ความคิดเห็นที่ 1 Entropy ในเชิง Thermodynamics เอนโทรปี เป็นสมบัติของระบบปิด นั่นคือทุกอย่างต้องเกิดและจบในนั้น เราไม่สามารถใช้กฏเอนโทรปีกับระบบเปิดได้ น้ำแข็งในภาชนะปิด ตัวอย่างพื้นฐานของการแสดงถึงเอนโทนปี เรามักใช้แก้วน้ำตั้งอยู่ในห้อง ซึ่งอุณหภูมิของแก้วน้ำจะเพิ่มขึ้นจนน้ำแข็งละลายจนสุดท้ายน้ำทั้งแก้วจะมีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิห้อง และถ้าเราใช้ตัวอย่างที่ใกล้โลกแห่งความเป็นจริงกว่านั้น เราให้แก้วน้ำแข็งอยู่ในภาชนะปิด เช่นในกล่องโฟมที่อุณหภูมิห้อง ทุก องศาที่แก้วน้ำร้อนขึ้น ก็จะส่งผลให้อากาศในกล่องโฟมเย็นลง แก้วน้ำ 0 องศา กับกล่องโฟมที่มีอากาศอยู่ 30 องศา เมื่อวางไว้สักพักให้เวลาความร้อนถ่ายเท อุณหภูมิสุดท้ายของระบบอาจอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส ”การที่เราไม่มีศักยภาพใดๆที่จะย้อนน้ำให้เป็นน้ำแข็ง และย้อนอากาศเย็นให้เป็นอากาศอุ่น นั่นก็คือระบบมีการสูญเสียความสามารถในการทำงาน” สมมุติถ้าเราจะพิสูจน์กันโดยสูตรทาง เทอร์โมไดนามิกส์ การเปลี่ยนแปลงของเอนโทรปีรวมของระบบ คือผลรวมการเปลี่ยนแปลงขอวเอนโทรปีอากาศ และน้ำแข็ง dS = dSsurround+dSice อุณหภูมิสุดท้ายของน้ำแข็งและบรรยากาศเราให้เป็น T3 dS = dQsurround.(T1T3/(T1-T3)) + dQice.(T2T3/(T2-T3)) และ dQsurround = -dQice DS = dQ(T1T3/(T1-T3) – T2T3/(T2-T3)) เมื่อ T1 > T3 และ T3> T2 พจน์แรกเป็นบวก พจน์ที่สองก็เป็นบวกอีก dS ก็จะต้องมากกว่า 0 เสมอ สำหรับผู้ที่ต้องการโจทย์และวิธีคำนวณเกี่ยวกับเอนโทรปี อาจลองไปอ่านดูในอ้างอิง [3] และ [4] รูปที่ 2: การละลายของน้ำแข็งเป็นการถ่ายเทพลังงานของระบบ น้ำแข็ง และบรรยากาศ แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 19:13:33 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 14:49:30

ความคิดเห็นที่ 2 โลกและดวงอาทิตย์ โลก แม้จะดูเหมือนเป็นระบบปิด แต่ก็ยังเปิดให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้ามา มีการสะสมของพลังงาน และมีการกระจัดออกไป นั่นก็คือ โลกเราเองก็เป็นระบบเปิดขนาดใหญ่ และถ้าเราวัดเฉพาะเอนโทรปีของโลก ก็จะดูเหมือนโลกเรามีเอนโทรปีลดเรื่อยๆ (มีศักย์พลังงานเพิ่มขึ้น จากการเก็บกักพลังงานแสงอาทิตย์ในพืช) แต่ถ้าเราคิดการเปลี่ยนแปลงเอนโทรปีของดวงอาทิตย์เข้าไปด้วย ก็จะพบว่าเอนโทรปีของดวงอาทิตย์นั้นเพิ่มขึ้นตลอดเวลา และผลรวมของระบบ ดวงอาทิตย์ + โลก + อวกาศ จะมีไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นเสมอ สมมุติเราตั้งโจทย์คำนวณกัน เราให้โลกเป็น TEarth และ ดวงอาทิตย์ มีอุณหภูมิ TSun สมมุติเอาละกัน ว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์ทั้งหมดตกมาที่โลก ส่วนที่ออกอวกาศไปนี่ช่างหัวมัน เราจะได้สมการประมาณนี้ dSNET= dSSun+ dSEarth= dQSun/TSun + dQEarth/TEarth และเพราะ เราสมมุติไปแล้วว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์ทั้งหมดตกลงมาที่โลก  Q Earth = -QSun เราเรียกรวมๆว่า QEarth = Q และ QSun = -Q เราก็จะได้ว่า dSNET = dQ(1/TEarth – 1/TSun) = dQ(TSun -TEarth)/TSunTEarth และเพราะ อุณหภูมิดวงอาทิตย์สูงกว่าโลก การเปลี่ยนแปลงของเอนโทรปีโดยรวมก็จะเป็นบวกเสมออีกเช่นกัน รูปที่ 3: ระบบของดวงอาทิตย์ และโลก จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 14:56:25

ความคิดเห็นที่ 3 เอนโทรปีและจักรวาล จักรวาล หรือ Universe ที่รวมทุกสิ่งไว้ข้างในก็ถือได้ว่าเป็นระบบปิด (แต่จะปิดจริงรึเปล่าอันนี้ยังไม่ทราบ) ซึ่งมันก็มีเอนโทรปีของมันเอง ในทางเทอร์โมไดนามิกส์ ถ้าจักรวาลมีการเคลื่อนไหว มันก็อาจมีการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี และเท่ากับว่ามันมีจุดจบ จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าที่เรามี อ้างจากหนังสือเรื่อง Grand Design ของ สตีเฟน ฮอว์กกิ้น[B2] เอกภพนี้กำเนิดมาจาก บิ๊กแบง และ ณ ห้วงเวลาที่กำเนิดนั้น เอกภพก็อาจมิได้กำเนิดมาแค่แห่งเดียว แต่อาจกำเนิดมาหลายเอกภพที่มีโครงสร้างของมิติได้แตกต่างกันเฉพาะบางเอกภพที่กฎทางฟิสิกส์เอื้อให้เกิดชีวิตจึงมีชีวิตอย่างพวกเรากำเนิดขึ้น การกำเนิดของเอกภพนั้นมิได้มีความเข้มข้นของพลังงานและมวลที่กระจายโดยเท่าเทียมกัน ถ้ามันกระจายโดยเท่าเทียม หรือเอนโทรปีอยู่ในระดับต่ำสุด มันก็คงไม่มีจุดที่จะทำให้มวลสารมารวมตัวกันเป็นเนบิวลา กลั่นตัวเป็นละอองดาราจักร และโลกที่จะมีชีวิตกำเนิดขึ้นมาก็คงไม่มี ศักยภาพต่างๆอยู่แบ่งแยกจากกันเป็นสัดส่วน ซึ่งจะเห็นได้จาก Cosmic Radiation Background ที่มีระดับที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของจักรวาลนี้ สภาพการรวมอยู่เป็นกลุ่มๆนี้ เราเรียกว่ามีความเป็นระเบียบ ทั้งนี้ทิศทางของเอนโทรปีของจักรวาลนั้นเพิ่มขึ้นตลอด อย่างกรณีการสูญเสียรังสีความร้อนของดวงอาทิตย์เข้าไปสู่อวกาศก็เป็นลักษณะการสูญเสียศักยภาพที่ย้อนกลับไม่ได้ การเพิ่มของเอนโทรปีบ่งชี้ว่าจักรวาลจะเข้าสู่จุดจบที่อาจเป็นสภาพที่ขยายตัวต่อเนื่องไปและพลังงานก็เกลี่ยไปทั่วทั้งเอกภพจนไม่เหลือความต่างศักย์[5] หรือมันอาจเข้าไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Big Crunch ที่จักรวาลหดตัวลงสู่หลุมดำเป็น Singularity[6] แต่ถ้าจักรวาลสามารถย้อนกลับไปสู่ Singularity และกลับมาเป็น Big Bang ได้ ซึ่งเรียกว่า Cyclic Model (อันจะคล้ายกับแนวคิดทางศาสนาพุทธซึ่งจักรวาลมีการกำเนิดและเสื่อมสลายเชิงวัฏจักร)[7] นั้นก็อาจหมายความว่า มันมีวิธีการที่จะย้อนกลับ และเอนโทรปีของจักรวาลเมื่อครบวงจรมีค่า = 0 อยู่ตลอดเวลา ซึ่ง นั่นก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ณ ปัจจุบัน แก้ไข: เอนโทรปีจะอยู่ระดับสูงสุดถ้ามันกระจายโดยเท่าเทียม รูปที่ 4: รังสีไมโครเวฟที่เปล่งออกมาจากพื้นหลังของอวกาศตามกฎการแผ่รังสีของ Planck [8] แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 19:21:20 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:00:41

ความคิดเห็นที่ 4 เอนโทรปีและทิศทางแห่งเวลา[9] เอนโทรปีทางเทอร์โมไดนามิกส์ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยเวลาโดยตรง การเปลี่ยนแปลงของเอนโทรปีนั้นเป็นไปในทิศทางที่ระบบขนาดเล็ก เช่น แก้วน้ำที่มีกาแฟอยู่ด้านล่าง และนมอยู่ข้างบน (มีแม่ค้าร้าน ไทกาแฟ  เคยทำแบบนี้ให้กิน มันก็ดูสวยดีละนะ แต่ไม่อร่อยเอาเลย) จากจุดเริ่มต้นที่มีความเป็นระเบียบสูง นม กับ กาแฟ แยกชั้นกัน เมื่อเวลาผ่านไป โมเลกุลของนมและกาแฟจะแพร่เข้าหากันด้วยความต่างศักย์ของความเข้มข้นจนสุดท้ายเราจะได้กาแฟนมแสนอร่อยที่มีความยุ่งเหยิงปนเปของนมและกาแฟในที่สุด ซึ่งมันก็จะคงอยู่ในรูปกาแฟนมไม่แยกชั้นเป็นนมบนกาแฟอย่างแรกเพราะนี่เป็นสภาพที่มีเอนโทรปีสูงที่สุดแล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ในกรณีที่คล้ายกัน กรณีของจักรวาลเมื่อศักย์ความร้อนทุกอย่างแพร่จนเอกภพมีอุณหภูมิที่เท่ากันทั้งหมด ในที่นี้ เอกภพก็จะมีระดับเอนโทรปีสูงที่สุดก็จะไม่มีการศักยพลังงานใดเหลือให้ใช้อีกต่อไป ซึ่งสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราก็คงจะดำรงอยู่ไม่ได้ ซึ่งเมื่อไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีสิ่งที่รับรู้เวลา หรือเวลาไม่ใช่นัยสำคัญ ณ กาลนั้น ว่ากับแบบ Relationalism[B3] เวลาจะมีความหมายต่อเมื่อมีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ และเวลาที่มีความหมายจะดำรงอยู่แค่เฉพาะเมื่อจักรวาลยังมีความสามารถที่จะทำงาน และเอนโทรปียังไม่อยู่ในระดับสูงที่สุด แม้ไม่เกี่ยวโดยตรง เอนโทรปีก็ยังเกี่ยวกับเวลาโดยอ้อมด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ รูปที่ 5: การแพร่ของนมและกาแฟเข้าหากันเมื่อเวลาผ่านไปมันจะเป็นเนื้อเดียวกันได้[10] จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:14:40

