยู่เงียบๆครับ วันนี้กลายเป็นตำนานอีกท่านหนึ่งของ หว้ากอไปซะแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ชื่อนี้จะเป็นตำนานไปอีกนานครับ ถึงจะห่างหายไปก็ยังมีคนถามถึงครับ       อื่มม์......ไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคนชอบเอาพุทธไปโยงกับวิทยาศาสตร์กันจริงๆ ขออนุญาตยืมคำพูดของ ท่าน อะธิลาส (เดี่ยวนี้หายไปไหนไม่รู้ ย่องมาให้กีบอย่าง เดียว) ท่านกล่าวไว้ดังนี้ครับ    "คนที่บอกว่า พุทธกับวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องเดียวกัน ก็คือคนที่ไม่รู้เรื่องทั้งพุทธ และวิทยาศาสตร์"       ไม่รู้ผมกล่าวเกินที่ท่านพูดไว้จริงหรือเปล่านะครับ ถ้าเจ้าตัวมารบกวนแก้ให้ด้วย ครับ กลายเป็นท่านบอกมาเก้าผมเล่าไปสิบหรือเปล่า       ยืมของห้องวิทยาศาสตร์มาแล้ว ก็ต้องยืมของห้องศาสนามาด้วยครับ จะได้ดู ไม่ลำเอียง                                " ศรัทธามาก ถือว่างงงาย                                  มีสมาธิมาก จิตใจหดหู่                                     สติยิ่งมีมาก ยิ่งดี " มีสติมากๆกันหน่อยครับ     ส่วนเรื่องบัวใต้น้ำนั้น ใครว่าก็ไม่ต้องไปน้อยใจครับ ผมว่าถ้าใครเรียนจบมัธยม ปลายได้ก็ไม่ใช่บัวใต้น้ำอย่างที่ในพระไตยปิฏก(ฉบับสยามวงค์)ว่าไว้นะครับ เพราะตาม ความเข้าใจจริงๆ บัวใต้น้ำคงหมายถึงคนที่มีไอคิวต่ำกว่า 72 แต้มมั้งครับ นั้นท่านทั้ง หลายที่อยู่นี่ ผมว่าสามารถเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ทุกท่านครับ เพียงแต่ท่าน ไม่พยายามจะทำความเข้าใจเหมือน ท่าน จขกท ที่ยิงธนูไปในความหมืด ไม่รู้ว่า เป้าหมายอยู่ที่ไหนแต่ก็น้าวศรเล็งไปในความหมืดก็คงไม่ถูกเป้าหรอกครับ    "ปลาที่ยกขึ้นจากน้ำย่อมดิ้นลงกลับน้ำฉันท์ใด            จิตที่ยกขึ้นจากกองกิเลสย่อมดิ้นรนกลับสู่กองกิเลสฉันท์นั้น" นิพพานคือ การอวสานของจุดเริ่มต้น                                                                                                          ++ แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 54 01:37:35 จากคุณ : กัปตันสมพร (สองนิ้วชี้) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 01:30:13

ความคิดเห็นที่ 68 ดูๆแล้วก็สเต็ปเดิมอะนะคือลบหลู่แล้วด่ากันไปมา ผมเคยอ่านหนังสือพุทธทาส แกบอกว่า ศาสนาเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล คุณปฏิบัติตามหลักศาสนาพุทธเพื่อให้พ้นทุกข์ หรืออย่างน้อยก็มีทุกข์น้อยลง ถ้าการมีทุกข์น้อยลงเปรียบเหมือนกับได้ทานอาหารดีๆแล้ว ทำไมเวลามีคนมาพูดว่าอาหารที่คุณกินมันเป็นอาหารขยะ คุณต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปด่าเขากลับทั้งๆที่คำพูดพวกนั้นมันไม่มีผลกับสิ่งที่คุณกินเข้าไปอยู่แล้ว? หรือว่าจริงๆตัวคุณเองก็ไม่รู้ว่าคุณกินอะไรเข้าไป ได้แต่กินเพราะคุณแค่"เชื่อ"ว่ามันดี? จากคุณ : painful_truth เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 02:52:58

ความคิดเห็นที่ 69 คนเห็น ก็บอกว่าเห็น คนไม่เห็น ก็บอกว่าไม่เห็น ปัจจัตตัง คนรู้ได้ ก็รู้ได้เฉพาะตน ความจริงอันเป็นสากลนั้นไม่มี จากคุณ : หัวหอมกะซาวครีม เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 03:21:24

ความคิดเห็นที่ 70 #66 ท่านบวชและศึกษาในสำนักต่างๆ"จนแตกฉาน"แต่เห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์นะครับ เลยออกมาหาทางเอง ลองๆศึกษาให้ละเอียดขี้นอีกนิดดีไม๊ครับก่อนปักใจเชื่อ หรือไม่เชื่ออะไร จากคุณ : semplice เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 03:56:54

ความคิดเห็นที่ 71 พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าถ้าเจอทำอะไรนิสัยไม่ดีอย่างไร ก็ไม่ต้องไปตอบสนอง ก็ให้รับรู้ว่าเป็นกรรมของเขา ถ้าเรารู้สึกไม่พอใจก็ไม่ต้องไปตอบโต้ และก็ให้รับรู้ว่าเรากำลังโกรธ หรือพระพุทธเจ้าท่านจะรู้จัก troll ก่อนการเกิดของอินเตอร์เนตเสียอีก จากคุณ : สามสิบห้าบาทแน่ะ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 04:15:28 A:223.206.236.222 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 72 นักวิทยาศาสตร์ ต้องการทราบ จักรวาลเป็นมาอย่างไร ก็ถกกันหลายความคิด เช่น Big bang เป็นเป้าหมาย การทดลอง จากนั้น ก็ทำการค้นหา สร้างวิธีการต่าง ๆ เพื่อหา หลักฐานความจริง มารับรองความคิด หรือทฤษฏีนั้น เช่น CERN เป็นต้น หรือไม่ต่างกัน พระพุทธเจ้า ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านมี ความคิดเป้าหมายคือ จะทำอย่างไรให้พ้นจากความทุกข์ ตามที่ท่านเห็นเข้าใจว่ามันคือทุกข์อะไรแบบไหน ซึ่งทุกคนอาจไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์เหมือนอย่างที่จ้าชายสิทธัตถะคิด หรือคงไม่มีใครจะคิดหาทางพ้นทุกข์แบบเดียวกับที่เจ้าชายสิทธัตถะคิด เพียงแค่ไปหาความสุขมาแก้ หรือ ก็คิดบวกไปซะ มันก็จบซึ่งมันก็ไม่ผิด แต่พระพุทธเจ้า ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ กลับแสวงหา วิธี ต่าง ๆ นานา จนพบสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน ซึ่ง สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่ จริง หรือไม่จริง พระพุทธเจ้า ก็มีวิธี สอน หรือ ทางในการที่จะไปสู่นิพพาน ซึ่งอาจเรียกว่าความสุขอย่างแท้จริงและอมตะ ฮิๆๆ ถ้าใครก็ตามเข้าถึงมันได้ ..... ก็คงคล้ายวิทยาศาสตร์ แต่จะบอกว่าคล้ายได้อย่างไง ในเมื่อ วิทยาศาสตร์คำนี้หรือข้อกำหนดนี้ เกิดมาภายหลังจากความสำเร็จของพระพุทธเจ้า ฮ่าๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 54 06:42:55 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 54 06:40:29 จากคุณ : .... (@Ble) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 06:34:16

