ความคิดเห็นที่ 1 ธนบัตรต้องมีทองคำค้ำประกันครับไม่อย่างนั้นจะมีค่าแค่กระดาษธรรมดา ส่วนเหรียญที่ผลิตได้ไม่จำกัดเลยฮะ จากคุณ : โลมาราดซอส เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 08:03:21

ความคิดเห็นที่ 2 >ส่วนเหรียญที่ผลิตได้ไม่จำกัดเลยฮะ เหรียญ ผลิตได้ไม่จำกัด เพราะใช้โลหะ ที่มีมูลค่า พอๆ (หรือน้อยกว่าเล็กน้อย) กับราคาหน้าเหรียญ มันมีมูลค่าในตัวมันเอง จากคุณ : Funnyy เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 08:13:11

ความคิดเห็นที่ 3 ระหว่างประเทศ นาย A เลี้ยงปลา นาย B ปลูกผัก นาย A อยากกินผัก นาย B ก็อยากกินปลา ทั้งคู่เลยตกลงแลกของกันด้วยอัตตราส่วน ปลา 1 ตัว ต่อผัก 1 มัด ต่อมาความต้องการกินผักของนาย A ลดลง (ก็มันไม่อร่อย) แต่ความต้องการกินปลาของนาย B กลับเพิ่มขึ้น (ก็ปลามันอร่อยกว่าผัก) นาย A ไม่อยากกินผักเลยไม่อยากแลกของกับนาย B แต่นาย B อยากกินปลามาก เลยเสนอนาย A ว่าจะเพิ่มอัตตราแลกเปลี่ยนเป็น ปลา 1 ตัว ต่อผัก 3 มัด นาย A เลยยอมให้แลก การซื้อขายระหว่างประเทศ ถ้าประเทศ A ต้องการซื้อของจากประเทศ B จะต้องนำเงินของประเทศ A ไปซื้อเงินของประเทศ B และอยู่ในเงื่อนไขต่อรองที่พอใจทั้งสองฝ่าย (เหมือน ปลา กับ ผัก) ======================================== ภายในประเทศ นาย A มีลูกขี้เกียจ 5 คน แต่ละคนได้เงินเดือนคนละ 1000 บาท ลูกแต่ละคน ขี้เกียจทำงาน โดยจะใช้เงินนั้นจ้างกันเอง ต่อมานาย A เห็นว่าเงินเดือนอาจจะน้อยเกินไปเลยเพิ่มขึ้นเป็น 2000 บาท แต่ว่าลูกแต่ละคน ก็ยังขี้เกียจทำงาน และเอาเงินไปจ้างกันและกันเองเหมือนเดิม แต่ใจจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น การพิมพ์เงินภายในประเทศ ทำได้อย่างอิสระ แต่จะต้องอยู่ในความเหมาะสม ไม่เช่นนั้นเงินภายในประเทศจะเฟ้อ เพราะคนไม่ได้ทำงานเพิ่มขึ้น แต่ค่าเงินเพิ่มขึ้น จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 08:13:15

ความคิดเห็นที่ 4 เงินกำลังจะเฟ้อนะ ระวังๆหน่อย จากคุณ : ผีฟรีคิก เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 08:34:41

ความคิดเห็นที่ 5 ตอนนี้คงไม่เฟ้อหรอครับ เงินเฟ้อคือ เงินมีค่าลดลง >>> ของแพงขึ้น เพราะตอนนี้คือ เงินหมด T___T เงินได้เท่าเดิม ของแพงชิบ จากคุณ : arbuzayab เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 08:50:57

