ความคิดเห็นที่ 1 อีกที่ก็ โมกาดิชู โซมาเลีย  1993 แล้วมีที่ไหนอีกบ้างครับ จากคุณ : monasa เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 03:18:53

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผิดแล้วละครับ จากคุณ : hideto b1 เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 04:40:13

ความคิดเห็นที่ 4 เมกาแพ้ไทยยับเยิน .. จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 05:02:38

ความคิดเห็นที่ 5 ปล่อยอาวุธแม่นยำ !! จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 05:03:02

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าในฐานะมหาอำนาจหมายความว่ายับครับ จากคุณ : Diamondoid เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 05:06:19

ความคิดเห็นที่ 7 ดูจากนี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Vietnam_War จำนวนผู้เสียชีวิต สำหรับสงครามเวียตนาม ทหารสหรัฐ 58,220 ทหารไทย 1,351 (ถือว่าเยอะนะเนี่ย) ทหารเวียตนามใต้ 220,357 ทหารเวียตนามเหนือ 1,176,000 แพ้ัยับเยิน? ไม่มั้งครับ อันอื่นผมไม่รู้นะ นึกไม่ค่อยออกว่าสมรภูมิไหนบ้างที่สหรัฐแพ้หมดรูปจริงๆ นอกจากที่ Pearl harbor (ซึ่งก็ไม่น่านับเป็นสมรภูมิ) จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 05:07:26

ความคิดเห็นที่ 8 ยับอะไร ครงไหนนี่ เมการบไกลบ้านตลอดเลยแฮะ จากคุณ : noomnory เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 05:42:18

ความคิดเห็นที่ 9 สมรภูมิพัทยาค่ะ จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 07:20:21

ความคิดเห็นที่ 10 ที่เวียดนาม ถือว่าแพ้ก็ได้นะครับ เพราะ Mission ไม่ Complete ถึงจะตายน้อยกว่าก็ตาม จากคุณ : REFRIG เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 07:38:58

ความคิดเห็นที่ 11 คงจะเป็นสมรภูมิ Pearl Harbor เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 1941 ความสูญเสียของฝ่ายอเมริกามากกว่าฝ่ายญี่ปุ่นเยอะ http://en.wikipedia.org/wiki/Attack_on_Pearl_Harbor จากคุณ : นายเดชา เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 07:40:44

ความคิดเห็นที่ 12 ตอนสู้เพื่อปลดแอกประเทศกับอังกฤษเมื่อสองสามร้อยปีที่แล้ว น่าจะแพ้ไปหลายสมรภูมิอยู่ ปล. จขกท. ควรจะต้องบอกด้วยว่าช่วงเวลาไหน จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 07:44:30

ความคิดเห็นที่ 13 Pearl Harbor ผมว่าไม่ใช่การรบมั้งครับ โดนตีตอนเผลอ ก็น่าจะเน่าครับ จากคุณ : NeoTokyo เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 08:11:22

ความคิดเห็นที่ 14 เวียดนาม นั้นแม้จะ เสียคนน้อยกว่าแต่เทคโนโลยี่ละครับ เครื่องบินรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน สารพัดที่วิเศษในเวลานั้น แต่สู้คนเวียดนามหัวใจรักชาติขี่จักรยานมาสู้ไม่ได้เลย จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 08:11:34

ความคิดเห็นที่ 15 ที่เวียตนามน่ะแพ้ยับแล้ว รบก้อไม่ชนะ คนที่ส่งไปก้อตายตั้งเยอะแยะ  ประชาชนก้อด่า งบประมาณก้อสูญไปมหาศาล. ไม่ได้ไรคืนเลย อย่างงี้ไม่ยับแล้วเรียกอะไรละนั่น ทีแรกบอกงานหมู แป๊บเดียวก้อเสร็จ เจอหมูเขี้ยวตันหงายเก๋งไปเลย จากคุณ : ARMS STRONG เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 08:43:06

ความคิดเห็นที่ 16 ที่เวียดนามอเมริกาไม่ได้แพ้ในสมรภูมิจริงนะครับ แต่ไปแพ้ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองในบ้านตัวเองย่อยยับ  เวียดนามเหนือมีแผนที่จะโจมตีฐานทัพที่ใหญ่ของอเมริกาสี่แห่งหนึ่งในนั้นคือฐานทัพเคซาน โดยต้องการเดินรอยตามเดียนเบียนฟูของฝรั่งเศสที่แพ้ยับ จนถอดใจคืนเอกราชให้เวียดนาม แต่เวียดนามพยายามทุ่มสรรพกำลังเท่าไรก็ตีฐานนี้ที่มีนาวิกโนธินดูแลอยู่ไม่แตก เพราะมีกำลังทางอากาศสนับสนุน  และอีกสมรภูมิในวันตรุษญวณโดนโจมตีทั่วเวียดนามใต้ถึงขั้นเวียดกงยึดสถานทูตอเมริกาได้ แต่ก็โดนตีโต้ยึดกลับคืน วันนั้นวันเดียวมีเจ้าหน้าที่ตายกันเยอะ จนสุดท้ายอเมริกาเห็นว่าติดหล่มไปแล้วถึงไม่แพ้แต่ก็ไม่เห็นทางชนะในศึกนี้ ก็ถอยออกไป ในมุมมองเซียนบอล การที่ทีมที่มีดารานักเตะชื่อดังไปแข่งในนามทีมเยือนเสมอกับทีมที่ไม่มีดาราค่าตัวเทียบกันไม่ได้เลย(ถึงแม้เคยมีประวัติล้มยักษ์มาก่อน)ถือว่าแพ้ยับ จากคุณ : ปีศาจValkyrie เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 08:49:17

ความคิดเห็นที่ 17 คนที่ว่า USA เเพ้ยับ นี่อ่าน คห.7 ยังครับ ที่เวียดนามเรียกได้ว่า ภาระกิจ ไม่สำเร็จ เเต่ก็ไม่ถึงกับเเพ้หมดรูปย่อยยับ ทหารอเมริกันตาย 60,000 นาย เเต่ประชากรชาย เวียดนามเหนือหายไปเกือบ ครึ่งประเทศ ผมยังเเปลกใจด้วยซ้ำว่าทำไมตอนนั้น อเมริกา ไม่เล่นอาวุธหนัก อย่าง Nuke ไปเลย  เเต่ก็พอ เข้าใจว่านี่เเค่สงครามตัวเเทน เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของตัวเองโดยตรง ไม่เหมือนตอนเพริล ฮาเบอร์ ที่เเก้เเค้น โดย Nuke อ้วน/ผอม อันนั้นทำให้ ญี่ปุ่นฝันร้ายไปอีก ครึ่งศตวรรษ เลยทีเดียว จากคุณ : werty_max เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 08:56:01

ความคิดเห็นที่ 18 สหรัฐกลัวจีนครับ เพราะบทเรียนในสมัยสงครามเกาหลี สหรัฐเกือบจะชนะแล้ว แต่ดันไปกระตุ้นจีนให้ยกทัพมาช่วย เลยไม่ต้องการขยายผลสงคราม ไปในเวียดนามเหนือ นักวิเคราะห์สงครามวิเคราะห์ว่าหลังสงครามตรุษญวณ หากสหรัฐตัดสินใจตีโต้กลับ เข้าไปในเวียดนามเหนือจะชนะ ได้ในทันทีเพราะทหารเวียดนามเหนือหมดประเทศ แล้วนั่นเอง แต่ก็จะเจอกับความเสี่ยงว่าจีนจะมาช่วย ซึ่งก็เป็นไปได้เพราะ จีนไม่ต้องการถูกปิดล้อม แต่หลังจากเวียดนามยึดเวียดนามใต้ได้ สำเร็จก็ บุกยึดเขมรทำให้เป็นชนวน การแตกแยกระหว่างจีนกับรสเซียและนำไปสู่ จุดจบของสงครามเย็นในที่สุด จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 09:24:41

ความคิดเห็นที่ 19 ...หลังสงครามโลกครั้งที่2ลงมา  ก็เกาหลีนี่แหละ ที่เรียกได้ว่ายับเยินยู่ยี่อับอาย ขายขี้หน้าไปทั่วโลก จากคุณ : LegalisM เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 09:37:00

ความคิดเห็นที่ 20 น่าจะสงครามเกาหลีนะ ช่วงที่จีนโต้กลับตั้งแต่ชายแดนจีน-เกาหลีเหนือ อเมริกาถอยรูดลงมาทีเดียวถึงกรุงโซลเลย จากคุณ : deemakak เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 09:51:54