ความคิดเห็นที่ 5 การทำลายเอนโทรปี และ Maxwell’s Demon เคยมีการถกเถียงกันว่า เอนโทรปีจะทำลายลงได้อย่างไร หนึ่งในความเห็นที่น่าสนใจคือกรณีการที่มีตัวตนเหนือธรรมชาติ เช่น พระเจ้า เข้ามาแทรกแซง ทำให้เอนโทรปีลดลง กรณีดังกล่าว เคยมีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ James Clerk Maxwell[11] สร้าง Thought Experiment ซึ่งผมจะพยายามแปลว่าการทดลองในจินตนาการ ให้ ในระบบ มีโมเลกุลก๊าซที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและโมเลกุลที่เคลื่อนไหวช้าปะปนอยู่ในภาชนะเดียวกัน (ปรกติก๊าซแต่ละโมเลกุลจะมีความเร็วตามอุณหภูมิ แต่มันก็มีบางโมเลกุลที่ช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน) ให้ในภาชนะนั้นมีประตูกั้นโดยมี ปีศาจจิ๋ว คอยเปิดประตูให้ก๊าซที่มีความเร็วสูงไปด้านหนึ่งของภาชนะ ส่วนก๊าซที่มีความเร็วต่ำก็จะปล่อยให้ไปเฉพาะอีกด้าน เมื่อเวลาผ่านไป ก๊าซในด้านหนึ่งจะมีอุณหภูมิสูง อีกด้านมีอุณหภูมิต่ำ หรือมันเป็นการสร้างความต่างศักย์โดยไม่มีการทำงาน ซึ่งก็คือกฏของเอนโทรปีจะถูกทำลายลง ในศตวรรตที่ 20 LeoSzilard, Charles H. Bennett, Seth Lloyd และคณะ ได้บ่งชี้ไว้ว่าถ้าจะมีตัวตนใดๆที่จะแยกแยะก๊าซเหล่านี้ออกจากกัน ตัวตนนั้นก็จะต้องมีขนาดของเอนโทรปีของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกลไกที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของปีศาจนั้น รวมไปถึงข้อมูลในสมองของปีศาจนั้นเองที่สามารถแยกแยะระหว่างก๊าซที่ความเร็วสูง และก๊าซที่ความเร็วต่ำ ก็คือปีศาจนั้นต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ไปด้วย และ โดยอนุมาน ถ้าจะมีพระเจ้าหรือตัวตนอันใดที่จะเนรมิตสิ่งต่างๆขึ้น สิ่งนั้นก็จะต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบด้วยเช่นกันตามกฎของระบบปิด มีอุปกรณ์ที่พยายามจะสร้างตามหลักของ Maxwell’s demon[12] แต่อุปกรณ์ในชีวิตจริงล้วนมีเอนโทรปีเพิ่มขึ้น การบ่งชี้ของ LeoSzilard ไม่เชิงว่าเป็นการลบล้าง Thought Experiment ของ Maxwell เสียทีเดียว เพราะเราก็ยังไม่สามารถจับเจ้าปีศาจจิ๋วมาวัดเอนโทรปีได้ แค่เชื่อว่ายังไงๆมันก็ต้องมีเอนโทรปีภายในของมันเอง และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีการศึกษาหาวิธีที่จะทำลายกฎข้อสองของเทอร์โมไดนามิกส์ โดยเฉพาะในระดับของควอนตัมฟิสิกส์ และจนปัจจุบัน สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดก็ยังคงเป็นระบบที่ dS = 0     แก้ไข: แก้ชื่อผู้ที่มาแย้ง Maxwell ที่กลายเป็นอักษรขยึกขยึย รูปที่ 6: Maxwell’s Demon แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 15:36:18 แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 15:34:14 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:20:29

ความคิดเห็นที่ 6 เอนโทรปี ในเชิงข้อมูล[13] ในเชิงสถิติ เอนโทรปีเทียบได้กับความน่าจะเป็นที่มากที่สุดถ้าระบบนั้นยุติธรรม กรณีของการโยนเหรียญหัวก้อย ความน่าจะเป็นที่จะออกหัว และก้อยก็จะอยู่ที่ 50-50 ซึ่งเป็นความน่าจะเป็นที่มากที่สุดและมีระดับเอนโทรปีที่ต่ำที่สุด ในกรณีที่โยนน้อยครั้ง โอกาสที่หัวก้อยจะออกไม่เท่ากันก็จะสูง และความน่าจะเป็นจะเข้าใกล้ค่า 50-50 เสมอ ในเชิงข้อมูล เรากล่าวถึงเอนโทรปีในรูปจำนวนบิท ต่อเอนโทรปียังถูกนำใช้ไปถึงการหาค่าการบีบอัดข้อมูลทางทฤษฎี จำนวนบิทต่อตัวโค้ดที่จะใช้ส่งผ่านข้อมูลเรียกว่าเอนโทรปี ซึ่ง - เอนโทรปี ไม่จำเป็นต้องเป็นจำนวนเต็ม และ - จำนวนบิทข้อมูลบางตัวอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ส่ง ในที่นี้ เอนโทรปีเชิงข้อมูลสามารถใช้ทำนาย ค่าการบีบอัดข้อมูลให้ได้จำนวนบิทที่น้อยที่สุดที่ข้อมูลไม่สูญหายได้ ซึ่งจะทำอย่างไรมีกลไกอย่างไรก็คงต้องให้นักคณิตศาสตร์มาเป็นผู้อธิบาย ในฐานะวิดสิวะกลอน ข้าพเจ้าคงยอมแพ้ ณ จุดนี้ แค่ชี้ให้เห็นถึงความกว้างของเอนโทรปีก็เต็มกลืนเต็มที ในส่วนของ กลศาสตร์ควอนตั้ม เอนโทรปีจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเอนโทรปีเชิงข้อมูลนี้มากกว่าเอนโทรปีในระบบของ เทอร์โมไดนามิกส์ แต่จริงๆ เทอร์โมไดนามิกส์ เมื่อลึกลงไป มันก็จะมี Statistical Thermodynamics ที่ซึ่งค่าเอนโทรปีถูกอธิบายไว้ในรูปของสูตรเชิงสถิติเช่นกัน รูปที่ 7: เอนโทรปีเชิงสถิติ[14] จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:21:49

ความคิดเห็นที่ 7 เอนโทรปีกับประสิทธิภาพเชิงทฤษฎี เวลาเรากล่าวถึงประสิทธิภาพของระบบกลจักรความร้อน ไม่ว่าในแง่ของ Heat Engine หรือ Heat Pump เราก็ได้ใช้ประโยชน์จากสูตรการคำนวณที่มาจากขอบเขตที่เอนโทรปีกำหนดไว้ ถ้ายังพอจำสูตร Internal energy U = Q – W (ซึ่งถ้าจำไม่ได้ก็อ่านข้ามๆสูตรพวกนี้ไปก็แล้วกัน) โดยระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเอนโทรปี และทำให้ งานที่ได้ = ส่วนต่างความร้อนที่ใส่เข้า กับความร้อนสูญเสีย ซี่งเราจะแก้ออกมาได้เป็นสูตรได้ว่าที่ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่มีการเปลี่ยนของเอนโทรปีใดๆ เราจะได้ประสิทธิภาพคือ Efficiency = (Th-Tc)/Th[B1 p140-147] สูตรนี้เป็นสูตรมาตรฐานที่วิศวกรใช้กัน และเป็นข้อจำกัดว่าประสิทธิภาพใดๆของระบบกลจักรความร้อนจะไม่มีทางสูงไปกว่าค่าประสิทธิภาพนี้ไปได้ ทั้งนี้เพราะอุณหภูมิบรรยากาศในโลกเรา อย่างดีก็ -60 องศาเซลเซียสที่ขั้วโลก หรือ 213 เคลวิน แต่ถ้าเป็นในอวกาศที่อุณหภูมิ Tc ใกล้ 0 เคลวินมากๆ ประสิทธิภาพเครื่องจักรความร้อนอาจใกล้ 100% เลยทีเดียว ส่วนในด้านการทำความเย็นนั้น เราจะพบว่า Q/W จะมากกว่า 1 ได้ ซึ่งดูเหมือนเรามี ปัจจัยออก (Output) กลับมามากกว่า ปัจจัยเข้า (Input) แต่กฏของเอนโทรปีนั้นมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการทำงาน ไม่ใช่ว่า ปัจจัยออก ต้องน้อยกว่า ปัจจัยเข้า (งงไหม) ถ้าใครจะลองย้อนเกล็ดการคำนวณหาค่างานที่สามารถทำได้จากความเย็นที่แอร์ทำงาน ก็จะพบว่า แม้แอร์สามารถขับความร้อนได้มากกว่าพลังงานไฟฟ้าที่ใส่เข้าไป แต่ความต่างศักย์อุณหภูมิที่แอร์สร้างขึ้นมา จะแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้น้อยกว่าพลังงานไฟฟ้าที่ใส่เข้าไปเสมอ ในกรณีที่เอนโทรปีเป็นลบ เรามักบอกว่า ระบบนั้นทำงานไม่ได้ ซึ่งถูกในแง่ทฤษฏี แต่ภาคปฏิบัติเราจะเจอเคสที่เอนโทรปีเป็นลบ นั่นก็คือมีศักย์พลังงานรั่วไหลเข้ามาในระบบ หรือระบบนั้นไม่ใช่ระบบปิดนั่นเอง ตรงนี้ก็อาจด้วยจากความตั้งใจจะโกงผลการตรวจวัด อย่างกรณีเรือทวนน้ำที่โด่งดัง หรืออาจเป็นการคิดไม่ครบอย่างกรณีการคิดสร้างจักรกลนิรันดร์จากแม่เหล็กโดยลืมคิดถึงเอนโทรปีของตัวแม่เหล็กเอง ซึ่งทั้งนี้ การพบว่ามีแหล่งพลังงานนำเข้าอื่นเข้ามาในระบบ ก็อาจเป็นการค้นพบแหล่งพลังงานใหม่ครั้งใหญ่ก็เป็นได้ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:22:55