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อก่อนจะพิมพ์ธนบัตรรวมทั้งเงินเหรียญ(บาท) ต้องมีทองคำ ค้ำประกัน  แต่สมัยนี้ไม่ต้องแล้ว ครับ การเพิ่มหรือลดปริมาณเงิน ในระบบการเงิน(ประเทศไทย+ทั่วโลก) แบงค์ชาติเป็นผู้ดูแล โดยยึดหลัก อุปสงค์และอุปทานของเงิน ในระบบ(ประเทศไทย+ทั่วโลก)  ที่เหมาะสมกับ ศก.ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คิดง่ายๆคือ เงินสกุลใดๆก็ตาม คือสินค้าชนิดหนึ่ง ที่มีทั้งอุปสงค์และอุปทาน ถ้าเงินสกุลใดสกุลหนึ่ง มีในระบบมากเกินไป มูลค่ามันก็ลดลง  แต่ถ้ามีน้อยเงินเกินไปมูลค่าก็จะเพิ่มขึ้น  (มันก็จะไปสร้างความเสี่ยงเรืองเงินฝืด และเงินเฟ้อตามมา) การปล่อยให้มากเกิน ก็ไม่ดี น้อยเกินก็ไม่ดีกับการเติบโตทาง ศก. ทางธนาคารกลางของแต่ละประเทศต้องควบคุมให้เหมาะสม กับการเติบโตทาง ศก. ธนาคารกลาง(แบงค์ชาติ)ของแต่ละประเทศ ส่วนมากก็จะยึดหลักนี้ รวมทั้ง ธนาคารกลางของอเมริกา ที่เมื่อกรณีวิกฤติทางการเงิน ที่ผ่านมา ก็ออกมาให้ข่าวเรื่องเพิ่มปริมาณเงิน(พิมพ์เงิน) เพื่อไปค้ำประกันสถาบันการเงินต่างๆ แบบ ไม่จำกัดปริมาณเงิน ซึ่งอเมริกาเขาทำได้เพราะเงินดอลลาร์ของเขาได้รับความเชื่อมั่นไปทั่วโลก (ตอนนี้อเมริกอาจมีความเสี่ยงในเรื่องการด้อยค่าของทรัพย์สินและค่าเงินบ้าง - แต่เขาก็ต้องเลือกที่จะทำ แล้วไปหาทางป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวในภายหลัง) เรื่องทางเศรษฐศาตร์ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  คือบางครั้งใช้การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์(สถิติ)ได้ แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องของความเชื่อ ทฤษฎีทาง ศศ.บางครั้งเหมือนทฤษฎีทางวิทยาศาตร์อื่นๆ แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องของความเชื่อ(รอการพิสูจน์) ศศ มันมีเรื่องน่าตลกและแปลกใจหลายอย่าง เช่น นัก ศศ. ที่ได้รางวัลโนเบล สองท่าน ได้รางวัลโนเบล(ต่างปีกัน) เพราะพิสูจน์ทฤษฎี ทาง ศศ. ที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง  ขอพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ คนแรกได้รางวัลโนเบลเพราะบอกว่า ตึกนี้สีดำ และต่อมานัก ศศ.อีกท่านก็ได้รางวัลโนเบล เพราะบอกว่า ตึกนี้สีขาว  หลังจากนั้นก็อยู่ที่นัก ศศ.รุ่นหลังๆจะเลือกที่จะเชื่อใคร.555 จากคุณ : ทองนพคุณ เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 09:07:33

ความคิดเห็นที่ 7 ได้ แต่ค่าเงิน จะอ่อนลง จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 09:20:51

ความคิดเห็นที่ 8 การพิมพ์เงินจะต้องให้สมดุลกับสินค้าที่ผลิดได้ในประเทศ ถ้าสินค้ามีมาก  แต่พิมพ์เงินออกมาน้อย   เงินจะมีค่าสูงครับ แต่ถ้าสินค้ามีน้อย แล้วพิมพ์เงินออกมามาก  ค่าเงินก็จะลดลงตาม % ที่พิมพ์ออกมาครับ จากคุณ : บุญถิ่น เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 09:25:19

ความคิดเห็นที่ 9 #8  ผลิต จากคุณ : บุญถิ่น เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 09:26:11

ความคิดเห็นที่ 10 ต้องมีทองค้ำประกันครับ มีอเมริกานะแหละ ที่พิมพ์แบงค์กงเต๊กเล่น จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 09:57:19

ความคิดเห็นที่ 11 เอ่อ  สงสัยครับ แบงค์ชาติเป็นผู้กำหนดว่าจะพิมพ์ หรือ ผลิต เงินออกมาสู่ท้องตลาด เมื่อวิเคราะห์แล้วว่าต้องพิมพ์เงินเพิ่มเข้าสู่ตลาด  พิมพ์แล้วเอาไปให้ใครครับ ? ไล่แจกประชาชนเหรอ?  ผมทำงานผมก็ได้เงินเดือนเท่าเดิมแสดงว่าเมื่อมีเงินเพิ่มในระบบก็ต้องมีใครสักคนรวยขึ้น เขาถึงมีอำนาจซื้อเพิ่มทำให้เงินในกระเป๋าผมมีค่าลดลง บทวิเคราะห์ผมผิดตรงไหน จากคุณ : หมูน่ารักจริงๆ เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 10:05:28

