ความคิดเห็นที่ 1 เออ....มองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีนะจ๊ะ..ไม่เชื่อ ไม่ลบหลู่ รู้เชื่อไม่งมงาย.. จากคุณ : supermadz เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 19:44:23

ความคิดเห็นที่ 2 กรรมมันมีจริงๆ มันคือผลของการกระทำเรานี่แหละ จากคุณ : grampus01 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 19:46:52

ความคิดเห็นที่ 3 เขาไม่ได้ว่า เรื่องความเชื่อ ค่ะ แต่คำผกา พูดถึงเครื่องมือที่แม่ชีให้ชี้นำความเชื่อค่ะ จากคุณ : gungungirl เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 19:50:32

ความคิดเห็นที่ 4 เชิญชาวหว้ากอมาร่วมยินดี กับชัยชนะอีกครั้ง ของตรรกะเหตุผล ที่อยู่เหนือ ศรัทธา เมื่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด ตรรกะเหตุผลจึงอยู่เหนือ ศรัทธางมงายที่ว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดไม่ได้ =============================== เรื่องแม่ชีนั้น เป็นคนละเรื่องกับ กรรม แยกแยะด้วย จากคุณ : ข้าพเจ้า เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 19:56:33 A:192.168.200.189 X:101.108.4.190 TicketID:295916

ความคิดเห็นที่ 5 "คนหัววิทย์หัวตรรกะอย่างเราๆ ก็จงใจชีวิตแบบโลกีย์ๆ กันแต่ไปดีกว่า ดื่ม กิน เที่ยว เสพสุข สุรา นารี กันให้เต็มเหนี่ยว" ขออภัยเจ้าของกระทู้ครับ แต่ผมจะไม่ใช้ชีวิตแบบนั้น ขอบคุณครับ จากคุณ : ::humAn_nAture:: เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 19:57:49

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องกรรม ต้องระบุด้วยว่ากรรมชาติก่อน หรือกรรมชาตินี้ ถ้าเป็นกรรมชาตินี้ มีจริง เราทำอะไรไป มันย่อมส่งผลถึงเราแน่นอน ส่วนกรรมชาติก่อน คนละประเด็น ไม่มีจริง และยังไง ผมก็ไม่ขอใช้ชีวิตแบบที่ จขกท. ว่ามาอยู่ดี แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 20:01:29 จากคุณ : นายขนมหวาน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 19:59:38

ความคิดเห็นที่ 7  อะไรหว่า.. จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:01:12

ความคิดเห็นที่ 8 ปาบกรรม คือ ผล ของการ กระทำชั่ว ไม่ได้รับคืนเร็วก็ช้า อย่างน้อยคุณก็รู้ อยู่แก่ใจ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:02:21

ความคิดเห็นที่ 9 ต่างคนต่างความคิด ไม่มีใครผิด แต่ก็ไม่มีใครถูก จากคุณ : saisanan เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:04:34

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เลย จากคุณ : Richelieu เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:12:32

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้านำมานั่งคู่กัน2คน ผมยกมือไหว้แม่ชีครับ เพราะดูจากอากัปกริยายังพอบ่งบอกจิตใจว่าอยู่ฝ่ายเทพมากกว่าอยู่ฝ่ายมาร จากคุณ : bjackjack เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:14:47

ความคิดเห็นที่ 12 ดิฉันไม่เห็นด้วยกับแม่ชีทั้งหมด แต่ขอความกรุณาอย่าเหมารวมคนอื่นเป็น ชาวหว้ากอ ที่เป็นแบบเดียวกันกับคุณสิคะ - -" จากคุณ : peachcandy เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:17:29

ความคิดเห็นที่ 13 จขกท. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องกรรม กับการหาประโยชน์จากกรรม นะครับ ผมเห็นว่าการปฏิเสธแก้กรรมหรือการสแกนกรรมนั้น ไม่ได้กระทบกับการมีตัวตนของกรรมแต่อย่างใด และการปฏิเสธการบูชาพระเจ้า ก้อไม่ได้เกี่ยงข้องกับการมีอยู่ของพระเจ้าแต่อย่างใด จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:19:00

ความคิดเห็นที่ 14 หัววิทย์ ต้องทำตัวเหลวไหล ด้วยเหรอ? หรือ คนที่ทำตัวน่าดูถูก ส่วนใหญ่จะคิดว่า ตัวเอง หัววิทย์ การที่คนๆนึงจะออกมาตำหนิใคร เป็นเรื่องสิทธิของเขา ถ้าไม่ไปหมิ่นประมาท ปต่ถ้าการพูดอย่างมีหลักการ เพื่อให้ การกระทำที่เลวร้ายนั้นถูกต้อง ก็ ไม่ต่างไปจากกาฝาก จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:20:51

