ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อพูดถึงความร้อนแล้ว ปกติเราคงนึกถึงพลังงานความร้อน  แต่ถ้าพูดถึงความร้อน-ความเย็น มันเป็นการเปรียบเทียบของเราเอง (Relativtivty) ความร้อนระดับธรรมดาก็คือการสั่นเหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะวัดมันแบบไหน ปกติเราก็วัดอุณหภูมิ โดยใช้เทอร์โมมิเตอร์ ความร้อนน่าจะเกิดขึ้นไมาจากการสั่นอะตอม ทำให้เกิดพลังงาน แต่เกี่ยวกับโฟตอนอย่างไรหรือไม่ ผมเคยถูกภาม แต่ก็อธิบายไม่ได้ เขาพูดกันว่า ถ้ามีคนนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วลุกให้เรานั่ง หากเรารู้สึกว่าเก้าอี้ตัวนั้นร้อน ก็เพราะว่า โมเลกุลของเก้าอี้ตัวนั้นยังสั่นด้วยความถี่เดียวกับโมเลกุลของก้นของคนทีนั่งก่อนคุณ ซึ่งสั่นเร็วกว่าก้นของคุณ ทำให้คุณรู้สึกร้อน จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:06:09

ความคิดเห็นที่ 2 สิ่งที่เชื่อกันมาตามทฤษฎีฟิสิกส์ คือ ความเย็นนั้นไม่มีจริง จะมีก็แต่ความร้อน สิ่งที่เย็นมากกว่าก็คือมีความร้อนอยู่น้อยกว่า เป็นเวลาเกือบร้อยปีมาแล้วที่นักฟิสิกส์พบว่า เมื่ออุณหภูมิของสสารบางชนิดลดต่ำลงมากๆ ถึงติดลบที่ 273 องศาเซลเซียส หรือ -460 องศาฟาเรนไฮต์ อันเป็นจุดที่เรียกกันว่า "อุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์" หรือ ศูนย์องศาเคลวิน ถือกันว่าเป็นจุดที่ปราศจากความร้อนโดยสิ้นเชิง นั้นจะหมายถึงไม่มีสั่นของอะตอมอยู่เลยหรือ สสารนั้นตัดขาดออกจากสิ่งแวดล้อม หรือจักรวาลเด็ดขาดไปแล้วหรือ เราจะเห็นได้ว่า ไม่มีอารยธรรมใดที่พัฒนาขึ้นมาโดยปราศจากคำบอกเล่าในแง่ของวิธีการค้นหาความจริง... ความเป็นจริงคืออะไร? และ เราจะรู้ความจริงได้อย่างไร? จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:08:31

ความคิดเห็นที่ 3 ความเย็นมีประโยชน์อะไรบ้าง ? การไม่มีอยู่ของสิ่งที่มีอยู่  ไม่ว่าจะตามธรรมชาติ หรือมนุษย์สร้างขึ้น บางครั้งกลายเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ความสูญเสีย เช่น กำแพงที่มีช่อง ก็กลายเป็นประตู หริอหน้าต่าง ที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถ้าการไม่มีความร้อนคือการเกิดความเย็น มาคิดกันว่าความเย็นมันจะมีประโยชน์อะไร ? ถ้าธรรมชาติของการเกิดมา และการมีชีวิต คือ ต้องมีความทุกข์ การไม่มีทุกข์ถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนปรารถนา (แต่ถ้าทุกคนพบจุดที่ไม่มีทุกข์ เราจะดำรงไว้ซึ่งตวามเป็นอยู่ของสังคมโลกได้จริงหรือ? เราจะยังเป็นมนุษย์กันอยู่หรือเปล่านะ) 1. การไม่มีความร้อนเลย เราลำบากแน่ แต่การลดความร้อนบ้าง (มีห้องหรือที่พักอาศัยเย็นๆ) เราก็อยู่สบายขึ้น 2.  ความเย็นช่วยการถนอมอาหาร ให้เราเก็บไว้กินได้นานไม่เสีย เช่น กรรมวิธีการกำจัดความร้อนออกจากสิ่งของหรือพื้นที่ที่ต้องการ ทำให้เย็นหรือต้องการให้มีอุณหภูมิลดลง 3. นำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น การประคบด้วยความเย็น หรือน้ำแข็ง เมื่อได้รับบาดเจ็บ และในงานเวชศาสตร์ฟื้นฟู หรือการใช้ความเย็นจัดหยุดการทำงานของเซลล์ในร่างกาย หรือลดเมตาโบลิซึ่ม วึ่งเป็นการใช้และเผาผลาญให้เกิดพลังงานในเซลล์ ขณะทำการผ่าตัดหัวใจ ไปจนถึงการใช้ความเย็นจัดเพื่อจี้ทำลายเซลล์มะเร็ง หรือเนื่อเยื่อที่ไม่ต้องการ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:12:17

ความคิดเห็นที่ 4 เข้ามาลงชื่อ จากคุณ : ผมแอบชอบคุณ!! เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:13:30

ความคิดเห็นที่ 5 ยกตัวอย่างเพียงบางประการ เพราะกำลังจะนำเข้าสู่ข้อที่ 3. การนำมาใช้ทางการแพทย์ ซึ่งอาจแบ่งเป็น 1. Ice pack therapy 2. Cryosurgery 3. Cryogenic Chamber therapy จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:13:52

ความคิดเห็นที่ 6 เกริ่นนำทฤษฎีเกียวกับความเย็น ขอเริ่มต้นกันที่สุดขั้วอย่าง Superconduction theory และภาวะ Superconductivity จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:15:15

ความคิดเห็นที่ 7 คำอธิบาย สภาพนำไฟฟ้ายิ่งยวด (Superconductivity) ตัวนำไฟฟ้า คือ วัสดุที่มีประสิทธิภาพในการนำกระแสไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง หรือโลหะต่างๆ ที่ได้มีการนำมาใช้ทำสายไฟ    ซึ่งสายไฟทุกเส้นที่เราใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดนั้นจะมีความต้านทานไฟฟ้าอยู่    ดังนั้นเวลามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เส้นลวดหรือสายไฟเหล่านั้นจะมีความร้อนเกิดขึ้น   พลังงาน ความร้อนนี้เกิดจากการที่อิเล็กตรอนมีการชนกันเอง และชนกับอิออนในเส้นลวดทำให้อิเล็กตรอนนั้นมีการสูญเสียพลังงาน ศูนย์องศาสัมบูรณ์ หรือ ศูนย์องศาเคลวิน ซึ่งถือกันว่าเป็นอุณหภูมิที่ปราศจากความร้อนโดยสิ้นเชิง ลวดเส้นนั้นจะไร้ความต้านทานไฟฟ้าใดๆ นักฟิสิกส์เรียกปรากฏการณ์ที่สสารสูญเสียความต้านทานไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิงนี้ว่า สภาพนำไฟฟ้ายิ่งยวด หรือปรากฏการณ์ ซูเปอร์คอนดัคติวิตี้ (Superconductivity) จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:18:03

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อสารตัวนำไฟฟ้าอยู่ในสภาพแช่แข็งที่ศูนย์องศาสัมบูรณ์นี้  ตัวนำไฟฟ้าดังกล่าวจะสูญเสียความต้านทานทางไฟฟ้าทั้งหมด    สารตัวนำไฟฟ้าจำพวกโลหะทั่วไปนั้นจะปล่อยให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านโดยที่สูญเสียความร้อนต่ำและไม่ต้านทานการไหลของ กระแสไฟฟ้า    ส่วนตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดหรือ Superconductor นี้จะเป็นวัสดุที่มีประสิทธิภาพในการนำกระแสไฟฟ้าตรงได้ถึง 100%   ซึ่งตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดนี้จะแบ่งออกเป็น ตัวนำยิ่งยวดที่อุณหภูมิสูง และตัวนำยิ่งยวดที่อุณหภูมิต่ำ   ซึ่งตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดทั้ง 2ชนิดนี้   ก็ยังจะต้องทำให้เย็นตัวลงจนถึงอุณหภูมิเฉพาะตัวที่ต่ำมาก เพื่อที่จะแสดงสมบัติของตัวนำยิ่งยวด ตัวนำยิ่งยวดนี้จะมีคุณสมบัติที่สามารถผลักสนามแม่เหล็กได้ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านแม่เหล็ก เช่น หากเราลองเอาแม่เหล็กแท่งเล็กๆ ไปวางไว้บนสารตัวนำยิ่งยวด และเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น  แม่เหล็กแท่งนั้นจะถูกยกหรือผลักให้ลอยขึ้นกลางอากาศ  เพราะสารตัวนำยิ่งยวดบางชนิดจะมีคุณสมบัติทาง ไดอะแมกเนติก คือ ตัวมันจะผลักดันสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างรุนแรงด้วย   ซึ่งปรากฏการณ์นี้ได้ถูกเรียกตามชื่อของผู้ที่ค้นพบว่า ปรากฏการณ์ของอิทธิพลไมซเนอร์ (Meissner Effect)   จากการที่ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดแสดงอำนาจไดอาแม็กเน็ท นี่เอง  ทำให้ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดมีคุณสมบัติทางไฟฟ้า-แม่เหล็ก แตกต่างไปจากตัวนำธรรมดา กล่าวคือ หากเราลองนำวงแหวนตัวนำธรรมดา กับ วงแหวนตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด ที่มีขนาดเท่ากัน ไปวางในสนามแม่เหล็กเหมือนกัน  ในการทดลองนี้เราจะพบว่า เมื่อหยุดผ่านสนามแม่เหล็กเข้าไป วงแหวนตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดจะสามารถสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาเองได้   โดยที่วงแหวนธรรมดาจะไม่ปรากกฎสนามแม่เหล็กเลย จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:19:13

ความคิดเห็นที่ 9 จากหลักการที่ที่กล่าวมา ในปัจจุบันได้มีการนำตัวนำยิ่งยวดมาใช้ในงานหลายๆ ด้าน เช่น การนำมาใช้กับ แมกเนติก-เลฟวิเทรชันเทรน หรือรถไฟแมกเลฟในประเทศญี่ปุ่น(ซึ่งใช้ Maglev Technology) โดยเป็นการใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ไมซเนอร์ ซึ่งทำให้รถไฟลอยขึ้นจากราง เป็นการลดแรงเสียดทานและทำให้รถไฟสามารถวิ่งได้เร็วมาก   ส่วนในทางการแพทย์นั้นได้มีการนำตัวนำยิ่งยวดมาใช้ในเครื่องมือแพทย์ MRI (Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งใช้เพื่อการตรวจภายในร่างกายมนุษย์ในลักษณะที่คล้ายๆ การเอ็กซเรย์ โดยไม่ต้องใช้รังสีที่อาจมีอันตรายได้ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:21:06

ความคิดเห็นที่ 10 ขอโทษครับ ในรูปเป็นรถ maglev ที่เซี่งไฮ้ คันนี้ ของญี่ปุ่นครับ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:29:18

ความคิดเห็นที่ 11 รูประบบเครื่องจักร และการทำงาน (ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจ เหมือนกันครับ) จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:32:00

ความคิดเห็นที่ 12 ต่อกันด้วยเรื่องเย็นๆ ของผลึกน้ำแข็ง จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:33:13

ความคิดเห็นที่ 13 คำอธิบาย การก่อนิวเคลียสผลึก (Nucleation) ในขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของน้ำจากของเหลวให้เป็นของแข็ง หรือการตกผลึกเป็นน้ำแข็งนั้น จะประกอบด้วยขั้นตอน 2 ระยะด้วยกัน คือ ระยะการก่อนิวเคลียสผลึก (Nucleation) ซึ่งเป็นระยะที่โมเลกุลของน้ำหลายๆ โมเลกุลมาจับตัวกันเป็นอนุภาคเล็กๆ และจะเป็นจุดสำหรับการโตของผลึกต่อไป  และอีกระยะหนึ่งคือ ระยะการเพิ่มขนาดของผลึก (Crystal growth) ซึ่งจะเป็นช่วงที่ผลึกมีขนาดโตขึ้น ในการตกผลึกเป็นน้ำแข็งนั้น  เนื้อของน้ำจะไม่เป็นน้ำแข็งพร้อมกันทั้งหมด  ซึ่งอาจจะเริ่มเป็นผลึกจากจุดใดจุดหนึ่งก่อน   การก่อนิวเคลียสผลึก คือปรากฎการณ์ที่โมเลกุลของน้ำมารวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบจนเกิดเป็นอนุภาคเล็กๆ ขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดศูนย์กลางของผลึก  โดยเมื่อความร้อนถูกกำจัดออกจากระบบไปแล้ว จนกระทั่งผ่านสภาพที่เรียกว่าการทำให้เย็นยิ่งยวด (Super Cooling) ซึ่งทำให้น้ำยังคงสถานะเป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิใต้จุดเยือกแข็งโดยยังไม่เกิดผลึก  จากนั้นจะมีการชักนำให้เกิดผลึก โดยโมเลกุลของน้ำจะเคลื่อนตัวเข้ามาเกาะอยู่กับนิวเคลียสผลึกที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนหน้านั้นมากกว่าการรวมตัวกันเพื่อก่อเกิดนิวเคลียสใหม่หลายๆ จุด   เพราะโมเลกุลของน้ำในสภาวะที่เป็นของเหลวจะมีขนาดเล็กและเคลื่อนที่ได้ในอัตราที่สูง และจะหยุดเมื่อกระทบกับผิวหน้าของนิวเคลียสผลึก   จากนั้นอุณหภูมิจะขึ้นมาอยู่ที่จุดเยือกแข็ง ความร้อนจะถูกกำจัดออกไปในรูปของความร้อนแฝงของน้ำ (latent heat)  ทำให้น้ำเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง  กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งซึ่งสามารถเติบโตออกไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง ฟองก๊าซเล็กๆ จะสามารถเป็นตำแหน่งที่ทำให้เกิดจุดที่ผลึกน้ำแข็งเริ่มก่อตัวได้เช่นกัน  โดยเริ่มจากเกิดการเปลี่ยนสถานะที่จุดหนึ่ง  การเปลี่ยนสถานะที่ว่านี้เป็นได้ทั้งจากการเกิดขึ้นของก๊าซ และของผลึก หรือสิ่งปะปนที่อยู่กันในน้ำ อย่างเช่น ผงฝุ่น   ซึ่งสามารถทำให้อัตราการเกิดผลึกน้ำแข็งก่อตัวเร็วขึ้น และเมื่อเกิดเป็นผลึกน้ำแข็งที่บริเวณหนึ่งได้เร็วขึ้น ก็จะมีการคายพลังงานความร้อนออกมาจากบริเวณนั้น ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของน้ำโดยรอบที่กำลังดิ่งลงไปเรื่อยๆ ใต้จุดเยือกแข็งหยุดลงอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นอุณหภูมิของระดับความเย็นยิ่งยวดจึงไม่ลงไปต่ำกว่าจุดเยือกแข็งมากนัก    ซึ่งอัตราการโตของผลึกนี้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยของอุณหภูมิและอัตราการนำความร้อนออก  โดยอัตราการเกิดนิวเคลียสผลึกจะเร็วมากเมื่ออุณหภูมิลดลง  แต่ในอุณหภูมิลดต่ำลงเช่นนี้อัตราการโตของผลึกกลับจะลดน้อยลง และถ้าอัตราการนำความร้อนออกเป็นไปอย่างรวดเร็วก็จะทำให้ผลึกที่เกิดขึ้นมีขนาดเล็กและมีปริมาณมาก     ซึ่งตัวอย่างของการนำความรู้เรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ที่เราสามารถเห็นได้ทั่วไปก็คือ การทำเบียร์วุ้น ที่ขายกันในสถานบันเทิงต่างๆ นั่นเอง จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:35:12

ความคิดเห็นที่ 14 มาถึงเรื่องแปลกๆ ของความเย็น อยากบอกว่า เชื่อหรือไม่ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:37:08