ความคิดเห็นที่ 12 เคยเรียนเศรษฐศาสตร์นิดหน่อย คล้าย ๆ กับว่า เป็นวิชาจิตวิทยามวลชน ถ้าประชาชนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจก็จะเป็นแบบนั้น จากคุณ : SRJ เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 10:19:58

ความคิดเห็นที่ 13 ตอบ คห. 11  ก็เอามาหมุนเวียนในตลาดนี่แหละครับ ไม่ได้เข้ากระเป๋าใคร  บางส่วนที่พิมพ์ออกมา ก็เพื่อทดแทนธนบัตรเก่าที่ชำรุดครับ จากคุณ : แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 10:22:53

ความคิดเห็นที่ 14 เข้าใจว่า เงินที่ผลิตได้มา จะถูกนำไปขายต่อให้กับแบงก์พาณิชย์ทั้งหลาย ได้ซื้อเอาไปจับจ่ายใช้สอย เงินก็ถือเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง มีซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ ใครร้อนเงิน ก็ต้องซื้อในราคาแพงกว่าชาวบ้านเขาหน่อยนึง จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 10:40:58

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นที่ 13 ไม่เข้าใจครับ  เอามา หมุนเวียนในตลาด  มันจะเข้าไปเพิ่มไปลดได้ยังไง  เพราะประชาชน รับเงินเดือนก็เท่าเดิม  พ่อค้าแม่ค้าก็ขายได้รายได้เท่าเดิม  แล้วใครมันจะเริ่มรับเงินเพิ่มส่วนนี้ ส่วนเรื่องทดแทนธนบัตรเก่านั้น เข้าใจครับ เพราะจำนวนเงินในมือของแต่ละคนยังคงเท่าเดิม เพียงแต่เปลี่ยนใบธนบัตรให้ใหม่ขึ้น จากคุณ : หมูน่ารักจริงๆ เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 11:18:10

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบคำถามชัดๆตรงๆก่อน เงินในประเทศผลิตได้ไม่จำกัดค่ะ ไม่ต้องมีทองคำสำรอง การพูดเรื่องทองคำสำรองเป็นแต่เพียงทฤษฎี เคยมีการประชุมตกลงกันแต่ตกลงกันไม่ได้ มีบางประเทศ มีบางครั้ง ทองคำสำรองที่ว่ามีใน Federal reserve นั้นเป็นแต่เพียงหลอกๆกันเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าทองปลอม มีทองจริงๆแต่เงินที่พิมพ์ออกมานั้นมากกว่าทอง อเมริกาล่ะตัวดีพิมพ์เท่าไหร่ก็ได้ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นพิมพ์เงินไทยออกมาใช้เยอะแยะ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปถามว่าหลักฐานพยานอะไร มันเหมือนชนชั้น เหมือนทาส ถามว่ายังมีอยู่ในสังคมไหม เดี๋ยวจะไปไกลเป็นเรื่องสังคมและเศรษฐศาสตร์มหภาค ...ขึ้นย่อหน้าใหม่ เศรษฐกิจทุกวันนี้ วันหนึ่งมันก็ล้ม ซึ่งมันล้มและฟื้นหลายครั้งแล้ว และพยุงๆไป ไม่รู้เมื่อไหร่ล้มหรือล้มเหลวอีก ทำอย่างไรไม่ให้มันล้ม ตอบกำปั้นทุบดินคือยกเลิกระบบเงินตราแล้วใช้สินค้าแลกเปลี่ยน เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง แต่มันไม่ได้เพราะตอนนี้เราอยู่ในระบบทุนนิยม เปลี่ยนจากทาสแบบบังคับมาเป็นทาสแบบใช้เงินจ้าง คนที่รวยมากๆ(ยังไม่เข้าเนื้อหาว่ารวยได้อย่างไร)ก็เป็นสังคมระดับบนไม่ต้องทำอะไร ใช้เงินให้คนระดับล่างทำงานให้  อ้าวแล้วแบบนี้จะแก้อย่างไร ความเห็นส่วนตัวคิดว่าจำกัดเพดานรวย และจำกัดการถือครองทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัดเช่นที่ดิน เก็บภาษามรดกเยอะๆ (แต่มันก็มีข้อเสียเหมือนกัน แต่ยอมรับได้) และให้ทำธุรกิจหรือใช้ชีวิตแบบพอเพียงมากขึ้นซึ่งพึ่งพาตัวเองได้รวยแบบนิ่มๆไม่รวยมากแต่จะไม่มีวันล้ม  แบบว่าคนรวยปลูกข้าวและเลี้ยงปลากินเองไม่ใช่ใช้แรงงานชาวนาและกรรมกร สรุป ทุกวันนี้เรามีเงินในระบบมากเกินไป มีคนรวยมากเกินไป ทั้งจำนวนคนและปริมาณความรวย คือสังคมมันจะแย่งกันขึ้นไปอยู่ข้างบนเรื่อยๆ เงินจะเฟ้อเรื่อยๆ(ยังไม่พูดเรื่องBOT ธนาคารชาติ เพราะเขาบริหารเงินความได้เปรียบเสียเปรีบของชนชั้นอยู่ เช่นเรื่องล้มบนฟูกเป็นต้น) จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 11:30:41