ความคิดเห็นที่ 15 หมายถึงแม่ชีทศพรน่ะหรือครับ ไม่ถึงกับชัยชนะอะไรหรอกครับ ความจริงสิ่งที่แม่ชีว่า ถ้ามองในแง่ดีมันก็คือกุศโลบายการครองเรือนอย่างหนึ่ง แต่มัน ค่อนข้างล้าหลังและหัวเก่าไปสักหน่อยกับการยกให้ผู้ชายเป็นใหญ่ คุณแขกเค้าก็แค่ปรี๊ดแตกตามวิสัยเฟมินิสต์เท่านั้นเอง แล้วก็นะ หัววิทย์หัวไม่วิทย์ก็คนธรรมดาเหมือนๆกันนี่แหละครับ ไม่ได้ดีกว่าหรือเลวกว่าคนหัวไม่วิทย์หรอกนะครับ ไม่รู้จะแบ่งแยกกันไปทำไม จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:20:55 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 16 "คนหัววิทย์หัวตรรกะอย่างเราๆ ก็จงใจชีวิตแบบโลกีย์ๆ กันแต่ไปดีกว่า ดื่ม กิน เที่ยว เสพสุข สุรา นารี กันให้เต็มเหนี่ยว" ไม่เอาด้วยหรอกครับ คนหัววิทย์หัวตรรกะ materialism อย่างผม  เชื่อในเรื่องผลของการกระทำที่มองเห็นได้ จับต้องได้ ผมจะใช้ชีวิตเดียวที่มี ให้เป็นประโชยน์ต่อลูกหลาน ต่อมนุษยชาติ และสรรพชีวิตทั้งหลายในโลก เช่น อยากให้โลกสงบสุข -> ไม่ก่อความวุ่นวาย อยากให้มนุษย์อยู่อย่างสบาย -> ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี อยากให้มีป่ามีต้นไม้ -> ไม่ตัดไม้ทำลายป่า แต่จะไม่เสียเงินเสียเวลาไปกับการสมทบทุนสร้างวัตถุบูชา หรือจองที่บนสวรรค์ อะไรพวกนั้น จากคุณ : ผลึกความคิด เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:22:19

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องกรรมเราเชื่อว่ามี  แต่ใช้ไม่ได้ทุกกรณี  จะเรียกเป็นกฎคงไม่ใช่ เพราะนิยามไม่แน่ชัด  และไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นผล(กรรมชาติก่อน มันพิสุจน์ไม่ได้ เช่น  พระอรหันต์เคยทำกรรมกับเราไว้  เราก็ตามไปทวงแค้นท่านไม่ได้ โลกนี้ความอยุติธรรม มีเยอะ ฆ่าสัตว์เพื่อทำกับข้าวให้พระ  เราได้บุญหรือบาป  แล้วพระหล่ะ   ถ้าทุกคนไม่ฆ่าสัตว์  แล้วจะกินอะไร  ถั่วหรอ อิอิ แต่ที่แน่ๆ พระได้กินเนื้อโดยไม่ต้องฆ่า แถมไม่บาปอะด้วย    ยุติธรรมไหม หลายๆคนก็ไม่ฆ่าสัตว์เพราะจิตใจดีงาม  แต่ก็กินสัตว์  ที่คนอื่นฆ่า  ยุติธรรมไหม สัตว์มันโดนฆ่ามันต้องแค้นใครดีล่ะ จากคุณ : Himawari_Chang เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:24:44

