ความคิดเห็นที่ 1 มันอันตรายสำหรับในบางคนและในการได้รับปริมาณมาก เพราะ กรดกลูตามิก หรือ กลูตาเมท ครับ กลูตาเมทมันมีฤทธิ์เป็นสารสื่อประสาทด้วยนะครับ โดยออกฤทธิ์ต่อ glutamate receptor ทั้งสามชนิดคือ NMDA, AMPA และ Kainate receptor มีผลต่อการเรียนรู้และการทำงานของสมองได้ครับหากได้รับมากเกิน เพราะว่า การกระตุ้น NMDA receptor อย่างต่อเนื่องส่งผลการเป็นพิษต่อเซลล์ในระบบประสาทครับ นั่นคือหากความเข้มข้นของกรดกลูตามิกอาจทำให้เซลล์ประสาทตายได้ ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในเมแทบอลิซึมของกรดอะมิโนหลายชนิด โดยเฉพาะการเมแทบอลิซึมของกรดอะมิโนแอสพาร์เตทและอะลานีน (ใครที่ไปดคยตรวจเลือดอาจเคยเห็นสองค่านี้นะครับคือ AST และ ALT) จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 14:56:50

ความคิดเห็นที่ 2 นอกจากนี้ที่ synapse ของเซลล์ประสาทหลายชนิดที่ใช้กลูตาเมทเป็นสารสื่อประสาท จะมี glutamate transporter ครับ ซึ่งทำหน้าที่ลดระดับของกลูตาเมทใน synapse ให้มากที่สุด เพื่อยับยั้งการสื่อประสาท ลองคิดดูว่าถ้าได้รับกลูตาเมทในปริมาณมาก นอกจากจะเป็นการกระตุ้น NMDA receptor ที่มากเกินไปแล้ว ยังส่งผลให้ glutamate transporter ทำงานหนักอีก ซึ่งหาก glutamate transporter ทำงานไม่ทันจะส่งผลอย่างมากต่อเซลล์ประสาทดังที่ได้กล่าวไป จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 15:01:45

ความคิดเห็นที่ 3 แล้ว รส อูมามิ นี่มีจริงมั้ยครับ เห็นบอกว่าเป็นรสพื้นฐาน จากคุณ : PPP200sx เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 15:04:11

ความคิดเห็นที่ 4 เคยกินมากไปแล้วปากบวม แสบลิ้น จากคุณ : hydrophobia เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 15:10:41

ความคิดเห็นที่ 5 นี่หล่ะครับ การศีกษาไทย คำว่า เกินขนาด ไม่ยอมบอกว่าเกินขนาดแค่ไหน จริงๆ แล้วต้องเกินพอสมควรเลยครับ (ตักเข้าปากเป็นช้อนๆ เพียวๆ หลายช้อน) ถึงจะเป็นโทษ ส่วนเรื่องแพ้ ก็ไม่ยอมบอกอีกว่า เปอร์เซ็นต์ของคนที่แพ้มีแค่ไหน มาก หรือน้อยกว่าคนที่แพ้กุ้ง ถ้าใช้เหตุผลว่าไม่ควรกินเดี๋ยวแพ้ ก็มีอีกหลายต่อหลายอย่างครับ ที่ไม่ควรกิน อยากให้การศึกษาไทยให้ทั้งประโยชน์ และโทษ แล้วค่อยให้เด็กๆ หรือผู้ที่รับรู้เอาไปตัดสินเอาเองว่าสิ่งนี้ "ดี" หรือ "ไม่ดี" กับตัวเค้า ไม่ใช่ตัดสินไปก่อนว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งไม่ดี แล้วก็บอกแต่แง่ร้าย ปัญหาสังคมปัจจุบันก็เกิดมาจากการสอนแบบนี้แหล่ะ (แบบที่เถียงเรื่องโรงไฟฟ้าไม่จบหน่ะแหล่ะ) จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 15:29:18

ความคิดเห็นที่ 6 ผมเฉยๆนะ จากคุณ : [D]iffind[O] เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 15:42:21

