ความคิดเห็นที่ 1 ภาพแรก เป็นการปนเปื้อนของสาร DDT จะเห็นว่า ขั้นแรกเมือเกิดการปนเปื้อนใน น้ำ ต่อมาก็จะถูกสะสมใน Plankton ซึ่งจัดว่าเป็น ผู้ผลิตขั้นแรก และส่งต่อการปนเปื่อนไปใน ปลาขนาดเล็ก ปลาขนาดใหญ่ นก ในที่สุด และในท้ายที่สุดก็จะเป็นคน เพราะคนถือเป็น ผู้บริโภคอันดับสุดท้าย โดยระดับการปนเปื้อนจะสูงเพิ่มขั้นเรื่อยๆในแต่ละลำดับขั้นของห่วงโซ่อาหาร ................ ดังนั้นที่บอกว่าปนเปื้อนในระดับต่ำๆ นะไว้ใจได้แค่ไหน คิดดูกันเองแล้วกัน แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 54 02:37:39 จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 02:37:14

ความคิดเห็นที่ 2 นี้ก็อีกภาพ จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 02:37:58

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าใครสนใจลองหาอ่านเอานะครับ เพราะยังไม่คอยเห็นใครพูดถึง ส่วนภาพที่เป็น Biomagnification ของสารกัมตรังสี หาไม่เจอ เพราะคงไม่มีใครทำเรื่องนี้เพราะมันไม่ได้เกิดกันได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่มีแต่เป็น การสะสมของพวก ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก อะไรพวกนั้น จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 02:39:33

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนนี้น้ำทะเลแถวนั้น ปนเปื้อน ไปแล้ว ดังนั้น พวก Primary Producer น่าจะได้รับการสะสมไปแล้ว ดีไม่ดีพวก สาหร่าย แพลงค์ตอนพืช แพลงค์ตอนสัตว์ แถวนั้นน่าจะได้รับไปแล้ว ....................... แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีหน่วยงานใดของญี่ปุ่น เลยที่ตรวจ แพงค์ตอนพืช หรือ สัตว์น้ำที่อยุ่บริเวณนั้นมาตรวจเลย จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 02:42:02

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรังสีสะสมในแพลงตอนหรอกครับ ที่บอกไม่เป็นอันตรายนี่ใครเลี้ยงพวกสัตว์น้ำที่เปราะๆ อย่างกุ้งหรือตู้ทะเลจะรู้ดี แค่ล้างจานมาล้างมือแล้วเอามือจุ่มตู้แปบเดียวกุ้งยังตายเลยครับ หรือยำกำจัดเห็บหมาลอยมาตกในตู้ก็ตาย สัตว์น้ำมันไม่สามารถทนต่ออะไรได้มากนักหรอก อะไรผิดนิดเดียวก็ตายแล้ว ดูอย่างปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวก็ได้ อุณหภูมิเปลี่ยนนิดเดียวก็ตาย ระบบวงจรนิเวศน์ในทะเลมันละเอียดอ่อนมากๆ อะไรผิดนิดเดียวก็ล่มตามๆ กันแล้ว สาหร่ายทะเลก็เป็นตัวดักจับดูดซึมสารพิษต่างๆ ได้ดีอีก ปกติพวกนี้เขาใช้บำบัดในกรองตู้ทะเลแล้วก็ตัดทิ้งเพราะมันสะสมสารของเสียต่างๆ ไว้ ถ้ากรณีนี้ก็คงเท่ากับมันดักจับสารพิษไว้ในตัวเพิ่มเรื่อยๆ ปลาหรือสัตว์น้ำมากินก็รับไปอีกทอด แล้ววงจรชีวิตมันจะไม่เสียได้ยังไง บอกตรงๆ เรื่องนี้หลอกได้แต่คนไม่รู้นี่แหละ ญี่ปุ่นชุ่ยมากๆๆ แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 54 03:23:10 จากคุณ : Cookiefish เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 03:18:31

ความคิดเห็นที่ 6 #5  แล้วจะให้ทำยังไง เงินก็มี  คนก็มี ความรู้ก็มี แต่ที่ไม่มีคือ ปัญญาในการแก้ นานาชาติก็ร่วมมือกัน ยังแก้ไม่ได้เลย ถ้าทำได้ เขาก็ไม่อยากให้สภาพแวดล้อมแถวนั้นเสียไปหรอก  ประเทศเขา เขาก็รัก  แต่คุณมีวิธีแก้ไหมละ  ขนาด IAEA ยังไม่ท้วงเลย จากคุณ : zardic เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 04:09:53

ความคิดเห็นที่ 7 .. #6 ผมมีวิธีแก้ครับ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X10416470/X10416470.html#16 .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 06:37:30

ความคิดเห็นที่ 9 ทดลองนิวเคลียร์แพร่กระจายซีเซียม 197 สู่บรรยากาศ ตกลงดิน/พืช-ตะไคร่ กวางกินตะไคร่ เอสกิโมล่ากวางมากิน ซีเซียมในห่วงโซ่อาหารสูงขึ้น Cesium 197, released into the atmosphere by atomic bomb tests, was part of the fallout deposited onto the soil and plants. (a) The cesium fell on lichens, which were eaten by the caribou. The caribou were in turn eaten by Eskimo. (b) Measurements of cesium were taken in the lichens, caribou, and Eskimo in the Anaktuvuk Pass of Alaska. (c) The cesium was concentrated by the food chain. Peaks in concentrations occured first in the lichens, then in the caribou, and last in the Eskimo. http://www.umich.edu/~gs265/civil.htm จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 10:23:28