ความคิดเห็นที่ 18 เผื่อหลายๆ คนจะงง เลยเอาเนื้อหาโดยสรุปมาลง เพื่อจะได้คุยไปในทางเดียวกัน คำผกา แฉ! สแกนกรรม แม่ชีทศพร กระแสการ สแกนกรรม แก้กรรม เพ่งกรรม หรือการยกย่องใครสักคน ให้มีญาณหยั่งรู้ในกรรมแต่ชาติปางก่อนของผู้อื่น กลายเป็นความนิยมอย่างแพร่หลายในสังคมพุทธ สังคมที่ครั้งหนึ่งเคยมีความเชื่อในกฏแห่งกรรม คือ เมื่อทำดีแล้วจะได้ดี ในทางกลับกันเมื่อทำชั่วก็จะได้ชั่ว โดย “ความหมายจริงๆ ของกรรมคือ การกระทำ การกระทำทุกอย่างย่อมมีผลเราเรียกผลนั้นว่า “วิบาก” อาทิ พุทธพจน์ว่า หว่านพืชอย่างใด ย่อมได้ผลอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านเวลาล่วงเลยมา เวลาที่เปลี่ยนแปลงและท้องถิ่นของพุทธศาสนาที่แตกต่าง ทำให้พุทธศาสนาได้รับการตีความให้แตกต่างออกไป ความแตกต่างของแต่ละนิกายก็ย่อมนำมาซึ่งความแตกต่างกันในการตีความความหมายของ ความสุข ความทุกข์ การบรรลุซึ่งนิพพาน เครื่องมือที่นำไปสู่การหลุดพ้น ขณะที่ความหมายของคำว่า กรรม มีความหมาย หรือความสำคัญเกี่ยวกับชาตินี้ ชาติหน้า การเกิดใหม่ รวมถึงทำให้ “บุญ-บาป” มีน้ำหนักในลักษณะชั่ง ตวง วัด และเปรียบเทียบกันได้ ขณะที่ การข้ามภพข้ามชาติ ความทุกข์-ผิดหวัง และชีวิตคู่ที่ล้มเหลว เป็นเหตุให้เกิดการ “สแกน-เพ่ง-แก้ กรรม” ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคลได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แต่บางครั้งงมงาย โดยบางทัศนะของบางบุคคล นำการสแกนกรรมหรือการแก้กรรม มาให้อธิบายความสุข ความสมหวัง และชีวิตคู่ในแง่มุมที่อคติ อาทิ ปัญหาของการดุถูกเหยียดหยามผู้หญิง ผู้ชายมีศักดิ์ศรีมากกว่าผู้หญิง 200เท่า ถ้าไปเกรี้ยวกราดไม่เคารพสามีจะทำให้เป็นหนี้เป็นสิน เป้นอุปสรรคต่อความร่ำรวย ควรกราบสามีทุกวัน และเมื่อสามีขอหลับนอนด้วยก็ควรกราบสามี กรรมของการล่วงเกินสามี ชีวิตไม่มีความสุข ความเจริญ จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:28:13 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 19 ผู้ชายมีศักดิ์ศรีมากกว่าผู้หญิง 200เท่า ถ้าไปเกรี้ยวกราดไม่เคารพสามีจะทำให้ เป็นหนี้เป็นสิน เป้นอุปสรรคต่อความร่ำรวยควรกราบสามีทุกวัน และเมื่อสามีขอ- หลับนอนด้วยก็ควรกราบสามีกรรมของการล่วงเกินสามี ชีวิตไม่มีความสุข ความ เจริญ เฮ้ยยยยยย....ทัศนคติแบบนี้มันโผล่มาได้ยังไงในประเทศไทยเนี่ย โคตรกดขี่ผู้- หญิงเลย  จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:32:16

ความคิดเห็นที่ 20 ก็นั่นแหละคุณแขกเค้าถึงได้ยั๊วะแม่ชีไงล่ะครับ จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:38:53 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 21 ความจริงอย่าว่าแต่แม่ชีเลย ท่าน ว. ชีก็แขวะมาแล้ว เดินตลาดไม่โดนแม่ค้าตบนี่จะนับถือเลย แต่โชคดีที่แม่ค้าคงไม่ได้ดูรายการคุณแขก จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:42:02 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 22 ขนาดพระพุทธเจ้า ยังบอกว่า เรื่องกรรม เป็น อจิณไตย แต่แม่ชี  แค่เห็นหน้าใคร ก็บอกได้ เป็นเรื่อง เป็นราว หรือ วิทยาการ ด้านการ Hack ข้อมูลกรรม จะมีความก้าวหน้า จาก 2500 กว่าปีก่อน ไปมาก อันนี้...ก็ไม่ทราบได้... --- แม่ชี บอก ผู้หญิง คนหนึ่งว่า มีผลกรรมในปัจจุบัน อันเนื่องมาจาก ในอดีตชาติ ได้เป็นคนเปิดประตูให้พม่า เข้าเมือง (ครั้งเสียกรุงฯ) v v ผู้หญิงคนนั้น ทวนคำตอบ... แบบ เบลอๆ เบลอแค่ไหน เบลอยังไง ต้องดูในคลิปเอง v v อาจจะ อ่อนไปบ้าง ในแง่เนื้อหา แต่รับรองว่า เต็มเปี่ยมด้วย ... ความบันเทิง แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 23:33:00 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 21:41:20 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 21:05:02 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:42:17

ความคิดเห็นที่ 23 คลิปต้นเหตุ ใครก็ได้เอาลงที http://www.youtube.com/watch?v=iPzNXx7qgPo จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:44:47 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 24 เพราะตายไปแล้วก็สูญ มีเพียงชาติเดียว แล้วจะมางมงายเรื่องเวรกรรม กันทำไม จริงไหมครับ --------------------------------------------------------------------------------------- เวลาตายก็ไม่ต้องตั้งศพที่วัดนะจ๊ะ ปล่อยเน่าไปเอง ไม่ต้องพระสวด เดี๋ยวเกิดใหม่จริงล่ะยุ่งเลยคนประเภทนี้ อิอิ จริงๆเรื่องพวกนี้ไม่เชื่อก็ไม่ต้องไปแขวะเค้า จะดูเข้าท่ามากกว่าจ้า จากคุณ : เขียนบน I Phone5 (บัตรผ่านจ๊ะ) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:45:36 A:118.174.166.127 X: TicketID:233802