ความคิดเห็นที่ 21 ดูมวยซะเพลินเลยผมอ่ะ จากคุณ : captainnova เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 09:54:10

ความคิดเห็นที่ 22 ศึกที่ป้อมอลาโม แพ้เม็กซิโกยับ http://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_the_Alamo จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 10:03:20

ความคิดเห็นที่ 23 ในสงครามเวียตนาม มันกึ่งๆ แพ้นะผมว่า เพราะมันมีเรื่องการเมื่องในสหรัฐ ที่ต้องบีบให้ถอนทหารอยู่ด้วย เลยโดนรุกไล่หนัก ตอนถอนทหาร ถ้าอัดกันเต็มที่ ด้วยกำลังคนเเละอาวุธ คงแพ้ยาก ตอนสงครามโลก#2 ทหารญี่ปุ่นทรหดกว่า ทหารเวียตนามหลายเท่า จากคุณ : E22QV เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 10:03:50

ความคิดเห็นที่ 24 ว่าแต่ ตอนสงครามเวียดนาม ทำไม ไอ้กันไม่ทิ้ง NUKE  ละครับ แปลกใจ - -* หรือกลัวว่า ทิ้งแล้ว โซเวียด ที่หนุนหลังเวียดนามตอนนั้น จะยิงคืน ?? จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 10:39:11

ความคิดเห็นที่ 25 ผมสงสัยว่า"แพ้"นที่นี้เอาอะไรวัดหรอครับ ถ้าวัดเรื่องความสูญเสีย ผมว่าตอนเวียดนามอเิมริกาก็แพ้นะครับ เสียทั้งเงิน ทั้งคน ทั้งประชาชนด่า ผมว่านี่แหละแพ้ ต่อให้ตายน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามก็เถอะ จากคุณ : jubchay เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 10:55:48

ความคิดเห็นที่ 26 สงสัยครับว่าถ้า อเมริกาทิ้ง  NUKE ที่เวียดนาน จะมีอะไรส่งผลกระทบมาเมืองไทยมั่งครับ จากคุณ : โรคจิตคอยแอบมองให้เธอมีรอยยิ้ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 10:57:54

ความคิดเห็นที่ 27 ผมว่า จขกท. คงหมายถึง ได้หน้า - เสียหน้า ไม่ใช่ แพ้-ชนะ แบบเป็นรูปธรรมน่ะครับ เมกาไปไหนก็ต่อเยอะ ในเกมอาจชนะ เบาะๆ 2-0 แต่คู่ต่อสู้คือทีม อบต.หนองงูสวัด จากคุณ : AlePippo เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 11:11:21

ความคิดเห็นที่ 28 **ถึงเพื่อนสมาชิก vn, man** "สาเหตุที่พวก "มะริกัน" ตัดสินใจไม่ใช้นิวเคลียร์กับเวียดนามเหนือนั้นมันมีหลายประเด็นครับ" - เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ถึงจะเป็นสองฝ่ายที่ไม่ถูกกันแต่ยังไงๆทั้งสองฝ่ายก็ยังอยู่บนแผ่นดินเดียวกันนั่นคือเวียดนาม  ถ้า่สหรัฐทิ้งนิวเคลียร์ใส่เวียดนามเหนือก็หมายความว่ากำลังทิ้งนุกใส่ดินแดนของเวียดนามใต้ด้วย  อีกทั้งการทิ้งนุกครั้งหนึ่งก็จะส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมหาศาล  ดังนั้นด้วยกลัวว่าประชาคมโลกและชาวเวียดนามใต้จะประณามพวกมะริกันจึงไม่คิดจะใช้นุกครับ - ช่วงนั้นเป็นยุคที่ "สงครามเย็น" กำลังร้อนระอุได้ที่ถึงขีดสุด  การใช้นุกกับดินแดนที่เป็นคอมมิวนิสต์อาจะส่งผลปานปลายไปสู่สงครามนิวเคลียร์กับประเทศกลุ่มคอมมิวนิสต์ได้ (ตอนนั้นจีนก็มีนิวเคลียร์แล้ว)  ซึ่งถ้ากลุ่มประเทศในเครือคอมมิวนิสต์ที่มี "จีน" และ "โซเวียต" จับมือกันทำสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมา  ยังไงสำหรับพวกมะริกันแล้วถึงไม่แพ้ก็ต้องสาหัสยับเยินปางตายแน่นอน  เพราะเวลานั้นแค่โซเวียตประเทศเดียวก็มีนิวเคลียร์มากกว่าสหรัฐและกลุ่มประเทศยุโรปในเครือโลกเสรีรวมกันเสียอีก  แลในยุคปัจจุบันแม้แต่รัสเซียที่ว่ามีการแตกประเทศจากเครือโซเวียตจนทำให้หัวรบลดลง(ไปอยู่ที่ "ยูเครน" เสียเยอะ)  และเริ่มทยอยปลดประจำการหัวรบไปเยอะแล้วก็ยังมีจำนวนหัวรบมากกว่าพวกมะริกันเหมือนเดิม - การใช้นิวเคลียร์จะเป็นความอัปยศของกองทัพสหรัฐแน่นอน  เพราะเวียดนามเหนือในช่วงนั้นถือได้ว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการทำสงครามเต็มรูปแบบ  ถ้าสหรัฐต้องใช้นิวเคลียร์กับประเทศเล็กๆอย่างนี้ก็เท่ากับเป็นการประกาศต่อชาวโลกว่ากองทัพสหรัฐด้อยประสิทธิภาพ  เพราะไม่สามารถเอาชนะแม้กระทั่งทหารที่ใส่หมวกสาน ปั่นจักรยานถีบ ลากรองเท้าแตะได้  (ในตอนสงครามกับพวก "ญี่ปุ่น" นั้นต่างกันครับเพราะ "ญี่ปุ่น" เป็นกองทัพใหญ่ที่นิยมหลักการรบตามรูปแบบและมีความแข็งแกร่งพอตัว) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 11:17:27

ความคิดเห็นที่ 29 ที่เกาหลี จริงๆ ก็เกือบเเพ้นะครับ เเต่สุดท้ายนายพล เเม็ก อาเธอร์ ก็กลับมาเเก้ตัว กวาดเกาหลีเหนือ ซะหนีหางจุกตูดเลยนะ จากคุณ : werty_max เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 11:24:20

ความคิดเห็นที่ 30 คห. 29 ความจริงคนที่สามารถยันการรุกของเกาหลีเหนือและจีนได้ต้องยกเครดิตให้กับนายพลริดเวย์ ลูกน้องนายพล เเม็ก อาเธอร์ครับ(ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นนายพลริดเวย์คุมกองทัพที่แปดอยู่ครับ) จากคุณ : jedsada boonsiri เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 11:32:49 A:182.53.21.229 X: TicketID:198675

ความคิดเห็นที่ 31 รัสเซียมาถูกทางแล้ว .. จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 11:43:06

ความคิดเห็นที่ 32 ูู^ ^ ^ ถึงเพื่อนสมาชิก werty_max      ไม่ใช่นะครับ!ความจริงแล้วตอน "สงครามเกาหลี" นั้นนายห้าดาว "แม็คอาร์เธอร์" แกเข้ามาคุมกองทัพมะริกันตั้งแต่แรกแล้วครับ  โดยอันที่จริงเมื่อสงครามระเบิดนั้นกองทัพมะริกันยังไม่ได้เข้ามาช่วยเกาหลีใต้เลยครับ  ทำให้กองทัพเกาหลีใต้ต้องรบอย่างโดดเดี่ยวและพ่ายแพ้แทบจะทุกสมรภูมิจนกองทัพหลักต้องถอยรูดไปจนถึงบริเวณ "เมืองท่าปูซาน" จนแทบจะร่างตกทะเลอยู่แล้ว (ถ้าไปดูแผนที่มรสมัยสงครามเกาหลีจะพบว่าตอนนั้น "เกาหลีเหนือ" เกือบยึดทั้งประเทศได้แล้วครับเหลือพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลทางด้านล่างเท่านั้น)      ดังนั้นทางสหประชาติจึงมีมติให้ส่งกองทัพซึ่งมีพวกมะริกันเป็นหัวหอกไปช่วยเหลือเกาหลีใต้โดยทันทีจึงทำให้เกิด "สงครามเกาหลี" อันลือลั่นขึ้นมาครับ  และเนื่องจากพื้นที่การรบนั้นอยู่ในเขตพื้นที่การรับผิดชอบของทางกองทัพภาคแปซิฟิค  นายพล5ดาว "ดั๊กลาส แม็คอาร์เธอร์" ผู้โด่งดังจากสมัยสงครามโลกครั้งที่2จึงถูกเรียก9y;ใช้งานอีกครั้ง  ซึ่งช่วงแรกนั้นแม็คอาร์เธอร์ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บังคับการสูงสุดของกองทัพผสมจากสหประชาชาติในครั้งนี้ครับ **ด้านล่างเป็นรูปแผนที่เขตแดนสมัยสงครามเกาหลีครับ  ถ้าลองดูจะเห็นว่าช่วงปลายปี 1950 นั้นเกาหลีใต้เหลือพื้นที่อยู่แค่กระจุกเดียวตรงบริเวณรอบๆเมืองท่าปูซานเท่าันั้น** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 11:56:42