ความคิดเห็นที่ 73 วิทยาศาสตร์ก็มีตั้งหลายสาขา หากท่นเอาคำถามเกี่ยวกับ ชีวะ ไปถามนักฟิสิกส์ ท่านคิดว่านักฟิสิกส์จะตอบว่าอย่างไร สิ่งที่พระพุทธเจ้าศึกษาและปฏิบัติ มันอยู่ภายในจิตใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาเรื่องจักรวาล ถ้าหากเอาจุดกำเนิดจักรวาลไปถามท่าน ท่านก็ตอบ ไม่รู้ ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาด้านจิตใจ พระพุทธเจ้าตอบอจิณไตแล้วมันผิดตรงไหน นักฟิสิกส์ก็ตอบคำถามชีวะไม่ได้ทั้งหมดเหมือนกัน ที่สำคัญต่อให้เรามีความรู้เรื่องบิ๊กแบงมากแค่ไหนมันก็ยังเป็นแค่ทฤษฎี เช่นหากมีนักวิทยาศาสตร์พูดว่า อีก 4500 ล้านปีดวงอาทิตย์จะดับ ผมก็ฟังไว้ เออ คงไม่ได้รอพิสูจน์หรอกนะ ผมเองก็ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนนึง แต่ผมก็ไม่ได้งมงายในวิทยาศาสตร์ แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 54 08:52:39 จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 08:37:34

ความคิดเห็นที่ 74 ผมไม่แปลกใจเลยว่า สมัยพุทธกาล พระอรหันต์สำเร็จต่อเบื้องพระพักตร์จึงเกิดขึ้นง่าย เพราะได้รับคำสอนที่เป็นแก่นแท้ล้วน ไม่มีเปลือกเจือให้สับสนเหมือนสมัยนี้ จากคุณ : 2612 เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 17:32:21 A:58.9.153.122 X: TicketID:115608 ******************************************************** มันเป็นเรื่องของระดับปัญญา การสะสม ตลอดจนกรรม ลองไปศึกษาดูทำไมพระพุทธเจ้าต้องใช้เวลานานในการตรัสรู้ เพราะเหตุอะไร ลองไปใคร่ครวญดูว่าพระอานนท์ อยู่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าจึงสำเร็จต่อเมื่อพระพุทธเจ้าท่านเข้าปรินิพพานไปแล้ว ในขณะที่พระอรหันต์องค์อื่นสำเร็จเร็วกว่ามาก จากคุณ : PLK เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 08:46:15 A:61.19.66.217 X: TicketID:259615

ความคิดเห็นที่ 75 อ่านแล้วถึงกับต้องไปดูตรง address bar เลยว่านี่ใช่หว้ากอรึเปล่า ผมว่าเลิกเหอะจับมาโยงกัน ศาสนาก็ศาสนา วิทย์ก็วิทย์ เห็นชอบยกกันยัง กฏข้อที่ 3 ของนิวตัน เอามายืนยันความมีอยู่ของกฏแห่งกรรม มันไม่ใช่อ่ะครับ -_- !!! อย่างไรก็ตามในความคิดผม กฏแห่งกรรม อาจจะเป็นผลทางจิตวิทยา แต่ไม่ใช่ กฏข้อที่สามของนิวตันแน่ๆครับ จากคุณ : atthaphong เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 09:28:50

ความคิดเห็นที่ 76 เห็นด้วยกับ #62 ของคุณเวย์คุงและหลายๆท่านครับว่าคุณไม่สามารถนำความรู้ทางวิทย์มารองรับพระพุทธศาสนาได้ และ จขกท มาตั้งกระทู้แบบนี้มีจุดประสงค์อะไรก็คงรู้อยู่แก่ใจ ถ้าจะหาทางหมิ่นพระพุทธศาสนา ก็จงรับรู้ว่ามีแต่คุณเท่านั้นที่จะถูกประนาม คนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาจะไม่สั่นคลอนต่อการกระทำของคุณหรอกครับ ถ้าอยากจะสรรเสริญความปราดเปรื่องของพระพุทธองค์ก็แสดงว่ามีความตั้งใจดี แต่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสนาอีกสักหน่อย ถ้าคุณศึกษาอีกเพิ่มเติมคุณก็จะเริ่มเข้าใจว่า ”พุทธศาสนาไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คุณคิด เรียบง่ายแต่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกอย่าง” ต่างกับวิทยาศาสตร์ที่อธิบายได้เฉพาะสิ่งที่ความรู้ขณะนั้นไปถึง คิดง่ายๆว่ามีทฤษฎีและกฏทางวิทย์ที่ถูกล้มล้างๆไปตามกาลเวลามากมาย แต่พุทธศาสนากลับมีแต่ได้รับการยอมรับมากขึ้น กระทู้ใดที่แมวน้ำโทรลเข้ามายุ่งเกี่ยวมักจะอยู่ได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าพิมพ์มาตั้งยาวจะอยู่ได้นานไหม ไม่อยากเห็นผู้มีความรู้อย่างท่าน darth prin และท่านอื่นๆลงไปปะทะกับโทรลขาประจำเลย เราๆท่านๆต่างก็ประจักษ์ในพฤติกรรมของเขาแล้ว ผมเองพึ่งมาเล่นที่นี่ได้แค่ครึ่งปียังได้เห็นอยู่บ่อยๆเลย ชอบความเห็นข้างบนๆที่บอกว่า”พระพุทธเจ้ารู้จัก troll ก่อนมี internet (แถมรู้วิธีรับมืออีกต่างหาก)”เดี๋ยวตามขึ้นไปให้กีบดีกว่า จากคุณ : Doctor-K (Devamorana) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 10:09:41

ความคิดเห็นที่ 77 สงสัยทักษะทางภาษาผมคงแย่ ให้ตายสิ! มีคนเข้าใจเลยเถิดว่าผมเจตนาหมิ่นพุทธ ผมศรัทธาในแนวคิด(ที่เป็นแก่นแท้)ของพุทธ และยกย่องในกระบวนการคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนของพระพุทธเจ้า ประเด็นมีแค่นี้ครับ อย่างว่าสังคมไทยเราอ่อนไหวง่าย ซึ่งผมคงผิดที่แสดงออกในสิ่งที่ผมคิด รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยครับ กับบางความคิดเห็น ซึ่งผมก็ผิดเอง ผู้ดูแลระบบช่วยลบกระทู้นี้ด้วยครับ จากคุณ : สิ่งมีชีวิตหน้าคอม เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 10:24:51

ความคิดเห็นที่ 79 #77 คุณเข้าใจพุทธน้อยเกินไป เข้าใจแต่เฉพาะเรื่องปรัชญา แล้วมาตั้งกระทู้แบบนี้ ถ้าคุณเข้าใจมากกว่านี้ คุณจะไม่ตั้งกระทู้นี้เลย จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 11:49:36

