ความคิดเห็นที่ 1 ครับ จริงที่อจ.ท่านนี้ว่า อัจฉริยะมันไม่เหมือนกัน ใช้โรงเรียนเป็นเหมือนโรงงาน 55555 พวกเกมัน ฉลาดในการใช้ชีวิตรอดจริงๆ แต่ทำมาหากินไม่ได้เท่านั้นเอง ตอนนี้ผมอยากรู้อะไรก็ไปศึกษาเองสนใจอะไรก็ค้นคว้าเอง สนใจเอง เก่งกว่าเยอะ จากคุณ : kraab เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:51:44 A:124.122.160.5 X: TicketID:211923

ความคิดเห็นที่ 2 ปฏิรูปการศึกษาไทย ...มันเป็นอะไรที่อัดอั้นจนผมพูดไม่ออก อยากจะร้องไห้ จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 00:01:25

ความคิดเห็นที่ 3 เฮ่อ... เห็นเรื่องนี้แล้วหนักใจ... เคยอ่านกรณีศึกษาเรื่องการทำ Training ของบริษัท AT&T ของ อเมริกาก่อนที่จะแปรรูปออกมาเป็นเอกชนครับ จากการศึกษาพฤติกรรมองค์กรพบว่า - ผู้บริหารคือผู้ีที่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมันต้องไม่กระทบกับตัวเองครับ - ผู้บริหารต้องการฝึกอบรมให้พนักงานทำงานได้ดีขึ้น รู้มากขึ้นแต่ผู้บริหารไม่ยอมรับการฝึกอบรมที่ทำให้ตัวเองดีขึ้น... สำหรับการเรียนรู้ ความอยากเรียนของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญครับ... เราไม่มีสภาพแวดล้อมที่เือื้อให้เด็กอยากที่จะเรียนรู้ครับ... ผมว่าที่อาจารย์พูดค่อนข้างจะประชดประชัน ดูแล้วสะใจ แต่ต้องดูว่า ต่อไปแล้วจะทำอะไรให้มันดีขึ้นครับ บ้านเราพูดถึงเรื่อง Child center กันมาก ถามนิดนึงครับว่า ถ้าหากเด็กอนุบาลบอกว่า "วันนี้หนูไม่อยากไปโรงเรียน" "หนูไม่อยากบวกเลขหนูอยากออกไปเล่น" ผู้ปกครองกับครูยอมมั๊ยหล่ะครับ...? เสนอแนวทางครับ - ประเทศเราไม่ได้มีปัญหาที่ "การศึกษา" ผมว่าเรามีปัญหาที่ "การเรียนรู้" ครับ เสียดายที่พอจับแนวทางได้แล้วแต่หมดสัญญาเสียก่อน ก็เลยไม่ได้ทำงานต่อ - ก่อนปฎิรูปการศึกษา ต้องปฎิรูป "ทัศนคติ" ที่มีต่อการศึกษาก่อนครับ รู้ัมั๊ยครับว่าจากการวิจัยของอาจารย์นิด้า พบว่า ประเทศเราให้คุณค่ากับคำว่าการศึกษามากนะครับ เพราะการศึกษานำมาซึ่ง "สถานะทางสังคม" ซึ่งหมายถึง เรียนเพื่อที่จะได้รวย เรียนเพื่อที่จะ upgrade ตัวเอง ... น้อยมากที่จะเรียนเพื่ออยากรู้ แล้วก็เรียนเพื่อเรียน - จัดการเรื่องผลประโยชน์ให้ลงตัว ที่การศึกษาปฎิรูปหรือปรับเปลี่ยนไม่ได้ก็เพราะว่า มันมีผลประโยชน์อยู่ในนั้น เช่น ถ้าการศึกษามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ก็ต้องเรียนให้น้อยลงแต่มีคุณภาพมากขึ้น แต่พอเรียนให้น้อยลงก็จะมีอาจารย์บางวิชาที่ไม่ได้สอน แล้วอย่างนี้จะไปทำอะไรหล่ะครับ... การมองว่าการศึกษาเป็นเรื่องของคุณธรรม การสอนต้องไม่คำนึงถึงเงินมันก็ใช่ แต่ผมว่าตอนนี้เราแก้ปัญหาโดยเน้นเรื่องนี้มากเกินไป - เลิกปฎิรูป แต่เริ่มที่จะ "เรียนรู้" และ "เปลี่ยนแปลง" การปฎิรูปเป็นคำโฆษณาที่แสดงให้เห็นว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาจริงจัง จะต้องมีการให้ความสำคัญและทุ่นงบประมาณลงไป เพื่อ........ ผมเชื่อว่าที่การศึกษาเราเละเทะอย่างนี้ก็เพราะพยายามปฎิรูปนี่แหล่ะครับ การเปลี่ยนแปลงแบบ Kaizen น่าจะดีที่สุดสำหรับโจทย์นี้ คำบ่นของอดีตอาจารย์คนนึง ไม่รู้จะลอยไปถึงใครหรือเปล่า แต่ผมก็อยากให้ประโยชน์เกิดขึ้นในสังคมนะครับ.. ^-^ จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 00:08:53 A:183.89.212.49 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 4 ช่วงต้นๆ เราค่อนข้างเห็นด้วย แต่ช่วงท้ายๆ คลิป เรากลับรู้สึกไม่เห็นด้วยอย่างแรง ไม่รู้จะอธิบายเหตุผลยังไงดี...  รอดูความเห็นท่านอื่นล่ะกัน... จากคุณ : S.S. เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 00:22:41

ความคิดเห็นที่ 5 Home School อย่างเดียวเลยค่ะ ปัญหานี้ จากคุณ : n-OO//bit-a เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 01:03:26

ความคิดเห็นที่ 6 ใจผมก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นแหละครับ   แม้บางคนจะบอกว่า มันไม่เหมาะกับเด็กไทย "ถ้าไม่เริ่มจาก 1  ก็ไม่ถึง 100" ครับ.... เริ่มปรับไปทีละอย่างดีกว่า....อย่างน้อยผมก็เห็นด้วยเรื่องเวลาเรียน... จากคุณ : หม่องน้ำอิ๊ว เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 01:07:31

ความคิดเห็นที่ 7 ปัญหาหลักตอนนี้คือทำยังไงให้เด็กอยากเรียนมากกว่าไปแว๊นน่ะสิ จากคุณ : ธุลีดาว เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 01:46:10

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องไปเรียนพิเศษที่ Rachada Academic Center มั้ง จากคุณ : Waterman (LN106) เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 01:52:22

ความคิดเห็นที่ 9 นักการศึกษาของไทยไปดูงานจากเมืองนอกมา แล้วก็ก็อปวิธีที่เขาเลิกใช้แล้วมาทำ มันเลยเป็นแบบนี้ไง จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 02:18:17

ความคิดเห็นที่ 10 บอกได้คำเดียวว่า ..... มากๆๆ เอาส่วนไหนคิด เอางี้ผมเสนอแบบนี้ ไม่ต้องบังคับการศึกษาเลยใครไม่อยากอ่านออกเขียนได้ก็ไม่ต้อง ไปทำนาหาความชำนาญด้านนี้ดีกว่า อยู่กับควายไม่ต้องใช้หนังสืออยู่แล้วนิจริงมั้ยครับอาจารย์ ผมว่าลูกอาจารย์ก็ถามลูกหน่อยนะว่า ถ้าไม่อยากเรียนอย่าบังคับล่ะ ส่วนคนไม่เรียนเลขมันจะ บวกลบเลขเป็นมั้ย ประเทศมันจะว่นแค่ไหน แค่นี้เด็กไทยยังโง่ไม่พอหรือไงครับ สุดท้ายได้แต่บอกว่า โรงเรียนผมที่ปล่อยให้เด็กเป็น center เด็ก รร ผม สอบไม่ค่อยติดเลย สงสัยมันคงไม่อยากเรียน เลยสอบไม่ติด เห้อ ประเทศอื่นเขาคงยกย่องอ่ะแนวคิดแบบนี้ เขาจะได้กดเราเต็มๆ จากคุณ : sun_center (sun_center) เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 03:07:15

ความคิดเห็นที่ 11 นี่แหล่ะครับ ปัญหา คนไทยยังติดทัศนะคติที่ว่า "ไม่มีใครอยากเรียน" อยู่ จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นนะ (ไม่จำกัดเฉพาะผู้หญิงชอบเม้าท์) เราสามารถดึงตรงนี้ออกมา เพื่อกระตุ้นความอยากเรียนรู้ได้ ในคลิปมีแง่คิดดีๆ เยอะครับ แม้ว่าหลายๆ อย่างไม่สามารถใช้กับเด็กเราได้ทันที แต่ผมเชืออยู่เสมอว่า (ในระดับมหาลัย) อาจารย์ที่เช็คชื่อนักศึกษาเพื่อให้เด็กเข้าเรียนส่วนใหญ่สอนแย่มาก น่าจะใช้จำนวนเด็กที่เข้าเรียนเป็นตัววัดว่า ตัวเองมีศักยภาพในการกระตุ้นให้นักศึกษาอยากเรียนรู้ได้มากแค่ไหน ทำให้นักศึกษาอยากที่จะมาเรียนรู้กับเราแค่ไหนมากกว่า เพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป จบดีกว่า เดี๋ยวยาว จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 07:21:22

ความคิดเห็นที่ 12 การศึกษาแบบไทยๆ มาตรฐานต่ำ เรียกว่าหามาตรฐานไม่ได้ดีกว่า เรียนแย่ยังไงก็จบ อ่านหนังสือไม่ออกก็ยังให้จบได้้ำ เด็กทุกวันนี้เลยแบ่งชั้นกันชัดเจน ที่เก่งก็เก่งสุด ที่ไม่เก่งก็เลยประชดด้วยการเกเรสุดๆ ไปอีกทางเลยแล้วกระแนะกระแหนเด็กเก่งว่าพวกเด็กเรียน พวกเก่งก็เหยียบซ้ำพวกเกเรเข้าไปอีกว่าโง่ จากคุณ : ชมรมคนรักหมา เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 07:30:17

ความคิดเห็นที่ 13 ขนาดภาษาไทย คำว่า "คะ" กับ "ค่ะ" โตเป็นควายมันยังใช้ผิดกันเลย ผู้หญิงแท้ๆด้วยนะ การศึกษาไทย จงเจริญ! จากคุณ : Moonui เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 09:40:11

ความคิดเห็นที่ 14 พื้นที่วงกลม ที่เค้าสอนเพื่อให้เป็นพื้นฐานครับ เพื่อที่ว่าคุณจะได้เอาไปใช้ต่อในระดับที่สูง ๆ จริงอยู่พวกแม่ค้า คนขับรถ คนรับจ้างทั่วไป ไม่ต้องไปหาพื้นที่วงกลม แต่พวกวิศวะ นักเคมี นักฟิสิกส์ เค้าต้องใช้แน่นอนครับ เค้าถึงบอกว่าวิชาพวกนี้เป็นวิชาพื้นฐานไงครับ คือจำเป็นต้องรู้ไว้ แต่อาจจะไม่ได้ใช้ก็ได้ จากคุณ : เจ้าออฟ เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 09:46:29

ความคิดเห็นที่ 15 ความจริงพวกแม่ค้า ประชาชนทั่วไปก็จำเป็นต้องใช้นะ เกิดวันนึงมีคนเอาน้ำอะไรสักอย่างมาขาย ใส่ถังทรงกระบอกมาแล้วบอกว่าทั้งหมดนี่มัน 10 ลิตร เราเกิดอยากรู้ว่าจริงหรือป่าวก็วัดเส้นผ่านศูนย์กลาง วัดความสูงของถัง คำนวณหาปริมาตร แล้วเอาไปเปลี่ยนค่าเป็นลิตร ก็รู้แล้ว จากคุณ : เจ้าออฟ เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 09:48:45

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้ามีลูก ให้ลูกเรียนแบบhome school ดีกว่ามั้ง ดูแล้วคงจาเวิร์คกว่า จากคุณ : Secret Box เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 10:16:27

ความคิดเห็นที่ 17 คิดว่าหลายคน ฟังไม่ได้ศัพท์จากคลิป ข้างบนแล้วตีความไปเอง มั่วไปหมด เวลาฟังอะไร น่าจะคิด วิเคาะห์ แยกแยะ นิดนึงนะ โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับอาจารย์อย่างยิ่งครับ แต่คงไม่ใช่สุดโต่งแบบนั้น จุดหลักมันคือ ความสนุกในการเรียนรู้ ตราบใดที่บรรดาอาจารย์ยังไม่เข้าใจเรื่องความสนุกในการเรียนรู้ (ไม่ใช่แค่การเรียนนะ) ก้อไม่มีวันปฏิรูปการศึกษาได้หรอกครับ จากคุณ : MSM69 เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 12:19:31

ความคิดเห็นที่ 18 ปัญหาการศึกษาไทยตอนนี้ โรงเรียนหลายๆแห่งมันก็แย่จริงๆน่ะแหละ ยิ่งต่างจังหวัดยิ่งหนัก เมื่อไม่กี่ปีมานี้พ่อผมรับคนงานเข้ามาทำงานอยู่คนนึก วุฒิจบ ม. 6 นะครับ (ย้ำว่ามัธยม) พอดีพ่อเอาตลับเมตรยื่นให้แล้วบอกว่าไปวัดขนาดสินค้ามาให้ได้สิบ ซม แล้วลูกน้องคนนั้นก็เอาตลับเมตรเดินออกไป สักพักก็กลับมา ถามว่าตัวเลขมันมีอยู่สองฝั่งอ่ะ ให้ใช้ฝั่งไหนเหรอ!!!!! จากคุณ : ธุลีดาว เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 12:20:14

ความคิดเห็นที่ 19 ผมเห็นด้วยกับในคลิปนะ อย่างน้อยก็เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่หลงอยู่ในค่านิยมของระบบ ผมเคยพิมพ์ไปหลายหนในห้องนี้แล้วว่า "ทางเลือก" มันขึ้นอยู่กับ "ค่านิยม" ของ "ความมั่นคง" ของชีวิต และผู้ที่กำหนดค่านิยมเหล่านั้นสู่เด็กๆ ก็คือผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองนี่แหละ ซึ่งหวังว่าในอนาคต ถ้าสวัสดิการทั่วถึง เศรษฐกิจดี ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่  ต่างก็มีความั่นคงในชีวิต ผู้ปกครองทั้งหลายคงจะมีแนวโน้ม ที่จะเปิดกรอบให้เด็กๆ สามารถเติบโตได้มากทิศทางมากกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องตามใคร หรือไปกระจุกตัวในที่ดังๆแข่งกับใครๆ เพราะทุกวันนี้เราๆท่านๆส่งบุตรหลานไปเรียนหนังสือ ก็เพียงเพื่อต้องการให้เขาเติบโตอย่างมั่นคง ใช่มั้ยครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 12:22:47

ความคิดเห็นที่ 20 ท่าจะบ้าแล้วคนๆนี้ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 16:50:16

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าคนมีความรับผิดชอบปล่อยให้อิสระคงดีครับ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ผมยังเชื่อสุภาษิตนี้อยู่นะ แนวความคิดแบบ อาจารย์ผู้นี้สุดโต่งเกินไป ปล.เป็นใครไม่รู้จักนะ แต่ ไอ้ที่บอกว่าเปิดโรงเรียนแล้วเด็กจะชอบก็คงจริงอ่ะครับ เป็นไปได้ไม่มีใครอยากเรียนหรอก แต่เคยได้ยินไหมครับ ไอ้ที่คนแก่ๆชอบบอกว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงไม่เรียนหนังสือหรอก ไปฝึกด้านนู้นด้านนี้เลยดีกว่า ลูก : แม่ๆ บ้านเราพื้นที่เท่าไหร่ แม่ : ไม่รู้สิลูก แม่ไม่ได้เรียน คณิต ลูก :แล้วแม่กับพ่อได้เงินเดือนรวมกันเท่าไหร่ แม่ : 20,000 กับ 30,000 น่ะลูก แต่ เออ ไม่รู้เหมือนกัน แม่ไม่ได้เรียน คณิต จากคุณ : sun_center เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 17:55:49

ความคิดเห็นที่ 22 ผมคนนึงละที่ถูกบังคับเรียนเลขกับภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ ทำไม่ได้ก็ว่าโง่ ต่างๆนาๆจากพ่อกะแม่ โตขึ้นเลยโคตเกลียดเลข เกลียดขึ้นสมองแม้แต่จิตใต้สำนึกยังไม่อยากจะมองมันเลย เพราะมันไม่โคกับอดีตแย่ๆตอนนั้นตลอด เมื่อถูกทำให้รู้สึกว่าถูกบังคับและรู้สึกแย่กับมัน ผมก็เลยไม่เคยไปได้ดีกับมันเลย(จนทุกวันนี้) แต่เรื่องภาษา ตอนเด็กๆถูกบังคับก็จริง แต่ด้วยความที่พ่อแม่ก็ไม่เก่งเหมือนกัน เลยไม่ได้เลวร้ายเท่าเลข โตมาผมก็ดันชอบเรื่องทางตะวันตก สนใจความคิดนอกกรอบของฝรั่ง ชอบเข้าเวปนอก อยากมีเพื่อนฝรั่งมาถกความเห็นกันเยอะๆ ก็เลยมีความรู้สึกดีกับภาษาอังกฤษเอามากๆ เมื่อรู้สึกดี ตอนนี้ผมเลยอ่านพูดเขียนได้ดีกว่าพ่อแม่และเพื่อนหลายๆคนที่เรียนมาจากโรงเรียนซะอีก ผมเลยเข้าใจเลยว่า ถ้าหากทำให้เรารู้สึกชอบสิ่งที่เราจะทำได้แล้ว ไม่ว่าอะไรมันก็กลายเป็นเรื่องง่ายทั้งนั้นแหละครับ และรู้สึกแย่กับการถูกบังคับที่ผ่านมา ที่ทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบทับถมขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเพียงตอนนั้น ผมได้เรียนรู้แบบที่สร้างสรรค์ ไม่ต้องโดนด่าโดนกดดันทุกวัน ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ส่งเสริมในหลายๆอย่างนอกจากในตำราเรียน ผมคงไม่ต้องตกภาษาENGตั้งแต่อนุบาลถึงม.3<<ช้ำใจมาก ทั้งๆที่ตอนนี้ผมไม่ต้องเข้าเรียนENG แล้วไปสอบผมก็ยังสอบผ่านได้หมดทั้งสามเกรดรวดเดียวเลยด้วยซ้ำ .....ยอมรับจริงๆว่าระบบการศึกษา(และครอบครัวหัวเก่า)แบบไทยๆ ทำให้ผมช้ำใจ(และตามหลอกหลอน)ถึงทุกวันนี้จริงๆ จากคุณ : Elanez เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 18:58:27