ความคิดเห็นที่ 25 #17 ควรไปศึกษาเรื่องกรรม บุญ บาป ให้เยอะกว่านี้ครับแล้วจะได้คำตอบในเรื่องที่ถามเอง จากคุณ : Buff_Power เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:45:39

ความคิดเห็นที่ 27 คห 17 ก็ว่าไป ตาย นั้นทุก สิ่งมีชีวิต ต้อง ตาย เพียง แต่ จะตาย แบบไร้ค่า หรือตายเพื่อต่อชีวิตคนอื่น จะโกรธ ไม่โกรธ หากตายไปเพื่อคนอื่นได้มีชีวิต เช่นไป ต่อชีวิตให้คนที่ทำความดีเพื่อคนอื่น เค้าถือว่าตาย แบบมีความหมาย ไม่ใช่ตายไปปล่าวๆ กลับ กันไป ต่อ ชีวิตให้คนชั่วๆ การตาย แบบนั้นก็ ไม่คุ้มสักเท่าไหร่ แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 20:53:21 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:49:56

ความคิดเห็นที่ 28 22 ฮามาก แม่ชีช่างคิดได้ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 20:54:06

ความคิดเห็นที่ 29 คนหัววิทย์หัวตรรกะอย่างเราๆ ก็จงใจชีวิตแบบโลกีย์ๆ กันแต่ไปดีกว่า ดื่ม กิน เที่ยว เสพสุข สุรา นารี กันให้เต็มเหนี่ยว ขอโทษนะครับ จขกท ถ้าชีวิตนี้มันมีแต่ ดื่ม กิน เที่ยว เสพสุข สุรา นารี กันให้เต็มเหนี่ยว ผมว่าอย่ามาเกิดเป็นมนุษย์เลยดีกว่า เพราะสัตว์เดรัจฉานอื่น ๆ เขาก็รู้จักดื่ม กิน เที่ยว เสพสุข สุรา นารี กันให้เต็มเหนี่ยวเหมือนกัน ถ้ารู้จักใช้ชีวิตแต่แบบนั้น ไม่รู้จักพัฒนาตนเอง ไม่รู้จักทำประโยชน์ให้กับโลก ไม่ต้องเชื่อเรื่องกรรม ก็บอกได้ว่าุคุณนั้น "รกโลก" จริง ๆ นักวิทยาศาสตร์หลาย ๆ คน ที่ไม่ได้เชื่อเรื่องกรรม ก็ไม่ได้ดื่ม กิน เที่ยว เสพสุข สุรา นารี กันให้เต็มเหนี่ยวซะทุกคน หลาย ๆ คนยังรู้จักใช้สติปัญญาในทางสร้างสรรค์ ได้ Nobel prize ฐานที่ค้นพบหรือคิดสร้างสิ่งที่้เป็นประโยชน์กับโลก ก็เยอะแยะไป จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:00:34

ความคิดเห็นที่ 30 อ่ะ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:00:55

ความคิดเห็นที่ 31 อยากให้แยกระหว่างสิ่งที่แม่ชีบอก กับ คำสอนในศาสนาพุทธนะครับ เพราะผมเองศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพอสมควร   ผมฟังแม่ชีพูด อธิบายถึงที่มาที่ไปของกรรม (ในแบบแม่ชี)  ผมยังฟังแล้วแปลกๆ เลยครับ จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:13:47

ความคิดเห็นที่ 32 ผมคนเดียวกันจาก #14 นะครับ หลังจากที่ไป ดู คลิปรายการ ของคุณคำผกา แล้ว เนื้อหา ไม่ได้มี ระบุ หรือ ชี้ว่า "คนหัววิทย์หัวตรรกะอย่างเราๆ ก็จงใจชีวิตแบบโลกีย์ๆ กันแต่ไปดีกว่า ดื่ม กิน เที่ยว เสพสุข สุรา นารี กันให้เต็มเหนี่ยว" แถม คุณคำผกา ก็ พูดได้ตรงกรอบ ของ มาตาธิปไตย อย่างดี ไม่มีอะไรที่ บ่งชี้ ว่า สนับสนุนการบิดเบือนความดีมาตราฐาน ตรงไหนเลย ผมเลยรู้สึกว่า กระทู้นี้ ไม่ยุติธรรม กับ คุณคำผกา แล้ว เพราะ สื่อสารแรก ได้ออกมา ดุจระบุว่า เป็นผู้นำค่านิยมใหม่(ที่กล่าวว่าให้ทำตัวอย่างไร) คุณคำผกา ถือว่ามีความคิดที่ สร้างสรรค์ และ วิเคราะห์ได้ดีเยี่ยมนะครับ แต่เป็นเรื่อง มาตาธิปไตย ปะทะ ความคิดที่ไม่เป็นมาตาธิปไตย เท่านั้น ศาสนา หรือ ศรัทธา ไม่มีมาเกี่ยวข้องเลย จขกท. ทำร้ายเขา นะครับ ทั้งๆที่เขา ไม่เกี่ยวกับที่กล่าวมาเลย จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:14:07

