ความคิดเห็นที่ 1 พูดง่ายๆครับ...พระเจ้าไม่มีจริง จากคุณ : Andy lim เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 17:40:29

ความคิดเห็นที่ 2 คนที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ เขาไม่ได้เชื่อจากข้อมูลที่คุณเอามาบรรยายนี่ครับ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 17:41:41

ความคิดเห็นที่ 3 พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่สร้างพระเจ้า จากคุณ : ต.ตั้ม กินแต่หญ้า เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 17:41:54

ความคิดเห็นที่ 4 ผู้สร้างของผมก็คือมนุษย์ต่างดาวครับ  คือพวกเขาพัฒนาอารยธรรมพัฒนาได้เป็นล้านปีโดยดาวไม่ล่มสลาย ถ้ามนุษย์ดาวโลก พัฒนาอารยธรรมไปได้เรื่อย ๆ แบบนั้น  เทคโนโลยีก็ต้องก้าวหน้ามากอย่างแน่นอนครับ อย่าลืมว่ามนุษย์เราเพิ่งตั้งไข่มาได้ไม่นาน และคอมพิวเตอร์ เพิ่งมีให้ใช้ไม่ถึง100 ปีเองนะครับ ถ้ามนุษย์โลกไม่ฆ่ากันเองตายหมด หรือไม่เจอภัยพิบัติล้างโลก อีกเป็นหมื่น-แสน-ล้านปีข้างหน้า เราก็ไฮเทคอันดับต้น ๆ ในจักรวาลแล้วครับ จากคุณ : Sakuder เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 17:52:38

ความคิดเห็นที่ 5 เคยเอาคำถามพวกนี้ถามครินเตียนสมัยเฟรชชี่มาแล้ว คำตอบก็คือ "น้องคิดมากไปป่ะน้อง" จากคุณ : Moonui เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 17:56:44

ความคิดเห็นที่ 6 ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อความศรัทธาค่ะ อย่าพยายามไปหาเหตุผลเลย ว่าแต่หนูก็ไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าประสูติมา ก็เดินได้ 7 ก้าว มีดอกบัวผุดมารองรับนะ เหตุผลก็อันเดียวกับข้างบน จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 17:58:27

ความคิดเห็นที่ 7 ลองใช้ keyword พวกนี้ search ดูใน google Primum movens first cause Unmoved mover กาลิเลโอก็ใช้ Hypotheses non fingo ในการอธิบายกลไกของแรงโน้มถ่วง จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:04:32

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วมีใครคิดมั๊ยว่าสัตว์เซลล์เดียวอาจจะมีอารยธรรมของตนเอง และมีศีลธรรมสูงกว่ามนุษย์ เวลาเราทำลายเขา เขาก็จะไม่มีการทำร้ายเราตอบ เพราะเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ลองคิดดูเล่นๆ ว่ามีความเป็นไปได้มั๊ย O~O จากคุณ : เห็ดน้อยกลอยใจ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:05:52

ความคิดเห็นที่ 9 มันเป็นเรื่องของความเชื่อนะครับ แม้วิทยาการจะเจริญก้าวหน้ายังไง ผู้คนก็ยังเชื่อในพระเจ้าอยู่ดี ผมว่าทุกศาสนา มันก็มีเรื่องอภินิหารกันทั้งนั้นแหละครับ ป.ล.ลองไปตั้งกระทู้ห้องศาสนาดีมั้ยครับ อาจจะได้คำตอบในแง่มุมอื่น จากคุณ : ผักคะน้า (i_love_reborn) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:24:41

ความคิดเห็นที่ 10 ผมกลับเชื่อสนิทใจว่าเรามีผู้สร้างครับ  เคยสงสัยด้วยว่าทำไมคนถึงสงสัยว่าไม่มีผู้สร้าง แต่ต่างคนต่างคิด ต่างศรัทธา  เหตุผลในการหายใจไม่เหมือนกัน   เอาเข้าจริงๆ ตอนนี้สงสัยเรื่องเอเลี่ยนมากกว่า เพราะหว้ากอโดนบุกอีกรอบแล้ว จากคุณ : โสดสบายตัว เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:24:56

ความคิดเห็นที่ 11 เราถูกสร้างโดยคนสองคน O_o จากคุณ : เขียนบน iPhone (Riezo) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:32:16

ความคิดเห็นที่ 12 คนเชื่อศาสนาพุทธเค้าไม่สงสัยเหรอครับ ว่าวัฏฏะสังสารเกิดมาได้ไง?? ถ้ามันมีอยู่ตลอดกาลก็ไม่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิเนี่ย อ้าวพระพุทธเจ้าผิดศีลข้อ 4 แล้วพวกที่เชื่อเค้าสงสัยกันบ้างมั๊ย ว่ากรรมแรกมาจากไหน แล้วเค้าสงสัยมั๊ยว่านรก ลงโทษคนแล้วทำให้ลืมทำไม ซาดิสนี่หว่า จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:33:51 A:124.120.81.44 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเชื่อในพระเจ้าครับ โดยเชือว่าพระเจ้า = ธรรมชาติ พลังของพระเจ้าก็คือพลังของธรรมชาติ มนุษย์เรามิอาจจะเข้าใจ ความเป็นไปทั้งหมดในจักรวาลได้ เพราะพลังธรรมชาติอยู่เหนือนอกขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์นั้นมีมากมาย แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 18:45:23 จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:43:56

ความคิดเห็นที่ 14 พทธศาสนา "ไม่มี" กรรมแรก นะครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:44:10

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเชื่อ .. จากคุณ : Alone among the crowd เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:48:01

ความคิดเห็นที่ 16 เอ่อแล้วถ้าท่านเชื่อตามทฤษฎีกำเนิดจักรวาลที่เป็นที่นิยมที่สุดตอนนี้ก็ต้อง singularity แล้วไอ้ singularity มันเกิดมาจากไหนล่ะท่าน โดยส่วนตัวผมเชื่อในแนวคิดผู้สร้างแต่ไม่ตรงตามแบบศาสนาใดๆ อย่างน้อยคิดแบบนี้มันก็อุ่นใจแล้วก็สะดวกดี ส่วนเรื่องพาราดอกซ์เนี่ยผมคิดว่าถ้ามีผู้สร้างแล้วเขาทำให้เราเข้าใช้เหตุผลเข้าใจตัวตนของเขาได้ ผู้สร้างก็ไม่เจ๋งจริงเราเลยไม่สามารถคิดออกครับ จากคุณ : Zkizzik เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:48:50

ความคิดเห็นที่ 17 ทำไมจึงคิดว่า เอกภพ หรือโลก หรือจักวาลไม่ใช่สิ่งมีชีวิตละ จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 18:55:11

ความคิดเห็นที่ 18 บางทีอาจจะมีโลกข้างบนมองเห็นโลกของพวกเราจากกล้องจุลทรรศน์ ^^ เราเป็นเพียงไวรัสที่กำลังพยายามพัฒนาเพื่อความอยู่รอด จากคุณ : AIScript เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:12:34

ความคิดเห็นที่ 19 ใช้ทฤษฎีแบบที่จขกทว่านี้มันก็พลาดตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อเป็นพระเจ้าแล้ว ทำไมถึงจำเป็นต้องสร้าง "เหตุ" มาก่อน "ผล" ล่ะ บางทีอาจจะสร้าง "ผล" ก่อน "เหตุ" ถึงมาทีหลัง และเมื่อเป็นพระเจ้า ทำไมถึงอยู่ใต้สิ่งที่ตนเองสร้างด้วยล่ะ ลองให้พระเจ้าคือนักประพันธ์ แล้วจักรวาลคือหนังสือดูสิ นักประพันธ์ไม่ได้อยู่ใต้กฎ ตรรกะหรือข้อผูกมัดใดของหนังสือสักหน่อย แต่หนังสือต่างหากที่ถูกสร้างขึ้นมาตามใจของนักประพันธ์ ถ้าอยากให้เรื่องนี้ปรากฎ ก็ทำขึ้นมาได้ เหตุผลที่มันเกิดค่อยคิดทีหลัง เช่นสร้างมนุษย์ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยแถหรือโม้อีกทีว่ามนุษย์มาจากไหนหรือเกิดยังไง หนังสือที่ได้ก็จะกลายเป็นว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นจากความว่างเปล่าแต่มีเหตุมีผลจึงเกิดขึ้นมาแทน บางทีอนาคตอาจจะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ค่อยมาเขียนปัจจุบันกับอดีตทีหลังก็ได้ หากอะไรมันขัดแย้งกันก็กลับมาแก้กันอีกที นี่คือความสามารถของพระเจ้าล่ะ ส่วนพระเจ้ามาจากไหน ก็คงจะตอบไม่ได้ เหมือนกับถามว่า ความไม่มีต่างจากความมียังไงจนถือกำเนิดเป็นจักรวาลนี้ขึ้นมาได้ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 19:23:19 จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:18:56

ความคิดเห็นที่ 20 ศาสนากับการปกครองน่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน กดให้โง่ไว้จะได้ปกครองง่าย จากคุณ : kraab เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:20:19 A:124.121.206.182 X: TicketID:211923

ความคิดเห็นที่ 21 จักรวาลเกิดจากความว่างเปล่าได้ยังไง ยังตอบไม่ได้เลย จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:22:11

ความคิดเห็นที่ 23 ใครๆ ก็ รู้คนชาวบ้านทั่วไปไม่ได้โงขนาดคิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก เพียงแต่ คนเราต้องเอาตัวรอด -_-" จากคุณ : ปลาทูทอด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:37:13 A:70.184.237.31 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 24 ใครๆ ก็ รู้คนชาวบ้านทั่วไปไม่ได้โงขนาดคิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก เพียงแต่ คนเราต้องเอาตัวรอด -_-" จากคุณ : ปลาทูทอด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:38:02 A:70.184.237.31 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 25 อย่าพยายามตั้งคำถามในเรื่องแบบนี้เลยครับ ต่อให้คุณคิดจนหัวระเบิดหรือมีใครที่ว่าแน่ก็ตอบคำถามนี้ไม้ได้เหมือนกันครับ แน่นอนผมก็ด้วยอ่ะ .....เพราะอะไรน่ะรึครับ ? มันก็เหมือนกับคุณถามว่าเรารับรู้ได้อย่างไรว่าอารมณ์มีจริงนั้นแหละครั บ ถ้าไม่พอใจใครผมขอโทษน่ะครับแฮะๆเพิ่งมาใหม่ ^^ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 19:47:58 จากคุณ : WorldEnd เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:45:17

ความคิดเห็นที่ 26 ลองมองดูเราครับ พยายาม ตัดต่อพันธุกรรม ต่อเอง โคลนนิ่ง สร้างสิ่งใหม่ๆเสมอ ครับ พระเจ้า หรือ เรา ไม่ต่างกัน สำหรับผม จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:46:04

ความคิดเห็นที่ 27 จนกว่าจะรู้ความจริง ผมจะยังไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น จากคุณ : annalog เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:50:48

ความคิดเห็นที่ 28 มันเรื่องของความศรัทธาครับ .. ถ้าคนเลือกศรัทธาแล้ว ตัวดำเนินการทางตรรกะมันจะไม่ใช่ AND แต่เป็น OR T OR F = T จากคุณ : NutMeg เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 19:55:44

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่ตั้งกระทู้ในห้องศาสนาเลยครับ ห้องนี้น่าจะไม่เชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างโดยผู้สร้าง คำตอบก็ได้แค่คิดอนุมานเอาว่า คนเหล่านี้เค้าสงสัยหรือเปล่า จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:01:54 A:14.207.187.136 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 30 ตอบ คห 12 ให้นะครับ ความหมายของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือกายของเรามันไม่เที่ยง มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ตามคำสอนของศานา ส่วนของจิตต่างหากที่ทำให้เกิด วัฎฎะสังสาร จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่เมื่อร่างกายสลาย ก็จะเปลี่ยนสภาพไป หรือที่เรียกว่าไปเกิดใหม่ตามหลักศาสนา ซึงเป็นไปตามหลัก ปฎิจจะสมุทปบาท = ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา เป็นวังวนเหล่านี้ไปไม่มีจบสิ้น คำสอนเหล่านี้เป็นการอธิบายการเกิดขึ้นของ จิต อย่างละเอียดจนกระทั่งดับไป ส่วนการเกิดกรรมแรกคงไม่มีใครตอบได้ เหมือนกับคุณกำลังถามหามนุษย์คนแรกคือใคร?? ส่วนนรกลงโทษคนแล้วทำให้ลืมทำไม ถ้าตอบตามความเห็นของผมก็ นรกไม่ได้ทำให้ลืม แต่เพราะการเปลี่ยนสภาพของเราไปต่างหากที่ทำให้ลืม เหมือนกับถ้าผมถามว่าทำไมตอนอยู่ในท้องแม่ ไม่มีเห็นใครจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้เลย แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 20:04:59 จากคุณ : strato (strato) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:02:44