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าไม่ระยําแบบอเมริกาพิมพ์กระดาษเป็นเงินทีละล้านๆๆๆๆๆๆๆ ทําไม่ได้นะเนี่ย จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 12:02:41 A:183.89.173.117 X: TicketID:308932

ความคิดเห็นที่ 18 ู^ ^ ถูกใจ ๆ จากคุณ : cpu4core เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 12:09:45

ความคิดเห็นที่ 19 #13  ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง  แต่จะเป็นแบบนี้ไหม สมมุติมีสินค้าสต๊อกในประเทศ  หนึ่งล้านชิ้น  ราคาชิ้นละ 1 บาท ถ้ารัฐพิมพ์เงินออกมา หนึ่งล้านบาท ก็จะสามารถซื้อสินค้าได้ หนึ่งล้านชิ้นพอดี แต่ถ้ารัฐพิมพ์เงินออกมา สองล้านบาท สิ้นค้าเหล่านั้นก็จะมีราคาชิ้นละ 2 บาท ลองคิดดูจะเป็นอย่างนี้ไหมครับ และการพิมพ์เงินของรัฐไม่มีขีดจำกัด ขึ้นอยู่กับความจำเป็นครับ เช่น ลาว  เขมร  เวียดนาม  สมัยส่งครามการผลิตน้อย แต่รัฐมีความจำเป็นต้องใช้เงิน   จึงพิมพ์เงินออกมาจำนวนมากเพื่อใช้จ่ายในสงคราม  ทำให้ค่าเงินตกอย่างรุนแรง ต่ำกว่าของเราอย่างมากเลยครับ จากคุณ : บุญถิ่น เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 12:22:00

ความคิดเห็นที่ 20 การออกใช้ธนบัตรและทุนสำรองเงินตรา http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/BMD/Pages/issue_note.aspx การออกใช้ธนบัตร                    การออกใช้ธนบัตรเพื่อหมุนเวียนในระบบเงินตราเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  โดยมีสายออกบัตรธนาคาร ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ ธปท. ทำหน้าที่ในการออกใช้ธนบัตรภายในประเทศ สำหรับปริมาณธนบัตรที่ออกใช้ในปีหนึ่ง ๆ นั้น ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ และความต้องการใช้ธนบัตรชนิดราคาต่าง ๆ ของประชาชน ส่วนอัตราเพิ่มของมูลค่าธนบัตรออกใช้จะเป็นอัตราที่พอเหมาะกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ          พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๕๐๑ มาตรา ๑๖ กำหนดไว้ว่าการนำธนบัตรออกใช้จะทำได้เพียง ๒ กรณี เท่านั้น คือ          ๑. แลกเปลี่ยนทันทีกับธนบัตรที่ออกใช้ไปก่อนแล้วถอนคืนจากการออกใช้ในมูลค่าเท่ากัน          ๒. แลกเปลี่ยนทันทีกับสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีค่าเท่ากัน และระบุไว้ในมาตรา ๓๐ ซึ่งจะต้องรับขึ้นบัญชีทุนสำรองเงินตรา ทุนสำรองเงินตรา       ทุนสำรองเงินตรา คือ สินทรัพย์ที่ใช้หนุนหลังธนบัตรออกใช้ สินทรัพย์ดังกล่าว ธปท. จะต้องรักษาและกันไว้ต่างหากจากทรัพย์สินอื่น ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในค่าของธนบัตรและเป็นหลักประกันว่าการออกใช้ธนบัตรมีขอบเขตอยู่เท่ากับสินทรัพย์ที่จะมาเป็นทุนสำรองเงินตรา          พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๕๐๑ มาตรา ๓๐ กำหนดสิ่งอันชอบด้วยกฎหมายที่ประกอบขึ้นเป็นทุนสำรองเงินตรา ดังนี้          ๑. ทองคำ          ๒. เงินตราต่างประเทศอันเป็นเงินตราที่พึงเปลี่ยนได้ หรือเงินตราต่างประเทศอื่นใดที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ทั้งนี้ ต้องเป็นรูปเงินฝากในธนาคารนอกราชอาณาจักร               หรือในสถาบันการเงินระหว่างประเทศ          ๓. หลักทรัพย์ต่างประเทศที่จะมีการชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศที่ระบุไว้ในข้อ ๒.          ๔. ทองคำ สินทรัพย์ต่างประเทศ และสิทธิพิเศษถอนเงิน ทั้งนี้ ที่นำส่งสมทบทุนกองทุนการเงิน          ๕. ใบสำคัญสิทธิซื้อส่วนสำรอง          ๖. ใบสำคัญสิทธิพิเศษถอนเงิน          ๗. หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่จะมีการชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศที่ระบุไว้ในข้อ ๒. หรือเป็นบาท          ๘. ตั๋วเงินในประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพึงซื้อหรือรับช่วงซื้อลดได้ แต่ต้องมีค่ารวมกันไม่เกินร้อยละยี่สิบของจำนวนธนบัตรออกใช้          สินทรัพย์ตาม ข้อ ๑  ๒  ๓  ๔  ๕ และ ๖ นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องจัดดำรงไว้ให้มีค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบของมูลค่าธนบัตรออกใช้ จากคุณ : นิสิต เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 12:27:56