ความคิดเห็นที่ 33 แพ้ยับนี่คืออะไรครับ ความเห็นผมแพ้ยับคืออาวุธดีกว่า กำลังมากกว่า งบประมาณมากกว่า ยังเอาชนะไม่ได้ นี่คือแพ้ยับแล้วครับ ถ้าเอาความสูญเสียมาพูด ผมก็แพ้น้ำหนักคุณสิ ถ้าเอาความสูญเสียมาพูด พวกรัสเซียก็แพ้เยอรมันสิครับ  เพราะทั้งพลเรือน ทั้งทหาร ตายมากกว่า แต่สุดท้ายโซเวียตก็ชนะ สงครามไม่สนใจว่าสูญเสียเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ว่าชนะได้หรือไม่ครับ จากคุณ : Diamondoid เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 12:03:00

ความคิดเห็นที่ 34 World War III Simulation (ปีอาจจะไม่ตรงเป๊ะ ต้องเลื่อนถอยหลังไปอีกสองปี) แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 54 12:15:06 จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 12:08:42

ความคิดเห็นที่ 35 คห.34 เกมส์ไหนหรอครับ เนี่ยะ ญี่ปุ่นไม่มีกองทัพครับ อ่อแล้วจะท้ารบกับจีนนี่เค้าเรียกว่าบ้าแล้วก็โง่ด้วยครับ จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 12:37:09 A:116.212.182.65 X: TicketID:163581

ความคิดเห็นที่ 36 ความคิดเห็นที่ 14 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน เวียดนาม นั้นแม้จะ เสียคนน้อยกว่าแต่เทคโนโลยี่ละครับ เครื่องบินรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน สารพัดที่วิเศษในเวลานั้น แต่สู้คนเวียดนามหัวใจรักชาติขี่จักรยานมาสู้ไม่ได้เลย จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 08:11:34 [แก้ไข] เอ๋ ขี่จักรยานมาสู้ -_-" จากคุณ : FreedomOne เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 12:38:15

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ ^ เรื่องจักรยานถีบของพวกเวียดกงนั้นเป็นความจริงครับ  เพราะในสมัยที่รบกับ "ฝรั่งเศส" และ "มะริกัน" นั้น "เวียดนามเหนือ" ไม่สามารถครอบครองน่านฟ้าได้เพราะต้องต่อกรกับประเทศที่มีกองกำลังทางอากาศเหนือกว่าตนเอง  ดังนั้นการใช้รถบรรทุกเพื่อขนส่งยุทธปัจจัยและเสบียงกรังสำหรับกองทัพจึงอาจจะตกเป็นเป้าสายตาของเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย  ดังนั้นจึงมีการเอาจักรยานถีบมาใช้ขนส่งยุทธปัจจัยแทนเพื่อพรางตัวจากอากาศยานของข้าศึกครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 12:52:18

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าใครยังสงสัยเดี๋ยวผมจะขอเล่ายกตัวอย่างตอน "เวียดนามเหนือ" รบกับพวก "ฝรั่งเศส" ที่ยุทธภูมิ  "เดียนเบียนฟู" ให้ฟังครับ      เจไดหนุ่มขอเอาข้อมูลเกี่ยวกับสงครามในเวียดนามที่ตนเองเคยตอบเอาไว้ที่หว้ากอเมื่อสมัยก่อนมาแปะให้เพื่อนๆได้อ่านกันบ้างนะครับ  โดยนี่เป็นเรื่องราวของ "ยุทธวิธีคลื่นมนุษย์" ที่ทหารเวียดกงเอามาใช้กับพวกฝรั่งเศสตอนปลายยุค50จนสำเร็จ  และนำมาใช้อีกครั้งกับพวกมะริกันตอนยุคสงครามเวียดนามครับ     โดยยุทธวิธีการรบแบบ "คลื่นมนุษย์" นี้จะมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วครับ  และจะมีหลักปฏิบัติคือการให้ทหารจำนวนมากๆวิ่งกรูถามโถมกันเข้าใส่พื้นที่เป้าหมายของข้าศึกอย่างพร้อมเพรียงกัน  โดยถือหลักที่ว่าถึงปราการข้าศึกจะมั่นคงหรืออาวุธจะเลิศเลอแค่ไหน  แต่เมื่อต้องมาเจอกับกำลังคนจำนวนมากๆเข้าที่สุดแล้วน้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ  เหมือนกับคำกล่าวโบราณที่ว่า "ต่อให้ ขุนศึก องอาจกล้าหาญรบพุ่งเก่งเพียงใด แต่ก็มิอาจเอาชนะข้าศึกทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียวได้"     ผมจะขอเล่าท้าวความอย่างย่อๆว่าฝ่ายเวียดกงนั้นเคยใช้ "ยุทธการคลื่นมนุษย์" นี้จนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่มาแล้วตอนสมัยขับไล่กองทหาร ฝรั่งเศสที่ "ยุทธภูมิเดียนเบียนฟู" ครับ  เหตุการณ์นั้นเกิดจากช่วงที่ฝรั่งเศสกำลังเตรียมกวาดล้างทหารเวียดกงซึ่ง กำลังเริ่มก่อการกบฏไปทั่วประเทศ  ดังนั้นเสนาธิการของฝรั่งเศสในเวียดนามจึงได้วางแผน  “Air-land base” เพื่อที่จะหลอกล่อให้กองทหารปฏิวัติของ "โฮจิมินห์" ให้เข้ามาติดกับแลจัดการทำลายล้างเสียให้ราบในคราวเดียว **รูปนายทหารฝรั่งเศสกำลังวางแผนยุทธการที่ค่าย "เดียนเบียนฟู" ครับ** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตยือยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:04:12

