ความคิดเห็นที่ 1 โอ้ปัญหาประดับชาติ จากคุณ : moutain black เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 17:41:25

ความคิดเห็นที่ 2 เพราะระบบการศึกษาไทย มันห่วยครับ ร้อยละเกินห้าสิบ ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ กว่าจะรู้ตัวก็เดินมึนๆเข้าคณะงงๆไปได้ปีสองปีแล้ว การศึกษาแบบไทยๆคือจับป้อนๆ ยัดเยียดความรู้ให้เด็กนิ น้อยคนจะคิดเองเป็น จากคุณ : Moonui เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 17:43:46

ความคิดเห็นที่ 3 เหมือนโดนด่า อารมณ์ไหนครับเนี๊ยะ !!!! มาตอบแค่หัวกระทู้นะ "ไม่มีครับ" จากคุณ : SPN เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 17:47:10 A:203.146.51.129 X: TicketID:294437

ความคิดเห็นที่ 4 ระบบแนะแนวแย่ครับ ตั้งแต่เด็กเลย การศึกษาไทย ไม่ส่งเสริมหรือไม่เชี่ยวชาญการแนะแนวให้เด็กค้นหาตัวเอง หรือทำความรู้จักตัวเองด้วยซ้ำ มีทางจิตวิทยาสูง มีผลถึงกระทั่งการเบี่ยงเบนทางเพศ การเลือกเรียนวิศวะเรียนแพทย์ หรือสาขาอื่นๆที่ตนเองไม่เคยชอบ แต่เปอร์เซ็นการได้งานสูง แค่คิดว่าเรียนแล้วไม่ตกงานชัวร์ ตอนแรียนก็ท่องหนังสือให้มากที่สุดเพื่อการสอบแข่งขัน ถือเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวของการศึกษาไทย รวมไปถึงเศรษฐกิจ รัฐบาล ทุกอย่าง! จะปรับปรุงมันก็ต้องใช้หลายๆส่วนช่วยและร่วมมือกัน สามัคคีกัน ทุ่มเทพลังมาก เพราะการแนะแนวหรือสภาพสังคม และการขัดเกลาต่างๆส่งผลทุกอย่างต่อคนคนหนึ่ง สรุปคือ พูดง่ายครับ แต่ทำยาก แล้วดูจากสังคมไทยตอนนี้ เรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยจะดีกว่า T-T แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 54 17:53:16 จากคุณ : Ta-tenen เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 17:52:02

ความคิดเห็นที่ 5 แต่ผมคิดว่าการที่เบนเข็มมาเรียนทางสายบริหารหรือทางสายธุรกิจนั้น น่าจะเกิดจากความต้องการในการ "ทำเงิน" ในอาชีพสายนี้ หรือหามองโลกในแง่ดีหน่อยก็คือเพิ่มโอกาสในการทำงานครับผม เพราะเพื่อนผมหลายๆคนที่เรียนมาทางสายวิชาการล้วนๆ (แบบอักษรศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์) ก็หันมาเรียน MBA ด้วยเหตุผลสุดสวยว่าอยากหาประสบการณ์และเพิ่มโอกาสในการทำงานข้างหน้าครับ จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 17:52:55

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นความสูญเสียทางการศึกษาอย่างมากเลยครับ จากคุณ : chetM เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 18:00:48