ความคิดเห็นที่ 80 ประเด็นพุทธศาสนา มีความ อ่อนไหว และ เปราะบางครับ หลายๆคน เชื่อในนิพพาน ทั้งๆที่ ก็ยังไม่เคยไปถึง แล้ว เงื่อนไข ของนิพพาน คือ คนที่ไปถึง ก็กลับมาบอก หรือ อธิบายอีกไม่ได้ ซึ่งทำให้ แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็พ้นเงื่อนไข หรือ ข้อผูกพัน ในการพิสูจน์ ซ้ำตรงนี้ หลายๆส่วนของพุทธศาสนา น่าสนใจครับ แต่หลายๆคน ก็ดูจะยกย่องจนเกินเหตุ เหตุที่ว่า ก็คือ เกินกว่า ที่ตัวเอง จะนำมาปฏิบัติเสียด้วยซ้ำ เพราะ ถ้าเชื่อมั่นและศรัทธา อย่างแรงกล้า หลายๆคน จะยังมา ใช้ชีวิตแบบปุถุชน อยู่ทำไมอีก ในเมื่อ ทางสายนั้น เป็นทางสายเดียว สำหรับการหลุดพ้น สิ่งร้อยรัด ผูกพันต่างๆ ในโลก ทั้งครอบครัว และ หน้าที่การงาน ทั้งหลาย ก็ย่อมไม่มีความหมาย อีกทั้ง พระพุทธองค์ ก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว โดยการ สละราชสมบัติ รวมถึง บุตร-ภรรยา เพื่อก้าวเข้าสู่ ทางสายหลุดพ้น ที่ว่านั้น ...มิใช่หรือ... แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 54 12:32:55 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 12:28:33

ความคิดเห็นที่ 81 เค้าก็แยกห้องกันแล้วนะ จะเอามาปนกันอีก อิ่มมาม่าไปเลยวันนี้ จากคุณ : NMT@STUT เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 12:38:16

ความคิดเห็นที่ 82 มีอยู่ 2 เรื่องพอตั้งวงคุยกันแล้วเขาบอกว่าถ้าเลี่ยงได้ควรจะเลี่ยง.. เรื่องการเมือง เรื่องศาสนา เพราะมันเป็นความเชื่อของแต่ละคน คนทะเลาะกันแทบตายเพราะเรื่องเหล่านี้มาเยอะแล้วโลกทุกวันนี้ก็ยุ่งเหยิงเพราะเรื่องพวกนี้แหละ จากคุณ : jayaus เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 12:44:47

ความคิดเห็นที่ 83 เห็นด้วยกับคุณ #79 ครับ การกระทำของคุณ จขกท ไม่ต่างกับพ่อที่รักลูกวัยแบเบาะของตัวเองมากจริงๆ อยากแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองรักลูกและชอบเล่นกับลูก ก็เลยเอาลูกออกมาแกว่งนอกหน้าต่างเล่นแบบไมเคิล แจ็คสันทำ มองผ่านๆก็น่ารักดี แต่ถ้าคิดให้ดีๆ รักลูกไม่จำเป็นต้องออกมาทำแบบนี้หรอกครับ เอาเรื่องนี้ออกมากล่าวแบบนี้คนที่เข้าใจก็เฉยๆ แต่คนที่ไม่ชอบไม่เข้าใจก็มีแต่จะลบหลู่ ที่คุณ Darth prin ถามว่าคุณจะรับผิดชอบต่อการวิจารณ์พุทธศาสนาได้หรือไม่ เขาไม่ได้หมายถึงผลเสียที่เกิดต่อคุณ แต่เขาหมายถึงการมาตั้งกระทู้ของคุณอาจทำให้เกิดการลบหลู่ศาสนา คุณยอมนับในการกระทำของคุณหรือไม่ แต่การไม่ยึดติดกับพิธีกรรมมากจนเกินไปของคุณก็ถือเป็นสิ่งที่ดีในการนับถือพระพุทธศาสนา ขอให้มีกำลังใจในการศึกษาพุทธสาสนายิ่งๆขึ้นไปครับ จากคุณ : Doctor-K (Devamorana) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 12:53:07

ความคิดเห็นที่ 84 "การกระทำของคุณ จขกท ไม่ต่างกับพ่อที่รักลูกวัยแบเบาะของตัวเองมากจริงๆ อยากแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองรักลูกและชอบเล่นกับลูก ก็เลยเอาลูกออกมาแกว่งนอกหน้าต่างเล่นแบบไมเคิล แจ็คสันทำ มองผ่านๆก็น่ารักดี แต่ถ้าคิดให้ดีๆ รักลูกไม่จำเป็นต้องออกมาทำแบบนี้หรอกครับ" เห็นภาพเหลือเกิน ขอบคุณมากครับ จากคุณ : สิ่งมีชีวิตหน้าคอม เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 13:36:28

ความคิดเห็นที่ 85 ถูกแล้วคับพระพุทธเจ้ารู้จัก troll ก่อนมีอินเตอร์เน็ต และพระพุทธเจ้าก็รู้ด้วยว่า troll จะล้มล้างพระศาสนาของพระพุทธองค์ได้ด้วยคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 16:33:49 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 86 ^ ^ ^ เห็น #85 ไม๊ครับคุณ จขกท พูดไม่ทันขาดคำ เป็นไปอย่างที่ท่าน Darth prin พูดไว้จริงๆด้วย (จริงๆก็มีตั้งแต่หลายเม้นข้างบนแล้วแหละ) เราชื่นชมท่านก็เก็บไว้ในใจดีกว่า อย่าเปิดช่องให้มารศาสนาครับ พวกนี้มีเยอะ จากคุณ : Doctor-K (Devamorana) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 17:58:48

ความคิดเห็นที่ 87 ^ ใช่คับถ้าเราชื่นชมท่านก็ไปบวชแล้วเข้าป่าไปดีกว่าคับ อย่าเปิดช่องให้มารศาสนามันมาหลอกลวงว่านับถือคับ จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 19:35:16 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 88 อยากรู้ต้องพิสูจน์โดยการนั่งสมาธิ??!! คุณพระ!! อยากรู้ว่ายาเสพติดดีหรือไม่ดีต้องลองมั๊ย? แล้วทำไมถึงไม่ลองล่ะ?? ลองซะสิ หาคนเข้ารีตกันหน้าด้านๆแบบนี้เป็นวิธีที่ผมเกลียดที่สุด นั่งสมาธิกี่ปีถึงบรรลุนิพพานล่ะ? ผมเคยนั่งแบบจริงจังอยู่ 3 เดือน บนโลกนี้มีกี่ศาสนาบนโลก? เป็นเรื่องโง่มากที่บอกให้ทดลอง นักวิทยาศาสตร์เค้าไม่ทดลองกับเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกนะ ถ้าแบบนั้น ผมบอกคุณว่าโดดตึกแล้วจะได้ไปนิพพาน ถ้าคุณไม่ทดลองคุณไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นะ จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 19:38:43 A:223.206.181.105 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 89 . . บางครั้งศัตรูก็ไม่ได้ทำลายเรา มิตรที่ยกย่องเทิดทูนจนเกินไปนี่หล่ะค่ะทำลายเราได้ง่ายยิ่งกว่าเสียอีก... จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 20:05:18