ความคิดเห็นที่ 15 คำอธิบาย ปรากฏการณ์ของอิทธิพลเพ็มบ้า (Mpemba Effect) เรื่องของปรากฏการณ์ของอิทธิพลเพ็มบ้า(Mpemba effect)นี้  เป็นเรื่องเล่าที่มาจากเรื่องจริงของเด็กชาวอัฟริกันคนหนึ่งที่ชื่อ เออราสโต้ เพ็มบ้า (Erasto Mpemba) นักเรียนมัธยมในประเทศแทนซาเนีย โดยเป็นเรื่องของสิ่งที่เขาสังเกตพบเมื่อปี พ.ศ. 2506 ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังร่วมแข่งขันทำโครงงานของโรงเรียนในเรื่องการทำไอศครีม  ซึ่งสิ่งที่เขาต้องทำตามที่ได้เรียนรู้มาก็คือ ต้มนมและส่วนผสมจนเดือด แล้วก็ปล่อยไว้จนเย็น ก่อนที่จะนำนมนั้นใส่เข้าไปในตู้เย็น   แต่อาจจะด้วยเพราะกลัวว่าจะแพ้เพราะทำได้ช้ากว่าคนอื่นๆ เขาจึงเลือกที่จะเอาส่วนผสมที่ได้จากการต้มเข้าตู้เย็นทันทีในขณะที่ส่วนผสมนั้นยังร้อนอยู่   และแล้วเขาก็พบว่าส่วนผสมที่ยังร้อนอยู่นั้นกลับแข็งตัวก่อนส่วนผสมอื่นๆ ซึ่งปล่อยให้เย็นก่อนที่จะเขาใส่เข้าไปในตู้เย็น ตั้งแต่นั้น ก็มีคนอื่นๆ ได้อ้างว่าพบปรากฏการณ์เช่นเดียวกันนี้ โดยได้เรียกปรากฏการณ์เหล่านี้ว่า ปรากฏการณ์ของอิทธิพลเพ็มบ้า(Mpemba effect)  ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนจะขัดกับความรู้สึกเช่นนั้น  และคิดว่าถึงแม้ Mpemba effect จะเป็นจริง นั่นคือ บางบางทีน้ำร้อนสามารถเยือกแข็งได้เร็วกว่าน้ำเย็น   แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าคำอธิบายที่มีขึ้นจะให้ความกระจ่างชัด ซึ่งคำอธิบายดัวกล่าวเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย    หลังการค้นพบของเขาสองสามปี  ในขณะที่เออราสโต้ เพ็มบ้า ได้เรียนเรื่องกฎการเย็นตัวของ Newton และเขาได้ถามครูของเขาว่า กฎนี้จะสอดรับกับการสังเกตที่เขาพบได้อย่างไร   ครูของเขาตอบว่า “สิ่งที่ครูจะพูดได้ก็คือ นั่นเป็นฟิสิกส์ของ เพ็มบ้า ไม่ใช่ฟิสิกส์ที่เป็นสากล” จริงๆ แล้วมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างอ้างว่าน้ำร้อนเยือกแข็งเร็วกว่าน้ำเย็น หรือน้ำที่อุ่นเล็กน้อยจะเยือกแข็งตัวได้ง่ายกว่าน้ำที่ค่อนข้างเย็น   และน้ำจะมีความหนาแน่นที่สุด ณ อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส   ซึ่งการศึกษาเหล่านี้บอกให้เรารู้ว่า “น้ำที่ถูกทำให้ร้อนและคงความร้อนนั้นไว้มานานจะเยือกแข็งเร็วกว่าน้ำแบบอื่น”   จากความรู้นี้ บางคนอาจคุ้นเคยอยู่แล้วในภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ในต่างประเทศที่มีหิมะตก มีคนพูดไว้ว่าไม่ควรล้างรถด้วยน้ำร้อนในฤดูหนาวที่หิมะตก เพราะมันจะแข็งตัวเร็วกว่าน้ำเย็น หรือ ลานสเก็ตควรทำโดยการราดด้วยน้ำร้อนเพราะมันจะเยือกแข็งได้เร็วกว่า จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:39:37

ความคิดเห็นที่ 16 แนวคิดทางการแพทย์ แบบแตกมุมมอง ว่า แต่เดิมนั้นการแพทย์ก็คือ ชีววิทยา (Biology ) ซึ่งก็คือเรื่องของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ สัตว์หรือพืช   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตได้รับการศึกษาและอธิบายโดยใช้หลักทางเคมี  และรวมไปถึงการแก้ไขหรือบำบัดรักษาต่างๆ เราพยายามจะใช้สารเคมี คือ ยาหรือสารต่างๆ เข้าไปแก้ไข  เพื่อจะไปเปลี่ยนแปลงชีวภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช    แต่เราลืมไปว่าวิทยาศาสตร์มีอยู่ 3 แขนง คือ ชีวะ เคมี และฟิสิกส์     ความคิดของเราในขณะนี้คือ เรากำลังจะนำเอาฟิสิกส์เข้ามาใช้ทางการแพทย์มากยิ่งขึ้น แต่ละยุคสมัย มีการเสนอแนวคิดแบบจำลองของ จิต และ สิ่งต่างๆรอบตัวหรือที่ใช้คำเรียกกันว่า “สสาร” แต่ละแนวทางของความคิดซึ่งมีอยู่อย่างหลากหลาย ต่างยื่มุ่งที่จะมอง ณ จุดที่กำเนิด ด้วยมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับการสัมผัส, ความรู้สึก, ความเข้าใจ, การรู้โดยสามัญสำนึก และการมุ่งไปสู่การรู้แจ้ง แต่โลกทั้งโลกของคนเรา จะถูกสร้างและอธิบายไว้ภายในแผนผังความคิด และวิธีการมองโลกของแต่ละคน นั่นคือท่าทีของคนแต่ละคนเกี่ยวกับความจริงของโลก โดยถูกมองผ่านตามประสบการณ์ที่มีมา จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:42:05

ความคิดเห็นที่ 17 ในควอลตัมเมดดิซีน เราเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เหมือนกับโลกหรือจักรวาล ถ้าเราดูร่างกายเราโดย มองให้เล็กลงไปในระดับโมเลกุล  ร่างกายมนุษย์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับคำพูดที่มีคนเคยพูดว่า “เราไม่สามารถเหยียบแม่น้ำสายเดียวได้สองครั้ง”   ซึ่งคำพูดนี้หมายถึง  เมื่อเราเหยียบเท้าลงไปในแม่น้ำแล้ว พอเรายกเท้าขึ้นมาน้ำตรงนั้นก็ไหลผ่านไปแล้ว พอเราเหยียบซ้ำไปอีกครั้งหนึ่งมันจะไม่ใช่น้ำเดิม  เราไม่ได้เหยียบลงไปในน้ำเดิมที่เราเหยียบในครั้งแรก   ในร่างกายมนุษย์ถ้าพูดถึงโมเลกุลในร่างกายของเรา แต่ละเซลล์มีโมเลกุลประกอบอยู่หลายโมเลกุล  ส่วนประกอบของอาหารที่เรารับประทานเข้าไปหรือขับถ่ายออกมา ซึ่งส่วนประกอบเหล่านั้นมีการแลกเปลี่ยน มีการเสื่อมสลาย มีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายอยู่ตลอดเวลา    ร่างกายของเราในวันนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับร่างกายของเราเมื่อปีที่แล้ว โมเลกุล อิเลคตรอน อะตอมต่างๆ ทุกอย่างอาจจะเป็นคนละชุด ไม่มีความเหมือนกัน หรืออาจจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย   แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่างในร่างกาย  ทำให้เมื่อเวลาหนึ่งปีผ่านไป เราก็ยังคงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมอย่างเดิม มีนิสัยแบบเดิม ความคิดยังอาจเป็นแบบเดิมๆ เหมือนกับไม่มีสิ่งใดเลี่ยนแปลง แต่จริงๆ แล้ว ความคิดของเราในปีนี้ กับในปีที่แล้ว หรือในปีหน้า   ความคิดของเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อข้อมูลที่เข้ามาใหม่เปลี่ยนหรือแตกต่างออกไป    แต่ว่าร่างกายของเราถูกควบคุมด้วยดีเอ็นเอ (DNA) มนุษย์เราจึงคิดไปว่า ร่างกายของเรานี้จะต้องเป็นเหมือนเดิมอยู่เสมอ เปลี่ยนแปลงไปไหนไม่ได้ ไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือทำอะไรให้ดีขึ้นไปกว่าเดิมได้  เพราะว่าเรามีดีเอ็นเอ (DNA) หรือยีนส์ เป็นตัวควบคุม จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:44:01

ความคิดเห็นที่ 18 ความร้อนที่อุณหภูมิติดลบ 110 องศาเซลเซียสใกล้เคียงกับอุณหภูมิของไอระเหยเหนือ ผิวหน้าของไนโตรเจนเหลวที่ใช้ในการเก็บรักษาเซลต้นกำเนิด (Stem cell) ครับ จากคุณ : สุเชษฐ เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:45:54 A:125.25.35.64 X: TicketID:303142

ความคิดเห็นที่ 19 กล่าวคือมนุษย์เราเกิดมาโดยมีเซลล์ของพ่อกับเซลล์ของแม่มาผสมกัน หลังจากเมื่อสองเซลล์ได้ผสมกันในไข่แล้ว เซลล์นั้นจะถูกแบ่งตัว จาก 1เป็น 2  จาก 2 เป็น 4  จาก 4 เป็น 8  และจะแบ่งทวีไปเรื่อยๆ อย่างนี้ จนกระทั่งมาเป็นร่างกายของเรา   ซึ่งจริงๆ แล้วจะมีการแบ่งทวีกันไปในลักษณะนี้เพียงแค่ประมาณห้าสิบครั้งเท่านั้น แต่จะได้เซลล์เกิดขึ้นมากกว่าห้าร้อยล้านล้านเซลล์ (562,949,953,421,312 cells) ขึ้นมาเป็นร่างกายของมนุษย์   ก่อนหน้านี้เราคิดว่าเซลล์จะถูกแบ่งหรือจะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างไร ดีเอ็นเอ  จะเป็นผู้ที่ควบคุมทั้งหมด  และอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ  ได้  คือเมื่อเราเกิดมาแล้วยีนส์จะควบคุมชีวิตเราทั้งชีวิต  เหมือนกับการมีแบบพิมพ์เขียว (Blueprint) ในการก่อสร้าง ที่ในแต่ละวันเราได้เปลี่ยนเอาอิฐที่ก่อเป็นผนังก้อนเดิมออกมาบ้าง แล้วใช้ก้อนใหม่ใส่กลับเข้าไปโดยการก่อสร้างตามแบบพิมพ์เขียวเดิม แม้เราจะเปลี่ยนอิฐบางก้อนไปทุกวันเป็นประจำ แต่อีกหนึ่งปีผ่านไป สิ่งก่อสร้างนั้นจะยังคงดูเหมือนเดิมทุกประการ ทั้งที่วัสดุทั้งหมดนั้นเป็นคนละชุดกันแล้ว จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:53:12

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณครับ คุณสุเชษฐ แต่จากการศึกษาในเรื่องสเต็มเซลล์ (Stem cell) ทำให้เราได้รู้ว่า สเต็มเซลล์หรือเซลล์เริ่มต้นก่อตัวมาเป็นร่างกายมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เติบโตในรูปแบบที่แตกต่างกันได้  ในการทดลอง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้นำเอาสเต็มเซลล์ เซลล์หนึ่งเข้าไปเลี้ยงในสารอาหารที่ต้องการเลี้ยงออกมาเพื่อให้เซลล์นี้เติบโตขึ้นมาเป็นเซลล์ประสาท เป็นกล้ามเนื้อ หรือเป็นกระดูก สเต็มเซลล์ เซลล์นั้น ซึ่งมีดีเอ็นเอ อยู่ข้างในก็พัฒนาตัวเซลล์กลายเป็นเซลล์ตามชนิดที่ต้องการแล้วก็เติบโตแบ่งตัวกลายเป็นเซลล์ประสาท  กล้ามเนื้อ หรือเป็นกระดูกต่อๆ ไป จากการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า ดีเอ็นเอ  สามารถถูกควบคุมได้  หรืออาจจะกล่าวไว้ว่า  มีสิ่งที่สามารถส่งผลต่อการทำงานของ ดีเอ็นเอ ได้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ สิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถควบคุมหรือปรับสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม เราเองก็จะสามารถปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขตัวเราได้ นั่นคือ สามารถทำให้ดีเอ็นเอ ทำงานไปในทิศทางที่เราต้องการได้ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:55:37

ความคิดเห็นที่ 21 เช่น epigenetic คือความผิดปกติรูปแบบหนึ่งของยีน (ความผิดปกติของยีนเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง) เป็นความผิดปกติแบบที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับเบส แต่มีการ ดัดแปลงเบสไซโตซีนที่อยู่ด้านปลาย 5' ของกวานีน (CpG) โดยมีการเติมหมู่เมธิล (-CH3) ที่ตำแหน่ง 5' ของเบสไซโตซีนบริเวณโปรโมเตอร์ ทำให้การแสดงออกของgeneลดลง หรือ บางคนแปลตามคำศัพท์ ว่าหมายถึง สิ่งที่อยู่เหนือกว่าเรื่องของยีนส์ หรือ  genetic ซึ่งมักจะพูดกันถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 20:59:35

ความคิดเห็นที่ 22 เข้ามาเจิมกระทู้ครับ .. การที่น้ำต้มสุกแข็งตัวเร็วกว่าน้ำที่อุณหภูมิอื่น ๆ ที่อาจจะเย็นกว่า (Mpemba effect) เป็นไปได้ไม๊ครับว่ามันบริสุทธิ์กว่า กล่าวคือ ไม่มีโมเลกุลของสารอื่น อย่าง ออกซิเจน หรือ คาร์บอนไดออกไซด์ ละลายแทรกอยู่ในน้ำ ทำให้การถ่ายเทความร้อนในน้ำเป็นไปได้มีประสิทธิภาพกว่าโมเลกุลของน้ำจับตัวกันได้ดีกว่า เพราะก๊าซที่ละลายอยู่เหล่านี้ถึงแม้จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่โดยธรรมชาติมันทำตัวเป็นโตครฉนวน อีกทั้งน้ำแข็งที่ได้โดยวิธีนี้ยังใสกว่าด้วย จากคุณ : เตยทะเล เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:01:41

ความคิดเห็นที่ 23 ปัญหาอาจจะอยู่ที่ว่า เรามีเครื่องมือที่จะตรวจสอบ หรือศึกษา DNA ได้อย่างละเอียดเพียงหรือไม่ เพราะทุกครั้งที่มีการพบอะไรใหม่ๆในเรื่องของ ยีน หรือ ดีเอ็นเอ  ก็มักจะย้ำกันอยู่เสมอว่า มนุษย์เรายังมีความเข้าใจ หรือเรื่องนี้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ถ้า DNA ควบคุมทุกอย่าง ที่เป็นมนุษย์ นั่นน่าจะหมายถึงทั้ง ร่างกายและจิตใจ ร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น อวัยวะทำงานไม่ปกติ เป็นโรค แก่ตัวลง มีรูปร่างภายนอกเปลี่ยน ผมหงอก อ้วนขึ้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่ DNA ด้วย แต่ด้วยความรู้และเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน เราไม่สามารถตรวจรู้ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ถ้าพฤติกรรมเปลี่ยน เพราะ คบเพื่อนใหม่ แต่งงานต้องไปใช้ชีวิตอยู่กับคนแปลกหน้าอีกคน ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปมากมายเหลือเกิน แต่เราอาจไม่รู้ว่ามีผลกับ DNA และการทำงานของมัน เพราะเราตรวจไม่ได้ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:03:07

ความคิดเห็นที่ 24 ไปไปมามา จะกลายเป็นว่า เมื่อ You are what you think อาจหมายไปถึงแค่ความคิด ก็เปลี่ยน DNA ของตัวเราเองได้ ถ้าเรารู้และเข้าใจเรื่องนี้มากเพียงพอ ความคิดของคน คือสิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อชีวิตของคนๆ หนึ่ง มากกว่าสิ่งแวดล้อมเสียอีก ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร หรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ถ้าเราคิดว่ามันสุข เราก็อาจมีสุขได้ แต่ถ้าคิดว่าทุกข์มันก็ทุกข์ คนข้างๆ ตัวคุณ เขาจะทำอะไร แล้วทำให้คุณสุขหรือทุกข์ มันขึ้นกับความคิดของคุณ ไม่ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำอะไร จะให้มีสุข หรือเป็นทุกข์ เป็นหน้าที่ของเรา อย่าถามว่าแฟนเราทำให้เรามีความสุขหรือไม่ เขาทำอะไรมันเรื่องของเขา สุขหรือทุกข์ สิเรื่องของเรา เราต้องทำเอง นึกถึงเด็กคนหนึ่งทำอะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่า ซน ยุ่ง น่ารำคาญ แต่พอเด็กคนนั้นเป็นลูกเรา ทำอย่างเดียวกัน เราอาจรู้สึกขำหรือมองว่าน่ารักดี ดูแล้วสบายใจก็ได้ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:05:51

ความคิดเห็นที่ 25 ว่าที่กระทู้แนะนำ ขอปาด 1 ที เดี๋ยวมาอ่านครับ :) จากคุณ : MondayCool เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:06:10

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านเรื่อยๆ จากคุณ : บ่าวจ่อย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:10:50

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณเตยทะเล มีสมมติฐานที่พยายามอธิบายเรื่องนี้อยู่มากมาย เช่น การสั่นสะเทือนของโมเลกุล หรือพลังงานภายในโมเลกุลของน้ำเดือด และการถ่ายเทของพลังงาน เถียงกันยาวไปถึงน้ำเดือดธรรมดากับน้ำที่ต้มเดือดโดยไมโครเวฟ ที่บางคนว่ากันเหลือแต่น้ำม่มีแร่ธาตุจะใชัรดต้นไม้ไม่เติบโต สรุปว่าถึงปัจจุบัน นักวิทย่ศาสตร์ก็ยังไม่สามารถสรุป หรืออธิบายเรื่องนี้ให้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปได้ และในการทดลองที่ทำเอง พบว่า ก็ไม่สามารถทำให้ได้ผลเช่นเดิมซ้ำได้ทุกครั้ง แต่มีผู้อ้างว่า น้ำที่อุณหภูมิอุ่นกว่า เช่น 37 องศาเซลเซียสเท่าร่างกายมนุษย์ สามารถเยือกแข็งได้เร็วกว่าน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่า เช่น 5 องศาเซลเซียส http://en.wikipedia.org/wiki/Mpemba_effect จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:19:04

ความคิดเห็นที่ 28 แนะนำให้เอาภาพในคห.1 ออกจะปลอดภัยกว่า จากคุณ : Tama2kun เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:19:12