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่องนี้พูดแล้วยาว ประเทศไทยเป็นประเทศที่สั่งสอนเด็กให้เรียนไปเพื่อ "สอบ" ไม่ใช่เพื่อค้นหาตนเองและพัฒนาความสามารถ ในด้านที่ตนเองถนัด ระบบที่บิดเบี้ยวของสังคมอันมีพื้นฐานจากการบริหารงานบ้านเมืองที่บิดเบี้ยวซึ่งเกิดจากการบิดเบือน ความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมช่วยหล่อหลอมให้เกิดรูปแบบทางการศึกษาที่บูดเบี้ยวเบ้และล้มเหลวแบบนี้ออกมา ผมไม่เคยเชื่อ เลยว่าประเทศไทยจะเจริญได้หากระบบการศึกษาที่บูดเบี้ยวเช่นนี้ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนทรัพยากรของประเทศในอนาคตจึงไม่ แปลกใจเลยว่าทำไมผลลัพธ์ของระบบที่บิดเบี้ยวจึงก่อกำเนิดสังคมที่บิดเบือนและผู้คนที่ไร้คุณภาพออกมาเช่นนี้ อย่าไปหวังว่าจะแก้ได้เลยครับ ถามใจคุณสิครับว่าตั้งแต่เกินยันอายุปูนนี้แล้ว มันได้แก้ไหม มีโอกาสไหม แล้วที่ผ่านมามันก้าว หน้าหรือว่าถอยหลังไปเรื่อย ผมล่ะนึกน้อยใจว่าประเทศไทยนั้นทำบุญทำกรรมอะไรไว้ทำไมต้องมาเผชิญกับอะไรเช่นนี้ทำไมถึง ไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาหรือแก้ไขอะไรได้เลย พูดได้แต่เพียงว่าสังคมที่บิดเบือนเช่นนี้ยากต่อการจะไปพัฒนาอะไรได้ จากคุณ : Prince Ganymedes เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 18:08:36

ความคิดเห็นที่ 8 เชื่อหรือไม่ว่าข้าวและอาหารสดที่คุณกินอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้ถูกปลูกด้วยแรงงานต่างด้าวก็นำเข้าจากประเทศจีน ในขณะเดียวกันแรงงานชนชั้นกลางกลับตกงานกันมากมาย จากคุณ : Roh_Z เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 18:21:02

ความคิดเห็นที่ 9 สอนเพื่อ สอบ ให้เข้า มหาวิทยาลัยครับ เรียนจบได้หรือ ไม่ ก็เรื่องคุณละ ทุกวันนี้ กวด วิชา ผุดเป็นดอกเห็น มีเป็นโปรโมชั่น............ จากคุณ : เปิดโลก เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 18:22:50

ความคิดเห็นที่ 10 -เพราะพ่อแม่ชอบไซโค/บังคับให้เรียน -เพราะสังคมโรงเรียนไปสร้างค่านิยมว่าเป้าหมายของเด็กม.ปลายคือการเป็นหมอหรือวิศวะ เด็กมันก็เลยคิดว่าถ้าไม่ได้สองอย่างนี้คือไม่สำเร็จ ไม่เข้าเส้นชัย เด็กเลยตะบันเรียนให้ได้สองวิชานี้ๆ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้ชอบ แต่รู้สึกว่าอยากเอาชนะแค่นั้น จริงๆถ้าสังคมสร้างค่านิยมว่าสอบได้วิชาที่ชอบ = ชนะ เด็กก็คงมีตัวเลือกที่มากกว่านี้หรอก ของผมไม่ได้เรียนสายวิทย์เลยไม่มีใครไปสองคณะนี้ แต่สายผมคือนิติๆๆๆๆๆๆๆ ตะบันสอบกันจัง ได้ไม่กี่คน คิดว่ารามก็ราม ไปแป๊กที่นิติรามก็เยอะ ที่ไม่ผ่านเพราะไม่ขยันด้วยก็ส่วนหนึ่งแต่ที่ดูๆคือไม่ได้จะชอบกฎหมายกันเลยแค่รู้ว่าดีว่าดังก็แห่กันไปเรียน ใจไม่ชอบไปเรียนก็แป้กงี้แหละ พวกเรียนตามใจฉัน คณะไม่ดังแต่ชอบก็เอา ตอนนี้โตในสายงานตัวเองกันหมดแล้ว จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 18:41:57