ความคิดเห็นที่ 21 พิมพ์ออกมาโดยไม่จำกัดจะกลายเป็นซิมบับเวสอง จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 12:28:47

ความคิดเห็นที่ 22 #1 ทำไมเหรียญถึงผลิตออกมาได้โดยไม่ต้องีอะไรมาค้ำประกันเหมือนธนบัตร ในเมื่อมันก็เป็นเงินเเหมือนกัน?? อย่างนี้แทนที่จะผลิตธนบัตรออกมา 100 ล้าบาท ก็สู้ผลิตเหรียญ 100 ล้านบาทไม่ดีกว่าหรือ?? จากคุณ : อย่ามาห้ามผม เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 12:38:30

ความคิดเห็นที่ 23 ก่อนอื่นต้องออกตัวว่า ไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์มา  แต่มีความเข้าใจง่ายๆ ถึงแนวคิดในการออกธนบัตร ดังนี้ครับ สมมติว่า เรามีทองคำแท่งอยู่ในบ้าน 1 แท่ง  วันหนึ่ง เราอยากได้ข้าวสารจำนวนหนึ่ง มีมูลค่าเท่ากับทองคำของเรา 1 แท่ง   เราก็ต้องแบกเอาทองแท่ง 1 ก้อน ไปแลกกับคนขายข้าวสาร เพื่อให้ได้ข้าวสารมา แต่ถ้าเรารู้จักกับคนขายข้าวสารมาก่อน  และคนขายก็รู้ว่า ที่บ้านเรามีทองที่จะมาแลกข้าวสารไป เราก็บอกกับคนขายข้าวสารว่า เอางี้แล้วกัน  เราจะเขียนหนังือให้กับคนขายถือเอาไว้ว่า  เมื่อใดก็ตามที่คนขายข้าวสารอยากได้ทองคำ 1 แท่งที่ว่า  ก็ให้เอาหนังสือฉบับนี้ถือมาหาเรา  เราก็จะเอาทอง 1 แท่งส่งมอบให้    เท่านี้ คนขายก็รับหนังสือเราไป  ทองคำแท่งก็ยังอยู่ที่เรา แต่เราต้องเก็บสำรองไว้ เอาไปขายอีกไม่ได้ มิฉะนั้น เราจะไม่มีทองมาให้คนขายข้าวสารเมื่อเขาเอาหนังสือมาคืนเรา ต่อไป เราก็อาจจะเพิ่มรายละเอียดในหนังสือนี้ต่อไปอีกว่า  ใครก็ได้ที่ถือหนังสือนี้ ไม่เฉพาะแต่คนขายข้าวสาร เมื่อเอาหนังสือนี้มาหาเรา เราก็จะมอบทองคำ 1 แท่งให้เช่นกัน    คนขายข้าวสาร รับหนังสือเราไป  ต่อมา คนขายข้าวสาร ต้องการไปซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา มาสีเป็นข้าวสารขาย   ปกติคนขายข้าวสารก็ต้องเอาทองคำไปแลกข้าวเปลือกจากชาวนา   ตานี้ คนขายข้าวสารก็บอกกับชาวนา เช่นเดียวกับที่เราบอกกับคนขายข้าวสาร  ว่า เอาหนังสือจากเจ้าของทองคำไปแทนทองคำก็แล้วกัน  ชาวนา เชื่อถือเจ้าของทองคำ และคุ้นเคยกับคนขายข้าวสาร จึงยอมรับหนังสือของเรา และส่งมอบข้าวเปลือกให้คนขายข้าวสารไป เราในที่นี้ ก็คือ ประเทศไทย หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย    หนังสือที่ว่าก็คือ ธนบัตรไทยนี้เอง   ธนบัตร จึงเกิดขึ้น จากแนวคิดที่ว่า ผู้ออกธนบัตร มีความสามารถที่จะชำระหนี้ตามมูลค่าที่ระบุในธนบัตร  ผู้ถือธนบัตรจะพิจารณาจากความสามารถของผู้ออกธนบัตรเพื่อให้มั่นใจว่า ผู้ออกธนบัตร มีทรัพย์สินในเซฟหรือในคลังทรัพย์สินของตน