ความคิดเห็นที่ 7 อูมามิ ในปี ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2451) ศาสตราจารย์ ดร. คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล ประเทศญี่ปุ่น ได้ค้นพบว่าผลึกสีน้ำตาลที่สกัดได้จากสาหร่ายทะเลที่ชื่อว่าคอมบุ (Japonica laminaria) นั้นคือ กรดกลูตามิก และเมื่อลองชิมพบว่ามีรสใกล้เคียงกับซุปสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นอาหารประจำวันของชาวญี่ปุ่นที่บริโภคกันมาหลายร้อยปี เขาได้ตั้งชื่อรสชาติของกรดกลูตามิกที่สกัดได้ว่า "อูมามิ" http://th.wikipedia.org/wiki/ผงชูรส จากคุณ : ton_na_999 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 15:46:55

ความคิดเห็นที่ 8 คนไทยเหนืออิสานบ้านเรา เวลาทำกับข้าว อาหารต่าง ๆ เครื่องปรุงแรก ๆ ที่ใส่ลงไป ก็คือ ปลาร้าสับ สิ่งเดียวกัน ในการทำอาหารของญี่ปุ่น หรือครัวคนญี่ปุ่น ก็จะใส่สาหร่ายแห้ง   ที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ลงไปในการทำอาหาร เพื่อให้รสชาดอูมามิ ในความเข้าใจของคนญี่ปุ่น ++++++++++ ส่วนผงชูรส เป็นการเลียนแบบรสชาดของสาหร่าย ที่คิดค้นโดยคนญี่ปุ่น แต่ที่ สปป.ลาว แนวคิดเรื่องผงชูรสไปอีกแบบเลย เห็นในร้านอาหาร หรือรายการอาหาร เขาตัดใส่เป็นช้อน ๆ เลย ส่วนโทษของการกิน ไม่ขอออกความเห็นเพราะเป็นลักษณะส่วนบุคคล มันก็มีมาตั้งแต่ผมจำความได้ ถ้ามันแย่ไปหมด ก็คงล้มหายตายจากไปนานแล้ว ผมจัดให้อยู่ในประเภทเีดียวกับน้ำอัดลม อาหารฟาสฟู้ด หรือพวกอาหารทอดต่าง ๆ จากคุณ : เทวดาน้อย เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 15:53:18

ความคิดเห็นที่ 9 รู้จักคนทำงานบริษัท ผงชูรส เขาบอกว่า ประโยชน์ไว้ใช้ห้ามเลือดเป็นอย่างดี ในสมัยสงครามโลก จากคุณ : life to leave! เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:13:18

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้างั้น รองานวิจัยก็แล้วกันนะ!!??? มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์น่ะครับพี่น้อง ไม่มีใครกล้าบอกความจริงเกี่ยวกับโทษของมันหรอก พวกเราประชาชนคนเดินดินกินข้าวแกง และไม่มีราคาค่าตัวสูงๆ คงต้องค้นหาข้อมูลกันเอาเอง ส่วนกระผมขอบายผงชูรส อิอิ แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 17:50:20 แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 17:20:09 แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 16:33:56 แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 16:31:29 จากคุณ : decimals3 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:17:10

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ จากประสบการณ์ทำฟาร์มโคนม เขาไม่ได้เอายูเรียราดให้วัวกินตรง ๆนะครับ เดียวจะเข้าใจผิด เขาเรียกว่าทำหญ้าหมัก เพราะหญ้าขนบางชนิดจะแข็งมาก เลยต้องเอามาปรุงไว้ให้วัวกินได้ อีกทั้งเป็นการเก็บหญ้าชนิดหนึ่ง เป็นการเอากากน้ำตายราด แล้วเอาน้ำปุ๋ยราดตามสูตร แล้วหมักไว้ พอถึงเวลาหญ้าก็จะนุ่ม กลิ่นจะหอมเชียว จากคุณ : เทวดาน้อย เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:23:03

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าไม่หมักหญ้า เวลาเอาหญ้าฟ่อนให้กิน จะเหลือซาก 30-40 เปอร์เซนต์ สิ้นเปลืองมาก วัวเลือกกิน 5555555 จากคุณ : เทวดาน้อย เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:27:43