ความคิดเห็นที่ 29 คุณสามารถคิดที่จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ เรื่องใดๆก็ตามแล้วแต่คุณจะเลือก แต่ในความเป็นจริงนั้น ความเชื่อที่ฝังอยู่ในหัวคุณต่างหากที่จะเป็นตัวควบคุมความคิดของคุณทั้งหมด ดังนั้น เราจะเริ่มต้นด้วยการคิด คิด แล้วก็คิด เพื่อกลั่นกรอง ความรู้ ประสบการณ์ ที่คุณมีอยู่ มาสร้างความเชื่อใหม่ ที่จะทำให้คุณเป็นคนใหม่ที่คุณอยากเป็น ความเชื่อบางครั้งสามารถทำให้คนย้ายขุนเขา แต่บางครั้งทำให้คนไม่สามารถก้าวข้ามกองดินเล็กๆ ความคิดตริตรองมากไปอาจเปลี่ยนกองดินเล็กๆเป็นขุนเขา แต่เมื่อมีความมั่นใจอาจมองเห็นขุนเขาเป็นแค่กองดิน หลักของการแปรเปลี่ยนเพื่อเปลี่ยนแปลง กล่าวไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นสิ่งรับประกันว่าเราจะดีขึ้น แต่เราคงไม่ดีขึ้นกว่าเดิมได้แน่ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดเราได้ ถ้าเจ้าตัวไม่อยากเปลี่ยน มนุษย์เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง แต่ที่เลือกมาก็มักจะผิดบ่อยๆ อย่าแปลกใจถ้าชีวิตไม่ประสบความสำเร็จ เพราะช่วงชีวิตที่ผ่านมา อาจเชื่อผิดๆมาตลอด วิธีการมองโลกของคุณจะก่อให้เกิดทิฐิ  เมื่อมันมีมากพอ ฝังรากลงลึกพอ จะก่อเกิดเป็นความมั่นใจ จนกลายเป็นศรัทธา เพียงพอที่คุณจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมพ่ายแพ้ และทิฐิก็เป็นกลางเช่นกัน มีทั้งในทางที่ถูก ที่ดี และในทางที่ร้าย ทางที่ผิด คนเปลี่ยนความเชื่อได้ภายในวินาทีเดียว ถ้าได้ฟัง และยอมรับคนที่มีเหตุผลที่ดีกว่า นั่นคือการเกิดศรัทธา เราจะไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้ ไม่ต้องใช้เวลาอีกสัก 2-3 นาที ถ้าคุณคุณเกิดศรัทธา คุณก็พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเองและทุกสิ่งทุกอย่างในทันทีเลยเช่นกัน จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:21:09

ความคิดเห็นที่ 30 เขียนไป โพสต์รูปไป ทำให้นึกเพลงท่อนหนึ่ง ที่ว่า Now this mountain I must climb Feels like a world upon my shoulders I through the clouds I see love shine It keeps me warm as life grows colder เป็นเพลงของคณะ Foreigner ครับ ชื่อเพลง I wnat to know what love is ครับ ไม่นานมานี้ มีนักร้องสาวคนนึงนำมาร้องใหม่ แต่สำเนียงเธอออกเหมือนร้องเพลงบลูส์ ฟังแล้วเพราะไปอีกแบบ ชอบครับ ขอบคุณ คุณTama2kun แต่จะก็เพราะชอบรูปนี้เหมือนกันน่ะครับ จะถือสากันกับเรื่องแค่นี้เชียวหรือ ศิลปะกับวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกันหรอกครับ มันต้องผสมกันอยู่ร่วมกันเสมอ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:29:25

ความคิดเห็นที่ 31 สมองของคนเราเนี่ยหลอกง่าย เพราะสมองชอบที่จะถูกหลอก ถ้าเราคิดถึงความรู้สึกดีๆ ประสบการณ์ดีๆ วันที่เราดีใจสุดๆ เก็บมาคิดเมื่อไร สมองก็รู้สึกว่ามันเพิ่งเกิด จะนึกถึงกี่ครั้งก็ได้ สมองก็จะนึกว่ามันเกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างนั้นจริง เราดีใจ มีความสุขได้ทุกวัน เราจะแกล้งคิด เติมความเข้มข้น สีสรร เข้าไปด้วยจินตนาการอีกก็ได้ สมองก็จะเป็นปลื่มยิ่งขึ้นไปอีก แต่คนเรามักชอบหลอกสมองด้วยความทุกข์ นึกถึงทุกข์ซ้ำๆ แต่งแต้มทุกข์ด้วยความกังวล สมองก็พลอยคิดว่ามันเกิดขึ้นอย่างนั้นจริง ลองนึกถึงคนที่ปลาบปลื้มใจ หรือคนที่มีกำลังใจเต็มเปี่ยม เอามาเปรียบเทียบกับคนที่หดหู่ ท้อแท้ ดูสิว่า 2 คนกินอาหารเข้าไปเท่ากัน ใครสร้างพลังงานมาใช้ได้มากกว่ากัน จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:31:16

ความคิดเห็นที่ 32 นึกถึงหนังเรื่องนึงนะ  " จิตพิฆาตโลก -- จิตจะเป็นแหล่งก่ออาชญากรรม" Inception ภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟต้นแบบที่จะพาเดินทางรอบโลกและดำดิ่งสู่โลกแห่งความฝันที่คุ้นเคยและไร้ขีดจำกัด          ดอม คอบบ์ (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) หัวขโมยมืออาชีพ สุดยอดฝีมืออันตรายด้านการดึงข้อมูล : ฉกชิงความลับล้ำค่าจากจิตใต้สำนึกเบื้องลึกระหว่างสภาวะความฝัน ซึ่งเป็นเวลาที่จิตใจจะเปราะบางที่สุด  ความสามารถที่หายากของคอบบ์ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่ละโมบในโลกสมัยใหม่ที่ไม่น่าไว้วางใจของการจารกรรมข้อมูล แต่มันยังได้ทำให้เขาเป็นผู้หลบหนีที่ต้องสูญเสียทุกอย่างที่เขารักไป ตอนนี้คอบบ์ได้รับการหยิบยื่นโอกาสที่จะแก้แค้น อีกหนึ่งงานสุดท้ายที่จะคืนชีวิตให้กับเขา เพียงแต่เขาจะต้องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ          การปลูกฝัง แทนที่จะขโมย คอบบ์กับทีมผู้เชี่ยวชาญของเขาจะต้องทำสิ่งตรงกันข้าม งานของพวกเขาไม่ใช่การเข้าไปขโมยความคิด แต่จะต้องปลูกเข้าไป ถ้าทำสำเร็จ มันจะกลายเป็นอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบแต่ไม่มีการวางแผนอย่างรอบคอบชนิดใดที่จะทำให้ทีมพร้อมเผชิญหน้ากับศัตรูอันตราย ที่ดูเหมือนจะรู้ล่วงหน้าถึงทุกความเคลื่อนไหว ศัตรูซึ่งมีเพียงคอบบ์ผู้เดียวที่จะมองเห็นได้ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 21:37:29

ความคิดเห็นที่ 33 เรื่องนี้เหมือนน่าจะเป็นไปได้ การคิดแบบฝันซ้อนฝัน ก็สนุกดี แต่เรื่อง การเอาฝันหลายๆ คนมารวมกัน เลยต้องอาศัยเครื่องมือ และยาประหลาดที่ยากที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันไปอธิบาย และน่าสนใจตอนที่การพิสูจน์ความจริง แยกจากความฝัน ด้วย โทเทม เหมือนที่คนพูดไว้ว่า ในทุกยุคทุกสมัย มนุษย์ต่างพยายามค้นหาและอธิบายว่า * ความจริง คือ อะไร * เราจะพิสูจน์ความจริงได้อย่างไร เมื่อวิทยาศาสตร์มีคำตอบให้กับการพิสูจย์ความจริง จึงเป็นสิ่งที่เรายึดถือเป็นความถูกต้อง แต่อาจเป็นการปิดกั้นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง ก็เป็นได้ แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 54 22:03:09 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 22:02:34

ความคิดเห็นที่ 34 รูปไม่ขึ้นน่ะครับ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 22:04:22

ความคิดเห็นที่ 35 กลไกลการเกิดความปวด ความรู้จากกระบวนการทางชีวเคมีและสรีรวิทยา บอกว่ามีกลไกอยู่ 5 กระบวนการด้วยกัน คือ: 1. เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่เนื้อเยื่อมีการสร้างและปลดปล่อยสารเคมีออกมาหลายชนิดอย่างสลับซับซ้อน กลายเป็นกระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามใยประสาทเข้าสู่ไขสันหลังเพื่อส่งต่อไปยังสมองแล้วแปลผลเป็นความปวดขึ้น เรียกกระบวนการ Transduction สารเคมีที่ออกมาจะช่วยกันทั้งเป็นสารที่ทำให้เกิดความปวด และสารที่ทำให้เส้นประสาทถูกกระตุ้นให้ปวดได้ง่ายเข้า 2. มีการส่งกระแสไฟฟ้าในรูปของกระแสประสาทจากปลายประสาทไปยังไขสันหลัง แล้วไปบรรจบกันในบริเวณสำคัญ substantia gelatinosa ที่ประตู Gate เรียกกระบวนการ Transmission 3. เส้นทางการเดินทางของกระแสประสาทที่จะนำความรู้สึกปวดไปตามใยประสาทจากปลายประสาทไปยังไขสันหลัง จะเข้าไปติดต่อประสานกับเซลประสาทตัวที่สอง แล้วในที่สุดก็จะไปเชื่อมติดต่อประสานกับประตู ซึ่งทำหน้าที่เปิด-ปิด รับความรู้สึกปวดก่อนจะวิ่งขึ้นไปตามสมองตามระดับต่างๆ การเปิดประตูจะส่งผ่านกระแสประสาทเป็นการเปิดรับความรู้สึกปวด ในทางตรงกันข้ามการปิดประตูทำให้ไม่ได้รับความรู้สึกปวด จะเกิดการการต่อสู้กัน เรียกกระบวนการ Modulation and pathways ที่จะมีการควบคุมการปิดเปิดทั้งที่ประตู และจากสมองส่วนบน ก่อนที่จะมีการแปลเป็นความเจ็บและความปวด 4. ความรู้สึก เจ็บ และ ปวด นั้น เกิดขึ้นในสมองส่วนธาลามัส แต่ตัวแปลความรู้สึก ให้เกิดกระบวนการ Pain perception  รับรู้ความปวดที่สำคัญนี้อยู่ที่ส่วนผิวของสมอง 5. กระแสประสาทที่ถูกส่งไปบอกสมองว่ามีความปวดเกิดขึ้นแล้ว และร่างกายก็จะแสดงอาการนี้ออกมาได้หลายรูปแบบ เรียกกระบวนการ Pain behaviors เช่น หน้านิ่ว คิ้วขมวด ร้องครวญ และยังเป็นตัวช่วยเตืออนร่างกายว่ามีอันตรายเกิดขึ้น ให้หลีกเลี่ยงเสีย กลไกลการเกิดความรู้สึกเจ็บและปวดโดยกระบวนการทั้ง 5 นี้รวมกันเรียกว่า nociception ซึ่งหมายถึง อันตรายที่กระตุ้นให้เกิดความปวด เช่น เข็มแทง มีดบาด น้ำร้อนลวก ถูกเปลี่ยนให้เป็นกระแสไฟฟ้าแล้ววิ่งไปตามเส้นประสาทเข้าสู่ไขสันหลัง และถูกส่งต่อไปยังระบบประสาทส่วนกลางเพื่อรับรู้และแปลผล สรุปได้ว่าความปวดจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือความรู้สึก และอารมณ์ เกิดขึ้นร่วมกัน จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 22:05:58

ความคิดเห็นที่ 36 ตัวอย่างของการหลอกสมองอย่างหนึ่ง คือ เรื่อง Gate theory of pain control ที่ผิวหนัง หรือส่วนปลายประสาท มีตัวรับความรู้สึก ที่เรียกว่า Nociceptor เอาไว้เตือนเราให้รุ็สึกถึงอันตราย และป้องกันตัวเองได้ เช่น เมื่อเราไปแตะของที่ร้อน เราชักมือหนี ถูกหนามหรือเข็มจิ้มก็รูสึกว่าเจ็บแล้วก็ถอยหรือหนีห่างก่อนที่จะเจ็บหรือเป็นอันตรายไปมากว่านั้น ความรู้สึกนี้ นำโดยเส้นประสาทที่เป็น group C nerve fiberซึ่งเป็นเส้นประสาทที่ไม่มีปลอกมัยอีลินหุ้ม จึงนำความรู้สึกได้ช้า คือกระแสประสาทจะวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 2 เมตร ต่อ วินาที ถ้าความรู้สึกหนาวเย็น หรือความเย็น จะถูกนำโดย delta nerve fiber ที่มีมัยอีลินชีทหุ้ม กระแสประสาทจะนำได้เร็วมาก 6 -30 เมตร ต่อ วินาที แต่ทั้ง C group และ delta nerve fiber จะวิ่งเข้าไป ที่เซลล์ประสาทตัวแรก (First orger neuron)และส่งต่อกระแสประสาทกันที่ dorsal root ganglion ก่อนเข้าไปในไขสันหลัง และในไขสันหลังนี่เอง ที่บริเวณ substantia gelatinosa of Rolando ทั้ง C group และ delta nerve fiberมาบรรจบที่เดียวกัน การหลอกสมองเรื่องความรู้สึก จึงเริ่มต้นได้ที่จุดนี้ เพราะ ถ้าเราใส่ความเย็นเข้าไปตรงที่บริเวณที่รู้สึกเจ็บ กระแสที่ประสาทที่วิ่งมาถึงจุดนี้ ความเย็นจะเหนือกว่าความเจ็บ กระแสประสาทที่วิ่งต่อจากจุดนี้ไปยังสมอง ความเย็นจึงมีโอกาสไปถึงไปบอกสมองมากกว่า ดังนั้น เวลาเจ็บ หรือปวด เขาจึงแก้ด้วยการประคบเย็น ผลคือ สมองรุ็สึกว่าเย็น หรือ ชา ทำให้อาการปวดน้อยลง จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 22:08:22

ความคิดเห็นที่ 37 มาถึงเรื่องอุณหถูมิบำบัด การใช้ความเย็นแบบสุดขั้ว -110 องศา จะเป็นการข่มวงจรการเจ็บปวด ตัดวงจรมาปรับเปลี่ยนตั้งกันใหม่ หมายถึงว่า ถ้าอาการปวดๆ เมื่อยๆ เบื่อๆ หน่ายๆ เป็นความขี้เกียจ เป็นวงจรความรู้สึกหลอกๆ หรือเป็น muscle memmory ที่อยู่แค่ส่วนปลาย ที่ทำให้ตื่นขึ้นมาก็ปวดเมื่อย ขี้เกียจทำงาน เป็นความรู้สึกอัตโนมัติ ที่เกิดโดย  muscle memmory เช่น คนว่ายน้ำเป็นโดดลงน้ำไปห็ว่ายได้ไม่ต้องคิด คนขี่จักรยานเป็นคว้ารถจักรยานมาก็ขึ้นถีบ ปล่อยมือบ้างยังได้ โดยไม่ต้องคิดเลยว่าร่างกายจะต้องทำอะไรบ้าง และเรื่องนี้ อาศัยการฝึกหัด หรือทำซ้ำๆมาก่อน เหมือนหัดเล่นกอล์ฟ ต้องฝึกบ่อยๆ จนมีวงสวิงเป็นของตัวเอง ไม่ต้องคิดเลยตีได้ทันที่ แต่ถ้าฝึกมาไม่ดี วงผิด ก็แก้ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องให้คนมีความรู้ความเข้าใจมาดูให้ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 22:10:31