ความคิดเห็นที่ 23 การศึกษาของไทย เป็นการผลิตทาสแรงงานเข้าสู่ระบบทุนนิยม ซึ่งในระบบต้องการทาสหลายระดับ นับจากมีภูมิความรู้ระดับดุษฏีบัณฑิต ลงมาจนถึงกุลีบัณฑิต ทั้งหมดนั้นจะเข้าสู่ภาคการผลิต รับใช้นายทุนเพื่อหากำไรในกิจการธุรกิจต่อไป ดังนั้นความรู้ที่เรียนมาเพื่อรับใช้มิใช่ปกครอง การปฏิรูปการศึกษาไทย จึงต้องขึ้นอยู่กับนายทุนในระบบทุนนิยมเป็นหลัก ว่าต้องการทาสแรงงานประเภทใดบ้าง จากคุณ : ข้าพเจ้า เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 19:05:50 A:192.168.200.189 X:118.173.96.73 TicketID:295916

ความคิดเห็นที่ 24 Ps.เห็นด้วยกับ คห.3 นะครับ "ก่อนปฎิรูปการศึกษา ต้องปฎิรูป "ทัศนคติ" ที่มีต่อการศึกษาก่อนครับ รู้ัมั๊ยครับว่าจากการวิจัยของอาจารย์นิด้า พบว่า ประเทศเราให้คุณค่ากับคำว่าการศึกษามากนะครับ เพราะการศึกษานำมาซึ่ง "สถานะทางสังคม" ซึ่งหมายถึง เรียนเพื่อที่จะได้รวย เรียนเพื่อที่จะ upgrade ตัวเอง ... น้อยมากที่จะเรียนเพื่ออยากรู้ แล้วก็เรียนเพื่อเรียน" เพราะทุกครั้งที่ผมดูช่องDISCOVERY(ซึ่งผมก็ดูTVมันอยู่ช่องเดียวนี่ละ- -") หรืออ่านหนังสือ NATIONAL GEOGRAPHIC (ซึ่งผมก็ลงทุนซื้อแต่หนังสือเล่มนี้จริงจัง) พ่อผมมักจะพูดว่า "อ่านหนังสือเรียน อ่านตำราบ้างซิ ไม่ใช่เอาเวลามาดูแต่รายการอะไรก็ไม่รู้" "ซื้อทำไมหนังสือแพงๆเนี้ย อยากอ่านก็อ่านหนังสือเรียนซิ เรื่องเรียนไปถึงไหนแล้วละ?" ขอโทษนะครับ..... หนังสือกับช่องรายการโปรดของผม มันมีสาระน้อยกว่า"ละครหลังข่าว" ที่พวกคุณๆท่านๆดูตรงไหน? แค่ผมไม่อ่านหนังสือเรียนก็ถอดความได้ว่า "ผมโง่" ซะละ แค่สิ่งที่ผมชอบเรียนรู้ มันไม่ได้อยู่ในตำรา มันก็กลายเป็นว่า "ไร้สาระ" ผมอยากรู้จริงๆ ถ้าผมทำตามแบบที่พ่อแม่ว่า หมกอยู่กะตำรา(ไทยๆ)ไม่ลืมตามาดูความรู้รอบตัว เพื่อนก็ไม่ต้องไปสนใจมาก เรียนให้ได้เกรดดีๆจะได้จบปัญหาโดนด่าโดนว่าซักทีเนี้ย ผมจะฉลาดกว่าที่เป็นอยู่นี่ไหมครับ - - (แต่จากที่เห็นคนรอบตัวแล้ว ผมว่าจะได้IQกลับด้านตามมาด้วยแหงๆ) <=บ่นยาวเพราะความในใจมันเยอะมาก กับเรื่องพรรณนี้- -+ จากคุณ : Elanez เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 21:05:05

ความคิดเห็นที่ 25 ผมดูครบทุกคลิปของ อ.วิริยะ แล้วครับ ผมอยู่ ม.3 ครับ ผมเห็นด้วยมากๆครับสำหรับสิ่งที่อาจารย์พูด สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วย ผมอ่านดูแล้ว เหมือนว่าจะดูแล้วปะติดปะต่อเรื่องแบบ งงๆ หรือเปล่าไม่ทราบ หรือผมอาจจะดูหลายคลิปมากกว่านี้(ลองเอาชื่อ อ. Search ในยูทูปดูนะครับ) เลยเข้าใจอะไรมากกว่า คือบางที อาจารย์ท่านอาจจะพูดประมาณว่า ให้ Save File อาจารย์ก็บอกแค่ว่าให้ Save โดยไม่ต้องบอกว่า ให้ไปที่ File -> Save as.. -> ตั้งชื่อไฟล์ -> กดเซฟ อะไรประมาณนี้อะครับ คือ ไม่ได้พูดว่าต้องทำอะไร แต่พูดถึงผลลัพธ์เลยอะครับ เพราะยังไงแต่ละคน ก็ต้องมีวิธีการของตัวเองอยู่แล้ว สมมุติ จะทำให้นักเรียนจำคำศัพท์ได้ อาจารย์ A อาจจะเอาคำศัพท์มาแต่งเป็นเพลงแล้วร้อง อาจารย์ B อาจจะทำเป็นแผ่นป้ายมาให้เล่น อะไรประมาณนี้อะครับ เอ่อ ผมอาจจะพูด งงๆ ไปหน่อยนะครับ ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ เพราะผมยังไม่ค่อยเข้าใจ คห. ที่ไม่เห็นด้วย อะครับ ยัง งงๆ อยู่ ..แหะๆ จากคุณ : NEO SECRET เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 22:26:08

ความคิดเห็นที่ 26 เกินไป ผู้บรรยายมุมมองแคบไปหน่อย ความคิดเหมือนเด็กน้อย ตอนเด็ก ๆ ผมก็คิดว่าสูตรสมการทั้งหลายเรียนไปทำไม พอเรียนสูงขึ้น ๆ แล้วกลับไปเสียดายที่ก่อนหน้านี้เก็บเกี่ยวมาไม่เต็มที่ต้องมานั่งย้อนดูเอง ชีวิตมันไม่ได้มีแค่ที่ผู้บรรยายคิด มันมีอะไรหลากหลายกว่านั้น จากคุณ : เขียว เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 22:38:31 A:59.164.97.33 X: TicketID:287847

ความคิดเห็นที่ 27 กำลังจะถามเลยว่า  เขาเป็นใคร ชอบมากๆ อยากให้เป็ร รมต ศึกษา จริงๆ เลย แต่ก็นะ สังคมเรายังไม่เปิดกว้าพอที่จะยอมรับ ได้หรอก  ดุได้จาก ความเห็น ที่เข้ามา ตอบสิ บางคนไปคิดถึง การหาพื้นที่อีก เป็นจริงเป็นจังกับชีวิตอีก นี่แหละ ปัญหาใหญ่เลย คือการไม่เข้าใจ การปฏิรูป ที่เขายกมาเพื่อให้มองเห็น ว่า ผู้เรียน เป็น ศูนย์กลางทำยังไง มี นักเรียน อยู่ทั้งห้อง ไม่ใช่ว่าจะต้องเก่ง คำนวนทั้งห้อง ไม่จำเป็นต้องไปต่อวิศวะ ทั้งหมด คนเรียนควร รู้จักสิ่งที่ ตนชอบ สิ่งที่สามารถทำได้ดี แล้ว สนใจในสิ่งนั้น จนดึงเอาความสามารถของตัวเอง ออกมาได้   ใช่ครับ ภาคบังคับควรมี อย่างน้อยก็ต้องอ่านออกเขียนได้ แต่จำเป็นต้องบังคับ ถึง 12 ปีหรือ จบ ป 6 จบ ม.3 ไม่เรียนต่อได้ใหม หัวมันไม่ใหว แต่ชอบกีฬา ขอเรียน/เล่นกีฬาเลยได้ใหม ชอบดนตรี ขอเรียนดนตรีได้ใหม บางคน มีกิจการ ของครอบครัว พออ่านออกเขียนได้ แต่ ค้าขายเก่ง ไม่เรียนได้ใหม ทุกวันนี้ รู้สึกว่า การศึกษาเรากำลังหลงทาง สอนให้แข่ง ให้แก่งแ่ย่งกัน มีโมเดลเดียว จากคุณ : mangginoon เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 22:59:38

ความคิดเห็นที่ 28 #27 ขอบคุณที่พูดแทนผมครับ เหมือนรู้ใจผมเลย(ฮา) แต่จริงๆ ที่บอกว่า "จบ ป 6 จบ ม.3 ไม่เรียนต่อได้ใหม หัวมันไม่ใหว แต่ชอบกีฬา ขอเรียน/เล่นกีฬาเลยได้ใหม ชอบดนตรี ขอเรียนดนตรีได้ใหม" มันก็จะมีอย่างที่ คห.3 บอกไว้อะครับ "บ้านเราพูดถึงเรื่อง Child center กันมาก ถามนิดนึงครับว่า ถ้าหากเด็กอนุบาลบอกว่า "วันนี้หนูไม่อยากไปโรงเรียน" "หนูไม่อยากบวกเลขหนูอยากออกไปเล่น" ผู้ปกครองกับครูยอมมั๊ยหล่ะครับ...?" หรือว่ามันคนละประเด็นกันหว่า?? แหะๆ จากคุณ : NEO SECRET เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 23:05:43

ความคิดเห็นที่ 29 5 ปีที่แล้ว ผมกับแฟนทำงานเอกชน มีรายรับที่มั่นคงพอสมควร จนสามารถที่จะย้ายครอบครัว ไปอยู่ในเมืองได้ แต่ ผมเลือกที่จะลาออกและ ย้ายกลับมาอยู่บ้านนอก เพราะต้องการ อยู่กับลูกครับ ผมอยากให้ลูก  อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ตอนนี้ลูกเข้า เรียนอนุบาลแล้ว ครับ แถวบ้านส่งลูกไปเรียนเอกชนในตัวอำเภอ แต่ผมให้เรียน รร รัฐ หน้าบ้าน เพื่อที่จะได้ไปส่ง-รับทุกวัน ผมไม่เคยมุ่งหวังว่าจะใ้ห้ลูกเรียนดี เรียนเก่ง  เพียงแค่ เป็นคนดี และ เอาตัวรอดในการดำรงชีวิตได้ก้เพียงพอแล้วครับ คาวมจริงอยากเรียนโฮมสคูลมากๆ แต่แม่เขาไม่ยอม หวังว่า คุณ NEO SECRET หาตัวเองเจอแล้วนะครับ  ตอนอยู่ ม.3 ผมก็เรียนตามๆ เขาไป เข้าๆ ออกๆ กว่าจะหาเจอ จากคุณ : mangginoon เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 23:25:05

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าหากเด็กอนุบาลบอกว่า "วันนี้หนูไม่อยากไปโรงเรียน" "หนูไม่อยากบวกเลขหนูอยากออกไปเล่น" ผู้ปกครองกับครูยอมมั๊ยหล่ะครับ...?" ผมโอเคนะครับ คุยกันก่อน ไม่ไปก็ได้ อยู่บ้าน ช่วยผมทำงาน จากคุณ : mangginoon เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 23:27:27

ความคิดเห็นที่ 31 ขอโทษครับ ผมลืมบรรทัดนี้ไป "ใช่ครับ ภาคบังคับควรมี อย่างน้อยก็ต้องอ่านออกเขียนได้ แต่จำเป็นต้องบังคับ ถึง 12 ปีหรือ" ถ้าบอกว่า ไม่กำหนดปีการศึกษาภาคบังคับ แต่กำหนดความรู้พื้นฐานภาคบังคับ แบบนี้ จะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมั้ยครับ ถ้าใครไม่ผ่าน(สอบ)ตรงนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์ประกอบอาชีพ อะไรประมาณนี้ ________________________________________________ #คุณ mangginoon ผมหาตัวเองเจอตั้งแต่ ป.5 แล้วครับ แล้วก็มาแน่ใจจริงๆตอน ม.3 นี้แหละ ว่าจะไม่เปลี่ยนไปไหนแล้ว ตอนเด็กๆผมชอบอ่านโดเรม่อนนะ หนังสือเล่มแรกของผมก็คือโดเรม่อนนี่แหละ(ฮา) ประมาณ ป.1 ป.2 ได้ ผมอ่านแล้วผมก็อยากจะเป็นนักประดิษฐ์มากๆๆ เลย พอโตมา เจอคอมพิวเตอร์ ผมก็แน่ใจเลยว่า นี่แหละ ผมจะมาทางด้านนี้แน่นอน ตอนนี้ผมแข่ง ประกวด ออกงาน อบรม เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์-หุ่นยนต์ มามากกว่า 50 วัน แล้วมั้ง(ตั้งแต่ ม.1) ผมคือว่า ประสบการณ์ตรงนี้สำคัญกว่าความรู้ในห้องเรียนอะครับ แต่ผมก็เอาโควต้าเข้าเตรียมไม่ได้.. TT ขอบคุณที่เป็นห่วงผมครับ :) จากคุณ : NEO SECRET เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 23:37:11

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ mangginoon เลี้ยงลูกแบบมีเหตุมีผล ขอชื่นชมครับ ทัศนคติแบบนี้จำเป็นสำหรับการเรียนรู้แบบ Child center ครับ เพราะมนุษย์จะเรียนรู้ได้ดี เมื่อสิ่งนั้นมีความ "น่าสนใจ" ครับ สังเกตุมั๊ยครับว่า ในวัยเด็กหลายคน วิชาที่เกลียดคือ "ภาษาไทย" กับ "สังคม" มีคำถามเหลือเกินว่าจะเรียนไปทำไม เมื่อก่อนเรียนแล้วไม่เข้าหัวเลยครับ ม.ปลายมาภาษาไทยกับสังคมไม่เคยได้เกรด 4 เลย ได้เกรด 3 มาตลอด... หลักสำคัญคือ 1) ทำไงให้เด็กอยากรู้สิ่งที่เราจะสอน 2) ทำไงให้เรามีสภาพแวดล้อมให้เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งที่อยากรู้ได้ ตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือตอนทำโปรเจคปี 4 ครับ ผมมีนักศึกษาคนนึง ตอนปี 1 สนิทกันแล้วก็เขียนโปรแกรมไม่ได้เลยครับ แต่พอเจอกันอีกทีปี 4 เธอบอกว่า "อาจารย์ขา หนูเข้าใจแล้วค่ะ เวลาเขียนโปรแกรมต้องรับข้อมูลอย่างนี้ แล้วก็กำหนดเงื่อนไขอย่างนี้ๆๆๆๆๆๆๆ ช่ายมั๊ยคะ"... (ปี 4 เธอทำโปรเจ็คเรื่องเครื่องคัดขนาดเมล็ดข้าวครับ) ตอนผมสอนเรื่องการทำ S/W Prototype ผมจะไม่เริ่มจากการกางหนังสือครับ ผมจะเริ่มจากเอารูปภาพรถที่สเกตช์ในกระดาษมาโชว์ก่อน ภาพจากรถเป็นแบบจำลองขนาดเล็ก ->แบบจำลองขนาดใหญ่ -> ตัวรถจริง แล้วก็จะตั้งคำถามครับว่า คิดว่าทำไมถึงต้องทำ prototype ก่อน... คิดว่าการทำ prototype มีประโยชน์มั๊ย... เรารู้แล้วว่ารถทำ prototype ยังไง แล้ว S/W หล่ะ มีกระบวนการมั๊ย.. วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องการทำ User Centered Design กัน.... แล้วก็เข้ากิจกรรม แล้วก็มีงานให้ลองทำ เอางานแต่ละกลุ่มมานำเสนอ ให้กลุ่มอื่นวิจารณ์กันแบบขำๆ สนุกมากตอนสอน (แงๆๆๆ เสียดาย มันผ่านไปแล้ว... แงๆๆๆๆ T-T) สำหรับคุณ NEO SECRET ขอฝากวิศวะลาดกระบังไว้พิจารณาในดวงใจด้วยนะครับ... ^-^ จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 00:18:33 A:14.207.69.209 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 33 วิชานึงที่เป็นไปได้อยากให้เพิ่มเข้าไปเหลือเกินครับ วิชา "Learn how to learn" ครับ ^-^ จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 00:34:11 A:14.207.242.84 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 34 Quote ถ้าหากเด็กอนุบาลบอกว่า "วันนี้หนูไม่อยากไปโรงเรียน" "หนูไม่อยากบวกเลขหนูอยากออกไปเล่น" ผู้ปกครองกับครูยอมมั๊ยหล่ะครับ...?" ^ ^ นี่แหละที่หลายคนไม่เข้าใจในสิ่งที่คนในคลิปจะสื่อ ถ้าเข้าใจคำถามจะไม่เกิด ทำไมถึงถามคำถามแบบนี้? เพราะคิดแต่ผลที่ตามมา และหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ เลยคิดได้แต่ใช้รูปแบบเดิมๆ คือบังคับ บังคับ และบังคับให้ทำแบบเดิมๆ ถามว่าทำไมถ้าเข้าใจที่พูดคำถามจะไม่เกิด? ก็คงต้องถามกลับว่า "ถ้าเด็กสนุกกับการเรียนที่โรงเรียน เด็กที่ไหนบ้างจะไม่อยากไป? ..." ก็โรงเรียน + ครูที่สอน สอนได้น่าเบื่อไง ถึงไม่อยากไป สรุปปัญหาไม่แก้ที่บังคับให้เด็กต้องไป และกดดันให้เด็กรู้สึกในทางลบ  ตรงกันข้าม คุณต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เปลี่ยนทัศนคติ พัฒนาความสามารถในการสอนของครูต่างหาก "ทำยังไงให้เด็กสนใจ และกระตือรือล้นที่อยากจะเรียนรู้ ไม่ว่าที่ไหนๆ ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน" นี่ต่างหาก ประเด็นที่ควรจะรับรู้และเข้าใจ ครับ มัวแต่คิดกันที่ปลายเหตุแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่มองภาพรวม หาต้นเหตุ วิเคราะห์ปัญหาไม่เป็น นี่แหละความวิบัติของการเรียนรู้ของคนไทย จากคุณ : สายน้ำ ||เวอร์ชั่นล็อคอิน|| เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 00:40:42