ความคิดเห็นที่ 39 ***      ซึ่งแผน “Air-land base” นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของ "ปฏิบัติการคาสเตอร์" คือกองทหารฝรั่งเศสจะไปตั้งค่ายในพื้นที่ห่างไกลเพื่อเป็นการหลอกล่อให้ "กองทัพเวียดมินห์" เข้าโจมตี  เพราะในห้วงเวลานั้นเป้าหมายหลักๆของเวียดมินห์คือกองทหารฝรั่งเศสที่ประจำการอยู่ตามสถานที่ต่างๆในเวียดนาม        แต่ทว่าคราวนี้ฝรั่งเศสจะไปตั้งค่ายซึ่งมีการสนับสนุนด้วยปืนใหญ่แลอาวุธหนักต่างๆพร้อมสรรพ  อีกทั้งยังมีการสนับสนุนด้านยุทธปัจจัยแลอำนาจการยิงโดยเครื่องบินชนิด ต่างๆด้วย  ซึ่งฝรั่งเศสก็จะใช้อำนาจการยิงและทำลายที่เหนือกว่าเข้ากวาดล้างกองทัพ เวียดมินห์ให้หมดสิ้นไปในคราวเดียวครับ      โดยครั้งแรกของแผนปฏิบัติการนั้นกองทัพฝรั่งเศสได้ไปตั้งค่ายที่ "นาซอน" และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก  กองทัพเวียดกงหรือเวียดมินห์ที่บุกจู่โจมค่ายนั้นล้วนต้องประสบความสูญเสียอย่างสูงจากปืนใหญ่แลอาวุธหนักที่ระดมยิงถล่มจากในค่าย  จนกระทั่ง "นายพลเกี๊ยบ" ผู้บัญชาการต้องจำใจล่าถอยพร้อมกับอัตราสูญเสียกำลังพลที่สูงลิบ      ซึ่งจากความสำเร็จในการรบที่ "นาซอน" ทำให้พวกเสนาธิการของฝรั่งเศสย่ามใจแลตัดสินใจใช้แผนการรบแบบเดิมอีกครั้ง  ทว่าครั้งนี้พวกฝรั่งเศสกลับทำผิดพลาดมหันต์ครับเพราะดันไปตั้งค่ายกับสนามบินในพื้นที่บริเวณ "เดียนเบียนฟู" ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นรูป "กระดองเต่าคว่ำ" หรือ "พื้นที่ก้นกระทะ" นั่นเอง        โดยรูปแบบของ "พื้นที่ก้นกระทะ" นั้นให้เพื่อนๆลองคิดถึงรูปร่างของกระทะจีนที่ทำกับข้าวน่ะครับแบบนั้นเลย  คือมีภูเขาสูงตั้งเป็นแอ่งล้อมบริเวณตรงกลางที่เป็นแอ่งรึที่ราบเว้าลงไป   ซึ่งในหลักพิชัยยุทธแล้วเขาถือกันว่าพื้นที่แบบนี้เป็น "จุดตาย" เนื่องจากข้าศึกอาจใช้พื้นที่บนภูเขาทำการยิงอาวุธระยะไกลมาใส่ค่ายทหารที่อยู่ด้านล่าง  หรือไม่ก็ทำการส่งทหารจากพื้นที่ภูเขาที่ล้อมรอบอยู่ลงตีกระหนาบค่ายได้      แต่ทว่าพวกนายพลฝรั่งเศสตอนยุค50กลับคิดกันแบบนี้ครับ "อีโธ่เอ้ย! นี่มันสมัยไหนกันแล้ว เครื่องบิน ปืนใหญ่ อาวุธเจ๋งๆของเราที่ได้จากพวกมะริกาก็มีถมถืด  แถมพื้นที่ภูเขาโดยรอบก็ทุรกันดารสิ้นดีมีรึที่พวกกองทหารรองเท้าแตะจะขนส่งปืนใหญ่อันหนักอึ้งมาล้อมค่ายเราได้"  "แถมเครื่องบินตรวจการของเราก็บินว่อนสำรวจตรวจตราพื้นที่โดยตลอด  ถ้าพวกมันใช้รถบรรทุกขนปืนใหญ่มาล่ะนักบินก็จะแจ้งพิกัดไปที่กองพันปืนใหญ่  รึวิทยุไปขอกำลังทางอากาศมาถล่มซะเลย วะ~ฮ่าๆๆๆๆ"   **ดังนั้นพวกนายพลฝรั่งเศสจึงลืมเลือนหลักปฏิบัติอันสำคัญไปเสียสิ้น  ซึ่งผลก็คือความหายนะครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพฝรั่งเศสนับตั้งแต่สงครามโลก ครั้งที่2เป็นต้นมาครับ**   **รูปค่ายทหารของฝรั่งเศสในพื้นที่ "เดียนเบียนฟู" ครับ** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:08:24

ความคิดเห็นที่ 40 ***      มาถึงจุดนี้ผมจะขอพักเรื่องฝรั่งเศสไว้ก่อนครับ เพื่อนๆ  ตอนนี้ "เจไดหนุ่ม" จะขอพาทุกคนย้อนมามองที่ฝั่งของกองทัพเวียดมินห์บ้าง  โดยเมื่อมาถึงเวลานี้ "นายพลโว เหงียน เกี๊ยบ" ผู้นำทหารสูงสุดอันเก่งกาจของเวียดมินห์แกดันไม่เล่นเอาเถิดไปกับพวกฝรั่งเศสเหมือนที่ "นาซอน" อีกแล้ว        แต่ "นายพลเกี๊ยบ" กลับหันมาใช้วิธีการค่อยๆส่งกองทัพตีโอบล้อมค่าย "เดียนเบียนฟู" ของฝรั่งเศสอย่างช้าๆ  ทว่าตอนแรกๆนั้นเกี๊ยบก็เผลอทำผิดพลาดเช่นกันครับด้วยการใช้ยุทธวิธีคลื่นมนุษย์เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของค่ายก่อน      โดย "นายพลเกี๊ยบ" ได้ทำการรวบรวมคนแลอาวุธยุทโธปกรณ์เท่าที่จะหาได้  พร้อมเริ่มใช้ "ยุทธวิธีคลื่นมนุษย์" เพื่อทำการส่งทหารจำนวมากเฮโลเข้ายึดค่ายกับสนามบินที่เดียนเบียนฟูหลายต่อหลายครั้ง  แต่ทว่าทุกครั้งความสูญเสียกลับเป็นของฝ่ายเวียดมินห์  ก็เพื่อนๆลองคิดดูสิครับว่านี่มันเป็น "ยุทธการเครื่องบดเนื้อ" ชัดๆ        เมื่อทหารเวียดนามเหนือเป็นพันๆคนใส่หมวกสานลากรองเท้าแตะวิ่งถือปืนไรเฟิลรุ่น โบราณแหกปากกู่ร้องตะโกนก้องเข้าโจมตีค่าย  ทั้งนี้บทลงท้ายของทหารเวียดมินห์ส่วนใหญ่คือการเอาร่างกายเข้าไปปะทะกับลูกกระสุนปืนแลระเบิดของฝรั่งเศสอย่างห้าวหาญ  ผลสรุปก็คือความพินาศย่อยยับแลข้อพิสูจน์ที่ว่า "ยุทธวิธีคลื่นมนุษย์" นั้นใช่ไม่ได้ผลแล้วกับข้าศึกที่มีอาวุธสมัยใหม่ซึ่งมีอำนาจการทำลายล้างสูง        แลหลังจากการสูญเสียของกำลังพลที่ไม่สามารถตีหักค่ายได้  เกี๊ยบจึงได้หยุดพักการเข้าตีแบบขนานใหญ่  แต่หันมาใช้วิธีบ้านๆคือการใช้ "จักรยานถีบ"  ถูกแล้วครับ!จักรยานจีนรุ่นโบราณๆนั่นแหละเพื่อทำการขนส่งอาหาร ยุทธปัจจัย รวมทั้งชื้นส่วนปืนใหญ่ที่ถอดแยกเป็นส่วนๆทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย        โดย "นายพลเกี๊ยบ" ละเลยที่จะใช้ยานยนต์เพราะเหตุผลที่ว่าก่อให้เกิดเสียงดังแลเป็นเป้าสายตาของเครื่องบินสอดแนมฝรั่งเศสได้ง่าย  ดังนั้นเครื่องบินของฝรั่งเศสจึงตรวจหาหน่วยขนส่งแรงถีบพวกนี้ได้ยากมากครับเนื่องจากสภาพป่าโดยรอบที่เต็มไปด้วยต้นไม้รกครึ้ม (ก็จักรยานอ่ะนะ) **รูปของจักรยานที่พวกเวียดกงใช้ขนส่งยุทธปัจจัย  ปัจจุบันถูกตั้งโชว์ไว้ในพิพิทธภัณฑ์ที่กรุงฮานอยครับ  โดยจักรยานแบบนี้ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยที่รบกับฝรั่งเศสจนมาถึงช่วงที่รบกับ พวกมะริกันด้วย** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:17:23

ความคิดเห็นที่ 41 ***      จากนั้น "นายพลเกี๊ยบ" จึงเร่งใช้จักรยานนี่แหละทำการขนส่งชิ้นส่วนปืนใหญ่แลอาวุธหนักรุ่นโบราณต่างๆมาเป็นจำนวนมาก  เพื่อทำการประกอบกันขึ้นมาในป่าตรงนั้นแล้วติดตั้งเจ้าปืนมรณะทั้งหลายแหล่รายล้อมค่ายของฝรั่งเศสไว้อย่างเงียบๆ  นอกจากนี้ยังมีการจัดวางกำลังหน่วยปืนต่อสู้อากาศยานของเวียดมินห์ไว้โดยรอบค่าย "เดียนเบียนฟู" อีกด้วย      ทั้งนี้เพื่อรบกวนการส่งยุทธปัจจัยทางเครื่องบินซึ่งมีหน้าที่วิ่งลงจอดที่ฐานของฝรั่งเศส  จนนานวันเข้าการสนับสนุนยุทธปัจจัยแลเสบียงต่างๆของฝ่ายฝรั่งเศสจึงสามารถกระทำได้โดยการทิ้งร่มทางอากาศเท่านั้น  เนื่องจากพวกเวียดมินห์ๆได้คุมเส้นทางต่างๆทั้งหลายแหล่ไว้หมดแล้ว (..ภาพทหารเวียดมินห์ใช้จักรยานถีบลำเลียงยุทธปัจจัยไปสนับสนุนทหารที่เดียนเบียนฟูครับ..) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:19:29