ความคิดเห็นที่ 8 ส่งท้าย ตอนที่ผมร่างบทความนี้ขึ้นมา ผมคิดว่าผมจะกล่าวหลักๆแค่เอนโทรปีในเชิงกลศาสตร์ความร้อน และกล่าวถึงในแง่อื่นๆเพียงเล็กน้อย แต่พอยิ่งค้นไป ผมก็ไม่นึกเหมือนกันว่านิยามของเอนโทรปีจะกว้างไปถึงขนาดการบีบอัดข้อมูลไฟล์ในคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ ก็เป็นว่า ผมก็ได้เปิดโลกทรรศน์ของตัวเองไปด้วย ผมหวังว่าบทความนี้คงทำให้ทุกท่านมีความเข้าใจในสิ่งที่คนทั่วไปถือเป็น พลังลึกลับ ของเทอร์โมไดนามิกส์ (หรืออาจสับสนมากขึ้น) ไม่มากก็น้อยครับ อ้างอิง ลิงค์ใน Internet [1] http://en.wikipedia.org/wiki/Second_law_of_thermodynamics [2] http://en.wikipedia.org/wiki/Entropy [3] http://web.mit.edu/16.unified/www/SPRING/thermodynamics/notes/node40.html [4] http://en.wikipedia.org/wiki/Introduction_to_entropy#Classical_calculation_of_entropy [5] http://en.wikipedia.org/wiki/Heat_death_of_the_universe [6] http://en.wikipedia.org/wiki/Big_crunch [7] http://en.wikipedia.org/wiki/Cyclic_model [8] http://en.wikipedia.org/wiki/Cosmic_microwave_background_radiation [9] http://en.wikipedia.org/wiki/Entropy_(arrow_of_time) [10] http://www.wallacehenning.com/notes/2010/11/5/sean-carroll-on-the-arrow-of-time.html [11] http://en.wikipedia.org/wiki/Maxwell’s_demon [12]http://sciencewriter.org/2011/02/maxwells-demon-cooling/ [13] http://web.archive.org/web/20070621222301/http://www.sciencenews.org/articles/20001007/bob9.asp [14] http://www.physorg.com/news/2011-01-scientists-erase-energy.html [15]http://en.wikipedia.org/wiki/Shannon_entropy [16] http://enblend.sourceforge.net/enfuse.doc/enfuse_4.0.0.xhtml/Local-Entropy-Weighting.xhtml หนังสือ [B1] Smith & Van Ness “Introduction to Chemical Engineering Thermodynamics” 4th ed McGraw-Hill 1987 ISBN-0071003037 [B2] Stephen Hawking "The Grand Design" Bantam Books 2010 ISBN-0553805371 [B3] C. Callendar, R. Edney “Time a graphic guide” Gutenberg Press 2001 ISBN-9781848311206 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:30:21

ความคิดเห็นที่ 9 วันนี้เนตก็เน่าอย่างสุดๆอีกเช่นเคย กว่าโพสจบปวดตับมากมายครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:31:38

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:35:01

ความคิดเห็นที่ 11 โอ้ยมึนตึ๊บ จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:40:56

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ Prin ช่วยเน้นอธิบายสมการ dS ว่ามันก็คือ DS เผื่อคนทั่วไปมาอ่านด้วยครับ จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:46:03

ความคิดเห็นที่ 13 มีคำถามครับ ในเมื่อเอนโทรปี หรือความไร้ระเบียบจะเพิ่มขึ้นเสมอ งั้นการที่เราตั้งเครื่องดื่มบางอย่างทิ้งไว้ แล้วมันตกตะกอน มันจะหมายความว่ายังไงครับ เพราะมันดูเหมือนจะมีระเบียบมากขึ้น จากคุณ : CrazyGenius เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 15:52:05

ความคิดเห็นที่ 14 #13 คำถามน่าสนใจดีครับ ถ้า Extend คำถามไปก็จะเห็นเคสเดียวกับน้ำและน้ำมัน ถ้าให้เดาขอตอบว่ามันเป็นเรา define ค่า entropy ยังไง ของผสมที่ใสๆ กับ ของผสมที่เห็นตะกอนอันไหน Entropy มากกว่ากัน จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 16:01:34

ความคิดเห็นที่ 15 เพราะระบบมันไม่ใช่ระบบปิดครับ มันมีพลังงานที่ใช้ทำให้มันตกตะกอน(แรงโน้มถ่วง) เข้ามาด้วย จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 16:05:57

ความคิดเห็นที่ 16 ในเชิง เทอร์โมไดนามิกส์ ความเป็นระเบียบจะอยู่ในความหมายของการแยกจากกันเป็นสัดส่วน ถ้าเอาจากท่อนนี้มาตอบ ก็เหมือนว่า ความมีระเบียบเพิ่มขึ้น (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้) แต่ถ้าเอาจากท่อนที่ว่า เอนโทรปี เป็นสิ่งบ่งชี้การสูญเสียความสามารถในการทำงานของระบบ มันก็ได้ว่า เอนโทรปี เพิ่มขึ้น เพราะ ตอนที่มันผสมกัน มันมีความสามารถในการทำงาน(เคลื่อนที่เพื่อแยกชั้นกัน)มากกว่า มันเลยดูขัดๆกันเองน่ะครับ แอบงง จากคุณ : CrazyGenius เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 16:11:27

ความคิดเห็นที่ 17 คำว่าอยู่แยกกันเป็นสัดส่วน คือการอยู่แยกกันเป็นสัดส่วนของศักยภาพครับ การตกตะกอนคือการที่ตะกอนซึ่งยังมีพลังงานศักย์ (ระดับความสูงจากพื้นแก้ว) ตกลงสู่ด้านล่าง (สูญเสียพลังงานศักย์) โดยรวมมันจึงสูญเสียศักยภาพในการทำงาน คำว่าเป็นระเบียบตรงนี้จึงเกี่ยวกับศักยภาพเป็นสัดส่วนแยกกัน และไม่เกี่ยวกับความเป็นระเบียบในลักษณะของภาพลักษณ์ที่คนมอง ซึ่งผมใส่ภาพที่ 1 ให้เป็นตัวอย่าง ว่าสิ่งที่เราเห็นไม่ใช่สิ่งที่เทอร์โมไดนามิกส์ให้ความหมายไว้ ในกรณีของก๊าซ การแพร่เข้าหากันก็ยังจะมีลักษณะการผสมที่แยกชั้นครับ โดยศักยภาพที่หายไปนั้นจะหายไป 2 ส่วน 1. ในการอยู่เป็นสัดส่วนของตัวก๊าซเอง แพร่เข้าหากัน 2. ผลจากแรงโน้มถ่วง ก๊าซที่หนักกว่าจะได้รับผลการดึงให้ตกสู่เบื้องล่างมากกว่า การผสมกันจะได้ผลลัพธ์รวมที่ศักย์ภาพพลังงานตาม 1 และ 2 อยู่ในสภาพที่ต่ำที่สุด มันจะไม่ใช่ก๊าซ A และ B แยกชั้น แต่มันจะเป็นสภาพที่ด้านล่าง ก๊าซ B ที่หนักกว่าจะพบในจำนวนมากกว่า ก๊าซ A ที่เบากว่าจะพบได้จำนวนน้อยกว่า เพราะมันต้องคำนึงถึงผลจากทั้ง 1 และ 2 ครับ สำหรับ S เราอ่านว่า เอนโทรปี Q เราอ่านว่า ความร้อน T อ่านว่า อุณหภูมิครับ แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 16:26:28 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 16:22:46

ความคิดเห็นที่ 18 ในฐานะที่อยู่วงการชีวะ อยากอ่าน "เอนโทรปีเชิงชีวะกลไก" จะรอติดตามนะครับ จากคุณ : Entitas เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 16:57:34

ความคิดเห็นที่ 19 ของด ร่วมแสดงความคิดเห็นกับผู้อาวุโสครับ เนื่องจากยังสับสนอยู่ แหะ ๆ แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 22:21:30 จากคุณ : อีคิวศูนย์ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:05:37

ความคิดเห็นที่ 20 เคยมีบางท่ากล่าวไว้ว่า "Thermodynamics เป็นศาสตร์ที่ตายแล้ว" ตอนนั้นนึกเถียงอาจาร์ยในใจ "ไอ้ที่ตายหนะ สงสัยเป็นตัวกระผมเอง หลังสอบเสร็จหนะขอรับ" อ่านบทความนี้จบ อึ้งกับ "Statistical Thermodynamics" ปล รบกวนช่วยดูรูปที่ 7 ที่ reference รูปจาก [14] ด้วยครับ เพราะเป็น รูป Maxwell’s Demon ใน คห#5 ครับ จากคุณ : SPN เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:20:51 A:203.146.51.129 X: TicketID:294437

ความคิดเห็นที่ 21 ....          เยี่ยมอีกแล้วครับ ท่านปู่                                           ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:23:15

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณ คห 20 ตายละ ผมอ้างผิดที่ แล้วนี่ผมไปเอารูปมาจากไหนกันละเนี่ย เดี๋ยวขอรื้อกอง Reference สักหน่อยละครับ ขอโทษจริงๆครับ ปล อืมม์ ลดจากเทียดเป็นปู่ แปลว่าชมสินะครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:30:09

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามาเขย่า Entropy ของกระทู้ จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:34:21

ความคิดเห็นที่ 24 สุดยอดครับ ผมผ่านมาด้วย D+ TT จากคุณ : realp** เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:44:23

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณครับ อ่านจบก็ปวดม้ามเหมือนกันครับ ยังไม่ค่อยเข้าใจแบบทะลุเลย จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:48:30

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านแล้วมึนครับ  :) แต่จำได้ว่ามีคนสรุปกฏสามข้อของเทอร์โมไดนามิกส์ไว้ว่า 1.คุณไม่มีทางชนะ 2.คุณไำม่มีทางเสมอ 3.คุณไม่สามารถออกจากเกมได้ จริงป่าวครับ จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:49:30

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาปวดตับ มิน่าการ์ตูนบางเรื่องถึงเอาเอนโทรปีมาเล่น เพราะคนแต่งจะมั่วยังไงคนดูทั่วๆไปก็ไม่รู้อยู่ดี lol จากคุณ : Naruse_X เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:54:46

ความคิดเห็นที่ 28 กฏของเทอร์โมไดนามิกส์มันไม่เชิงแบบที่ว่าใน คห 26 มันเป็นอะไรที่ 1. มันดูเหมือนว่าคุณจะชนะมันได้ ทว่ามันก็คล้ายจะชนะได้มาตั้งนานก็ไม่ชนะสักที 2. มันดูเหมือนว่าจะเสมอได้ ทว่าคุณไม่มีเวลาเป็นอนันต์ 3. คุณเหมือนจะหลีกเลี่ยงมันได้ ทว่าคำว่าระบบปิดก็ขังคุณอยู่ในนั้น เรียกว่าประมาณนั้นก็แล้วกัน จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:57:06

ความคิดเห็นที่ 29 ในฐานะที่อยู่วงการชีวะ อยากอ่าน "เอนโทรปีเชิงชีวะกลไก" จะรอติดตามนะครับ จากคุณ : Entitas รอติดตามเหมือนกันครับ จากคุณ : cyc เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 18:37:23 A:58.8.100.162 X: TicketID:312315

ความคิดเห็นที่ 30 ตอน ปวส.1 ผมก็เรียนมาครับ อุณหภูมิศาสตร์ - -a ยอมแพ้มันจริงๆ นั่งๆฟังอาจารย์พูดมันดูเหมือนจะง่าย แต่พอแก้สมการมันโคตรยาก ดิฟไปดิฟมา ผมก็ดริฟจนเกือบตกเหวเลย รอดมาได้หวุดหวิด - - ( ได้เกรด 1 ฮ่าๆๆ ) แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 18:54:45 จากคุณ : อิอิ (Freedert) เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 18:54:15