ความคิดเห็นที่ 35 เรื่องของเรื่องคือ.. บางคนก็ยึดติด คิดว่าเอ่อ.. ไอ้ที่เราโดนบังคับให้เรียน ให้ท่อง ให้จำ มันได้มาใช้จริง แต่ลืมนึกไปว่า ไอ้คนที่ได้ใช้จริงหน่ะ คนส่วนน้อยในสังคมครับ ส่วนใหญ่(ในส่วนน้อย)ไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองเป็นคนส่วนน้อย หรือหลังจากดิ้นไม่ได้จริงๆ ก็พูดว่า "เป็นส่วนน้อยที่มีความสำคัญกว่าส่วนใหญ่ทั้งหมดรวมกัน" ไปเลยทีเดียว เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 01:00:36

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยค่ะ เห็นด้วยกับปัญหาที่อาจารย์นำเสนอ เห็นด้วยว่ามีประเด็น และเห็นด้วยว่าคนไทยควรจะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุง แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยในวิธี รู้สึกว่าน่าจะเหมาะกับแค่กับเด็กที่ตั้งใจ หัวดี และอยากเรียน ซึ่งในความเป็นจริงเด็กทุกคนไม่ได้มีสภาพแบบนั้น สมัยเรียน เพื่อนที่ตั้งใจ ก็ตั้งใจสุดๆ อ่านหนังสือเรียนก็ไม่พอ ก็ลากเราไปหาหนังสือเสริมมาอ่านอีก ส่วนเพื่อนที่ไม่เรียน ก็ไม่เรียนจริงๆ แค่หนังสือเรียนยังบอกให้สรุปให้ฟังหน่อย เอาแค่ที่คิดว่าจะออกสอบ นอกนั้นไม่ขอท่อง เด็กพวกแรก เราไม่ห่วง การปรับการเรียนให้น้อยลงสิ อาจจะได้ผล แต่เด็กพวกหลัง ยังไงดีล่ะคะ ขนาดบังคับยังไม่เรียน ไม่บังคับไม่ยิ่งไปเล่นเกมทั้งวันเหรอคะ? ถ้าอาจารย์จะบอกว่าถ้าไม่บังคับ เดี๋ยวเขาก็อยากเรียนเอง....อาจจะได้สำหรับคนสำนึกดีนะคะ แต่มันจะไม่มีเลยหรือคะ เด็กที่ไม่สามารถสึกนึกได้เมื่อสายเนี่ย? ปล.หาพื้นที่วงกลม โตมาแล้วได้ใช้อ่ะ จากคุณ : Girl like me เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 01:14:02

ความคิดเห็นที่ 37 แก่นของที่เค้าพูดไม่ได้หมายความว่าไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน แต่เค้าอยากให้ได้เรียรในสิ่งที่อยากรู้ ผมเห็นด้วยนะ จากคุณ : omaizo เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 01:14:28

ความคิดเห็นที่ 38 เห็นด้วยกับอ.นะคะ แต่อ.แกพูดแคบและโฟกัสส่วนที่แกคิดอย่างเดียวเลยดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่การศึกษาไทยมันมีปัญหาจริงๆค่ะ เป็นปัญหาที่ไม่รู้อยู่จะแก้ยังไงให้ดีที่สุดอีกต่างหาก เพราะมีมากเหลือเกิน ปล.เรื่องพื้นที่วงกลม เห็นด้วยกะคห.บนๆค่ะว่าคนที่ได้ใช้เนี่ยเป็นส่วนน้อยของสังคมจริงๆ สิ่งที่เรียนไปแล้วเป็นของจำเป็นสำหรับบางคน แต่เป็นเรื่องเสียเวลากับอีกคน... แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 01:54:11 จากคุณ : คุณเป็ดกะคุณชัดเจน เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 01:49:48

ความคิดเห็นที่ 39 ผมเห็นด้วยกับเรื่อง "สร้างความอยากรู้" ของเด็กให้มีเพิ่มมากขึ้น ส่วนจะทำอย่างไรก็ไม่รู้หรอกครับ คิดไม่ออกเช่นกัน แต่ก่อนสมัย ม.ต้น ผมเรียนได้เกรดไม่ค่อยดี ติด 0 เทอมละ 4-5 ตัว หนีไปเที่ยวบ้าง โดนแม่ตีทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ แม่จะให้ผมอยู่ในห้อง กับหนังสือเรียนทั้งหมด ให้อยู่อย่างนั้นทั้งวัน ผมก็ไม่อ่านหรอก เห็นหนังสือก็หลับตลอด ไปเรียนก็โดดมานั่งเล่น เป็นแบบนี้จนจบ ม.ต้น ก็จบมาเกรดเฉลี่ย 1 กว่าๆ มาเรียนต่อเทคนิคก็เป็นแบบเดิมอีก แต่ก็ถูๆไถๆจบมาได้ 2 นิดๆ ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ คนรอบๆข้างบอกว่า "ผมโง่" ---------------------------------------------------------------------------------------- แต่ผมว่าสิ่งที่เขาสอนมันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเรียนมากกว่า จากคุณ : ฉลาดสุดสุด (ac_toto) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 02:09:40

ความคิดเห็นที่ 40 การศึกษาสมัยเก่า ทำให้คนมองแต่ในมุมที่ตัวเองเคยประสบมาจริง ๆ การเรียนไม่ใช่การนั่งมองครูที่ยืนพล่ามอยู่หน้ากระดานดำเท่านั้นนะครับ ถ้าเด็กร้องไม่อยากไปโรงเรียนก็ชวนเด็กเล่นก็ได้นี่ แทรกความรู้เท่าที่จะทำได้ หรือทำไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยก็เสริมสุขภาพพลานามัย คำว่า Child Centered ยังแปลไม่แตก เหมาะสมแล้วที่เป็นผลผลิตจากการศึกษาสมัยเก่าที่ไม่เคยอยากพัฒนา... เพิ่มเติมครับ ระบบการศึกษาแบบที่ไม่ใช่แบบไทยดั้งเดิม ไม่ใช่ไม่เหมาะกับประเทศไทยครับ มันถูกคิดว่าไม่เหมาะโดยกลุ่มที่ไม่ต้องการเพิ่มงานให้ตัวเองมากกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 02:40:16 จากคุณ : tuinui98 เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 02:35:10

ความคิดเห็นที่ 41 มีญาติมาถามแม่ผมว่า ทำยังไงให้ลูกเปลี่ยนจากไม่ตั้งใจเรียน มาเป็นตั้งใจเรียนได้ ผมเรียนแย่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มาทำได้ดีตอนมหาวิทยาลัย ก็แน่สิ ตอนมหาวิทยาลัยผมได้เรียนสิ่งที่อยากเรียนนี่ แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 02:43:17 จากคุณ : chidkido เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 02:42:59

ความคิดเห็นที่ 42 ผมว่าปฏิรูปคุณธรรม ให้เกิดในเด็ก ก่อนดีกว่านะครับ จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 03:59:09

ความคิดเห็นที่ 43 ที่นี่ ลูกสาวเข้าเรียก 9.00 โมงเช้า 11 โมง เบรคทานของว่างและเล่น 30 นาที 13.00 พักทานอาหารกลางวัน 15.00 เลิกเรียน เย้ ในห้องมีเด็ก 19 คน ทั้งโรงเรียนจำกัดให้ห้องละแค่ 20 คนห้ามเกินนั้น อยู่ป. 1 การบ้านไม่มี แต่คุณครูให้หนังสือเล่มเล็กๆกลับมาอ่านบ้านทุกวัน ใครสะดวกอ่าน ก็อ่าน ครูแจ้งผู้ปกครองมาว่า อย่าบังคับ วันไหนน้องไม่อยากอ่าน ไม่ต้องอ่าน ห้องเรียนยังกับสนามเด็กเล่น มีของเล่น มีครัว มีมุมสำหรับระบายสี ตอนเบรค หรือพักทานข้าว มีสนามเด็กเล่นด้านนอก 3 สนามเลือกเล่นเอาตามชอบ โรงเรียนสอนให้เด็กเคารพกันและกัน ห้ามว่ากัน ห้ามทะเลาะกัน เริ่มต้นจากครูในโรงเรียนไม่ดุ แต่สอนให้เข้าใจ ไม่มีอารมณ์เสียใส่นักเรียน พูดกับนักเรียนด้วยความสุภาพ ก็ได้รับความสุภาพกลับจากนักเรียนเช่นกัน ใส่ชุดอะไรไปเรียนก็ได้ จะตะเบงมาน บัลเล่ อะไร ตามถนัด ผมทรงไหนก็ได้ สีใดก็ได้ เล็บทาสีได้ รองเท้าจะแตะ จะบูท ผ้าใบ ได้หมด วันดีคืนดี โรงเรียนก็นัดใส่ชุดแฟชั่น  บางวันก็กำหนดเป็นวันที่เอาพาหนะมีล้อมาโรงเรียนได้ สกู้ตเตอร์ จักรยาน รถดุ๊กดิ๊ก บอร์ด ให้เด็กเอามาเล่นกัน มันทำให้ ลูกสาว ชอบวันจันทร์ - ศุกร์ มากพอพอกับ วันเสาร์อาทิตย์  ไม่เคยมีซักวันที่ลูกไ่ม่อยากไปโรงเรียน หากทำตัวดื้อมากมาก บางทีต้องขู่ว่า หากดื้อจะไม่ให้ไปโรงเรียน (แม่แม่ที่ไทยคิดภาพออกไหม) ปกติ เราจะกลับไทยปีละ 3 เดือน พาลูกเข้าโรงเรียนเอกชนที่ไทย เพื่อให้เรียนรู้ภาษาและเรียนรู้ตามวัย  ลูกไม่ชอบโรงเรียนที่ไทยมากมาก ทุกเช้าที่ตื่นมา ร้องไห้งอแง ไม่อยากไปโรงเรียน   .....  ทั้งๆที่ ครูเอาใจมากมากเพราะรู้จักกันก็ให้สิทธิพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ค่อยดุ ตามใจ แต่ลูกบอกว่า หนูไม่ชอบท่อง ก ไก่ทั้งวัน นั่งฝึกเขียนทั้งวัน กลับบ้านยังมีกลับมาทำอีก หนูเบื่อ ไม่สนุกเลย ท่องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มองบอร์ดพูดๆๆๆ เราก็จนใจ แต่มันต่างกันแบบนี้  การสอนแบบโรงเรียนไทย ทำให้เด็กมีความรู้พื้นฐานแน่นจริง การสอนแบบเมืองนอกความรู้พื้นฐานของเด็กอ่อนกว่าแต่เด็กมีความคิดสร้างสรรค์และความสุขมากกว่า เราว่ามันต้องประยุกต์ให้เข้ากัน จะเลือกทางใดทางหนึ่งไม่ได้ เด็กน่ะไม่ผิดหรอก มันผิดที่ผู้ใหญ่กดดันให้เด็กต้องเก่ง เรียนๆๆๆๆ เข้าไป แต่ไม่ใส่ใจสิ่งที่เรียกว่า ความสุขของวัยเด็ก ที่เด็กสมัยนี้ รู้จักมันน้อยลงทุกวัน แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 06:37:19 จากคุณ : ผึ้งตัวน้อย เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 06:15:33

ความคิดเห็นที่ 44 เด็กสมัยนี้บังคับไปก็เท่านั้นครับ ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว สมัยนี้ยิ่งบังคับยิ่งต่อต้าน จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 08:35:25

ความคิดเห็นที่ 45 ซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 08:37:56 จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 08:37:22

ความคิดเห็นที่ 46 ซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 08:38:33 จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 08:38:11

ความคิดเห็นที่ 47 . จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 08:39:11

ความคิดเห็นที่ 48 จำนวนเด็กในห้องเรียน มีผลอย่างมากกับประสิทธิภาพในการสอนครับ สอนห้องเรียนที่มีนักเรียน 38 คน กับอีกห้องที่มี 45 คนนี่ รู้สึกได้เลยว่าห้อง 45 คนสอนเหนื่อยมาก แต่บาง Class ที่มีแค่ 20 คนนี่ Happy สุด ๆ รู้สึกว่าเด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราสื่อสารออกไปจริง ๆ จากคุณ : แตงโมสีรุ้ง เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 09:21:50

ความคิดเห็นที่ 49 เคยคิดว่าจะเอาแผนการสอนใหม่เข้าไปเสนออาจารย์ กับโรงเรียน และถ้าเค้ารับ เราก็จะได้ช่วนสอนด้วย แต่ไม่ดีกว่า เพราะเพื่อนที่เป็นอาจารย์ในนั้นบอกว่า ไม่มีหวังหรอก.... ไม่มีประโยชน์... เพราะมันเรื่องเยอะมาก สุดท้ายก็ต้องตามระบบอยู่ดี - -" โรงเรียนพาณิชย์นะครับ ผมคิดว่าจริงๆแล้วควรจะผลักดันให้ ปวช.-ปวส. ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่านี้ เพราะมันสายอาชีพนะครับ แต่เกือบทุกโรงเรียนยังสอนงูๆปลาๆกันอยู่เลย ปวช.เทอม2แรกเรียนทุกวิชา เพื่อให้รู้ตัวเอง เทอม3ลงพื้นฐานของสายนั้นๆ (เริ่มซ้ำ) 4-5-6 ส่วน3เทอมที่เหลือ แต่ละวิชา ก็พื้นฐานของแต่ละวิชาต่อไป ตัวอย่างเช่น เขียนโปรแกรม1 java1 html1 แถมการสอนก็เป็นแบบ....... ตัวอย่าง..จริงๆการเขียนโปรแกรมมันต้องขยันให้โจทย์ ให้นักเรียนคิดกันเยอะๆ เขียนกันเยอะๆ ว่าถ้าโจทย์ออกมาในรูปนี้ ต้องเขียนมายังไง ไม่ใช่ให้ท่องจำสูตรนั่น สูตรนี้ -*- ต่อพอจบปวช. ทำงานได้แค่พื้นฐานของสายที่เรียนมา ไปสูงมากไม่ได้ เพราะหลายคนคิดว่าปวช.มันยังไม่สามารถพอ และบางคนก็ทำงานไม่ได้ (เรื่องจริง) และส่วนมากที่เหลือจะต่อปวส. พอต่อปวส.ปุ๊ป เทอม1กลับไปเรียนพื้นฐานของสายนั้นๆใหม่.......(ซ้ำอีกแล้ว) ส่วนเทอม2-3-4 จะได้เรียนซ้ำมั้ย แล้วแต่บุญแต่กรรมครับ ปัจจุบันร.ร.สายพาณิชย์หาดีๆยากมาก เพราะโรงเรียนพวกนี้ จริงๆเน้นกำไรล้วนๆ เห็นๆ ไม่ค่อยนึกถึงตัวเด็กเท่าไหร่ คิดกันแค่ว่า ทำยังไงให้ มีชื่อเสียงโด่งดังเพื่อจะได้มีนักเรียนมาสมัครเยอะๆ ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพของนักเรียนที่เรียนอยุ่ ว่าไปไกลได้อีกมาก แต่ระบบมันทำให้ต่องย่ำอยู่กับที่ ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลง แก้ไข และปรับปรุง ยังไม่รวมถึงการอิจฉาตาร้อน ขัดขา ฯลฯ - -" เปิดโรงเรียนเองมันซะเลยดีมั้ยเนี่ย เพิ่มเติม สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าจริงๆ ปวช.ปวส.มันสำคัญก็เพราะว่า ถ้าเทียบกับสายสามัญ วิชาที่เรียนจบของ ม.6กับจบปวช. ของปวช.นำไปใช้หากินได้มากกว่า พอจบปวส.ถ้าต่อปริญญาตรีก็เทียบได้ปี2 ซึ่งปี2เพิ่งจะเรียนวิชาภาคเองนะนั่น ใครได้เ้ปรียบเสียเปรียบก็บอกอยู่โต้งๆ แต่ก็นะ.... แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 09:41:12 จากคุณ : Fares เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 09:35:32