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้ามีงานวิจัยที่สนับสนุนข้อความดังกล่าว แล้วนักศึกษา,ผู้เคยเรียนทางวิศวกรรมศาสตร์,หรือผู้คนทั่วไป รีบเชื่อตามงานวิจัยนั้นทันที แสดงว่าสมองผู้นั้นอาจมีกระบวนการคิด วิเคราะห์ ที่แย่ก็ได้ครับ แต่ใครก็ตามที่รู้จักใช้ความคิดวิจารณญาณด้วยหลักคณิตศาสตร์หรือตรรกะเหตุผล หลักประจักษ์เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หลักกาลามสูตร หลักความไม่ประมาท ฯลฯ ล้วนกล่าวได้ว่าคือผู้ที่มีกระบวนการคิด วิเคราะห์ ที่ยอดเยี่ยม จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 18:46:51

ความคิดเห็นที่ 12 มองได้หลายแง่ครับ แง่แรกคือ "เติมเต็ม" บ้านเราสายงานวิศวะระดับสูงๆโตยาก ขยับขึ้นสายบริหารง่ายกว่า ดังนั้นการขยับเข้ามาเรียนสายบริหารจึงเป็นความจำเป็นในการก้าวหน้า ความได้เปรียบอย่างสูงของวิศวะข้ามสายคือมีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ดีมากอยู่แล้ว ถ้าเปิดโอกาสให้สายงานวิศวะโตไปกินเงินเดือน ระดับหลักแสนได้ ผมคิดว่า การย้ายสายของวิศวะ ก็จะน้อยลง แง่สองคือ ตัววิชาการเหล่านั้นในระดับลึก มีความใกล้เคียงกับวิศวกรรมศาสตร์มาก มากเสียจนการรับเด็กข้ามสายมา มีประสิทธิภาพสูงกว่า เช่นสาขาการเงินเชิงคำนวณ(Computational Finance) ในระดับปริญญาโท/เอก ของสายการเงิน มีการใช้เทคนิคคำนวณและการสร้างโมเดล ซึ่งเด็กทางสายวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ได้เปรียบกว่ามาก จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 19:06:05

ความคิดเห็นที่ 13 เขาหมายถึงว่า วิศวกรมีพื้นฐานความรู้ในด้านงานเชิงเทคนิคแล้ว แต่พอมาคิดขยับขยายมีธุรกิจของตัวเอง มันจำเป็นต้องมีความรู้เชิงบริหารธุรกิจด้วย เขาก็เลยมาเรียนนี่ไง ซึ่งพื้นฐานด้านการเรียนแบบวิศวะ ก็ทำให้มาต่อยอดทางด้านเชิงบริหารได้ เพราะงานเชิงวิศวกรรมเป็นศาสตร์ แต่งานเชิงบริหารมันเป็นศิลป์ แต่ถ้ากลับกัน เอาคนสายศิลป์ ไปเรียนเชิงศาสตร์ ออกจะลำบากอยู่ไม่น้อย จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 19:11:55

ความคิดเห็นที่ 14 อืม แปลกเหมือนกันนะ ในบ้านเรา ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรหรือบริษัท ขนาดใหญ่ หลายคนมากๆ ที่จบ ป.ตรี วิศวกรรม จากคุณ : buddybulldog เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 19:20:39

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ^ ^ ^ ^ ^ ไม่แปลกหรอกครับ เพราะค่านิยมสมัยเมื่อ 30-40 ปีก่อน ถ้าเป็นผู้ชายก็ต้องเรียนวิศวะหรือสถาปัตย์ หรือไม่ก็ต้องไปเป็นนักเรียนนายร้อย (เลือกเรียนหมอนี่มาหลังวิศวะอีกนะครับ) จากคุณ : Roh_Z เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 19:50:05