ความคิดเห็นที่ 31 นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่บนโลกนี้เชื่อในพระเจ้า เพราะเขารู้ว่า วิทยาศาสตร์ เป็นแค่เครื่องมือหาตรรกะ และเหตุผล แต่หลายสิ่งที่มีอยู่ และหลายสิ่งก็อยู่เหนือเหตุผล ซึ่งมีอยู่มากมาย และเหนือสิ่งอื่นใด สมองของมนุษย์ ไม่มีความสามารถมากพอ ที่จะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด  หลายอย่างไม่สามารถอธิบายได้ถึงเหตุและผล สมองของมนุษย์มีขีดจำกัดในการเข้าใจ  หลายๆเรื่องเราไม่เข้าใจ  และไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลได้ เจ้าของกระทู้อย่าตัดสินคนอื่นด้วยความไม่เข้าใจของตัวเอง จากคุณ : chuk007 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:19:58

ความคิดเห็นที่ 32 #30 จิตก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี่ครับ เพราะพุทธเจ้าบอกสิ่งเดียวที่ไม่เป็นคือความไม่เที่ยงต่างหาก ดังนั้นวัฏฏะสังสารควรจะดับสูญได้ เช่นกัน ในกรณีวัฏฏะไม่เหมือนกับจิต จิตแม้ไม่ตายไปกับกาย แต่ก็เปลี่ยนเป็นของบุคคลอื่น จากการเวียนว่ายตายเกิด (ข้อนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่อธิบายวัฏฏะได้ฉลาดที่สุด แต่คนพุทธไม่ค่อยจะอยากเข้าใจ) แต่วัฏฏะนั้นคงอยู่ จากที่คุณได้พิมพ์มา "ตามคำสอนของศานา ส่วนของจิตต่างหากที่ทำให้เกิด วัฎฎะสังสาร จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่เมื่อร่างกายสลาย ก็จะเปลี่ยนสภาพไป หรือที่เรียกว่าไปเกิดใหม่ตามหลักศาสนา ซึงเป็นไปตามหลัก ปฎิจจะสมุทปบาท = ผัสสะ เวทนา ตัณหา กิเลส ภพ ชาติ ชรา เป็นวังวนเหล่านี้ไปไม่มีจบสิ้น คำสอนเหล่านี้เป็นการอธิบายการเกิดขึ้นของ จิต อย่างละเอียดจนกระทั่งดับไป" คุณก็ยอมรับใช่ไหม ว่าวัฏฏะมันคงอยู่ตลอดไป มันขัดนะครับ ถ้าจะบอกว่าทุกสิ่งที่ไม่ใช่ความไม่เที่ยง(อนิจจัง)นั้นเป็นอนิจจัง แต่วัฏฏะนี้กลับคงอยู่ตลอดไป เรื่องกรรมแรกนี่ถ้าจะตอบแบบนี้ผมว่า เชื่อว่าพระเจ้าสร้างก็ไม่เห็นน่าจะมีข้อสงสัยอะไรนี่ครับ ส่วนเรื่องสุดท้ายเรื่องนรกนี่ คำถามไม่ใช่ว่าทำไมถึงลืม คำถามคือ ถ้าจะให้ลืมแล้วจะลงโทษทำแป๊ะอะไร?? อย่างคริสเค้าตกนรกตลอดกาล อันนี้น่าจะฟังได้มากกว่า ก็ทำเลวก็เอาคนเลวไปลงโทษตลอดไป แต่นรกแบบเอเชีย ตกไปแล้ว ลงโทษ แล้วทำให้ลืม มันทำเอาสะใจล้วนๆเลยนี่หว่า แบบนี้ทางรัฐศาสตร์ที่อธิบายนรกไว้ คงจะเข้าทีกว่า ทางศาสนาเป็นแน่แท้ ทั้งนี้ผมไม่ได้คิดจะลบหลู่ศาสนาใดนะครับ ในคห 12 นั้น ผมแค่จะสื่อว่า ไม่มีศาสนาใดๆสมบูรณ์พร้อมหรอก มันก็ต้องเป้นเหตผลครึ่งนึง ความเชื่อครึ่งนึงเหมือนกันทั้งโลกนั่่นแหละ จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:23:54 A:124.120.81.44 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 33 จักรวาลไม่ได้เกิดจากความว่างเปล่า แต่เกิดจากพลังงานและสนามพลังงาน พลังงานเปลี่ยนเป็นสสาร ตามกฏ e=mc^2 bigbang เกิดเพราะพลังงานกลายเป็นสสาร แล้วยุบตัวกลายเป็น super blackhole ตามกฏของ entropy จากคุณ : ดวงตาตะวัน เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:30:14

ความคิดเห็นที่ 34 ไม่คิดบ้างรึว่า คน เกิด จาก มนุษย์ จากดาวใดดาวหนึ่ง ตัดต่อ พันธุกรรม ให้เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตแบบคน มาไว้บนโลกนี้ มนุษย์ ต่างดาวนั้น อาจจะเป็น แค่ นักวิทยาศาสตร์ ของดาวดวงนั้นที่ ก็ยัง เกิด จากการปฏิสนธิ แบบ 2 เพศ และ มี เกิด แก่เจ็บตาย ซี่งเป็นกฏทั่วไปของ สิ่งมีชีวิต ที่ ไม่เสถียรทั้งหมด ใน จักรวาล แต่ ในฐานะผู้สร้างต้นกำเนิดรูปแบบ ชีวิต ของ คน ก็ เลย อาจมองเป็นผู้สร้าง หรือพระเจ้า ก็ ว่าได้ เหมือนเรา ตัดต่อ พันธุกรรม จนได้ สิ่งมีชีวิตที่มี สติปัญญาแบบคนได้อีก รูปแบบ เค้าก็ อาจมอง เราเป็นดัง พระเจ้า ผู้สร้างความมีตัวตน ในรูปแบบ ของเค้าก็ได้ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 20:33:39 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:30:28

ความคิดเห็นที่ 35 มันยังไปไม่ถึงจุดนั้นครับ.... มนุษย์เราพึ่งเริ่มค้นคว้าอะไรเอง.... ขนาดสิ่งมีชีวิตเรายังรู้จักไม่หมดเลย..... พวกเรายังไม่ฉลาดมากพอที่จะ ไปถึงจุดนั้น มันเป็นกล่องดำ เพื่อรอการค้นพบครับ จากคุณ : WaZK เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:34:20

ความคิดเห็นที่ 36 กำลังสงสัย ไม่คิดบ้างหรอครับ ว่าคนเรานี่และ " สิ่งผิดปกติ " ของโลกใบนี้ สั.ตว์อื่นๆ เป็นได้ทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่า มีปริมาณที่จำกัด มากน้อยแล้วแต่ช่วง และการพัฒนาจะอยู่กับที่ หรือถึงมีวิวัฒนาการก็มีจำกัดและเชื่องช้ามาก คนเราต่างหาก มีอารยธรรม มีความคิดที่ซับซ้อน สามารถสร้างโน่นนี่ได้ ป่วยก็ตายยากเพราะการแพทย์ที่ก้าวหน้า อยากจะควบคุมประชากรของตนก็ทำได้ สั.ตว์อื่นมีฤดูผสมพันธุ์ แต่คนเรา Feat. กันได้ทุกวัน ฯลฯ ไม่คิดบ้างหรอครับ ว่าคนเรามันแปลกแยกจากธรรมชาติเกินไป? แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 20:38:31 แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 20:38:13 จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:37:17

ความคิดเห็นที่ 37 (เปลี่ยนข้อความใหม่...) ป้าข้างบ้านที่เป็นคริสต์ แกเคยให้เหตุผลว่า จู่ๆมนุษย์เกิดขึ้นมาเองไม่ได้ ต้องเป็นฝีมือของพระเจ้านั่นแหละ (ผมเป็นพุทธ) แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 21:03:52 จากคุณ : รุกขะ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 20:48:15

ความคิดเห็นที่ 38 คุณแตงกวาครับ.....ผมว่าเรื่องอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหารย์ของพระเจ้ากับพระพุทธเจ้าในคัมภีร์ต่างๆ คงไม่มีอยู่จริงหรอกครับแต่ผู้แต่งๆขึ้นเพื่อจะสื่อให้เห็นความหมายของหลักธรรมของศาสนานั้นผ่านเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติ (เรียกว่าบุคลาธิษฐานหรือ Metaphore) เพราะถ้าแต่งโดยไม่มีการใส่เรื่องปาฏิหารย์เข้าไปเลย (เรียกว่าธรรมาธิษฐาน)อาจทำให้เรื่องดูไม่น่าติดตามและคนอาจไม่เลื่อมใสได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ตามที่เคยได้อ่านมาและตามที่ผมเข้าใจนะครับ - เรื่องที่พระพุทธเจ้าเมื่อทรงประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวและมีดอกบัวมารองรับพระบาท...............เรื่องนี้จริงๆแล้วแค่ต้องการจะสื่อว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์มายุขึ้นจะได้เป็นศาสดาเอกของโลกและจะมีคนเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์ทั้ง 7 ทวีปในโลก ดอกบัวเปรียบเหมือนความบริสุทธิของศาสนา - เรื่องตอนที่พระพุทธเจ้าตัดสินใจออกผนวชหลังจากได้ทรงเห็นเทวทูต 4 แล้วมีพญามารมาห้ามและบอกไม่ให้ทิ้งความสุขสบายที่ทรงเสวยอยู่เพื่อไปทรมานพระวรกายก่อนตรัสรู้..............อันที่จริงเรื่่องนี้ก็เป็นเพราะพระองค์เกิดความโลเลว่าจะทรงออกผนวชดีหรืออยู่เพื่อเป็นมหาจักรพรรดิดี เห็นไหมครับว่าที่แท้มารหรือเทวดาที่แท้ก็ล้วนอยูในใจเรานี่เอง - ในคริสตศาสนาก็มีเรื่องที่พระเยซูเสด็จไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วเมื่อพระองค์จับไปที่ดวงตาของชายตาบอดก็ทำให้ชายนั้นมองเห็นได้...................อันที่จริงสิ่งที่แทรกอยู่ในปาฏิหารย์ข้อนี้ก็คือเมื่อคนเราไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามหากเปิดใจรับเอาธรรมะเข้ามาในชีวิตแล้ว (ในที่นี้หมายถึงศาสนาคริสต์) ก็เหมือนกับคนที่เห็นแสงสว่าง หลุดพ้นจากความชั่วหรือกิเลสที่เข้าครอบงำจิตใจ เหมือนกับคนที่หลุดออกจากที่มืดออกสู่ที่แจ้ง จากคุณ : chainese7th เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:04:35

ความคิดเห็นที่ 39 คน เราเป็นผู้สรางได้แค่ เล็กน้อย แต่ ทุกสิ่งอย่างใน จักรวาล ใครกำหนด ใคร ตั้งสมการ ให้เป็นไป ตั้ง แต่เล็กสุดไป ใหญ่สุด ช้าที่สุดไป ไวที่สุด เวลา อายุ ความเสื่อม อารมณ์ กิเลส ความไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งเหล่านี้ อะไร จะทำให้เกิด ได้ ในทุกๆส่วนของ จักรวาล และให้ทุกๆที่ ทุกๆ เวลา ยัง คงเดินไปตาม กฏ และ สมการเดียวกัน แม้แต่ สิ่งที่เรียก ว่า ธรรมชาติ ก็ ย่อมต้องมี คนกำหนด ตัวแปร เบื้องต้นเพื่อ ความเป็นตามวัฏจักร เช่น อากาศร้อนลอยตัว อากาศเย็นแทนที่ ธาตุ ลำกับต่างๆ ความถี่ต่างๆ ของ รังสี การหมุน รอบตัวเอง การโคจร รอบ สิ่งอืนๆ แรงดึงดูด ระหว่างมวล แสง หลุมดำ ทุกสิ่งอย่าง ใคร หรือ อะไร กำหนด จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:05:22

ความคิดเห็นที่ 40 ศาสนาไม่น่าสอนอิทธิฤทธิ์เลยเนอะ แล้วยังเอามาให้เด็กเรียนอีก เช่น พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเดินได้ อะไรแบบนี้ พอโตขึ้นแล้วอืม หนังสือเรียนหลอกเราหรือเปล่า เคยดูหนังเค้าล้อเลียนคนที่แบบเชื่อมากว่าพระเจ้ากำหนดทุกอย่างแบบงมงายนี่ก็มีเยอะในอเมริกาแต่ประเทศก็เจริญได้แปลกดี ทำไมประเทศไทยไปไหว้ต้นอะไรไม่รู้หรือเพราะศาสนาพราหมณ์แน่ๆเลย แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 21:11:47 จากคุณ : hydrophobia เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:09:16