ความคิดเห็นที่ 50 อ่าน คห ของ คุณ ผึ้งน้อย แล้วน้ำตาจะไหล อยากให้ลูกได้เรียน รร แบบนั้นจัง ได้แต่หวังว่า สักวันบ้านเรา คงทำแบบนั้นได้ ที่ไกล้เคียงหน่อย ตอนนี้ก็คงมีแค่ระดับ ปฐมวัย  ของ ศูนย์เด็ก ก่อนวัยเรียน ที่มีนโยบาย และ แผนการสอน ที่ดีมาก  (ศูนย์ี่ สังกัด อบต ไม่ได้ขึ้นกับ ก.ศึกษา) แต่ พอ เด็กเข้าอนุบาลก็ไปสู่ วังวนเดิมๆ จากคุณ : mangginoon เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 09:47:12

ความคิดเห็นที่ 51 ในสังคมไม่ใช่อย่างนั้นครับ คุณลองไม่ส่งลูกคุณเรียนปริญญาดิครับ ถึงจะเก่งขนาดไหนก็ไร้ค่า ต่างจากคนที่จบ ดร. พูดอะไรคนก็เชื่อ ขนาดพาไปดู UFO คนยังเพียบเลย จากคุณ : 7-Scene เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 10:15:47

ความคิดเห็นที่ 52 นิวว่าเค้าพูดถูกนะ ถ้าทำให้เด็ก สนุกกับการเรียน ก็จะทำให้เด็ก รู้สึก อยากเรียนมากขึ้น ไม่ใช่เรียนแล้วเบื่อหน่าย จากคุณ : นิว (อีกา) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 10:26:33

ความคิดเห็นที่ 53 เห็นด้วยกับอาจาร์ยในบางส่วน ผมจะขึ้น ม.4 ปีนี้ ก็อยากให้การศึกษาไทยมันสนับสนุนเด็กทุกคนไปตามที่เค้าถนัด ที่ห้องมีเพื่อนผมคนนึงมันชอบเล่นดนตรีมาก แต่ก็เรียนแย่มากเช่นกัน ครูจะพูดกรอกหูมันอยู่ทุกวัน ว่ามันโง่ ไม่ตั้งใจเรียน ฯลฯ แต่คุณรู้มั๊ย มันเล่นเปียโน ไวโอลิน เชลโล่ กีตาร์ ได้หมด ไม่ใช่ระดับงูๆปลาๆแต่ในระดับแข่งได้เลย แต่พ่อ-แม่ก็เหมือนพ่อแม่หลายๆคนในสังคมไทย ที่จะให้ลูกเป็นหมอ ฯลฯ ที่มันไม่ใช่ทางของเด็ก มันโดนพ่อแม่ด่าที่ไรก็หอบหนังสือโน้ตมาแต่งเพลงเล่นที่บ้านผมตลอด ถ้าเราจะปฎิรูปพูดง่าย แต่มันทำยากครับ ไม่ว่าจะเป็นครู ผู้ปกครอง ที่ยังยึดติดกับของเดิมๆ ชั้นถูกสอนมายังไงลูกๆ เด็กสมัยนี้ก็ต้องถูกสอนมาอย่างนั้น โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในวงการศึกษาทั้งหลายที่ไม่ยอมออกมาจากกะลาเสียที คิดว่าระบบการศึกษาที่ดูแลอยู่ มันดี มันเริ่ด กีดกั้นครูกวดวิชา ฯลฯ เด็กนักเรียนบางคนที่ไม่ได้สนใจอะไรเลยเพราะตัวเองด้วย เพราะสิ่งแวดล้อมด้วย แถวบ้านผมพ่อแม่ให้ลูกชงเหล้าแล้วส่งเหล้าให้ลูกตัวเองกินด้วยซ้ำไป แต่ถ้าไม่เริ่ม มันก็จะเป็นยังงี้ต่อไปจนถึงรุ่นลูกของพวกเรานะครับ ส่วนเรื่องนักเรียนต่อห้อง ผมว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้แคร์หรอก แม้จะมีนักเรียนน้อยก็ตาม ผมอยู่ห้องพสวท(พัฒนาและส่งเสริมความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ถามว่าอยากเข้าเพราะอะไร เพราะสังคมในห้องมันดี ส่วน มีงานวิจัย มีข้อสอบที่ยากกว่าปกติมาให้ทำ มีโครงงาน แต่แม้เนื้อหายาก แต่ครูไม่พัฒนาการสอนให้มันเพิ่มขึ้นไป เด็กโอลิมปิคบางคนเก่งกว่าครูในเนื้อหาที่สอนด้วยซ้ำ ห้องนี้มีนักเรียน 30 คน แต่ครูแทบทุกทุกจะไม่ได้ดูแลเด็กทั้งหมดในห้องที่ทำเทียมกัน จะคอยโฟกัสมาที่เด็กเก่งๆเสมอ ผมเป็นคนเรียนได้อันดับต้นๆสายชั้น ครูจะพาไปแข่งนู่นนี้ตลอดแทบทุกสาระ คณิต วิทย์ อังกฤษ ไม่เว้นแม้แต่ไทยสังคม ซึ่งเวลาครูมาชวนผมก็บอกให้ไปหาเพื่อนคนอื่น แม้มันจะได้คณิตเกรด 1 แต่ภาษานี่พูดได้ไฟแลบ แต่ครูไม่เอา เหตุผล คือ "ไม่โดดเด่น" ซึ่งก็คือครูไม่ได้สนใจนั่นแหล่ะ พอผมไม่ไป ก็จิก ด่า กดเกรด "เธอเก่งแล้วนี่ ไปแข่งยังไม่ไป" ชีวิตมันไม่ได้มีแต่การแข่งขันนะครับ บางคนเค้าไปทางนึงไม่ได้ แต่ทางอื่นเค้าไปรุ่งได้แน่ แต่สิ่งที่ขัดขวางเค้าคือระบบ "GPAX" ที่วัดอะไรไม่ได้ ผมได้ 4.00 95 ขึ้นทุกวิชา ยังสู้บางคนที่ได้ 2กว่าๆในบางวิชาไม่ได้เลย แต่ระบบแอดมิชชั่นของไทย มันต้องใช้ GPAX ที่อาจตัดโอกาสคนบางคนที่เข้าหลายเรียนคณะนั้นๆ ต้องมานั่งแคร์เกรดเพราะต้องใช้ ไม่มีเวลาที่จะสนใจสิ่งที่ตัวเองสนใจได้เต็มที่ การสอบ O-Net ต้องสอบทุกวิชา รวมทั้งวิชาที่ไม่ได้ใช้ เรียนหมอต้องใช้ฟิสิกส์หรือเปล่าครับ ต้องมาเขียนสมการ S=vt เหรอครับ ก่อนสั่งยาให้คนไข้ต้องนั่งเต้นลีลาศก่อนเขียนเหรอครับ ? ปีที่แล้วเพื่อนพี่ผมเรียนศิลป์ภาษา แต่เป็นเด็กเทพอันดับต้นๆประเทศคะแนนวิชาศิลป์เกือบเต็ม ติดวิทยาเคมี ฬ ทั้งๆที่ไม่เคยเรียนเคมีจริงๆจังๆ แต่ต้องไปเรียนเพราะ "พ่อแม่อยากให้เรียนจุฬา" เหตุผลแค่นั้นจริงๆ ต้องมานั่งกวดวิชาเพราะเข้าไปแล้วตามไม่ทันเลย รวมถึงระบบข้อสอบที่แสนจะ... เรื่อยมาตั้งแต่ผ้าปูโต๊ะยันปัจจุบัน แจ้งไปไม่เคยแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นข้อสอบไม่ได้สัดส่วน ชีวะหนาเป็นพันหน้า ออกมา 25 ข้อกระจายข้อสอบไม่ดีอีกต่างหาก บางปีเน้นพืช บางปีเน้นสิ่งแวดล้อม มั่วไปหมด ข้อสอบผิดอีกต่างหาก บางข้อเกินหลักสูตรถ้าไม่ได้เรียนหมอปี 4 ไม่มีทางรู้แน่ว่าตอบอะไร GAT ที่บอกวัดความถนัดวัดอะไรได้นั้น ถ้าวัดได้จริงสอบ 3 ครั้งมันต้องคงที่หรือบวกลบไม่มาก นี่ครั้งแรกได้ 0 ครั้งที่ 2 ได้เต็ม ครั้งที่ 3 ได้กลางๆ วัดไรได้ ? วิศวะ ฬ หรือคณะอื่นๆปีล่าสุดรีไทร์เป็นร้อยนะครับ -0- สรุปคือ ถ้าจะปฎิรูป คือเริ่มจากตัวเราเองก่อน ถ้าเราเป็นผู้ปกครอง เราก็เปิดโลกออกมายอมรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ไปตามกระแสนิยม ต้องเป็นหมอ ต้องเรียนวิทย์ ลูกถนัดสิ่งไหนก็ให้ลูกได้ทำสิ่งที่ถนัด สิ่งที่สนใจ ถ้าเค้ามุ่งเน้นการดนตรีจริงๆ กีฬาจริงๆ ยังไงก็มีกิน ถ้าเราเป็นครู ที่ต้องเตรียมการสอนมาก่อนสอน ปัจจุบันหาครูที่เตรียมการสอนมาในโรงเรียนแทบไม่ได้เลย เห็นมีแต่กวดวิชาที่เตรียมการสอนมาดีมาก ครูบางคนแทบไม่ได้เตรียมการสอน มาอ่านให้นักเรียนฟัง ไปนั่งทำผลงานเลื่อนวิทยฐานะ บางคน C9 สอนไม่ดีเท่าครูฝึกหัดด้วยซ้ำ -*- สนใจเด็กให้ทั่วถึง ครูบางคนเด็กนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด ดันใช้เด็กไปซื้อน้ำ ซื้อข้าวซะงั้น เจริญสิประเทศไทย(อยากบอกว่าครูฟิสิกส์โรงเรียนผมบางคนไม่รู้จักสตีเฟ่น ฮอว์คิ่งด้วยซ้ำ แต่เด็กบางคนอ่านหนังสือเค้าหมดทุกเล่มแล้วนะ หึๆ) ตัวนักเรียน ที่ต้องเป็นเวลาให้เป็น ยอมรับสิ่งใหม่ๆ ในสมัยนี้นักเรียนหลายคน เรียนไม่ได้ งง ยังไม่ได้ลองทำความเข้าใจเลย ก็ไปpostถามว่าเรียนพิเศษที่ไหนดี พอจะสอบก็ถามเรียนพิเศษที่ไหนเก็งตรง บางทีข้อสอบเปลื่ยนแนว กวดวิชาสอนไม่ถึง ไม่ยากเท่า ก็ไปด่ากวดวิชา ผมว่าอ่านเองได้ผลกว่าเยอะ ส่วนตัวตอนนี้ไม่ได้เรียนอะไรเลยยังได้ที่1สายชั้นแทบทุกปี อ่านเองล้วนๆ ผมว่าถ้าคนเราจะทำอะไรมันทำได้ "ขึ้นอยู่กับว่าตัวนักเรียนตั้งใจทำสิ่งนั้นจริงๆหรือเปล่า" บางคนถอดใจบอกguโง่ ไม่ไหว ไปนั่งร้องไห้ กลัวไม่ติด เอาเวลามานั่งอ่านหนังสือดีกว่าไหม โรงเรียน ที่จะเข้มงวดกับกฎอะไรหนักหนา มีงานอะไรที่โรงเรียนต้องเอา สส มา แล้วสายตลอดเป็นชั่วโมง เด็กก็ยืนรอตากแดดร้อนกันไป ทำไมต้องเอาเวลาเด็กมาเสียแท้ๆ ชุดนักเรียนอันนี้รับได้ แต่ทรงผม? เพื่อไรครับ ตัดเกรียน 3 ด้าน จะเก่งขึ้น ผมมีโมอยู่จึงขอไว้ผมได้ ทั้งไว้ ทั้งย้อม ผมก็ได้ที่ 1 สายชั้น เห็นเด็กเก่งๆหลายคนวิ่งหนีทุกทีที่ตรวจระเบียบ มาถึงวัยนี้มันก็ต้องรักสวยรักงาม ดูแลตัวเองมากขึ้น แต่ครู กระทรวง ผู้ใหญ่ในวงการศึกษา หลายคน (รวมทั้งบ้างคนที่อาจมาติผมเรื่องนี้ในกระทู้นี้) จะไม่ยอมรับ ชั้นโดนมาอย่างนี้รุ่นต่อไปก็จะโดนยังงี้เรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่การศึกษามันจะเจริญ บางทีผมไม่ไปเรียนก่อนสอบ 2 อาทิตย์ นั่งอ่านหนังสืออยู่บ้าน โรงเรียนจะโทรมาด่า บอกทำไมไม่ไปโรงเรียน อยู่โรงเรียนจะได้ตักตวง ไม่เรียนกับครูจะได้อะไร คุณรู้ไหม ม.ท๊อปโลกอย่าง Harvard โปรเฟสเซอร์เก่งท๊อปโลกไม่รู้กี่สิบคน โนเบลก็ไม่รู้กี่สิบคน เค้ายังหยุดให้นักศึกษาไปอ่านหนังสือ 2 อาทิตย์ก่อนสอบ เพราะเค้าให้ความสำคัญกับ "เวลา" ของนักศึกษา แต่การศึกษาเมืองไทย คือ ยัดเวลาให้ได้มากที่สุด มากเท่าไหร่ยิ่งดี โรงเรียนผม สมมุติสอบ พุธ พฤหัส ศุกร์ นี่ให้เรียนถึงวันอังคาร เด็กไม่เครียดให้มันรู้ไป หนังสือเรียน แม้จะเป็นนักเรียนเรียนฟรี ก็ดีสำหรับคนที่ไม่มีทุนการศึกษา แต่กว่าจะได้? 2อาทิตย์ แล้วแต่ละเล่มอ่อนเพลียมาก ความยากไม่ได้ครึ่งของข้อสอบรับตรง ข้อสอบโอลิมปิค ข้อสอบทุน ข้อสอบต่างๆ ด้วยซ้ำ แต่แม้กระนั้นครูก็ตัดส่วนที่ยากๆออกไป บอกเกินความจำเป็น ทั้งๆที่โจทย์ตรงนั้นมันออกข้อสอบโอเน็ตเกือบทุกปี ไม่รู้เคยไปดูข้อสอบบ้างหรือเปล่า หนังสือตามท้องตลาดก็ด้วย ส่วนใหญ่โจทย์ซ้ำกันแหลกลาน เล่มนู้นลอกเล่มนี้ เล่มนี้เฉลยผิด เล่มนู้นเนื้อหาผิด แล้วไม่มีใบแก้มาให้ บางคนเอามาอ่านล่วงหน้าก่อนเรียนก็เข้าใจผิดกันไป ภาครัฐ กระทรวง สทศ ที่ต้องออกมาจากกะลา มารับรู้ด้วยว่าการศึกษาไทยเป็นอย่างไร และตัวคุณเองบริหารได้เป็น ล่าสุดเด็กคะแนนตกยกประเทศ ออกมาบอกเด็กแย่ เด็กไม่ตั้งใจเรียน เด็กมาตรฐานต่ำ ทำไมไม่ดูภาพรวม ตัวเด็ก พ่อแม่ ข้อสอบ หนังสือเรียน ตัวครู โรงเรียน สิ่งแวดล้อม ข้อสอบ ระบบ ว่ามันดีพอหรือยัง ไม่ใช่เห็นเด็กตกแล้วจะเอาการซ้ำชั้นกลับมาใช้ เพื่อนพี่ผมบางคนได้o-netอังกฤษ 90 สังคม 80 ไทย 90 แต่คณิต วิทย์ วิชาผ้าปูโต๊ะทั้งหลายตกก็ทำให้เค้าพลาดคณะที่ตัวเองอยากได้เหมือนกัน ข้อสอบรับตรงก็ใช่ว่าจะดี ข้อสอบSmart I(หรือ1เนี่ยล่ะผมก็ไม่แน่ใจ ยังไม่ได้สนใจเพิ่งม.4) ออกมาพระโคกินอะไรเป็นอาหาร ปีต่อมาออกพระโคกินอันนี้แล้วหมายความว่ายังไง ทั้งๆที่มันเป็นข้อสอบเข้าบัญชี -*- ที่สำคัญช่วยอย่ากีดกันกวดวิชา ครูกวดวิชาหลายๆท่านไม่ได้หวังกำไร แต่ทำเพื่อเด็กจริงๆ มากกว่าครูในห้องด้วยซ้ำ ค่าเรียน 2.5 ชั่วโมง หารแล้วก็ประมาณ 50-70 บาทแทบทุกที่ ทั้งๆที่ครูในโรงเรียนบางคนคิด 1 ชม 100 บาท เด็กไม่ไปเรียนก็กดเกรด บางทีเอาข้อสอบปลายภาคมาให้เด็กดูอีกต่างหาก(แต่ไม่เคยแคร์ 555 ไม่ชอบครูพวกนี้ ไม่ยกมือไหว้ด้วยซ้ำ) งานรองรับต่างๆ ปัจจุบันงบวิจัยด้านวิทยาศาสตร์น้อยมากกกกกก แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มีส่วนบางคนไปก๊อปของฝรั่งมาทั้งดุ้น มันก็ไม่น่าให้งบ บางคนชอบวิทยาศาสตร์ แต่ก็หันไปเรียนสายอื่นๆที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์สายบริสุทธิ์ สายสุขภาพ วิศวะ ฯลฯ เนื่องจากมีการรองรับ มีคนรู้จักจบมหิดลวิทยานุสรณ์ ต่อฟิสิกส์นิวเคลียร์เนื่องจากเค้าชอบ แต่หางานทำไม่ได้ ต้องไปเป็นครูจ้างสอน เป็นพนักงานห้องคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียน ตก 2 ปีกว่าจะหางานได้ แล้วได้ที่เมืองนอก เมืองไทยไม่มีงานวิจัยให้ทำ แล้วก็มีคนมาด่าไม่รักประเทศ ไปเมืองนอก ฯลฯ มันเป็นนี้ยัง บางทีเด็กmwitไปเรียนสายอื่นที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ก็โดนบ่น แต่จะว่าตัวนักเรียนก็ไม่ถูก เค้าก็ต้องคิดถึงอนาคตตัวเองเช่นกัน ปล.ขอบคุณทุกท่านที่ให้giveครับ<คห.79 ก็หวังว่าเป็นอย่างนั้นครับ ผมอยากเป็นอ.มหาลัย ไม่ก็นักวิจัย บอกตามตรงว่าอยากได้โนเบล(เพ้อ อย่าคิดมาก 555)> รู้สึกว่าจะยาว แต่มันอัดอั้นตันใจจริงๆ ไม่ไหวจะเคลียร์อ่อนเพลียมากๆ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 18:40:15 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 18:27:51 แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 11:41:00 แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 11:30:58 จากคุณ : THANODOM (THANODOM) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 11:17:24