ความคิดเห็นที่ 10 โลกเปลี่ยนไป ตลอดเวลา คนก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา เกิดมาก็แก้ คงไม่มีใคร ยอมอยู่แบบยากลำบากหรอก ทุกปัยหามีทางออก และทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ประตู จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 12:43:18

ความคิดเห็นที่ 11 คือสงสัยว่าสารพิษมันเพิ่มขึ้นได้อย่างไร สมมุติปลามี 2 ppm นกกินได้รับไป 25 ppm ส่วนต่าง 23 ppm มันมาจากไหนเหรอครับ ?? จากคุณ : Healing Staff เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:13:33

ความคิดเห็นที่ 12 O_o? จากคุณ : filmee39 เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:24:09

ความคิดเห็นที่ 13 ู^ ^ ^ ก็นกมันไม่ได้กินปลาเพียงตัวเดียวไงครับ ปลา 1 ตัว มี 2 ppm นกกินปลาไป 12.5 ตัว = 25 ppm ู^^ จากคุณ : aramis_s เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:25:00

ความคิดเห็นที่ 14 มันสะสมในห่วงโซ่อาหาร ในนกเองก็สะสมมากขึ้นครับ เหมือนระดับตะกั่วในน้ำทะเลกับในปลาหมึก ในเนื้อเยื่อปลาหมึกมีเยอะกว่าน้ำทะเลเพียบครับ เคยดูโปรเจคเพื่อนสมัยเรียน ^ ^ จากคุณ : pooSEK เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:43:28

ความคิดเห็นที่ 15 ก็ 2 ppm มันอยู่ในปลาตัวเดียวไง แต่นกกินปลาหลายตัว ก็สะสมไปเรื่อยๆ โดยบางส่วนก็สลายไป แต่ส่วนที่สลายไปน้อยกว่า ที่เพิ่มเข้ามา พอนานๆไป นกเลยมี สะสม25 ppm อันอื่นๆก็คิดแบบเดียวกัน จากคุณ : j_thun เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:47:31

ความคิดเห็นที่ 16 แล้วคนก็กินทุกอย่างซะด้วย จากคุณ : น้ำชายามเย็น เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:57:30

ความคิดเห็นที่ 17 และที่สำคัญ อันนี้ผมไม่แน่ใจนะครับ ว่ารังสี สามารถถูกร่างกายขับออกได้หรือป่าว แต่ส่วนตัวคิดว่าร่างกายไม่สามารถขับรังสีออกได้ เหมือนสารพิษทั่วๆไป ต้องอาศัยการสลายตัวตามครึ่งชีวิต ของแต่ละตัว ก็คงคล้ายๆไขมัน ร่างกายไม่สามารถขับไขมันส่วนเกิน หรือไขมันที่สะสมตามเอวออกได้ ต้องอาศัยร่างกาย นำมันมาเผาผลาญ เป็นพลังงาน ก็คงคล้ายๆกัน เพราะถ้าหากเป็นสารพิษตัวอื่น ร่างกายยังพอสามารถขับออก ทางปัสสาวะ อุจระ เหงื่อ ลมหายใจ ได้แล้วแต่ชนิดของสารพิษนั้นๆ แต่รังสี่นี้คิดว่าไม่น่าจะถูกร่างกายขับออกได้ ...................... คอยคนรู้มายืนยันอีกทีแล้วกันครับ จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 15:18:31

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงจริง ๆ ครับในข้อนี้ ญี่ปุ่นเลือกหนทางที่ต้องใช้คำว่า "ชุ่ยมาก" คือเสียดายแผ่นดินของตนเองเลยเลือกที่จะปล่อยมันลงน้ำทะเล ผลกระทบที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่ญี่ปุ่นที่ต้องรับกรรมซะแล้ว ผู้คนในมหาสมุทรแปซิฟิกและระบบนิเวศน์มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบอย่างสาหัส จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 15:34:27

ความคิดเห็นที่ 19 #17 อะไรที่ร่างกายไม่ดูดซึมมันก็ต้องขับออกสิครับ จริงๆผมเคยโพสถามไปทีนึงแล้วเรื่องนี้ "แต่ส่วนตัวคิดว่าร่างกายไม่สามารถขับรังสีออกได้ เหมือนสารพิษทั่วๆไป" >> ผมว่าไม่จริง ร่างกายมีการขับถ่ายของเสีย ไม่ว่าจะสารรังสีหรือสารพิษตลอดเวลาแต่ก็เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา เพียงแต่สารพิษนั้นถ้าได้รับในปริมาณมากร่างกายร่างกายกำจัดไม่ทันถึงทำให้ระบบในร่างกายล้มเหลว "ก็คงคล้ายๆไขมัน ร่างกายไม่สามารถขับไขมันส่วนเกิน" >> ไขมันคือส่วนที่ร่างกายนำมาใช้ประโยชน์ได้เมื่อจำเป็น มันถึงดึงมาใช้และสร้างกลับเข้าไปตลอดเวลาแต่ในอัตราที่ไม่เท่ากัน คนที่มีไขมันมากๆเป็นเพราะ การดึงมาใช้น้อยกว่าการสร้างกลับ ถ้าจะให้เหมือนกันแสดงว่าเราต้องกินของพวกนี้ซ้ำในอัตราที่ร่างกายกำจัดไม่ทัน คิดว่าในกรณีของสัตว์ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ากินสารเข้าไปแล้วมันจะคงอยู่อย่างนั้นตลอด มันมีการรับเพิ่มและขับออก ตลอดเวลา แต่ที่รับไม่ได้คือ ทำไมมันต้องปล่อยลงทะเล  น่าจะเอาไปผสมน้ำหมักมากกว่าเสียดายของ จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 15:48:30