ความคิดเห็นที่ 33 ผมว่า จขกท กำลังประชดน่ะ กระทู้แบบนี้น่าแจ้งลบไหมครับ จากคุณ : REFRIG เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:16:35

ความคิดเห็นที่ 34 ต้องลองไปเจอนะ แม่พูดเหมื่อนเห็นอดีตเราได้ ก็แปลกดี (หลวงพ่อหลายๆองค์ก็ทำได้) ต้องให้คุณ คำผกาไปพบดู จากคุณ : AIScript เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:17:05

ความคิดเห็นที่ 35 คห.30 โหงั้นคนที่เป็นเมียต้องกราบผัวทุกวันเลยหนะสิโถ่วๆบ้านเรายังมีการแบ่งชั้นเพศด้วยประเทศที่เขาเจริญเขาไม่เเบ่งกันแล้วนะครับแม่ชีเอ๋ยยย จากคุณ : chapa66 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:18:55

ความคิดเห็นที่ 36 ผู้ทรงศีล ไม่ว่าศีลระดับใด ไม่ว่าจะ กำลังทำหน้าที่ เผยแพร่ธรรมะ ในตำราของศาสนา หรือไม่ก็ตาม เราก็ควรศึกษาธรรมะ โดยยึดเอาตำรา ไม่ใช่ตัวบุคคล เพราะตัวของบุคคล ท่านก็เป็นลูกหลาน ของชาวบ้านธรรมดามาก่อน (แต่พอพรุ่งนี้ถือศีลปุ๊บ คนจะคาดหวังทันที แปลกเนอะ) สรุปคือ ถ้าตัวบุคคล เค้าทำอะไรผิด ก็ให้รับรู้แล้วปล่อยวาง จากคุณ : Patriots เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:21:21

ความคิดเห็นที่ 37 มาดู คำสัมภาษณ์ ของ อีกฝ่าย แล้วใช้วิจารณญาน ของแต่ละท่าน ไตร่ตรอง ดูเอง จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:34:44

ความคิดเห็นที่ 38 . จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:35:03

ความคิดเห็นที่ 39 . จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:35:21

ความคิดเห็นที่ 40 เห็นว่าคนพูดถึงเรื่องกรรม เลยขอพูดถึงเรื่องชาติหน้า ภพหน้า สำหรับภพภูมิของมนุษย์ และสัตว์เดรัจฉาน ผมเชื่อว่า การที่ชาติหน้า จะไปเกิดเป็นอะไรนั้น ไม่มีใครมาชี้นิ้วกำหนด แต่เป็นไปโดยธรรมชาติ คือทุกกรรมดีและกรรมเลว ที่เราทำไว้ จะถูกบันทึกลง memory card โดยจะอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อถึงเวลา ต้องไปเกิด ดวงจิตหลักจะประมวลผล จากmemory card แล้วกำหนดที่ไปด้วยตัวเอง แบบอัตโนมัติ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=zol&date=08-09-2009&group=5&gblog=22 ปล.ตำราพระอภิธรรม บอกว่า มีดวงจิต(ย่อย)ที่ทำหน้าที่ตรงนี้ ถึง121ดวง (แยกกันทำหน้าที่บันทึกกรรมดี กรรมเลว) แต่ผมขอใช้คำว่าmemory card ละกัน เข้าใจง่ายดี ปล.แต่ถ้าต้องตกนรก นั่นแหละครับ ถึงจะมีผู้ทำหน้าที่ ว่าเราต้องไปภูมิไหน อีกที แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 22:18:12 จากคุณ : Patriots เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:44:05