ความคิดเห็นที่ 13 ขอเถอะครับ จะพูดอะไร ขอเอาที่มีหลักฐาน งานวิจัยรองรับหน่อย อย่าเอาความรู้สึก เท่าที่มีงานวิจัยลองรับ ผมยังค้นไม่เจอไม่ว่าจะเรื่องของสะสม หรือไหลตาย แล้วเกี่ยวอะไรกะวัวกิน วัวก็ไม่เกิดผลเสียอะไรนี่หน่า เฮ้อ.. มั่วได้อีก ส่วนเรื่องห้ามเลือดนี่ยิ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องการบริโภคเลย เพราะถ้าเกี่ยว ชาถุงๆ สำเร็จสำหรับชงก็คงโดนไปด้วย เพราะมีคนเอาไปใช้ห้ามเลือดเหมือนกัน เฮ้อ จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:30:04

ความคิดเห็นที่ 14 http://www.scimath.org/project/show/578 พยายามหา ได้มาแค่นี้ครับ คห 13 แค่อยากบอกว่ามันมีประโยชน์ นอกเหนือจากที่ใช้อยู่นะครับ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่า จะมีผลงานอะไรมา ทดลองเพื่อพิสูจน์กันชัดๆครับ ก็ต้องรอกันต่อไป เพราะผมก็ฟังเขามา แล้วเอามาเล่าต่อ แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 16:53:50 จากคุณ : life for leave! (life to leave!) เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:52:33

ความคิดเห็นที่ 15 http://www.si.mahidol.ac.th/department/clinical_pathology/home/publiction/th1987_7.htm แถมให้อีกอัน จากคุณ : life to leave! เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:55:57

ความคิดเห็นที่ 16 งงเล็กน้อย.. สงสัยผมต้องหาวิธีเรียบเรียงคำพูดใหม่ครับ ต้องขอโทษด้วยครับ หลักฐานงานวิจัยที่อยากได้เกี่ยวกับเรื่องไหลตาย หรือโทษสะสมครับ ส่วนเรื่องวัวกินตัดไปเลย ไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นความพยายามโยงที่ไร้สาระเล็กน้อย (ในความเห็นส่วนตัวของผม) ส่วนเรื่องห้ามเลือด.. ผมพยายามจะพูดว่าก็ไม่เกี่ยวกับการบริโภค อย่างที่บอก ถุงชาก็ใช้ในการห้ามเลือดได้ ทำไมคนไม่ห้ามกินชานะ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีงานวิจัยดีแค่ไหน ก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการบริโภคอยู่ดี เพราะตอนนี้เราพูดถึงอันตรายที่เกิดจากการบริโภคครับ ถ้ารวมอันตรายอื่นๆ ยังมีอีกมากครับ เช่น ถ้าเอาไปใส่ถุงปุ๋ย ก็สามารถตกมาทับคนตายได้ อะไรอย่างนี้นะครับ จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 17:09:59

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่รู้สิแต่ผมทานทุกวัน จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 17:12:15

