 |
*****เรื่องราวต่อจากหัวกระทู้นะครับ*****
เมื่อนักศึกษาคณะการตลาดผู้นั้นกลับมายังกรุงเทพฯก็ได้เสนอแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนชื่อของ "น้ำกล้วย" นี้กับเพื่อนสนิทของตนเอง ก่อนจะเปรยว่าตนเองตั้งใจจะไปรับน้ำกล้วยจากลุงคนดังกล่าวมาขายต่อในกรุงเทพฯเพื่อเป็นรายได้เสริม ทว่าระหว่างนั้นดันเป็นช่วงสอบปลายภาค ประกอบกับที่ตัวเขามีธุระหลายอย่างจึงได้หยุดพักเรื่องนี้ไปเป็นการชั่วคราว ...กระทั่งเวลาผ่านไปหลายเดือน...
นักศึกษาคนดังกล่าวเดินทางไปหาลุงคนขายน้ำกล้วยโอท็อปอีกครั้งหนึ่งด้วยความตั้งใจจะไปเสนอแผนการตลาดกับคุณลุง แต่ปรากฏว่าร้านขายน้ำผลไม้ของคุณลุงนั้นไม่อยู่เสียแล้ว เมื่อสอบถามจากผู้คนบริเวณนั้นจึงทราบว่าคุณลุงได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านใหม่ซึ่งสร้างอยู่ในตัวจังหวัดแล้ว ดังนั้นนักศึกษาคนดังกล่าวจึงเดินทางไปตามที่อยู่และพบว่าว่าบ้านของคุณลุงนั้นมีขนาดใหญ่โตโอ่อ่าพอสมควร และเขาได้เจอกับคุณลุงคนขายน้ำกล้วยที่ขับรถเก๋งยุโรปมาเพื่อจะเข้าบ้านพอดีจึงได้เข้าไปทักทายและเข้าไปคุยกันในบ้าน
ทว่าเมื่อได้มานั่งคุยกันนักศึกษาผู้นั้นก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด เพราะคุณลุงบอกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมีได้ชายหนุ่มนักศึกษาจากในกรุงเทพฯมาติดต่อขอเอาน้ำกล้วยจากคุณลุงไปขายต่ออีกทีโดยเขาเสนอกับคุณลุงว่าตั้งใจจะเปลี่ยนชื่อกล้วยเป็น..."พรรณนา"... ซึ่งเมื่อนักศึกษาผู้นั้นเอาสินค้าไปเปลี่ยนชื่อ ปรับปรุงสูตร และทำการออกแบบบรรจุภัณท์เสียใหม่ด้วยความช่วยเหลือของคนรู้จัก ปรากฏว่าน้ำดังกล่าวสามารถขายได้ดีมากแลมียอดสั่งจองจากร้านอาหารและโรงแรมต่างๆอย่างล้นหลาม
นั่นจึงทำให้คุณลุงที่ตอนนี้มีหน้าที่คอยดูแลการส่ง "น้ำกล้วย" ไปให้บริษัทจัดจำหน่ายที่นักศึกษาคนนั้นตั้งขึ้นมาพลอยมีเงินมีทองไปด้วย และเมื่อเขาสอบถามถึงชื่อของนักศึกษาผู้นั้นชายหนุ่มก็ต้องตกตะลึงเพราะหมอนั่นคือ "เพื่อนสนิท" ที่เขาเอาความคิดเรื่องน้ำกล้วยไปเล่าให้ฟังในตอนแรกนั่นเอง และปัจจุบันเพื่อนคนนี้ก็ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยไปทำธุรกิจขายส่งน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ โดยอาศัยเงินทุนจากการขายน้ำกล้วยเป็นจุดเริ่มต้นก่อนจะขยายกิจการไปยังผลิตภัณท์อื่นๆจนกลายเป็นมหาเศรษฐีรุ่นเยาว์ผู้โด่งดังในเวลาต่อมา
ส่วนนักศึกษาคณะการตลาดผู้นั้นหลังจากโดน "เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด" ก็มีสภาพเหมือนถูกไม้เบสบอลฟาดเข้าที่กกหูอย่างรุนแรง ก่อนที่จะเริ่มทำใจหันไปตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือย่างซังกะตายจนจบปริญญาตรีในที่สุด และเขาได้ใช้เวลาอีกสามปีต่อมาในการนั่งกินๆนอนๆ เล่นอินเตอร์เน็ต เรียนปริญญาโท เรียนภาษา ท่องเที่ยว กินเหล้า ออกไปเที่ยวกลางคืน ไปนั่งชิวตามร้านกาแฟ หาแฟน ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ขณะที่เพื่อนขายน้ำผลไม้นั้นกำลังทำงานอย่างหนักเช้ายันเย็นเพื่อก่อร่างสร้างตัว จน 3 ปีผ่านไปนักศึกษาคณะการตลาดคนนั้นจึงได้กระทำแบบนักศึกษาจบใหม่จำนวนมาก ด้วยการเข้าไปสมัครงานยัง "บริษัทมหาชน" ชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งมีสำนักงานอยู่บริเวณย่านถนนสายธุรกิจใจกลางเมือง
โดยเงินเดือนเริ่มต้นของเขาที่บริษัทแห่งนี้คือ9,500บาทถ้วนพร้อมการเริ่มต้นชีวิตก้าวเข้าสู่วังวนของการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในสังคมการทำงาน ขณะที่(อดีต)เพื่อนสนิทซึ่งเอาน้ำกล้วยไปขายและเรียนไม่จบปริญญาตรีคนนั้นปัจจุบันกลายเป็นมหาเศรษฐีวัยเยาว์ผู้สามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลจากการขายส่งน้ำผลไม้และสินค้าแปรรูปที่ปัจจุบันได้ขยายตลาดไปยังเมืองนอกเมืองนาทำให้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายเป็นกอบเป็นกำในที่สุด
**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า** ชีวิตคนเราไม่มีอะไรสมดังใจไปทุกเรื่อง ใบปริญญาไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จในชีวิต และโลกแห่งความเป็นจริงนั้นมักโหดร้ายกับผู้อ่อนแอเสมอ
..เอวัง -_-"..
(May the Spoil be with you) ขอาสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน
แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 54 22:20:58
จากคุณ |
:
เจไดหนุ่ม
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ม.ค. 54 22:16:21
|
|
|
|
 |