เพียงพอที่จะใช้หนี้ได้   แต่ถ้าไปเจอเจ้าสัว เห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นเจ้าสัว  บางที คนรับธนบัตร อาจไม่ต้องไปคำนึงเลยว่า ในเซฟของเจ้าสัว มีทองคำกี่แท่ง   เจ้าสัวที่ว่า ก็มีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ สหรัฐอเมริกา  เพราะสหรัฐสามารถออกธนบัตรดอลล่าร์ได้โดยไม่ต้องไปดูสัดส่วนของทองคำสำรองของตนเลย แต่ดูจาก” มูลค่าทางการค้าของระบบเศรษฐกิจ”ของตนเป็นหลัก  ส่วนเจ้าสัวน้อยๆ หรือ เจ้าสัวใหม่ หรือประเทศที่กำลังจะเป็นเจ้าสัว(กำลังพัฒนา)  คนที่จะรับธนบัตร เขาอาจไม่มั่นใจในระบบเศรษฐกิจ เหมือนเจ้าสัว เขาจึงต้องคำนึงถึงทองคำในเซฟของแต่ละรายเป็นหลัก   ในทางกลับกัน แต่ละประเทศจึงต้องมีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ภายในของตน เพื่อที่จะควบคุมการออกธนบัตรให้เหมาะสม มิฉะนันจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อมูลค่าธนบัตรของตนได้  ไม่ใช่ออกไปได้เรื่อยเปื่อย เงินไม่พอ ก็พิมพ์แบงก์ออกมา  หายนะเกิดแน่ๆ   ลองดูตัวอย่างเปรียบเทียบ กรณีคนขายข้าวสาร  ถ้าข้อเท็จจริงเปลี่ยนเป็นว่า เราเป็นคนใจใหญ่ ใช้เงินมือเติบ  เรามีทองคำแท่งเดียว  ออกหนังสือให้คนขายข้าวสารไปแล้ว ต่อมา เราเจอคนขายปลา เราอยากได้ปลาที่มีมูลค่าเท่ากับทองคำ 1 แท่ง เราก็ทำเช่นเดียวกันกับที่ทำกับคนขายข้าวสาร คือ ออกหนังสือให้คนขายปลา อีก  ตานี้ ต่อมาวันหนึ่ง ทั้งคนขายข้าวสารและคนขายปลา ดันเอาหนังสือของตน มาขอแลกทองคำจากเรา  เรามีทองคำอยู่ 1 แท่ง  ไม่พอที่จะให้ทั้งสองคน  เราก็เลยจำเป็นต้องแบ่งทองเป็นสองส่วน แต่ละคนก็จะได้ทองคำกลับไปเพียง ครึ่งเดียวของจำนวนที่ระบุในหนังสือของตน  เห็นมั้ยครับ เท่ากับว่า ธนบัตรทั้งสองฉบับ มูลค่าหายไปเลย ครึ่งหนึ่ง  เท่ากับว่า ธนบัตรเราไม่น่าเชื่อถือ  ถ้าแบงก์พัน  เอาเข้าจริง มีมูลค่าแค่ 500  เดิมแลกดอลล่าร์ได้33 ดอลล่าร์  ตานี้ จะแลกได้เหลือเพียง 16.5 ดอลล่าร์   หายะนะ ก็เกิดของผู้ที่ต้องใช้ธนบัตร หรือมีหนี้กับต่างประเทศในที่สุด สรุป ทุกประเทศต้องมีกฎหมายควบคุมการออกธนบัตร และการกระจายธนบัตรเข้าสู่ตลาดการเงิน  ของไทยก็คงเป็นประมาณ พระราชบัญญัติเงินตราหรือทุนสำรอง หรือไงนี่แหละ เข้าใจประมาณนี้  ผิดถูก ต้องรอผู้รู้จริงว่าช่วยแก้ไขให้อีกทีครับ แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 54 13:01:48 แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 54 12:57:55 จากคุณ : . (bvi) เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 12:52:58