ความคิดเห็นที่ 38 โรคขี้เกียจ หรืออาการปวดเมื่อยรวมถึงอาการอื่นๆ ที่ทำให้รู้สึกไม่มีจิตใจที่จะทำงาน  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ผมจัดให้เป็นความจำที่เลวร้าย ความจำที่ติดค้าง เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วและก็ผ่านไป เช่น มีใครสักคนทำให้เราเสียใจ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ซึ่งทำให้เรารู้สึกโมโห ทำให้เรารู้สึกเจ็บใจ ทำให้เราเสียใจ ทำให้เราร้องไห้ เหตุการณ์เหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้ว และมันก็จบไป แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้มันคงอยู่ได้ก็คือ ความคิดของเราที่เก็บเอาเหตุการณ์หรือความรู้สึกนั้นมาคิดซ้ำๆ  จนความคิดเหล่านี้ตกค้างอยู่ในความจำ มันสะสมๆ เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ และต่อมาความจำที่ติดค้างเหล่านี้ก็เลยกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา   ซึ่งอาจมีผลให้กลายเป็นคนที่ไม่อยากเข้าสังคม ไม่อยากจะคบกับใคร หรือเป็นคนที่ไม่ไว้ใจคน เป็นคนที่เห็นแก่ตัว หรือเปลี่ยนไป  กลายเป็นคนขี้เกียจไปได้ อาการปวดเมื่อย อาการเจ็บปวด ความรู้สึกว่าเมื่อย รู้สึกเส้นตึง สิ่งต่างๆ เหล่านี้   อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง แต่อาจเป็นเพียงความรู้สึกหรือความทรงจำซึ่งติดค้างอยู่ในสมองของเรานั่นเอง เวลาแก้เราก็จะลองอาศัย วิธีการหลอกสมอง นำมาใช้ นั่นคือ ทำไมจึงต้องใช้ความเย็น (temperature) เพราะเราคิดว่าความขี้เกียจ พื้นฐานของมันคืออาการเจ็บปวด (pain) หลอกๆ หรือจริงๆ ก็ไม่รู้ แต่เมื่อเราเข้าใจการทำงานของระบบประสาท และการรับความรู้สึกของสมอง เราสามารถนำความรู้มาลองประยุกต์ใช้ได้ (คลิปฟังยากหน่อยนะครับ แต่น่าเอาไปคิดต่อเล่นๆ ดูเหมือนกันนะ) ย้อนกลับมาแก้ไขนะครับ ถ้าฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมพยายามแกะเสียง และสรุปมาให้ครับ วิธีรักษาโรคนิสัยไม่ดี นิสัยไม่ดี คือ สิ่งที่เราทำอยู่เป็นประจำ แต่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบหรือไม่ต้องการ  เช่น โรคขี้เกียจ คุณอาจรู้สึกไม่มีจิตใจที่อยากจะทำงาน เกิดอาการปวดเมื่อย มีความรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง    แต่คุณอาจจะคิดว่า ..มันจะรักษาได้หรือ?   แล้วโรคแบบนี้เขารักษากันอย่างไร?    คนส่วนใหญ่มักกังวลหรือมีคำถามกันแบบนี้ เป็นเพราะว่าเราคิดว่าโรค คือสิ่งที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องสามารถสัมผัสรับรู้ได้ หรือตรวจแล้วเจอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดกันอยู่ โดยผมขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบสักเรื่องหนึ่งเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เช่น สมมุติว่าถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่องแม่เหล็กมาก่อน  แล้วผมเอาแม่เหล็กมาสองอันยกให้คุณดู แล้วถามว่า คุณเชื่อไหมว่า... เหล็กสองอันนี้มีแรงดึงดูดและมีพลังงานแม่เหล็กวิ่งออกมารอบๆ ตัวมัน  แล้วด้วยพลังงานแม่เหล็กนี้ เหล็กสองอันนี้จะดูดวิ่งเข้ากัน หรือทำให้เหล็กสองอันเดิมนี้ผลักออกจากกันก็ได้ โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่นใดมาช่วย  ซึ่งถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่องแม่เหล็กมาก่อน คุณก็คงไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้ เพราะว่าสนามแม่เหล็กคือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น    เช่นเดียวกันกับเรื่องของ ความคิด จิตใจ หรือวิญญาณมนุษย์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น   เราจึงคิดกันไปว่า เราไปแตะต้องไม่ได้จับต้องไม่ได้ และโรคแบบนี้ก็คงจะรักษาหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้    ขอให้คุณลองนึกถึงอาการสะอึกครับ    อาการสะอึกเกิดขึ้นเพราะการหายใจเกิดผิดจังหวะ คนเราโดยปกติจะหายใจอยู่ตลอดเวลา คือ เราตื่นขึ้นมาเราก็หายใจ และเราจะตั้งใจหายใจให้สั้น ให้ยาว ให้แรง ให้เบา เราก็สามารถทำได้   แม้เราจะไม่ได้คิดว่าเราจะหายใจแต่เราก็ยังหายใจอยู่ แม้กระทั่งตอนเรานอนหลับเราไม่รู้สึกตัว เราก็ยังหายใจอยู่ เพราะว่าการหายใจนั้น ควบคุมด้วยศูนย์ควบคุมการหายใจ (Medulla oblongata) ซึ่งอยู่ที่บริเวณก้านสมอง   โดยสมองส่วนนี้จะควบคุมปรับระบบการหายใจให้เป็นจังหวะ  ซึ่งมาตรฐานนั้น 1 นาทีคนเราจะหายใจประมาณ 12 ถึง 20 ครั้ง    แต่บางครั้งการหายใจเกิดการผิดจังหวะขึ้นมา นั่นคืออาการสะอึก  เช่น เรากำลังพูดๆ ไปการหายใจควรจะเป็นจังหวะแต่การหายใจเกิดกระตุกก็เลยผิดจังหวะ สะอึกขึ้นมาก่อน    และเมื่อเราสะอึกแล้วอยากจะหาย ก็มีวิธีที่จะทำให้อาการสะอึกหายอยู่ด้วยกันหลายวิธี  ซึ่งบางคนก็เลือกใช้วิธีกระตุ้นที่ระบบการหายใจที่บริเวณคอหอยหรือลิ้นปี่โดยตรง เช่น ล้วงคอให้อาเจียน หรือดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ อย่างต่อเนื่องหลายๆ อึก หรือใช้วิธีกลั้นหายใจให้นานที่สุดเท่าที่ทนได้  ซึ่งบางทีอาการสะอึกนั้นก็หาย   หรือบางคนก็ใช้วิธีแก้อาการสะอึกด้วยการที่ทำให้ตกใจ หรือทำให้เจ็บ   อาการตกใจทำให้ความคิดหยุดชงัก แม้การสะอึกไม่ได้ทำให้ความคิดเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยความตกใจนั้น ร่างกายและระบบรับความรู้สึกจากผิวหนังจะวิ่งเข้าไปสู่สมองและทำให้ระบบการหายใจเกิดมีการตั้งระบบใหม่ การหายใจก็จะกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเราลืมอาการสะอึกไป    หรือบางครั้งใช้วิธีเอาถุงมาครอบที่จมูกและปาก เพื่อให้เกิดอากาศออกซิเจนไม่เพียงพอ และเมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดคลั่งมากขึ้น  เลือดจะไหลเวียนเข้าไปสู่สมองซึ่งอยู่ส่วนบน  หลังจากนั้นสมองส่วนบนก็จะส่งสัญญาณมายังศูนย์ควบคุมการหายใจเพื่อให้ปรับระบบการหายใจใหม่ เราก็จะกลับมาหายใจปกติและหายสะอึกได้    หรือบางทีเราอาจไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย เราเพียงใช้คำพูดโดย เราแกล้งพูดในสิ่งที่คนที่สะอึกนั้นได้ยินแล้วตกใจ  เสียใจ หรือคาดการณ์ไม่ถึง เกิดการกระทบอารมณ์อย่างรุนแรง เช่น เราแกล้งบอกข่าวร้าย แกล้งพูดโน้มน้าวให้เชื่อว่าเรากำลังจะบอกเรื่องไม่ดีที่อาจกระทบจิตใจเขามาก เขาจะอึ้ง แล้วมัวมาคิดอยู่กับคำพูดของเรา และหายจากอาการสะอึกก็เป็นไปได้     จากตัวอย่างเรื่องการแก้อาการสะอึกที่เล่ามาทั้งหมดนี้   แสดงให้เห็นว่า สมองส่วนดั้งเดิมที่เป็น สมองโบราณหรือสมองส่วนที่อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของจิตใจนั้น เราสามารถเข้าไปแก้ไขหรือควบคุมได้  ด้วยวิธีการต่างกันหลายๆ อย่าง  แม้กระทั่งจากความเจ็บป่วย หรือความรู้สึกจากผิวหนัง  รวมถึงการทำให้ตกใจ  หรือการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกาย เช่น ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดคลั่งมากขึ้น   หรือแม้แต่คำพูดที่ไปกระทบจิตใจ ทำให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงและตั้งระบบขึ้นมาใหม่  ทำให้ส่วนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของจิตใจตามปกติเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ จากหลักการนี้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติอีกประการหนึ่งของประสาทสัมผัสของมนุษย์ ที่ประกอบไปด้วย หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง  และจิตใจ   ซึ่งมนุษย์เราจะรับความรู้สึกผ่าน 6 สิ่งนี้   เราสามารถที่จะกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 6 ทางนี้ ทางใดทางหนึ่งเพื่อที่จะเข้าไปแก้ไข ปรับแต่งพฤติกรรม หรือนิสัยของคนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้  ด้วยแนวคิดที่ดีและวิธีการที่ถูกต้องจะช่วยแก้ไขเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งให้กลับกลายมาเป็นคนใหม่ที่มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้   แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 19:17:23 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 54 22:17:25 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 54 22:14:40 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 22:13:21

ความคิดเห็นที่ 39 เราไม่ใช้คำว่า องศาเคลวิน นะครับ เราจะใช้คำว่า เคลวิน เท่านั้น จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 22:22:04

ความคิดเห็นที่ 40 สมาธิผม หายไปเลย หลังจากที่เลื่อนมาเห็นรูป คห.ที่ 1 = = จากคุณ : Winter_pluK เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 22:29:51

ความคิดเห็นที่ 41 โหวตอย่างไม่ลังเล จากคุณ : Air_graphic เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 23:02:21

ความคิดเห็นที่ 42 รออ่านเรอยๆนะ จากคุณ : Boss เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 23:08:59 A:58.64.111.80 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 43 ...หายไปไหนแล้ว มาแหย่ให้อยาก(รู้)แล้วก็ไปซะละ จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 23:26:10

ความคิดเห็นที่ 44 เพิ่งกลับ ลงมาจากอ่างขาง เมื่อคืน 2-4 C เทียบกับ Ice Lab -110 C นี่เด็กๆไปเลย อิๆ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 23:29:58

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณ คุุณDarkvider คห. 39 คิดว่าน่าจะถูกต้องตามที่คุณแย้งมา " เราไม่ใช้คำว่า องศาเคลวิน นะครับ เราจะใช้คำว่า เคลวิน เท่านั้น " http://en.wikipedia.org/wiki/Kelvin http://en.wikipedia.org/wiki/Superconductivity อายนิดหน่อยครับ แต่ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง ความคิดเห็นส่วนตัวครับ บวกกับความรู้เล็กๆ น้อยๆ ต้องการผู้รู้มาให้คำชี้แนะอยู่แล้วครับ แม้บางท่านจะไม่เห็นด้วยกับบางจุด ถ้าผมคิดว่ามันถูก ก็พร้อมจะเห็นด้วยว่า เรามีความเห็นต่างกันครับ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 23:36:04

ความคิดเห็นที่ 46 มีอีกวิธีหนึ่ง ที่ไม่ใช่เป็นการหลอกสมอง แต่เป็นการ "ฆ่าตัดตอนความคิด" ครับ เอ็น แอล พี (NLP) ย่อมาจาก นิวโรลิงกวิสติกโปรแกรมมิ่ง (Neuro-Linguistic Programming) ซึ่งอักษร 3 ตัว ในภาษาอังกฤษเป็นตัวย่อของคำ 3 คำ ที่เป็นสามองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้าง หรือเกิดมีประสบการณ์ของมนุษย์: นิวโรโลยี่ (Neurology) คือ ประสาทวิทยา แลงเกวช(Language) คือเรื่องของภาษา และโปรแกรมมิ่ง (Programming) คือการเขียนโปรแกรม เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อให้มีการติดตั้งโปรแกรมจิตใจใหม่ เป็นเครื่องมือพื้นฐานง่ายๆที่ใช้ได้กับทุกคน ตั้งแต่เด็กอนุบาลที่สามารถพูดบอกและเข้าใจคำสั่งได้ ไปจนถึงผู้ใหญ่ทุกระดับ ไม่จำกัดระดับการศึกษา โดยอาศัยศาสตร์การเชื่อมโยงภาษาเข้ากับกระบวนการแปลความหมายในจิตใจของมนุษย์ ที่คิดค้นจากอเมริกา และใช้กันทั่วโลก แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดและอารมณ์จะส่งผลต่อร่างกาย และไม่มีใครอีกแล้วที่จะให้โอกาสกับตัวเรา ได้มากเท่าตัวเราเอง เมื่อนำเครื่องมือนี้มาใช้ ขั้นตอนที่เราจะแปรเปลี่ยนตัวเรา เพื่อให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง ด้วยหลักความเชื่อที่ว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ คือการลงมือทำ ความคิดหรือแผนงานที่ดีที่ปราศจากการปฏิบัติก็ไม่เกิดผลอะไร และการทำทีละเล็กละน้อย แต่สม่ำเสมอ ต่อเนื่องสำคัญกว่าการทุ่มเทครั้งเดียวแล้วก็หยุดไป วิธีการจะประกอบด้วย การเลือกความคิด ความเชื่อ ที่จะให้พลังไปในทางบวก ให้กำลังใจแก่ตัวเอง แล้วพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เป้าหมาย ไม่ใช่อุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่ และพูดคุยหรือบอกกับตัวเองในรูปแบบของตัวตนที่เราอยากเป็น ทำสิ่งต่างๆทุกอย่างเหมือนกับว่าเราเป็นคนที่เราอยากจะเป็นแล้ว ทั้งคอยคิด จินตนาการให้เป็นอย่างที่เราต้องการ คนเราทุกคนจะมีรหัสของตนเอง เราควรมองหาและเลือกต้นแบบที่อยากจะเป็น หรืออยากทำได้อย่างเขา แล้วหาคนคอยช่วยฝึก ช่วยแนะนำ คอยแก้ไขจุดอ่อน ให้กำลังใจ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ดีและเร็วขึ้น เราจะต้องถอดรหัสของบุคคลที่เราอยากจะเป็นให้ออก แล้วทำตามรหัสนั้นทุกอย่างในลำดับที่ตรงเหมือนกันทุกอย่างกับต้นแบบ เช่น วิธีคิด วิธีพูด นั่ง ยืน หรือเคลื่อนไหว โดยลบความชอบ หรือไม่ชอบของตัวเราเองออกไป จะเป็นวิธีทางลัดเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนใหม่ เหมือนคนที่เราอยากเป็นโดยการลอกแบบจากรหัสของเขามา จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 23:51:37

ความคิดเห็นที่ 47     NLP เป็นศาสตร์ที่พัฒนามาจากวิธีการบำบัดทางจิตวิทยา ตามแนวคิดการบำบัดแบบ Gestalt  และครอบครัวบำบัดของ Virginia Satirและการสะกดจิตของ Milton  Ericson  มาผสมผสานกับทฤษฎีการสื่อสารและทฤษฎีระบบของ Gregory  Bateson  ซึ่งนิยมอย่างแพร่หลายในยุโรปและอเมริกา ทั้งวงการแพทย์ จิตวิทยา  การศึกษาและธุรกิจ  มานับ  20  ปี  รวมถึงมีมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษา  NLP โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ริชาร์ด แบนเลอร์ ( Richard Bandler ) ซึ่งเป็นทั้งนักคณิตศาสตร์และนักคอมพิวเตอร์ กับ จอห์น กรินเดอร์ ( John Grinder ) นักภาษาศาสตร์ ได้สนใจร่วมกันศึกษาความสำเร็จในการรักษาคนไข้ของนักจิตบำบัดที่สามารถรักษาคนให้หายได้รวดเร็ว จนกลายเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งเรียกว่า "Neuro-Linguistic Programming หรือ NLP" ซึ่งเป็นการศึกษาการเชื่อมโยงภาษาเข้ากับกระบวนการแปลความหมายในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมีทั้งภาษาทางกายและทางคำพูดอันส่งผลไปถึงพฤติกรรมของคนแต่ละคน NLP ได้เข้ามามีบทบาทในการรักษาผู้คนทั้งในชีวิตประจำวันและในโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว และเกิดสมาคม NLP มากมายแพร่กระจายไปทั่วโลก การใช้ภาษาสมองสั่งจิตใจ เป็น คำกระตุ้น  เพื่อสร้างสภาวะจิตตามที่ต้องการ  เพราะทุกการกระทำ ทุกพฤติกรรมจะมีโครงสร้าง ซึ่งสามารถที่จะเรียนรู้และจัดเรียง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเหล่านี้ได้ โดยใช้คำกระตุ้นจิตให้เป็นไปทางด้านบวก และสร้างสรรค์พัฒนา เราจะนำมาใช้เพื่อสร้างให้เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง และมีพลังในการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มเปี่ยมเช่นนี้คงอยู่กับตัวเองตลอดไป เพื่อป้องกัน นิสัยที่ไม่ดีกลับมาเป็นเหมือนเดิม ในเมื่อระบบประสาทควบคุมการคิด การตัดสินใจ และวิธีการทำงานร่างกายของเรา ภาษาที่สมองของเราเข้าใจได้จะเขียนเป็นโปรแกรมไว้ เพื่อสร้างแบบจำลองของโลกส่วนตัว และตัวตนของเราเอง เช่น ไม่มีแรงไม่มีกำลังวังชา คนเราทุกคนนั้นมีแหล่งกำเนิดของกำลังวังชา แต่มักไม่รู้ว่าจะสร้างหรือดึงส่วนที่สะสมไว้อยู่ออกมาใช้ทำอะไรดี เราจะเห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขามีกำลังวังชาที่ใช้ได้ไม่รู้จักหมดสิ้นไป แต่คนที่คิดว่าตนเองล้มเหลวจะรู้สึกว่าตัวเองไม่กระปรี้กระเปล่า ไม่มีกำลัง เหน็ดเหนื่อย อ่อนระโหยโรยแรง เป็นโรคอ่อนแอ ต้องแก้ไขโดยให้กำลังใจ สร้างแรงบันใจให้รู้สึกพลุ่งพล่าน เกิดความตั้งอกตั้งใจอย่างจริงจัง ที่จะทำเป้าหมายที่สำคัญที่สุดที่ตั้งไว้ในใจให้สำเร็จลุล่วง ความไม่สบายใจเป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บป่วยแล้ว การกระทำของร่างกายก็ส่งผลไปถึงอารมณ์และความคิดด้วย เช่น หากเราอารมณ์ไม่ดี มีความทุกข์ ก็ให้เรายิ้มไว้ และทำให้เหมือนมีความรู้สึกว่าเรามีความสุข เช่นเดินอย่างกระฉับกระเฉง ร่าเริง จะทำให้เราอารมณ์ดีแบบที่ร่างกายได้เป็นอยู่ แต่ถ้าเรานั่งหรือยืนในท่าที่คอตก ไหล่ห่อ หลังงอจิตใจและอารมณ์เราจะหดหู่ไม่สดชื่น ความจำไม่ดี เป็นเรื่องของการเสียสมดุลย์ระหว่างความคิดกับความสนใจ ต้องทำให้สองอย่างทำงานด้วยกัน และเป็นเรื่องของความเข้าใจที่มีว่าแจ่มชัดหรือไม่ ประกอบกับความประทับใจทีเกิดมากน้อยเพียงใด จากนั้นต้องมีการจัดระบบความจำ และมีการทบทวนหวลคิด เป็นการย้ำไม่ให้ลืมเลือน ในสมองของคนเราเมื่อเยาว์วัยซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา คล้ายกับไม่มีคำว่าล้มเหลว มีแค่คิดว่าบางครั้งอาจจะทำอะไรผิดพลั้งไปบ้าง แต่เมื่อโตขึ้นจนถึงวัยกลางคน สมองกลับอัดแน่นไปด้วยคำว่าล้มเหลว ที่คอยปิดบังชีวิตเป็นสิ่งกั้นขวางความสำเร็จ แต่ถ้าเรารู้วิธีการบอกตัวเองให้การปลุกพลังดังกล่าวขึ้นมา เราจะสามารถทำในสิ่งที่เหลือเชื่อได้เสมอ การบอกตัวเองให้เป็น ด้วยคำกระตุ้นเพื่อสร้างสภาวะจิตตามที่ต้องการ สามารถประยุกต์ใช้ได้ หลายอย่าง เช่น ใช้แก้ไขปัญหา ความเครียด กังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ความตื่นตระหนกที่เกินเหตุ ความกลัวที่ไร้เหตุผล การติดสุรา บุหรี่ สารเสพติด ปัญหาพฤติกรรม ใช้แก้ไขความขัดแย้งของบุคลากรในองค์กร การลดความกดดันในการทำงาน การสร้างแรงจูงใจ และช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น เช่น ช่วยเด็กนักเรียนที่มีปัญหาเรื่องผลการเรียน เด็กที่เบื่อการเรียน  หรือทำให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น ช่วยกระตุ้นยอดขาย  กระตุ้นความสามารถของพนักงาน แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 00:00:31 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 54 23:59:49