ความคิดเห็นที่ 90 #88 ส่วนตัวเห็นว่า.... การให้ทดลองนั่งสมาธิดูก่อน ก็เหมือนกับการที่เราจะเรียนรู้อะไรสักอย่าง เราก็ต้องศึกษาไปตามครรลองในระยะแรกก่อน หากไม่เปิดใจรับบ้างในศาสตร์ที่จะศึกษา แล้วเราจะเรียนรู้กันยังไง จะอคติตลอด ถ้าของดีจริงศรัทธาก็ไม่เสื่อม หากไม่ดีจริงศรัทธาก็เสื่อมได้ในภายหลังครับ ยกตัวอย่าง...สมัยฝึกเรียน ก.ไก่ ถ้าคุณมัวแต่อคติว่านี่ไม่ใช่ไก่ แต่เป็นเส้นที่ขีดเขียนขึ้นมาเท่านั้น แล้วเมื่อไหร่จะเรียนภาษาไทยได้ล่ะครับ ยังไงการนั่งสมาธิแนวพุทธก็ไม่ใช่การสะกดจิตอยู่แล้วนี่ครับ ไม่น่าต้องห่วงอะไร สำหรับผมนะ ปล. ) ความคิดเห็นที่74 ขอบคุณครับ จากคุณ : 2612 เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 20:50:15 A:58.9.152.44 X: TicketID:115608

ความคิดเห็นที่ 91 ^ ผมว่าไม่ได้มีใครอคติเรื่องนั่งสมาธิหรอกนะคับ แต่ผมว่ามันมีผลการทดลองที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่านั่งไปมันก็ไม่นิพพาน ถ้าเป้าหมายของศาสนาพุทธก็คือนิพพาน นิพพานนั้นดีสุดยอด ถ้าอยากจะทดสอบศาสนาพุทธก็ให้นั่งสมาธินั่งไปเรื่อยๆก็จะเข้าใจว่านั่งไปยังไงมันก็ไม่นิพพานซะทีนี่ผมว่าเป็นการทดสอบที่เสียเวลาเปล่าซึ่งโดยปกติแล้วถ้าทำเรื่องขอทุนงานวิจัยแบบนี้ไปก็จะไม่ได้ทุน นั่งสมาธิไปแล้วจะเข้าใจศาสนาพุทธได้ดีขึ้นได้ยังไงล่ะคับก็มันเห็นๆกันอยู่ว่าคนที่นั่งสมาธิมากๆก็จะเพ้อว่าไปเห็นโน่นเห็นนี่มาระลึกชาติได้เห็นกรรมคนอื่นฯลฯแล้วมาเล่าให้ใครต่อใครฟังเป็นตุเป็นตะ แล้วคุณจะบอกว่านั่นเขาเข้าใจศาสนาพุทธแล้ว (ทั้งๆที่เขาไม่นิพพาน???) อย่างนั้นเหรอคับ??? จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 21:08:13 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 92 ู^ ^ ผมอยากรู้ความหมายคำว่านิพพานในใจคุญหน่อยครับ เอาแบบจากใจจริงๆไม่ใช่ไปฟังคนอื่นเล่ามาหรือขอบเขตว่าคนๆนั้นถึงนิพพานแล้ว ซึ่งคุญคิดว่าน่าจะใช่รัดับที่อยู่ในใจคุญไม่ต้องหลังไมค์หรอกนะ เอามาตอบกันตรงนี้เลย ผมจะรออ่าน จากคุณ : wan_p เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 21:56:40

ความคิดเห็นที่ 93 ^ ดับสิ้นแล้วซึ่งความทุกข์ทั้งมวล ไม่มีทางที่การกระทำใดหรือสิ่งใดจะส่งผลให้เกิดซึ่งความทุกข์โศกได้แม้เพียงน้อยนิด... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 22:04:18 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 94 แล้วสิ่งที่วิทยาศาสตร์คุญต้องการพิสูจน์ว่านี่คือการดับสิ้นแล้วซึ่งทุกข์ คือจุดไหนหละตรงไหนคือดับแล้วซึ่งทุกข์ในทางวิทยาศาสตร์ของคุญครับ บอกหน่อย จะได้ตอบคำถามตรงๆไม่ใช่คำถามครอบจักรวาล แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 54 22:22:21 จากคุณ : wan_p เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 22:18:39

ความคิดเห็นที่ 95 ^ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนไหนไร้สิ้นซึ่งความทุกข์คับ แต่ตรงกันข้ามวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนไหนมีความทุกข์... และเมื่อวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่าบุคคลคนไหนที่ยังมีความทุกข์อยู่บุคคลผู้นั้นก็จะต้องไม่ใช่พระอรหันต์โดยอัตโนมัติตามนิยามว่าพระอรหันต์ต้องไร้สิ้นซึ่งความทุกข์คับ และมันช่างน่าเศร้าที่ทุกๆคนต่างก็มีความทุกข์ ดังนั้นไม่มีพระอริยะไม่มีใครไปถึงนิพพานแม้ว่าจะนั่งสมาธิมากี่ปีก็ตาม... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 22:54:21 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 96 ในเมื่ิคุญเองก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสิ้นทุกข์ตรงไหน แล้วจะให้ใครหาคำตอบให้หละครับนอกจากตัวคุญเอง ศาสนาเค้าก็ให้คำตอบมาแล้วว่าสุดท้ายคือนิพพานนั่นคือสิ้นทุกข์บอกกระทั่งว่าสิ้นทุกประกอบ ไปด้วยอะไรบ้าง ต้องทำยังไงถึงไปได้ การนั่งสมาธิ ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการนั้นแล้วคุญยังต้องการอะไร ตัวตนที่จับต้องได้รึ ท่านก็บอกไว้แล้วไม่ใช่รึ นิพพานคือดับแล้วทุกอย่างไม่มีตัวตน นั่นคือว่างเปล่า แล้ววิทยาศาสตร์คุญอธิบายคำว่า ว่างเปล่าว่าอะไรหละ จะบอกว่าคือไม่มีอะไร ตาม โจทย์เหรอ อืม!! ง่ายดีเนาะ ในเมื่อคุญยังเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายจิตใจคนยังไม่ได้ไหนเลยจะเข้าถึง แก่นแท้ๆของคำว่านิพพานในใจของคุญเองได้  แยกเป็นประเด็นไป นิพพาน มันเป็นเรื่องของจิตใจไม่ใช่ตัวตน วิทยาศาสตร์มันคือตัวตนที่จับต้องได้ ซึ่งแน่นอนสองสิ่งนี้ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปมันไม่ได้เพราะมันเป็นของคู่กัน พูดง่ายว่าสอดคล้องและประสานเืกื้อกูลกันไป ส่วนไอ้เรื่องนั่งสมาธิไม่นิพพานหรือนิพพานหนะ ไปอ่านดูดีๆแล้วค่อยเขียนเรื่องนี้ครับ เพราะว่าคนที่เก่งวิทยาศาสตร์ผมว่าเรื่องเล็กๆน้อยนิ การมองข้ามคือการพลาดมหันต์เลย ทุกอย่างคือสมมุติฐานทั้งสิ้น ยินดีที่ได้เสวนากับท่านครับ จากคุณ : wan_p เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 23:18:30