ความคิดเห็นที่ 41 ข้อ 3 เนี่ย ไม่จัดเป็นประเด็นโต้แย้งเลยนะ จะสร้างมนุษย์ตอนไหนก็เป็นเรื่องของพระเจ้า ฉันสร้างได้ แต่ทำไมฉันต้องสร้างออกมาเร็วๆพร้อมกับโลกหรืออะไรด้วยล่ะ คิดแบบนี้แสดงว่าเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลเลยหรือเปล่า พระเจ้ายังต้องให้ความสำคัญ ลองมองกว้างๆกว่านี้หน่อยดีมั้ย จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:12:08 A:10.0.1.197 X:180.183.122.223 TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 42 การตั้งคำถามลักษณะนี้จะกลายเป็นการตั้งคำถามที่เป็นอนันต์ ไม่รู้ว่าจะจบลงตรงไหน ส่วนตัวผมคิดว่าเรื่องของศาสนา และศรัทธา ควรเป็นเรื่องที่ฟังหูไว้หู ดีที่สุดครับ ในมุมมองของผมเอง ไม่ควรปฏิเสธด้วยการไม่เชื่อ หรือยอมรับด้วยการเชื่อเสียทีเดียว เพราะการที่เรายังพิสูจน์อะไรไม่ได้ ไม่ได้แสดงว่าสิ่งนั้นไม่มี ไม่เป็น กฏทางฟิสิกส์เองยังมีข้อยกเว้นหรือหลุมให้ตกลงไป วิชาควอนตัมทำให้ผมต้องยอมรับทุกความน่าจะเป็น เรื่องพวกนี้สำหรับจึงยากที่จะบอกได้ว่าควรปฏิเสธหรือยอมรับ สำหรับผม พระเจ้าในที่นี้ หมายถึง ผู้ที่สร้างจักรวาล ไม่ได้อิงตามในศาสนาใดใดทั้งสิ้นนะครับ ปล.บางทีพระเจ้าอาจจะสร้างจักรวาลว่า แล้วก็รอดูว่าเอ๊ะ มันจะเกิดอะไรขึ้นว๊าา อยากรู้จัง จากนั้นก็เกิดมนุษย์โลก มนุษย์ดาวบลาๆ และก็นั่งดูพวกมัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ละครฉากนี้สนุกจังเลย T_T ปล.2 แต่ผมมีกรอบอย่างหนึ่งนะ ผมคิดว่า เรากำลังอยู่บนเกมที่โหดร้ายมากๆเลย จะตายก็รู้สึกเจ็บ จะอยู่ก็เจ็บ เลยคิดว่าเราก็เล่นเกมมันอย่างมีความสุขก็พอ 555 ปล.3 สรุปไม่ตรงประเด็น จขกท เอาซะเลย จากคุณ : IceStory เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:14:08

ความคิดเห็นที่ 43 คห 40 ที่เป็นไปแบบนั้นเพราะ เรา รับพราห์ม มา เยอะกว่า พุทธ ครับ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:22:59

ความคิดเห็นที่ 44 อภินิหารตอนดำเนินได้ ๗ ก้าวก็ดี  การเปล่งอาสภิวาจาก็ดี  ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่จะต้องถือเอาความตามตัวอักษร  หากแต่ต้องตีความแบบบุคลาธิษฐานโดยเทียบกับ เหตุการณ์ตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธกิจ  นั่นคือ การดำเนินได้ ๗ ก้าวแล้วหยุดยืนนั้น “น่าจะได้แก่ทรงแผ่พระศาสนาได้แพร่หลายใน ๗ ชนบท  หรือเพียงได้เสด็จด้วยพระองค์เอง”[11] หมายความว่าพระองค์น่าจะสามารถเสด็จไปเผยแผ่ศาสนาได้ด้วยพระองค์เองเพียง ๗ ชนบทหรือแคว้นเท่านั้น  เพราะถ้าลองนับดูก็จะเห็นจริงตามนั้น http://gotoknow.org/blog/budhamcu/395869 ผมว่าผมได้เรียนการตีความพุทธประวัิติของสมเด็จฯ ตอนม.ปลายนะ ในหนังสือวิชาพระพุทธศาสนา... จากคุณ : อุ่นหนาวสาวคลั่ง (tkung13) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:25:06

ความคิดเห็นที่ 45 มีตาบอดสองคนคุยกันเรื่องรูปร่างและขนาดของตึกใบหยก คุณว่าตาบอดทั้งสองจะอธิบายได้ตลกขนาดไหน (ไม่ได้ดูถูกคนตาบอดน๊ะครับ แค่ยกตัวอย่าง) จากคุณ : clckjs เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:25:24

ความคิดเห็นที่ 46 ทฤษฏีที่เรามีอยู่ ครอบคลุม แค่ประมาณ 5% (ตัวเลขจริงอาจจะน้อยกว่านี้ เพราะ ยิ่งเรารู้เยอะ เรายิ่งรู้ในสิ่งที่ไม่รู้เยอะตามไปด้วย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา มันก็แค่ความท้าทาย อันใหม่)ของเอกภพนี้ พูดง่ายๆ เรามี ข้อมูลน้อยเกินกว่า จะพูดอะไร ได้ แม้ข้อมูลจะน้อย แต่ก็มากพอก็พอที่จะทำให้เรารับรู้เรื่องราวบางอย่างได้ คำถามของ จขกท คงจะมีซักวันที่คำตอบ ต้องปรากฏ (อย่าลืมว่าเราเริ่ม บุกเบิกอวกาศกันจริงจัง ก็ในช่วง 50-60 ปี นี้เอง) แต่ถามตอนนี้ คงไม่มีใครตอบได้ และยังเป็นคำถาม ที่กำลังค้นหาคำตอบกันต่อไป -อดีตเราไม่รู้ว่าอะไรคือ จุดกำเนิดของจักรวาล -วันนี้ เรามีความเชื่อมั่นสูงว่า มันเกิดจาก Bigbang -อนาคต เราจะรู้ว่าอะไร ทำให้เกิด Bigbang จากคุณ : ZGMF-X10A เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:39:38

ความคิดเห็นที่ 47 คห.40 เพราะรับมาแบบนี้ละ พราหมณ์ + ผี + เทพจีน ผมอยากนับถือพุทธนะ แต่ผมไม่สามารถสวดมนต์ ไหว้เทวดาต่างๆ ได้จริงๆ เลยไม่สามารถนับถือได้ ( ไม่งั้นต้องคอยตอบคำถาม " พุทธแบบไหนทำไมไม่ใส่บาตรพระ ไม่สวดมนต์ " ) ( ถ้าจะว่าไป ผมเป็นพวก Anti God & Angel มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วละ ) จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 21:42:45

ความคิดเห็นที่ 48 #47 ศึกษาธรรมะสิครับ (แก่นของศาสนาก็คือ พระธรรม) ที่คุณว่ามานี่ มองแต่เปลือกนอก หรือพิธีกรรมล้วนๆเลยครับ จากคุณ : Paokun เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:05:44

ความคิดเห็นที่ 49 คห 47 พทธแท้ อยู่ ที่ หลัก ทำความดี ละเว้น ความชั่ว ทำ จิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่มีการบังคับเข้าวัด สวดมนต์ หรือไหว้ด้วย การกระทำทางกาย หรือ การทำบุญ ทางกาย เพราะ บุญทำได้หลายทาง ไม่ใช่ แค่ตักบาตร และ คุณ แสดงออก ด้วย จิต แทนการไหว้หรือเคารพได้ มันต้องเกิด ขึ้น จากความเคารพในใจ สิ่งนี้ สำคัญกว่าการกระทำ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:09:40

ความคิดเห็นที่ 50 ตอบ คห 32 ให้นะครับ นรกภูมิ ไม่ได้เป็นการลงโทษนะครับ นรกในความหมายของพุทธ คือ ภพชาติที่ต้องไปเกิดอีกภพชาตินึง ส่วนที่ต้องไปเกิดในภพภูมิไหนก็ขึ้นอยู่กับจิตที่สั่งสมมา จิตที่บริสุทธิ์ได้ไปเกิดเป็นพรหม จิตที่ดีได้ไปเกิดบนสวรรค์   ยกตัวอย่าง เช่นไปเกิดเป็นเดรัจฉาน อาจจะเป็นหมาข้างถนนไม่สบายเหมือนเป็นมนุษย์ อันนี้เรียกว่าการลงโทษรึเปล่าครับ ส่วนถ้าไปเกิดในนรกก็ไม่สบายเท่าเกิดเป็นหมา อันไหนถึงเรียกลงโทษละครับ จิตเราล้วนเป็นคนเลือกภพภูมิที่จะไป ไม่มีการลงโทษในศาสนาพุทธครับ เข้าใจใหม่นะครับ ส่วนกรรมเป็นผลมาจากการกระทำ เช่นวันนี้สูบบุหรี่เยอะ อีกสิบปีตายด้วยโรคปอด ก็เป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ ไม่ได้เป็นผลมาจากการลงโทษ ส่วนที่บอกว่าคุณบอกว่าวัฎฎะคงอยู่ตลอดไป คำถามอันนี้คือทั้งหมด ของพุทธศาสนาเลยครับ "ผู้ที่นิพพาน สามารถหลุดจากวัฎฎะได้" จริงรึเปล่าครับ ผู้ที่นิพพาน จิตจะสลายไปพร้อมกับร่าง เพราะจิตจะไม่มีการเกิดใหม่อีกแล้ว นั่นหมายความว่าวัฎฎะของคนคนนั้นได้สลายไปพร้อมกับคนคนนั้น แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 22:33:22 แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 22:30:18 แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 22:28:54 จากคุณ : strato (strato) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:09:40

ความคิดเห็นที่ 51 ^ #32 ศาสนาที่สมบูรณ์พร้อมก็คือศาสนาคริสต์คับ ดังนั้นจงเปิดใจต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระเจ้าของท่านแล้วท่านจะได้รับชีวิตนิรันดร์ในแดนบรมสุขเกษม... พอดีว่าผมแน่พอจะตอบคำถามนี้ได้ดังนั้นจะเอาคำตอบของผมไปอ้างอิงก็ได้นะคับ... ขอตอบเฉพาะคำถามแรก พระเจ้าเกิดขึ้นเองคับ... (แต่มนุษย์หรือสิ่งอื่นๆเกิดขึ้นเองไม่ได้จะต้องถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าเท่านั้นคับ) การที่จะตรวจสอบว่าสิ่งใดเกิดได้สิ่งใดเกิดไม่ได้นั้นจะต้องไปดูที่โครงสร้างของพลังจักวาลซึ่งเป็นพลังที่กำหนดความเป็นไปทุกๆอย่างในจักรวาล ซึ่งพลังจักรวาลนั้นมีได้รูปแบบเดียวเท่านั้นจึงไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด พลังจักรวาลตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแข็งแกร่งที่สุดนั้นเป็นพลังตัวที่ควบคุมกฏแห่งกรรมอยู่ ทำให้กฏแห่งกรรมเป็นกฏเหล็กที่ไม่อาจะเปลี่ยนแปลงได้ของจักรวาล ส่วนพลังตัวที่อยู่รองๆลงมาก็มีอยู่อีกหลายตัวจำไม่ได้แล้วว่ามีไรมั่ง แต่ทีนี้มันมีพลังที่สำคัญอีกตัวหนึ่งอยู่พลังนั้นคือพลังสมดุลจักรวาลซึ่งพลังสมดุลจักรวาลนี้กำหนดไว้ว่า "จะต้องมีฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีคานอำนาจกันอยู่"... แต่โดยธรรมชาติแล้วสิ่งมีชีวิตสามารถเกิดขึ้นมาเองได้แต่จะต้องเป็นมารทุกตัวนั่นคือมีแต่ฝ่ายไม่ดีเท่านั้นที่เกิดขึ้นมาเอง ส่วนฝ่ายดีนั้นเกิดขึ้นเองไม่ได้จะต้องมีผู้สร้าง เมื่อฝ่ายไม่ดีเท่านั้นที่เกิดขึ้นมาก็เลยทำให้จักรวาลเต็มไปด้วยฝ่ายไม่ดีจักรวาลก็เลยไม่สมดุลทำให้พลังสมดุลจักรวาลเลยต้องทำงานครั้งหนึ่งโดยการสร้าง "ผู้สร้าง" ขึ้นมาโดยที่ผู้สร้างมีหนัาที่คานอำนาจกับฝ่ายไม่ดีทั้งหมดและสร้างฝ่ายดีขึ้นมา นั่นเป็นเหตุให้ผู้สร้างที่เปี่ยมด้วยพลังอำนาจและปัญญานั้นเกิดขึ้นมาเองได้แต่มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่สามารถเกิดขึ้นมาเองได้ (เพราะพลังสมดุลจักรวาลจะไม่สร้างมนุษย์ธรรมดาแสนสามัญที่อ่อนแอและโง่เขลาไปคานอำนาจกับฝ่ายไม่ดีของจักรวาล...) เมื่อพระเจ้าองค์แรกเกิดขึ้นมาแล้วพระเจ้าก็ได้สร้างจักรวาลนี้ขึ้นโดยไล่พวกมารทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นออกไปจากจักรวาลทั้งหมด ทำให้นรกขุมที่ลึกที่สุดขุมที่ 19 นรกขุมที่พระเจ้าไม่ได้สร้างที่พระเทวทัตไปทัวร์อยู่นั้นก็เลยเป็นสุดขอบจักรวาล ดินแดนที่ไม่มีพระเจ้าดินแดนที่ทุกๆตัวเป็นมารทั้งหมด และเนื่องจากว่าพลังสมดุลจักรวาลเป็นพลังที่สร้างฝ่ายดีขึ้นมาดังนั้นจึงมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ต่อมาอีกหลายอย่างอย่างเช่น "มนุษย์เราเป็นคนดีได้หรือไม่???"... ซึ่งคำตอบนี้ก็สามารถค้นหาได้จากโครงสร้างของพลังจักรวาลเช่นกัน... ในเมื่อพลังสมดุลจักรวาลสร้าง "ผู้สร้าง" ขึ้นมาคานอำนาจกับฝ่ายไม่ดีแล้ว และผู้สร้างก็สามารถคานอำนาจกับทุกๆความชั่วร้ายในจักรวาลได้แล้วพลังสมดุลจักรวาลจะสร้างฝ่ายดีขึ้นมาอีกไหม??? คำตอบก็คือไม่สร้าง... เพราะว่าในเมื่อพระเจ้าสามารถคานอำนาจกับทุกความชั่วร้ายในจักรวาลได้มันก็หมายความว่าจักรวาลนี้สมดุลแล้ว ดังนั้นพลังสมดุลจักรวาลก็จะไม่ทำงานโดยการสร้างฝ่ายดีขึ้นมาอีก ดังนั้นมนุษย์ทุกคนล้วนแต่เป็นคนบาปคับ หนทางเดียวที่จะรอดพ้นความผิดบาปได้นั้นก็คือต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระเจ้าของท่านแล้วท่านจะรอดพ้นความผิดบาปทั้งปวงได้... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:10:23 A:49.49.49.234 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 52 ไม่ง่ายไปหน่อย เหรอ ครับ อะไรจะทำให้ความ ผิดที่ สะสม นั้น หายไป นอก จาก ได้ชดใช้ ไม่ทางใดก็ทางนึง เช่นกันหากเราย้อนเวลาไป แก้ ความผิดไม่ได้ ต่อให้เชื่ออะไรในใคร ก็ ไม่ได้ช่วยให้ความผิดนั้น หายไป สิ่งที่ จำในใจ คือความรู้ สึก ความรู้สึกที่เสียไป อาจ กลับ คืนมาได้ ด้วยการ เพียร ทำ สิ่งดีๆ ให้สม่ำเสมอ แต่ แน่นอน สิ่งที่ผ่านมาไม่มีทางย้อนไป แก้ ทำได้เพียงชดใช้ หรือทำให้ มันทุเลาลงได้ หาบอกว่า เชื่ออะไร แล้วจะหลุดพ้น จากทุกสิ่ง จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:29:42