ความคิดเห็นที่ 48 ทีงี้ละปิดบังไม่ให้เห็นนะครับจขกท. ที่คห.1 จขกท.ลองไปดูกระทู้ปาปัวนิวกินีสิครับ ไม่เห็นต้องมีอะไรมาปิดบังเลยอ่า ไม่เเฟร์เลย T-T จากคุณ : Wc09 เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 00:06:53

ความคิดเห็นที่ 49 "ฆ่าตัดตอนความคิด" คือ เมื่อเราคิดอยากเปลี่ยน ถือว่าเราเริ่มต้นไปแล้วด้วยการเปลี่ยนค่านิยมภายในตัวเอง  ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม  เมื่อเราเปลี่ยนแปลงโลกภายใน โดยไม่ต้องไม่สนใจว่าปัญหามันคืออะไร หรือเป็นอย่างไร มีต้นตอมาจากไหน แค่รู้ว่าปัจจุบันมีความต้องการให้ตัวเองดีขึ้นในเรื่องอะไร ทางลัดสู่ความสำเร็จประกอบด้วยสองอย่างคือ หนึ่ง บอกตัวเองให้เป็น แต่ถ้ายังบอกไม่ค่อยเป็นควรหาความช่วยเหลือจากคนที่บอกเป็น เช่น นักกีฬาที่เก่งแล้วยังต้องหาโค้ชหรือผู้ฝึกสอนที่ดี กับ สอง หาต้นแบบที่ดี การโปรแกรมร่างกายหรือจิตใจที่เหมือนกันจะให้ผลที่ออกมาเหมือนๆกันด้วย  คือหากคนหนึ่งคิดอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาก็จะมีการแสดงออกทางภาษากายโดยอัตโนมัติ เหมือนมีรหัสผ่าน และหากมีคนทำท่าทางเลียนแบบทุกประการไม่ว่าจะเป็นท่าทาง อาการหรือแววตา คนที่ทำเลียนแบบก็พอจะรู้คร่าวๆได้ว่า คนแรกนั้นคิดอะไรอยู่บ้าง หรือหากเราต้องการประสบความสำเร็จเหมือนใครแล้ว ให้เราทำตาม หรือเลียนแบบต้นแบบของเราให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การพูด การกินอาหารและกิจวัตรต่างๆ แต่การรู้รหัสผ่านนั้นต้องเรียงลำดับตัวเลขหรือตัวอักษรของรหัสถูกด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเปิดรหัสผ่านเข้าไปไม่ได้ ถ้ารู้แล้วและทำได้ก็เชื่อว่าเราจะมีความสามารถในการทำสิ่งต่างๆได้ใกล้เคียงกับตัวต้นแบบ โดยที่เราไม่ต้องไปค้นคว้าเองว่าการกระทำใด จะส่งให้เกิดผลอะไร แต่เราสนใจว่าเราต้องการผลเช่นไร แล้วเราก็ไปเริ่มต้นที่การกระทำนั้นๆ การเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในวันนี้ไปเพียงนิดเดียว อาจเปลี่ยนส่วนที่เหลือของชีวิตไปอย่างมหาศาล จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 00:07:52

ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อเริ่มคิดว่าสิ่งเดิมไม่ดีและมีศรัทธาก่อเกิดขึ้นแล้วว่าต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าตราบใดยังไม่ได้ลงมือทำ จะเกิดเป็นทุกข์ขึ้นติดค้างคาใจอยู่ตลอด แต่ก็สามารถจัดการแก้ไขความทุกข์ที่เป็นอยู่ได้ทันที โดยขัดจังหวะพฤติกรรม ผ่านกระบวนการทำงานที่เชื่อมโยงกันระหว่าง ความคิดจิตใจ และภาษาพูดภาษากาย  เมื่อสร้างทางเลือกใหม่ที่ให้พลังที่ถูกต้อง เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น คือเพิ่มคุณความดีเป็นบวกมากยิ่งขึ้น หรือละทิ้งสิ่งที่ไม่ดีไม่ควร ให้ลบกลายเป็นศูนย์ หรือกลับมาเป็นบวก คนเราเปลี่ยนแปลงความคิดได้ภายใน 1 วินาที ถ้า... ได้รับฟังและยอมรับ ในคนที่มีเหตุผลที่ดีกว่า .... ไม่ต้องรอเวลาอะไรอีกเลย แต่ในความเป็นจริง เราเอาความคิดไปใส่หัวใครไม่ได้อย่างเรื่อง INCEPTION หรอกครับ เขาต้องมีความคิดนั้นอยู่ก่อน แต่เราช่วยลดความอีกฝั่งหนึ่งที่ตรงข้ามหรือต่อต้านกันอยู่ลงไป เช่น คนสูบบุหรี่ทุกคนแอบมีความคิดอยู่ในใจว่า อยากเลิกสูบบุหรี่ แต่รู้สึกว่ามันยาก ถ้ามีคนโน้มน้าวใจว่า การสูบบุหรี่เป็นสิ่งอยากมากกว่า เพราะ ต้องหาซื้อบุหรี่ พกไฟแช็ค แล้วก็ต้องไปคอยแอบๆ ซ่อนๆ เวลาสูบ หรือปกปิดไม่อยากให้ใครรู้ กลัวใครได้กลิ่น แต่ไม่สูบบุหรี่ ทำง่ายนิดเดียว คือ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ถ้าฟังแล้ว เห็นด้วย เลิกได้เดี๋ยวนั้นครับ แต่บางคนก็เลิกได้มาแล้วร้อยกว่าครั้ง ในที่สุดก็ใจอ่อน จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 00:20:42

ความคิดเห็นที่ 51 ความเย็นขนาด -110 องศา เข้าไปทำอะไรกับร่างกายได้บ้าง? เมื่อเราสัมผัสความเย็นขนาดนั้น อย่างแรกสุด รู้สึกหนาวครับ ต่อมาเส้นเลือดที่ผิวหนังก็หดตัว ผิวจะซีด เป็นการป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย จากนั้น ระบบประสาทอัตโนมัติในร่างกายก็จะสั่งการให้ร่างกายสร้างความร้อนขึ้นภายใน คราวนี้นี่เอง โยงใยกันมากมาย ทั้งระบบฮอร์โมน และการเผาผลาญในระดับเซลล์ให้เกิดความร้อน ถ้าเข้าใจกันถึงตรงนี้ คงมองเห็นวิธีการนำมาใช้ประโยชน์กันบ้างแล้วนะครับ สมองเราสามารถรับรู้ความหนาวเย็นได้ถึงจุดหนึ่งครับ ของ 10 องศา กับ 0 องศา เราบอกได้ว่าอะไรเย็นกว่ากัน แต่ถ้า -60 องศา กับ -110 องศา เย็นก็คือเย็นแล้วละครับ ไม่รู้ว่าอันไหนเย็นกว่า แต่ความเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย ไปสู่สมองที่แม้จะไม่รู้สึก แต่กระตุ้นการตอบสนองของร่างกายได้ต่างกัน จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 00:38:45

ความคิดเห็นที่ 52 กระทู้ในตำนาน ขอสมัครเปน สาวก จากคุณ : BOSS เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 00:41:46 A:58.64.111.80 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 53 เปนกระทู่ ที่น่า เสพ ยิ่งนัก รับรองได้โหวดแน่นอน จากคุณ : BOSS เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 00:44:34 A:58.64.111.80 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 55 แล้วเกี่ยวอะไรกันกับ Superconductivity ไม่รู้สิ ถ้าร่างกายเรามีกระแสประสาทเป็นไฟฟ้าวิ่งอยู่ หรือวิ่งผ่านได้ ก็คงเกี่ยวกับเรื่องตัวนำบ้างหละ ถ้ามองแบบควอนตัมเมดิซีน ที่ระดับเซลล์หรือโมเลกุล คงมีเรื่องการนำกระแสไฟฟ้าให้พูดมากมาย ถ้าคิดเล่นๆ ว่ามัยอีลินชีท หรือปลอกหุ้มเส้นประสาทนี้ คือ ตัวนำยิ่งยวด ที่ปล่อยให้กระกระสาทไหลผ่านได้โดยไร้ความต้านทาน ณ ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมครับ? มาคิดกันเล่นๆ Myelin sheath หรือปลอกมัยอีลินที่หุ้มเส้นประสาท ทางการแพทย์เชื่อว่า ถ้าเส้นประสาทใดมีปลอกชนิดนี้ จะนำกระแสประสาทได้เร็วกว่าชนิดที่ไม่ปลอกหุ้ม โดยอาจเป็นเพราะ กระแสประสาทใช้วิธีโดดข้ามระหว่างปล้อง แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 01:39:14 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 01:05:29

ความคิดเห็นที่ 56 จากเส้นประสาท มาพูดถึงเซลล์ประสาท (Neurons) กันต่อ ชมวิดีโอนี้กันก่อน ให้ความรู้ดียิ่ง ยั่วน้ำลายให้อยากรู้ต่อครับ เพราะผมจะเล่าให้ฟังถึง Neurons 3 ชนิด ที่วิดีโอนี้ ไม่ได้กล่าวถึง แต่ถ้าจะสนใจเรื่องการใช้ความเย็นสุดขั้วบำบัด และเซลล์ประสาทตัวเป้าหมายละก็ อย่าพลาดครับ เดี๋ยวผมจะเล่าเรื่อง 1. Oscillator Neuron 2. Mirror Neuron 3. Spindle Neuron จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 01:12:28

ความคิดเห็นที่ 57 อ่านกระทู้นี้ผมหนาวจน แข็ง เลยอ่ะครับ จากคุณ : poobas เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 01:16:35

ความคิดเห็นที่ 58 #44 ใครดูผ่านๆแล้วอ่านว่า "เพิ่งกลับมาจากลงอ่าง" มั่ง สงสัยผมจะนอนดึก จากคุณ : Nurburgring เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 01:25:01

ความคิดเห็นที่ 59 ถามนิดนึง เกี่ยวกันไหม เวลาหน้าหนาว อาบน้ำเย็นๆ พออาบเสร็จกลับรู้สึกอุ่น เป็นกระบวนการสร้างความอบอุ่นของร่างกายหรือเปล่า ? จากคุณ : =Medley= เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 01:39:00