ความคิดเห็นที่ 97 ^ พระเจ้าช่วย!!! เขาบอกว่านิพพานคือไม่มีตัวตนคือความว่างเปล่า... -_-" รู้สึกเหมือนอ่านตำราอัลกุรอ่านยังไงไม่รู้แฮะ... เขาบอกว่าเป้าหมายของเขาคือการไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าแต่บอกว่าพระเจ้าไม่มีทางที่มนุษย์จะเข้าใจและไม่มีวันจะลงมายังโลกนี้... อันนี้บอกว่าเป้าหมายของศาสนาพุทธก็คือนิพพานและนิพพานก็คือไม่มีตัวตนและว่างเปล่า... สมัยพุทธกาลมีพระอรหันต์สาวกเป็นตัวเป็นตนให้จับต้องได้ตั้งมากตั้งมายแล้วทำไมสมัยนี้นิยามของนิพพานกลายเป็น "ไม่มีตัวตน"... "ความว่างเปล่า"... ไปได้ล่ะคับเนี่ยไม่เข้าใจ... -_-" จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 23:39:43 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 98 ฮึๆๆๆเหมือนรู้มากแต่ไม่ได้รู้อะไรเลยนะครับค นี่ยังแยกประเด็นไม่ออกอีกระหว่างพระอรหันต์ กะ นิพพาน ผมมองคุญผิดไปจริงๆ อืมๆๆเอาเป็นว่ามันก็แล้วแต่มุมมองคุญละนะ ก็เข้าใจอย่างที่คุญเข้าใจอะแหละ อย่าไปคิดตามคนอื่น แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 00:00:59 จากคุณ : wan_p เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 54 23:52:52

ความคิดเห็นที่ 99 ^ คุณอย่ามาเล่นคำงี่เง่าแบบนี้ พระอรหันต์เท่านั้นที่จะนิพพานได้ ถ้าคุณอยากจะนิพพานคุณก็ต้องเป็นพระอรหันต์ และในเมื่อไม่มีใครเป็นพระอรหันต์มันก็จะไม่มีใครนิพพาน เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นประเด็นเดียวกัน ที่คุณคิดว่าผมเหมือนจะรู้มากแต่ไม่รู้อะไรเลยและหลงประเด็นนั้นเป็นเพียงสมมุติฐานของคุณเท่านั้นคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 00:25:24 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 100 ฮึๆๆอย่าเพิ่งใจร้อนซิครับนี่ผมพูดกับคุญดีๆนะ อ่านข้อความข้างบนพี่ผมโพสต์ให้แตกก่อนจะมากรี๊ด แบบนี้ ท่อนที่ว่า"นิพพานมันเป็นเรื่องของจิตหนะ"ผมไปบอกตอนไหนว่าพระอรหันต์ไม่มีตัวตน แล้วใครหละที่เล่นคำงี่เง่าคุญไม่รู้เรื่องผมก็แนะนำทางให้คุญ คุญกลับหาว่าผมเล่นคำ ใจเย็นๆอ่านทีละบรรทัด อย่าแสดงนิสัยพาลซิครับ ผู้เจริญแล้วเค้าไม่ตอบกลับคนที่ชี้ทางให้เค้าด้วยคำว่างี่เง่าหรอกครับ นอกจากพวกเกรียน อยากลองดี ถามจริงคุญนับถือศาสนาอะไรครับ?เพราะดูท่าทางคุญไม่ได้รู้เลย พระอรหันต์คือพระที่ บรรลุธรรมเป็นคนเดินดินเหมือนเราต่างจากเราที่ทานเข้าใจลึกซึ้งถึงธรรมะ หรือ หลายๆคนเรียก ธรรมชาติ เจ็บไข้ได้เหมือนเราส่วน นิพพานหนะ มันเอาไว้ตอน ดับขันธ์ หรือ ตายในภาษาเรียกคนเรา ซึ่งก็ตายเหมือนกัน กับเรา ต่างกันเพียงแต่ท่า่นดับไปแล้วซึ่งกอง กิเลส ว่างเปล่า ไม่มี อาสวะใดๆ ไม่มาเวียนว่าย ตายเกิดอย่างเรา เอาหละ ทีนี้ พอจะแยก ออก รึยัง พระอรหันต์กะ พระนิพพาน มันต่างกันตรงไหน แล้วผมเล่นคำตรงไหนไม่ทราบ จากคุณ : wan_p เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 00:38:45

ความคิดเห็นที่ 101 ^ โอเคถูก... แต่คุณจะบอกว่าพระอรหันต์ก็คือคนธรรมดาเดินดินเหมือนๆกับเราไม่ต่างอะไรกับเราเลยมีสุขมีทุกข์ปนเปธรรมดาๆเหมือนกับเราๆนี่เองแค่เข้าใจลึกซึ้งถึงธรรมะ (หรือหลายๆคนช่วยกันบอกว่าเข้าใจ) แค่นั้น... จะต้องหลังจากพระอรหันต์นิพพานไปแล้วเท่านั้นที่ความทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้นจึงจะมลายหายไป??? อย่างนั้นเหรอคับ??? คุณจะบอกว่าพระอรหันต์ก็ยังจะต้องมีความทุกข์งั้นเหรอคับ???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 00:47:41 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 102 ทุกข์ที่คุญว่าคืออะไรหละครับ? บอกไอ้เรื่องทุกข์ที่คุญว่ามาที ความเจ็บป่วย ความชรา ความตาย ผมก็บอกแล้วไง พระอรหันต์ท่าน สำเร็จธรรม เข้าใจลึกซึ้งถึงกฏข้อนี้ดี แล้วทุกข์ไหนหละครับ ที่คุญว่ามาผมว่าตอนนี้ย่อมหมายถึงอาการปรุงแต่งจากวิบากกรรมพวกนั้นมากกว่ามั้ง ในทางศาสนาพุทธเราเรียกเวรกรรมครับ แม้แต่พระอรหันต์ก็หนีไม่พ้นครับ แต่ถามว่าท่านเป็นไรมั้ย ผมไม่รู้ครับผมไม่ใช่ท่าน ข้อหนึ่ง ใช่ แต่กว่าท่านจะบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จ หรือว่าสำเร็จอรหันต์แล้ว ฌานสมาบัติต่างๆ หรือโลกิยะฌาณ หรือ ว่าสมาธิเกิดผลพอกพูนแน่นอนคิดหรือว่าทุกข์แค่นี้ท่านจะหวั่น ข้อสอง คุญจะเรียกทุกข์แต่ศาสนาพุทธเรียกวิบากกรรมครับ ข้อที่สาม ตอบตาม ไอ้ที่ผมพิมพ์ยาวๆนั่นแหละ และก็ตอบว่าใช่ หลังนิพพานคือ สุญตา สิ้นสุดวัฏจักรสงสาร ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 01:15:56 จากคุณ : wan_p เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 01:02:28