ความคิดเห็นที่ 54 ผมเห็นด้วยกับวิทยากรในเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่คงทำในเมืองไทยได้อยาก วิธีการไม่เป็นที่ยอมรับ และเป็นค่านิยมไปแล้ว ไม่แปลกใจหรอกที่คนรวยๆไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง คนเก่งๆจะผันตัวเองอยู่ในระบบที่เป็น Safe Zone ซึ่งก็แค่พอมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อน จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 12:33:15

ความคิดเห็นที่ 55 ห้องเรียนจริง ๆ ต้องแบบนี้สิ เป็นห้องเรียนจริง ๆ ไม่ใช่สี่เหลี่ยม ๆ แล้วยัดเด็กไว้ 50 คนแล้วให้ครูคนเดียวตะโกนปาว ๆๆๆ มันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยครับ เป็นใครก็ไม่อยากไปเรียน อย่างเต็มที่ให้แค่สิบห้านาที ที่ยังมีสมาธิฟังครูสอนอยู่บ้าง แล้วแต่ละวัน มาโรงเรียนทำไม มาเจอเพื่อน มาเข้าแถว หรือมารอเวลาเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน  ผู้ใหญ่ก็เห็นกันอยู่ รายการนี้ ท่านก็ไปซื้อมาจากต่างประเทศ ท่านเห็นอยู่เค้าเรียนกันแบบไหน บรรยากาศเป็นอย่างไร แต่พอสอบเข้าครั้งนึงก็ออกข่าว เด็กกำลังทำข้อสอบ ท่านเข้าไปในห้องสอบให้ช่างภาพถ่ายภาพทำไม มองสีหน้านักเรียนสิ ดีใจมาก ๆๆๆ ที่ได้ออกทีวี เหอ ๆๆ เค้ากำลังสอบนะครับท่าน เครียดนะนั้น แต่ท่าน ๆ ยิ้มหรา   ผมว่าการเรียนก่อนมหาวิทยาลัย เหมือนการเรียนพละนั้นแหล่ะครับ ค้นพบตัวเองให้เต็มที่ หาตัวเองให้เจอ แล้วไปมุ่งหมั้นในระดับอุดมศึกษา ไม่ใช่ว่า ตั้งใจจะสอบเข้ามาหาลัยให้ได้อย่างเดียว แล้วเพิ่งมาพบตัวเองเมื่อตอบขึ้นปีสี่ ซึ่งก็สายเกินไป จากคุณ : กฤษณากลั่น เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 12:54:35

ความคิดเห็นที่ 56 1.ลดจำนวนครูต่อห้อง 2.กระจายโรงเรียนขนาดใหญ่ ให้แตกออก จำกัดจำนวนนักเรียน แล้วส่วนเกินก็นำไปพิจารณาเปิดเป็นโรงเรียนใหม่ ให้รับผิดชอบเขตพื้นที่ของตัวเอง โดยให้คุณภาพวัสดุอุปกรณ์การสอนของโรงเรียนใหม่ ไม่แพ้โรงเรียนเดิม 3.กำจัดระบบกวดวิชา การเรียนมัธยม ไม่ควรเพียงเพื่อเป็นทางผ่านสู่มหาวิทยาลัย 4.ครูไทย เลิกทำงานประเภทว่า "หนังสือมา งานฉันก็เดิน" 5.โรงเรียนอาชีวะ ควรจะได้รับการยอมรับมากขึ้น 6.เลิกระบบอุปถัมภ์ การทำงานข้ามหน้าข้ามตาและถูกกำจัดกลางทางด้วยผู้มีอำนาจเหนือกว่า จะเป็นการปิดกั้นการพัฒนา จากคุณ : CaminoReal เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 13:08:55

ความคิดเห็นที่ 57 เห็นด้วยส่วนนึงนะ เสียดายเวลาที่ใช้ไปกับห้องเรียนยอมรับว่าที่ผ่านมาได้ความรู้จากในห้องเรียนน้อยกว่าที่ควร กลับบ้านก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว ยิ่งโรงเรียนไกลบ้าน กลับไปยังต้องมานั่งทำการบ้านอีก แถมงานที่ครูสั่งส่วนมากไม่ได้ช่วยให้เข้าใจบทเรียนเลย พวกโจทย์คณิตนี้ก็มีประโยชน์ แต่วิชาอื่นๆ ที่ชอบสั่งให้ทำรายงาน โครงงานเสิร์ชหาในเน็ตมาแปะๆบอร์ด ปริ้นท์เป็นเล่มส่ง แล้วให้คะแนน เป็นอะไรที่เบื่อมากๆ เปลืองทรัพยากรโลกอีกตังหาก จากคุณ : student-dying เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 13:33:44 A:124.121.223.97 X: TicketID:274506

ความคิดเห็นที่ 58 ผมว่าคนไทยเก่งๆ ที่ผ่านมาจากระบบการศึกษาแบบเก่านี่ก็เยอะนะ และคนสมัยก่อนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ประสบความสำเร็จอยู่ในปัจจุบันก็มีอยู่มาก ก็เลยสงสัยว่า การปฏิรูปการศึกษาของเราเนี่ย มาถูกทางหรือเปล่า (เช่น การพยายามเปิดโอกาสทางการศึกษา โดยเอา คนที่ควรไปตั้งต้นทำอย่างอื่น มาเรียนมหาวิทยาลัย ให้เสียเงินเสียเวลาเปล่ีา หรือเปิดรับเด็กกันไม่อั้น ทั้งที่ไม่มีความพร้อม หรือรู้ๆ อยู่ว่าจะทำให้ประสิทธิภาพการเรียนการสอนลดลง) -------------------- ส่วนการบังคับเด็กให้เข้าห้องเีรียน เช่น เช็คชื่อ ให้คะแนน เป็นต้น มองในแ่ง่ดี ก็เป็นการฝึกระเบียบวินัย เพราะถ้าไม่ับังคับ ด้วยสังคมสมัยนี้ สงสัยไปอยู่ร้านเกมส์กันหมด จากคุณ : lekhaew (lekhaew) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 15:50:00

ความคิดเห็นที่ 59 ทุกวันนี้ถ้าถามผมว่าผมได้อะไรกับการเรียนประถมมัธยม ผมบอกได้อย่างเดียวว่าได้แต่เพื่อน ส่วนเกรดที่อยู่ในสมุดพก ผมก็ทิ้งไว้ในห้องเรียนอย่างนั้น เพราะตัวเลขในสมุดพกนั้น ไม่ได้ทำให้ชีวิตของผมและเพื่อนดีขึ้นหรือต่ำลงตามเกรดที่ได้ ยิ่งกว่านั้นการเรียนสายสามัญ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผมและเพื่อน "หาตัวเองไม่เจอ" ไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไรต่อไป หรือเราชอบด้านไหน ลอยไปลอยมาอยู่ในมหาลัย ย้ายคณะโน้นนี่นั่น สุดท้ายก็จบมั่งไม่จบมั่ง กว่าจะเป็นผู้เป็นคนกันก็ต้องเข้าสู่วัยทำงาน ที่ใช้ประสบการณ์จริงๆ ที่ไม่มีอยู่ในมหาลัยเลยสักนิด มันก็แปลกที่พูดกันป่าวๆว่า สนับสนุนความคิดนอกกรอบ ทั้งๆที่ เรียนกันอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ... จากคุณ : Perfect Duck เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 16:18:25

ความคิดเห็นที่ 60 ก็มัวแต่ยัดเรื่องบ้าๆ ใส่สมองเด็ก...ล้างสมองกันเข้าไป จากคุณ : ชินโนะสึเกะคุง เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 16:24:06

ความคิดเห็นที่ 61 ผมขอสรุปผลการศักษาไทยไว้อย่างนี้ละกัน บริษัททั่วๆไป รับพนักงาน จะให้เงินเดือนแบบนี้ คนจบ ป.ตรี  ได้เงินเดือน 8000 บาท คนจบ ม.6 ได้เงินเดือน 7500 บาท คนจบ ม.3 ได้เงินเดือน 7000 บาท แล้วจะเสียเวลา เสียเงินไปเรียนทำไม จากคุณ : kos123 เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 16:34:08

ความคิดเห็นที่ 62 ซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 16:39:23 จากคุณ : kos123 เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 16:36:13

ความคิดเห็นที่ 63 *47 ไปเล่นบอลมันเสียสละตรงไหน ไปเชียร์บอลมันเกิดคุณธรรมยังไง แบบนี้เปลี่ยนโรงเรียนเป็นโรงบอลสิ พอทุกคนเล่นบอลหมด คนที่ไปเรียนหนังสือจะกลายเป็นคนที่เสียสละไม่เล่นบอลแทน บ้าไปแล้ว คลิปแรกเหมือนจะดี คลิปนี้เพ้อเจ้อ จากคุณ : Darigaaz เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 17:16:02

ความคิดเห็นที่ 64 จากหลายความคิดเห็น ผมกล้าบอกได้ว่าบางท่านยังไม่เข้าใจคำว่า การเรียนรู้และการศึกษา การเรียนรู้คือการทำความเข้าใจและรู้ในสิ่งนั้นๆที่เราสนใจ การเรียนรู้จะเป็นกระบวนการพัฒนาตนเองที่ทำให้ผู้เรียนรู้สามารถนำความรู้มาต่อยอด การศึกษาคือพยายามทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่เราไม่รู้ เรียกว่าการกระทำเพื่อพัฒนาตนเอง แต่การศึกษาจะต้องพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นๆ มีความแตกต่างกันคือการเรียนรู้ผู้เรียนไม่มีความเคร่งเครียดเพื่อให้เข้าใจ ด้วยความรู้สึกชอบจึงเข้าใจ แต่การศึกษาต้องมีความพยายามและความตั้งใจ จึงเกิดความเคร่งเครียด ความต้องการของผู้บรรยาย ต้องการจะให้เข้าใจถึงการเรียนรู้ของเด็กไทย เพราะทุกวันนี้เด็กไทยไม่ได้เรียนรู้แต่เป็นการศึกษาึเพื่อให้รู้โดยไม่มีความเข้าใจ แต่ด้วยบุคลากรครูไม่เข้าใจวิธีการทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ ผู้บรรยายจึงชี้ให้เห็นถึงวิธีการทำให้เด็กอยากเรียนรู้ ซึ่งมันเป็นวิธีการเดียวกับที่ผมใช้สอนนักศึกษาและประสบความสำเร็จ นักศึกษาของผมบรรลุเป้าหมายการเรียนสามารถมีงานและอาชีพตามที่คาดหวัง ผมเชื่อว่าการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ต้องให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถนำไปใช้ใด้ จากคุณ : folkarts เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 17:41:11

ความคิดเห็นที่ 65 #61 แต่โอกาสก้าวหน้าไม่เท่ากันครับ ไม่เถียงว่าอาจมีข้อยกเว้น แต่ส่วนใหญ่คนที่จบสูงกว่ามีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า แต่ที่พูดมา ใช่จะเห็นด้วยกับระบบการศึกษาปัจจุบันนะครับ ออกจะรังเกียจด้วยซ้ำ แต่ที่ยกมามันไม่ใช่เหตุผลครับ #63 ผมกลับมองว่า การคิดแบบนี้อาจจะยึดติดไปหน่อย แต่ก็เห็นด้วยว่า ถ้าเป็นโรงเรียนบอล เด็กที่เรียนก็จะเป็นฝ่ายเสียสละแทน ก็เป็นการเสียสละที่จะไม่ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากทำไงครับ ทุกอย่างมีแง่มุมครับ ขึ้นอยู่กับว่าจะมองจากมุมไหน จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 18:58:37

ความคิดเห็นที่ 66 นิยาม "การศึกษา" ของคุณ Folkarts น่าจะหมายถึงการ Analysis คือ ทำความเข้าใจในสิ่งที่เรายังไม่รู้ และสนใจจนเข้าใจทุกแง่มุมใช่มั๊ยครับ... สำหรับผมมันอยู่ในเรื่องเดียวกับ "การเรียนรู้" (Learning) ครับ ผมว่า "การศึกษา" ที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามปฎิรูปกัน น่าหมายถึง "ระบบการศึกษา" (Education)ครับ เพียงแต่เรายังเข้าใจว่า "การศึกษาที่ดีหมายถึงการอัดฉีดความรู้ (Knowledge Injection) เข้าไปเยอะๆ ซึ่งมันเก่าไปแล้วครับ จาก Bloom Taxonoly แบ่งระดับองค์ความรู้ของคนไว้เป็น 6 ประเภท ได้แก่ - Knowledge คือองค์ความรู้แบบ จำได้หมายรู้ ถามอะไรตอบได้ - Analysis คือ สามารถคิดวิเคราะห์ แยกแยะองค์ประกอบสิ่งที่ตัวเองเข้าใจได้ - Application คือ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ได้ - Comprehensive คือ เข้าใจ - Synthesis คือ สามารถนำความรู้ต่างๆมาสังเคราะห์ จนเกิดเป็นสิ่งใหม่ได้ - Evaluation คือ สามารถประเมินถูก-ผิด ได้ แนวทางในการศึกษาของไทยที่เป็นแบบอัดฉีดความรู้ (Knowledge Injection) ทำให้เกิดองค์ความรู้ที่เป็นประเภท Knowledge มาก ซึ่ง การมีองค์ความรู้ประเภทนี้โดยที่ไม่มีความรู้ประเภทอื่นจะทำให้เกิดอาการ "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" ครับ (ผมว่าอาการนี้มันก็กระจายกันทั่วโลกนะ ปัญหาด้านนี้เป็นวาระระดับโลกเลยก็ว่าได้) ข้อเสนอแนะครับ ปัญหาด้านการศึกษาไทยคงจะไม่สามารถแก้ได้ด้วยการหาเหตุให้เจอ แล้วแก้ที่เหตุนั้น เพราะว่า เหตุผลมันอีรุงตุงนังเหลือเกิน แล้วก็เหตุบางอย่างก็ไม่สามารถแก้ไขได้ครับ ขอเสนอให้ลองแก้ปัญหาด้วยแนวทาง "การพัฒนาัปัญหาให้ไม่เป็นปัญหาครับ" อาจจะงง แต่ขอยกตัวอย่างในความคิดเห็นถัดไปนะครับ จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 19:16:35 A:14.207.142.119 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 67 คนไทยชอบคิดว่า เรียนเก่ง แปลว่า ฉลาด ฉลาด แปลว่า เป็นผู้นำ เป็นผู้นำ แปลว่า เป็นคนดี ลองแยกทีละส่วนดีๆนะครับ แล้วคิดว่าเกี่ยวกันไหม แก้ไขข้อความ แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 19:23:19 จากคุณ : หระบี่หัก หิมะเหิน (กระบี่หัก หิมะเหิน) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 19:22:13