ความคิดเห็นที่ 42 #35 อืม .. ยี่ปุ่นไม่มีกองทัพ http://en.wikipedia.org/wiki/Japan_Self-Defense_Forces จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:22:55

ความคิดเห็นที่ 43 ***      แลลังจากชัยชนะหลายต่อหลายครั้ง "กองทัพฝรั่งเศส" ที่เดียนเบียนฟูกลับย่ามใจ  แลเริ่มสนับสนุนแผนดังกล่าวด้วยการส่ง "ทหารพลร่ม" จำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ทหารอาณานิคมต่างด้าว" (French Foreign Legionnaire) มาโดดร่มลงบริเวณพื้นที่เดียนเบียนฟูเพื่อเสริมกำลัง       ทว่าคราวนี้ฝ่ายเวียดมินห์เริ่มเรียนรู้แล้วจึงหันมาใช้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจรอย่างเต็มรูปแบบ  นั่นคือเลี่ยงการปะทะซึ่งๆหน้าแต่ส่งหญิงสาวของฝ่ายตนเองแกล้งทำทีเป็นชาวบ้านในพื้นที่แล้วเข้าไปสืบเสาะหาข่าวสารแลที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางทหารในค่าย "เดียนเบียนฟู" ของฝรั่งเศสครับ   (ภาพทหารฝรั่งเศสกระโดดร่มลงบริเวณพื้นที่รอบค่ายเดียนเบียนฟู) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:26:32

ความคิดเห็นที่ 44 ***     โดยหลังจากการปะทะกันอย่างประปรายของทั้งสองฝ่ายผ่านไป  วันดี-เดย์ก็มาถึงเมื่อ "นายพลเกี๊ยบ" สั่งรวบรวมกำลังคนแลอาวุธทุกชนิดเท่าที่จะหาได้  ไม่เว้นแม้แต่ปืนล่าสัตว์รึระเบิดแสวงเครื่องที่ผลิตกันในป่าตรงนั้นเพื่อทำการเข้าตีครั้งยิ่งใหญ่  จากนั้นเมื่อถึงเวลาปืนใหญ่รุ่นโบราณของเวียดกงจำนวนมากที่ตั้งรายล้อมค่ายเดียนเบียนฟูอยู่ต่างก็พร้อมใจยิงถล่มฐานทัพของฝรั่งเศส  ตามติดด้วยการบุกโจมตีของทหารเวียดมินห์จำนวนมากที่ได้เรียนรู้พื้นที่ ต่างๆในค่ายมาเป็นอย่างดี        โดยหลังจากใช้เวลาโจมตีอยู่นานกองกำลังเวียดมินห์ก็สามารถทำลายฐานปืนใหญ่ในบริเวณค่ายของฝรั่งเศสได้บางส่วน  และยังตัดขาดการติดต่อระหว่างกองทัพฝรั่งเศสในพื้นที่ต่างๆของค่าย  ยังผลให้อำนาจการยิงสนับสนุนของทหารฝรั่งเศสต้องอ่อนด้อยลงไป  แลความอัปยศครั้งนี้ถึงกับทำให้ "พันเอกปิโรต์" นายทหารฝรั่งเศสที่คุมพื้นที่ฐานปืนใหญ่นั้น  ถึงกับชักปืนออกมายิงตนเองตายเพราะทนความพ่ายแพ้ไม่ได้  แลแม้ทหารฝรั่งเศสส่วนใหญ่จะทำการต่อสู้อย่างถวายชีวิต  แต่ก็ยังไม่สามารถยับยั้งการรุกที่เหมือนสายน้ำอันเชี่ยวกราดของพวกเวียดมินห์ได้      จากนั้นทหารเวียดมินห์จึงได้ทำการโจมตีค่ายอย่างหนักตลอดทั้งวันทั้งคืน  ปืนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างยิงเข้าใส่กันอย่างไม่มีหยุด  แต่เมื่อเวลาที่ผ่านไปนานเข้าเสียงของปืนใหญ่ฝรั่งเศสกลับค่อยๆเงียบลง  ขณะที่ปืนของฝ่ายเวียดมินห์ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขารอบๆข้างนั้นกลับยังดัง สนั่นอย่างต่อเนื่อง  กระทั่งพวกเวียดมินห์สามารถฝ่าแนวตั้งรับของทหารฝรั่งเศสที่กำลังแตกพ่ายแลเหนื่อยอ่อน  พร้อมมุ่งหน้าเข้าโจมตีคลังอาวุธแลสังหารทหารในค่ายของฝรั่งเศสอย่างเหี้ยมโหดตลอดทั้งคืน  จนเวลาผ่านไปทหารฝรั่งเศสที่อยู่ ณ บริเวณศูนย์บัญชาการของค่ายจึงได้ทำการวิทยุไปบอกฐานบัญชาการใหญ่ในกรุงฮานอยเป็นครั้งสุดท้ายด้วยข้อความคร่าวๆดังนี้ De Castries  :  "The Viets are everywhere. The situation is very grave. The combat is confused and goes on all about. I feel the end is approaching, but we will fight to the finish." (พวกเวียดมินห์อยู่ทุกๆที่!ค่ายของเรากำลังกลายสภาพเป็นสุสาน  สายการบังคับบัญชาถูกตัดขาดหมดแล้ว  ผมรู้สึกว่าจุดจบของเรากำลังใกล้เข้ามา  แต่พวกเราจะต่อสู้จนวาระสุดท้าย) Cogny  :  "Well understood. You will fight to the end. It is out of the question to run up the white flag after your heroic resistance." (เข้าใจแล้ว! พวกคุณจะสู้จนวาระสุดท้าย  ตัวผมตอนนี้ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจยกธงขาวยอมแพ้ของพวกคุณเลย  หลังจากการเสียสละอันกล้าหาญของพวกคุณทุกคน) De Castries  :  "I'm blowing up the installations. The ammunition dumps are already exploding. Au revoir." (ผมได้สั่งให้ทหารไประเบิดคลังเก็บอาวุธแล้ว  ตอนนี้ยุทธปัจจัยต่างๆของเรากำลังจะถูกทำลาย) Cogny  :  "Well, then, au revoir, mon vieux." (ดีมากเพื่อนรัก) - "Colonel Christian de Castries" คือนายทหารที่รับหน้าที่บัญชาการค่ายเดียนเบียนฟู  ความเลินเล่อแลผิดพลาดของเขาส่งผลร้ายกระทบเป็นลูกโซ่มาถึงกองกำลัง ฝรั่งเศสทั้งหมดในเวียดนาม  เมื่อค่ายแตกเขาถูกกองทัพเวียดมินห์จับเป็นเชลยอยู่หลายเดือนจึงได้รับการ ปล่อยตัว - "Major General Rene Cogny" คือนายพลที่มองเห็นจุดอ่อนของค่ายเดียนเบียนฟูมาโดยตลอด  แลคอยเตือนทางหน่วยเหนือให้เปลี่ยนยุทธวิธีการสู้รบกับเวียดกงเสียใหม่  แต่คำร้องของเขาล้วนได้รับการเมินเฉยแทบทุกครั้งจนกระทั่งห้วงเวลาแห่งความพ่ายแพ้ดำเนินมาถึง  เขาคือคนที่ได้รับข้อความครั้งสุดท้ายจากทหารที่เดียนเบียนฟูซึ่งส่งมาถึงฮานอย (ภาพธงของพวกเวียดกงถูกโบกสะบัดอยู่เหนือค่ายเดียนเบียนฟู) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:31:50

ความคิดเห็นที่ 45 งบกองทัพยี่ปุ่นปี 2011 =  56 พันล้านดอลล์ !! (มากเป็นอันดับห้าหรือหกของโลก) Japan’s defense budget has decreased 5.2 percent since 2001 to 4.68 trillion yen, or $56.4 billion at current rates, though it is still estimated to be one of the five or six largest in the world. http://www.nytimes.com/2011/03/01/world/asia/01japan.html จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:33:14