ความคิดเห็นที่ 16 ต้องเข้าใจระบบการทำงานใหม่นิดนึงว่า คนที่เป็นระดับหัวหน้า มักจบด้าน สาขาที่เกี่ยวกับการบริหาร เพราะ งานด้านนี้เกี่ยวกับการควบคุมคนไง ที่นี้ วิศวะกร คือคนที่ทำงานในสิ่งที่ตนถนัดไง เป็นความถนัด เฉพาะด้าน ดังนั้นก็เลยไม่มีกระจิตกระใจมาบริหารงานคน คือ คุมคนไม่เป็น พูดไม่เก่ง ขายของไม่ได้ ทำได้คืองานที่ตนถนัดเท่านั้น สรุป ว่า จบด้านบริหารเป็นหัวหน้า จบวิศวะเป็นลูกน้อง นั้นเอง ถ้าวิศวะอยากเป็นหัวหน้าก็ต้องกลับไปเรียนบริหาร ไปเรียนรู้การบริหารมาก่อน ก็จะกลายร่างเป็น หัวหน้าที่คุมวิศวะได้ แต่บางหน่วยงาน ไม่จำเป็นขนาดนั้น เลยหาคนที่จบบริหารงานปกติมาเนี่ยแหละ เป็นหัวหน้างานเลย ไม่จำเป็นต้องผ่านวิศวะมาก่อน เพราะสามารถต่อรองเงินเดือนให้ต่ำลงได้ ในตอนนี้ ผมเองเป็นลูกน้องคนที่จบบริหารมา ผมจบวิศวะ แต่หัวหน้า เงินเดือนมากกว่า2 เท่าเลยทีเดียว วันๆ แค่สั่งงาน กับประชุม แค่นั้น แต่ก็น้ะ ก็มักมีปัญหาเรื่องการสั่งงาน เนี่ยแหละ ผมก็มักจะดื้อด้าน หัวหน้าสั่งงานไม่ฟัง ไม่ทำ ทะเลาะกันประจำ 55+ (ปัญหาภายใน) ดังนั้นหากใครอยากเป็น หัวหน้าคนก็ให้เรียนบริหารซ้ะ จะไ้ด้ไม่ปวดตับแบบผม ทุกวันนี้ ช้ำใจจริงๆ เป็นลูกน้องเค้า -_-" จากคุณ : บัตรเผ่น เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 19:50:22 A:87.118.104.203 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 17 แนะแนว โรงเรียนผม ครูไม่ได้เรื่องเลยครับ ห่วยแตกที่สุด แทนที่มันจะเป็นคาบสอนที่"แนะแนว" ครูมัวแต่จะมาขายหนังสือเกร็งข้อสอบ ชื่ออะไรไม่รู้เมื่อก่อน ที่ออกเดือนละเล่น ครูโรงเรียนผมมันขาดจิตวิญญานมาก น่าจะไล่ออกไปซะให้หมด ครูดีๆกลับเป็นครูสอน ฟิสิกส์ ชีวะ เคมี เลข ครูอังกฤษ มากกว่า นอกนั้น พวกสอนสังคม กับ ภาษาไทย นี้ แย่สุดๆแล้วครับ ดุก็ดุ สอนก็ไม่เข้าสมองเอาซะเลย ส่วนครูแนะแนวไม่ต้องพูดถึง เหมือนเอาครูที่สอนหนังสือไม่เป็นไปไว้เป็นครูแนะแนว จริงๆครูแนะแนวน่าจะเป็นครูที่เก่งจริงๆมากกว่าแต่แบ่งเวลาไปให้ความรู้เรื่องชีวิต จากคุณ : BOSS เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 20:19:39 A:58.64.111.69 X: TicketID:302192