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกหรือป่าว 1 ในกระทู้หัวเรื่อง อย่างถ้าแมวน้อยในภาพด้านซ้าย กระโดด ถล่มกองหนังสือ ยิ่งจะทำให้ S เพิ่ม ? 2 ในความเห็นหนึ่ง T1 > T2 > T3 ไม่ใช่ T1(surround) > T3 > T2(ice) หรือครับ ? 3 ในความเห็นสาม "การกำเนิดของเอกภพนั้นมิได้มีความเข้มข้นของพลังงาน และมวลที่กระจายโดยเท่าเทียมกัน ถ้ามันกระจายโดยเท่าเทียม หรือเอนโทรปีอยู่ในระดับต่ำสุด " ควรจะเป็น เอนโทรปีอยู่ในระดับสูงสุด หรือป่าวครับ ? 4 งานของแรงโน้มถ่วง น่าจะทำให้ศักยภาพของมันสูงขึ้นนะครับ เพราะ ทำให้ gas อยู่กันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น หรืออย่างไรครับ ? จากคุณ : cyc เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:06:32 A:58.8.100.162 X: TicketID:312315

ความคิดเห็นที่ 32 เอนโทรปีในทางชีวะผมคงต้องไปเรียนใหม่เลยละครับ ไม่กล้าสัญญาว่าจะมีปัญญาเขียน ปล เรื่องเอนโทรปีนี่ใช้ดริฟท์ได้สนุกจริงๆ และส่วนที่ทำให้สับสนง่ายที่สุดก็คือส่วนที่เราเรียกว่าความเป็นระเบียบนี่ละ พอมันขัดแย้งกับสามัญสำนึกมันก็ลงเหวไปหมด ในแง่ของวิศวกร จำไว้ว่าเอนโทรปีคือความไม่สามารถในการทำงานของระบบนี่ถือว่าหลงทางน้อยที่สุดแล้วละ ท่านทั้งหลาย (ถ้าโดน Statistical Thermodynamic เข้าค่อยไปแกะนิยามความเป็นระเบียบกัีนอีกที) จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:07:53

ความคิดเห็นที่ 33 คห 2 เค้าว่าแกนโลก ร้อนกว่า พื้นผิว ดวงอาทิตย์ ...O__O จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:09:12

ความคิดเห็นที่ 34 คห 31 เออ แฮะ พลาดอีก ตัดความพลาดกันเลยทีเดียว เดี๋ยวจะรีบแก้ครับ ผมเขียนลงใน Note facebook อ่านแล้วอ่านอีกมันก็ยังหลุดเยอะเลยแฮะ ขอบคุณที่ช่วยตรวจให้ครับ แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 19:22:12 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:10:02

ความคิดเห็นที่ 35 31 ใช่ ครับ แมว คือตัวแปรที่มีผลต่อ Entropy มากๆ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:13:46

ความคิดเห็นที่ 36 คห 33 อุณหภูมิแกนโลกสูงกว่าพื้นผิวดวงอาทิตย์ ใช่ครับ แต่ระหว่างดวงอาทิตย์ถึงโลกมันแผ่รังสีมาโดยตรง ส่วนความร้อนจากแกนโลกนำผ่านมาชั้นแมกม่าด้วยการพา และชำแรกมาถึงผิวโลกด้วยการนำความร้อนของดิน มันก็เหมือนท่อไอน้ำที่ร้อน 200 องศา หุ้มฉนวนใยหิน 3 นิ้ว อุณหภูมิผิวก็อยู่แค่ 40 องศาอุ่นๆ แต่แสงอาทิตย์ทั้งๆที่ ณ ตำแหน่งโลก มันทำให้ผิว Black body อุณหภูมิสูงได้ถึง 130 กว่า องศา แต่เมื่อไร้ฉากไร้ร่มบัง ผิวท่อไอน้ำที่หุ้มฉนวนนั้นก็ร้อนเพราะตากแดดมากกว่าร้อนกว่าการนำความร้อนจากไอน้ำในท่อเอง เพิ่มเติม: ใช่ครับ แมวทำอะไรก็อร่อย แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 19:22:59 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:19:32

ความคิดเห็นที่ 37 O__o จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:32:47

ความคิดเห็นที่ 38 คห 36 แค่ เจาะพา ความร้อน ที่ว่ามาต้มน้ำปั่นไฟ ก็เลิกใช้ พลังงาน นิวเคลียร์กันได้แล้ว ...แฮ...!! ^ ^ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:34:19

ความคิดเห็นที่ 39 คห 38 เดี๋ยวรอรอบหน้าครับ บทความหน้าค่อยว่ากันเรื่องพลังงานทดแทนกับเวลาที่ต้องใช้ในการพัฒนา เคยเขียนไว้แล้วรอบนึงแต่ไม่มีใครเก็บเข้าคลัง ผมก็ลืมเก็บ จะเขียนใหม่ก็ว่าจะ Update ข้อมูลไปด้วย ขืนตอบตอนนี้เดี่ยวกระทู้กลายพันธุ์ กระทู้เอนโทรปีเราไม่ค่อยมีที่ถกกันลึกๆนะเออ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:39:14

ความคิดเห็นที่ 40 ความชราภาพ ถือว่าเป็นสภาวะการเพิ่มเอนโทรปีสินะครับ เพราะความสามารถในการทำงานของผมกำลังหดหายลงทุกทีๆ จากคุณ : ksk เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:51:19

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณค่ะเทียดปรินๆ ขอยาดมด่วน อ่านแล้วเวียนหัว ตาลาย คล้ายจะเป็นลม เพราะตกฟิสิกส์เจ้าค่ะ เอารูปแมวมาฝากละกันนะคะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:54:25

ความคิดเห็นที่ 42 คืนอาจารย์ไปหมดแล้วล่ะ  โหวต+เก็บเข้าคลังไปก่อน  เดี๋ยวค่อยตั้งสติกลับมาอ่านใหม่ จากคุณ : bermAggie เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:55:19

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณมากเลยครับ อ่านจบทำให้รำลึกถึงวันวานตอนเรียน Chem Eng Thermo ตอน 1st กับ 2nd law เนื้อหายังไม่ยากเท่าไร แต่พอไปถึง fugacity/chemical potential แล้วเริ่มชักก๊ง และดับอนาถได้ที่ตอนไปถึง UNIFAC / UNIQUAC = =" จากคุณ : เฉาก๊วยกะบ๊วยเค็ม - -" เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:56:33

ความคิดเห็นที่ 44 มาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ entropy ที่เกี่ยวกับความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์ค่ะ Entropy ตัวนี้มีความหมาย(ที่หนมปังแปลขึ้นเองเพื่อคำนวน)ว่า "ความแปรปรวน" ลองพิจารณาเหรียญหัวก้อยจะเห็นได้ว่าความเป็นไปได้ที่โยนเหรียญแล้วจะออกหัวเป็น 0.5 เช่นเดียวกับที่มีนจะออกก้อย 0.5 เอ็นโทรปีของการออกหัวจากการโยนเหรียญแบบยุติธรรมก็จะสูงที่สุด เพราะมันมีโอกาสแปรปรวนเยอะ กราฟเอนโทรปีที่ p=0.5 เลยอยู่บนสุดของระฆังคว่ำ ต่อเมื่อเรามีวิธี(ยังไงก็ได้ สมมติว่าทำได้ล่ะ)ทำให้เหรียญเกิดความไม่ยุติธรรม เช่นเปลี่ยนจากการp ของออกหัว 0.5 เป็น 0.8 เราก็ทำให้ entropy ลดลง เพราะความแปรปรวนของข้อมูลลดลง คือมันมีความเป็นได้เอียงข้างว่าจะออกอะไรสักอย่าง ไม่ได้มีความเป็นไปได้เท่ากันทุก X อธิบายคร่าวๆนะคะ ขออนุญาตเอารูปมาใช้ด้วย จากคุณ : รถขนมปังกรอบ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:03:13

ความคิดเห็นที่ 45 Entropy คือไรไม่รู้จัก รู้แต่ รูป คห 1 ภาพซ้าย เหมือนห้องข้าพเจ้าเลย จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:13:11

ความคิดเห็นที่ 46 ขอถามหน่อยนะครับ 1. Solar heat engine อย่างความเห็น 7 หรือคล้าย ๆ กัน มีความเป็นไปได้ที่จะเอามาใช้งานจริง ๆ ได้แค่ไหนครับ 2. Black body ในความเห็น 36 ถ้าสามารถมีอุณหภูมิสูงถึง 130 องศา ถ้าเรานำมาต้มน้ำด้วยแสงแดด เราควรใช้วัสดุที่มี thermal conductivity สูงหรือต่ำครับ ขอบคุณที่นำความรู้มาแบ่งปันครับ จากคุณ : Thinkology เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:55:46

ความคิดเห็นที่ 47 O_o? จากคุณ : filmee39 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 21:13:01

ความคิดเห็นที่ 48 มาลงชื่อก่อนครับ เดี๋ยวรอมีเวลาจะตั้งสมาธิ และมาอ่านอย่างตั้งใจ ^^ (ไม่ค่อยถูกกับ Thermo สักเท่าใด) จากคุณ : lekhaew เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 21:35:34

ความคิดเห็นที่ 49 หน้าไอ้นี่มันลอยมาเองเลยครับ จากคุณ : SeventhLuck เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 21:46:50

ความคิดเห็นที่ 50 #47 ข้อ 1: ทำได้ ใช้ได้ คุ้มได้ไม่ยาก ข้อเสียก็แค่มันต้องลงทุนเป็นระบบขนาดใหญ่ และยังต้องมีแหล่งพลังงานสำรองสำหรับช่วงกลางคืน ซึ่งถ้าจะเก็บไว้ใช้ อาจเก็บในรูปของไหลร้อนก็ได้ เพราะการรวมแสงจะทำให้มีอุณหภูมิสูงไปถึงระดับพันองศาก็ทำได้ แต่การเก็บ stock เป็นไฟฟ้าก็แพง ตอนนี้ที่เห็นก็มีเก็บเป็นโซเดียมเหลวครับ นอกจากนี้ ถ้าไม่ใช้ในรูปการผลิตไอน้ำขับ Turbine มันยังมีวิธีการสร้างเป็นกลจักรความร้อนรูปแบบอื่นเช่นกลจักรแรงคีนก็ได้ ตรงนี้ก็น่าเสียดายว่าของไทยเราหลุดไปกับโซล่าเซลล์เยอะมาก http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_solar_thermal_power_stations ข้อ 2: ตรงนี้ผมพูดแค่กรณีใช้แบบ Black body ถ้าทำแบบรวมแสงจะให้อุณหภูมิสูงกว่านั้นก็ย่อมได้ กรณีจะต้มน้ำโดยใช้ท่อร้อน วัสดุที่มีการนำความร้อนดี Thermal conductivity สูงย่อมได้เปรียบ เพราะมันจะทำให้การสูญความร้อนไปด้วยการแผ่รังสีไปสู่สิ่งแวดล้อมโดยรอบเป็นเส้นทางที่ยากกว่า นำความร้อนเข้าสู่น้ำภายใน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือค่า การดูดซับความร้อน ยิ่งสีทึบดำ ยิ่งดูดกลืนแสงเป็นความร้อนได้ดี ท่อทองแดงรมดำเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับระบบ Solar Thermal แต่จะใช้เป็น Aluminium รมดำประสิทธิภาพก็ด้อยกว่าไม่เท่าไร ตรงนี้ชักหลุดไป Heat Transfer แล้วแฮะ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 22:00:31