ความคิดเห็นที่ 18 จากการไปเยี่ยมเยียมโรงงานผลิตของอายิโนะโมโต๊ะ มานะครับ ทางผู้บรรยายเค้าบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า จุดเริ่มต้น จากการแพ้ผงชูรส มาจากแพทย์ มีแพทย์ชาวเยอรมันคนนึง ไปทานอาหารที่ร้านอาหารจีนซึ่งใส่ผงชูรสเยอะ แล้วแพทย์คนนั้นก็บอกว่ามีอาการแพ้ผงชูรส ผื่นขึ้น คันตามตัว ทีนี้เลยมีการเทสเกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้น ก็สรุปออกมาว่า คนที่แพ้กุ้ง หรือแพ้ถั่ว ก็มีสิทธิที่จะแพ้ผงชูรสได้ อาการแพ้ผงชูรส อาจจะมีต่างกันออกไป เช่น ผื่นขึ้น ปากบวม คัน แต่อาการพวกนี้ถูกแก้ได้ ด้วยการกินน้ำตามเยอะๆ ก็จะหายได้เอง อาการที่เกิดขึ้นไม่จัดอยู่ในอาการที่เป็นอันตรายต่อชีวิต และจะเกิดขึ้นกับบางคนเท่านั้น สำหรับบางคนที่กินแล้ว รู้สึกลิ้นชา เพราะผงชูรสนั้น ยิ่งกินยิ่งเลี่ยน และเมื่อกินมากๆ มันจะเกาะอยู่ที่ลิ้น ทำให้กินรสอื่นแล้วไม่รู้สึก ซึ่งจะเกิดเมื่อกินเยอะมากๆ  ทางแก้คือกินน้ำตามเยอะๆ ส่วนเรื่องกินผงชูรสแล้วหิวน้ำ นั่นอาจเกิดได้จากอาหารที่กินด้วยนั้น รสจัด หรือเค็ม หรือรับในปริมาณมากจนเกินไป จึงทำให้รู้สึกอยากกินน้ำตามเป็นธรรมดา ส่วนเรื่องการสะสมในร่างกาย พบว่าปริมาณที่กินอยู่ทุกวันนี้ (ประมาณ 1 ช้อนชา) ยังไม่เยอะพอที่จะทำให้เกิดอันตราย ส่วนการกินผงชูรส ที่เกินโภชนาการ คือ กินวันละ 1 กิโล (ซึ่งตรงนี้ก็ไม่แน่ใจนะครับว่ามีการทดลองว่า กินเกินวันละ 1 กิโลกรัม ทุกวัน จะมีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร ยังไงรึเปล่า ฟังๆมาก็จำได้แค่นี้) แล้วเค้าก็ยังแนะนำอีกว่า ผงชูรส มีไว้แค่ชูรส  น้ำแกง 1 ชาม ใส่แค่ 1/4 ช้อนชงกาแฟ ช้อนชา ก็พอแล้ว เพราะผงชูรส ยิ่งใส่เยอะ ยิ่งเลี่ยน //เพิ่มเติม ส่วนเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวกับการบริโภคผงชูรสนั้น เห็นทางอายิโนะโมโต๊ะก็ทำอยู่ครับ(ใครสามารถก็ลองหาข้อมูลดูนะครับ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากนัก) ผมก็เคยถามเค้าเหมือนกันนะว่า จะมีความน่าเชื่อถือมั้ย เพราะบริษัทผู้ขายวิจัยสินค้าที่ขายเอง ในตอนนั้นเค้าก็บอกว่า ก็ต้องยอมรับว่าเค้าก็พยายามหาข้อมูล หาหน่วยที่ถูกต้องที่สุด ทั้งในเรื่องปริมาณ โภชนาการที่ถูกต้องให้กับผู้บริโภค จะไปจ้างให้ผู้อื่นหรือต่างประเทศวิจัยก็แพง แล้วก็ยังไม่ค่อยมีวิจัยที่รองรับเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ว่ากินผงชูรสในปริมาณเท่านั้นแล้วอันตราย ไม่รู้ว่าปัจจุบันมีรึยัง ผมว่าทุกวันนี้เราเลี่ยงผงชูรสไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ ทั้งขนม เครื่องดื่ม อาหาร หรือแม้แต่เครื่องปรุงอาหาร เครื่องเทศ นม หมากฝรั่ง ฯลฯ ซึ่งมีทั้งสารแต่สีแต่งกลิ่นอะไรมากมาย พริก มากไปก็ไม่ดี น้ำปลา มากไปก็ไม่ดี น้ำตาล มากไปก็ไม่ดี ผงชูรสก็เช่นกัน มากไปก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นอะไรที่เรารู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ แต่บางครั้งก็นะ หมูปิ้งไก่ย่าง ดำๆเกรียมๆหน่อย รู้ทั้งรู้ว่ามะเร็งนานๆครั้งก็ยังกิน (ก็แหม มันอร่อยหนิ่ 555) อันนี้ก็ฟังเค้ามานานแล้วนะครับ รอฟังคำตอบจากชาวหว้ากอครับผม แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 17:45:59 จากคุณ : ชีวิตยังอยู่จงสู้ต่อไป เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 17:15:47