ความคิดเห็นที่ 46 ***     เมื่อข้อความสุดท้ายถูกส่งไปการติดต่อสื่อสารทั้งหมดก็ถูกตัดขาดทันที  ทหารฝรั่งเศสในค่ายที่เหลือได้ทำการระเบิดคลังสรรพาวุธ อุปรณ์สื่อสาร รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้พวกเวียดกงได้ไป  นายทหารหลายคนตัดสินใจใช้ปืนพกยิงขมับปลิดชีพตนเองเพราะทนความอัปยศอดสูไม่ไหว  กองทหารฝรั่งเศสชั้นเยี่ยมจำนวนนับหมื่นนายล้วนต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแลถูกจับเป็นเชลย  บัดนี้ดุลย์แห่งอำนาจของฝรั่งเศสในเวียดนามได้ถูกสั่นคลอนแล้ว     โดยหลังการรบอันดุเดือดสงบลงทหารเชลยฝรั่งเศสส่วนใหญ่ที่ถูกจับล้วนต้องไปตายในค่ายนรกอันโหดร้าย  จนกระทั่งถึงยุค "สงครามเวียดนาม" ทหารอเมริกันที่มารบยังไปเจอค่ายสุดทารุณเหล่านี้มากมายกระจายตัวอยู่ตามป่าทึบ  ซึ่งภายในล้วนขังไว้ด้วยทหารอาณานิคมฝรั่งเศสที่มารบเมื่อปลายยุค50,เป็นจำนวนมาก  ปัจจุบันมีรายงานว่ายังมีทหารฝรั่งเศสอีก3,000กว่านายที่ยังคงหายสาบสูญไปในป่าลึกของเวียดนาม  โดยที่ไม่มีผู้ใดรับทราบถึงชะตากรรมของพวกเขาเหล่านั้นอีกเลย **ภาพกองทหารฝรั่งเศสจำนวนนับหมื่นถูกทหารเวียดกงกวาดต้อนให้เดินแถวไปยังค่ายกักกัน  โดยพวกเขาต้องเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 250 ไมล์  ซึ่งทหารหลายคนต้องเสียชีวิตลงระหว่างการเดินทางสุดหฤโหดครั้งนี้** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:33:46

ความคิดเห็นที่ 47 ***      อันนี้คือรูปของ "นายพล โวเหงียนเกี๊ยบ" ผู้โด่งดังซึ่งมีส่วนในการช่วยขับไล่ฝรั่งเศสและสร้างดินแดนเวียดนามเหนือร่วมกับโฮจิมินห์  โดยแม้กระทั่งช่วงที่เวียดนามเหนือทำสงครามกับอเมริกาเขาก็ยังเป็นผู้มีบทบาทในการนำกองทัพเวียดหนามเหนือเข้าต่อกรกับกองทัพมะริกันที่นำโดย "นายพล เวสมอร์แลนด์"  ภายหลังขับไล่อเมริกาได้สำเร็จแล้วเขาจึงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:34:42

ความคิดเห็นที่ 48 ***      แม้กระทั่งนิตยาสาร "Times" ในยุคนั้นยังเคยลงรูปชายผู้นี้ไว้ที่ปก  โดยจากความคิดเห็นของ "เจไดหนุ่ม" เกี๊ยบดูจะเป็นนายพลจากฝั่งคอมมิวนิสต์ชาติเอเซียเพียงคนเดียว  ที่ทางตะวันตกให้ความยอมรับนับถือในฝีมือแลบุคลิกการเป็นผู้นำประเทศ        แม้ช่วงเกษียณปลดระวางไปแล้วสำนักข่าวตะวันตกก็ยังชอบมาขอสัมภาษณ์แกอยู่บ่อยๆ  แลทุกวันนี้แม้กระทั่งใน "โรงเรียนนายร้อยเซนต์เฮิร์ท" ของอังกฤษก็ยังมีรูปปั้นของนายพล "โว เหงียน เกี๊ยบ" ตั้งไว้คู่กับนายพลที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆของโลกยุคปัจจุบันด้วยครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:35:46

ความคิดเห็นที่ 49 ***      โดยในช่วงสงครามเวียดนามกำลังระเบิดขึ้นนั้น "เกี๊ยบ" และ "โฮจิมินห์" ได้คัดค้านแผนที่บรรดานายทหารจำนวนมากต้องการรบกับอเมริกาแบบเตกหัก  และปฎิเสธการใช้กำลังทหารเวียดนามเนือเข้าปะทะกับอเมริกาตามรูปแบบสงครามมาตรฐาน  แต่เขากลับแปรสภาพทหารเหล่านั้นเป็น "เวียดกง" แลส่งเข้าไปทำสงครามกองโจรอย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่เวียดนามใต้แทน        นั่นเพราะ "เกี๊ยบ" รู้ดีถึงประสิทธิภาพแลความสามารถในการทำสงครามระยะยาวของอเมริกาดีว่า  พวกมะริกันนั้นมิใช่ขี้ๆไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถข้ามน้ำข้ามทะเลมาบดขยี้ เยอรมนีแลญี่ปุ่นถึงถิ่นได้  ดังนั้นการรบกับพวกมะริกันตามแบบแผนนั่นย่อมหมายถึงการฆ่าตัวตายดีๆนั่นเอง เนื่องจากกองทัพเวียดนามเหนือล้วนอ่อนด้อยกว่ามะริกันในทุกด้านไม่ว่าจะเป็น กำลังคน อาวุธ เทคโนโลยี แลยุทธปัจจัย        ดังนั้นเขาจึงสงวนกำลังรบหลักของเวียดนามเหนือทั้งเครื่องบิน รถถัง แลเรือรบที่มีอยู่น้อยนิดไว้  แลอาศัยความเจนจัดในพื้นที่ของชาวเวียดนามเจ้าของบ้านเข้าต่อกรแทน  บวกกับการใช้ยุทธวิธีการทำสงครามประชาชนของ "เหม๋าเจ๋อตุง" เข้าสู้  ด้วยการพยายามดึงมวลชนในเวียดนามใต้ให้เข้ามาเป็นพวกเพื่อร่วมกันขับไล่พวก มะริกันให้ออกไปจากดินแดนเวียดนาม      แต่ก็มิใช่ว่านายพลเกี๊ยบจะไม่มีข้อผิดพลาดเลย  โดยความเสียหายครั้งใหญ่ของกองทัพเวียดนามเหนือราวๆช่วงปี "1965-1967" นั้นก็เป็นผลมาจากการที่เขาพยายามจะใช้กองทัพเวียดนามเหนือเข้ารบกับพวกมะริกันตามแบบแผนอย่างเร็วเกินไป  ซึ่งนั่นเป็นการเข้าทางของ "นายพล เวสมอร์แลนด์" ของพวกมะริกันพอดี  ทำให้กองทัพเวียดนามเหนือต้องสูญเสียอย่างขนานหนักจาการเข้ากวาดล้างของกองทัพมะริกัน      ทว่าจุดพลิกผันก็มาถึงตอนช่วงเทศกาล "ตรุษญวน" เมื่อเกี๊ยบส่งกองกำลังเวียดกงกระจายตัวเข้าโจมตีหัวเมืองใหญ่ๆของเวียดนาม ใต้จนสร้างความวุ่นวายไปทั่ว  ซึ่งแม้บทสรุปแล้วทหารมะริกันจะสามารถยับยั้งความวุ่นวายจนเวียดกงต้องสูญ เสียกำลังพลไปมากมาย  แต่สิ่งที่เกี๊ยบชนะก็คือการครองใจมวลชนแลเป็นการประกาศให้ชาวอเมริกันรับรู้ถึงความโหดร้ายของสงครามจนกระแสต่อต้านเริ่มหนักข้อขึ้น (      ซึ่งภาพข่าวอันโด่งดังที่ "อธิบดีตำรวจเวียดนามใต้" ชักปืนออกมายิงหัวพวกเวียดกงกลางถนนก็เกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้นั่นเองครับ  โดยเราอาจกล่าวได้ว่าใน "ยุทธการตรุษญวน" นั้นเวียดมินห์อาจจะพ่ายแพ้ในเรื่องของการรบ  แต่มว่ากลับสามารถเอาชนะได้ในเรื่องของเกมส์การเมืองครับ     (นายพลเกี๊ยบในวัยชรากำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวตะวันตกครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:39:06

ความคิดเห็นที่ 50 Japanese Stealth Fighter, Mitsubishi ATD-X ShinShin จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:39:50