ความคิดเห็นที่ 68 ตัวอย่างการแก้ปัญหาแบบ "พัฒนาปัญหาให้ไม่เป็นปัญหา" ประเทศไหนสักที่ในโลก จำได้เลาๆว่าน่าจะเป็นสวิสเซอร์แลนด์มั๊งครับ เป็นประเทศที่มีปัญหาน้ำท่วมบ่อยมาก เพราะว่าอยู่ำต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แล้วก็เป็นแอ่ง หมู่บ้านหลายหมู่บ้านพยายามแก้ปัญหาโดยการสร้างเขื่อน ป้องกันน้ำทะเลเข้ามาท่วมหมู่บ้านตนเอง แต่มีหมู่บ้านนึงแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ครับ เค้าทำบ้านให้เป็นแพ... หน้าร้อน บ้านก็อยู่บนพื้นดิน ถ้าน้ำมา ก็ได้อยู่บนแพ บ้าน 1 หลัง มี 2 บรรยากาศ อยู่ได้ตลอดทั้งปี ไม่เปลืองตังค์สร้างเขื่อน แล้วเป็นการแก้ปัญหาแบบ "พัฒนาปัญหาให้ไม่เป็นปัญหา" อย่างไร ปัญหาคือ น้ำท่วมทำให้บ้านอยู่ไม่ได้ ถ้าจะแก้ที่สาเหตุก็ต้องทำให้น้ำไม่ท่วมโดยการสร้างเขื่อน วิธีการนี้ทำให้ บ้านอยู่ได้ เพราะน้ำหายท่วมแล้ว (ขจัดให้สาเหตุหายไป) แต่สำหรับวิธีการนี้คือ น้ำท่วมทำให้บ้านอยู่ไม่ได้ ปล่อยมันท่วมไปก็แล้วกัน ปรับบ้านใหม่ก็จะกลายเป็น บ้านอยู่ได้ น้ำก็ยังท่วมอยู่ (สาเหตุยังอยู่แต่ไม่เป็นปัญหาแทน) แน่นอนครับ ทุกคนเห็นตรงกันว่าการศึกษาไทยมีปัญหา แล้วก็เห็นสาเหตุกันแล้ว แล้วแต่ละสาเหตุก็แก้ไม่ได้ด้วย... ลองมองอีกมุมนึงกันมั๊ยครับ ว่า เราจะอยู่กับสาเหตุนั้นแล้วเอามันมาทำให้การศึกษาเราดีได้อย่างไร จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 19:25:50 A:14.207.142.119 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 69 คห.10 คุณ sun_center ไม่ต้องเสนอครับ เพราะมีแล้ว ที่อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ http://www.volunteerspirit.org/node/1093 เคยดูรายการแล้วชอบมาก เป็น home school ที่สร้างโดยพระรูปนึง สอนเด็กที่อยู่บนดอย ไม่ได้สอนทุกคนนะ สอนเฉพาะคนที่อยากเรียน คนที่อยากจบมาเป็นเกษตรกร (เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ยังมีเด็กแบบนี้อยู่ ผมอยู่แต่ในกรุงเทพ ไม่เคยเห็น และ ไม่เคยคิดว่าจะมีจริงๆครับ) เด็กคนไหน อยากปลูกข้าว ก็ส่งไปเรียนกับชาวนาที่ปลูกข้าวที่เก่งสุดในประเทศ ว่าเค้าปลูกกันยังไง ปลูกจากที่บ้านเราปลูกยังไง เด็กคนไหน อยากปลูกสมุนไพร ก็ส่งไปเรียนกับคนที่สอนการแปรรูปสมุนไพร แล้วก็กลับมาพัฒนาบ้าน พัฒนาชุมชน ผมว่าจริงๆ แล้วประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรที่พยายามทำตัวอุตสาหกรรม การเรียนแบบปัจจุบัน มันเอาไว้ป้อนระบบอุตสาหกรรม ไม่ใช่เกษตรกรรม แล้วคนที่อยากเรียนเกษตรกรรม จะทำยังไงล่ะ ไม่เกิดการพัฒนา  ไม่เก่ง ก็ต้องยากจนอยู่อย่างนั้น ผมว่าสำคัญที่สุด คือ ครู ครูที่ไม่ได้มีนิสัยชอบเรียนรู้ จะทำให้ลูกศิษย์เกิดอยากเรียนรู้ได้ยังไง ผมว่าครูที่ดีต้องอัพเดต ผมเรียนหมอมา อาจารย์หมอต่างกับอาจารย์ประถม มัธยมผม ตรงที่ ทุกคนอัพเดตมาก(ทุกคนจริงๆ) กลับบ้านต้องอ่านเปเปอร์ตลอด เพราะนักเรียนเก่งมาก และก็อ่านมาไม่น้อย ถ้าไม่อัพเดต มีสิทธิ์จะโดนไล่ตาม ค้ำหัวเอาง่ายๆเลย แถมอัพเดตไม่ใช่อัพเดตระดับปี แต่เป็นระดับเดือน บางครั้งระดับวัน เพราะการวิจัยทางการแพทย์มันมีมาก คิดว่าน่าจะมากกว่าทุกสาขาวิชาในโลกนะ แล้วก็เปลี่ยนค่านิยมการศึกษาของเราซะใหม่ เรายังมองการศึกษาเหมือนการไปชุบตัวอยู่เลย ไม่ได้เรียนเพราะอยากเรียนจริงๆ แต่อยากเรียนเพื่อให้ได้ว่าเรียนจบแล้ว มีวุฒินะ จบเมืองนอกนะ จากคุณ : รบมิพัก รักมิยั้ง เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 20:58:11

ความคิดเห็นที่ 70 ก่อนจะมองตรงนั้นตามที่ clip ว่านั้นเรามามองสาเหตุที่ผู้ปกครองหรือใครบังคับให้เรียนไหม ว่าทำไมต้องบังคับ หลักๆก็คือความมั่นคงในชีวิตหรือเงินนั่นละ ผมถามหน่อยว่าเราเรียนตามที่ชอบเรียนตามที่เรียนรู้ แต่ตัวสังคมไม่ยอมรับจะให้ทำไงคับ ทำไมวิศวะ หมอ เงินเดือนถึงสูงกว่า ทำไม ดนตรี ศิลปะเงินเดือนหรือรายได้น้อย แล้วเราๆท่านๆอยากได้แบบไหนคับ ทำตามที่ชอบ เรียนรู้ ศึกษาในสิ่งที่ัรัก แต่อดตาย วิธีแก้นั้นง่ายมาก เปลี่ยนค่านิยมการทำงาน การยกย่องใหม่ซะ ว่าต้องวิศวะ หมอ เท่านั้นเพื่อให้เด็กมีทางเลือกมากขึ้น และมองเห็นว่า เออนะถ้าเราเรียนแบบนี้ แบบที่เราชอบไม่อดตายนะ อะไรทำนองนี้ไม่ดีกว่าเหรอ จากคุณ : patiwedh (PaTiwedH) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 23:39:07

ความคิดเห็นที่ 71 คุมเข้มละครหลังข่าว เน้นละครเพื่อเด็ก ก็แค่นั้น จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 00:05:42

ความคิดเห็นที่ 72 #70 เหมือนอาจารย์จะเคยพูดในอีกคลิปนึงนะครับ เกี่ยวกับ ปวช. ปวส. หรือสายอาชีพอื่นๆ ไปเรียนเอาวุฒิปริญญาตรี เพราะไม่งั้นเงินเดือนจะไม่ดี ทั้งๆที่ เขามีความเก่งทางด้านสายอาชีพที่เขาได้เรียนมา แต่พอไปเรียน ปริญญาตรี แล้วเอาวุฒิปริญญาตรีไปสมัครเป็นพนักงานบริษัท มันเท่ากับเสียบุคคลากรในสายอาชีพนั้นๆไปเลย 1 คน ประมาณนี้อะครับ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 54 00:06:07 จากคุณ : NEO SECRET เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 00:05:43

ความคิดเห็นที่ 73 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X10426979/X10426979.html จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 01:12:08

ความคิดเห็นที่ 74 สำหรับเด็ก ป.1 ถึง ม.3 ผมว่าก็ดีแล้ว แค้เพิ่มเติ่ม หรือ ลด บางวิชา ผมอยากให้เด็กได้เรียน กฎหมายทั่วไป หรือ กฎหมายยาวชน เพือนจะได้รู้ว่า เราทำไรผิด หรือ มีใครมาทำผิดกลับเรา อีกอย่าง ..... อยากจะให้เปลียนค่านิยม ดีกว่า พ่อแม่ส่วนมาก อยากให้ลูกจบอย่างน้อย ป.ตรี โดยไม่สนใจว่า ลูกจะเรียนวิชาอะไร ลูกจะมีความสามารถเรียนได้หรือป่าว ทุกวันนี้ไม่มีตัง ก็ขายวัว ส่งควายเรียน มีเยอะมาก  ... พ่อแม่ ก็หวังจะให้ลูกไปทำงานมาเลี้ยง แต่ลูกมันได้เงินเดินนิดเดียว แค่จะเลี้ยงตัวเองก็ยากแล้ว อยากแนะว่า ใครมีลูกหลาน ที่กำลังจะเข้าเรียน ป.ตรี ควรเลือก วิชา คณะ ที่จบแล้วได้เงินมากๆ  หรือถ้าเด็กชอบ คณะนั้นๆ ก็อีกเรื่องนึง พูดง่ายๆ ก็ ต้องเรียน หมอ วิศวะ พวกๆนี้ ที่จบแล้ว ได้เงินเยอะแน่ๆ ดีกว่า ไม่ใช้ไปเรียน รัฐศาส  บริหาร  การจัดการ  จิตรวิทยา   ที่ อาจารย์ บอกว่าจบมาแล้วทำงานได้หลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่าง มี บริษัทสายตรงรับน้อยมาก ส่วนใหญ่จบมา ก็เป็น แอ็ดมิน  นั่งพิมงาน ส่งเอกสาร   สรุปแล้ว ก็เสียเงิน เสียเวลา ไปปล่าวๆ จากคุณ : kos123 (kos123) เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 03:06:04

ความคิดเห็นที่ 75 ต่อ... ผมไม่ใช้จะไห้ เด็กจบ ม.3 ปับแล้วให้ทำงานเลย  เป็นไปไม่ได้ เพราะอายุยังน้อย ความรับผิดชอบยังไม่ค่อยมี   โดนหรอกง่ายด้วย ต้องอายุ 20 ขึ้นไป ถึงจะทำงานได้ดี ผมว่า รัฐ ควรให้เรียนฟรีถึง ม.6 หรือ ปวช ไปเลย จะดีเลวยังไง เด็กผู้หญิงก็ยัง พิมพ์ดิดได้ ใช้ word exce ได้บ้าง   เด็กผู้ชาย ก็ซ่อมรถ  วิทยุ  งานเหล็ก งานก่อสร้าง ได้บ้าง จากคุณ : kos123 เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 03:16:33

ความคิดเห็นที่ 76 เรายังเชื่อว่า การศึกษาสูงๆทำให้เด็กได้รับโอกาส ความรู้และ สังคมดีดีเพิ่มขึ้น แต่จะทำยังไงคะ ที่ทำให้เด็กรักที่จะเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนเพราะสั่งคมคาดหวังให้เรียน เป็นหมอเพราะใจรักในการช่วยเหลือ ไ่ม่ใช่อยากได้เงินเดือนสูงๆสังคมดีดีเพียงเท่านั้น เราว่าน่าจะมีการปรับความคิด ค่านิยม ตั้งแต่เด็ก เพื่อให้มีความสุขในเวลาเรียน อาจลดความรู้พื้นฐานลงบางส่วน เพิ่มเวลาให้เด็กใช้ความคิดเองบ้าง ลดค่านิยมการเรียนพิเศษแต่เด็ก  ไม่ว่าจะเรียนเพราะพ่อแม่ขี้เกียจมารับลูกให้ทันเวลา หรือเรียนเพราะเห็นคนอื่นเก่งเกินหน้าเกินตาแล้วยอมไม่ได้ พ่อแม่ต้องใส่ใจลูกมากขึ้น ให้เวลากับลูกมากขึ้นในการสอน อบรม ให้มีจิตใจดี โรงเรียนไม่ได้ให้ทุกอย่าง เรามีลูกแล้วรู้เลยว่า หากคุณปล่อยลูกไปโรงเรียน กลับมาไม่ได้ใช้เวลากับพ่อแม่ แบบนั้นจะกลายเป็นเด็กที่ขาดการอบรมทางจิตใจ ค่านิยมในการมีเงิน มีหน้ามีตา ทำให้เด็กแก่งแย่งกันเพื่อที่จะเรียนเก่งและอยู่ในสังคมสูงๆ แต่คนพวกนี้ ขาดการอบรมทางจิตใจนะคะ สำหรับลูกเรา เราไม่เคยหวังเลยคะ ว่าจะต้องเรียนเก่งมากมาก หรือต้องมีอาชีพอะไร อยากให้เค้า มีความสุขในทุกวันที่อยู่บนโลกใบนี้ พยายามเรียนให้มีความรู้พอประมาณ เป็นคนมีจิตใจดีไม่คิดร้ายกับใคร   หากเค้าเป็นได้แบบนี้เราก็รู้สึกว่าเราเป็นแม่ที่มีความสุขมากที่สุดแล้ว อิอิ เวิ่นเว้อไปรึปล่าวเนี่ย พิมไปพิมมา อินซะงั้น จากคุณ : ผึ้งตัวน้อย เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 08:48:56

ความคิดเห็นที่ 77 ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ครับ การศึกษาไทยมันเน้นไปที่คะแนน + กรอบ + ความสบายของครู มากกว่าครับ โรงเรียนหลานผมปิดบ่อยมาก เดี๋ยวครูประชุม เดี๋ยวครูอบรม เดี๋ยวครูดูงาน จากนั้นก็ให้การบ้าน advance มา คือทำการบ้านก่อน เดี๋ยวอาทิตย์หน้าครูมาสอน ผมเห็นด้วยที่อาจารย์ว่า ทำอย่างไรให้เด็กอยากสนุกกับการเรียน ทำอย่างไรให้คุณครูอยากสนุกในการสอน ป.ล เด็กบางคนแบกกระเป๋าหนักสิบกว่ากิโล ไปโรงเรียนทุกวัน จากคุณ : รับประกันหมื่นปี เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 10:04:18

ความคิดเห็นที่ 78 ผมว่าเราต้องเริ่ที่พ่อแม่ ตามด้วยโรงเรียน ครู เพราะเด็กน่ะเป็นผ้าขาว(จริงอยู่ที่คงไม่ขาวเท่ากันทุกคน) ผมว่าเราต้องเริ่มที่กระตุ้นให้เด็กอยากไปเรียก ไม่ใช่บังคับให้ไป แต่ไอการที่ปล่อยตามสะดวกผมว่าก็เกินไป มันต้องมีระดับการเรียนรู้พื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้ และต้องบังคับให้รู้ ที่ใช้คำว่าบังคับ เพราะผมคิดว่ามันจะเป็นการสอนให้รู้จักรับผิดชอบอย่างน้อยก็ในสิ่งที่ควรทำ เผาว่าเรายังต้องมีเกรด แต่ไม่ใช่ใช้เกรดตัดสินทุกอย่างว่าเด็กดีไม่ดี เพราะอย่างน้อยเราต้องให้เด็กรู้ว่าเค้าทำได้ดีมั้ย แต่ต้องไม่ทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน อีกเรื่องที่อยากให้ส่งเสริมสุดๆคือการให้เด็กค้นพบสิ่งที่อยากทำจริงๆ ไม่ใช่แค่เรียนเก่งเป็นพอ สังคมไม่ได้มีแค่หมอ วิศวกร นักธุรกิจ เราต้องการศิลปิน นักกีฬา ฯลฯ และยังไงๆ เราก็ต้องมีคนที่ทำงานล่างกว่านั้น  แต่เรื่องนี้มันจะโยงไปที่ค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่พอใช้อีก ตอนนี้แค่หวังให้การศึกษาเปิดโอกาสให้เด็กที่อยากเป็นพวกศิลปิน นักกีฬามากกว่านี้ก็คงเต็มที่ละ จากคุณ : RennasS เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 10:16:51

ความคิดเห็นที่ 79 คห. 53 ทัศนคติและวิธีเรียบเรียงการเขียนประหนึ่งผู้ใหญ่คุณภาพดีของสังคม ถ้าน้องกำลังจะขึ้นม.4จริงๆ พี่ว่าอนาคตน้องต้องเป็นบุคลากรที่ทำประโยชน์ให้ประเทศได้มากมายแน่ๆครับ จากคุณ : Silent_Jealouser เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 10:40:08

ความคิดเห็นที่ 80 เด็กๆ เล่นกันเพราะสนุกที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เด็กๆ ไม่อยากเรียนรู้สิ่งใหม่เพราะไม่ได้เล่น ถ้าอยากให้เด็กเรียนรู้ ต้องให้เด็กเล่น เรียนให้เป็นเล่น ทำไมเด็กประถม มัธยมต้น เล่นรถทามิย่าจนกระทั่งรู้หลักการของกระแสไฟฟ้า พลังงานแม่เหล็ก วงจรทรานซิสเตอร์ รีเลย์ วงจรสมมูลย์ของเซลไฟฟ้า การถ่ายเทพลังงานสูงสุด(maximum power transfer) โดยที่เด็กไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีชื่อเรียกว่าอะไร และเรียนกันในระดับอุดมศึกษา ทั้งที่ตัวเองเรียนแค่ประถม ? ทำไมเขาเรียนเรื่องยากๆ ได้ล่ะ ? ทำไม ? คิดเอาเอง จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 12:36:43

ความคิดเห็นที่ 81 เออ มาลองย้อนคิดดู สิ่งที่เรียนมาแต่เด็กเอามาใช้แค่อ่านเขียน บวกลบคูณหารแค่นี้เอง แต่สิ่งที่มีผลกับการงานคือ การใช้ชีวิตช่วงที่เรียนมหาลัยเปิด เพราะได้รู้จักคนเรียนรู้คน จากคุณ : lostman เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 12:36:45

ความคิดเห็นที่ 82 เข้ามา Like ความคิดเห็น 53 จากคุณ : pooSEK เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 12:39:50

ความคิดเห็นที่ 83 ส่วนตัวเลยนะครับ ตอนมัธยม เรียนอยู่สายวิทย์ในรร.ที่ดังมากของเชียงใหม่ (ทั้งตระกูล ตั้งแต่รุ่นลุงถึงหลาน เรียนที่นี้หมด) เกลียดวิชา เคมี ฟิสิกส์ มาก ผมไม่สามารถท่องตารางธาตุได้แม้ติดนิเดียว  และยิ่งมาเจอ พวก จำนวนจินตภาพ ลอการิธึ่ม ในเลข - -   เกรดในสมุดพก ไม่เคยเกิน 1.7 ตลอด 3 ปี ม.ปลาย  และทุกวันที่ไปเรียนถ้าไม่มีเพื่อน มันคือไปนรกดีๆนี่เอง แต่พอมามหาวิทยาลัย เกรดผมไม่เคย ต่ำกว่า 3 และผมไปเรียนอย่างมีความสุข สาเหตุเดียวเลย เพราะผมได้เรียนในสิ่งที่ผมชอบ ผมชอบ ธุรกิจ การตลาด สิ่งเหล่านี้ผมไม่ไ้ด้เรียนมาเลยในช่วงมัธยม แล้วอาจมีบางท่านว่าทำไม ไม่เรียนสายอาชีพ คำตอบก็คือ ค่านิยมของคนไทย ครับ ถ้าผมไปเรียนสายอาชีพ แม่ผมต้องโดนญาติๆ ต่อว่า  คอยโดนล้างสมองว่า ต้องเป็น หมอ เป็น วิศวกร  จนเห็นแม่แอบไปร้องไห้ ผมเลยต้องทนเรียนสายวิทย์เพื่อให้คนอื่นสบายใจ สิ่งแรกที่ต้องแก้ในการศึกษา คือ ค่านิยมปัญญาอ่อน ของคนหัวเก่าครับ จากคุณ : โจนาธาน โจสตาร์ เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 13:01:27