ความคิดเห็นที่ 19 ผมกินผงชูรสแล้วมีอาหารค้างเคียงครับ ด้วยความสัตย์จริง อาการที่เป็นปวดหัวอย่างมากๆ อาหารไม่ย่อย แล้วสุดท้ายก็อาเจียรออกมาหมด เป็นอาการคล้ายกับไมเกรนมาก อาการที่เป็นสังเกตได้จากอาการลิ้นชา ปวดหัวจากน้อยๆ ค่อยหนักขึ้นเรื่อยๆ ตามมา สุดท้ายจะอาเจียรออกมาหมดท้อง ระหว่างที่ปวดหัวหนักขึ้นทานยาแก้ปวดจำพวก NSAID ไม่ค่อยหายเนื่องจากอาหารไม่ย่อย เป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น แต่สมัยก่อนไม่รู้ตัวว่าแพ้ชูรส เพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่ปีนี้ เนื่องจากสังเกต และทดลองกับตัวเอง จะแน่ชัด ปริมาณไม่แน่นอนเฉลี่ยถ้าร้านไหนใส่ในน้ำซุปเยอะหน่อย และทานน้ำซุปหมดจะเป็น ทุกวันนี้ต้องคอยหลีกเลี่ยงเอา จากคุณ : ปลากระป๋องพลาซ่า เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 17:54:08

ความคิดเห็นที่ 20 ร้านแถวบ้านผมทุกร้านใส่หมด ง่ายๆคือ ไม่ใส่=เจ๊ง ละครับ จากคุณ : KeyboardWarrior เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 18:54:27

ความคิดเห็นที่ 21 ที่พอจำๆได้ ไม่รู้ว่าจำผิดถูกไหม หรือตกหล่นไหมนะ ส่วนประกอบของผงชูรสส่วนใหญ่ก็คือ - มันสำปะหลัง กากอ้อย กากน้ำตาล แป้งมัน ประมาณนี้แหละ - โซดาไฟ - ยูเรีย - กรดเกลือ แถมปัจจุบันยังใช้จุลินทรีย์ในขั้นตอนการทำ ซึ่งง่าย สะดวก ต้นทุนต่ำกว่าวิธีเดิมๆ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยง ความน่ากลัวให้กับผงชูรสด้วยเช่นกัน -------------------- ใครโปรดปรานกันก็ตามแต่ใจครับ -------------------- ผมเองก็ไม่ชอบกินผงชูรส เคยเจอบางเจ้าที่ใส่เยอะมาก กินเข้าไป ลิ้นชา ลิ้นแห้ง ปากแห้ง คอแห้ง มึนหัว อ่อนเพลีย ดังนั้น ถ้าเลี่ยงได้ผมก็เลี่ยงสุดตัวครับ แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 20:06:54 จากคุณ : Blasphemy เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 20:05:00

ความคิดเห็นที่ 22 เคยได้ยินว่า รส "อูมามิ" คือ รสชาติที่ได้จาก "ซอสถั่วเหลือง" ที่ยังไม่ได้ผ่านการปรุงรสครับ จากคุณ : monasa เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 20:23:22