ความคิดเห็นที่ 20 ช่วยดูข่าวนี้หน่อย เกิดอะไรขึ้นครับ 7.5 million times legal limit of iodine in sea http://www3.nhk.or.jp/daily/english/05_27.html จากคุณ : กาลามะชน เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 15:58:10

ความคิดเห็นที่ 21 จะได้เห็นก็อดซิล่าก็เร็วๆนี้แหล่ะ จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 16:55:56

ความคิดเห็นที่ 22 อธิบายเพิ่มเติมครับ Biomagnification จากภาพ ลองสังเกตุจุดส้มๆ ดูนะครับ นันคือ สารพิษ จะเห็นว่า ในน้ำมีปริมาณน้อยมากๆ แต่พอ พืชน้ำ แพลงค์ตอนพืช ดูดซับ เข้าไปก็จะสะสมอยู่ใน สมช เหล่านั้น ต่อมา ปลากินพืช มากินพืชน้ำ พวกนั้น ก็จะได้รับเข้าไปเพิ่ม สูงขึ้น เพราะปลา 1 ตัวกินพืชน้ำ ในปริมาณที่มากกว่า เช่น 1 ตัว กิน 10 ต้น ก็เท่ากับว่า ปลา 1 ตัวได้รับสารพิษเข้าไป 10 เท่าของพืชน้ำ ต่อมาปลาใหญ่ กินปลาเล็ก 1 ตัว กิน 10 ตัวปลาเล็ก ก็เท่ากับว่าปลาใหญ่ 1 ตัว ได้รับมากกว่าปลาเล็ก 10 เท่า และมากกว่า พืชน้ำ 100 เท่า นั้นเอง ต่อมา คน กินปลา ถ้าให้ 1 คน กินปลา 10 ตัว เท่ากับว่า คนได้รับ มากกว่าปลาใหญ่ 10 เท่า มากกว่าปลาเล็ก 100 เท่า มากกว่า พืชน้ำ 1000 เท่า และมากกว่าสารพิษที่พบในน้ำแต่แรก ถึง 10000 เท่า เป็นต้น ครับ ดังนันยิ่งห่วงโซ่อาหาร ยิ่งยาวเท่าไร ปริมาณการสะสมสารพิษ ก็จะยิ่งมากไปเท่านั้น ส่วนคนเป็น ผู้บริโภคลำดับสุดท้าย แน่นอนว่ารับไปเต็มๆ เผลอๆอาจจะได้รับ มากกว่า เป็นแสนเท่า ของที่พบในน้ำก็ได้ ............... คิดเล่นๆ ว่าถ้า รังสีในน้ำ สูงเป็น 100 เท่าของมาตรฐาน ตีซะว่ามีห่วงโซ่อาหาร 5 ขั้น ลำดับที่ 1. น้ำ (100 เท่าของมาตรฐาน) ---->> ลำดับที่ 2. พืชน้ำ (1000 เท่าของมาตรฐาน) ---->> ลำดับที่ 3. ปลากินพืชน้ำ (10,000 เท่าของมาตรฐาน) ---->> ลำดับที่ 4. ปลากินเนื้อ (100,000 เท่าของมาตรฐาน) ---->> ลำดับที่ 5. คนกินปลา (1,000,000 เท่าของมาตรฐาน) เป็นต้น ......................... มันก็อยู่ที่ว่า ความเข้มข้นเริ่มต้นมาเท่าไร นี้ผมยึดตามที่ออกตามข่าวว่า 100 เท่านะครับ แต่บางข่าวก็ว่า 1 หมื่นเท่า บางข่าวก็ว่า 1 ล้านเท่า ก็ลองคูณกลับ ไปดูเองแล้วกัน ......................... ช่วงนี้ คงเคยได้ยินว่า ถ้าจะกินปลา ให้พยายามเลือกปลาตัวเล็กๆ ออกมาบ้างแล้ว จำไม่ได้ว่าเห็นจากที่ไหนซักที่แหละ จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 17:03:10

ความคิดเห็นที่ 23 ลืมรูปครับ สังเกตุจุดส้มๆนะครับ จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 17:04:12

ความคิดเห็นที่ 24 พึ่งได้คิดนะเนี่ย นั่งดูรูปพวกนี้ จากคุณ : ps000000 เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 17:30:54