ความคิดเห็นที่ 51 ***      ส่วนนี่เป็นรูปของพื้นที่บริเวณ "ค่ายเดียนเบียนฟู" ในยุคปัจจุบัน  ซึ่งถูกรัฐบาลเวียดนามแปรสภาพให้กลายมาเป็นแหล่งปลูกข้าวเพื่อเอาไว้ขายแข่งกับประเทศไทยเรานั่นเอง  และ "เจไดหนุ่ม" รู้สึกว่าพวกผู้นำของไทยเราตอนนี้ก็กำลังเดินตามรอยเท้าทหารฝรั่งเศสและมะริกันยุคก่อนด้วยการประมาทเวียดนามจนเกินไปเช่นกัน ป.ล. ประวัติศาสตร์ชอบเดินซ้ำรอยเดิมของมันเสมอครับ (ขอจบเรื่องราวต่างๆไว้เท่านี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ ^_^) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:40:18

ความคิดเห็นที่ 52 Mitsubishi F-2 fighter-plane Japan F-2 Viper Fighter Jet - Japan Air Self Defense Force Role Multirole fighter National origin Japan, United States Manufacturer Mitsubishi Heavy Industries, Lockheed Martin First flight 7 October 1995 Introduced 2000 Primary user Japan Air Self-Defense Force Number built 94+4 prototype จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:44:39

ความคิดเห็นที่ 53 สมรภูมิในบ้านของตัวเองนั่นแหละ สงครามกลางเมืองอเมริกัน หรือ สงครามฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้ เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้ง ระหว่างรัฐเกษตรกรรมทางใต้ของสหรัฐอเมริกา   ที่มีการทำไร่ขนาดใหญ่ใช้แรงงานทาสนิโกร กับรัฐอุตสาหกรรมทางเหนือ ระหว่าง ค.ศ. 1861 - 1865 (พ.ศ. 2404 - 2408) สงครามนี้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 620,000 คน สูญเสียมากกว่าทุกสมรภูมิ ที่อเมริกาไปรบมารวมกัน สงครามเริ่มต้นจาก เมื่อ อับราฮัมได้เป็นประธานาธิบดีโดยเขาสัญญาก่อนเลือกตั้งว่า ถ้าเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เขาจะประกาศเลิกทาสทั่วประเทศ (สมัยนั้นสหรัฐอเมริกามีเนื้อที่เฉพาะฝั่งขวาของแม่น้ำมิสซิสซิปปีทั้งหมดเท่านั้น) ซึ่งนโยบายนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนที่อยู่ในรัฐทางเหนือ แต่ในรัฐทางใต้กลับไม่พอใจเป็นอย่างมาก ฉะนั้นคะแนนเสียงของอับราฮัม จึงไม่มีในรัฐภาคใต้เลย เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดี รัฐทั้ง 11 รัฐทางใต้ก็ประกาศแยกตัวเป็นอิสระทันที ประกาศเป็นศัตรูกับรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนรัฐทางใต้ก็รวมตัวกันอย่างหลวมๆ ประกาศจัดตั้งประเทศ สมาพันธรัฐอเมริกา สงครามจึงเริ่มขึ้น เหตุการณ์สำคัญตามลำดับคือ ค.ศ. 1860 อับราฮัม ลินคอล์นได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ค.ศ. 1860 เซาท์ แคโรไลนาแยกตัวออกเพราะไม่พอใจผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1860 การทำข้อตกลงคิสเตนเดน (Crittenden Compromise) ล้มเหลวเท่ากับเป็นการสิ้นสุด ความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะยังคงรวมกันเป็นสหภาพ (Union) ค.ศ. 1861 ฝ่ายสมาพันธรัฐ (Confederates) ยิงเรือของฝ่ายสหภาพ พยายามปลดปล่อยฟอร์ท ซัมเตอร์ (Fort Sumter) ที่เมืองชาร์ลสตัน (เซาท์ แคโรไลนา) ทำให้เรือของฝ่ายสหรัฐต้องถอย ค.ศ. 1861 มิสซิสซิปปี แยกตัว (9 มกราคม) ตามมาด้วยฟลอริดา (10มกราคม) อลาบามา (11 มกราคม) จอร์เจีย (19มกราคม) หลุยส์เซียนา (26มกราคม) และเท็กซัส (1กุมภาพันธ์) ค.ศ. 1861 สภาคองเกรสเรียกประชุมผู้แทน (4 ก.พ.) บรรดารัฐที่แยกตัวออกที่เมืองมองโกเมอรี รัฐอลาบามาจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกา และเลือกตั้งนายพล เจ.เดวิส (J.Davis) เป็นประธานาธิบดี ค.ศ. 1861 ประธานาธิบดีเดวิส ประกาศเกณฑ์ทหารอาสาสมัคร 20,000 คนเข้าประจำการ (3 เมษายน) ค.ศ. 1861 กองทัพฝ่ายสมาพันธ์นำโดยนายพลโบรีการ์ด (Beauregard) ระดมยิงฟอร์ท ซัมเตอร์จน ต้องยอมแพ้ เป็นการเปิดฉากสงครามกลางเมือง ที่มีความรุนแรงยิ่งขี้น (12 - 14 เมษายน) ค.ศ. 1861 ประธานาธิบดีลินคอล์น ประกาศเกณฑ์ทหารอาสาสมัคร 75,000 คน (15 เมษายน) ดำเนินการปิดล้อมท่าเรือของฝ่ายรัฐที่แยกตัวออก (19 เมษา) แต่ไม่สามารถสกัดการส่งสินค้า จากต่างประเทศที่เข้ามาถึงรัฐที่ถูกปิดล้อมได้ทั้งหมด ค.ศ. 1861 เวอร์จิเนียถอนตัวออกจากสหพันธรัฐ (17 เมษา) ตามด้วยอาร์คันซอส์ (6 พฤษภา) นอร์ท แคโรไลนา (20 พฤษภา) และเทนเนสซี (8 มิถุนา) ค.ศ. 1861 กองทัพฝ่ายสมาพันธรัฐเผชิญหน้าฝ่ายสหพันธรัฐ เริ่มการสู้รบที่บุล รัน (bull Run) (21 กรกฎา) ทางตอนเหนือของรัฐเวอร์จิเนีย การสู้รบที่บุลรันทำให้ฝ่ายเหนือคิดเรื่องที่จะยุติสงครามกลางเมืองโดยเร็ว ด้วยการปิดล้อมฝ่ายใต้ทางเรือ คุมย่านแม่น้ำมิสซิสซิปปี (เพื่อเป็นการแยกฝ่ายใต้ออกจากกัน) และเข้ายึดเมืองริชมอนด์ เมืองหลวงของสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ ค.ศ. 1861 ฝ่ายสมาพันธรัฐก็ยึดเมืองสปริงฟิลด์ (Springfield) ในมิสซูรีภายหลังการรบที่วิลสัน ครีก (Wilson's Creek) (10สิงหาคม) ค.ศ. 1861 พลเอก จี. แมคเคลลัน (General G.McCelan) เป็นผู้บัญชาการกองทัพสหพันธรัฐ และจัดตั้งกองทัพแห่งโปโตแมค (Army of Potomac) ขึ้น ค.ศ. 1861 กองทัพสหพันธรัฐปิดล้อมเรืออังกฤษ (8 พฤศจิกายน) จนเกือบนำไปสู่การเกิดสงรามระหว่างประเทศ ค.ศ. 1862 ฝ่ายสหพันธรัฐบุกเคนตักกี้กับเทนเนสซี ยึดได้ฟอร์ท เฮนรี (Fort Henry) กับฟอร์ท โดเนลสัน (Fort Donelson) (6 - 16 กุมภาพันธ์) ฝ่ายสมาพันธ์ถอนตัวจากเมืองแนชวิลล์ (Nashville) ค.ศ. 1862 เป็นปีรุกของฝ่ายสหพันธรัฐ นายพลแกรนท์ของฝ่ายเหนือรุกไล่ฝ่ายใต้ทางตอนใต้รัฐเทนเนสซี มีชัยในการรบนองเลือดที่ชิโลห์ (Shiloh) (6-7เมษา) ฝ่ายใต้สูญเสียแม่ทัพสำคัญ คนหนึ่งคือนายพล เอ จอห์นสตัน (Gen. A. Johnston) ค.ศ. 1863 ลินคอล์นประกาศกฎหมายปลดปล่อยวันที่ 1 มกราคม (Emancipation Proclaimation) (1 มกราคม) ค.ศ. 1863 กองทัพฝ่ายเหนือรุกไปทางตะวันออก นายพลลี (Gen. R.E. Lee) ของฝ่ายใต้รุกขึ้นทาง เหนือเข้าสู่เพนซิลวาเนีย (มิถุนายน) แต่ถูกนายพลจี มีด (Gen.G.Meade) ของฝ่ายสหพันธรัฐ เอาชนะได้ในการรบที่เกตติสเบิร์ก (Battle of Gettysburg) ในเพนซิลวาเนีย ถือ เป็นสงครามแห่งชัยชนะในสงครามกลางเมือง เมื่อนายพลลีต้องถอยกลับไปเวอร์จิเนีย ค.ศ. 1864 นายพลแกรนท์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพสหภาพ (มีนาคม) ขณะที่นายพล ดับเบิลยู เชอร์แมน (Gen. W. Sherman) เป็นแม่ทัพฝ่ายตะวันตก กองทัพ ของนายพลแกรนท์ ปะทะกับกองทัพนายพลลีในเวอร์จีเนีย ส่วนกองทัพของนายพลเชอร์ แมนมีหน้าที่รุกรบกองทัพของนายพลจอห์นสตันที่แอตแลนตา ค.ศ. 1864 นายพลลีของฝ่ายใต้เริ่มถอย เพราะไม่สามารถป้องกันปีเตอร์สเบิร์ก (Petersburg) ในการสู้รบเป็นเวลาถึง 10 เดือน แม้จะพยายามโจมตีแนวหลังของฝ่ายสหพันธรัฐก็ไม่สำเร็จ ค.ศ. 1864 นายพลดี ฟาร์รากัตเอาชนะกองเรือฝ่ายสมาพันธรัฐที่อ่าวโมบายล์ (5 สิงหาคม) ค.ศ. 1864 ประธานาธิบดีลินคอล์นได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง (พฤศจิกายน) ค.ศ. 1865 มีการร่างข้อตกลง 13 ข้อ ยกเลิกการมีทาสในสหรัฐอเมริกา ผ่านรัฐสภาอเมริกัน (1 กุมภาพันธ์) และมีผลบังคับใช้เดือนธันวาคม ค.ศ. 1865 นายพลลี ถูกบังคับให้ยอมจำนนที่แอพโพแมตทอก คอร์ทเฮาส์ (Appomattox Courthouse) เป็นการยุติสงครามกลางเมือง ค.ศ. 1865 (14 เมษายน) ประธานาธิบดีลินคอล์นถูกลอบสังหาร (เขาถูกสังหารโดยชาวผิวขาวที่เคยสนับสนุนการเลิกทาส แต่เมื่ออับราฮัมต้องการให้คนผิวดำมีสิทธิการเลือกตั้งเท่าเทียมกับคนขาว เรื่องนี้ทำให้คนขาวหลายคนไม่พอใจ รวมทั้งมือสังหารคนนี้ด้วย) จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:50:03