ความคิดเห็นที่ 53 #50 อันนี้คงต้องขอแย้งว่าไม่น่าใช่ครับ นรกในศาสนาพุทธน่าจะถือตามไตรภูมิพระร่วง(หาอ่านเอาเอง) การเกิดเป็นเดียรัจฉานนี่เป็น เศษกรรม ครับ เป็นกรรมที่เหลือๆมา หลังจากที่เราถูกลงโทษในนรกเรียบร้อยแล้ว ผมคงเข้าใจใหม่ไม่ได้ เพราะหลวงพ่อสอนผมมาแบบนี้ การขึ้นสวรรค์ก็เช่นกัน เทวดาบางองค์ก็ชดใช้กรรมเสร็จแล้วจึงเสวยสุขบนสวรรค์ครับ ส่วนการที่จิตบริสุทธิ์ขณะตาย(ไม่ใช่ดีหรือเลว แต่บริสุทธิ์) ผลไม่ใช่นรกหรือสวรรค์ครับ แต่คือนิพพาน ไร้ซึ่งสิ่งร้อยลัดครับ ซึ่งเรื่องนี้มีหลักที่ดีอยู่อย่างเหมือนกันครับ ที่ส่วนใหญ่ชาวพุทธไม่เข้าใจ คือสิ่งที่ลงโทษเราคือนายนิริยบาล ซึ่งก่อกำเนิดจากตัวเราเอง ผมว่าเรื่องนี้ลึกซึ้งนะครับ จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:38:59 A:124.120.81.44 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 54 1)...... Self-construction paradox หาก....พระเจ้าผู้ทรงปัญญาเกิดขึ้นมาเองได้ แล้วทำไมเอกภพ, โลกและ สัตว์โลกซึ่งปัญญาน้อยกว่าจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ หาก....พระเจ้าถูกสร้างมาอีกที แล้วสิ่งที่สร้างพระเจ้าจะเกิดขึ้นได้ยังไง //เพราะพระเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นมาเองครับ แต่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากไม่มี และเป็น the One อีกตะหาก ไม่มีอย่างอื่น เป็นความจริงเดียวที่เป็นนิรัน ด้วยหลักอธิบายนี้คุนไม่มีทางจับผิดเค้าได้ด้วย ตรรกะที่มีพื้นฐานบนเหตุผล เพราะจุดพิจารณาที่พระเจ้าอยู่เป็นจุดที่เหตุและผลรวมกัน ไม่ใช่มีเหตุ แล้วถึงมีผล แต่เพราะ มีเหตุไปพร้อมๆกับผล เข้าใจประครับ ไม่มีถ้านั่นแล้วนี่สำหรับเรื่องของพระเจ้า แหม..เค้าไม่ให้คุนดักทางได้ง่ายๆหรอครับ 2)......Creator's site paradox หาก....พระเจ้าเกิดทีหลังหรือเกิดพร้อมเอกภพแล้ว...ใครเป็นคนสร้างเอกภพขึ้นมา หาก....พระเจ้าเกิดก่อนเอกภพ แล้วตอนนั้นพระเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน และหากตอนนั้น พระเจ้าอาศัยอยู่ในดินแดนของพระเจ้า แล้วใครสร้างดินแดนของพระเจ้าขึ้นมา และหากพระเจ้าเป็นคนสร้าง ก็ย้อนกลับไปถามว่าแล้วก่อนหน้านั้นพระเจ้าอยู่ที่ไหน //เพราะพระเจ้าไม่ได้เกิด ตามคำตอบข้างบน มีอยู่แล้วตะหากที่เป็นสถานภาพเริ่มต้นที่แท้จริง พระเจ้ามีอยู่ก่อนเอกภพ และเป็นคนสร้างเอกภพด้วย และเป็นคนสร้างดินแดนของพระเจ้าอีกตะหาก ถ้าถามว่าก่อนหน้านั้นพระเจ้าอยู่ที่ไหน คำตอบก็คือ ไม่มีที่ไหน ไม่มีดินแดนของพระเจ้า เราอาจนึกภาพว่าพระเจ้าลอยอยู่ในอวกาศ ก็ไม่ใช่อีก เป็นสถานะใกล้เคียงกับที่จุดซิงกุลาลิตี๊ ไม่ต้องถามว่าก่อนหน้านี้เป็นยังไง เรารู้อย่างเดียวเกี่ยวกับซิงกุลาลิตี้ คือ มีซิงกุลาลิตี้ และอาจจะเป็นแค่เงาของบางอย่างในมิติที่สูงกว่าอีกตะหาก 3).....Inconsistency of creation time จากการศึกษาค้นคว้าพอทราบว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาเมื่อราว 1 แสนปีในขณะที่โลก มีอายุนับพันล้านปีและเอกภพอาจมีอายุเป็นล้านๆๆๆปี ดังนั้น หาก....พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์แล้ว เหตุใดต้องใช้เวลาเป็น ล้านๆๆๆปีในการสร้าง (ก็ไหนว่าทรงปัญญาไง) //มีแสบกว่านั้นเยอะ จากการลำดับรุ่นสาแหรกมนุษย์ ในใบเบิล ระบุคร่าวๆว่า เวลาที่พระเจ้าสร้างโลกเกิดขึ้นตอนประมาณ 3600ปี+- ก่อน คริสตการเท่านั้น ซึ่งขัดกับอายุของโลกทางวิทยศาสตร์ แต่เรื่องทำนองที่ว่านี้ ถูกจงใจไม่พูดถึง เพราะยังไงซะก็ปิดข้อขัดแย้งไม่ได้ คำภีไบเบิลฉบับสมบูลไม่มีอยู่จริง ดังนั้น ความขัดแย้งใดๆจากคำสอนดั้งเดิมกับวิทยาศาตร์ ไม่มีทางถูกเปรียบเทียบได้อย่างถูกต้อง เพราะมนุษย์ผิดพลาดได้ ทั้งคนเขียนใบเบิล หรือนักวิทยาศาสตร์ พระเจ้าตะหากที่ไม่ผิดพลาด เถียงไปก็เอาไม่ลง สรุปคือ -ด้วยความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับรากฐานของเรื่องนี้ของคุณ ไม่มีทางระบุความถูกต้องของเรื่องนี้ได้ เข้าใจมันให้ถูกก่อนดีกว่าครับ -และเผื่อคุณไม่รู้ สถานะตั้งต้นทางวิยาศาตร์ในปจุบันไม่ใช่ไม่มี แต่ทั้งหมดมีอยู่แล้วเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องนี้เรื่องของพระเจ้ามีแนวโน้มจะใกล้เคียงความจริงมากกว่าความเข้าใจคุณเยอะ การถามว่าอะไรเกิดมาจากอะไร เป็นแค่ระหว่างทางของความคิดที่จะตกผลึกเป็น อะไรเกิดด้วยขบวนการอะไร จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว -วิธีที่คุณใช้วิเคราะห์ หลักการในการวิเคราะ เป็นวิธีการของมนุษย์มากไป คำตอบในข้อ 1 ควรจะทำให้คุณเข้าใจว่า ตรรกศาตร์ ไม่มีวันพิศูตร์เรื่องนี้ได้ เจอ อจินไตของพวกบัวใต้น้ำ แล้วจะหนาว ไปไม่ถูกเลย 555+ -เรื่องประวัตศาสตร์มนุษย์ แม้จะใกล้เคียงที่สุดในการโต้แย้ง ก็โต้แย้งกับมนุษย์ได้เท่านั้น แล้วถ้าจะเอาจริงๆ มันไม่มีวันถูกพิสูจน์ว่าผิด นั่นทำให้มันเป็นจริงเท่าๆกับวิทยาศาสตร์ ปล. -ศาสนาดำรงอยู่ด้วยบทบาทและหน้าที่คนละอย่างกับวิทยาศาสร์ แต่สำคัญไม่แพ้กัน การพยายามยกข้อดีของแต่ละอย่างมาทับอีกอย่างจึงเหมือนกับขับรถแข่งกับใส้เดือน ไม่ได้อะไรขึ้นมา ในทางสังคม วิทยาศาสตร์ไม่ได้สูงส่งกว่าศาสหนาเลย -วิทยาศาตร์ไม่ใช่แม้แต่เสี้ยวเดียวของทั้งหมดที่มีอยู่ หลายๆเรื่องในจักวารไม่ได้เกี่ยวกับ เหตุ ผล ปริมาณ แต่เป็นส่วนหนึงของทั้งหมดพอๆกัน ในขณะที่ศาสหนาอธิบายเรื่องของจักวารไปได้ไกลกว่าวิทยาศาตร์เยอะ(แต่เราไม่เชื่อ และมีคนมากกว่าพวกเราที่เชื่อ555 ทั้งที่เป็นความจริงเท่าๆกัน) ถ้าบอกว่าไม่มีอะไรคือ 0 แต่ในจักวาล 0 ดันเกิดมาจาก +1 กับ -1 และในบางที 0 ก็แยกออกมาเป็น +1 กับ -1 คุณจะทำความเข้าใจกับมันยังไง เหตุและผลที่มนุษย์เข้าใจได้ กับ เหตุและผลที่แท้จริงของจักวาล อยู่คนละสเกลเลยครับ ที่ปลายสุดของความรู้ อาจจะเป็นจุดเดียวกับ ศาสหนาก็ได้นะเอ้อ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 22:50:16 จากคุณ : +5 Coulomb เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:41:17

ความคิดเห็นที่ 55 ถามคุณ catwater สมมตินะ มีฆาตกรใจโฉดฆ่าคนมาเป็นพันๆคน พอวาระสุดท้ายของชีวิต เค้าก็หันมานับถือพระเจ้าเพื่อให้ช่วยลบความผิดที่ผ่านมา จะล้างบาปนี่มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? จากคุณ : กานดา หน้ามึน เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:41:52

ความคิดเห็นที่ 56 คห 53 น่าจะตามนั้น จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:51:54

ความคิดเห็นที่ 57 สำหรับคำถาม "พวกที่เชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างโดยผู้สร้างนี่ เขาไม่สงสัยหรอว่าผู้สร้างเกิดมาได้ไง" เขาก็จะบอกว่าอยู่ดีๆผู้สร้างก็เกิดขึ้นมาเองไปเลยครับ เพราะถือว่าผู้สร้างเป็นตัวตนอีกแบบหนึ่งไปเลยจึงไม่จำเป็นต้องถูกสร้างโดยตัวตนอื่นเสมอไป ไปอ่านพวกตำนานเทพกรีก-โรมัน หรือพวกตำนานเทพเจ้าโบราณดูครับว่าพวกเขาเชื่อกันว่ายังไง จะว่าไปแล้วจักรวาลตามทฤษฎีบิ๊กแบงระบุว่ามีอะไรมาก่อนบิ๊กแบงหรือเปล่าก็ไม่รู้ จากคุณ : oryze เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:55:56

ความคิดเห็นที่ 58 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10443265/Y10443265.html จากห้องศาสนา จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:57:05

ความคิดเห็นที่ 59 คห 55 นั่นสินะ แม้องคุลีมาร ก่อนหลุดพ้น ยังต้อง เจอ วิบากกรรม และเมื่อเจ้า กรรม ให้ อภัย นั่นคือ สิ่งสูงสุดในการ ปล่อดปล่อยจาก บ่วง กรรม ที่ทำไว้ อภัยทาน นั้น มีกุศลสูงนัก ปล ผมรู้แค่งูๆปลาๆ คนที่เรา ทำร้าย เขา และเมื่อเราสำนึกผิด แล้ว เค้า ให้ อภัย ในความผิด และไม่เคือง โกรธ ด้วยมีเมตตาจิต ใครได้สัมผัสความรู้สึกนี้ น่าจะเข้าใจ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 22:59:03