ความคิดเห็นที่ 103 ^ โอ้... ให้ตายเหอะไม่อยากจะเชื่อ... จะบอกว่าพระอรหันต์จะสิ้นทุกข์หลังนิพพานเท่านั้น... พระเจ้าจอร์จมันกล้วยมาก... -_-" คุณรู้หรือป่าวว่าถ้าพระพุทธเจ้าตอบแบบคุณนี่ศาสนาพุทธจะไม่ได้เจริญมาขนาดนี้หรอกนะคับ ศาสนาพุทธจะไม่มีวันได้รับการยอมรับในสมัยพุทธกาลได้ ถ้าคุณบอกว่าพระอรหันต์ก็ต้องทุกข์เพราะเป็นวิบากกรรมและจะสิ้นทุกข์หลังจากนิพพานหรือหลังจากตายไปแล้วแล้วมันต่างอะไรกับศาสนาคริสต์หรืออิสลามที่สอนให้ทำดีที่เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์หลังจากตายไปแล้วล่ะ??? มันหลอกลวงไม่ต่างกันเลย บอกว่าตายไปแล้วแล้วจะสิ้นทุกข์ทั้งๆที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็มีทุกข์ พระอรหันต์ตายไปแล้วกลับมาบอกเหรอว่าหมดทุกข์น่ะ มันจะพิสูจน์ได้ไงว่าหมดทุกข์??? มันไม่มีใครเชื่อหรอกคับ ต่อให้ไปเกาะกับพระเจ้าพิมพิสารอยู่ก็เถอะถ้าก่อตั้งศาสนาที่มีแต่ความเชื่อเพียวๆโดยพิสูจน์ไม่ได้ ประชาชนก็จะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าก็จะโดนเรียกร้องให้มีการสอบสวน และเมื่อโดนเรียกร้องหนักๆเข้าพระเจ้าพิมพิสารก็จะตามน้ำโดยการพิสูจน์ความเชื่อทางพุทธ และพระพุทธเจ้าก็จะโดนพระเจ้าพิมพิสารสั่งตัดหัวและศาสนาพุทธก็จะจบลงแค่นั้นแหล่ะ... (นอกจากพระพุทธเจ้าจะมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนที่มากพอจะโน้มน้าวให้พระเจ้าพิมพิสารมาเข้าข้างได้อ่ะนะ) จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 01:35:30 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 104 ฮึๆๆก็ยังเหมือนเดิมคือไม่รู้อะไรเลย แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 02:02:09 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 02:00:39 จากคุณ : wan_p เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 01:59:57

ความคิดเห็นที่ 105 ว้ามาไม่ทัน อิ่มกันหมดแระ ผมแบกเครื่องปรุงมา 2 กระปุก ไม่ทราบอยากจะกินกันต่อมั้ยครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 02:07:19

ความคิดเห็นที่ 106 ^ #104 หึหึหึ ก็ยังเหมือนเดิมคับ ก็คือไม่บอกอะไรให้จับผิดเลยแล้วก็นั่งเพ้อนั่งฝันไปคนเดียวว่าตู (ตั้งสมมุติฐาน) ถูก... #105 จัดมาเลยคับผมยังไม่นอน แต่ถ้าเกือบเช้านี่ผมขอตัวไปนอนก่อนพรุ่งนี้มาอ่าน... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 02:17:03 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 107 อืมมม พี่น้องครับ อยากให้เข้าใจคำว่าอจิณไตยนิดนึงก่อนจะเอามาพูดกันปาวๆครับ อจิณไตย แปลว่า เรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้ "ด้วยการคิด" มี 4 อย่างคือ 1. พุทธวิสัย แปลว่า ความเป็นพระพุทธเจ้า 2. ณาณวิสัย แปลว่า สภวะแห่งฌาณ 3. เรื่องการให้ผลของกรรม คือ การบอกว่า ผล ที่ได้รับ มาจากกรรมอันใด หรือ กรรมที่ทำ จะได้ผลอย่างไรเมื่อไหร่ 4. เรื่องต้นตอ การเกิดของสิ่งที่ใหญ่มากๆ เช่นโลกและจักรวาล ท่านว่าไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยการ"คิด"เอา แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถรู้ได้นะครับ อย่างพุทธวิสัย ถ้าท่านขยันมีวิริยะไม่ย่อท้อ บำเพ็ญเพียรต่อเนื่องได้ สี่อสงไขยแสนมหากัป และสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า คุณก็จะเข้าใจได้ครับ ณาณวิสัย ถ้าท่านบำเพ็ญเพียร ทำสมาธิอย่างถูกต้อง จนจิตสงบเข้าถึงสภาวะฌาณ คุณก็จะเข้าใจครับ ว่าจิตที่เป็นฌาณมันเป็นยังไง เรื่องการให้ผลของกรรม มีญาณชนิดหนึ่งซึ่งเป็นผลพลอยได้จากสมาธิระดับหนึ่ง สามารถทำให้คุณรู้ได้ครับ เรื่องโลกและจักรวาล อันนี้เป็นผลพลอยได้จากการสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ วิธีล่วงรู้สิ่งที่เรียกว่าอจิณไตยแต่ละอย่าง มีเขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจนในพระไตรปิฏก ถ้าพยามไม่ย่อท้อ สักวันต้องรู้แน่นอนครับ อย่าคิดว่าจะรู้สิ่งที่เข้าใจได้ยากด้วยวิธีการง่ายๆในเวลาสั้นๆเช่นการคิดคำนวนได้ครับ อจิณไตยไม่ใช่เรื่องที่ตอบไม่ได้ หาคำตอบไม่ได้ หรืออะไรๆที่คุณๆเข้าใจกันนะครับ มีหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันพิสูจน์ไม่ได้ เพราะเครื่องมือในการพิสูจน์มึจำกัด และไม่มีประสิทธิภาพพอเพียง มีเหตุการณ์บนโลกและจักรวาลหลายอย่าง ที่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ และใช้ข้ออ้างยอดฮิตอย่างคำว่า"บังเอิญ" อยู่มากครับ จากคุณ : Zauron เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 02:30:45

ความคิดเห็นที่ 108 อ่าผมไม่มีความรู้อะไรอ่ะครับ แต่ผมอยากจับผิดท่านแมวน้ำบ้าง ไม่ทราบว่าเป็นการสมควรหรือไม่ครับ ท่านลองแสดงภูมิออกมาบ้างซักเพียงนิดให้ท่านทั้งหลายในนี้ ได้ทราบถึงตัวตนของท่านบ้างได้มั้ยครับ ซึ่งการติใดๆ ซึ่งเป็นการกล่าวข้อโต้แย้ง แล้วต่อด้วยการเสนอแนะทางที่ควร ย่อมเป็นการ ติเพื่อก่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อประโยขน์และสมควร แต่หากการติใดๆที่สักแต่เพ่งโทษหาจุดอ่อนหวังเพียงทำลาย แต่มิได้เสนอแนะแนวทางใดๆที่ดีกว่าที่ผู้ถูกติกระทำเลย นั่นเป็นการ มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ครับ ท่านลองมาพายดูซักตั้งมั้ยครับ หรือจะทำตัวแบบนี้ไป จนไม่มีคนมาอาสาพายให้ท่านจริงๆ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 02:36:01