ความคิดเห็นที่ 25 #20 7.5 mil. times legal limit of iodine in sea The operator of the stricken Fukushima Daiichi nuclear power plant says 7.5 million times the legal limit of radioactive iodine 131 has been detected from samples of seawater near the plant. Tokyo Electric Power Company, or TEPCO, found on Saturday that contaminated water was leaking from a cracked concrete pit near the No. 2 reactor. Experts say this makes it clear that highly radioactive substances from the reactor are flowing into the sea, and that the leak must be stopped as soon as possible. The utility firm said samples of water taken near the water intake of the No. 2 reactor at 11:50 AM Saturday contained 300,000 becquerels of iodine 131 per cubic centimeter, or 7.5 million times the legal limit. TEPCO said the figure had dropped to 200,000 becquerels per cubic centimeter, or 5 million times the legal limit, in samples taken at 9:00 AM Monday. Monday's sample also contained 1.1 million times the legal limit of cesium 137, which has a half life of 30 years. On March 27th, 13-million becquerels of iodine 131 per cubic centimeter of water were detected in the turbine building of the No. 2 reactor. On Wednesday, water was found accumulated in a tunnel near the turbine building and the radiation level on the surface was measured at more than 1,000 millisieverts per hour. The Nuclear and Industrial Safety Agency says it believes the radioactive substances are from nuclear fuel which leaked from the reactor into the water and flowed out. Tuesday, April 05, 2011 15:10 +0900 (JST) พบไอโอดีนในทะเลสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด 7.5 ล้านเท่า เจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะแจ้งว่าจากการตรวจสอบตัวอย่างน้ำทะเลใกล้โรงไฟฟ้า ตรวจพบสารกัมมันตภาพรังสีไอโอดีน 131 ในระดับเกินกว่ากฎหมายกำหนดถึง 7.5 ล้านเท่า TEPCO พบว่าเมื่อวันเสาร์ (2 เม.ย.) มีการรั่วไหลของน้ำที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสี จากรอยแตกของคอนกรีตในเตาปฎิกรณ์หมายเลข 2 ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามีการรั่วไหลของสารปนเปื้อนกัมมันตรังสีจำนวนมาก จากเตาปฎิกรณ์ลงไปในทะเล นั่นทำให้ต้องหาทางปิดรอยรั่วอย่างด่วนที่สุด The utility firm (อันนี้ผมไม่รู้ว่าหมายถึงบริษัทอะไร?) กล่าวว่าตัวอย่างน้ำทะเล ถูกเก็บมาจากใกล้ๆปากท่อระบายน้ำของเตาปฏิกรณ์หมายเลข 2 ในวันเสาร์ที่ 2 เวลา 11:50 มีการเจือปนของไอโอดีน 131 ถึง 300,000 becquerels ต่อ cubic centimeter ซึ่งเป็นปริมาณสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดถึง 7.5 ล้านเท่า ทาง TEPCO กล่าวว่าจากการตรวจตัวอย่างเมื่อ วันจันทร์ที่ 4 เวลา 9 โมงเช้า พบว่า ปริมาณลดลงเหลือ 200,000 becquerels ต่อ cubic centimeter หรือปริมาณสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด 5 ล้านเท่า อย่างไรก็ดีจากตัวอย่างน้ำทะเลที่เก็บในวันจันทร์ยังมีการตรวจพบ สารซีเซียม 137 เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด 1.1 ล้านเท่า ซึ่งสารนี้มีอายุครึ่งชีวิตนาน 30 ปี เมื่อวันที่ 27 มี.ค. มีการตรวจพบไอโอดีน 131 ปริมาณถึง 1.3 ล้าน becquerels ต่อ cubic centimeter ในน้ำจากอาคารกังหันของเตาปฏิกรณ์หมายเลข 2 แล้วในวันพุธ (30 มี.ค.) ก็มีการตรวจพบน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีนี้ที่ท่อน้ำใกล้อาคารกังหัน และระดับกัมมันตภาพรังสีในบริเวณนี้ยังสูงกว่า 1,000 มิลลิซีเวิร์ตต่อชม.อีกด้วย สำนักงานความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์และอุตสาหกรรม (The Nuclear and Industrial Safety Agency : NISA) เชื่อว่าสารปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ตรวจพบนั่นมาจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่รั่วไหลออกจากเตาปฏิกรณ์ลงไปในน้ำและกระจายออกไป ------------------ ผมแปลเท่าที่แปลได้อ่ะนะ ใครแม่นภาษากว่าช่วยแก้ไขต่อได้เลย จากคุณ : zeromaster เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 17:35:56

ความคิดเห็นที่ 26 # 20 ช่วยดูข่าวนี้หน่อย เกิดอะไรขึ้นครับ http://www3.nhk.or.jp/daily/english/05_27.html วันเสาร์ที่ 2 เมย. TEPCO พบว่าเตาที่ 2 มีรูรั่วคอนกรีตปล่อยน้ำปนเปื้อนรังสีสูง วันเสาร์พบ I 131 สูง 3 แสนเบคเคอเรล/ซีซี วันจันทร์เหลือ 2 แสนเบคเคอเรล/ซีซี รูปจาก TEPCO รูน้ำรังสีรั่วจากคอนกรีตเตาที่ 2 http://mdn.mainichi.jp/mdnnews/news/20110405p2g00m0dm084000c.html จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 18:58:35

ความคิดเห็นที่ 27 ผมสงสัยว่าความเข้มข้นของสารพิษต่อปริมาตร ที่แพนตอนได้รับ กับนกได้รับไม่ต่างกันใช่มั้ยครับ แต่ผมว่าผมคงไม่เข้าใจประเด็นของกระทู้ ประเด็นของกระทู้หมายความ ถ้าคุณดื่มน้ำเข้าไป ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณกินปลาเข้าไป คุณอาจจะมีปัญหาได้ประมาณนี้ใช่มั้ยครับ จากคุณ : ถามมาเรารู้เราตอบครับ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:50:54