ความคิดเห็นที่ 60 ลองฟังดูข้อโต้แย้ง จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:02:36

ความคิดเห็นที่ 61 www.mureed.com จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:05:35

ความคิดเห็นที่ 62 ชั่วเพราะโง่เขลา ชั่วเพราะไม่รู้ ชั่วเพราะรู้ แบบไหนบาปกว่ากันละ จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:09:41

ความคิดเห็นที่ 63 ^ #52, #55 ใช่แล้วคับเพราะว่าการที่บาปจะมาทำให้คุณเป็นทุกข์มันก็เป็นเพราะว่าคุณคือคนบาปน่ะคับเมื่อคุณชอบบาปบาปจึงชอบคุณ... แต่เมื่อคุณเชื่อในพระคริสต์คุณก็จะเป็นคนบุญได้และบาปก็จะหลีกไกลจากคุณ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:12:13 A:49.49.49.234 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 64 ลองเข้าไปถามในเว็บนี้ดูดิ www.mureed.com  ลองดูว่าอิสลามจะตอบว่าอย่างไร จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:12:34

ความคิดเห็นที่ 65 1)...... Self-construction paradox หาก....พระเจ้าผู้ทรงปัญญาเกิดขึ้นมาเองได้ แล้วทำไมเอกภพ, โลกและ สัตว์โลกซึ่งปัญญาน้อยกว่าจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ หาก....พระเจ้าถูกสร้างมาอีกที แล้วสิ่งที่สร้างพระเจ้าจะเกิดขึ้นได้ยังไง Ans.  Self-construction paradox มันไม่มีหรอกนะครับ เป็นความเข้าใจผิดของผู้ที่เชื่อว่าจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาได้เองครับ         เหตุผลที่ถูกต้องจริงๆ คือ "เนื่องจากข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ มีหลายส่วนที่สนับสนุนว่าจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ นั่นคือ บ่งชี้ว่ามันอาจจะถูกสร้างขึ้นมา"   (แต่ไม่ได้บอกนะครับว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเองได้เลย เพราะมันมีทั้งสองประเภท คือ บางอย่างก็เกิดขึ้นมาเองได้ แต่บางอย่างมันก็ถูกสร้างขึ้นมา)          แต่ผู้ที่เชื่อว่าจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาได้เอง จะเข้าใจผิดไปเองว่าเหตุผลทีอีกฝ่ายใช้คือ " ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาเองได้ "  แล้วก็เอาหลักการที่ผิดนี้ไปใช้กับผู้สร้างด้วย ทำให้เข้าใจไปว่าผู้สร้างก็ต้องเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน  แล้วก็สรุปออกมาว่าเป็น Self-construction paradox (ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้มี paradox นี้ ดังที่อธิบายข้างต้น)     อีกอย่างที่สำคัญคือ เมื่อคุณคิดแบบวิทยาศาสตร์ก็จะรู้ว่า การที่เราจะสรุปว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น เราต้องสามารถเข้าถึงสิ่งๆ นั้นและศึกษาสิ่งนั้นได้ซะก่อน จึงจะพอสรุปในเบื้องต้นได้ว่ามันน่าจะเป็นอย่างไร   สำหรับจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเราสามารถเข้าถึงและศึกษาได้ จึงสามารถสรุปได้ แต่สำหรับพระเจ้า เราไม่สามารถจับพระเจ้า(ผู้สร้างจักรวาลและสิ่งมีชีวิต)มาศึกษาวิเคราะห์ได้ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพระเจ้ากำเนิดขึ้นมาอย่างไร ดังนั้น สำหรับคำถามที่ว่า "หาก....พระเจ้าผู้ทรงปัญญาเกิดขึ้นมาเองได้ แล้วทำไมเอกภพ, โลกและสัตว์โลกซึ่งปัญญาน้อยกว่าจะเกิดขึ้นเองไม่ได้"  คำตอบคือ - เหตุผลที่ใช้สรุปว่า จักรวาล สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเองไม่ได้  ไม่ได้เกี่ยวกับปัญญาของสิ่งๆ นั้น ดังนั้น ปัญญามาก ปัญญาน้อย ไม่เกี่ยวครับ   แต่เหตุผลคือคุณสมบัติองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตและจักรวาลต่างหากครับ ที่เมื่อศึกษาวิเคราะห์แล้วทำให้สรุปได้ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นเอง ส่วนผู้สร้างนั้น ตอนนี้เรายังไม่สามารถเข้าถึงเพื่อที่จะศึกษาวิเคราะห์ได้ ทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่า เกิดขึ้นเองหรือถูกสร้างขึ้นครับ (การสรุปว่าผู้สร้างเกิดขึ้นเอง เป็นการสรุปตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล) "หาก....พระเจ้าถูกสร้างมาอีกที แล้วสิ่งที่สร้างพระเจ้าจะเกิดขึ้นได้ยังไง" - คำตอบ คือ ไม่รู้ครับ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ ก็ไม่ได้แปลว่าผิดนะครับ  ลองเทียบกับกรณีตัวอย่างนี้ดูครับ  มนุษย์สร้างหุ่นยนต์ A     หุ่นยนต์ A เก่งถึงขนาดที่สร้างหุ่นยนต์ B ขึ้นมาได้     หุ่นยนต์ B ก็เก่งพอที่จะสร้างหุ่นยนต์ C ขึ้นมาได้อีก   ถ้าหุ่นยนต์ C เริ่มสามารถคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับการกำเนิดของตนเองได้ ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาว่า เอ๊ะ เรา(หุ่นยนต์ C) เกิดขึ้นเองหรือถูกสร้างขึ้นมาหว่า   ถ้าหุ่นยนต์ C จะสรุปว่า "ฉันต้องเกิดขึ้นมาเองแน่ๆ เลย เพราะถ้าจะบอกว่ามีผู้สร้างฉันขึ้นมา แล้วผู้สร้างฉัน(ซึ่งจริงๆ แล้วคือหุ่นยนต์ B) จะเกิดขึ้นมาเองได้ยังไง หรือว่าถูกสร้างขึ้นมาด้วยอีก แล้วผู้สร้างผู้ที่สร้างฉันขึ้นมา จะเกิดขึ้นมาได้ยังไง ...... (อันนี้เขึยนตามรูปแบบคำถามของจขกท)" คิดอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้องจริงไหมครับ เพราะจริงๆ แล้วหุ่นยนต์ C ถูกสร้างขึ้น  แต่พอใช้คำถามแบบเชือดเฉือน ก็ทำให้หลงไปจากความเป็นจริง   ข้อคิดที่ได้จากตัวอย่างนี้ก็คือ การที่หุ่นยนต์ C ไม่รู้ว่า 'ผู้ที่สร้างหุ่นยนต์ C' เกิดขึ้นมาได้ยังไง  ไม่ได้แปลว่า หุ่นยนต์ C เกิดขึ้นมาเอง  และไม่ได้ทำให้ความจริงที่ว่า 'หุ่นยนต์ C ถูกสร้างขึ้น' เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกัน การที่เราไม่รู้ว่า 'ผู้ที่สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา'นั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง ก็ไม่ได้แปลว่า สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเอง และไม่ได้ทำให้ความจริง(หรือความเป็นไปได้)ที่ว่า 'สิ่งมีชีวิตถูกสร้างขึ้นมา' เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใดครับ จากคุณ : PureTruth เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:20:35

ความคิดเห็นที่ 66 ความเชื่อเรื่องพระเจ้าในแบบมุสลิม 1. จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด ความจริงนั้น) พระองค์ คือ อัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ 2. อัลลอฮฺทรงเป็นที่พึ่งของทั้งหมด 3. พระองค์ไม่มีบุตร และพระองค์ไม่ได้ถูกกำเนิด 4. และไม่อะไรหรือใคร เหมือนพระองค์   ประโยคที่ 1            "จงกล่าว พระองค์คืออัลลอฮฺเป็นเอกะ" คือจงกล่าวกับผู้ที่ถามท่านถึงลักษณะของพระเจ้าของท่านว่า "อัลลอฮฺเป็นเอกะ ปราศจากตัรกิบ คือ การสร้างหรือรวบรวมประกอบกันขึ้น และปราศจาก อัตตะอัตดุด คือ มีจำนวนมาก (หมายเหตุ ภาษาอาหรับเรียกสิ่งที่เกินกว่าหนึ่งว่า จำนวนมาก) เพราะว่าถ้ามีจำนวนมากในลักษณะของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ต้องพึ่งกับกับการตัรกีบ แต่ความจริงนั้น อัลลอฮฺ ซ.บ.ไม่พึงประสงค์กับสิ่งนั้น สักอย่างหนึ่งเลย ประโยคที่ 2            "อัลลอฮฺ ผู้ถูกพึ่งตลอดกาล"  คือ พระองค์เป็นพระเจ้าที่ผู้เคารพนับถือ จะต้องมุ่งหมายหรือตั้งมั่นไปหาพระองค์ เพื่อขอให้สำเร็จความประสงค์ของพวกเราตลอดกาล ประโยคที่ 3            "พระองค์ไม่มีบุตร"  คือ อัลลอฮ์ไม่มีบุตร ในอายะฮฺนี้ หักล้างการแสร้งกล่าวของพวก "มุชริกอาหรับ" ที่พวกมันกล่าวหา บรรดามลาอิกะฮฺนั้น เป็นลูกสาวของอัลลอฮฺ และหักล้างการแสร้งกล่าวของพวก "นัศรอนีย์" ที่พวกมันกล่าวหาว่า "ศาสดาอีซา เป็นบุตรชายของอัลลอฮฺ ประโยคที่ 4            "และไม่มีอะไรหรือใครเหมือนกับพระองค์"  คือ ไม่มีสิ่งคู่ควร และไม่มีใครเหมือนกับพระองค์ ในอายะฮฺนี้ปฏิเสธการเอียติก๊อต (การศรัทธา) ของพวกมุบติลีนบางคน ที่พวกเขาศรัทธาว่า อัลลอฮฺมีคู่ควรในการกระทำของพระองค์ ดังเช่นพวกอาหรับที่เป็นมุชริกที่พวกเขาว่า บรรดามะลาอีกะฮฺ เป็นผู้ที่มีหุ้นส่วนอยู่กับอัลลอฮฺ สรุปความ          แท้จริงซูเราะห์นี้ ได้รวมการปฏิเสธชิริกไว้ทุก ๆ ชนิด          1. อัลลอฮฺ ซ.บ. ได้ปฏิเสธการมีจำนวนมาก ออกจากพระองค์ โดยกล่าวว่า "อัลลอฮุอะฮัด" = อัลลอฮฺ ทรงเอกะ          2. อัลลอฮฺ ซ.บ. ได้ปฏิเสธการที่ต้องพึ่งกับสิ่งต่างๆ ออกจากพระองค์ โดยกล่าวว่า "อั้ลลอฮุสซอมัด" =  อัลลอฮฺถูกพึ่งตลอดกาล          3. อัลลอฮฺ ซ.บ. ได้ปฏิเสธการเหมือนกับสิ่งต่างๆ โดยกล่าวว่า "ลัมยะลิด" = พระองค์ไม่มีบุตร          4. อัลลอฮฺ ซ.บ. ได้ปฏิเสธการเป็นของใหม่ และการมีการเริ่มต้น โดยกล่าวว่า "ลัมยูลัต" = พระองค์ไม่ได้ถูกบังเกิด          5. อัลลอฮฺ ซ.บ. ได้ปฏิเสธการมีคู่ควรกับพระองค์ในการกระทำ และการเหมือนกับพระองค์ โดยกล่าวว่า "ว่าลัมยากุ้ลละฮุกุฟุวันอะฮัด" = ไม่มีอะไรหรือใครเหมือนกับพระองค์          อัลลอฮฺ ซ.บ. สูงกว่าและเหนือกว่าจากคำกล่าวของพวกทุจริตอย่างมากมาย โปรดทราบ            ซูร่อตุ้ลอิคลาสนี้ มีชื่อเรียกกันมากมาย            1. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลตัฟรีด       แปลว่า  เรื่องของการเป็นเจ้าองค์เดียว            2. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลต่ารี้ด        แปลว่า  เรื่องของการเอาชีริกต่างๆ ออก            3. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลเตาฮีด      แปลว่า  เรื่องของการเป็นเอกะของพระเจ้า            4. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลอิคลาส      แปลว่า  เรื่องความมหาบริสุทธิ์ของพระเจ้า            5. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลนะยาติ      แปลว่า  เรื่องการให้พ้นบาปของพระเจ้า            6. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลวิลายะฮฺ     แปลว่า  เรื่องการปกครองของพระเจ้า            7. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลนัชบะฮฺ      แปลว่า  เรื่องคุณลักษณะของพระเจ้า            8. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลมะอฺริฟะฮฺ  แปลว่า  เรื่องการรู้จักอัลลอฮฺ            9. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลญะม้าล     แปลว่า  เรื่อง สวยเก๋          10. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลมุกอชก้อชะฮฺ     แปลว่า  เรื่องกวาดล้างคำกล่าวหา          11. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลมะอูชะฮฺ     แปลว่า  เรื่องของการป้องกันให้พ้นจากการชิริก          12. เรียกว่า  ซูร่อตุชชอมัด    แปลว่า  เรื่องของผู้ถูกพึ่งตลอดกาล          13. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลอะชาส    แปลว่า  เรื่องของรากฐานของศาสนาอิสลาม  เจ็ดชั้นฟ้าและเจ็ดชั้นแผ่นดิน ถูกวางรากฐานอยู่บน กุ้ลอูวั้ลลอฮุอะฮัด          14. เรียกว่า  อั้ลมานะอะห์     แปลว่า  เรื่องผู้ห้าม คือ เป็นซูเราะห์ที่ห้ามการฟิตนะตุ้ลกุบูร และเป็นซูเราะห์ที่ดับไฟนรก          15. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลมุฮฺตะด้อร    แปลว่า  เรื่องของการเรียกประชุม เพราะว่าในเมื่อมลาอิกะฮฺได้ยินการอ่านซูเราะห์นี้ มลาอิกะฮฺก็จะมาประชุมฟังกัน          16. เรียกว่า  อั้ลมุนฟ่าร่อตุน    แปลว่า  ผู้ตะเพิดให้หนี เพราะว่าแท้จริง ในเมื่อชันตอนได้การอ่านซูเราะห์นี้ มันก็หนีไปหมด          17. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลบะรออะติ    แปลว่า  พ้นภัย คือ เป็นซูเราะห์ที่พ้นจากการเป็นชิริก          18. เรียกว่า  อั้ลมุชักกะเราะห์    แปลว่า  เครื่องเตือนใจ เพราะซูเราะห์นี้ เตือนให้บ่าวของอัลลอฮฺ เป็นผู้บริสุทธิ์ในการ เตาฮีด ของเขา          19. เรียกว่า  อันนู้ร    แปลว่า  ผู้ฉายรัศมี เพราะว่าเป็นซูเราะห์ที่ให้แสงสว่างกับหัวใจ          20. เรียกว่า  ซูร่อตุ้ลอินซาน    แปลว่า  เรื่องของมนุษย์ http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=2628.0 แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 18:02:34 แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 23:26:33 แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 23:22:28 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:21:34