ความคิดเห็นที่ 41 โลกนี้ความอยุติธรรม มีเยอะ ฆ่าสัตว์เพื่อทำกับข้าวให้พระ เราได้บุญหรือบาป แล้วพระหล่ะ ถ้าทุกคนไม่ฆ่าสัตว์ แล้วจะกินอะไร ถั่วหรอ อิอิ แต่ที่แน่ๆ พระได้กินเนื้อโดยไม่ต้องฆ่า แถมไม่บาปอะด้วย ยุติธรรมไหม หลายๆคนก็ไม่ฆ่าสัตว์เพราะจิตใจดีงาม แต่ก็กินสัตว์ ที่คนอื่นฆ่า ยุติธรรมไหม คห 17 แล้วคุณรู้ได้ไงว่าพระอรหันต์ทำกรรมอะไรกะคุณไว้ แล้วคุณรู้หรือว่าเขาใช้กรรมไปแล้วหรือไม่ ส่วนเรื่องที่ฉันเนื้อ ผมว่าคุณหาเวลาไปศึกษาบ้างดีกว่าน่ะ ผมก้อเคยคิดเหมือนคุณน่ะแหล่ะ พอโตขึ้น ผ่านโลกมากขึ้น ศึกาามากขึ้น ก็พอเข้าใจมาบ้าง จากคุณ : ด้วยความหวังดี (รักหวานในวันวาน) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:45:50

ความคิดเห็นที่ 42 #40 คือผมแปลกใจว่า ทำไมคนถึงได้อยากจะเกิดใหม่เป็นคนกันนัก เกิดเป็นคนมันดียังไงหรือครับ? เกิดเป็นคนแสดงว่า ทำบุญมาจริงหรือครับ ผมว่าเกิดเป็นคนนี่แหละแสดงว่าชาติที่แล้วโคตรจะทำกรรมไว้เยอะเลย เกิดเป็นนกหนูแมลงตามป่าเขา จับเค้ากินแล้วก็โดนเค้ากินยังจะดีกว่า แต่ที่ดีที่สุดเลยคือตายไปแล้วต้องไม่เกิดอีก นั่นแหละแสดงว่ามีบุญที่สุด ที่เราบอกกับสัตว์เดรัจฉาน (เช่นปลา เต่า ที่กำลังปล่อยลงน้ำ) ว่าชาติหน้าขอให้ไปเกิดเป็นคนนะลูก ปลามันคงค้อนควับ กรูเกิดเป็นปลาก็สบายดีอยู่แล้ว รถก็ไม่ต้องใช้ ไอแพดก็ไม่ต้องซื้อ ยังจะให้ตูเกิดเป็นคนอีก จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 21:56:49 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 43 เอ๊ะ.. ทำไมพวกที่ศึกษามาแล้วไม่เอามาเล่าให้คนอื่นฟังซะหน่อยไม่ได้เหรอ เห็นชอบไล่ให้ไปศึกษากันจัง เลยไม่รู้ว่าเคยศึกษามาจริงหรือแค่ตอบปัดๆ ให้พ้นตัว จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:00:36 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 44 อ่านตั้งนาน ยังสงสัยไม่มีใครคิดเหมือนเราเลยเหรอว่ากำลังถูกประชด คำพูดโปรยของจขกท.เหมือนจะเข้าข้างคำผกา แต่พออ่านเนื้อหาแล้วทำให้รู้สึกพวกหัววิทย์ดูงี่เง่ายังไงไม่รู้ ส่วนตัวผมเองไม่ทราบว่าแม่ชีทศพรเห็นได้ลึกซึ้งแค่ไหน เพราะแม้พระพุทธเจ้าก็เตือนว่าเรื่องพวกนี้เป็นอจินไตย คือแม้ว่าเห็นจริง ๆ ว่าเค้าเคยทำกรรมอะไรมาก่อน แต่กรรมนั้น ๆ ก็อาจไม่ใช่เหตุทั้งหมดที่ต้องเสวยผลแห่งกรรมในขณะนี้ก็ได้ เพราะเหตุแห่งกรรมหนึ่ง ๆ นั้นมาจากทั้งสิ่งเล็ก ๆ และสิ่งใหญ่ ๆ ที่เราหรือรวมถึงผู้อื่นได้กระทำร่วมกันมาเอามาปรุงแต่งกันอีกที อย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง ซึ่งแม้พระพุทธเจ้าจะบอกว่าเป็นอจินไตย แต่ก็มีพระหลายรูปได้ให้คำอธิบายไว้อย่างละเอียด เป็นหนังสือหลายเล่ม ที่ผมอ่านอยู่ก็ของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) ซึ่งก็พอทำให้รู้คร่าว ๆ ว่าทฤษฎีกรรมนั้นมองเผิน ๆ เหมือนยุ่งเหยิงมั่ว ๆ แต่ก็มีหลักการของมัน (แน่นอนมันอาจไม่ค่อยแฟร์ และไม่ให้โอกาสให้เราได้แฮปปี้อยู่ได้นานหรอก พระพุทธเจ้าถึงได้เลือกที่จะปรินิพพาน เพื่อหลุดพ้นจากกรรมไง) ปล.ใครอยากลองศึกษาทฤษฎีกรรมและการให้ผล ก็ลองอ่าน "กรรมทีปนี" โดยท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี (พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร) ดูก็ได้ครับ จากคุณ : รบชนะ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:00:46