ความคิดเห็นที่ 51 Entropy เชิงบีบอััดข้อมูลเท่าที่ผมจำได้ คือค่าอ้างอิงตัวนึง ซึ่งเป็นการวัดประสิทธิภาพการบีบอัดข้อมูล โดยไม่มีการสูญเสีย เราวัดประสิทธิภาพการบีบอัดข้อมูล (มีสูตรคำนวน) แล้วนำไปเทียบกับ Entropy โดยมีหลักว่า หากต้องการบีบอัดข้อมูลโดยไม่ให้เกิดการสูญเสียของข้อมูล(คือไม่สามารถกู้คืนได้) การบีบอัดนั้น ต้องมีผลลัพธ์ห้ามน้อยกว่า Entropy จะดีที่สุด หากค่าเข้าใกล้ Entropy มากๆ จากคุณ : โคอีสีอิฐ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 22:27:17

ความคิดเห็นที่ 52 จำได้ว่า เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นวิชาที่ตั้งใจเรียน ก็ไม่เข้าใจ หาหนังสืออ่านเสริมเป็นภาษาไทย ก็ไม่เข้าใจ ทำตัวเป็นปลาสลิด อ่านภาษาอังกฤษ (เผื่อจะเข้าใจ) ก็ยังไม่เข้าใจ มาอ่านตอนนี้ก็.... เวลา ไม่ช่วยอะไร เฮ้อ......... จากคุณ : โลกของฉันไม่ได้หมุนด้วยความรัก เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 22:29:19

ความคิดเห็นที่ 53 ..... (แล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ) จากคุณ : นางสาวจันทร์เจ้ากับนายเท้าปุย เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 22:46:56

ความคิดเห็นที่ 54 ปวดตับมาก d+ เหมือนกัน จากคุณ : Spirit of Darkness เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 22:49:44

ความคิดเห็นที่ 55 รูปแรก แมวน่ารัก ก้นใหญ่ ตัวใหญ่ น่าฟัดมาก ส่วนเรื่อง Entropy เง้อ T.T จากคุณ : neppen เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 22:59:32

ความคิดเห็นที่ 56 ไม่รู้เรื่องครับ แต่ เพราะผมไม่มีความรู้ด้านนี้มา ขอบคุณคร๊าบบบ จากคุณ : kloyman เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 23:02:30

ความคิดเห็นที่ 57 จริงหรือครับที่เอนโทรปีต้องเพิ่มขึ้นเสมอ ถ้าการกระโดดทางควอนตัมทำให้อนุภาคกลับเข้าสู่สภาพที่เอนโทรปีต่ำลงล่ะครับ แม้โอกาสน้อยมาก แต่ถ้ามีเวลายาวนานใกล้เคียงนิรันดร์ ก็อาจชนะเกมส์นี้ได้นะตรับ จากคุณ : ClassOne เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 23:11:18

ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อคืนผมคิด Though Experiment ที่พยายามแหกกฏข้อที่ 2 พอดีเลยครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ค่อยว่าง เด๋วกะว่าจะคิดแบบละเอียดอีกทีแล้วจะลองมาโพสหาความเห็นกัน (นอน ๆ อยู่มันปิ๊งขึ้นมาเฉยเลย) แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 23:35:03 จากคุณ : MoMelyz เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 23:16:46

ความคิดเห็นที่ 59 ／人◕ ‿‿ ◕人＼ จากคุณ : cygnat เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 23:26:15

ความคิดเห็นที่ 60 คห 57 พฤติกรรมในระดับเล็กมันมีลักษณะเช่นนั้น มันถึงมีแนวทางอย่าง Maxwell's demon ซึ่งทั้งนี้ตัวเอนโทรปีมันเป็นพฤติกรรมกลุ่มและยิ่ง Sample size ยิ่งมากความเบี่ยงเบนของกลุ่มใหญ่ก็ยิ่งน้อย (ต้องดูตามนิยามเอนโทรปีเชิงสถิติครับ)แถมว่าเอนโทรปีมันต้องเป็นสมบัติของระบบปิดอีกด้วย ก็ต้องถามว่า ในกาลอวกาศที่เราวัดค่านั้น มันเป็นระบบปิดแล้วหรือยัง มันถึงเป็นนิยามอย่างใน คห 28 น่ะครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 23:33:07

ความคิดเห็นที่ 61 ผมคุ้นเคยกับการใช้เอนโทรปีในเชิงเทอร์โมไดนามิกส์มากกว่าเรื่องอื่น  อย่างการไหลของของไหลขณะที่วาล์วนิภัยเปิด  ซึ่งคนทั่วไปที่อยู่ในวงการคงรู้เรื่องกันอยู่แล้ว ถามจขกท  ตามที่เคยเรียน เอนโทรปีเป็นมโนทัศน์ของคนเราในการวิเคราะห์กระบวนการมากกว่าจะเป็นสมบัติ  ถูกไหมครับ ตีความว่า เอนโทรปีคือเครื่องวัดความไร้ระเบียบได้ไหมครับ จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 00:02:52

ความคิดเห็นที่ 62 ขอตอบเกี่ยวกับรูปในหัวกระทู้ที่ถามว่า "รูปที่ 1: ระหว่างหนังสือที่วางเรียงดูเป็นระเบียบบนพื้น กับ หนังสือที่ยัดอีเหละเขละขะบนชั้นวาง คิดว่าอย่างไหนจะมีความสามารถในการทำงานมากกว่ากัน" เท่าที่พบมา เจ้าของโต๊ะซ้ายมือมีความสามารถมากกว่า ทางขวามือ  เพราะมีงานให้ทำตลอดจนไม่ว่างมาเก็บโต๊ะหรือจัดหนังสือ เห็นหลายคนเหมือนกันที่มีความสามารถสูงทั้งที่โต๊ะทำงานเป็นแบบนี้ แต่เวลาเขาจะเอาอะไรก็หยิบติดมือขึ้นมาได้ทุกครั้ง ส่วนรูปขวามือ เดาเอาว่า คงไม่มีงานทำ เลยมีเวลาว่างมากเลยมานั่งจัดหนังสือได้เป็นระเบียบ จากคุณ : กระเพราหมูกรอบเครื่องในไข่ดาว เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 00:03:41

ความคิดเห็นที่ 63 ขอเซฟไว้และเดี๋ยวจะพยายามอ่านนะครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Dreammaker_Toon เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 00:28:13

ความคิดเห็นที่ 64 ยิ่งอ่านยิ่งงง พอคิดตา่มยิ่งงงกว่าเดิม (ฮา) ยากที่จะเข้าใจจริงๆเรื่องนี้ = =" จากคุณ : Houdini เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 09:09:10

ความคิดเห็นที่ 65 ลึกซึ้ง............................................... จากคุณ : แก้วหนึ่งใบกับเบียร์สองขวด เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 09:34:57

ความคิดเห็นที่ 66 อ่านแล้ว มึน - -* จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 09:43:47

ความคิดเห็นที่ 67 หว้ากอ กลับมาแล้วว มึนกัอต่อปาย *-* จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 10:23:26

ความคิดเห็นที่ 68 หน้า อ. เทอร์โมไดนามิค ลอยมาเลย  อิอิ จากคุณ : Mikegelo เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 10:37:59

ความคิดเห็นที่ 69 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 10:46:54

ความคิดเห็นที่ 70 อ่านไปมึนไป ทำเอาหน้ามืดตาลายเลยทีเดียว จากคุณ : say a words เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 11:18:30

ความคิดเห็นที่ 71 ... เข้ามาเลีย จากคุณ : parasite13 เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 12:30:31

ความคิดเห็นที่ 72 ยาก เพราะ assumption ไม่ clear อ่านะ งงต่อปาย จากคุณ : อีคิวศูนย์ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 12:46:58

ความคิดเห็นที่ 73 ได้Aมา แต่เป็นความรู้แบบเช่า ตอนนี้คืนอาจารย์ไปแล้ว ;w; ปล.มาเป็นสาวน้อยเวทย์มนต์สิครับ มาช่วยจักรวาลของเรา จากคุณ : K.raywind เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 13:06:05

ความคิดเห็นที่ 74 ชอบวิชานี้ ต้องจินตนาการตลอด จากคุณ : Meredith R. McKay เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 13:19:08

ความคิดเห็นที่ 75 งง สวดสวด จากคุณ : discover_darkside เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 13:25:48

ความคิดเห็นที่ 76 วิชาที่ทำให้ปวดตับ ปวดม้าม ปวดไต ทุกครั้งเวลาจะสอบ และก็ได้ D+ ไปตามระเบียบ แต่ ป โท ได้ A มาแบบมีความสุขมาก ตั้งใจมาก แต่หนึ่งปีผ่านไปก็คืนอาจารย์กลับไปตามเดิม -__-" จากคุณ : nickyagape เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:43:50

ความคิดเห็นที่ 77 คห 61 นิยามความเป็นระเบียบ เป็นการใช้มโนทัศน์ของคนในการวิเคราะห์ อันนี้ถูก ทว่า ปัญหาคือคำว่าเป็นระเบียบของคนทั่วไป ถ้าดูใน คห 0 เชื่อว่าเกือบทั้งหมดจะบอกว่า รูปด้านขวามีความเป็นระเบียบสูง ซึ่งจริงๆแล้วต้องถือว่ามันมีความเป็นระเบียบต่ำ เพราะศักยภาพ หรือหนังสือ อยู่รวมกัน ไม่มีการแยกห่างจากกัน คำว่าเป็นระเบียบ จะต้องย้ำให้เข้าใจว่า มันหมายถึง ศักยภาพ เป็นความต่างศักย์ สูง-ต่ำ ร้อน-เย็น ครับ ในลำดับแรกของวิชาเทอร์โมไดนามิกส์ ควรใช้นิยาม เอนโทรปีในรูปของความไม่สามารถในการทำงานก่อน ส่วนเรื่องความเป็นระเบียบค่อยไปเรียนนิยามนี้เพิ่มทีหลังจะดีกว่า และทั้งนี้ สิ่งที่เอนโทรปีวัด เป็นการวัดการเสียศักยภาพการทำงานของระบบปิดครับ แก้ไข: ขออภัย เนตเน่า พิมพ์หลายรอบไม่ยอมผ่าน ก๊อบเพสท์มีพลาดตัดข้อความผิดครับ แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 54 16:44:14 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 16:22:17

ความคิดเห็นที่ 78 .. Entropy น่าจะหมายถึง ตัวเลข  ส่วนกลับ ของความเท่าเทียมกัน ความเท่าเทียมกัน  คือ  ความไม่แตกต่างกัน เมื่อไม่ต่างกัน  มันก็เลยใช้ประโยชน์จากความแตกต่าง  (เช่น ความต่างศักย์)  ไม่ได้ ในเมื่อ  ความแตกต่างกันน้อย  (เช่น  มีค่าเข้าใกล้ 0) ตัวเลขส่วนกลับของความเท่าเทียมกัน  จึงมีค่าเข้าใกล้ infinity คือ entropy มีค่าสูง (ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว   มันเพียงจะบอกว่า  มันมีความเท่าเทียมกันมาก) หากความแตกต่างกันมีค่ามาก ส่วนกลับของความเท่าเทียมกัน  (entropy)  จึงมีค่าน้อยลงมากเท่านั้น (ผมเดาๆ น่ะครับ) .. แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 54 20:00:28 จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 19:58:42