ความคิดเห็นที่ 23 เรื่องมันยาวนะ มันคือต้นตออาการป่วยน่ารำคาญมากมาย เช่น ปากบวมแดง คันก้น ผื่นแพ้ง่าย น้ำมูกใสไหลย้อย คลื่นไส้ เวียนหัว ปวดหัว อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ตัดสินใจช้า หิวตลอดเวลา ความดันขึ้น หัวใจเต้นผิดจังหวะ(คล้ายตอนตกใจ) มือชา เท้าชา ขาดน้ำตาลในเลือด อารมณ์แปรปรวนโกรธง่าย พลิกไปมารวดเร็ว สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก และอีกมากมาย อาการที่พิสูจน์แล้วว่าจริงอย่างไม่มีข้อโต้แย้งคือ ทำให้อ้วน ไม่ตลกนะครับ มีกลไกคือกดส่วนควบคุมความอิ่มในสมอง ทำให้รู้สีกว่ากินได้เรื่อยๆ ไม่อิ่ม นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ยังไม่ยืนยันว่าอาจเป็นตัวเร่งให้เกิดเบาหวานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น กระตุ้นอาการไฟฟ้าหัวใจไม่ปกติให้รุนแรงขึ้น เป็นตัวกระตุ้นหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคธัยรอยด์ การบริโภคในปริมาณตามโฆษณา ตามภาพที่เห็น คือ ปลายช้อนกาแฟกับอาหารที่บริโภคประมาณสองคน เป็นปริมาณที่ปลอดภัยยที่สุด แม้จะไม่กำหนดจำกัดปริมาณที่ใช้ทั่วๆไป แต่มาตรฐาน GMP บอกให้ใช้ในปริมาณต่ำสุดที่เกิดผลในการปรุงรส การใช้มากเกินไปก่อทั้งโรคระยะยาว และอาการน่ารำคาญมากมาย บางคนถึงกับต้องหยุดงาน สูญเสียเงินในการรักษา โดยที่หมอไม่มีใครรู้เลยว่าเพราะอะไร สิ่งที่ต่างระหว่างกลูตาเมตธรรมชาต กับสังเคราะห์ คือ ความเข้มข้นที่ต่างกับธรรมชาติเป็นสิบถึงร้อยเท่า และอาจจะต่างกันพันหรือหมื่นเท่า เมื่อเทียบกับปริมาณที่ใช้โดยพ่อค้าแม่ค้าซึ่งใช่้มากจนน่าตกใจ อีกอย่างคือ รูปโมเลกุลที่กลับด้านซึ่งปนมาในปริมาณหนึ่ง มันไม่ compatible กับระบบชีวภาพของสิ่งมีชีวิต สารบางตัวในธรรมชาติที่ปกติแล้วมีประโยชน์ แต่เมื่อโมเลกุลมันกลับกระจกกัน(แต่สูตรเคมีเหมือนเดิม) กลับกลายเป็นสารพิษไปก็มี กลูตาเมตที่กลับด้าน อาจส่งผลร้ายได้เช่นกัน ตัวรับกลูตาเมต หรือ Receptor มีทั่วไปในร่างกาย จะโดนกลูตาเมตจาก MSG มาจับ และก่อผลต่างๆ ได้มากมาย ดังที่กล่าวไปแล้ว อีกอย่างที่น่ากลัวคือ ทำให้ไหลตายได้ จริงครับ โดยต้องเกิดร่วมกันระหว่างการขาดเกลือแร่พวกแมกนีเซี่ยม ร่วมกับการขาดไขมันจำเป็นบางตัวซึ่งมีในอาหารทะเล และบริโภคผงชูรสปริมาณมาก มันจะก่อการรบกวนไฟฟ้าหัวใจให้ทำงานผิดพลาด หัวใจจะสั่นรัว (ไม่ใช่เต้นเร็ว แต่เป็นพริ้วๆ) แบบไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ และในที่สุดก็เสียชีวิต อาจเกิดขณะหลับ หรือทำงานหนัก ออกกำลังก็ได้ สังเกตข่าวไหลตายครับ มักเป็นคนที่ชอบบริโภคผงชูรส และไม่ได้รับประทานอาหารทะเล และเป็นคนใช้แรงงานหรือนักกีฬา สำหรับบางคน แค่ทานผงชูรสเข้าไปโดยไม่ได้ขาดเกลือแร่และไขมันจำเป็น ก็มีอาการหัวใจเต้นเร็ว และเต้นผิดจังหวะร่วมด้วยได่ แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 11:00:55 แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 10:59:23 จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 10:58:33

ความคิดเห็นที่ 24 #18 ใครให้ข้อมูลวะ เมิงแหลกให้กรูดูหน่อยซิ หนึ่งกิโลน่ะ เอากลูตาเมตอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องมีโซเดียม ถ้าไม่ตาย(หรือพิการ)ละก็ ผมให้เงินเดือนใช้ตลอดชีพเลยเอ้า จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 11:03:38

ความคิดเห็นที่ 25 เราว่า ผงชูรสจริง ๆ ไม่ได้อันตรายมาก  เท่ากับวิธีซึ่งได้มาของผงชูรสค่ะ เพราะกว่าจะตกผลึกได้ผงชูรสมา  น่ากลัวมากกก จริง ๆแล้ว โซเดียมโมโนกลูตาเมตก็มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว  เช่น หัวหอมใหญ่ หัวไชเท้า อะไรพวกนี้  สังเกตได้จาก  พวกนี้มักเป็นส่วนผสมหลักของน้ำซุป~~ อร่อยมากกกก~~ จากคุณ : pajingo เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 19:46:56