ความคิดเห็นที่ 45 #40 ตรงนี้ น่าสนใจครับ แล้วระบบ Memory Card ทำไม ต้องล้างความจำ ตอนเกิดใหม่ ด้วยล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นแล้ว สังสารวัฎ ตามความเชื่อ ในทาง พุทธศาสนา จะมีสภาพ กลายเป็นแค่... เกม ไปเลยนะครับ โดยมีการหลุดพ้น หรือ นิพพาน เป็นด่านสุดท้าย ซึ่งใครทำ กรรมอะไร ก็ถูกเมมไว้ แล้วมาชดใช้ หรือ หาทางหลุดพ้น โดยไม่ให้รู้กรรมเก่า และ ผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้น ในกาลข้างหน้า ดังนั้น การที่พุทธศาสนา เชื่อว่า การที่ พระพุทธองค์ เสด็จปรินิพพาน แล้วไม่ต้องกลับมาเกิดอีกนั้น ตรงนี้ อาจเป็นการ ผ่านด่านสุดท้าย ใน Stage แรก เท่านั้นเอง ก็ได้นะครับ พระพุทธเจ้า อาจจะ ยังเวียนว่าย อยู่ใน Stage อื่น ที่ลึกกว่า โดย มีการหลุดพ้น หลายระดับ แล้วตรงนั้น  ก็เกินกว่า ที่พระองค์จะทรงเข้าใจ เหมือนๆ กับที่ คนธรรมดา ที่ยังไม่เข้าถึง นิพพาน ก็ยากที่จะเข้าใจในสิ่งนี้ เหมือน ปลาในน้ำ ย่อมไม่เข้าใจ สิ่งที่อยู่บนบก ตามการเปรียบ ในพุทธศาสนา แบบเดียวกัน นั้นเอง ...ก็เป็นได้...หรือเปล่า --- สังสารวัฏ ตามความเชื่อ ทางพุทธศาสนา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 22:18:02 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 22:13:35 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:01:26

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้าคนอื่นพูดผมอาจเชื่อบ้าง แต่นางคนนี้ เครดิตสำหรับผม ไม่มีเหลือ ใช้วาจา เสียดสีบุคคลบางคนจนผมรับไม่ได้ ทำยังกับตัวเองเป็นปราชญชั้นเลิศ แต่จริงๆ ความรู้แต่หางแถว เชื่อแม่ชี ยังให้คนทำึความดี มีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า จากคุณ : bbiggy เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:11:55

ความคิดเห็นที่ 47 ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ท่านอธิบายเรื่องกรรมอย่างมีเหตุมีผลดีมากๆ  ในหนังสือ นรก-สวรรค์สำหรับคนรุ่นใหม่   เชิญโหลดไฟล์หนังสือที่ http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/15 มาอ่านได้เลยครับ    ทุกวันนี้ เรื่องกรรมดันเอาอคติทางสังคมเข้ามาปนกันเยอะมากๆ    โดยใช้รางวัล-การลงโทษ มาจูงใจให้คนทำโน้นทำนี้ไปหมด    สำหรับ คำ ผกา นั้น เธอไปไกลเกินกว่าจะรับฟังคนอื่นเเล้วครับ แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 22:20:02 จากคุณ : Rarm41 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:18:02

ความคิดเห็นที่ 48 ???? ตะลึง จากคุณ : joyplayerman เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:27:36

ความคิดเห็นที่ 49 สำหรับผมไม่เกี่ยวว่าใครพูด สิ่งที่สำคัญคือเขาพูดอะไีร ต่อให้คนที่ไม่ชอบถ้าพูดแล้วผมเห็นว่าดีเห็นว่าถูกก็ต้องสนับสนุน จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:32:52

ความคิดเห็นที่ 50 เคยฟังแต่คิดว่าไม่ใช่ทางเรา เลยไม่ค่อยสนใจ เรื่องการศึกษาทางศาสนาพุทธที่ต้องบอกให้ไปลองเองเพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องรู้ต้องเห็นสภาวะด้วยตัวเองถึงจะยอมรับแล้วมุ่งมั่นต่อไป อย่างเวลาที่จิตละเอียดรู้สึกอย่างไรเห็นอะไร  พูดออกมาก็เหมือนจิตนาการเพ้อเจ้อ คนหัววิทย์ถ้าอยากจะทดลองบอกได้อย่างเดียวคือความสุขจากสมาธิมีจริงๆสุขได้นานด้วย แต่จะอดทนทำได้ไม๊ก็ลองดูให้เห็น ถ้าได้ขั้นนี้แล้วจะได้มาทดลองขั้นต่อไปถ้าอยากจะพิสูจน์จริงๆ จากคุณ : lostman เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:35:12