ความคิดเห็นที่ 24 #22 ค่าใช้จ่ายในการผลิตธนบัตร 1000 บาท จำนวน 100 ล้านบาทกับค่าใช้จ่ายในการผลิตเหรียญ 10 บาทจำนวน 100 ล้านบาทมันต่างกันแยะนะ ค่าโลหะที่ทำเหรียญมันมีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าของเหรียญนั้นๆครับ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 12:56:52

ความคิดเห็นที่ 25 ธนาคารเขาไม่รับแลกเหรียณเงินตราต่างประเทศ เคยอ่านกระทู้แท๊กซี่ทอนตังให้เป็นเหรียณ 10ยูโร่อะ ใครบอกได้ไหมครับว่าจริงเปล่า จากคุณ : แมวเถื่อน เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 13:00:22

ความคิดเห็นที่ 26 #13 เงินที่ผลิต จะออกมาสู่ตลาดได้ด้วยวิธีการ คือ " การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ" รัฐผลิตเงิน นำเงินนั้นไปจ่ายเป็นเงินเดือนข้าราชการ  ข้าราชการนำเงินไปจับจ่ายซื้อของกับร้านค้าทั่วไปครับ  จะทำให้ปริมาณเงินในระบบเยอะขึ้น จากคุณ : pvman65 เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 13:03:41

ความคิดเห็นที่ 27 #22 คห.อื่นตอบไปแล้วนี่ว่า ตัวเหรียญมันเป็นโลหะ มันมีมูลค่าในตัวเอง ผลิตเหรียญ 100 ล้านบาทก็ต้องใช้โลหะเกือบร้อยล้านบาท  ผลิตธนะบัตร 100 ล้านบาทอาจจะลงทุนแค่กระดาษA4แบบพิเศษของAA 500 รีม กระดาษรีมละ 500 บาท เป็นต้น #11 ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเรื่องระบบเศรษฐศาตร์(เอ๊ะนี่มันห้องวิทยาศาสตร์นี่) BOT เขามีวิธีบริหารเงินในระบบ เค้าเรียกนโยบาย การเงินการคลัง  การเงินก็เกี่ยวกับการกำหนดดอกเบี้ย การคลังก็เช่นการเก็บภาษีเข้ารัฐ  ถ้าเงินในระบบมากเกินไปเงินเฟ้อแล้วเขาก็ขึ้นดอกเบี้ย คนกู้ก็น้อยลงคนฝากเงินก็มากขึ้นทำให้เงินในระบบน้อยลง(มาอยู่ที่ธนาคารแทน) เป็นต้น  หรือเงินฟุบเงินในระบบมีน้อยเกินไป รัฐก็สร้างโครงการกระจายเงินไปสู่ระบบเช่นจ้างชาวบ้านทำถนน(ผ่านนักการเมือง) จ้างชาวบ้านเก็บขยะ...เป็นต้น คือไม่ได้แจกเฉยๆ เหมือนที่แข่งกันประชานิยม #20 ทฤษฎี เป็นอย่างนั้นแหละ ดูดีไปหมด แต่การปฏิบัติเป็นอีกแบบ บางทีคำอธิบายหรือนิยามต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นนายกบอกว่าไม่เสียดินแดนเพราะเรายังประท้วงอยู่แต่เราเข้าไม่ได้ เขมรเข้าได้  หรือการรวมบัญชีกรณีของหลวงตาอันนี้ก็ต้องพูดยาว คือเห็นต่างกัน(ลองไปศึกษาดูเถอะ) #21 คงไม่ล้มละลายหรอก เพราะBOT เค้าก็ดูแลบริหารอยู่ แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คือทฤษฏีเศรษฐศาตร์เค้าบอกว่าถ้าทุกอย่างคงที่...demand เพิ่ม ราคาจะเพิ่ม อะไรอย่างงี้ แต่ในความเป็นจริงมันมีปัจจัยเยอะเช่นกรณีน้ำมันปาล์มเป็นต้น(ตอนนี้เป็นห่วงน้ำตาลกะข้าวจริงๆ แต่ไม่ห่วงเกลือกะน้ำปลา อิอิ) ชอบบางความเห็นที่บอกว่าเศรษฐศาตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ทั้งหมด มันเป็นศิลปะด้วย บางอย่างต้องจินตนาการ จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 13:06:03