ความคิดเห็นที่ 54 ทำลายผู้อื่น ไม่เท่ากับเราทำลายกันเอง นึกถึงเรื่อง Apocalypto จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:52:44

ความคิดเห็นที่ 55 Top 10 Air Forces Of The World (ด้วยวิธีวัดคร่าวๆจากปี 2009 เช่นงบประมาณ จำนนวน) Japan อันดับ 10 Russia 2 USA 1 จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:56:55

ความคิดเห็นที่ 56 ต้นกำเนิดของ Brahmos II Hypersonic missile (Russia + India) P-270 Moskit USA กะซื้อไปลอกเทคโนโลยี่ Czechs blocked US attempt to buy Russian missiles from Belarus http://www.ceskapozice.cz/en/news/foreign-affairs/wikileaks-czechs-blocked-us-attempt-buy-russian-missiles-belarus จีนซื้อ Moskit จากรัสเซีย The missile has been purchased by the People's Liberation Army Navy (China), and reported to be purchased by Iran. http://en.wikipedia.org/wiki/Moskit จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 14:10:15

ความคิดเห็นที่ 57 ดูตัวพ่อ Moskit ไปแล้ว มาดูตัวลูกที่รัสเซียผลิตให้อินเดีย Brahmos Supersonic Cruise missile จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 14:14:08

ความคิดเห็นที่ 58 Japan JASDF Kawasaki C-2 (XC-2) First Flight - 26 January 2010 The Kawasaki XC-2 (previously C-X) is a military transport aircraft being developed by Kawasaki Heavy Industries for the Japan Air Self-Defense Force (JASDF) จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 14:26:56

ความคิดเห็นที่ 59 UN Security Council + USA ห้ามไม่ให้รัสเซียขาย s-300 ให้อิหร่าน (ที่น่าสงสัยคือถ้าเมกามั่นใจในเทคโนโลยี่สเตลท์ของต้วเอง ทำไมต้องห้ามอิหร่านซื้อ ??!!) http://news.xinhuanet.com/english2010/world/2010-06/11/c_13345767.htm จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 14:36:06

ความคิดเห็นที่ 60 เฮ้อ ทำไม แถวนานา พัทยา ไม่ค่อยเจอแบบ คห 31 มั่งนะ เจอแต่แบบเหี่ยว ๆ น่ากลัว จากคุณ : noomnory เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 15:16:24

ความคิดเห็นที่ 61 ^ | | เชคเชนย่าปลอมตัวเป็นรัสเซียรึปล่าว .. Anna Kournikova - Maxim Photoshoot 2010 จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 16:53:31

ความคิดเห็นที่ 62 Maria Kirilenko แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 54 17:01:30 จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 17:00:00

ความคิดเห็นที่ 63 Maria sharapova จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 17:01:13

ความคิดเห็นที่ 64 ก่อนที่จะมาร่วมกับกองกำลังต่อต้านฝรั่งเศส เกี๊ยบเป็นแค่ครูประถม จากคุณ : Roh_Z เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 19:20:24

ความคิดเห็นที่ 65 แหม ไม่ได้เข้ามาดูแวปนึง โดนไปเยอะ ขออภัยที่ไม่ได้ให้คำจำกัดความไว้ ว่าแพ้ยับเป็นแบบไหน ขออภัย คำว่าแพ้ในที่นี้คือ ไม่ได้นับว่าฝ่ายไหนตายเยอะกว่ากัน แต่เป็นที่ ภารกิจที่มุ่งจะมาทำนั้น สำเร็จตามที่หวังไวหรือไม่ ในเวียดนาม ก็กะจะมาช่วยทางใต้รบ จนแล้วสุดท้ายที่ไม่สำเร็จ เก็บของกลับบ้านไป ใน โมกาดิชู จะมาสร้างสันติ จับหัวโจกเขา กะมาแค่แวบเดียวแล้วกลับ แต่ที่ไหนได้ ปัจจุบันสันติใน โซมาเลีย ก็ยังไม่นิ่ง แถมหัวโจกที่จะไปจับก็ไม่โดนจับ ภารกิจที่คาดว่าจะใช้เวลาแปปเดียวก็พลาดไป  แล้วสุดท้ายก็เก็บของกลับบ้าน จากคุณ : monasa เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 20:28:25

ความคิดเห็นที่ 66 การแพ้ของฝ่ายรุก คือการรุกไม่สำเร็จ การแพ้ของฝ่ายรับคือการปกป้องไม่สำเร็จ การแพ้ของฝ้ายรุกกับฝ้ายรับไม่เหมือนกันนะครับ ดูที่จุดประสงค์เสียก่อน จากคุณ : HiiDoL เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 20:35:07

ความคิดเห็นที่ 67 Russian Spy .. Anna Chapman จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 04:12:26

ความคิดเห็นที่ 68 Anna Chapman เปลื่ยนจากสปายเป็นนักการเมือง จากคุณ : Skolkovo project. เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 04:44:56

ความคิดเห็นที่ 69 ขอทราบความหมายของ: (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน ติดตามบทความบ่อยๆ ขอบคุณล่วงหน้า ครับ จากคุณ : kai50 เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:57:35

ความคิดเห็นที่ 70 โอเค จริงๆผมก็รู้แหล่ะว่าเค้ามีกองกำลังป้องกันตนเอง (Japan Self-Defense Forces ) ผมอาจจะบอกพลาดไป ควรจะบอกว่า "ไม่มีกองทัพที่ไว้ใช้ขยายอำนาจ หรือรุกรานประเทศอื่นๆ" จากคุณ : คห.35 เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 17:35:43 A:116.212.182.65 X: TicketID:163581