ความคิดเห็นที่ 60 ตอบ คห. 59 ด้วยบทความนี้ก่อนนะครับ โดยส่วนตัวผมมีความเห็นด้วยกับคุณ =Medley= ครับ การใช้ห้องบำบัดอุณหภูมิ -110 องศา ในต่างประเทศเขาเทียบเท่า การลงว่ายน้ำท่ามกลางอุณหภูมิเย็นจัดในฤดูหนาวครับ อย่าคิดแต่เพียงเรื่องร่างกายแบบฝรั่งเท่านั้นนะครับ นึกถึกเรื่องจิตใจดู ถ้าไปยืนกันอยู่ 100 คน คุณว่าจะมีคนกล้าตัดสินใจโดดลงไปกี่คน เหมือนโดดหอสูงแหละครับ สภาพจิตใจ คือคำตอบที่สำคํญกว่าครับ แต่ถ้าใจถึง ร่างกายไม่พร้อม ก็บ่งบอกวิธีการคิดการตัดสินใจของคนได้ครับ การว่ายน้ำเย็นในฤดูหนาว การลงแช่น้ำเย็นจัดร่วมกับการออกกำลัง เช่น การว่ายน้ำในฤดูหนาวท่ามกลางความหนาวเย็น เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่ไม่เพียงแต่จะเป็นการออกกำลังเพื่อความแข็งแรงและช่วยผ่อนคลายร่างกาย แต่ยังช่วยเพิ่มพลังของสิ่งมีชีวิต จากสถิติในกลุ่มผู้ปฏิบัติพบว่า ช่วยลดอัตราการป่วยด้วยอาการเป็นหวัดลง 60 เท่า และโรคอื่น ๆลงถึง 30 เท่า การว่ายน้ำในฤดูหนาวช่วยการบำบัดโรคหลายชนิด เช่น ลดอาการอักเสบ, ควบคุมโรคความดันเลือดทั้งสูงและต่ำ, วัณโรคปอด, โรคเบาหวาน, โรคทางเดินอาหารอักเสบเรื้อรัง, ความผิดปกติของรอบเดือน, ผิวหนังอักเสบ และอื่น ๆ บางคนคิดว่า เราไม่ควรเริ่มต้นว่ายน้ำในน้ำเย็นในช่วงอากาศหนาวจัด น่าจะค่อยๆเริ่มทำตั้งแต่ช่วงอากาศยังไม่หนาวมากนักอาจเป็นการเริ่มต้นที่เหมาะสมกว่า อย่างไรก็ตามขอแนะนำให้มีการฝึกเตรียมสภาพทั้งร่างกายและโดยเฉพาะอย่างจิตใจ ให้พร้อมและอยู่ในความคุมของตนเองได้อย่างมั่นคง และความเชื่อมั่นที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆได้ก่อนที่จะเริ่มลงมือปฏิบัติ ทั้งนี้การถอดเสื้อผ้าเครื่องป้องกันออกเพื่อลงแช่ในน้ำเย็นจะช่วยเสริมสร้างความสมรรถนะของร่างกายและจิตใจโดยตรง เพื่อรักษาสภาวะของจิตใจให้คงสภาพมีสติและสมาธิที่ดีอย่างมั่นคง ไม่เพียงแต่จะเป็นการฝึกปลุกกำลังใจ สร้างความฮึกเหิม แต่ยังทดสอบการควบคุมในตัวเองเพื่อรักษาสภาวะจิตใจที่แน่วแน่ ในสภาพแวดล้อมที่ยาก ลำบาก แร้นแค้น อันอาจเป็นที่ไม่พึงประสงค์ต่อบุคคลทั่วไป จะเป็นประโยชน์ต่อความเชื่อมั่นและศรัทธาในตนเอง  พ้นจากสภาพจิตใจที่บอบบาง หวั่นไหว ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ร่างกายจะตอบสนองต่อความเย็นจัด ด้วยพลังแบบเดียวกับการต่อสู้กับความเครียด ซึ่งอาจจะเป็นอารมณ์ทางบวกหรือทางลบก็ได้ขึ้นอยู่กับความเตรียมพร้อมของอารมณ์และการควบคุมตนเอง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นครั้งแรก ระบบการสร้างพลังงานของร่างกายจะทำงานเพิ่มขึ้นและมีการเร่งรัดกระบวนการผลิตความร้อนมากขึ้น การเตรียมสภาพร่างกายและจิตใจที่พร้อมอาจทำให้บางครั้งร่างกายอาจจะไม่รู้สึกถึงความเย็นของอากาศและน้ำ บางคนอาจเริ่มรู้สึกร้อนด้วยซ้ำเนื่องจากกระบวนการสร้างความร้อนอย่างเข้มข้นในร่างกายที่สูงขึ้น แต่หลังจาก 10-20 นาที  ระบบการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตลดลง ฮอร์โมนและสารเคมีที่หลั่งในสมองเริ่มลดจำนวนและประสิทธิภาพ เราจะเริ่มหนาวสั่น แต่เมื่อฝึกฝนและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอก็จะเพิ่มความทนทานต่อผลดังกล่าวได้มากขึ้น ในช่วงเวลาหลังจากขึ้นมาจากน้ำเย็น เราควรอบอุ่นตัวเองด้วยการเคลื่อนไหว ห่อหุ้มร่างกายให้ดี อยู่ในห้องที่อบอุ่น หรือใช้ความร้อนช่วยบรรเทา การกระตุ้นระบบทำงานของร่างกายเพื่อตอบสนองต่อความเครียดจากธรรมชาติ จะเกิดผลต่อระบบพลังงานของชีวิตทำให้เพิ่มความคล่องตัวและความสมรรถนะของทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าคุณมีความสนใจคิดว่าการว่ายน้ำเย็นท่ามกลางอากาศหนาวจัด จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ร่างกายคุณมีความแข็งแกร่งพร้อมสุขภาพที่ดีและมีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น แต่คุณไม่สามารถจะหาสถานที่ใดเพื่อจะทำสิ่งดังกล่าวได้ ทางออกอย่างหนึ่งที่อาจจะช่วยทดแทนได้บ้างคือการลงแช่ในอ่างน้ำเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆต่อครั้งอยู่เป็นประจำแต่คงจะต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่พอสมควร สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องบอกให้ทราบคือว่า ถ้าอุณหภูมิของน้ำที่คุณลงแช่สูงเกินกว่า 8 องศาเซลเซียส ผลดังกล่าวที่พูดมาอาจจะไม่เกิดขึ้นเพราะการตอบสนองภายในร่างกายจะไม่มีประสิทธิผลเท่ากับการว่ายน้ำเย็นในอากาศหนาวแต่กับอาจจะทำให้คุณมีอาการเป็นหวัดแทนเสียมากกว่า ประสบการณ์สัมผัสอุณหภูมิหนาวเย็นจัดเช่นนี้จะมีส่วนช่วยทั้งในด้านฝึกฝนสภาพจิตใจความมีวินัยต่อตนเองมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ และผลดีทางกายภาพในการช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและอาการปวดเมื่อย แต่การพยายามที่จะทดสอบขีดจำกัดของตนเองด้วยการลดอุณหภูมิให้หนาวเย็นยิ่งขึ้นและเพิ่มระยะเวลาการอยู่ในสภาพเช่นนั้นให้นานมากขึ้นเป็นเรื่องไร้สาระอันไม่มีเหตุผลที่ควรจะทำ สิ่งที่น่าจะทำมากกว่าควรจะเป็นการค่อยๆเพิ่มพื้นที่สัมผัสของร่างกายต่อความเย็นจัดเ อย่างเช่น อาจเริ่มโดยเพียงการจุ่มหน้าลงในน้ำเย็นแล้วถ่ายทอดจินตนาการความรู้สึกที่สดชื่นกระชุ่มกระชวยไปทั่วร่างกาย แล้วต่อด้วยการจุ่มลงไปในน้ำเย็นทั้งศีรษะแล้วค่อยๆขยายไปยังส่วนต่างๆของร่างกายและปรับสภาพจิตใจไปที่ละขั้น ภายหลังจากการเสร็จสิ้นการว่ายน้ำในน้ำเย็นจัดคุณควรจะทดลองสังเกตความร้อนหรือพลังงานที่ก่อตัวขึ้นภายในร่างกายคุณ อาจจะมีนิมิตถึงการเห็นแสงสว่างคล้ายพลุไฟสีขาวกระจาย หรือรู้สึกถึงการก่อตัวของขุมพลังงานความร้อนก่อตัวขึ้นภายในร่าง ให้พยายามแผ่กระจายความรู้สึกเช่นนี้ออกไปทุกส่วนจนทั่วร่าง โดยสรุปแล้วจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวตะวันตก และการศึกษาทางจิตวิทยาถึงกลวิธีการควบคุมและสร้างสมดุลภายในตนเองการลงว่ายน้ำเย็นท่ามกลาวอากาศหนาวจัดมีส่วนช่วยผู้คนมากมายจากบรรดาโรคภัยไข้เจ็บไปจนถึงโรคร้ายอย่างเช่นโรคมะเร็ง ผลการศึกษามากมายแสดงถึงภาวะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของโรคระบบทางเดินหายใจชนิดที่ไม่เรื้อรัง และความน่าสนใจพิเศษในการศึกษาเรื่องนี้คือการช่วยบำบัดเด็กที่ผิดปกติแต่ยังคงจะต้องรอผลการวิจัยในเชิงลึกต่อไป ปฏิบัติการสัมผัสอุณหภูมิเย็นจัดเช่นนี้ มิได้เป็นการกระทำเพื่อมุ่งหวังรักษาโรคให้หายขาดเช่นในกรณีที่มีผู้ป่วยเจ็บป่วยหนักเรื้อรังมายาวนานหรือคนที่เป็นไข้การทำเช่นนี้อาจจะไม่เป็นผลดีก็ได้ การพึ่งพาเพียงอุณหภูมิให้มีผลต่อการบำบัดหรือต่อร่างกายของมนุษย์ถึงขีดสูงสุดเช่นการขจัดหรือการบำบัดโรคอาจจะมิใช่คำตอบที่ตรงไปตรงมาทางหลักการวิทยาศาสตร์ เพราะต้องยอมรับว่าการเตรียมพร้อมและฝึกปรือสภาพจิตใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ร่างกายได้รับผลดีในปฏิบัติการเช่นนี้ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 08:20:52 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 01:52:12

ความคิดเห็นที่ 61 ออสซิลเลเตอร์นิวรอน (Oscillator Neuron)   เป็นเซลล์ประสาทที่สั่งการให้เราทำโดยที่เราไม่ต้องคิด ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรและเมื่อไร  เพื่อให้มีความสอดคล้องพร้อมเพรียงกันกับผู้อื่น   ซึ่งถ้าเราลองสังเกตดูคนที่วิ่งโผเข้าหาเพื่อกอดกันด้วยความดีใจ การเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่ายจะสัมพันธ์กัน ไม่วิ่งชนกัน จะเอียงคอหลบศีรษะไปคนละด้าน แขนและมือสองข้างจะยกอยู่ในระดับและจังหวะสอดรับกันพอดี   หรืออย่างคู่เต้นรำที่เต้นไปตามจังหวะ แล้วมีการเสริมท่าการเคลื่อนไหวตามไปกับความรู้สึกขณะนั้นของคู่เต้นได้ ไม่ว่าจะรุนแรง  รวดเร็ว พลิ้วไหว หรือเชื่องช้า    ซึ่งเช่นเดียวกัน คนที่มีจำนวนของเซลล์ออสซิลเลเตอร์นิวรอนมากหรือมีพัฒนาการที่ดี อย่างเช่น นักกีฬาที่เคลื่อนไหวและเล่นโต้ตอบกับคู่แข่งขันได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักมวย ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในระยะประชิด จะมีเหตุการณ์ การเคลื่อนไหวเกิดในเวลารวดเร็วฉับพลัน และต้องสามารถตอบสนองได้ในทันที   ซึ่งนักชกอัจฉริยะอาจไม่ได้เป็นผู้เรียนหนังสือเก่ง เชี่ยวชาญเรื่องศิลปะ หรือชำนาญด้านภาษา แต่จะสามารถเคลื่อนไหวหลบหลีก มีจังหวะก้มตัว ดึงตัวหลบหมัดคู่ต่อสู้ และโต้ตอบอย่างมีประสิทธิภาพ    แต่ในด้านของผู้ที่มีการทำงานหรือพัฒนาการของออสซิลเลเตอร์นิวรอนไม่ดี  จะเห็นได้จากพนักงานบริการหรือคนทำงาน ที่ไม่สามารถสื่อสาร หรือตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี รู้สึกไม่มีกำลังใจ เหมือนถูกยั่วยุให้เกิดความหงุดหงิดเมื่อเห็นปฏิกริยาของลูกค้า ขาดความหนักแน่นในการควบคุมอารมณ์หรือการโต้ตอบ  ซึ่งจะเห็นได้ว่าสมองของเราไม่ได้แยกการรับรู้ทางร่างกายและการรับรู้ความรู้สึกทางจิตใจ  และเราไม่จำเป็นต้องคิดก่อนทำแบบตั้งใจเสมอไป  นอกจากนั้นออสซิลเลเตอร์นิวรอนอาจมีส่วนสัมพันธ์กับการทำงานของนาฬิกาในสมอง ที่เกี่ยวข้องกับการง่วง การเข้านอน ตื่นนอนด้วย จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 01:55:35

ความคิดเห็นที่ 62 ดูการทำงานของ Oscillator Neurons ครับ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 01:57:18

ความคิดเห็นที่ 63 มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ผู้มีชีวิตเหมือนเกมกีฬาในสังคมที่เป็นเหมือนสนามแข่งขัน สมองมนุษย์จะถูกกระตุ้นโดยผ่านการกระทำของผู้อื่น และหากเราต้องการที่จะอยู่รอดในสังคมเราก็ต้องเข้าใจการกระทำของคนอื่น ถ้าปราศจากสิ่งนี้ก็จะไม่มีสังคมมนุษย์    การตอบสนองทางด้านสังคมของมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากสัตว์อื่น คือ สามารถเรียนรู้จากการสังเกตแล้วเลียนแบบ การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือการต่อยอดความคิดที่ได้เรียนรู้มา   ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะการพัฒนาของเซลประสาท หรือ นิวรอน(Neuron) ในสมอง   ตามหลักของทฤษฏีเซลล์สมองที่น่าสนใจ เรื่องเซลส์พิเศษในสมอง 3 ชนิด คือ มิเร่อร์นิวรอนสปินเดิลนิวรอนและออสซิลเลเตอร์นิวรอนซี่งได้ช่วยอธิบายเรื่องของสมองกับสังคมไว้ดังนี้ มิเร่อร์นิวรอน  (Mirror Neuron), เป็นเซลล์ในสมองซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับว่าเซลล์เหล่านี้กำลัง "สะท้อนภาพ" หรือ "เลียนแบบ" พฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์  โดยเซลล์ชนิดนี้จะสั่งการให้เราทำตามพฤติกรรมของคนรอบข้างที่เราเห็นโดยไม่รู้ตัว  และทำหน้าที่จำลองสัญญาณประสาทของคนที่ได้เคลื่อนไหวหรือแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ให้มาอยู่ในสมองของเราทันทีโดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์พิเศษใดๆ เพิ่มเติม เช่น ในเวลาที่เราเห็นเพื่อนที่อยู่ข้างๆ นั่งหาว แล้วเราอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงมีแนวโน้มที่จะหาวตาม  สิ่งนี้เป็นพฤติกรรมที่เกิดการเลียนแบบโดยไม่รู้ตัวหรือเป็นพฤติกรรมติดต่อ     อาจมองได้ว่า มิเร่อร์นิวรอน คือเซลล์ประสาทสังคมหรือเซลล์ประสาทเพื่อวัฒนธรรม ความรู้ต่างๆของเราที่สะสมถ่ายทอดต่อกันมายาวนานได้  เป็นเพราะคนทุกคนมีระบบเซลประสาทนี้ช่วยเหลือ  ทำให้คนพัฒนาต่างจากสัตว์   และหากมนุษย์คนไหนมีเส้นประสาทชนิดนี้มากกว่าปกติ ก็อาจทำให้คนๆ นั้นสามารถรับรู้คนอื่นได้มากขึ้น ซึ่งบางครั้งเขาอาจเหมือนมีพลังจิตที่สามารถอ่านใจคนอื่นหรือรู้ใจคนอื่นได้ มิเร่อร์นิวรอนมีหน้าที่สื่อสารให้สมองของเรารับทราบความคิดและการสร้างสัมพันธภาพ โดยรับความเป็นคนอื่นเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติทันที  ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมของมนุษย์รอบตัวเรา อย่างเช่น พฤติกรรมเลียนแบบหนัง จำโฆษณา หรือทำตามละครหลังข่าว  หรือกับพฤติกรรมวิธีคิดวิธีตัดสินใจของคน เช่น เพลงที่เปิดให้ฟังทุกๆ วันจนรู้สึกว่าเพราะก็ได้รับความนิยมและขายได้ดี   รวมถึงพฤติกรรมที่พ่อแม่ใช้ดุลูก ต่อว่าลูกอย่างรุนแรงและคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โดยหวังจะให้เด็กเชื่อฟัง แต่พ่อแม่เองคงไม่คิดว่าพฤติกรรมเหล่านั้นกลับถูกเก็บเข้าไปในสมองของเด็กคนนั้นไปแล้ว และรอการสะท้อนออกมาในวันหนึ่งด้วยรูปแบบความรุนแรงต่างๆ เช่น ในเหตุการณ์การประท้วงหรือความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด  หรือเมื่อคนผิดหวังแล้วก็ไปกระโดดตึกเพื่อฆ่าตัวตาย     ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกอำนาจของเซลล์ประสาทชนิดนี้สั่งการให้ทำตาม   ในคนที่ขาดระบบประสาทชนิดนี้หรือเซลล์ประสาทนี้ไม่พัฒนา  ก็จะไม่สามารถเรียนรู้สังคม จะเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา จะสนใจแต่เรื่องของเขาเท่านั้น ปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง สนใจในแต่เรื่องเดิมซ้ำๆ   รวมทั้งอาจทำให้พัฒนาการทางด้านการสื่อความหมายผิดปกติ เช่น ไม่ค่อยพูด หรือพูดแต่เรื่องเดิมๆ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 02:00:06

ความคิดเห็นที่ 64 สปินเดิลนิวรอน  (Spindle Neurons)   เป็นเซลประสาทพิเศษซึ่งมีขนาดตัวโตกว่าเซลล์สมองทั่วๆไป และมีเส้นประสาทที่ยาวเป็นพิเศษไปเชื่อมโยงกับเซลล์ตัวอื่น เพื่อส่งต่อกระแสประสาทที่เกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก  ซึ่งช่วยทำหน้าที่ให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างรวด เหมือนการใช้บทสรุป หรือชุดความคิดที่ได้กลั่นกรองมาแล้วอย่างลึกซึ้งจากประสบการณ์ที่มีอยู่  โดยจะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว แต่จะมีความลึกซึ้งในการอ่านสถานการณ์ โดยจะรวบรวมทั้งเหตุการณ์ สภาพแวดล้อม และอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด เข้ามาแปรผลแล้วตอบสนอง  เช่น ในการตัดสินใจว่าเรื่องใดจริงหรือโกหก เมื่อมนุษย์ได้รู้จักเพื่อนใหม่ หรือคนแปลกหน้า  สปินเดิลนิวรอน จะถูกกระตุ้นและทำงานอย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 1 ใน 20 ของวินาที  เพื่อเริ่มตัดสินในใจว่าคนที่เราพบนั้นเป็นอย่างไร     สปินเดิลนิวรอนนี้เองเป็นตัวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราเรียกว่า ความฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ, การควบคุมอารมณ์ ซึ่งช่วยทำให้คนมีวุฒิภาวะหรือวางตัวเหมาะสมมีความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่    ซึ่งคนที่มีจำนวนของเซลล์สปินเดิลนิวรอนมากหรือมีพัฒนาการที่ดี  ส่วนใหญ่จะได้แก่กลุ่มคนที่เป็นนักบริหารมืออาชีพ หรือที่เรียกกันว่าเป็นระดับเซียน  ซึ่งบางที่เราใช้คำว่าเป็นคน “มีกึ๋น” (Gut Instinct)   ซึ่งเป็นคนที่มักจะสามารถลำดับความสำคัญ จัดระเบียบเวลาหรือขั้นตอนในการทำงาน และเรื่องต่างๆในชีวิตได้เป็นอย่างดี    แต่ในทางตรงข้าม ถ้าเป็นคนที่มีจำนวนของเซลล์สปินเดิลนิวรอนน้อย ขาดหายไป หรือพัฒนาการไม่ดี  ก็จะเป็นคนที่มีสมาธิสั้น หลงลืมง่าย ความสามารถในการตีความหรือกำหนดความหมายของสิ่งที่เป็นนามธรรมลดลง ย้ำคิดย้ำทำ และอาจเจ็บป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 02:05:35

ความคิดเห็นที่ 65 ไม่มีพื้นฐานเรื่องพรรค์นี้เลย แต่ก็จะพยายามอ่านให้เข้าใจนะครับ ขอบคุณมากครับสำหรับเรื่องราวดีๆ จากคุณ : ใส่พริกเม็ดเดียว เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 02:18:07

ความคิดเห็นที่ 66 อ่านไปอ่านมาเหมือนโปรโมทไอซ์แล็บเลย เห็นในไทยมีเอาเข้ามาแล้วด้วย ขออภัย จขกท หากเข้าใจผิดครับ ต่อเลยครับ จขกท ขออภัยที่ขัดจังหวะ อยากอ่านต่อเหมือนกันได้ความรู้ดี แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 13:18:30 จากคุณ : billgate เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 02:18:20