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่รู้ ไม่เคยได้ยินงานวิจัย แต่มีญาติกันคนหนึ่ง เป็นวิศวะ ได้ข่าวว่าตอนเรียน เรียนเก่งมากกกกก โจทย์เลขสูตรพิลึก กึกกือ คิดได้หมด แต่พอจบมาทำงาน กลับเงินเดือนไม่พอใช้ ติดหนี้สินบานเบอะ ติดหนี้บัตรเครดิตกระจายยย คงเก่งแต่สูตรคณิตศาสตร์ของพวกช่างอ่ะนะ แต่พวกดอกเบี้ยเงินกู้ยืม คิดไม่ทัน ปล. เฉพาะญาติเรานะที่เป็นแบบนี้ วิศวะคนอื่นอาจจะเก่งจริง ๆ ก็ได้ จากคุณ : เราเอง เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 21:31:44 A:58.8.136.221 X: TicketID:294838

ความคิดเห็นที่ 19 ปีหน้าผมก็ต้องสอบเข้ามหาลัยแล้ว ร เทอมนี้เสียค่ากวดวิชาคอร์สเอนไปหมื่นกว่าๆ ทั้งๆที่ยังไม่ทราบเลยครับว่าจะเรียนอะไร เรียนวิทย์ไปจะได้ใช้หรือไม่ จากคุณ : คนรักแมวมาก เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 21:34:25

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าคุณคิดว่าความรู้สำคัญกว่าจินตนาการ คุณคือวิศวกร ถ้าคุณคิดว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คุณคือนักบริหาร ถ้าคุณคิดว่าทั้งสองอย่างสำคัญเท่ากันและเกื้อหนุนกันอยู่ คุณคือคนหน้าตาดี !! จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 21:57:49

ความคิดเห็นที่ 21 มาตอบข้อสองครับ (ข้อหนึ่งมันซับซ้อนเหมือนหลายๆ คห ว่ามาแล้ว) สิ่งหนึ่งของกระบวนการคิดทางวิศวกรรม หรือ ทางฟิสิกส์รับได้น้อย ก็คือความยืดหยุ่นครับ ในขณะที่ศาสตร์อื่นๆ แม้ในวิทยาศาสตร์บางสาขาเอง มีความยืดหยุ่นสูง ดังนั้นคำตอบและวิธีการคิดจึงแตกต่างกัน อาจจะเคยได้ยินนะครับ 1.0 + 1.0 ทางวิศวะ จะตอบว่า 2.0 แต่บางศาสตร์อาจจะตอบได้ว่า 1 บางทีอาจจะตอบได้ว่า 2 ก็ได้ครับ (อันนี้เปรียบเทียบนะครับ) ดังนั้นวิชา calculus บางทีอาจจะไม่จำเป็น กับศาสตร์ด้านอื่น นั่นหมายถึงไม่ได้ต้องการความเที่ยงตรง และแม่นยำขนาดที่วิศวกรรมต้องการครับ ดังนั้น วิศวกรรมพัฒนาความคิดจริงครับ แต่ไปในทางคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ครับ จากคุณ : KkTpCmu เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 22:38:45

ความคิดเห็นที่ 22 มันเกิดมาจากตลาดแรงงานมากกว่า เมืองไทย คนที่เก่งใน field นึงมากๆ อาจจะไม่มีโอกาส ได้เงินเดือนสูงๆ เช่น บางคนเก่งคำนวณมากๆ อยากทำงาน research ไปเรื่อยๆ แต่เงินเดือนสูงขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้ มันตัน มันต้องไปทำงานบริหาร ถึงจะขึ้นต่อได้ สุดท้ายก็ต้อง management skill ลองมองตัวเอง ชอบคำนวณเรียนวิศวะ ต่อด้าน finance ที่เป็น model ทำงานไปซักพัก แทบจะไม่ได้ทำ model แล้ว และดูว่าอีกซักพักคงไม่ได้ทำอีกแล้ว เพราะก็ต้องไปทำงานบริหารดูลูกน้องแทน เข้าประชุม บลาๆ สุดท้ายแล้ว management skill ล้วนๆ จากคุณ : zq-JZA80 เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 54 01:22:26