ความคิดเห็นที่ 67 คห 62 รู้ว่าชั่วก็ทำ เลวสุดครับ คห 63 ใคร ชอบ บาปไม่ทราบ ผม ยกตัวอย่าง คนอื่น คน ดี เค้า เลี่ยงทำบาป อยู่แล้ว คุณ งง อะไร รึป่าวครับ ตรรกะ เหมือน สับสน แยกไม่ออก ว่า ผม พูด ถึงใครอะไร ยังไง แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 54 23:35:26 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:27:02

ความคิดเห็นที่ 68 2)......Creator's site paradox หาก....พระเจ้าเกิดก่อนเอกภพ แล้วตอนนั้นพระเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน และหากตอนนั้น พระเจ้าอาศัยอยู่ในดินแดนของพระเจ้า แล้วใครสร้างดินแดนของพระเจ้าขึ้นมา และหากพระเจ้าเป็นคนสร้าง ก็ย้อนกลับไปถามว่าแล้วก่อนหน้านั้นพระเจ้าอยู่ที่ไหน Ans.  ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้าเกิดก่อนเอกภพ และอาศัยอยู่ในดินแดนของพระเจ้าครับ  ส่วนใครเป็นผู้สร้างดินแดนของพระเจ้านั้น ไม่รู้ครับ      แต่ความไม่รู้นี้ ไม่ได้ทำให้ความจริงในเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปนะครับ (ตามที่อธิบายไว้ใน #65) 3).....Inconsistency of creation time จากการศึกษาค้นคว้าพอทราบว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาเมื่อราว 1 แสนปีในขณะที่โลก มีอายุนับพันล้านปีและเอกภพอาจมีอายุเป็นล้านๆๆๆปี ดังนั้น หาก....พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์แล้ว เหตุใดต้องใช้เวลาเป็น ล้านๆๆๆปีในการสร้าง (ก็ไหนว่าทรงปัญญาไง) Ans.  มนุษย์เราเองมีปัญญาในระดับหนึ่ง แต่สังเกตไหมครับว่าเวลาทำอะไร แต่ละคนก็มีวิธีการทำที่แตกต่างกันไป**ตามแต่เหตุผลของแต่ละคนในสถานการณ์นั้นๆ**   คุณจะไปบอกให้ทุกคนต้องทำด้วยวิธีแบบที่คุณคิด มันก็ไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้ไปรู้ทั้งหมดว่าในกรณีนั้นๆ มันมีแฟคเตอร์หรือสถานการณ์หรือเหตุผลใดอื่นๆ อีกที่ทำให้ควรจะใช้วิธีอื่นที่แตกต่างไปจากวิธีที่คุณคิดครับ จากคุณ : PureTruth เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:39:50

ความคิดเห็นที่ 69 อันนี้หน้าจะเคลียร์ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:48:06

ความคิดเห็นที่ 70 ทุกท่าน กำลังพูดในสิ่งที่เกิดมานาน กว่าเรามากๆ มีอะไร เป็นหลักฐานมากกว่า สิ่งที่ เราคิด หรือ คนอื่นบอกบ้าง แล้ว ทำไม ถึง เชียร์ให้คน นับถือแบบตัวเอง แปลก นะ พุทธปล่อยวาง ใคร จะนับถืออะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นคนดี ไม่เชียร์ใครให้ นับถือ บอกแค่ สัจธรรม ของ ทุกสิ่งอย่างว่ามันไม่เที่ยง มีเกิดมีคงอยู่มีดับไป แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 00:03:53 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 23:56:14

ความคิดเห็นที่ 71 นี่ห้องหว้ากอหรือศาสนาเนี่ย - -'' จากคุณ : Aukub เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 00:08:53

ความคิดเห็นที่ 72 ศาสนาเป็นเรื่องความเชื่อนี่ครับ ทุกศาสนาที่เคยเรียนมาก็ยังมีสิ่งที่พิสูจน์ยังไม่ได้อยู่เลย จนกว่าเราจะพิสูจน์ได้ ก็ไม่ควรไปสรุปว่ามันมีหรือไม่มี เอาแค่ มนุษย์ต่างดาว ผี มีจริงรึป่าว ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปเลย ศาสนาพุทธบอกว่าทำชั่วแล้วจะตกนรก คนก็เลยเกรงกลัว ไม่กล้าทำบาป ทั้งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายแล้วจะไปไหน จะไปนรกชดใช้กรรมจริงหรือเปล่า ศาสนาอิสลาม ก็เน้นเสียสละ ศาสนาคริสต์ ก็เน้นให้รักกัน ผมว่าสนใจแก่นของทุกศาสนา ดีกว่ามั้ง แล้วนำมาปรับใช้ในชีวิต ปล. ตอนนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้อย่าพึ่งไปสรุปสิครับ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์กันซะเลย จากคุณ : herricen99 (Herricen99) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 00:15:15

ความคิดเห็นที่ 73 วันไหนสร้างไทม์แมชชีนได้ ก็คงรู้ัอันไหนเก๊อันไหนจริง จากคุณ : เป็นไปไม่ได้หรือไม่ได้ทำ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 01:09:52

ความคิดเห็นที่ 74 .. จากคุณ : accepting_ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 01:11:58

ความคิดเห็นที่ 75 ^ #67 โอ้... ถึงคุณจะไม่ชอบบาปมันก็ไม่ทำให้คุณไม่ชอบบาป... เป็นไปไม่ได้คับที่คุณจะเป็นคนดีได้ด้วยตัวคุณเอง พลังจักรวาลอันยิ่งใหญ่กำหนดให้ผู้ที่เป็นฝ่ายดีมีเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาลคือพระเจ้าคับนอกนั้นคือคนบาป หากคุณจะเป็นคนดีได้คุณจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าเท่านั้น คนบาปคิดเรื่องละเว้นจากบาปไม่ได้หรอกคับ และเนื่องจากว่าคนบาปรังเกียจบาปไม่ได้ดังนั้นการไม่ชอบบาปพยายามเป็นคนดีด้วยสติปัญญาของตัวเองฯลฯ เป็น Self-construction paradox โดยแท้จิง... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 01:23:25 A:49.49.49.234 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 76 #55 ถ้าคุณทำใจให้ใสได้ในวินาทีที่ตายคุณก็ไปนิพพานได้นะครับ (แต่คนพุทธเชื่อว่าทำไม่ได้ หรือยากมาก ถ้าทำชั่วช้าสารเลวมาอ่ะนะ) #แมวน้ำ ผมไม่รู้ว่าคุณพูดจริงหรือประชดนะ = =' ผมเคยได้ยินเพื่อนชาวคริสเล่าว่ามีนักวิทยาศาสตร์จับเด็กไร้เีดียงสาไปทิ้งไว้บนเกาะ แล้วพบว่าสิ่งแรกที่เด็กทำคือหาใบไม้มาปิดเพราะความละอาย ผมไม่กล้าถามเค้าหรอกว่าไอ้เด็กที่จับไปปล่อยพ่อแม่มันยอมเหรอ แล้วนักสิทธิมนุษยชนไม่เอาตายเหรอ แต่ผมอยากรู้ว่าคุณเชื่อการทดลองเรื่องนี้ไหม?? จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 01:53:15 A:124.120.81.44 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 77 ความดีนั้น ต้องเป็นความดีที่สมบูรณ์ นี่คือลักษณะพระเจ้า ถึงมนุษย์..คิดว่า!.."ตนเองกระทำดีแล้ว แต่ จริงๆแล้ว มนุษย์ทำดีบ้าง ไม่ดีบ้าง " ซึ่งจริงๆแล้วความดีของมนุษย์จะออกมาจากความไม่ดีได้อย่างไร???? ดังนั้นความดีของมนุษย์ เป็นความดี จริงหรือ?? ทำไมความดีของมนุษย์ผลิตความไม่ดีมาด้วย ดังนั้น ก่อนที่อยากรู้ว่าพระเจ้าอยู่ทีไหนนั้น ผมคิดว่า"เราควรเรียนรู้ว่าเราอยู่ที่ไหนก่อนครับ เราอยู่ในโลกเพราะ"บาป"ครับ บาปเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแรงผลักดันความคิดครับ ดังนั้น เราถึงต้องการความดีที่สมบูรณ์ช่วยเราครับ ซึ่งจะทำให้ความคิดของมนุษย์"เปลี่ยนใหม่หมดครับ" เหมือนดังเพลงข้างล่างครับ จากคุณ : Chukiet_pr เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 02:06:17

ความคิดเห็นที่ 78 You provide the fire And I’ll provide the sacrifice You provide the Spirit And I will open up inside ... Fill me up, God Fill me up,God Fill me up, God Fill me up Love of God overflow Permeate all my soul แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 02:09:18 จากคุณ : Chukiet_pr เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 02:08:44

ความคิดเห็นที่ 79 ^ #76 การทดลองมันก็อาจจะออกมาอย่างนั้นจิงแต่ผมไม่สนใจหรอกคับว่าผลการทดลองมันออกมายังไงแต่ผมสนใจว่าคุณสรุปผลการทดลองนี้ว่ายังไงมากกว่า... หรือคุณจะสรุปผลการทดลองนี้ว่าคนเรามีธรรมชาติเป็นคนดีอยู่แล้วเพราะมีความละอาย???... ถ้าการปกปิดร่างกายคือความดีและการเปิดเผยร่างกายคือความชั่วแล้วทำไมพระเจ้าสร้างอดัมกับอิฟขึ้นมาเปลือยเปล่าล่อนจ้อนนุ่งลมห่มฟ้า???... การทดลองนี้มันไม่ได้บอกอะไรหรอกคับการทดลองมันก็บ่งบอกเพียงแค่ว่ามนุษย์พยายามจะนิยามว่าอะไรถูกอะไรผิดอะไรดีไม่ดีตามใจตัวเองให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลก็แค่นั้นเอง... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 03:06:02 A:49.49.49.234 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 80 จาก 75 "พลังจักรวาลอันยิ่งใหญ่กำหนดให้ผู้ที่เป็นฝ่ายดีมีเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาลคือพระเจ้าคับนอกนั้นคือคนบาป" ศาสนาที่คุณนับถือเค้าสอนมาอย่างนี้จริงๆเหรอครับ ? ฟังดูแย่มากๆเลย อย่างงี้เท่ากับแบ่งแยกว่าศาสนาอื่นๆเป็นคนบาปไปหมดเลยสินะ จากคุณ : annalog เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 05:43:32

ความคิดเห็นที่ 81 แมวน้ำ คิดว่า คน เรา ไม่รู้ จัก ทำความดี เอง ละ เว้นทำบาปเองได้เหรอ แปลกคน ตาม 80 นั่นแหละ ที่คุณแมวน้ำยัดเยียด บาปให้คนอื่นโดยไม่ เชื่อ แบบตัวเอง เหอะๆ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 07:13:42