ความคิดเห็นที่ 67 ลงชื่อไว้ก่อน จะกลับมาอ่านพรุ่งนี้นะครับ -3- จากคุณ : LullabyAves เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 02:47:04

ความคิดเห็นที่ 68 โพสผิดเวลานี้ดดดดดดดดนึง...เพราะตอนนี้ เริ่มร้อนแล้ว... ถ้าโพสตอน หนาวสุด ๆ นี่ ได้เข้าขั้วหนาวจับใจแน่นอนค่ะ จากคุณ : กุ๊กไก่ไม่ขันมาหาฉันจะกระต๊าก เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 03:01:08 A:223.207.170.170 X: TicketID:191399

ความคิดเห็นที่ 69 สรุป Neurons ทั้ง 3 ตัวครับ คลิปวิดีโอนี้ และข้อความใดๆของผมในกระทู้นี้ ถ้าท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์  ต้องการนำไปใช้ต่อ โดยเฉพาะ เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่มีการสงวนลิขสิทธิใดๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 03:17:37 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 03:06:10

ความคิดเห็นที่ 70 คห. 66 คุณ billgate ครับ ขอได้รับการแสดงความบริสุทธิใจของผมด้วยครับ ผมพยายามจะไม่ให้มีข้อความส่วนใด ที่จะชี้นำ หรือ ชักจูง หรือ โยงไปยัง ส่วนที่จะทำให้มีผู้ใดได้ หรือเสียประโยชน์ ผมเคารพทุกท่านในห้องนี้ และ สถานที่แห่งนี้เป็นอย่างยิ่งครับ จะไม่มีการแอบแฝง ใช้โฆษณา หาประโยชน์ หรือเกี่ยวพันกับการค้าใดๆ ทั้งสิ้น อยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ ดึกแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปทำงานไม่ไหว ท่านใดมีคำถาม ข้อคิดเห็น หรือคำชี้แนะ ผมจะกลับมาตอบและขอบคุณทุกท่านครับ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 07:48:52 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 03:15:57

ความคิดเห็นที่ 71 หลังๆ รู้สึกเริ่มเข้าโฆษณาแล้วสิ ไม่รู้คิดมากไปป่าว ไม่รู้มาแทน PMC หรือป่าว เรื่องแช่น้ำ อุณหภูมิ ต่ำกว่า 8 องศา มันชักจะยังไงๆ อยู่ คงต้องหา ผลงานวิจัยมายืนยัน ไม่อยากให้เป็นเรื่องลวงโลกเลย... จากคุณ : BOSS เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 03:51:12 A:58.64.111.80 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 72 คห. 71 คุณ BOSS ครับ ขอบคุณนะครับที่เตือน แต่ถ้าพบเห็นตรงจุดไหนมีการโฆษณา ช่วยแจ้งลบความเห็นนั้นได้เลยครับ ยืนยันความต้องการอีกครั้งครับ ที่จะให้เป็นเรื่องของวิชาการเท่านั้น การว่ายน้ำเย็นในฤดูหนาวอย่างง่าย (Poor man winter swimming) เขาแนะนำอย่างนี้ครับ 1. อุณหภูมิน้ำควรต่ำกว่า 0 องศา คือ Supercooling แต่ยังไม่เป็นน้ำแข็ง ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านั้น ก็ไม่ควรเกินกว่า 8 องศาครับ 2. ต้องเตรียมพร้อมทั้งสภาพร่างกาย และจิตใจมาเป็นอย่างดี รู้ตัวดีว่ากำลังจะทำอะไรอยู่ และเพื่ออะไร 3. อย่าเริ่มต้นก็ลงไปทีทั้งตัวเลย อาจกลั้นหายใจจุ่มศีรษะเท่านั้นก่อน 4. เคล็ดลับสำคัญที่สุด คือ การสัมผัสความเย็นจัดเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าเป็นเวลานาน เกิดอันตรายได้ หรือร่างกายจะปรับตัว (adaptation) ไม่ได้ให้ผลตามทฤษฏี 5. ภายหลังการกระทำดังกล่าว เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นแล้ว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด ที่จะเสริมอะไรบางอย่าง ซึ่งในแนวคิดของผม อยากใช้เรื่องของการปรับความคิด แต่ก็มีผู้ที่อ้างว่าช่วยเสริมการรักษาโรคบางอย่างได้ แต่การแช่น้ำเย็นไม่เป็นที่นิยมนัก เพราะมีการเสียความร้อนภายในร่างกายมาก  (core temperature ของร่างกายที่ต่ำลงมาก อาจทำให้เกิดภาวะ Hypothermia ได้) ไม่ใช่เป็นเพียงการกระตุ้น และไม่เหมือนระบบระบายความร้อนของรถยนต์นะครับ ที่น้ำจะนำหรือดึงความร้อนออกได้ดีกว่าอากาศ แล้วจะทำงานได้ดีกว่าในร่างกายมนุษย์ ต้นตอข้อมูลต่างๆ ได้มาจากความรู้อันแสนหฤโหดที่เรียกว่า Freezing Experiment http://en.wikipedia.org/wiki/Nazi_human_experimentation#Freezing_experiments ในโลกปัจจุบัน เราทำอะไรอย่างนั้นไม่ได้ แต่ยังมีแหล่งข้อมูลให้นำมาอ่านศึกษาได้ครับ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 09:25:20 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 08:14:26

ความคิดเห็นที่ 73 ไปล้างมือดีกว่า จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 08:34:11

ความคิดเห็นที่ 74 เข้ามาตั้งใจอ่าน  ไม่ตั้งใจอ่านไม่รู้เรื่อง ^^ จากคุณ : gift is a present เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 09:06:10

ความคิดเห็นที่ 75 เอ.. ไม่เห็นมีสมองส่วนกลาง จากคุณ : ตาแป๊ะหวานเย็น เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 09:18:52

ความคิดเห็นที่ 76 ภาพประกอบน่าสนใจยิ่งนัก -..- จากคุณ : สิงห์โตหัวฟู เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 09:35:48

ความคิดเห็นที่ 77 #22 เอาน้ำธรรมดามา degas ได้ครับ หรือไม่ก็ต้มน้ำให้ร้อนก่อนเพื่อกำจัดแก๊สแล้วทำให้เย็นในขวดปิดฝาครับ อาจจะเปิดฝายากนิดนึง  แต่คงกำจัดผลของแก๊สในน้ำได้ เรื่องอาบน้ำเย็นนี่ก็เป็นเรื่องของใจล้วนๆเหมือนกัน รู้กันอยู่ว่าถ้าอากาศหนาวๆนี่อาบน้ำเย็น (แบบตักราด) ท้ายสุดจะรู้สึกอุ่นกว่าอาบน้ำอุ่น อันนี้ผมทำประจำตอนไปแม่สาย สาเหตุที่ทำเพราะครั้งนึงหาที่เปิดน้ำอุ่นไม่เจอครับ ฮา ก็เลยอาบมันทั้งเย็นๆอย่างนั้น ตอนไปภูกระดึงหรือภูหลวงก็อย่างนั้นครับ อาบน้ำเย็นตอนเช้าๆสะใจดี ตอนนั้นมันเป็นเรื่องของใจล้วนๆ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 09:37:06

ความคิดเห็นที่ 78 เข้ามารอบเช้า เนื้อหา ค่อนข้างลึก  ยอมรับ ครับว่าเป็นวิชาการดีมาก เนื้อหาหลากหลาย ต้องค่อยๆอ่าน อย่างพิจารณา แล้วคิดตาม อย่างละเอียด ถกกันถามกัน ในข้อที่สงสัย ส่วนจะเชื่อหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ต้องตัดสินใจกันให้ดี อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าของกระทู้ต้องการสื่อมั้งครับ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 09:56:59

ความคิดเห็นที่ 79 48954 จากคุณ : bv เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 09:57:47 A:118.175.80.253 X: TicketID:303947

ความคิดเห็นที่ 80 ความรู้ๆ จากคุณ : nasaseria เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 09:58:25

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณพี่หมอ JFK มากครับ เขียนมาตรงใจ ในคำที่ผมเอ่ยไม่ถูก ผมเคยแต่ตามอ่าน กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ผมเคยเขียน บางความคิดเห็น ทำผมใจคอไม่ค่อยดี คิดว่าไม่ควรจะมาเขียนเลยหรือเปล่านะ.. สมมติว่าเรามีความคิด หรือต้องการความรู้ที่ไม่ได้ศึกษาค้นคว้ามาหมดแล้ว และเขียนเป็นหนังสือไว้ให้อ่าน หยิบมาศึกษาโดยง่าย เราจะทำอย่างไรดีครับ ? ความคิดผมก็คือ ผมอยากคุยกับคนที่เขาฉลาดกว่าผม หรือคนที่รู้เรื่องที่ผมยังไม่รู้ เขาจะได้สอนให้ หรือชี้แนะ และอยากคุยกับคนที่มีวิจารณญาณที่ดี ที่เขาอาจซักอาจถาม ซึ่งผมก็จะตอบไปตามทั้งหมดที่รู้ และถ้าส่วนใดไม่รู้ไม่แน่ใจ ก็บอกเขาไปให้เขาช่วยเราคิด ช่วยเราตัดสินใจได้ดีขึ้น  เมื่อรวบรวมความรู้ความคิดได้มากพอแล้วจะได้เก็บมาตกผลึกความคิด ไม่ได้มีความคิดตั้งตนเป็นผู้รู้เอาความรู้มาสอน และไม่คิดจะแอบแฝงหาผลประโยชน์ หรือให้โทษกับใครทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้อ่านหรือถูกพาดพิงถึง ผมขอโอกาสหน่อยนะครับ ยังมีข้อมูลที่จะนำมาเสนอกันอีกหน่อย ก็ขอใช้วิจารณญาณท่านเองถ้ามีกรณีที่ไม่ชัดเจน แต่ถ้ามีความผิดพลาดอย่างชัดเจน ช่วยสอนผมด้วยครับ ผมถือเป็นพระคุณอย่างมาก อย่างเรื่อง Neurons 3 ชนิด ผมไม่ได้ตั้งขึ้นมาเองนะครับ บางท่านอาจเห็นว่าผมไปพูดเรื่องของสมอง ซึ่งเพิ่งจะเป็นข้อถกเถียงกันไปหมาดๆ ก็เลยกังวล ตั้งข้อสงสัย ไม่กล้าเปิดใจรับ ขอให้ไปอ่านได้ตามลิ๊งค์ ของ HBR : Harvard Business Review ครับ http://hbr.org/2008/09/social-intelligence-and-the-biology-of-leadership/ar/1# หรือ download มาอ่านได้จาก http://www.neuro-learning.com/articles/HBR_Social_Intelligence_Biology_of_Leadership.pdf และยังมีหนังสืออีกมากมาย ลอง search ใน amazon.com ด้วยคำว่า social neuroscience ดูสิครับ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 11:13:13

ความคิดเห็นที่ 82 ต่อครับ กำลังสนุก เข้าใจเจ้าของความเห็นครับว่าพยายามแปล และอัดแน่นด้วยเนื้อหาคุณภาพจริงๆ อาจจะทำให้เข้าใจผิดกันมาบ้าง คงต้องใช้วิจารญาณและทดสอบกันเองมากๆครับ แต่เรื่องบางเรื่องก็เสี่ยงเกินไปที่จะทดสอบ เพราะว่ากันเรื่องเคล็ดลับการทำงานของสมอง ถ้าทุกคนรู้ทางที่ถูกต้อง ใครๆก็อยากพัฒนาให้ดี ให้ฉลาด ให้ประสบความสำเร็จกันทั้งนั้น จากที่ได้ยินได้ฟังมา ส่วนใหญ่คนที่ประสบความสำเร็จเกิดจากการปฎิบัตอย่างยิ่งยวดและต่อเนื่องด้วยกันทั้งนั้น อันนี้โดยความเห็นส่วนตัวนะครับว่า เรื่องที่คุณว่ามา ว่าเรื่องการฆ่าตัดตอนความคิด,การแช่ในน้ำเย็น,การหารหัสที่ถูกต้องเพื่อประสบความสำเร็จ ดูเหมือนเป็นทางลัด ที่เจ็งมากๆ แต่เป็นไปในทางทฤษฎีเท่านั้น แต่มันยากมาากในทางปฎิบัติ (ถ้าอ่านครั้งแรกจะรู้สึกว่าเออ มันง่ายแค่นี้เองเหรอ แต่การปฎิบัตอย่างต่อเนื่องและยิ่งยวด นี่มันยากจริงๆครับ) ต่อเลยนะครับกำลังรออ่านเรื่อยๆ ครับ จากคุณ : BOSS เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 11:53:27 A:115.31.165.197 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 83 เห็นภาพประกอบ คห. 1 แล้ว มันรู้สึกร้อนขึ้นมาทันทีเลยอ่ะ >///< จากคุณ : Paultinus เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 12:43:30

ความคิดเห็นที่ 84 ต่อเลยครับ จขกท อยากอ่านต่อเหมือนกัน ขออภัยความเห็นบนๆของผมที่ขัดจังหวะครับ จากคุณ : billgate เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 13:20:54

ความคิดเห็นที่ 85 ยาวๆๆ มากครับ เดี๋ยวไปเรียนก่อน ค่อยกลับมาอ่านอีกที จากคุณ : Heimdall เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 13:21:53

ความคิดเห็นที่ 86 สะดุด รูปที่ 2 จากคุณ : ฉันยังอยู่ได้..คนดี เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 16:36:05

ความคิดเห็นที่ 87 กลับมาจากทำงานแล้วครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน เป็นกำลังใจอย่างยิ่งครับ อ่าน คห. คุณ BOSS แล้วนึกอยากจะเขียนความเห็นโดยการนำ 3 ทฤษฎี 3 เรื่องมารวมอธิบายให้เป็นเรื่องเดียวกัน คือ Freud, Maslow และ Free will เพราะเรื่องท้ายนี่มาโยงเข้ากับ 3 Neurons พอดี แต่ไม่เอาละเดี๋ยวยาวเกิน อ่านกันมาหลายกระทู้แล้ว สรุปก็แค่ เวลาจะทำ บางทีก็คิด บางทีก็ไม่คิด แล้วบางทีคิดผสมไม่คิด สะเปะสะปะ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามจะหาทางมาอธิบาย ถึงขั้นจะมาทำนาย ถ้าผมบอกว่า หัวใจคนเรามีเหตุผลเพียงพอที่จะบอกว่าได้ว่าเรื่องไหนไม่ต้องใช้เหตุผล แบบนี้ หัวใจที่ผมพูด หมายถึง Spindle Neuron ได้หรือเปล่าครับ ไม่ต้องเอาทฤษฏีเลยครับ ทำได้จริงๆ แน่นอน เพราะถ้าความรู้ไม่สำคัญเท่าจินตนาการจริงแล้วละก้อ หลักการไม่สำคัญเท่าการลงมือทำและมีวินัย ด้วยเหมือนกันครับ การลงมือ ไม่ได้แปลว่าจะสามารถทำไปจนสำเร็จ ต้องมี commitment & self-discipline ด้วยจึงจะไม่เลิกกลางคัน แต่ถ้าไม่เริ่มลงมือสักที ... เอาละย้อนมาย้อนไปอยู่อย่างนีีนี่เอง จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 19:55:20

ความคิดเห็นที่ 88 ช่วยกุนกดผ่านไฟเขียวให้ คห.1 หน่อยเร็วเดี๋ยวความรู้หายนะ จากคุณ : สกัดดาวรุ่ง เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 20:30:25

ความคิดเห็นที่ 89 เข้าเรื่องกันต่อ เป็นการบำบัดรักษาที่ทำกันต่างประเทศ ที่เมืองไทยไม่มีใครเขาทำกัน เป็นคุณคิดว่าจะเปิดรับได้ไหม? EMDR เป็นการบำบัดทางจิต สำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณืเลวร้ายมาในอดีต แลัวยังติดค้างหลอกหลอนอยู่ หรือมีอาการทางกาย เช่น ปวดศีรษะ เป็นโรคกระเพาะ นอนไม่หลับ หลังเหตุการณ์ร้ายเช่น อุบัติเหตุทำให้สูญเสียคนรัก ถูกข่มขืน ผ่านภาวะสงคราม ถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้ายจิตใจรุนแรง เวลารักษาก็ให้กลอกตาไป-มา มีการค่อยย้อนไปรำลึกและแก้ไขความรู้สึกในอดีตที่ติดอยู่ในความทรงจำ ให้ค่อยรับได้ทีละนิดละหน่อยเป็นขั้นตอน การรักษามี 8 ชั้น ใช้เวลารักษา 6 เดือน แล้วก็มีผลการวิจัย รายงานทางการแพทย์พิสูจน์ออกมา บอกว่าได้ผล เป็น evidence-base medicine แต่ถ้าถามว่ากลไกการทำงานของการบำบัดที่ทำให้ได้ผลคืออะไร คำตอบก็คือ ยังอธิบายไม่ได้ คิดว่าผมน่าจะลองถามหมอใช่ไหม? แต่ว่าผมอยากได้ความเห็นของอาชีพใดก็ได้ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะหมออาจจะคิดแต่เพียงแบบหมอ ผมบอกก่อนได้ว่า ในใจผมไม่ยอมรับ แต่เชื่อว่าอาจได้ผลจริงและอาจไม่จำเป็นต้องกลอกก็ได้มั๊ง แต่การกลอกตาเนี่ยสัมพันธ์กับเรื่อง สมองส่วนกลาง ที่คุณตาแป๊ะหวานเย็น แกล้งแหย่ ไว้ที่ คห. 75 และผมก็ค้นคว้ามาว่า สมองส่วนกลางไม่ได้เกี่ยวกับการมองเห็นเลย แต่มี Limbic system ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอารมณ์ สัญฃาตญาณ และจิตใต้สำนึก (โปรดพิจารณา ว่า ไม่ได้โจมตีใคร และไม่ใช่การแก้ตัวแทนใคร) เอาเรื่อง EMDR ไปศึกษาดูได้ครับ ถ้าให้ผมอธิบาย ผมว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับสมองส่วนกลาง ซึ่งฝรั่งบอกว่ายังไม่รู้ แต่รับรองว่าได้ผล ...งงม๊ะ http://en.wikipedia.org/wiki/Eye_movement_desensitization_and_reprocessing จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 20:31:16