ความคิดเห็นที่ 28 กินน้ำเข้าไปก็น่าจะเป็นนะครับถ้าปริมาณเยอะๆ(มั่ง) แต่ที่เปรียบเทียบเป็นลำดับขั้นเพราะคงไม่มีใครไปกินน้ำปริมาณที่เยอะมากๆ แต่หากถูกส่งต่อมาหลายๆช่วง ก็จะได้รับผลกระทบเยอะ จากคุณ : f3v3r_4m3 เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 01:46:22

ความคิดเห็นที่ 29 คิดว่าย๊่ปุ่นคงหมดหนทางแล้วหล่ะ ไม่งั้นคงไม่ปล่อยลงทะแล แต่เห็นด้วยว่าเค้าทำไม่ถูก เพราะน่านน้ำถึงเป็นของญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นจะทำไงไม่ให้มันไหลไปประเทศอื่น ต่อไปคงต้องมีงานวิจัยกันตามมาเป็นร้อยๆๆ จากผลกระทบเป็นครั้งนี้ แล้วญี่ปุ่น ไม่รู้ได้คาดการมั่งหรือเปล่าว่ามันจะกระทบไปถึงไหน ประเทศใดบ้าง สัตว์น้ำ ไม่แน่ใจว่า การทำครั้งนี้จะไม่มีผลต่อคนจริงๆ ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก แล้วแผยการป้องกันต่อไปจะทำยังไง ส่วนเรื่องการสะสมในธรรมชาติมันสะสมอยู่แล้วหล่ะ แล้วจำนวนมากขึ้นตามรูปที่นำเสนอมาแน่ๆ ตอนนี้ก็คอยดูว่านกมันจะตาย หรือพิการยังไง แล้วถ้ามันบินมาไกลไปต่างประเทศ นกอพยพจะมีผลมั้ย อันนี้ไม่ได้กลัวไปก่อนนะคะ แต่มันมีผลต่อเนื่องกัน จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 05:57:04

ความคิดเห็นที่ 30 เศร้าใจกับการกระทำของญี่ปุ่นจิงๆครับ จากคุณ : studiowork เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 12:06:39

ความคิดเห็นที่ 31 เศร้าใจกับการกระทำของญี่ปุ่นจิงๆครับ จากคุณ : studiowork เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 12:11:54

ความคิดเห็นที่ 32 สารรังสี ร่างกายขับออกได้ค่ะ เคยอ่านในบทความเกี่ยวกับเรื่องกลืนแร่ไอโอดีนเพื่อรักษาไทรอยด์ เค้าบอกว่า  คนที่กลืนแร่ จะถูกแนะนำให้ทำความสะอาดห้องน้ำ และที่อยู่อาศัยบ่อยๆ เพื่อป้องกันแร่ที่ขับออกมาจากร่างกาย เช่น ทางเหงื่อ ทางปัสสวะ ทางของเสีย หรือทางสารคัดหลั่งต่างๆ นั่นหมายความว่า ร่างกายสามารถขับมันออกมาได้ แต่ ถ้าได้รับมากเกินไป ร่างกายก็กำจัดไม่ทัน..พอกำจัดไม่ทัน ก็เหมือนเชื้อโรคล่ะมั้ง ที่มีเยอะเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย... น่าจะประมาณนี้นะ เราว่า จากคุณ : elin เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 13:09:12

ความคิดเห็นที่ 33 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 14:58:15

ความคิดเห็นที่ 34 เป็นหมัน ปลาแถวนั้นอาจจะแย่ ไม่มีลูกปลาหลานปลาออกมาเยอะๆ จากคุณ : เด็กเกาะสมุย เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 15:48:59

ความคิดเห็นที่ 35 หลายปีก่อนเคยได้ข่าวว่า ญี่ปุ่นทำสัญญากับไทย JTEPA เพื่อจะขนขยะมลพิษมาทิ้งที่ไทยแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง ประเทศพัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ยุโรปตะวันตกล้วนทำแบบนี้ทั้งนั้น ขนขยะพวกนี้มาทิ้งน่านน้ำในประเทศกำลังพัฒนาแถบแอฟริกา เพราะว่ากฏหมายประเทศเหล่านี้ยังไม่เข้มงวดและแลกกับผลประโยชน์บางอย่างด้วย เศร้าใจจัง เห็นแก่ตัวและไม่มีความรับผิดชอบที่สุด การทิ้งสารพิษหรือขยะพิษลงในน้ำที่ทุกคนบนโลกล้วนใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นเรื่องที่น่าอายมากๆ มีปัญญาผลิตของพวกนี้แต่ไม่มีปัญญากำจัดมัน จากคุณ : swedishNO.1 เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 16:05:36

ความคิดเห็นที่ 36 คือต้องการให้ ปฏิกิริยาลูกโซ่คุมไม่อยู่  เตาปฏิกรณ์ยุบตัว จนเกิดระเบิดรุนแรง  ใช่ม่ะ จากคุณ : ลูกกบในบึงกว้าง เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 17:01:04

ความคิดเห็นที่ 37 จะได้เห็นกลุ่ม x-men ก็รอบนี้ละ จากคุณ : Lord Vincent (Lord Vincent) เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 22:30:45