ความคิดเห็นที่ 82 คนเราไม่ได้ เกิดมา จำนน กับ จิตที่ไฝ่ต่ำ หรือ มุ่งแต่ไปทำ บาป นะครับ แมวน้ำ เรา ต่างจาก สิ่ง อื่น คือการตัดสินใจ จะทำดีทำชั่ว เราคิด แบบใจเขาใจเราและ เลือกทำในทางที่ดีได้ ศาสนา ควรมุ่งให้คนเกรงกลัวต่อบาป ไม่ใช่ ให้ทำบาปอะไรตามใจ แล้ว ก็ ยกบาปได้ด้วยแค่การเชื่อ แบบคุณ แต่แค่การสารภาพ ผิด ก็เหมือน สำนึกในบาป ไม่ต่างกับ พุทธ ที่ หากรับศีล แล้วผิด ศีล ก็ ไม่ดี แต่ความผิดเกิดแล้ว ทางที่ จะ คลายได้ นอกจาก สำนึก ด้วยใจจริง แบบ ไปสำนึกบาป กับ หลวงพ่อ แบบ คริสต์ ก็ คือ ทำ ความดี ทดแทน เพื่อให้ เรามีความดี สะสม มากกว่า ความชั่ว ทุกคน จึงมี บาปแต่จะมาก จะน้อยเพราะการกระทำของเรา พอเข้าใจไหม แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 07:22:22 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 07:18:37 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 07:18:06

ความคิดเห็นที่ 83 เราต้องพิสูจน์เพื่อค้นหาศัจธรรม  ลองพิมพ์คำว่า  "ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี....จริงหรือ" แล้วลองอ่านบทความดู จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 08:33:23

ความคิดเห็นที่ 84 อุตส่าตอบตั้งนาน มาดูอีกทีกลายเป็นกะทู้อ้างตำราไปซะได้ จากคุณ : +5 Coulomb เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 09:04:57

ความคิดเห็นที่ 85 ไม่ว่าจะเชื่อในในรูปแบบศาสนาไหน หรือจะเชื่อในแบบวิทยาศาสตร์ ทั้งสองแบบ ก็จะมีคำถามตามมาเสมอ ไม่มีที่สิ้นสุด... ดังนั้น สิ่งที่ต่างกันระหว่างเรา... ก็คือ "ความเชื่อ" จากคุณ : TheMATABA เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 09:59:57

ความคิดเห็นที่ 86 ในระบบกรรม หรือ ระบบพระเจ้า ก็ล้วนแต่มีสิ่ง ทีอธิบายไม่ได้ หรือ ไม่สมเหตุ สมผล แต่หลายๆคน ที่ยึดมั่น ในแนวทางศาสนา ก็มักจะไม่ยอมรับ ความจริง ตรงนี้กัน ในระบบ วิทยาศาสตร์ ก็มีข้อจำกัด เหลือเกิน แต่นั่น คือ ความเข้าใจอันแรก ที่ทุกคน ในแวดวงวิทยาศาสตร์ ต่างก็ยอมรับกัน นั่นคือ ความแตกต่าง ---- ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตผล แล้วพิสูจน์ไม่ได้ นั่นหมายถึง มันสามารถมีคำอธิบาย อีกหลายล้าน รูปแบบ ที่แตกต่างกัน แล้วคุณล่ะ จะเลือก เชื่อ คำอธิบาย อันไหน มาใช้เป็น แนวทาง ในการดำเนินชีวิต แล้วมัน่ใจได้อย่างไร ว่านั่น คือ ความจริง จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 10:24:04

ความคิดเห็นที่ 87 69 คำว่า อันนี้หน้าจะเคลียร์ คำว่า น่า ต้องสะกดอย่างนี้ค่ะ   คำง่ายๆ เจอบ่อยๆ พูดอยู่ทุกวัน อย่าใช้ผิด จากคุณ : หนูันัน (นู๋นัน) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 10:56:42

ความคิดเห็นที่ 88 คห 86 1 ทำอะไรแล้ว เรารู้สึกดี คนอื่นรู้สึกดี 2 ทำอะไรแล้วเรารู้สึกไม่ดี แต่คนอื่นรู้สึกดี แต่ก็ยินดีทำ 3 ทำอะไร เรารู้สึกดีแล้วคนอื่นรู้สึกไม่ดี 4 ทำอะไรเรารู้สึกไม่ดี คนอื่น รู้สึกไม่ดี แค่นี้ ถามจริงๆ ไม่เคย ประจักษ์ 4 ข้อ พื้นฐานนี้เหรอ 1-2 คือการทำ ดี 3-4 คือทำชั่ว นี่แค่เบสิกนะครับ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 11:32:19

ความคิดเห็นที่ 89 คห 83 ศาสนา อะไรที่ ไม่ได้สอนให้ เป็นคนดี ทำความดี ละเว้นความชั่ว นั่นน่าจะ เป็น ลัทธิมากกว่า ศาสนา แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 11:42:31 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 11:35:05

ความคิดเห็นที่ 90 ศาสนามีหลายสิบ นับร้อยศาสนา และก็สอนไม่เหมือนกัน ดังนั้นมันต้องมีศาสนาอย่างน้อยหนึ่ง หรือมากกว่านั้น ที่คำสอนผิดแน่ๆ ถ้าสอนถูกต้องกันทุกศาสนา คนทุกคนในโลกนี้ต้องตกนรกกันหมด เพราะถ้าทำตามศาสนาหนึ่งถูกต้องทุกประการ ก็ต้องทำผิดอะไรซักอย่างในศาสนาอื่นจนได้ ผมสงสัยมาก ว่าเราจะแน่ใจได้ไง ว่าศาสนาที่เรานับถืออยู่ มีคำสอนที่ถูกต้องกว่าศาสนาอื่น บางทีศาสนาอื่นอาจจะสอนถูกต้องกว่าก็ได้ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 12:25:27

ความคิดเห็นที่ 91 คห 90 ง่ายๆ รับเอาแต่ สิ่งดีๆ ด้านดีๆของศาสนาต่างๆ มาก็พอแล้วครับ เรา มีสิทธิ์ เลือก สิ่งที่ถูกต้องมายึดถือไม่จำเป็นต้อง ตีกรอบ ให้ตัวเอง จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 12:34:14

ความคิดเห็นที่ 92 ศาสนาไหน ที่ห้ามศึกษาศาสนา อื่น ผมว่า นั่น มัน ปิดกั้น กันเกินไป จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 15:06:18

ความคิดเห็นที่ 93 ^ ศาสนาที่มันปิดกั้นมันไม่ได้หมายความว่ามันผิดไม่ใช่เหรอ???... หรือคุณจะบอกว่าพอคุณบอกว่ามันปิดกั้นมั้นก็หมายความว่ามันผิด???... คุณบอกว่าคุณมีสิทธิ์เลือกมันไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิ์เลือก คุณบอกว่าคนเราไม่ได้เกิดมายอมจำนนกับจิตที่ไฝ่ต่ำหรือมุ่งแต่ไปทำบาปมันไม่ได้หมายความว่าคนเราไม่ได้เกิดมายอมจำนนกับจิตใจใฝ่ต่ำหรือมุ่งไปทำบาป คุณบอกว่าคนเราเลือกทำสิ่งที่ดีและเกรงกลัวต่อบาปไม่ได้หมายความว่าคนเราเลือกทำสิ่งที่ดีและเกรงกลัวต่อบาป คุณบอกว่าผมยัดเยียดบาปให้คนอื่นที่ไม่เชื่อแบบตัวเองมันไม่ได้หมายความว่าผมยัดเยียดบาปให้คนอื่นที่ไม่เชื่อแบบตัวเอง คุณบอกว่าไม่เชื่อว่าคนเราไม่รู้จักทำความดีเองละเว้นทำบาปได้เองมันก็เพราะว่าคุณไม่รู้จักทำความดีเองและละเว้นบาปได้เองน่ะคับ... #80 ป่าวคับไม่มีศาสนาสอนแบบนั้นได้หรอกคับเพราะการหยั่งรู้ถึงโครงสร้างของพลังจักรวาลนั้นจะต้องมีญาณน่ะคับ ดังนั้นมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจโครงสร้างของพลังจักรวาลอันยิ่งใหญ่ได้... แต่โมเดลที่ผมยกมานี้สามารถอธิบายได้นะคับว่าทำไมพระเจ้าที่ทรงอิทธิฤทธิ์และปัญญามหาศาลจึงสามารถเกิดขึ้นมาเองได้แต่มนุษย์ธรรมดาสามัญกลับเกิดขึ้นมาเองไม่ได้... ถ้าคุณไม่เชื่อโมเดลนี้คุณจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 15:33:10 A:49.49.49.234 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 94 วิธีจะพิสูจน์ว่ามี  ก็เป็นวิธีเดียวกับที่จะพิสูจน์ว่าไม่มี วิธีที่จะพิสูจน์ว่าไม่มี ก็มีศาสนาเดียวที่สอนอย่างชัดเจน จากคุณ : lostman เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 15:48:13

ความคิดเห็นที่ 95 คห.65 PureTruth จากที่สรุปมาแปลว่าเราอาจจะเป็นหุ่นยนต์ C ส่วนพระเจ้าคือ B ซึ่งตามการตีความของผมพระเจ้าน่าจะหมายถึงผู้สร้างสูงสุดที่อยู่ต้นสายนะครับ จะเห็นว่ามันก็ยัง paradox อยู่ดีว่าผู้สร้างของผู้สร้างของผู้สร้าง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คือใครกันแน่ สามารถสาวไปต้นสายได้หรือไม่ หรือว่าสาวต่อได้เรื่อยๆไม่สิ้นสุด ปล.อันนี้ผมคิดตามตรรกกะส่วนตัวล้วนๆครับ ปัจจุบันวิทย์ก็ยังทดลองไปไม่ถึงหรอก จากคุณ : Grunge agina เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 16:03:46 A:125.24.120.157 X: TicketID:275557

ความคิดเห็นที่ 96 มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะถูกสร้างหรือถูกทำให้บังเกิดพระเจ้าที่แท้จริงจะต้องไม่ถูกบังเกิด จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 16:28:47

ความคิดเห็นที่ 97 ไปเจอมาจากห้องสาสนา จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 16:30:31

ความคิดเห็นที่ 98 ผู้สร้างจะเกิดขึ้นเองหรือถูกสร้างไม่ได้เป็นพาราด๊อกหรอกคับ ที่แน่ๆการพยายามเป็นคนดีด้วยตัวเอง (ด้วยตัวของคนบาปเอง... -"-) เป็น Self-construction paradox โดยแท้จิง... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 16:57:30 A:49.49.49.234 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 99 พระเจ้าจะสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้วปล่อยให้มนุษย์อย๋บนโลกนี้เชยๆเลยหรือ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 17:33:52

ความคิดเห็นที่ 100 ถ้าใครเชื่อในความมีอยู่จริงของผูเป็นปฐมเหตุทั้งหมดแล้ว สิ่งต่อไปที่ผึงกระทำคือการค้นว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาอยู่บนโลกใบนี้เพี่อ......อย่ายุดที่จะตั้งคำถาม จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 17:37:59

ความคิดเห็นที่ 101 จขกท เงียบหายไปเลย ...... คำตอบสำหรับคำถามของกระทู้นี้ มีอยู่ใน #54, #65, #68   ก็ชัดเจนดีนะ จากคุณ : อัสดรวิหค เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 18:29:51

ความคิดเห็นที่ 102 ตอบคุณ Grunge agina #95 " ความคิดเห็นที่ 95   คห.65 PureTruth จากที่สรุปมาแปลว่าเราอาจจะเป็นหุ่นยนต์ C ส่วนพระเจ้าคือ B ซึ่งตามการตีความของผมพระเจ้าน่าจะหมายถึงผู้สร้างสูงสุดที่อยู่ต้นสายนะครับ จะเห็นว่ามันก็ยัง paradox อยู่ดีว่าผู้สร้างของผู้สร้างของผู้สร้าง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คือใครกันแน่ สามารถสาวไปต้นสายได้หรือไม่ ..." Ans.  เรามาลองดูจากตัวอย่างใน #65 อีกครั้งนะครับ จากตัวอย่างนั้น หากคุณเชื่อว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาเองได้ ก็จะได้ผลออกมาว่า หุ่นยนต์ C เกิดขึ้นเองไม่ได้ แต่ถูกสร้างด้วยผู้สร้าง (หุ่นยนต์ B)  ผู้ที่สร้างหุ่นยนต์ B ก็เกิดขึ้นเองไม่ได้นะ มันต้องถูกสร้างโดยผู้สร้าง (หุ่นยนต์ A)   แล้วต่อๆ ไปเป็นยังไง ถ้าคุณใช้หลักการ self-construction paradox ของจขกท คุณก็จะต้องพูดว่า "แล้วผู้สร้างหุ่นยนต์ A มันจะเกิดขึ้นมาเองได้ยังไง ในเมื่อสิ่งต่างๆ (หุ่นยนต์ต่างๆ ก่อนหน้านี้) คุณบอกว่ามันเกิดขึ้นมาเองไม่ได้"   ซึ่งคุณเห็นไหมครับว่า การใช้ self-construction paradox นี้ มันก็จะขัดแย้งกับสิ่งที่คุณเชื่อเหมือนกัน เพราะคุณเชื่อว่ามนุษย์ (ผู้สร้างหุ่นยนต์ A) เกิดขึ้นมาเองได้ แต่ผู้ที่อ้างหลักการ self-construction paradox จะบอกว่า "สิ่งที่คุณเชื่อนั้นมันผิด เพราะเป็น self-construction paradox"  ดังนั้น จริงๆ แล้ว self-construction paradox มันไม่มีหรอกครับ มันเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งเท่านั้นครับ  การจะพิจารณาว่าสิ่งใดเกิดขึ้นมาเองได้หรือไม่ มันมีวิธีพิจารณาและวิเคราะห์ครับ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาบอกว่า self-construction paradox กันเฉยๆ แบบนี้ครับ จากคุณ : PureTruth เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 18:50:35