ความคิดเห็นที่ 84 สารภาพตามตรงเหอะครับ ผมเรียนมหาลัยปี1  1 ปี = เรียนมัธยมปลาย 3 ปี จากคุณ : Heimdall เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 13:03:40

ความคิดเห็นที่ 85 การทดลองใน #55 ผิดอย่างร้ายแรง มันต้องเป็นการไถลแท่งวัตถุที่ไม่มีล้อลงมาต่างหาก มิเช่นนั้น ล้อรถก็ต้องยึดติดกับฐานจนแน่น หมุนไม่ได้ มิฉะนั้นผลการทดลองจะขึ้นกับแรงเสียดทานที่แกนล้อ ไม่ใช่ที่พื้น !!!! จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 13:08:54

ความคิดเห็นที่ 86 เห็นด้วยนะกับความคิด พูดได้ แต่ทำไม่ได้ในเมืองไทยหรอกคะ พูดง่ายๆ คือ เป็นไปไม่ได้ ระบบการศึกษาไทยมันถูกปลูกฝังจนยึดรากเหง้าจนถอนไม่ออกแล้ว จากคุณ : mimi2p เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 14:31:11

ความคิดเห็นที่ 87 ครูไทยเงินเดือนน้อย(คุณภาพเลยน้อยตามหรือเปล่า?) ผมทำงานช่วยเหลือชาวเขาอยู่บนดอย วันหนึ่งมีภารโรงมาใหม่ส่งมาจากหน่วยงานรัฐฯหน่วยไหนจำไม่ได้ ขออภัย แต่ที่จำได้คือเงินเดือนมากกว่าครู!!! นี่คือเรื่องจริงครับ! จากคุณ : DUB-COOK เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 15:55:21

ความคิดเห็นที่ 88 ช่ายครับคุณ DUB-COOK อาจารย์ผมเปรียบหนักกว่านี้อีกนะครับ "นี่ คุณคิดว่ามีประเทศไหนในโลกที่หมอนวดเงินเดือนมากกว่าครู แล้วมันจะเจริญ" งี้ดเลย.. T-T จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 19:22:31 A:183.89.93.43 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 89 #88 ประเทศไทยไม่มีหมอนวดซักกะหน่อย.. มองซ้าย.. มองขวา.. ฟิ้ว.. จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 19:55:24

ความคิดเห็นที่ 90 ผมคิดว่าคนเราขาดความฝัน ไม่ให้ความสำคัญกับความฝันของตัวเอง ใช้ชีวิตไปวันๆ เรียนไปวันๆ ทำงานไปวันๆ จากคุณ : บาส (buzdesign) เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 23:43:37

ความคิดเห็นที่ 91 ผมเสียใจครับ ที่ผมไม่มีโอกาสได้เรียนสิ่งที่ต้องการ เพราะระบบการคัดคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เค้ากำหนดเกรดสอบตรง ผมไม่ถึงครับ และผมโง่คณิตมากด้วย บอกตรงๆ การเรียนคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนผม มันเลวร้ายมากครับ ทำให้ผมเกลียดเรื่องพวกนี้ไปเลย แต่พอมีโอกาสเรียนวิชาพวกนี้ในมหาวิทยาลัย ผมว่าผมชอบคณิตศาสตร์นะ จากคุณ : ลูกชายคนที่7ของลูกชายคนที่7 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 00:29:51

ความคิดเห็นที่ 92 เห็นด้วยกับที่ว่าห้องเรียนคนเยอะเกิน ห้องเรียนที่ผมเรียนมีอยู่ ประมาณ 60 คน ผมชอบเรียนภาษาอักฤษ เพราะจะมีครูชาวต่างชาติมาสอน จะมีมาสอนสองคน ครูจะแยกห้องเป็น 2 กลุ่มละแยกกันเรียน ก็จะเหลือแค่ 30คน ไม่ถึงด้วยซ้ำ ผมไม่เคยเห็นเขาจะสอนในห้องเรียนแม้แต่ครั้งเดียว เขาจะพาไปเรียนนอกห้องเรียนตลอด กิจกรรมก็สนุก เกรดก็ดีด้วย ทำให้ภาษาผมดีขึ้นมากกว่าเดิม หลังเรียนวิชานี้ก็กลับขึ้นไปเรียนเลขต่อ รู้สึกเลยว่าคนละบรรยากาศเลย ว่าแล้วก็หลับกันครึ่งห้อง 555 (ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำ) จากคุณ : Boyerz เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 01:43:41

ความคิดเห็นที่ 93 #88 curryเงินเดินแพงกว่าครู ผมอึ้งไปเลยครับ เป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่แต่ไม่เคยเอาวัดกัน จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 01:53:39

ความคิดเห็นที่ 94 ^ ^ ใกล้ๆจะแตะหกหลัก ทั้งนั้นครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 03:38:45

ความคิดเห็นที่ 95 ^ ^ ^ เกินกว่านั้นก็มีอยู่เยอะครับ จากคุณ : นายข่วย เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 08:09:38

ความคิดเห็นที่ 96 ขนาดผู้ใหญ่หลายๆคน ในห้องนี้ ยังไม่เข้าใจ ที่คลิปสื่อเลย แล้วจะหวังอะไรกับการปฏิรูปการศึกษา เพราะผู้ใหญ่ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้เรียน ไม่ค่อยมีความรู้กัน เลยอยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ บังคับ บังคับ บางคนก็หัวดีไปไหว แต่บางคนหัวไม่ดีล่ะ เขาจะมีทางออกยังไง จากคุณ : nong_ao เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 08:46:37

ความคิดเห็นที่ 97 ขู่บังคับ ยัดเยียด ลงโทษ ถ้ามีแบบนี้ใครล่ะอยากเรียน จากคุณ : เด็ก ป.6 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 08:51:48

ความคิดเห็นที่ 98 ความสุขในการเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการเรียนปัจุจบัน นี้ถ้าใครได้ลองดไปดูการสอนของบรรดากวดวิชาที่มีชื่อต่างๆที่เปิดอยู่ตอนนี้จะรู้เลยว่า "เค้าเลยคำว่าการสอนไปนานแล้ว" พวกเค้าสร้างให้การสอนเป็นเรื่องสนุกจนกระทั่งเด็กรู้สึกอยากเรียน ผมลองอ่านหนังสือแบบเรียนดูๆแล้วก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการซื้อจากข้างนอกมาอ่านแต่วิธีการสอนที่เค้าเอามาสอนให้ดูนี้สิเห็นแล้วอึ้ง... ครู ยืนร้องเพลงภาษาอังกฤษในห้อง บางทีก็แต่งตัวแปลกๆ หามุขสนุก ตลกมาเล่าให้นักเรียนฟัง ผมบอกได้เลยว่า ต่อให้เอาดอกเตอร์มาสอนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าเลย..เพราะสไตล์การสอนมันชั้นเชิงต่างกันเกินไป บอกได้เลยว่ากวดวิชาดังๆ "สอนเหมือนที่โรงเรียน + แนวข้อสอบเก่า"  แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือความสุขที่เหล่าครูกวดวิชามอบให้เด็กต่างหากที่ทำให้เด็กตั้งใจกลับไปอ่านหนังสือ เพื่อที่จะเอามาตอบครูในห้อง เพื่อคะแนนต่างๆ เพื่อของรางวัล อะไรก็ตามที่ไม่ใช่เสียงโห่ฮาจากเพื่อนๆในห้อง เวลาเราตอบผิด หรือ แม้แต่จะตอบถูกก็ตาม... --------------- แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับระบบ child center เพราะผมคิดว่า วิชาที่เด็กชอบ กับ วิชาที่หาเงินได้.. มันมักไม่ใช่อย่างเดียวกัน.... ลองนึกดูสิครับถ้าจะให้เด็กเลือกเรียนภาษาที่ 2 ในปัจจุบันเด็กจะเลือกอะไร ....ถ้าไม่ใช่ "เกาหลี".. ถ้าจะให้เด็กเลือกเรียนศิลปหรือดนตรีเด็กจะเลือกเรียนอะไร....ถ้าไม่ใช่ "K pop" ใครจะเลือกเรียน เพลงไทยเดิม นาฏศิลป์ หรือเรียนภาษา ฝรั่งเศส,จีน ? ผมเห็นเด็กหลายคนที่เลือกเรียนสิ่งที่ชอบ แต่สุดท้ายเค้าก็ไปไม่ถึงไหนในสังคมเพราะโลกแห่งความเป็นจริงมันโหดร้าย มันมีพรรคมีพวก มันมีระบบอุปถัมภ์ มันมีหัวหน้าที่จ้องแต่จะฟันลูกน้อง มันมีเงินใต้โต๊ะ มันต้องใช้เงิน มันมีดอกเบี้ยฯ มันมีค่าน้ำชา ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ในสังคมแต่เราหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน... ผมบอกได้เลยถ้ามี ระบบ Child Center รับรองได้อย่างว่า อีก 10 ปีข้างหน้าเราจะมีบุคคลากร ด้าน "นักร้อง" "นักกีฬา" "นักเต้น" "นักเล่นเกมส์" "ผู้ออกแบบเกมส์"  เต็มประเทศแน่นอน..เพราะอะไรนะเหรอครับ.. เพราะสาขาวิชาเหล่านี้มัน "สนุก" ไงครับ ไม่ต้องให้ใครสอนมันก็สนุกด้วยวิธีการของมันเองอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าให้ออกมาจากความต้องการของเด็ก ก็ย่อมไม่พ้นวิชาเหล่านี้แน่ๆ ถ้าให้มองมุมของ Child Center แต่ถ้าลองมุมมองของ Social หรือ Natioanl Center บ้างละครับคิดว่าประเทศต้องการสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า.. ประเทศไทย ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานอีกมากมาย และ การพัฒนาประเทศเรา ยังจำเป็นต้องใช้บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาทางด้านการเกษตร เศราฐศาสตร์ การแพทย์ วิศวะกร และ นักวิจัยกับนักพัฒนา อีกมาก ขาดนักร้องเพลง ไปอีกสักคนคงไม่ทำให้ประเทศไทยเราตกต่ำไปมากกว่าขาด หมอดีๆ เพิ่มมาสักคนหรอกครับ.... จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 13:39:54

ความคิดเห็นที่ 99 อยากให้มีการเพิ่ม เิงินเดือนครู เพื่อจูงใจคนเก่งๆ เหมือนกับ คนที่เรียนหมอหรือวิศวะ เพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่เรียนหมอกับวิศวะนั้น ส่วนนึงมาจากเรื่องของรายได้และฐานะในสังคม เมื่ออาชีพเมื่อเรายกระดับอาชีพครูให้ได้อย่างนั้น ตัวเลือกในอาชีพครูก็จะมากขึ้น เราก็จะมีครูเก่งๆมากขึ้น นั่นย่อมส่งผลไปถึงคุณภาพในการสอนด้วย เพราะผมคิดว่าครูที่สอนดี+สอนสนุก ใครก็อยากเรียน ส่วนเรื่องโครงสร้างหลักสูตร ผมเห็นด้วยว่าต้องมีการปรับปรุง แต่อยากให้เริ่มที่คนมากกว่าระบบ เพราะต่อให้หลักสูตรดีแค่ไหนถ้าคนสอนไม่มีความสามารถ ผลที่ออกมาก็คงไม่ีดีเท่าที่ควร ปล. ผมยังเคารพครูที่สอนผมเสมอ ที่มาออกความคิดเห็นแบบนี้ได้ก็เพราะครูสอนมาครับ (เดี๋ยวจะหาว่าผมดูถูกครู) ปล2. ผมเคยเป็นวิทยากรและทำหลักสูตรเพื่อสอน จึงพอจะรู้ว่าหลักสูตรที่เหมือนกันแต่เปลี่ยนคนสอน ผลที่ได้จะต่างกันเยอะครับ จากคุณ : อีกหนึ่งความเห็น เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 19:23:02 A:58.11.72.10 X: TicketID:165515

ความคิดเห็นที่ 100 ขอเป็นความเห็นที่ 100 ก็แล้วกัน.. ^-^ (ครั้งแรก ครั้งแรก.. .^-^) จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 20:12:07 A:183.89.163.54 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 101 เป็นครูค่ะ  เป็นครูเพราะตั้งใจจะเป็น เอ็นฯ เข้าคณะครูเพราะอยากเป็นครู ได้ร่ำเรียนวิชาเพื่อหวังว่าจะได้มาเป็นครู ตามความฝัน เมื่อเรียนจบก็ได้เป็นครูสมใจ... เมื่อเป็นครูแล้วพบว่าอยากสอน อยากทำแบบที่หลายๆท่านเสนอมา รู้ว่า นร ส่วนใหญ่ถนัดอะไร อยากเรียนอะไร (นร รร ขยายโอกาส) แต่ทำไม่ได้ อยากพา นร ไป เรียนรู้ที่มากกว่าตำรา เรียนรู้วิธีการสอนมากมาย แต่ใช้ได้ไม่ถึงครึ่ง เพราะอะไร??? เพราะ  พอสิ้นปี ทาง เขตพื้นที่ ทางกระทรวงก็จะดูว่า นร ได้คะแนนโอเนต NT เท่าไหร่ ทำไมถึงน้อย????  (แล้วจะให้ครูสอนเด็กแบบ นร เป็ยศูนย์กลาง)  แล้ว นักข่าวก็เอาไปพาด หัวว่า เด็กสอบตกทั้งประเทศ  T^T  ครูนี่โง่จริงๆสอนอะไร??? ดิฉันอยากให้ รร จัดวิชาเพิ่มเติมไปเน้นทางการงาน การฝึกอาชีพ  แต่เป็นครูผู้สอน   ผู้บริหารไม่เอาด้วย ดิ้นมาจนเหนื่อยแล้วค่ะื T^T เคยสอนใน รร สาธิต ม.หนึ่ง ได้เห็นความแตกต่าง ของ ครอบครัว นร ทั้ง รร ขยายโอกาส และ นร รร สาธิต  ทำให้เห็นได้ว่า  ครอบครัว และ สังคม มีผลกับการมา รร ของนร มาก อยากจะบอกทุกๆคนว่า  มันมีองค์ประกอบมากมาย ในการที่จะสร้างคนๆหนึ่งขึ้นมา เหนื่อยจริงๆค่ะ  แล้วก็ขอน้อยใจนะคะ  ที่ใครๆก็ว่าครู มีข่าวตีเด็กก็ด่าไว้ก่อน  มีข่าวเกี๋ยวกับครูก็ด่าไว้ก่อน ครูโง่ คนไม่เก่งมาเป็นครู บลาๆๆๆ น้อยใจค่ะT^T   ดิฉันว่า ประเทศไทย ต้องนิยามคำว่า "การศึกษา" กันใหม่ และต้องเปิดใจยอมรับความจริง และทำในสิ่งที่เป็นไปได้   เริ่งจากหนึ่งเดี๋ยวมันก็ก้าวไปเรื่อยๆ  เพราะในความคิดดิฉันแล้ว ทุกวันนี้ มันแค่คิดจะก้าว แต่เดินถอยสองก้าว ประจำ -"- ปล อาจจะเป็นกระทู้บ่นๆหน่อยนะคะ มันอัดอั้นนนนอะ แฮะๆ จากคุณ : LittleGolden เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 23:24:48

ความคิดเห็นที่ 102 ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ คนเก่งๆบ้านเราไปไหนครับ หมอ วิศวะ ? สอบหมอ วิศวะ ไม่ติดเรียนอะไรดี ครู ก็เเล้วกัน ครูบางคนจริงๆผมว่าท่านเองก็คงไม่ได้อยากจะมาเป็นครูนักหรอกเพียงเเค่สอบอย่างอื่นไม่ติดก็เลยมาเรียนเป็นครูเเค่นั้นเอง อาจารญ์ที่ รร ยังเเนะนำผมเลยว่าให้สอบครูเผื่อเอาไว้นะ เผื่อไม่ติดคณะที่อยากได้ ไม่ได้ว่า ว่าครูสมัยนี้ไม่เก่งพอนะครับ เเต่อยู่ที่ความตั้งใจในการสอนเด็กครับ อาจารย์บางคนที่ รร เวลาสอนทำไงครับ สอนกั้กครับ อยากรู้เพิ่มก็มาเรียนพิเศษกับครูสิ เผลอๆได้คะเเนนจิตพิสัยเต็มด้วย(เด็กเส้น) ไม่งั้น รร กวดวิชามันจะผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเหรอครับ อีกอย่างนึงคือไอ้พวกค่านิยมจำพวก"สกัดดาวรุ่ง" พอมีคนเก่งๆมาหน่อยก็ต้องขัดเเข้งขัดขา ไม่ให้ได้ดีไปกว่าตนเอง ต้องปิดกั้นโอกาส เดี่ยวจะเด่นจะดังไปกว่าตน อะไรพวกนี้เนี่ยควรต้องเเก้ด้วย ไม่งั้นมันคงไม่มีคำที่ว่า "จงทำดีอย่าทำเด่นจะเป็นภัย"หรอกครับ คนเก่งๆมันจะอยู่ในไทยไม่ได้กันพอดี โดน Import ออกนอกหมด คนไทยนะเก่งอยู่เเล้ว เเต่ส่วนมากไปเก่งที่ต่างประเทศทั้งนั้น สรุปเเล้วหลักๆผมว่าควรต้องเเก้เรื่อง"จริยธรรม"ก่อนเป็นสิ่งเเรกครับ พัฒนาด้านวัตถุไปก็ไม่ทำให้ชาติเจริญหรอกนะ ผมว่า ดูได้จากข่าวช่วงนี้ฟังเเล้วรู้สึกเเย่พิกล จากคุณ : สมาชิกที่7 เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 01:08:03