ความคิดเห็นที่ 38 X-MEN ยังไม่มา เอา X-MAN ไปก่อนแล้วกัน ^^ เอาใจช่วยญี่ปุ่นมาตลอด แต่การตัดสินใจทิ้งน้ำลงทะเลเนี่ยเป็นทางออกสุดท้ายแล้วเหรอ แย่มากๆ จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 22:50:40

ความคิดเห็นที่ 39 ใคร อธิบาย ได้บ้าง รูปใน คห 1 จากปลา  ไป นก   ความเข้มข้น มันเพิ่มจาก 1 ล้าน เป็น 10 ล้านได้อย่างไร จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 00:26:18

ความคิดเห็นที่ 40 ^ ^ ^ การกินกันเป็นทอดๆ มีกฏอันหนึ่งที่เรียกว่า กฏ 10% กล่าวคือ พลังงาน 100% จะถูกถ่ายทอดไปสู่ลำดับที่สูงขึ้นไปเพียง 10% ส่วนที่เหลือจะสูญเสียไปในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นหากนกจะกินปลาให้ได้พลังงานเต็ม 100% ก็ต้องกินปลาไป 10 ตัว ซึ่งหากปลาแต่ละตัวมีสารรังสีอยู่ 1 ล้านหน่วย นกก็จะได้รับไปทั้งสิ้น 10 ล้านหน่วย ประมาณนั้นครับ จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 00:49:14

ความคิดเห็นที่ 41 ยิ่งเอากฏ 10 เปอร์ มาอธิบาย มันจะยิ่งงง ครับ เพราะกฏ 10 เปอร์ ใช้กับ พลังงาน ครับ ส่วนรูปแรก เป็นการสะสมของสารพิษ ที่จะเพิ่มขึ้น ตามลำดับห่วงโซ่อาหาร ครับ พูดง่ายๆก็คือ ยิ่งตัวใหญ่ ก็ยิ่งกินเยอะ (กินเยอะในที่นี้หมายถึง จำนวนตัว ของเหยือ ที่กินเป็นอาหารนะครับ) เอาคนก็ได้ คนหนึ่งคน อาจจะกินปลาทอดตัวใหญ่ๆ ซักตัว แต่ปลาตัวนั้นที่คนกิน กว่ามันจะโตขนาดนั้น มันก็กินปลาตัวเล็กๆ ไปไม่รู้เท่าไร แล้ว ปลาตัวเล็กๆเหล่านั้นกว่ามันจะถูกปลาตัวใหญ่กิน มันก็กินพืชน้ำ มาแล้วไม่รู้เท่าไร ดังนั้น จากจุดเริ่มต้น ความเข้มข้นเพียงหน่อยเดียว แต่พอสะสมตามห่วงโซ่อาหารแล้ว มันจะเพิ่มจำนวนความเข้มข้นขึ้นอย่าง มากมาย มหาศาล ยิ่งสารพิษตัวนั้น มี Residence Time (เวลาคงตัวในสิ่งแวดล้อม) นานเท่าใด (ในกรณีรังสี คือครึ่งชีวิต) ยิ่งอันตรายครับ เพราะมันจะถูกสะสมได้ในเวลานานแสนนาน ....................... ขออธิบายเพิ่มเติม ของ Residence Time ครับ สารบ้างตัวสามารถถูกย่อยสลายได้ อาจจะ ด้วยแสงอาทิตย์ หรือจุลทรีย์ หรือสารเคมี ดังนั้น ยิ่ง Residence Time สั้นๆ น้อยๆ นั้นคือสารนั้น จะมีความสามารถที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ แป๊ปเดียวก็สลายไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น พวกน้ำ ที่ได้จากน้ำยาล้างจาน พวกนั้น เพราะสามารถสลายตัวได้ด้วยแสงอาทิตย์ ในขณะเดียวกันก็สามารถถูกพืชน้ำดูดนำไปใช้ได้ เป็นต้น ส่วนพวกที่ Residence Time ยาวๆ จะมีผลอย่างมาก ดังพวก DDT พวกนั้น มี Residence Time ประมาณ 50 ปี เป็นต้นครับ เมื่องไทยจึงมีกฏหมายห้ามใช้ สารพวกนี้มาซักพักใหญ่ใหญ่แล้วครับ มีทั้งหมด 12 ตัวได้ ถ้าจำไม่ผิดนะครับ DDT ก็เป็นหนึ่งในนั้น จัดอยู่ในกลุ่มของ POPs (Persistent Organic Pollutants) ครับ จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 02:41:17

ความคิดเห็นที่ 42 มีบางคนยังไม่เชื่อว่าเรื่องBiomagnification ในห่วงโซ่อาหารเป็นเรื่องจริงด้วยอะ ไปเจอมาในเน็ต จากคุณ : โอเอ็มจี (Blaannagnwaeilig) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 14:39:04

ความคิดเห็นที่ 43 อีกไม่นานคงมีปลาสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ออกมาอาละวาด จากคุณ : always use this profile เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 14:53:08

ความคิดเห็นที่ 44 ต่อให้ท้ายสุดตายเป็นพัน ฝ่ายสนับสนุก็จะบอกว่าตายพันเพื่อช่วยอีกพันล้าน คนมันจะเอาให้ได้จนกว่าจะโดนกัยตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆหรอก จากคุณ : .... เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 17:20:07 A:183.89.215.171 X: TicketID:308932