ความคิดเห็นที่ 103 ถามคุณ PureTruth #102 งงนิดหน่อยครับ ขอขยายความเพิ่มบรรทัดนี้หน่อยได้ไหมครับ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ Ans. Self-construction paradox มันไม่มีหรอกนะครับ เป็นความเข้าใจผิดของผู้ที่เชื่อว่าจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาได้เองครับ เหตุผลที่ถูกต้องจริงๆ คือ "เนื่องจากข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ มีหลายส่วนที่สนับสนุนว่าจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ นั่นคือ บ่งชี้ว่ามันอาจจะถูกสร้างขึ้นมา" (แต่ไม่ได้บอกนะครับว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเองได้เลย เพราะมันมีทั้งสองประเภท คือ บางอย่างก็เกิดขึ้นมาเองได้ แต่บางอย่างมันก็ถูกสร้างขึ้นมา) ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ คือสรุปว่าจุดกำเนิดของสรรพสิ่งควรเป็นแบบไหนครับ 1. ทุกสิ่งต้องมีผู้สร้าง >> อันนี้มัน paradox ตรงที่ใครเป็นคนสร้างผู้สร้างอีกที 2. ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เอง >> แปลว่าไม่มีผู้สร้าง 3. มีทั้งสองแบบ >> ตามความเห็นผม ถ้ามีทั้งสองแบบจริงควรจะยุบเป็นทุกสิ่งเกิดขึ้นเอง เพราะถ้าพระเจ้าเกิดขึ้นได้เอง แล้วพระเจ้าสร้างมนุษย์ ก็ควรจะถือว่ามนุษย์เกิดขึ้นเองเช่นกัน (ในความเห็นผมถ้า A สร้าง B แล้ว B สร้าง C ผมจะสรุปว่า A คือผู้สร้าง C ที่แท้จริง) จากคุณ : Grunge agina เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 19:39:08 A:125.24.120.157 X: TicketID:275557

ความคิดเห็นที่ 104 ^ คุณอาจจะหลอกตัวเองว่าไม่มีพระเจ้าโดยการสรุปตีรวมเป็นว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเองก็ได้แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณก็หลีกหนีความจิงข้อหนึ่งไม่ได้ว่าการที่คุณพยายามเป็นคนดีด้วยตัวเอง (ด้วยตัวของคนบาปเอง... -"-) เป็น Self-construction paradox โดยแท้จิงคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:00:29 A:49.49.49.234 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 105 #93 ผมไม่ได้ว่าหรอก ว่าศาสนาที่ปิดกั้นจะผิด แต่มันทำให้ผมคิดไปถึง 5 Steps to Tyranny Step 1 – "Us" and "Them" - “พวกเรา” และ “พวกเขา” Step 2 – Obey Orders (เชื่อฟังคำสั่ง) ผมทำความดีและละเว้นบาปเพราะแก่นของศาสนาผม บอกว่า ให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่ได้เกิดจากพระเจ้าของคุณเปลี่ยนผมให้เป็นคนดีครับ คุณเชื่อว่านอกจากพระเจ้าแล้วทุกคนเป็นคนบาป มันเอามาใช้อ้างอิงไม่ได้ เพราะประโยคข้างต้นมันก็เป็นแค่ความเชื่อของคุณครับ แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 20:15:08 จากคุณ : annalog เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:05:08

ความคิดเห็นที่ 106 ทั้งคนที่เชื่อในพระเจ้า และ ไม่เชื่อในพระเจ้า ต่างฝ่ายต่างก็หาตรรกะ และ เหตุผลของตัวเองมาเสนอ ต่างฝ่ายต่างก็มีคำถามและความสงสัยซึ่งกันและกัน แน่นอนคำตอบที่ได้ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะสิ่งที่แตกต่างกันของทั้งสองฝ่ายก็คือ "ความเชื่อ" แล้วถ้าหาก "ความเชื่อ" ของแต่ละฝ่ายสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ง่ายกับทุกคนแล้วหล่ะก็ ป่านนี้เจ้าของกระทู้คงไม่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ปล. หากไปถามที่ห้องศาสนา ก็จะได้คำตอบอีกแง่มุมหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 23:01:08 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:55:05

ความคิดเห็นที่ 107 ^ #105 ประโยคที่ว่าศาสนาของคุณบอกว่าให้ทำความดีละเว้นความชั่วทำจิตใจให้ผ่องใสแล้วคุณจะเป็นคนดีมันก็เป็นแค่ความเชื่อของคุณ ถึงศาสนาของคุณบอกให้ทำความดีละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้ผ่องใสมันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำความดีละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้ผ่องใส... เพราะว่าคนบาปทำความดีไม่ได้คนบาปละเว้นความชั่วไม่ได้ คนบาปทำจิตใจให้ผ่องใสไม่ได้ ดังนั้นการที่คุณพยายามเป็นคนดีด้วยการทำความดีละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้ผ่องใส มันจึงเป็น Self-construction paradox โดยแท้จิงคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:57:05 A:49.49.49.234 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 108 ตอบคุณ Grunge agina  #103 "คือสรุปว่าจุดกำเนิดของสรรพสิ่งควรเป็นแบบไหนครับ 1. ทุกสิ่งต้องมีผู้สร้าง >> อันนี้มัน paradox ตรงที่ใครเป็นคนสร้างผู้สร้างอีกที" Ans.  คำตอบมีอยู่ใน #65 ครับ ประโยคถัดจากประโยคที่คุณยกมาเลยครับ นั่นคือ  " แต่ผู้ที่เชื่อว่าจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาได้เอง จะเข้าใจผิดไปเองว่าเหตุผลทีอีกฝ่ายใช้คือ " ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาเองได้ " (ซึ่งก็คือที่คุณเขียนว่า 'ทุกสิ่งต้องมีผู้สร้าง' นั่นเอง) แล้วก็เอาหลักการที่ผิดนี้ไปใช้กับผู้สร้างด้วย ทำให้เข้าใจไปว่าผู้สร้างก็ต้องเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน  แล้วก็สรุปออกมาว่าเป็น Self-construction paradox (ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้มี paradox นี้ ดังที่อธิบายข้างต้น) " คุณลองอ่านคำอธิบายหลังจากนั้นดูด้วยนะครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ถามได้เลย ยินดีตอบครับ  ^^ 2. ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เอง >> แปลว่าไม่มีผู้สร้าง Ans.  แน่นอนว่า ทุกคนเห็นตรงกันว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาเองได้  อย่างเช่น 'เครื่องบิน' เกิดขึ้นมาเองไม่ได้แน่นอน   ดังนั้น ข้อนี้ตกไปครับ 3. มีทั้งสองแบบ >> ตามความเห็นผม ถ้ามีทั้งสองแบบจริงควรจะยุบเป็นทุกสิ่งเกิดขึ้นเอง เพราะถ้าพระเจ้าเกิดขึ้นได้เอง แล้วพระเจ้าสร้างมนุษย์ ก็ควรจะถือว่ามนุษย์เกิดขึ้นเองเช่นกัน (ในความเห็นผมถ้า A สร้าง B แล้ว B สร้าง C ผมจะสรุปว่า A คือผู้สร้าง C ที่แท้จริง) Ans. การยุบแบบนั้น จะไม่ได้ช่วยให้การวิเคราะห์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนะครับ  ยกตัวอย่างเช่น มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งกำลังถกเถียงกันเรื่อง สโตนเฮนจ์มันเกิดขึ้นมาเองหรือว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง  ถ้าคุณไปบอกว่า คุณถือว่าสโตนเฮนจ์เกิดขึ้นมาเอง (เพราะคุณเชื่อว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาได้เอง) มันก็ไม่ได้ช่วยให้การถกเถียงวิเคราะห์ได้คำตอบแต่อย่างใด แถมยังจะทำให้คนเข้าใจผิดไปด้วยว่า คำตอบของคุณคือ สโตนเฮนจ์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ จากคุณ : PureTruth เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:15:47

ความคิดเห็นที่ 109 คุณใจนิ่ง ครับ ทำไมต้องเชื่อเว็บ mureed.com ขนาดทฤษฎีวิทยาศาสตร์อย่าง วิวัฒนาการ เว็บนี้ยังเอาศาสนาโยงวิทยาศาสตร์จับแพะชนแกะแล้วมาอ้างมั่ว ๆ และห้องนี้เป็นห้องวิทยาศาสตร์ ยิ่งอ้าง mureed.com ยิ่ง discredit อิสลามเปล่า ๆ ไร้สาระนะคุณใจนิ่ง จากคุณ : เดจาวู เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:35:21 A:124.122.162.6 X: TicketID:309715

ความคิดเห็นที่ 110 "พวกที่เชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างโดยผู้สร้างนี่ เขาไม่สงสัยหรอว่าผู้สร้างเกิดมาได้ไง" เพราะความสงสัยนี่แหละครับ จึงถามหาจุดเริ่มต้น เมื่อไม่มีคำตอบ เมื่อไร้คำตอบ ตัวแปรที่ชื่อว่า "พระเจ้า" จึงถือกำเนิด พระเจ้าไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีผู้สร้าง คงมีแต่ดั่งเดิม ดำรงอยู่ เป็นสภาวะใด เหนือความเข้าใจ เหนือตรรกะอย่างไร? เรื่องนี้จึงอยู่ที่การนิยาม "พระเจ้า" แล้วล่ะครับ เรื่องนี้เป็นปัจเจก บังคับกันไม่ได้ พระเจ้าคือธรรมชาติ คือความน่าจะเป็น คือพระเจ้า ศาสนาที่ศรัทธาในพระเจ้า ยังนิยาม "พระเจ้า" ต่างกันเลยครับ จะเอาอะไรกับคำตอบที่แท้จริงล่ะ จากคุณ : เดจาวู เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:06:24 A:124.122.162.6 X: TicketID:309715

ความคิดเห็นที่ 111 ^ ^ ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงที่มีนิยามพระเจ้าหลายแบบหรอกครับ  เพราะพวกที่เชื่อว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นมาเองได้ก็ยังมีแนวคิดหลายแบบเช่นเดียวกัน ปัญหามันอยู่ที่ว่าตัวคุณสามารถวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผลหรือไม่ว่า แบบไหนของฝ่ายไหนน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องมากกว่าแบบอื่นครับ และคุณคงจะต้องไปทำความเข้าใจให้ถูกต้องมากกว่านี้ด้วยนะครับ ผู้ที่เชื่อว่าจักรวาลและสิ่งมีชีวิตถูกสร้างขึ้นมา ส่วนใหญ่ไม่ได้นิยามพระเจ้าว่าคือธรรมชาติหรือความน่าจะเป็น อย่างที่คุณพยายามจะอ้างนะครับ     ถ้าคุณมัวแต่เอาสิ่งที่คนส่วนน้อยคิด มาอ้างอิงและวิเคราะห์แล้วล่ะก็ มันไร้ประโยชน์ครับ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้นซักกะหน่อย จากคุณ : PureTruth เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:01:38

ความคิดเห็นที่ 112 จะนิยามพระเจ้าแบบใด พระองค์ก็ไม่ลอยลงมาให้คำตอบมิใช่เหรอครับ มิใช่ว่าฝ่ายไหนเยอะกว่าหรือน้อยกว่า แล้วพระองค์จะปรากฏตัวให้เป็น reward point คะแนนสะสม สุดท้ายมันก็ตกอยู่ที่การพิจาณาด้วยสติและปัญญามิใช่รึ? ไม่มีใครตัดสินใครว่าฉลาดหรือโง่ ศาสนาที่มีรากเหง้าเดียวกัน ยังไม่ตรงกันด้วยเรื่องเหตุผลทำนองนี้ แล้วคุณจะเอาอะไรกับความคิดเห็นที่หลากหลายที่บังคับกันไม่ได้ล่ะครับ ก็เหมือนกับว่ารางวัลที่พระเจ้าจะให้ พระองค์จะให้เอง มิใช่ว่าให้พวกคนที่เรียกว่าสาวกมายัดเยียดซะหน่อย จากคุณ : เดจาวู เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:27:51 A:124.122.162.6 X: TicketID:309715

ความคิดเห็นที่ 113 ถึงคุณ PureTruth #108 ผมกะยังสงสัยอยู่ดีครับ คือ จะสรุปว่าทุกสิ่งล้วนเกิดมาจากผู้สร้าง โดยผู้สร้างสุงสุดนั้นไม่มีใครสร้างใช่ไหมครับ ส่วนเรื่องนิยามพระเจ้าผมว่าก็สำคัญนะครับ บางคนนิยามว่ามีลักษณะที่คล้ายกับบุคคล บ้างก็ว่าเป็นสภาวะโดยธรรมชาติมากกว่า ขอบคุณล่วงหน้านะครับ ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยน จากคุณ : Grunge agina เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:23:46 A:125.24.110.136 X: TicketID:275557

ความคิดเห็นที่ 114 คุณความคิดเห็นที่ 109  ช่วยยกหลักฐานหรือตัวอย่างได้ไม่ครับว่าไร่สาระตรงไหน อย่าลอยครับ ช่วยพิสูตรหน่อย ได้ไม่ครับ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันเนา 54 08:34:59

ความคิดเห็นที่ 115 think think think จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันเนา 54 08:38:46