ความคิดเห็นที่ 103 ระวังนะครับ ให้ลูกเรียนอะไรมั่วๆๆๆไม่มีอะไรรองรับ เด็กจบ ป1 อ่านหนังสือไม่ออกสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ได้ เล่นตุ๊กตา ตัวการ์ตูนอย่างเดียว โตขึ้นก็มึนทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ประเทศชาติแย่ จากคุณ : bu เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 08:42:53 A:128.173.1.131 X:128.173.1.131, 127.0.0.1, 113.53.243.210 TicketID:109444

ความคิดเห็นที่ 104 ผมไม่เห็นด้วยมากๆอะ ขัดใจตั้งแต่เริ่มพูดแล้ว ดีแต่ด่า กับเหน็บ เอาสนุกปาก พอด่าเสร็จ แทนที่จะเสนอทางที่ดีกว่าให้ กลับเปลี่ยนเรื่องไปด่าเรื่องอื่นซะงั้น ถ้าแค่มานั่งพูดเหน็บประเทศตัวเองเอาฮา ผมว่าลาออกไปเล่นทอล์คโชว์ดีกว่าไหมครับ อย่างน้อยทอล์คโชว์คนฟังเขาก็รู้ว่าแค่มาพูดให้ขำ แต่นี่มันสัมนานะครับ ถ้าเกิดมีอาจารย์บ้าจี้เอาไปทำตามจริงๆจะว่าไง จากคุณ : ฉันมีค่าแค่ไหน เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 09:59:59

ความคิดเห็นที่ 105 ผมคงโชดดีที่มีครอบครัวที่เข้าใจและคอยส่งเสริมในทุกเรื่องและสอนผมมาโดยใช้หลักเหตุและผล ที่สำคัญคือพวกเค้าตามใจผมมากๆเพราะพ่อแม่บอกผมเสมอว่าเชื่อใจผมและรู้ว่าผมเป็นเด็กดี ผมคิดว่าพ่อแม่ผมเชื่อมั่นใจตัวเองมากกว่าเพราะเค้าคงมั่นใจว่าสอนผมมาดี ซึ่งเค้าคิดผิด 55555555555 ตัวผมถูกสอนมาในลักษณะที่ให้คิดเองและโดนตามใจซึ่งทำให้ผมไม่ได้เป็นเด็กเรียนสักเท่าไหร่หรือพุดได้ว่าผมเป็นพวกเด็กหลังห้องนั้นเอง แต่ในที่สุดผมก็ว่าผมคิดได้นะว่าชีวิตนี้ผมควรจะทำอย่างไรกับมัน. จะมีใครเข้าใจความอึดอัดของนักเรียนอย่างผมบ้าง หลังจากอ่านกระทู้ีนี้ผมก็ดีใจนะที่มีคนคิดเหมือนผมอ่านแล้วมันอัดอั้นในใจแปลกๆเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เห็นกันชัดๆแต่ทำไมวัยรุ่่นหลายๆคนไม่สนใจ  ผมไม่รู้จะคุยเรื่องแบบนี้กับใคร ผมยังมีไฟผมอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและผมก้รู้ว่าต้องเริ่มจากการศึกษานี่แหละ ผมอาจจะดูอวดดี ผมก็คงอวดดีนั้นแหละแต่ผมคงไม่ได้แค่พูดหรอกผมจะทำด้วยเพราะผมรักประเทศนี้ผมรัักประเทศไทยมาก  อย่างน้อยผมก็อยากให้หลายท่านสบายใจว่าผมจะเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่จะใส่ใจประเทศนี้แหละ อย่างแรกคือ สอนให้รักในการเรียนรู้ การศึกษาไทยไม่เคยสอนให้เรามีความรู้สึกและรักในการเรียนรู้ มันสอนแค่ให้เรารับรู้และเข้าใจตามสิ่งที่มีอยู่ในตำราเท่านั้น ซึ่งมันต่างกับการเข้าถึงโดยความรู้สึกและความรักในการศึกษาสิ่งที่เราชอบ "มันต่างกันโดยสิ้นเชิง"  หลายๆคนบอกว่าเป็นเรื่องยากที่จะสอนให้เด็กคนนึงรุ้สึกถึงความสำคัญในการศึกษาและรักมัน แ่ต่ผมว่ามันไม่ยากหรอกถ้าปัจจัยพื้นฐานมันสมบูรณ์ 1.ครอบครัว 2.โรงเรียน ถ้าปัยจัยทั้ง2สิ่งนี้มุ่งมั่นที่จะสอนเด็กในแบบที่สมควรที่จะถูกสอน ผมว่ามันเป็นไปได้นะ ที่จะสร้างความรักในการศึกษาให้เด็กๆหลายๆคน อย่างที่สองคือ การสอนให้เด็กสร้างความฝันและอุดมการณ์ของตัวเอง ผมว่ามันเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเลยนะความฝันเนี่ย เพราะความฝันจะเป็นสิ่งที่คอยดึงเราขึ้นมาจากความเหนื่อยล้ามันจะเป็นไฟแห่งชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่ต้องไม่ใช่ฝันแบบลมๆแล้ง หรือฝันแล้วนั่งรอมันมาถึง หรือฝันที่เราไปก๊อบปี้คนอื่นมา หรือฝันที่มองหาแต่ผลโดยไม่มองหลักความจริง เช่น พวกอยากรวยโดยคิดแค่ว่าเรียนหมอแล้วมันจะรวย ซึ่งมันจะไม่ได้จบแค่รวยน่ะสิเพราะหมอเป็นอาชีพที่ต้องมีจรรยาบรรณสูงและควรจะต้องมีจิตใจเมตตาและชอบช่วยเหลือไม่ใช่แค่เราคิดว่าอยากรวยแล้วไปเรียน เราควรจะต้องรักหรืออุดมการณ์ที่อยากจะเรียนในสาขาที่เราจะเรียน และคุณครูกับผู้ปกครองก็มีส่วนในเรื่องนี้อย่างมาก.. (ในความคิดของผมนะความฝันคือสิ่งที่เราอยากจะเป็นและชอบที่จะเป็นมันในอนาคต ซึ่งถ้าเรามีความฝัน เราจะจริงจังกับมันมากๆเราจะไม่มีวันเบื่อในการหาความรุ้เพื่อทำตามฝันของเราเลยแม้แต่น้อยมันจะมีแต่ความสุขและสนุก ถึงแม้บางทีเราจะเหนื่อยล้าหรือหมดไฟ แต่มันก็ไม่ได้หมดไฟไปเลยหรอกท มันจะยังคงเป็นไฟอ่อนๆที่รอวันที่จะติดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและแล้วมันก็จะติดขึ้นมาจนได้ และช่วงเวลาที่เรามีไฟนั้นแหละคือเวลาที่เราจะทำตามความฝันของเราได้อย่างเต็มที่) อย่างที่สามคือ สอนให้คิดสอนให้มีตรรกกะ อันนี้สำคัญมากๆเช่นกันและหัวข้อนี้ก็จะมีผลกับ2หัวข้อข้างบนอย่างมาก ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรในหัวข้อนี้ แค่ผมอยากให้คุณครูหรือพ่อแม่สอนให้เด็กคิดเองและคิดเป็นมากกว่า ซึ่งผมคิดว่าในข้อนี้มันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเหมือนกันนะเพราะกระบวนการคิดและตรรกกะของคนเรามันเกิดจากประสบการณ์ที่เราผ่านมา บอกตรงๆผมไม่รู้จะอธิบายหัวข้อนี้อย่างไร เพราะผมง่วงมากๆ5555555 ไว้พรุ่งนี้จะมาเขียน ถ้ามีคนสนใจ อย่างที่สี่คือ สอนให้รับผิดชอบตัวเอง อันนี้เดี๋ยวจะมาเขียนทีหลังเหมือนกันถ้ายังมีคนสนใจ "ทั้ง4หัวข้อนี้มีความสำคัญเท่ากัน"และเป็นหัวใจของการพัฒนาเด็กในความคิดของผมนะ เอาละครับ ผมมีหลายอย่างอยากออกความเห็นมากๆ ความเห็นผมอาจจะดูมั่วๆหรือดูเป็นเด็กน้อยไปแต่มันอัดแน่นอยู่ในใจมานานเลยออกมาแบบนี้แหละยังไงก็ขอบคุณที่อ่านครับ และออกความเห็นได้ตามใจชอบเลยครับ ขอบคุณครับ อ้อแล้วก็ความเห็นกับคลิปนี้ ผมว่าใจความที่เค้าอยากนำเสนอมันน่าสนใจนะครับแต่ตัวอย่างบางอันมันก็ดูมั่วๆไปหน่อยเหมือนพูดตามอารมณ์ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่ถ้าดูแล้วจับใจความได้มันก็เป็นหัวข้อที่น่าสนใจมากๆ แต่ที่น่าสนใจกว่าคือความเห็นในกระทู้นี้แหละอิอิ แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 54 01:13:55 แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 54 13:15:26 แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 54 13:11:38 จากคุณ : t.asdf5 เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 13:08:27

ความคิดเห็นที่ 106 @101 คุณครูครับ พอสิ้นปี ทาง เขตพื้นที่ ทางกระทรวงก็จะดูว่า นร ได้คะแนนโอเนต NT เท่าไหร่ ทำไมถึงน้อย???? --> แล้วใครเป็นคนออกข้อสอบครับ ดิฉันอยากให้ รร จัดวิชาเพิ่มเติมไปเน้นทางการงาน การฝึกอาชีพ แต่เป็นครูผู้สอน ผู้บริหารไม่เอาด้วย --> แล้วผู้บริหารเป็นใครครับ สุดท้าย หลักสูตรที่ใช้กันอยู่เนี่ย ใีครเป็นคนเขียนและถ้ามันล้าสมัย ใครจะเป็นคนปรับปรุงและแก้ไขหลักสูตรครับ ผมเชื่อว่าถ้าระบบห่วย อยู่กับคนเก่ง สุดท้ายคนเก่งจะพัฒนาระบบให้ดีขึ้น แต่ถ้าระบบดี แต่อยู่กับคนไม่เก่ง อย่างดีที่สุดก็คือ ไม่มีการพัฒนาจนระบบล้าสมัยและใช้การได้ไม่ดี ถ้าเผื่อมีคนถาม อ้าวแล้วพวก หมอ,วิศวะ เก่งได้เพราะใคร ผมอยากจะบอกว่าก็ทำใมไม่เอาคนเก่งไปสร้างคนที่เก่งขึ้นล่ะครับ ต่อไป หมอ,วิศวะ ฯลฯ เราก็จะเก่งขึ้นอีก คือผมไม่ได้บอกว่าครูในปัจจุบันไม่เก่ง แต่ผมมองไปในเรื่องของการพัฒนา คือถ้าอยากให้ดีขึ้นก็ต้อง "พัฒนา" ครับ ปล.เห็นด้วยกับ คุณสมาชิกที่7 อย่างมาก เรื่องของ จริยธรรม ทุกวันนี้คนไทยเราโดยเฉพาะคนในเมืองใหญ่มี จริยธรรม น้อยลงทุกวัน ที่บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะขาด จริยธรรม นี่แหละ (อย่าโยงเข้าการเมืองเลยนะครับ ผมไม่ได้อยู่ข้างไหนทั้งนั้นแหละ) ด้วยความเคารพครับ จากคุณ : ART1977 เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 13:31:42 A:58.8.9.138 X: TicketID:165515

ความคิดเห็นที่ 107 ถึงคุณ Night Claw ครับ ผมคิดว่าสิ่งที่พูดเป็นการสรุปเร็วไปหน่อย มันจริงอยู่ครับที่ว่าดนตรีและร้องเพลงมันสนุกและผมเชื่อว่าทุกคนชอบดนตรี แต่มันจะไม่เร็วหรือดูถูกเด็กไปหน่อยหรอที่จะสรุปว่าุถ้าเด็กชอบอะไรแล้วต้องประกอบอาชีพอย่างนั้น เด็กสามารถชอบได้หลายอย่างและเมื่อเขาโตขึ้นความคิดเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ  ผมว่าประเด็นคือการช่วยให้เค้าเจอสิ่งที่เค้าชอบและรักที่จะทำมันจริงๆมากกว่า และสิ่งที่เรียกว่า child center ก็คือ การที่ให้เด็กเป็นศุนย์กลางของการเรียนรู้ เปรียบเหมือนแผนภูมิต้นไม้ที่แตกแยกแขนงออกไปซึ่งเด็กนั้นแหละคือจุดเริ่มและครูคือคนสอน และผมคิดว่าไอ้ child centerนี่แหละจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการคิดของเด็กเพราะมันไม่มีใครมาสั่งว่าต้องทำอะไรและแล้วเด็กก็จะเจอสิ่งที่เค้าชอบที่จะทำมันจริงๆ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเค้าอยากจะเป็นอะไรก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของเค้าครับ ไม่ใช่มาอ้างว่าประเทศต้องการบุคลากรแบบไหน จากคุณ : t.asdf5 เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 13:39:03

ความคิดเห็นที่ 108 http://e-school.kmutt.ac.th/ ดีแล้วเจ๋งดี แต่ค่าเทอมแพงไปหน่อย จากคุณ : ESD เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 16:45:16

ความคิดเห็นที่ 109 อยากให้เปลี่ยนเวลาเรียนของเด็กไทยจริงๆ เอาเป็นลงวิชาเองเหมือนมหาวิทยาลัยไม่ได้หรอ ไม่อยากมานั่งเรียนตามตารางทุกวันๆมันน่าเบื่อจริงๆ จากคุณ : ยมทูตลูเคีย เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 19:36:56

ความคิดเห็นที่ 110 เคยอ่านหนังสือเรื่องโต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง แล้วนึกอยากให้มีโรงเรียนแบบนี้ ในเมืองไทยบ้างจัง แต่คงเป็นไปได้ยาก อ่าน คห.43 แล้ว อิจฉาจังเลยค่ะ ท่าทางน้องจะมีความสุขมากๆ จากคุณ : อยากให้ลองอ่าน (เจ๊ย้ง ณ Okaya) เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 19:39:43

ความคิดเห็นที่ 111 เรียน คุณ ART1977 กับคำถามที่คุณถามว่าแล้วเป็นใคร  ก็ตอบว่า เป็น บุคลากรทางการศึกษาค่ะ  จะตอบว่า ครูก็ไม่ใช่ทั้งหมด ดิฉันเข้าใจถูกหรือไม่ไม่แน่ใจ  แต่อ่านดูแล้วเข้าใจว่า  คุณเชื่อว่า ต้องพัฒนา คือการเอาคน เก่งมาต่อยอด  มาสอนให้คนเก่งต่อๆไป ใช่ไหมคะ แต่ขอถามว่า แล้วจะมีทางทำอย่างไรให้เป็นรูปธรรม?  ทั้งเรื่องค่าตอบแทน และความคิดฝัง หัวว่า คนไม่เก่งมาเป็นครู  น้อยคะที่คนเก่งๆจะกล้าที่ฝ่ากระแสความกดดันนั้นมาได้ เรื่องเรียนพิเศษ มันส่วนน้อยนะคะ รร ใหญ่ๆที่ครูจะเปิดสอนได้ถ้าเทียบอัตราส่วนแล้ว มันน้อยนะคะ กลายเป็นว่า หลายๆคนเหมารวมว่า ครูกั๊กความรู้ จากที่ได้สัมผัสมา เริ่มตั้งแต่ระบบแล้ว มันมีจุดบกพร่อง แล้วทำไงดีคะ ผู้บังคับบัญชา ขั้นสูงขึ้นไปๆ คนนั้นคนนี้  ดิฉันเป็นครูผู้น้อยทำไงดีคะ  ทำได้แค่ตามขั้นตอนมันก็เงียบ ยิ่งเรื่องระบบ ไม่ต้องไปแตะต้องเป็นเรื่องของ ผู้ใหญ่  มันแย่นะคะ ที่ต้องพูดแบบนี้ แถมเรื่องนโยบายใหญ่มาจากเจ้ากระทรวงที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวนโยบายนู้นนี้ จะดีใจมากๆๆๆๆๆเลย ถ้าคนไทยทุกคนช่วยกันเรียกร้องและทำให้การศึกษาไทยมีระบบที่ดี มีธีการเลือกคนดีๆเข้ามาเป็นครู  เป็นที่พอใจ เพื่อประเทศจะพัฒนาก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เผื่อว่า ครูจะดีขึ้นบ้างในสายตาของคนไทย ครูทุกคนก็ได้แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้นแหละคะ  ในทุกสังคมย่อมมีทั้งดีและ ไม่ดี  ดิฉันไม่สามารถบอกได้ว่า ครูเป็นคนดีได้ทั้งหมด  แต่บอกได้เลยว่า ดิฉันก็ครูมืออาชีพคนหนึ่ง ไม่ใช่คนมีอาชีพเป็นครูเท่านั้น ก็...แค่อยากให้เข้าใจบ้างค่ะ  ทุกวันนี้ก็เหนื่อย บางทีก็ท้อ แต่...ทำไงได้  เลือกเอง!!! จากคุณ : LittleGolden เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 22:45:14