ความคิดเห็นที่ 79 .. ผมมีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่งว่า  อย่างไหนเกิดขึ้นก่อนกัน 1. นักวิทยาศาสตร์  รู้จัก Entropy  มาก่อน  จึงสร้างเครื่องยนต์กลไกใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง หรือ 2. เขาแค่ประดิษฐ์ให้มันทำงานได้ก่อน จากนั้น  จึงมีคนมาอธิบายว่า ด้วยน้ำมันเท่านี้  ให้ความร้อนเท่านี้  จึงเกิดพลังงานเท่านั้น มาแทนด้วย Enthalpy, Entropy ในภายหลัง .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 20:05:12

ความคิดเห็นที่ 80 >< ส่งคืนอาจารย์ไปหลายปีดีดักแล้วค่ะ เข้ามามึนทำเนี่ย... จากคุณ : หนูพุก ณ แดนแอนฟิลด์ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 20:54:34

ความคิดเห็นที่ 81 ใน คห. 36, 57, 60 น่าจะหมายถึงวัตถุทาสีดำ (black paint absorber) คงไม่ได้หมาย black body กระมัง จากคุณ : ordina เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 22:18:05

ความคิดเห็นที่ 82 #78 จะเรียกว่าส่วนกลับของความต่างศักย์... ก็คล้ายแฮะ มีข้อต่างอยู่นิดเดียวคือมันมีค่าสูงสุดอยู่ แต่ 1/0 มันไม่มีค่าปลาย แต่ถ้าเรียกแบบเอาความเข้าใจก็น่าจะใช้ได้นะครับ สิ่งที่มันต่างจาก 1/0 ก็เพราะมันมีหน่วยของพลังงานที่อยู่ในระบบอยู่ อย่างกรณีของน้ำแข็งในกล่อง แม้น้ำแข็งจะมีอุณหภูมิต่ำที่สุดแต่มันก็ยังมีพลังงานในตัวของมันเองเทียบกับการไม่มีพลังงาน ณ จุด 0 สมบูรณ์ครับ เอาเป็นว่าน่าจะถือว่าพอใช้ได้อยู่ในแง่ของทั่วไป ส่วนนิยามทางเทอร์โมไดนามิกส์กับกลจักรความร้อน กลจักรความร้อนมีเกิดมาก่อนวิชาเทอร์โมไดนามิกส์นับพันปี อย่างน้อยเครื่อง Aeolipile ที่ใช้แรงดันไอน้ำมาหมุนตัวเองก็ถือเป็นกลจักรความร้อน ส่วนวิชาเทอร์โมไดนามิกส์ เราเรียนรู้และใช้มันในการทำนายประสิทธิภาพของมัน และใช้ในการพัฒนาให้มันทรงประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ตรงนี้เห็นว่าถามเรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่คิดว่าน่าจะถามในแง่ของทฤษฏีกับการใช้งานอะไรมาก่อนมากกว่า ก็ต้องบอกว่า นักประดิษฐ์ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้จากตำราที่เราเรียกว่าวิทยาศาสตร์ เขาอาจได้ความรู้จากการสังเกต ส่วนวิทยาศาสตร์ หลายครั้งก็เอาสิ่งที่สังเกตจากประดิษฐ์กรรมมาศึกษาครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Aeolipile จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 22:43:05

ความคิดเห็นที่ 83 คห 81 วัตถุทาสีดำนี่ก็เป็นการทำให้มีสภาพคล้าย Black Body ละ แต่แน่นอนว่าไม่มีวัตถุอะไรในโลกที่จะเป็น Black body จริงๆ แต่เวลาคำนวณสมการ Radiation Heat Transfer โดยไม่ใส่ emissivity นั่นก็คือการสมมุติวัตถุนั้นเป็น Black Body ละครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 22:52:55

ความคิดเห็นที่ 84 จักรวาลเราอาจไม่ได้เป็นระบบปิดนะครับ มีคนเสนอว่าโฟตอนอาจมีการสูญเสียพลังงานโดยความถึ่ลดลง จากขอบจักรวาลเข้ามานอกจากเรดชิฟท์แล้ว ความโค้งของกาลอวกาศที่เปลี่ยนไป การกลับทิศทางการเคลื่อนที่ไม่สมมาตร อาจเกี่ยวของกับการที่เอนโทรปีเพิ่มขึ้น american science กลางๆปีมั้ง จากคุณ : ClassOne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:11:49

ความคิดเห็นที่ 85 วิชาชีพของ จขกท ยากจังเลยนะคะ ^ ^" ไม่เข้าใจเลยสักจึ้ก >"< แต่ว่าตั้งใจอ่านจนจบนะคะ จากคุณ : 24 frame per second เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 00:25:38

ความคิดเห็นที่ 86 มานั่งฟังเลคเชอร์ครับ ตอนนั้นเรียนผ่านมาได้ไงเนี้ย -_-a จากคุณ : เอ็นไก่ (เอ็นไก่) เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 00:41:21

ความคิดเห็นที่ 87 ถามแบบคนโง่ๆ ว่า เอนโทรฟี ก็คือ สมดุลย์ ใช่หรือไม่ครับ? จากคุณ : ดุก เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 09:23:51

ความคิดเห็นที่ 88 อธิบายเก่งจัง เจ๋งเลยครับ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 11:02:47

ความคิดเห็นที่ 89 เราสามารถคำนวณ Entropy ของสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์  (เทียบกับสิ่งไม่มีชีวิต) ได้ไหมคะ   ^^ Entropy ของเด็กตัวเล็กๆ มีแรงน้อย  แตกต่างจาก Entropy ของคนตัวใหญ่มีแรงเยอะ   พูดอย่างนี้ถูกไหมคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : Infan เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 11:54:59

ความคิดเห็นที่ 90 ผมลงสองไม้ จากคุณ : ทางใครทางมัน เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 12:50:37

ความคิดเห็นที่ 91 คห 85 (และอีกหลายๆความเห็น) ที่เข้าใจยาก มันคงเป็นเพราะปัญหาเรื่องนิยามนี่ละ เรื่องความเป็นระเบียบนี่แม้จะตรงความเป็นจริงมากกว่าแต่มันจะขัดกับสามัญสำนึกที่จะมองศักยภาพ แต่ไปมองที่ตัววัตถุ และรูปลักษณะตามค่านิยมเรื่องการจัดให้ดูเป็นระเบียบแทน คห 87 เอนโทรปีไม่ใช่สมดุลครับ แต่มันเป็นตัวบอกว่าจุดสมดุลที่สุดของระบบอยู่ตรงไหน จุดที่เอนโทรปีสูงที่สุดนั่นคือจุดสมดุลสุดท้ายของระบบ คห 89 เอนโทรปีระหว่างคนกับสัตว์จะเป็นอย่างไรนี่คงยากหลายหน่อยนะครับ ส่วนเรื่องคนตัวเล็กเอนโทรปีน้อยอะไรนี่ไม่ใช่ครับ คุณคงหมายถึงเอนทาลปีมากกว่า เอนโทรปีหมายถึงความไม่สามารถในการทำงาน มันจะเป็นว่า เด็กหรือผู้ใหญ่ ที่สุขภาพสมบูรณ์ เมื่อทำงานเข้า มันจะต้องเหนื่อย และถึงจุดหนึ่งที่ไม่อาจรีดเร้นเอากำลังที่จะทำงานได้ (เอนโทรปีอยู่ในสภาพสูง) ก็ต้องเติมศักย์ภาพจากภายนอกเข้าไปในระบบ แต่ถ้าเทียบว่าระบบปิดของศพเด็กตัวเล็กที่ถูกจับใช้แรงงานจนหมดแรงรากเลือดเหนื่อยตาย กับระบบปิดของศพผู้ใหญ่ตัวโตละก็ ศพผู้ใหญ่จะมีระดับเอนโทรปีในสภาพสูงสุดมากกว่าสภาพสูงสุดของศพเด็ก ถ้าพูดแบบหลวมๆครับ ถ้าเรามีภาชนะ 3 ใบ ต่อถึงกันและกั้นด้วยวาล์ล A, B, C เมื่อเราเปิด A ต่อเข้ากับ B ก๊าซใน A และ B จะมีปฏิสัมพันธ์เข้าหากันด้วยศักยภาพความดัน ความเข้มข้น อุณหภูมิ ฯลฯ จนระบบของ A+B มีเอนโทรปีสูงสุด แต่เมื่อเปิดวาล์ลเชื่อม C เข้ามา ณ ตอนนั้น ระบบ A+B+C ก็จะไม่ได้มีค่าเอนโทรปีสูงสุดแล้ว แน่นอนว่าสภาพเอนโทรปีสูงสุดของ A+B+C ก็จะต้องมากกว่า A+B จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 16:58:34

ความคิดเห็นที่ 92 เคยเรียนตอนป.ตรี จารย์สอนได้ (ห่วย) สวดยวดมากๆ คือทั้งพูดพึมพำ ไม่หันหน้ามาทางนักเรียน เขียนบนกระดานอย่างเดียว สุดท้ายอ่านเอง+ลอกการบ้านเพื่อนจนผ่านมาได้ พอสอบไฟนอลเสร็จก็คืนหนังสือ+คืนเพื่อนหมดแล้ว ผ่านคลาส Thermo มาได้ไงวะเนี่ย 55 จากคุณ : Iron-Spider เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 19:36:38

ความคิดเห็นที่ 93 ไม่ใช่เอนโทรปีระหว่างคนกับสัตว์ค่ะ  แต่เป็นเอนโทรปีระหว่างสัตว์กับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น เอนโทรปีของคนหรือสัตว์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เปรียบเทียบกับเอนโทรปีของคนหรือสัตว์ที่เพิ่งตาย (เพิ่งเปลี่ยนสถานะจากมีชีวิตไปเป็นไม่มีชีวิต)    โดยถ้าต้องเป็นระบบปิด ก็พิจารณาเป็นห้องปิดที่มีคนหรือสัตว์ที่่ยังมีชีวิตอยู่  เปรียบเทียบกับห้องปิดที่มีคนหรือสัตว์ที่เพิ่งเสียชีวิตค่ะ และถ้าเป็นได้ อยากรู้ด้วยนะคะว่า  เอนโทรปีของเด็กทารก  เปรียบเทียบกับเอนโทรปีของคนหรือสัตว์ที่โตเต็มวัย(สามารถสืบพันธุ์ได้ กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ฯลฯ)   โดยถ้าต้องเป็นระบบปิด ก็คิดแบบห้องปิดเหมือนกับกรณีข้างบนค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ   จากคุณ : Infan เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 23:33:27