ความคิดเห็นที่ 90 ผมคิดว่า นักวิทยาศาสตร์ต้องไม่เชื่ออะไรง่ายๆ พอๆ กับต้องไม่ยอมปฎิเสธง่ายๆ ที่ลองเก็บเรื่องใดไปคิดต่อครับ เหตุการณ์ที่เขาใช้ EMDR รักษา ทำให้คิดถึงหนังเรื่องหนึ่ง มี 3 ภาค จำกันได้ไหม นักวิทยาศาสตร์ควรดู เพราะมีเรื่องให้คิดต่อยอด เล่าเรื่องย่อก่อนเดี๋ยวชมตัวอย่างกัน ชีวิตของ นิค ลาร์สัน ไปได้ดีทั้งด้านการงานและความรัก งานในบริษัทกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนความรักกับศิลปินภาพถ่ายสาว จูลี่ มิลเลอร์ก็หวานชื่น เขาขอให้เธอเลิกล้มความตั้งใจที่จะไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก เพราะเชื่อว่าสักวันเขาจะมีเงินพอสำหรับเปิดแกลเลอรี่ให้เธอ แต่ชีวิตสมบูรณ์แบบของนิคกลับต้องพลิกผันเพราะโทรศัพท์เพียงกริ๊งเดียว เมื่อหัวหน้าของนิคโทรมาสั่งให้เขาเข้าบริษัทด่วนเพื่อเตรียมประชุมกับผู้ลงทุนในวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์มากมายที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาลก็เกิดตามมา ระหว่างทางกลับเข้าเมือง รถจี๊ปของนิคติดอยู่หลังรถบรรทุกที่ขับช้า เขาหักออกด้วยความใจร้อนเพื่อแซงหน้า แต่กลับเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุ ผลคือจูลี่ และเพื่อนทั้งสองของเขาเสียชีวิต 1 ปีผ่านไป นิคพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้ชีวิตเดิมกลับคืนมา แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น หน้าที่การงานเริ่มไม่ราบรื่น ขณะที่หัวหน้ากลับรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานบริษัท ไม่นานเหตุผลที่นิคไม่ได้เลื่อนขั้นก็เปิดเผย ระหว่างการประชุมกับนักลงทุน นิคเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง และมีอาการชักกระตุกแต่ไม่ถึงกับหมดสติ สาเหตุคือเขาถูกเร้าจากภาพความทรงจำ ซึ่งในกรณีนี้คือภาพถ่ายบริษัทที่มีเทรเวอร์อยู่ อาการนี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่งตอนที่นิคนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลหลังอุบัติเหตุ และเกิดขึ้นอีกครั้งตอนที่เขามองรูปจูลี่ และตอนนี้เมื่อเขาจ้องรูปเทรเวอร์ ภาพนั้นก็เหมือนฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ นิคเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ ภายในใจถูกความเจ็บปวดและภาพอดีตถาโถมเข้าใส่ และเมื่อความมืดเข้าครอบงำ เลือดกำเดาของเขาก็ไหลอ กมาเป็นทาง ดูเหมือนนิคกำลังประสบชะตากรรมเดียวกับ อีแวน ทรีบอร์น  ใน The Butterfly Effect ภาคแรก สิ่งที่นิคต้องเผชิญหลังจากนั้นคือเหตุการณ์ซับซ้อนน่าสะพรึงเกินคาดเดาที่เกิดขึ้นเมื่อเขาย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนอดีตซึ่งทุกครั้งต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส อำนาจการแก้ไขอดีตกลายเป็นความท้าทายสำหรับนิค เขารู้ว่าสามารถแก้ไขอดีตได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์อื่นๆอย่างไรบ้าง แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 20:57:36 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 20:42:08

ความคิดเห็นที่ 91 Emotional Freedom Techniques - EFT เป็นการบำบัดโดยฝรั่ง แต่ใช้วิชาของจีน คือจะใช้การเคาะๆ ที่จุดที่เขาใช้ฝังเข็มรักษาโรคของการแพทย์แผนจีน อธิบายว่า พอเคาะแล้วจะปลดปล่อยอารมณ์ในทางลบออกไป ไม่เก็บกดไว้ในร่างกายเป็นผลทำให้เกิดสุขภาพที่ไม่ดี อ่านพบตอนแรก ก็คิดว่า เอ้อ! ก็แล้วแต่จะคิดจะเชื่อกันไปนะ เพราะดูแล้วไม่น่าจะมีอันตราย แต่พอลองสืบค้นไป ปรากฎว่ามี สมาคม องค์กร ผู้ที่เชื่อถือเรื่องนี้กันมากมายอย่างเหลือเชื่อ จัดตั้งกันเป็นรูปแบบ เหมือนคลินิกมาตรฐาน มีคนไข้เยอะซะด้วย ใน Youtube ก็มีวิดีโอสอน แนะนำ โฆษณา อยู่เยอะมาก จนผมตกใจ หรือว่าผมตกข่าวอยู่คนเดียวก็ไม่รู้ ตอนแรกบอกว่าเพื่อสุขภาพ แต่เดี๋ยวนี้เขาใช้รักษากันแล้ว วิธีทำวิธีเรียนก็แสนง่าย ผมเอามาลองทำกับตัวเอง มาลองเล่นกับเพื่อนดูแล้ว เพื่อนปวดคอเพราะนอนตกหมอน ผมเล่าให้ฟังแล้วบอกว่า ฝรั่งเขาอธิบายว่า เคาะเดี๋ยวนั้นหายเดี๋ยวนั้นเลย แต่แค่ชั่วครู่เดียวนะ เพื่อนให้ผมทำ ผมก็เคาะหน้าผาก คาง อก ข้อมือ แบบในวิดีโอแหละ แล้วเพื่อนก็บอกว่าดีขึ้นเลย เพื่อนอีกคนปวดหัวผมเคาะให้ก็บอกดี อีกคนปวดท้อง เคาะไปเคาะมาหายได้ แต่เวลาผมเคาะตัวเอง รู้สึกว่ามันเจ็บตรงที่เคาะ เลยทำให้ลืมเรื่องเดิมไปเดี๋ยวนึง สนใจลองศึกษาดูสิ มีวิด๊โอลิ๊งค์มาให้ แต่ขอรายงานผลกันหน่อย พร้อมความคิดเห็นด้วยนะครับ คุณคิดอย่างไร? http://en.wikipedia.org/wiki/Emotional_freedom_technique แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 21:20:42 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 21:15:49

ความคิดเห็นที่ 92 คุยมายาว ไม่ได้นอกเรื่องนะครับ ผมวางไว้ว่าช่วงนี้อยากเล่าเรื่องของวงการแพทย์แนวแปลก แต่เรื่องเหรีญควอนตัม ขอไม่พูดถึง คนเขียนเยอะแล้ว เก่งๆ ทั้งนั้นด้วย ตั้งใจว่า ถ้ามีคนบอกว่ามันเป็นเรื่องของ จิตใจ ก็จะเข้าเรื่องต่อเลย ไม่มีคนบอกก็เข้าเรื่องได้ครับ เขียนเล่นๆ ไปเพลินๆ ถ้าใครมีอะไรดีเผื่อเขาอ่านแล้วจะสอนให้บ้าง พร้อมทั้งอยากเสนอมุมมองของวงการบำบัดต่างๆ เอาไว้คิดเล่น จริงหรือหลอก หรือเรายังรู้ไม่พอ แต่ก่อนเราชอบมีประเด็นกระแซะหมอดู แต่เดี๋ยวนี้หมอดูไม่มีใครอยากว่า เพราะ มักจะถือกันว่าแล้วแต่ความเชื่อ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มักจะไม่ชอบให้มีการหลอกลงต้มตุ๋นกันในสังคม ไม่อยากให้คนไม่รู้ตกไปเป็นเหยื่อคนคิดไม่ดี วิด๊โอต่อไปนี้ ผมว่าอธิบายเรื่องของหมอดูได้ดี ดูให้จบนะครับ สนุกมาก ขอบอก.. แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 54 21:37:24 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 21:35:18

ความคิดเห็นที่ 93 เป็นอะไรที่.... ยาวมากครับ ยอมแพ้ประมาณ คห. สามสิบกว่า ดึกแล้วครับ.. ตาลาย จากคุณ : Bassism เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 21:54:44

ความคิดเห็นที่ 94 Cold reading เคยถือกันว่าต้องมีทักษะในการอ่านคนที่เก่ง สัมผัสได้เร็ว เจอกันแป๊บเดียว พอจะบอกอะไรเกี่ยวกับคู่สนทนาได้มาก จาการสังเกตุเอา (อาจแบบ เชอร์ล็อค โฮล์ม) และอาศัยไหวพริบเฉพาะตัว ถือเป็นทักษะและความสามารถพิเศษในการสื่อสารชนิดหนึ่ง (Spidle Neuron อีกแล้ว) ต่อมามีผู้ดัดแปลงให้ใช้งานได้ง่ายเข้า ก็โดยอาศัยคำพูดกำกวม คลุมเคลือ บวกจิตวิทยาเข้าครอบงำคู่สนทนา มีอีกหลายเทคนิคนะครับ เช่น Shotgunning พูดเหมือนเจาะจง แต่ว่าทั่วไปมาก เช่น ให้ระวังคนใกล้ตัวที่ชื่อมีตัว ส หรือ อ ไว้นะ คนฟังก็จะคิดโยงไปหาความสัมพันธ์เอาเอง The Forer effect (Barnum statements) พูดกว้างๆ ซึ่งก็มักจะจริงกับทุกคนน่ะแหละ ว่า เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้คู่สนทนารู้สึกทึ่ง Warm reading หรือ hot reading ก็มีนะ The rainbow ruse พูดแทงกั๊ก 2 ทางตรงข้ามกัน คนก็บอก เออ! จริงแฮะ ถูกเลย (ก็แน่ละทุกคนก็มีอะไรผสมๆ กันทั้งดีทั้งร้าย อยู่แล้ว) เรื่องพวกนี้แพร่หลายจากวงการหมอดู มาสู่การขายตรง MLM หรืออะไรต่างๆ ผมเรียกไม่ค่อยถูก แต่ที่ร้าย คือ คนเริ่มเอามาใช้ในวงการเกี่ยวกับแพทย์ หรือการรักษา ทำให้คนหลงเชื่อได้โดยง่าย (เพราะไม่ได้อ่นกระทู้นี้--อิอิ) จึงทำให้โอกาสของการคิดค้นพัฒนาสิ่งใหม่ๆถูกปิดกั้น เพราะ คนเรารู้สึกไม่อาจไว้ใจใครได้ ทุกเรื่องมี 2 ด้าน เป็นความสัมพันธ์สอดคล้องกันไปได้ ในดีมีเลว บางครั้งในเลวก็มีดี ในวิทยาศาสตร์ก็มีศิลปะ ศิลปะก็อยู่ร่วมกับวิทยาสตร์ได้ เหมือนภาพ คห.1 ตอนแรกก็มีคนกังวล ต่อมาก็แซวอยู่บ่อย เผลอๆ อาจชอบดูหลายรอบกว่าอ่านกระทู้ซะอีก ผมก็เลยขอแถมวับๆ แวมๆ ให้อีก 1ภาพ เป็นปกเทปครับ ใครฟังเพลงรุ่นนี้ แสดงว่าน่าจะอยู่ยุคเดียวกัมผมครับ จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 22:09:05

ความคิดเห็นที่ 95 อุณหภูมิติดลบ ทำไมรูปบางรูปมัน hot เยี่ยงนี้ ขอบคุณสำหรับความรู้มากมายครับ ว่าง ๆ คงได้ปริ๊นออกมาอ่าน จากคุณ : LNL เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 22:49:03 A:223.205.128.245 X: TicketID:300933

ความคิดเห็นที่ 96 มีแต่คนบ่นว่ายาวนะครับ ผมใช้หนี้ที่อ่านของทุกท่านมาเยอะแล้ว แต่ผิดหวังเล็กๆ ที่ไม่ค่อยได้ไอเดียมาแลกเปลี่ยนหรือคำชี้แนะ อาจไม่ใช่วันนี้ ยังไงจะตามมาดู มาตอบอีก (ถ้ามีคนแวะเข้ามาถาม) วันนี้ฝากไว้ด้วยวิด๊โอสนุกๆ ไม่รู้ว่าเขาหลอกกัน หรือเขาหลอกเรา ผมเคยลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้ แต่ไม่ได้ผลครับ ความสามารถคงไม่ถึง แต่น่าสนใจนะครับ ลองดู จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 22:50:03

ความคิดเห็นที่ 97 ติดตามมาตลอด น่าจะติดตรงภาษาอังกฤษกัน ซะมากกว่า เรื่องมันค่อนข้างลึก แต่ก็น่าติดตามมาก หลายอย่างที่ได้เห็นในวันนี้ มันไม่ค่อยมีแปลกัน คนเลยยังเข้าถึงได้ยาก คิดว่านะ จากคุณ : BOSS เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 22:56:05 A:58.64.111.80 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 98 อีกอย่างมันมีหลายเรื่องในเรื่องเดียวกันหนะครับ เลยสับราง เอ้ย เปลี่ยน mode ไม่ถูก... คือถ้าจัดเป็นอาทิตย์ละตอนนะ ผมลองจัด script เล่นๆตามนี้นะ โดยแปลเป็นไทยอ่ะ 1 Social Intelligence & Biology of Leadership 2 EMDR การบำบัดทางจิต 3 สรุป Neurons ทั้ง 3 ตัว 4 Emotional Freedom Technique 5 Cold reading ผมว่าได้ vote ทุกกระทู้ ทุกอาทิตย์แน่ๆเลยด้วย คือบางทีมากไปใน 1 กระทู้รับไม่ไหวจริงๆ จากคุณ : BOSS เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 23:05:25 A:58.64.111.80 X: TicketID:295959

ความคิดเห็นที่ 99 -ขอบคุณ คุณ BOSS ไม่ได้หว้ง กระทู้ vote ครับ แต่เข้ามาใช้หนี้ที่อ่านแต่ของคนอื่นครับ และที่จริง ผมต้องให้ข้อมูลเหล่านี้แก่คนบางคน เพื่อขอความคิดเห็นหรือคำปรึกษา ขอมาฝากไว้เป็นกระทู้ด้วยเลย เผื่อได้ความเห็นเพิ่ม และในใจก็อยากแบ่งปันความรู้กัน โดยระมัดระวังอย่างยิ่ง ใม่ให้ห้องหว้ากอเสื่อมเสีย และชาวหว้ากอไม่เสียความรู้สึก ที่จะมีคนมาใช้สถานที่นี้ แสวงหาผลประโยชน์ ด้านการค้า โฆษณาชวนเชื่อ งานผมเองก็ยุ่งอยู่มากครับ กลางวันไม่ค่อยว่างก็ไม่ค่อยมีเวลาโพสต์ เพิ่งเมื่อคืนได้นอนเต็มตื่นถึง 6 ชั่วโมง แต่จะพยายามหาเวลามาแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันบ่อยๆ ภาษาอังกฤษ ผมไม่เก่งครับ แค่พอได้ อ่านเฉยๆ OK อยู่ แต่ถ้าต้องแปลเรียบเรียงออกมาสำนวนคงไม่ได้ความ แค่เขียนภาษาไทย หลายคนคงคิดว่าอ่านเข้าใจยากอยู่แล้ว ผมมักเรียนจากภาพ ก็อาศัย youtube มากเลย เพราะพอฟังภาษาได้เหมือนๆ ดูโทรทัศน์ หรือคุยกันกับเพื่อน เลยเป็นการฟังมาเล่าต่อซะมาก ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ติดตาม (และอาจจะมีอยู่แค่คนเดียวก็ได้) ยังมีข้อมูลอีกนิดหน่อย จะทยอยเขียนต่อให้จบตามที่ตั้งใจไว้ ก็ต้องขอโทษเรื่องความยาวของกระทู้ไว้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 54 10:07:10 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 54 09:52:47

ความคิดเห็นที่ 100 - แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 54 10:11:25 แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 54 10:09:49 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 54 09:54:47

ความคิดเห็นที่ 101 - แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 54 10:37:00 แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 54 10:34:43 จากคุณ : OII-BALECI (011-baleci) เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 54 09:55:49