ความคิดเห็นที่ 45 สารพิษมี 10,000 หน่วย ถ้ากิน แพลงตอน 1 ตัว ได้ 1 หน่วย ถ้ากินปลาที่กิน แพลงตอน 100 ตัว ก็ได้ 100 หน่วย สมมติมีปลาอยู่ 100 ตัวที่กินแพลงตอน100แพลงตอนต่อตัว และคน 1 คน กินปลาได้ 2 ตัวต่อวัน แบบนี้สารพิษ 10,000 หน่วยก็ถูกรับประทานหมดด้วยคน 50 คนในวันเดียวสิเนี่ย สรุป ขบวนการนี้ แม้ว่ามนุษย์จะมีโอกาสได้รับพิษสุดเข้ม .. แต่จำนวนคนที่จะถูกสังเวยก็น้อยลงหรือเปล่าครับ  (ช่วยๆกันกินปลานะทุกคน พิษจะได้หมดเร็วๆ) จากคุณ : natefang เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 19:18:35

ความคิดเห็นที่ 46 ขอแชร์ สำหรับ คนที่ยังไม่เข้าใจนะคับ Biomagnification เป็นการเพิ่มขึ้นของสารพิษตาม ลำดัยห่วงโซ่อาหาร สมมุต จากรูปนะครับ สารพิษ มีในน้ำอยู่ โมเลกุลละ 1 หน่วย(ใช้คำถูกป่าวคับนี่ผม) plankton พืช uptake สารพิษในน้ำไปไป 1000 หน่วย plankton สัตว์ กิน พวก plankton พืช สะสมเป็น 10000 ไปเรื่อยๆ จน และ ผู้บิรโภคที่อยุ่บนสุด(คน) ก็จะได้รับปริมาณสารพิษเยอะที่สุดครับ โดยสารพิษที่สะสมนี่ ตามที่ผมเรียนมา จะไปสะสมอยู่บริเวณที่ ไม่ active ครับ Fat tissue คับผม (แต่ในกรณีของสารกัมตรังสี นี่ผมไม่ชัวร์ว่าจะไปสะสมที่ ส่วนนี้ด้วยหรือเปล่านะครัย) ดังนั้น สารพิษ ที่อยู่ใน Fat tissue มันจะไม่ถูกย่อยสลายคับสลายคับ ดังนั้น สัตว์ไหนมากินก็ไปสะสมใน ไขมันของสัตว์นั้นๆ(ไม่หมดนะครับ บางส่วน อาจถูก Mobilizeไป) ยิ่งถูกกินไปมากๆ คนที่กินหลังสุดก็ยิ่งมีปริมาณสารพิษมากที่สุดครับ ปล. ตอนที่เรียนเรื่องนี้ มา พอรุม้าว่า สารกัมมันตรังสี ใน ร่างการ มนุษย์ จะมี ครึ่งชีวิตน้อยกว่าในสิ่งแวดล้อม คับ(คงอาจที่กำจัดโดยวิธีใดวิธีหนึ่งในร่างกาย) จากคุณ : BlueHouse~ เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 19:45:09

ความคิดเห็นที่ 47 ไม่แน่เสมอไปครับ ว่าสารพิษที่รับเข้าไป จะ Mobilize ไป ทั้งนี้ขึ้นกับ ชนิด ของสารนั้นๆด้วย สารบ้างตัว อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง (Biotransformation) เพิ่มความเป็นพิษ ลดความเป็นพิษ หรือ สะสมก็ได้ โดย อวัยวะที่สะสม ก็แล้วแต่ชนิดของสารพิษนั้นๆอีก อาจจะเป็น  blood-brain bamer (BBB) บางชนิดสะสม ในไขกระดูก เช่นพวก ปรอท ตะกั่ว ทำให้เป็นโรคโลหิตจาง บางชนิดสะสมในสมอง บางชนิดสะสมในชั้นไขมัน บางชนิดสะสมในต่อมไทยรอยด์ เป็นต้น จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 22:51:36

ความคิดเห็นที่ 48 ในระยะยาวไม่น่าเป็นปัญหาหรอกครับ คงเจือนจ้างไปกับน้ำทะเลหมด โดยเฉพาะระยะยาวคงเหลือแต่ ซีเซียม 137 เทียบกับสารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลกที่ปล่อยลงแม่น้ำแล้วหลายร้อยปี ซีเซียม 137 อันรายน้อยกว่า เยอะ และคงอยู่ในอันตราส่วน 0.0000000001เปอเซ็น ของสารเคมีพวกนี้ แล้วเทียบกับปริมาณของน้ำทะเล ก็คงจะจางไปกว่านี้อีกเยอะ เพราะงั้นผมว่า ไอที่อันตรายกว่า ซีเซียม 137 ตอนนี้ในทะเล มีอยู่เยอะกว่ามากๆ แต่มันก็เจือนจางไปมากๆ ซึ่งอย่างโชคร้ายเราคงจะเจอ กรณีนี้จากสารพิษอื่นมากกว่า แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 00:33:21 จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 00:21:45