ความคิดเห็นที่ 28 #25 จริงครับ เวลาไปเมืองนอกก็ต้องแลกเป็นธนบัตรกลับมา จากคุณ : Phantom thief เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 13:34:52

ความคิดเห็นที่ 29 พูดง่ายๆนะ เงินคือสิ่งที่สมมุติกันขึ้นมา ว่ามีค่าสามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ ใช้ชำระหนี้กันได้ ไทย มีกฏหมายกำหนดว่าธนบัตรเป็นเงินที่ชำหนี้ได้ตามกฏหมาย อเมริกาบอกว่า In God We Trust ปริมาณเงินก็ควรจะมีปริมาณที่พอใช้หมุนเวียนภายในประเทศ และพอมีค่าเมื่ออยู่ในต่างประเทศ พอมีค่าเมื่ออยู่ในต่างประเทศหมายความว่า แบงค์ไทยสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลอื่นที่มีความเชื่อมั่นมากกว่าได้ เช่น ดอลล่าร์ ยูโร หรือเยน หรือหยวน หรือสามารถที่จะใช้ซื้อทรัพย์สินในเมืองไทยได้ เช่นซื้ออสังหา สังหาต่างๆ ปริมาณเงินจะถูกควบคุมโดยแบงค์ชาติ ว่าจะพิมพ์ออกมาเท่าไรจึงจะพอดีใช้ในประเทศ และต่างชาติยอมรับ การที่จะให้ต่างชาติยอมรับวิธีหนึ่งคือมีเงินสกุลหลักๆสำรองเอาว่า เพื่อต่างชาติอยากแลกเป็นดอลล่าร์ ก็มีดอลล่าร์ให้แลก แบบนี้เป็นต้น หรือเป็นทองคำก็ได้ เอาเงินบาทมาสองหมื่นกว่า เอาทองไปหนึ่งบาทอะไรทำนองนี้ ทีนี้เวลาแบงค์ชาติพิมพ์เงินออกมาแล้วจะเอาเข้าระบบอย่างไร ก็เอาเข้าได้หลายวิธี วิธีหลักๆคือให้รัฐบาลออกพันธบัตรมาแล้วเอาเงินไปใช้เป็นงบประมาณ หรือให้แบงค์พานิชมากู้เงินไปแบบอินเตอร์แบงค์กิ้งก็ได้ โดยมีหลักทรัพย์เป็นมูลค่าหนี้ที่แบงค์พานิชปล่อยให้นักธุรกิจอีกทีหนึ่งเป็นหลักประกัน จะเห็นว่าเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น เงินทองคือมายา ข้าวปลาคือของจริง อันนี้ถูกต้องนะ อยู่ในป่าคนเดียวก็อยู่ได้ เพราะว่ามีปัจจัยสี่ครบถ้วน จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 13:51:57

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าว่าตามจริง จะพิมพ์แบ๊งค์มาเท่าไหร่ก็ได้ครับ แต่สุดท้ายแบ๊งค์นั่นก็จะมีค่าไม่ต่างอะไรกับแบ๊งค์กงเต๊ก หามูลค่าแทบไม่ได้ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 13:56:20

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^ การที่รัฐบาลออกพันธบัตร เป็นการดูดซับเงินส่วนเกินออกจากระบบ หรือกระตุ้นให้คนเอาเงินฝากออกมาใช้จ่าย ดีกว่าเก็บฝังดินไว้เฉยๆ การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ การตั้งงบประมาณรายจ่ายขาดดุล หรือการสร้างเมกกะโปรเจกต์ทั้งหลายของทางรัฐบาล ก็เป็นวิธีระบายเงินที่ผลิตออกมา เพิ่มกระแสเงินสดใส่เข้าไปในระบบ จะได้มีกระแสเงินหมุนเวียน ให้ระบบมีความคล่องตัว จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 54 14:06:10