ความคิดเห็นที่ 94 ลองมองเอนโทรปีในแง่โอกาสที่เจอยากกว่า อาจเห็นภาพง่ายขึ้น เช่น ห้องที่หนังสืออยู่ เร่มต้นเหมือนกัน พอเวลาผ่านไป เปิดห้องออกมา ถ้าเจอห้องที่หนังสือกองเป็นระเบียบโอกาสที่หนังสือกองเป็นระเบียบน้อยกว่ากองหนังสิอไม่เป็นระเบียบ โอกาสเจอน้อยกว่าคือเอนโทรปีต่ำกว่า ห้องที่ไม่เป็นระเบียบเอนโทรปีสูงกว่า ก๊าซในกล่องสองกล่อง เปิดเข้าหากัน ก๊าซกระจายตัวอิสระ เมื่อเวลาผ่านไป โอกาสที่ก๊าซจะไม่ปนกันน้อยกว่า(โอกาสเจอน้อย เอนโทรปีน้อย) เมื่อเวลาผ่านไปโอกาสที่ก๊าซปนกัน กระจายตัวปนกันยิ่งมีโอกาสมาก(เอนโทรปียิ่งมากขึ้น)จนปนกันไปหมดไม่รู้จะแยกความแตกต่างตรงจุดไหน เหมือนๆไปหมด เป็นโอกาสที่เราเจอมากที่สุด นั่นคือเนโทรปีสูงสุด แต่ต้องอย่าลืมว่าโอกาสที่ก๊าซจะวิ่งแยกกันกลับเข้ากล่องใตรกล่องมันก็มี เป็นโอกาสที่เจอได้ แต่โอกาสน้อยมาก แต่ถ้ารอยาวนานพอ อาจเจอได้ว่าเอนโทรปีลดลงได้ ในธรรมชาติ เราจึงพบว่าเอนโทรปีมักเพิ่มขึ้นเสมอเพราะโอกาสเจอความเป็นระเบียบน้อยกว่า ศพเด็กกับผู้ใหญ่ถ้ามองดูจากสภาพเริ่มต้นที่อนุภาคในระบบปิดเท่าๆกัน โอกาสที่อนุภาครวมคัวเป็นศพเด็กน่าจะเกิดง่ายกว่า (ใช้อนุภาคน้อยกว่า)เกิดง่ายกว่าก็เอนโทรปีสูงกว่า ดูโอกาสที่จะเกิดสภาพนี้น ดูโอกาสที่จะเกิด เราก็อาจเปรียบเทียบ เอนโทรปีของสิ่งต่างๆได้ คนกับสัตว์ สิ่งมีชีวิตไม่มีชีวิต แต่ความซับซ้อนมาก เจอยากโอกาสเจอน้อย ก็เอนโทรปีตำกว่า คร่าวๆนะครับ ผู้ใหญ่ซับซ้อนมากกว่าเอนโทรปีน่าจะต่ำกว่านะครับ จักรวาลเราเอนโทรปีมีแนวโน้มเพื่มขึ้นเรื่อยๆ ในอดีตจึงต้องเริ่มต้นจากสภาพที่เอนโทรปีต่ำมากๆซึ่งไม่อย่างนั่นสิ่งต่างก็ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ แม้ว่าเอนโทรปีของเด็กอาจมากกว่าผู้ใหญ่แต่เอนโทรปีภานนอก ที่เกิดจากการสร้างทั้งสอง ระบบรวมของผู้ใหญ่ก็อาจสูงกว่าได้ แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 00:30:09 จากคุณ : ClassOne เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 23:55:38

ความคิดเห็นที่ 95 โอ้ย... มึนตึ้บ จากคุณ : TohKung121 เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 01:59:11

ความคิดเห็นที่ 96 มาเสริมเรื่องเอนโทรปีเชิงสถิติครับ มันถูกนำมาใช้ในศาสตร์ด้านการค้นหาความรู้ในฐานข้อมูลและเหมืองข้อมูลด้วยเช่นกัน (Knowledge Discovery in Database & Data Mining) โดยใช้อธิบายและวัดผลความบริสุทธิ์ (Pure) ของชุดข้อมูลที่ถูกจำแนกลงยังแต่ละใบ (Node) ในต้นไม้การตัดสินใจ (Decision Tree) ว่าแต่ละใบมีความสามารถในการจำแนกข้อมูลได้แม่นยำขนาดไหน ด้วยการมองข้อมูลแต่ละตัวเป็น บวก (+) คือ ผลลัพธ์ที่สนใจ กับลบ (-) คือผลลัพธ์ที่ไม่สนใจ โดยที่ Entropy = -P(p)log2(P(p)) -P(n)log2(P(n)) เมื่อ P(p) คือความน่าจะเป็นที่จะเกิดผลบวก P(n) คือความน่าจะเป็นที่จะเกิดผลลบ ซึ่งค่า Entropy จะสูงสุดที่ 1 คือมีความน่าจะเป็นของผลบวก และ ผลลบ เท่ากันคือ 0.5 แสดงว่า Node นั้นไม่มีความสามารถในการจำแนกข้อมูลเลย (เพราะให้ความแม่นยำเท่ากับการโยนเหรียญหัวก้อยแบบยุติธรรม) ซึ่งข้อมูลที่ผ่านการแยกด้วย Node นั้นจะถือว่าไม่ Pure โดยสิ้นเชิง และค่า Entropy น้อยสุดเท่ากับ 0 คือความน่าจะเป็นเทไปที่ข้างใดข้างหนึ่ง (ผลบวกหรือลบก็ได้) แสดงว่า Node นั้นสามารถจำแนกข้อมูลได้ชัดเจนมาก (คือออกมาเป็นผลลัพธ์ที่เราสนใจทั้งหมด หรือผลลัทธ์ที่เราไม่สนใจทั้งหมดก็ได้) ขอยืมรูปมาใช้ครับ จากคุณ : TohKung121 เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 02:26:45

ความคิดเห็นที่ 97 ยืมรูปจาก Internet มาใช้อธิบายสักนิด เราตั้งโจทย์ว่า เราต้องการดูโอกาสเกิดหนี้เสียจากข้อมูลของลูกหนี้ เมื่อดูที่ใบขวาสุด [Debt=High] ต้นไม้ต้นนี้จำแนกข้อมูลจากสถิติออกมาว่าถ้าลูกค้ามีหนี้สูง จะเป็นหนี้เสียแน่ๆทั้ง 3 คน (จาก 3 คนที่ถูกแยกมาลง Node นี้) แสดงว่าใบ [Debt=High] นี้ไม่มีความแปรปรวนในการจำแนกข้อมูลเลย คือมีค่า Entropy = 0 มีความ Pure สูงที่สุด กับล่างซ้าย [Employment = Self. E.] ถูกจำแนกออกมาเป็นหนี้ดี 1 คน, หนี้เสีย 1 คน Node นี้มีความแปรปรวนของข้อมูลสูงมาก (โอกาสทายว่า หนี้ดี-หนี้เสีย เป็น 50-50) มี Entropy = 1 คือไม่มีความ Pure เลยแม้แต่นิด เพราะเดาสุ่มด้วยวิธีการอะไรก็ได้ ก็ไม่ให้ผลที่แย่ไปกว่านี้แล้ว Node นี้จึงไม่น่าเอามาใช้พิจารณาในการทำต้นไม้ตัดสินใจ จากคุณ : TohKung121 เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 02:37:37

ความคิดเห็นที่ 98 อ่านแบบมึน ๆ งง ๆ อืม....... =*= จากคุณ : รองเท้าแก้ววาววาววับวับ เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 02:37:59

ความคิดเห็นที่ 99 คห 96 เอาละ นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่เดียวที่จะต้ออธิบายให้ได้เห็นส่วนที่แบ่งแยกระหว่างเอนโทรปีแบบเทอร์โมไดนามิกส์กับเอนโทรปีเชิงข้อมูลละครับ มันจะมีเรื่องศักยภาพในการทำงานที่เข้ามาเอี่ยว กรณีหนังสือ 10 เล่มเท่ากันใน ห้อง ห้องแรก วางเป็นระเบียบบนพื้น ห้องที่สอง โยนแบบอีเหละเขะละขละบนชั้นวาง ศักยภาพในการทำงานจะประกอบด้วย A. ระดับความสูงจากพื้น E = mgh สิ่งนี้ใช้ทำงานได้ กำแพงที่กั้นในระบบนี้คือชั้นวางของ B. ศักยภาพทางเคมี C + O2 -> CO2 การสันดาปนี้ให้ความร้อนใช้ทำงานได้ กำแพงที่กั้นนี้คือ Activation Energy เมื่อมองห้องเป็นระบบ ศักยภาพในการทำงานของห้องที่ 2 ก็จะมากกว่าห้องแรก เพราะ ศักยภาพในรูปแบบ A. สิ่งที่อยู่บนชั้นวางมีมากกว่าการที่มันจัดวางเรียงสูงเป็นระเบียบจากพื้น โดยศักยภาพในส่วน B มีเท่ากัน ทัี้งๆที่ความเป็นระเบียบในเชิงข้อมูลของห้อง 2 มากกว่า 1 แต่เพราะมันไม่อาจนำมาใช้ทำงานทางฟิสิกส์ นิยามความเป็นระเบียบ จะต้องประกอบใส่ความสามารถในการทำงานจึงจะเป็นนิยามเอนโทรปีในเทอร์โมไดนามิกส์ครับ การอธิบายในแง่ความเป็นระเบียบจะสร้างความเข้าใจผิดได้มากที่สุดก็คือการไม่ได้เอาเรื่องศักยภาพในการทำงานเข้ามาจับนี่ละ ถึงมีบางคนบอกว่าโลกเรามีระเบียบมากขึ้นได้ทั้งๆที่เราขุดเอาเชื้อเพลิงมาเผาผลาญเพื่อสร้างอารยธรรม ตรงนี้ความเป็นระเบียบที่ได้คือ ความสูงของตึกและการวางเป็นผังเมือง แต่สิ่งที่หายไปคือศักยภาพของเชื้อเพลิงที่แยกจากออกซิเจนถูกผสมรวมเข้าด้วยกันครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 06:35:54

ความคิดเห็นที่ 100 ^ ^ สุดยอดดด.....     แจ่มค่ะ รบกวนตอบคำถามใน #93 ด้วยนะคะ   (ขอบคุณคุณ ClassOne สำหรับคำตอบค่ะ แต่ยังไม่ค่อยตรงกับกรณีในคำถามนักค่ะ) จากคุณ : Infan เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 10:13:11

ความคิดเห็นที่ 101 ลองดูในแง่โอกาสที่จะเกิดสภาพนั้นขึ้น ในระบบนะครับ ระบบปิด ถ้าจำกัดแค่ตัวผู้ใหญ่กับเด็ก แน่นอนที่ผู้ใหญ่มีความซับซ้อนมากกว่า ระบบต่างๆกล้ามเนื้อ ระบบประสาทเส้นเลือด โอกาสเจอความซับซ้อนมาก เจอได้ยากกว่าเจอความซับซ้อนน้อย ผู้ใหญ่เอนโทรปีจึงต่ำกว่าเด็ก แต่ ถ้าระบบปิดรวมไปถึงสภาพภายนอก เป็นห้อง หรือ จักรวาล อนุมานว่าให้สภาพตั้งต้นเริ่มต้นที่เอนโทรปีต่ำๆเท่าๆกัน เมื่อเวลาผ่านไป จากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ เอนโทรปี อาจค่อยๆลดลง เฉพาะสิ่งมีชีวิต แต่ถ้ารวมเอนโทรปีของสิ่งเวดล้อมที่เพิ่มขึ้นจากการที่ต้องทำงานรักษาระบบของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กว่าไว้ ระบบปิดที่ผู่ใหญ่อยู่อาจเอนโทรปีรวมสูงกว่าระบบปิดที่เด็กอยู่ได้ แต่ถ้าพิจารณาเวลาเดียวกัน ระบบปิดที่เหมือนๆกัน เอาคร่าวๆ  ผู้ใหญ่ก็น่าจะเอนโทรปีต่ำกว่าครับ รวมถึงสิ่งที่มีชิวิตอยู่ด้วยถ้าตายลง ระบบหยุดทำงาน ความซับซ้อน น้อยลงเอนโทรปีของสิ่งที่ตายจึงมากขึ้นครับ ขาดเหลือผิดพลาดอะไรก็ขอให้ท่านอื่นช่วยๆดูหน่อยนะครับ แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 15:46:49 จากคุณ : ClassOne เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 15:42:32