ความคิดเห็นที่ 49 Caesium-137 ละลายน้ำเป็น caesium hydroxide ซีเซียมทำตัวแบบโปตัสเซียม เข้าสู่ร่างกายสะสมที่กล้ามเนื้อ-กระดูก ครึ่งชีวิตในร่างกาย 70 วัน ทดลองให้ซีเซียม 137 ในสุนัข 44 μg/kg ตายใน 3 สัปดาห์ http://en.wikipedia.org/wiki/Caesium-137#Health_risk_of_radioactive_caesium เคยมีการแพร่ซีเซียมที่รุนแรงเกิดที่บราซิล กย.1987 The source of the Goiânia accident was a small thimble containing about ten grams of highly radioactive caesium chloride (a caesium salt made with a radioisotope, caesium-137) encased in a shielding canister made of lead and steel with an iridium window. http://en.wikipedia.org/wiki/Goi%C3%A2nia_accident#Nature_of_the_source แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 08:31:46 จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 08:30:37

ความคิดเห็นที่ 50 ขอแชร์ และเผยแพร่ข้อมูล จากคุณ : Jewel of the Niles เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 12:57:40

ความคิดเห็นที่ 51 รัฐบาลญี่ปุ่นปรับมาตรฐานระดับรังสี iodine ที่ยอมรับได้ในอาหารทะเลเป็น 2,000 Bq/kg (จากเดิม 500 Bq/Kg) On 5th April, the Japanese Ministry of Health, Labour and Welfare issued a press release indicating that a new provisional regulation value was set for I-131 at a limit of 2000 Bq/kg in fishery products. http://www.iaea.org/newscenter/news/tsunamiupdate01.html จากคุณ : กาลามะชน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 14:24:36

ความคิดเห็นที่ 52 ข้อมูลเล็กน้อย พอให้ idea เกี่ยวกับการกระจายของรังสีในทะเล ในขณะที่รังสีในทะเลหน้าโรงงานลดลง ทะเลชายฝั่งเมือง Minami-soma ซึ่งอยู่ทางเหนือของโรงงานเพิ่มขึ้น วันอังคาร 600 เท่า - วันพุธ 1100 เท่า -วันพฤหัสบดี 2800 เท่า ส่วนที่ห่างฝั่งออกไป 15 กม มีรังสี 9 เท่า http://www3.nhk.or.jp/daily/english/08_39.html แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 21:30:00 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 14:28:28 จากคุณ : กาลามะชน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 14:24:52

ความคิดเห็นที่ 53 ซ้ำ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 14:28:48 จากคุณ : กาลามะชน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 14:27:02

ความคิดเห็นที่ 54 รายงานของทางญี่ปุ่น http://www.jaif.or.jp/english/news_images/pdf/ENGNEWS01_1302167890P.pdf จุดตรวจวัด . จากคุณ : tzu149 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 07:25:25

ความคิดเห็นที่ 55 เป็นค่า iodine-131 จุด M รัศมีประมาณ 30-40 ห่างจากโรงไฟฟ้า . จากคุณ : tzu149 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 07:28:23

ความคิดเห็นที่ 56 จุด T ใกล้โรงไฟฟ้า แปลงค่าเป็น Bq/L . จากคุณ : tzu149 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 07:29:43

ความคิดเห็นที่ 57 กราฟเปรียบเทียบจาก คคห.51 รัฐบาลญี่ปุ่นปรับมาตรฐานระดับรังสี iodine ที่ยอมรับได้ในอาหารทะเลเป็น 2,000 Bq/kg (จากเดิม 500 Bq/Kg) ... สีเหลือง ..ที่จริง ค่า MAX ของน้ำปนเปื้อนในทะเลของ WHO คือ 40Bq/L เท่านั้น ญี่ปุ่นปรับค่าขึ้นตลอด โดยอ้างค่าฉุกเฉินอะไรนักก็ไม่รู้ แสดงว่า ประเทศที่อนามัยจัดแบบณี่ปุ่นเข้าวิกฤตแล้วแท้จริง ปล. สีเหลืองด้านล่างเป็น 40Bq/L ของ WHO . แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 54 09:26:50 จากคุณ : tzu149 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 07:42:11

ความคิดเห็นที่ 58 จากภาพใน คคห 1 ผมคิดว่าเขาคำนวณจากกฎ 10% ครับ จริงอยู่ที่ว่ากฎนี้ใช้กับเรื่องของพลังงาน แต่หากพิจารณาให้สารที่สะสมในสิ่งมีชีวิตแต่ละตัวมีปริมาณคงที่ไม่ลดลงไป ขณะที่ความต้องการพลังงานมีค่าเป็น 100% แต่เราได้รับเพียง 10% จากการกินอาหารไปหนึ่งหน่วย ดังนั้นต้องกินอาหารเป็นปริมาณสิบหน่วยเพื่อให้ได้รับพลังงานพอเพียง จึงทำให้ได้รับสารพิษสะสมเพิ่มเป็นสิบเท่าตามไปด้วย แต่ผมก็เชื่อว่ากลไกจริงๆ ตามธรรมชาติมันก็ไม่ได้เปะๆ อย่างนี้หรอกครับ สารพิษก็ต้องมีการลดปริมาณลงไปบ้างเมื่อเข้าสู่สิ่งมีชีวิตในแต่ละห่วงโซ่ ส่วนจะมากน้อยเท่าไหร่นั้นก็คงจะแล้วแต่ชนิดของสาร และชนิดของสิ่งมีชีวิตที่รับสารนั้นเข้าไป จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 11:15:03