ความคิดเห็นที่ 23 เห็นด้วยกับคห 4 พูดถึงคุณครูแนะแนวตอนมัธยม อนาคตของพี่สาวเรา แบบว่า......... พี่สาวเราเค้าไปปรึกษา คุณครูแนะแนวตอนมัธยมต้น ว่าอยากเรียนสถาปนิก ต้องไปเรียนอะไรก่อน คุณครูก็ตอบอย่างมั่นใจว่า ให้ไปเรียนพวก อาชีวะหรือสายที่เกี่ยวกับศิลปะอะไรเทือกๆนี้ พี่สาวเราเค้ายังเด็ก ก็โอเค คิดว่าพอเรียนไปแล้ว จะได้ไปสอบสถาปัตย์ ปรากฎ มารู้ตัวตอนเรียนไปสองปีแล้วว่า เฮ้ย ไม่ได้เีกี่ยวกันเลยนี่หว่า เค้าก็เลย ตามเลย ตอนนี้นึกนึกไปเค้าก็ยังเสียดายอยู่เลย ที่ 1. ไม่น่าไปถามครูเลย หาเอาเองดีกว่า 2. พอตอนรู้ตัว น่าจะไปเริ่มใหม่ แต่ตอนนั้นติดเพื่อนน่าดู จากคุณ : spirit mountain เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 54 13:46:36

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านหัวจบปุ๊บตอบเลย สงสัยจะไม่รอดหวะ cal 1 2 3 เลยหรอ cal 1 ที่บริหารเรียนนี่ ยังไม่ถึงครึ่งของ cal 1 ที่วิศวะเรียนเลย เพื่อนมันบอกว่าสอน cal เด็กแล้วอารมณ์มันเสีย สงสัยมันไม่ได้ตังใจฟังมั้งคนสอนมันหล่อ อิอิ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 54 18:50:16 จากคุณ : ป๊อปปูล่า เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 54 18:41:36

ความคิดเห็นที่ 25 ผมกลับมองเหมือน 16 ครับ คือเขาไม่ได้ตั้งใจเรียนวิศวะเพราะต้องการฝึกแนวการคิด แต่เรียนวิศวะเพราะคิอว่ามันเป็นอาชีพที่ไปรอด แต่พอจริงๆแล้วก็ไปได้ไม่เท่าไหร่มันโตไม่พอ(ตัวเลือกมันเยอะ)  ก็เลยต้องไปเรียนบริหารเพิ่ม ซึ่งมันเป็นความล้มเหลวของระบบสังคมที่ใช้ทุนนิยมครับ งานใหนเงินน้อยก็ไม่มีใครเอาไม่มีคนทำ ต่างก็แก่งแย่งกันให้ได้งานดีๆ เพื่อสภาพทางเศรษฐกิจของตน เมื่อก่อนก็ต้องราชการ มาอีกยุคก็ต้อง หมอ วิศวะ นักแสดง หรือสมัยก่อนที่มีคำพูดว่า อาชีพเต้นกินรำกิน จะไปรอดหรือ นักดนตรีใส้แห้ง อะไรประมาณนี้ นี่คือการเหลื่อมล้ำทางโอกาสของอาชีพ วิธีแก้คือต้องเป็น รัฐสวัสดิการให้ได้ครับ ถ้าทุกคนอยู่ได้ ย่อมมีเวลาหาสิ่งที่ตัวเองชอบมากกว่าเงินครับ (ซึ่งถ้าคนเรามีอัตตา ยังไงก็ยังคงมีการแข่งขันอยู่ตลอดครับ ไม่มีใครขี้เกียจหรอก) แล้วมันจะเกี่ยวเนื่องไปแก้ระบบการศึกษาได้ครับ เพราะสิ่งที่คอยพร่ำสอนให้เด็กๆแข่งขันกันแบบนี้ไม่ใช่ตัวเด็กเอง แต่มันคือผู้ใหญ่ครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 13:37:04