ความคิดเห็นที่ 102 ครับ มันน่าจะ และต้องบ่งชี้ไว้ว่า ความสามารถในการทำงานที่เหลืออยู่มากกว่าไม่ได้หมายความว่าค่าเอนโทรปีจะต่ำกว่า เอาละสิ นี่ไม่ได้อำเล่นกันด้วย เพราะเอนโทรปีมันไม่ได้เป็นค่าแค่ 0 - 1 อย่างกรณีทาง statistical entropy สมมุติระบบขนาดใหญ่มีพลังงานมากกว่าระบบขนาดเล็ก เมื่อเวลาผ่านไป ระบบขนาดใหญ่มีเอนโทรปีเพิ่มขึ้นมาถึง 80% ของภาวะตั้งต้น ส่วนระบบขนาดเล็กยังเต็มร้อย แต่ทีนี้ ศักยภาพที่เหลือของระบบขนาดใหญ่ ก็ยังอาจมากกว่าระบบขนาดเล็กได้ เอนโทรปีจึงเป็นสมบัติของระบบปิดหนึ่งๆครับ ไม่ใช่สมบัติที่เทียบระหว่างสองระบบแล้วจะบอกอะไรได้ เทียบคือรถยนต์ถังขนาด 200 L ใช้ไปแล้ว 150 L ก็ยังมีน้ำมันมากกว่ารถมินิถังน้ำมันขนาด 40 ลิตรที่ยังเต็มอยู่ครับ ตอนจะเที่ยบเอนโทรปีของคนกับพื้น หรือสิ่งอื่นๆ มันจึงไม่มีความหมายใดๆจนกว่าจะให้มันมีปฏิสัมพันธ์ด้วยกันครับ ถ้าเทียบระหว่างคน 1 คนกับพื้นดินทั้งทวีป เอนโทรปีของระบบคนที่มากที่สุดยังน้อยกว่าค่ามากที่สุดที่เอนโทรปีของพื้นดินจะเป็น และความสามารถในการทำงาน (ศักยภาพ) ของพื้นดินก็ยังอาจสูงกว่ามนุษย์ได้ในเวลาเดียวกัน เพราะพื้นดินอาจมีศักยภาพทางเคมีเหลืออยู่ได้อีกมหาศาล จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 22:08:37

ความคิดเห็นที่ 103 ^ ^ ขอบคุณค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่า จะสรุปยังไงดีกับคำถามใน #93 น่ะค่ะ โดยคำถามคืออย่างนี้นะคะ <<เอนโทรปีของคนหรือสัตว์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เปรียบเทียบกับเอนโทรปีของคนหรือสัตว์ที่เพิ่งตาย (เพิ่งเปลี่ยนสถานะจากมีชีวิตไปเป็นไม่มีชีวิต)    โดยถ้าต้องเป็นระบบปิด ก็พิจารณาเป็นห้องปิดที่มีคนหรือสัตว์ที่่ยังมีชีวิตอยู่  เปรียบเทียบกับห้องปิดที่มีคนหรือสัตว์ที่เพิ่งเสียชีวิตค่ะ และถ้าเป็นได้ อยากรู้ด้วยนะคะว่า  เอนโทรปีของเด็กทารก  เปรียบเทียบกับเอนโทรปีของคนหรือสัตว์ที่โตเต็มวัย(สามารถสืบพันธุ์ได้ กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ฯลฯ)   โดยถ้าต้องเป็นระบบปิด ก็คิดแบบห้องปิดเหมือนกับกรณีข้างบนค่ะ>> สรุปอย่างที่คุณ ClassOne บอกได้ไหมคะ คือ <<ถ้าพิจารณาเวลาเดียวกัน ระบบปิดที่เหมือนๆกัน เอาคร่าวๆ  กรณีผู้ใหญ่ก็น่าจะเอนโทรปีต่ำกว่ากรณีเด็กครับ รวมถึงสิ่งที่มีชิวิตอยู่ด้วยถ้าตายลง ระบบหยุดทำงาน ความซับซ้อน น้อยลงเอนโทรปีของสิ่งที่ตายจึงมากขึ้นครับ>> (คุณ ClassOne ตอบใน #ร้อยเอ็ด ได้ละเอียดดีจัง ขอบคุณมากค่ะ) จากคุณ : Infan เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 10:41:55

ความคิดเห็นที่ 104 คนๆเดียวกัน ที่เป็นๆอยู่ในในห้องที่เป็นระบบปิด เมื่อตาย นั่นคือกลไกตัดออก ศักยภาพตรงนี้ไม่เปลี่ยนครับ (จนกว่าจะเริ่มเน่าแล้วแบคทีเรียค่อยๆเปลี่ยนศักย์เคมีไปเป็นพลังงานจนกลายเป็นความร้อน) ผู้ใหญ่กับเด็กเอามาเทียบกัน ผู้ใหญ่อาจมีเอนโทรปีมากกว่าเด็กก็ได้ ในขณะที่ยังสามารถทำงานได้มากกว่าเด็ก เพราะเป็นคนละระบบกัน มีพลังงานภายในที่ไม่เท่ากันครับ เอนโทรปีเทียบกับคนก็เหมือนขี้กองใหญ่ขี้กองเล็กครับ (สารอาหารที่ถูกสกัดใช้จนไม่เหลือศักย์พลังงานมีมากกว่า) ในท้องผู้ใหญ่มีขี้มากกว่าเด็กก็มีเอนโทรปีมากกว่า แต่เนื้อ เลือด ผู้ใหญ่ก็อาจมีมากกว่า ก็ยังมีศักย์พลังงานเหลือจะทำงานมากกว่า เปรียบเทียบต่างระบบจะเป็นอย่างนี้ครับ ต้องค่อยๆพยายามเข้าใจว่าเอนโทรปีเป็นปริมาณ ไม่ใช่ค่าระหว่าง 0 กับ 1 ครับ มีตัวอย่างให้อีก 2 กรณี 1. ในกรณีระบบปิด สมมุติให้เป็นห้องมีอากาศและอาหารจำกัดแต่ใหญ่่มากจนไม่มีการขาดอากาศ ไม่มีการถ่ายเทอุณหภูมิใดๆทั้งสิ้น เด็กจะโตได้ก็ต้องกิน ก็คือเอาทรัพยากรในระบบปิดนั้นมาใช้ ร่างกายมีการทำงานตลอดและขับความร้อนออกมาตลอด ก็มีการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปีตลอดจนกว่าอาหารจะหมดและอดตาย กรณีนี้ผู้ใหญ่มีอาหารสำรองในรูปของเนื้อเยื่อมากกว่า และจะเผาผลาญกับออกซิเจนได้มากกว่า เอนโทรปีสูงสุดจะมากกว่าของเด็ก 2. ในกรณีที่ห้องนั้นเล็กมากๆจนจะขาดอากาศก่อนจะอดตาย ผู้ใหญ่แม้จะมีพลังงานในรูปเคมีมาก แต่ถ้าอากาศมีจำกัด ผู้ใหญ่จะต้องใช้พลังงานในการเลี้ยงอวัยวะมากกว่าเด็ก แม้ว่าอยู่เฉยๆ ผู้ใหญ่ก็ต้องใช้ออกซิเจนมากกว่า ออกซิเจนกับสารอาหารในตัวผู้ใหญ่คือความต่างศักย์ เมื่อออกซิเจนถูกใช้หมดเอนโทรปีก็ถึงค่าสูงสุดแล้วก็ตาย กรณีนี้เด็กจะอยู่ได้นานกว่า แต่เอนโทรปีสูงสุดของผู้ใหญ่ก็จะเท่ากับเด็ก (เพราะความต่างศักย์นี้มีแค่ออกซิเจน ซึ่งมีให้ในห้องเท่ากัน มันใช้หมดพอดีกัน) มนุษย์เราเป็นระบบเปิด เราต้องอาศัยอาหาร ต้องอาศัยอากาศ เวลาที่ทำให้ร่างกายเป็นระบบปิดไม่หายใจเราก็จะตายแทบทันทีและกระบวนการเปลี่ยนแปลงเพิ่มของเอนโทรปีก็จะหยุดลง แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 19:10:05 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 19:04:54

ความคิดเห็นที่ 105 ^ ^ ขอบคุณมากๆ ค่ะสำหรับคำตอบ  (แม้ว่าจะไม่ค่อยเห็นด้วยในบางจุดนะคะ  ^^   ) ส่วนตัวแล้วรู้สึกเห็นด้วยกับคำตอบของคุณ ClassOne ใน #101 ค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่คงไม่มีเวลาคุยรายละเอียดในทุกจุด ขอพูดถึงแค่จุดเดียวก่อนละกันนะคะ คือ ในกรณีที่คุณ Darth Prin บอกว่า <<คนๆเดียวกัน ที่เป็นๆอยู่ในในห้องที่เป็นระบบปิด เมื่อตาย นั่นคือกลไกตัดออก ศักยภาพตรงนี้ไม่เปลี่ยนครับ (จนกว่าจะเริ่มเน่าแล้วแบคทีเรียค่อยๆเปลี่ยนศักย์เคมีไปเป็นพลังงานจนกลายเป็นความร้อน)>> ในกรณีนี้  เรามองว่า  เมื่อคนคนนั้นตาย  กลไกตัดออก ศักยภาพจะเปลี่ยนไปค่ะ คือ ศักยภาพในเชิง Biochemical จะหมดไป (จากที่เคยมี ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่) ปล. พรุ่งนี้จะไปเที่ยวหัวหินค่ะ  ไม่รู้ว่าจะได้เข้ามาตอบอีกทีเมื่อไหร่....   แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 54 00:50:56 จากคุณ : Infan เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 00:49:50

ความคิดเห็นที่ 106 การตาย กระบวนการ Metabolism ที่แปลงพลังงานเคมีเป็นพลังงานความร้อนหยุดลงครับ คำว่าไม่เปลี่ยน มันก็คือไม่มีการเปลี่ยนเพิ่มอีกต่อไป หรือกระบวนการเพิ่มของเอนโทรปีหยุดลง การตายคือการหยุดการทำงานครับ ชีวิตไม่สามารถดำรงได้ถ้าไม่มีการเผาผลาญพลังงาน สิ่งที่เรียกว่าศักยภาพในเชิง Biochemical มันคือพลังงานที่อยู่ในเนื้อเยื่อครับ แต่คุณใช้ในแง่ของการเป็นภาชนะของชีวิตที่หมดความสามารถในการแปลงศักยภาพ กลไกชีวภาพจะเปลี่ยนพลังงานเคมีไปเป็นพลังงานไฟฟ้า และท้ายสุดก็จบลงที่ความร้อนซึ่งสูญเสียออกภายนอก และเป็นสิ่งที่ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปีตราบที่ชีวิตดำรงอยู่ครับ แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 54 07:31:17 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 54 07:17:06 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 07:10:50