ความคิดเห็นที่ 109 ^ #107 ถูกต้องแล้วคับสี่อย่างนั้นเป็นเรื่องอจินไตย... แต่ความจิงที่ว่าพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาแล้วได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากผู้คนทั่วสารทิศ ได้รับการอุปภัมถ์อย่างดีจากชนชั้นปกครองและไม่ได้รับการไต่สวนความเชื่อทางศาสนาจากผู้ถืออำนาจกฏหมายนั้นไม่ใช่เรื่องอจินไตยที่มนุษย์ไม่สามารถ "คิด" คำนวณได้คับ ดังนั้นความเชื่อที่พระพุทธเจ้านำมาบอกแก่ประชาชนทั่วไปจึงจะต้องเป็นความเชื่อที่พิสูจน์ได้ประจักษ์แจ้งแก่ประชาชนผู้ที่นับถือศาสนาพารห์ม-ฮินดูได้ ผู้ที่ไม่มีญาณและไม่เคยทำสมาธิอะไรเลยจึงจะเข้าใจและยอมรับในศาสนาของพระองค์ได้คับ... #108 ผู้ที่แสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือจะไม่ใช่วิทยาศาสตร์นั้นย่อมจะต้องยอมรับการจับผิดคับแม้ว่าจะไม่ได้เป็นการติเพื่อก่อหรือแสดงแนวทางแก้ไขอะไรเลยก็จะต้องยอมรับคับเพราะเพียงแค่ถ้าคุณรู้ว่าแนวคิดของคุณผิดนั่นก็คือคุณรู้มากขึ้น 1 เรื่องแล้ว การเสนอแนวทางแก้ไขพร้อมกันไปด้วยนั้นมันก็จะทำให้คุณรู้มากขึ้น 2 เรื่องก็คือความคิดของคุณผิดและความคิดของคนอื่นถูก ซึ่งไม่จำเป็นที่คุณจะต้องรู้มากขึ้นถึงสองเรื่องหรอกคับถ้าคุณแสวงหาความรู้จิงๆคุณรู้มากขึ้นแค่เรื่องเดียวมันก็เป็นประโยชน์แล้วไม่ใช่เหรอคับ... ภูมิของผมผมแสดงในความคิดเห็นนี้ก็แล้วกันนะคับถ้าอยากจะจับผิดก็สามารถแย้งได้ตามสบาย... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 03:00:47 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 110 ^ ^ ^ แต่หากการทักท้วงนั้นผู้ที่ทักท้วงหาได้รู้ จริงถึงสิ่งที่ตัวเองทักท้วงไม่ เพียงแต่ยกมุมมองที่แคบๆของตนมากล่าวท้วง สิ่งที่ตัวเองไม่ได้มองเห็นเป็นองค์รวม คล้าย ตาบอดคลำช้าง ท่านคิดว่าการทักท้วงเช่นนี้ เป็นการก่อประโยชน์ แก่ผู้ที่ทราบสิ่งนั้นดีอยู่แล้ว แต่เขามิได้อธิบายสิ่งนั้นในทางที่ถูกจริต หรือตรงกับมุมองแคบๆของท่าน กระนั้นหรือท่าน ขอพิจารณา จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 03:22:43

ความคิดเห็นที่ 111 ^ แต่ผมกลับพิจารณาว่าไม่มีผู้รู้จิงคับทุกสิ่งเป็นเพียงสมมุติฐาน... คุณคิดว่ามีคนที่รู้จิงงั้นเหรอคับ??? คุณรู้หรือป่าวว่า "ผู้ที่รู้จิง" นั้นคืออะไร??? ผมจะบอกให้ก็ได้ว่ามันไม่มีใครรู้จิงหรอกคับ คนที่รู้จิงนั้นแท้จิงแล้วก็คือคนที่คิดเหมือนกับคนส่วนใหญ่แค่นั้นแหล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณรู้มันก็เป็นแค่เรื่องการเมืองแค่นั้นแหล่ะ คนทุกคนน่ะขี้เกียจกันทั้งนั้น นอกจากขี้เกียจทำงานทำการแล้วยังขี้เกียจแสวงหาความรู้อีก กะอีแค่คิดว่าอะไรถูกอะไรผิดมันยังขี้เกียจจะคิดเลยและในเมื่อมันไม่คิดว่าอะไรถูกอะไรผิดมันก็เลยอยากจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดน่ะมันถูก ในเมื่อทุกคนไม่อยากคิดว่าอะไรถูกอะไรผิดและอยากจะคิดว่าความคิดของตนเองนั้นถูก ถ้าหากว่ามีคนคิดว่าโลกกลม 10 คนและคิดว่าโลกแบน 100 คน มันจะเกิดแรงต้านในการเปลี่ยนความคิดว่าโลกกลมไปเป็นโลกแบน 10 คน และจะมีแรงต้านในการเปลี่ยนความคิดว่าโลกแบนไปเป็นโลกกลม 100 คน ถามว่าการเปลี่ยนความคิดคน 10 คนกับคน 100 คนอะไรง่ายคับ??? มันก็แน่นอนเปลี่ยนความคิดคน 10 คนย่อมง่ายกว่าดังนั้นโลกแบนจะเป็นความจิงและคน 100 คนที่คิดว่าโลกแบนจะเป็น "ผู้รู้จิง" ไปโดยอัตโนมัติ และเลวร้ายกว่านั้น ถ้ามีคนคิดว่าพระอรหันต์ไม่มีความทุกข์อยู่ 10 คน และมีคนที่ "อยาก" จะคิดว่าพระอรหันต์ยังจะต้องมีความทุกข์อยู่ 10,000 คน... ถามว่าทีนี้อะไรคือความจิงคับ... มันก็แน่นอนว่าแนวคิดว่าพระอรหันต์ยังจะต้องทุกข์ที่มีแรงผลักดันจากคน 10,000 คนย่อมจะต้องชนะและได้รับการยอมรับจากสังคมขี้เกียจที่ไม่สนใจถูกผิดไม่สนใจความจิงอยู่แล้ว... และในทำนองเดียวกันถ้ามีพระพุทธเจ้าประกาศว่านิพพานเป็นทางพ้นทุกข์และการเข้าถึงพระอรหันต์ก็คือการบวชเป็นพระสงฆ์อยู่ 1คน แต่ดันมีพราห์ม+กษัตริย์+ศาสนิกพราห์ม-ฮินดูประกาศว่าโมกษะคือทางพ้นทุกและแนวทางเข้าถึงโมกษะก็คือการบวชเป็นโยคีและทรมานตนอยู่ 100,000 คน คุณคิดว่าแนวคิดของใครจะชนะและได้รับการยอมรับจากสังคมอินเดียในสมัยนั้นว่าเป็น "ความจิง" คับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 03:56:41 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 112 ผมตอบไม่ได้หรอกครับปัจจัยเยอะเกิน แต่อยากถามว่าเหตุใดคุณถึงคิดว่า คนต่างคิดตามๆกันไปครับ ไม่มีใครรู้จริง แล้วคนส่วนน้อยเปลี่ยนจะเปลี่ยน ความคิดคนส่วนใหญ่ไม่ได้ครับ อย่าเอามุมมองที่มองจากนิสัยตัวเองหรือคนรอบตัวเองซึ่งเป็นมุมแคบๆมาพูดซิครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คงไม่มีภาระกิจที่ หมอเจ vs PMC เกิดขึ้นมากระมังครับ หรือไม่ก็คงไม่มีกระทู้ที่กล่าวถึง fwmail ลวงโลกต่างๆ แล้วผู้รู้จริงนี่ เหมือนผู้รู้รอบหรือเปล่าครับผมไม่แน่ใจ บางทีคุณก็อาจเป็นคนรู้จริงคนหนึ่งก็ได้นะครับ โปรดใช้ ปัญญาพิจารณา จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 04:39:33

ความคิดเห็นที่ 113 ^ โอ้... ใช่คับ ใช่ๆ การที่ความคิดคนส่วนใหญ่จะเปลี่ยนได้โดยคนส่วนน้อยจำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์แล้วอย่างชัดเจนหนักแน่นมากพอที่คนส่วนใหญ่จะปฏิเสธความเชื่อแต่ดั่งเดิมของตนและยินยอมรับความเชื่อใหม่เข้ามาคับ... และแน่นอนว่าถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่านิพพานคือการพันทุกข์... พระอรหันต์จะพ้นทุกข์ได้หลังจากที่ตายไปแล้วเท่านั้น... หรือเวลาศาสนิกฮินดูแสดงความเชื่อที่ขัดกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็หัวเราะหึหึแล้วก็บ่นพึมพำให้พระเจ้าพิมพิสารฟังว่า "มันไม่รู้อะไรเลย" แบบนี้แล้วคุณคิดว่ามันมีหลักฐานอะไรที่จะพิสูจน์อย่างหนักแน่นชัดเจนมากพอที่ชาวฮินดูส่วนใหญ่จะเปลี่ยนความเชื่อตนเองมานับถือศาสนาพุทธอยู่หรือป่าวคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 07:06:18 A:223.205.124.40 X: TicketID:302383

ความคิดเห็นที่ 114 โอ้ ยาวเหลือหลาย มาอ่านตอนท้ายเรื่องอจิณไตย บางรายดูหมิ่นเรื่องอจิณไตย  ถ้าต้องการรู้แน่ก็ต้องพิสูจน์ อจิณไตยเป็นเรื่องอย่างที่ คคห.107 ว่ามานั่นแหละ  ยกเอาเรื่องใดก็ได้ที่เขาว่าเป็นอจิณไตย  ทดลองเดี๋ยวนี้ก็ได้โดยการเอาเรื่องนั่นมาค้นหาคำตอบ  โดยการคิด คิด แล้วก็คิด  แล้วก็บอกว่านั่นคืออะไร และสำรวจว่าผลที่ออกมานั้นมาจากอะไร  รู้จริงหรือไม่ เป็นจินตนาการผสมผสานของตัวเองและข้อมูลในอดีตหรือไม่ แล้วก็ประกาศออกมาว่าสิ่งที่ตัวเอง "คิดออก" นั้นคือสัจธรรม  แล้วก็พิจารณาว่านั่นคือสัจธรรมจริงไหม  ถ้าไม่ใช่จินตนาการ เหมือนให้คนตาบอดโดยกำเนิดคิดเอาว่า  สีแดง สีเขียว  มันเป็นยังไง  แล้วให้เขาอธิบายออกมา โดยไม่ต้องเปรียบเทียบอะไรเลยนะครับ อย่าว่าแต่คนตาบอดเลย คนตาดีก็ทำไม่ได้  ถ้าไม่ใช่คน ๆ นั้นเห็นเอง ทดสอบเลย ... จากคุณ : hollowpig เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 07:54:49

ความคิดเห็นที่ 115 ความรู้พุทธศาสนาเกิดมาสองพันกว่าปีแล้ว  แต่วิทยาศาสตร์เกิดมาทีหลังไม่กี่ร้อยปี สิ่งที่เหมือนกันคือ การคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลที่สามารถพิสูจน์ได้ แก่นคำสอนคือมาจากองค์ความรู้ที่พระพุทธเจ้า  เฝ้าสังเกตธรรมชาติสิ่งรอบตัว โดยมีสมาธิจิตเป็นพื้นฐาน ตั้งสมมุติฐาน ทดลอง เก็บข้อมูล แจ้งประจักษ์ได้ด้วยตนเอง โดยมีข้อแม้ว่าผู้ที่ทดลอง คือผู้ปฏิบัติที่ประจักษ์แจ้งด้วยตนเองโดยไม่มีข้อยกเว้น เว้นแต่ว่าผู้ปฏิบัติทำผิดทาง เนื่องจากคำสอนนี้เป็นภาษาโบราณการอ้างอิงหลายๆอย่างจึงทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจเพราะข้อจำกัดของภาษา วิทยาศาสตร์ยังอยู่ในขั้นการพัฒนายังห่างไกลที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทั้งหลายของนักปฏิบัติ ด้วยข้อจำกัดของวิทยาการที่ยังขาดเครื่องมืออีกหลายอย่าง เรื่องบัวใต้ตม หมายถึงคนที่พระพุทธสอนไปแล้ว คนเหล่านั้นไม่สามารถรู้ตามคำสอนได้เลย ท่านให้ฆ่าทิ้งเสีย หมายถึงไม่จำเป้นต้องไปสอน ไปบอกกล่าวอะไร เพราะยังยึดติดกับกิเลสเกินกว่าจะมีองค์ความรู้ใดๆ ไปช่วยเขาเหล่านั้น ท่านจึงสอนให้เว้นเสีย เรื่องโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์  เป็นเรื่องของการเปลี่ยนโครงสร้างความคิดจิตใจให้ถูกต้อง เพื่อหนทางพ้นทุกข์ คนที่ปฏิบัติจะทราบเองว่าตนทุกข์น้อยลงอย่างไร ดังนั้นการประจักษ์แจ้งของนักปฏิบัติในพุทธศาสนาจึงหมายถึง ต้องลงมือปฏิบัติเอง จะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง ไม่ใช่รู้แบบอ่านหนังสือ แต่การรู้นั้นจะเปลี่ยนโครงสร้างระบบความคิดของคนๆนั้นไปตลอดชีวิต การที่นำเครื่องมือในวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ยืนยันการปฏิบัติของพุทธนั้น ไม่ใช่เพื่อรับรอง แต่หมายถึงการอธิบายปรากฏการณ์ด้วยภาษาสมัยใหม่ ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ง่ายขึ้น ในเชิงกายภาพ แต่พุทธสอนให้รู้จัก ธรรมชาติกายและใจ  เพื่อเป้าหมายการดำเนินชีวิตให้พ้นทุกข์ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 08:51:44

ความคิดเห็นที่ 116 จาก 113 ฮินดูขัดกับพระพุทธเจ้าตรงใหนผมไม่ทราบหรอกครับ เพราะผมไม่ใช่ฮินดู หรือแท้จริงแล้ว อาจจะไม่ได้ขัดกันก็ได้ แต่จากที่ผมพิสูจน์ได้โดยใช้ ปัญญา ศาสนาพุทธมีความเกี่ยวเนื่องในระบบแบบเป็นเหตุเป็นผลครับ ซึ่งสิ่งสำคัญแรกสุดเราต้องมองเห็นสิ่งๆนึง ให้อยู่ในมุมเดียวกันก่อน นั่นคือ ทุกข์ ท่านแมวน้ำ คุณอาจไม่ใช้พุทธศาสนิกชน แตผมอยากทราบมุมมองเกี่ยวกับคำว่า ทุกข์ ของคุณว่ามันมีขอบเขตแค่ใหนครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 09:04:41