ความคิดเห็นที่ 51 ถึงแม่ชีจะโม้นะครับ แต่อย่างน้อยก็สอนให้คนทำดี นี่แหล่ะที่สำคัญ คนบางคน มันใช้คำสอนที่เป็นเหตุเป็นผลไม่ได้ ก็ต้องแบบนี้แหล่ะ สำหรับผมปล่อยๆไปเถอะ ถึงผมไม่กราบไหว้ แต่ก็รู้ถึงการมีอยู่และดับไปของแม่ชีท่านนี้ก็เพียงพอ จากคุณ : SkillFull เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:38:00

ความคิดเห็นที่ 52 ยังเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อีกเหรอเนี่ย !! จากคุณ : เต่าหลังอ่อน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:43:41

ความคิดเห็นที่ 53 ยึด ไม่ยึด มันทำให้คนเราต่างกันเยอะนะครับ แม่ชีเสียสละเยอะนะครับ ที่ยอมทำแบบนี้ แต่เรื่องกรรม แก้เท่าไหรก็ไม่หมดหรอกครับ กรรมนี้หมด กรรมใหม่มาแทน ผู้ที่แก้กรรมได้จริงๆ คือ คนที่ทำกรรมเองนั่นแหละ แก้ได้ดีที่สุด และแก้ได้ผลที่สุด จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 22:54:21

ความคิดเห็นที่ 54 ...แม่ชีเสียสละเยอะนะครับ ที่ยอมทำแบบนี้... v v ถ้าใช้ตรรกะ เดียวกันนี้ แล้วบอกว่า พระพุทธเจ้า เสียสละมากที่สุด ได้ หรือ เปล่า แล้ว จะหมายความ ได้ว่า อย่างไรบ้าง ล่ะทีนี้ วิถีพุทธ ในเมืองไทย ผิดเพี้ยน จนแทบจะหา แก่น หา ทางไป ที่ถูกที่ควร ไม่เจอ แล้วนะครับ การใช้กุศลโลบาย ในทางศาสนา อาจจะหมายความว่า ศาสนานั้น เหลือแต่กุศโลบาย ก็ได้นะครับ ตรงนี้ ต้องระมัด ระวัง ให้ดี จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:04:48

ความคิดเห็นที่ 55 #17 คุณต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกสักหน่อยนะครับ ลองไปหาข้อมูลเกี่ยวกับวิบากกรรมของพระพุทธเจ้าดูครับ ที่ท่านต้องบำเพญทุกรกิริยา ที่ต้องลองผิดลองถูกอยู่ถึง 6 ปีกว่าจะบรรลุ นี่ก็เป็นเพราะเรื่องกรรมทั้งสิ้น กระทั่งพระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้อซ้ายที่เป็นเลิศด้านมีฤทธิ์ขนาดพลิกผืนแผ่นดินได้ ก็ยังมีเรื่องของกรรมเก่ามาตามราวีในวาระสุดท้ายของชีวิต เรื่องของกรรมเป็นกฎธรรมชาติครับ เขามีกฎของเขาเพียงแต่เราไม่เข้าใจเท่านั้นเอง และกฎของเขาก็ส่งผลกับทุกสรรพสิ่งที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกรรมครับ พระอรหันต์ที่ยังไม่นิพพานก็ไม่สามารถหลีกหนีผลแห่งกรรมได้ ความยุติธรรม เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นมาครับ ความยุติธรรมไม่มีในธรรมชาติอยู่แล้ว มีแต่กฎของธรรมชาติซึ่งจะเอาความยุติธรรมแบบความคิดของมนุษย์ไปตัดสินไม่ได้ สัตว์โลกที่มันโดนฆ่า มันก็แค้นคนฆ่าสิครับ เหมือนมีคนจ้างให้ใครก็ไม่รู้มาฆ่าคุณ ถ้าคุณไม่รู้ว่าใครจ้างคุณก็ต้องแค้นคนที่ฆ่าสิครับ เพราะวิสัยสัตว์โลกไม่ได้มีความระลึกรู้ถึงความจริงอะไรมากมายหรอกครับ แต่กฎแห่งกรรมรู้ทุกอย่าง คนที่จ้าง คนที่ฆ่า ย่อมได้รับผลจากกฎแห่งกรรมแน่นอน แต่แรงพยาบาทอาจโดนคนทีฆ่ามากกว่าก็เท่านั้นเอง #42 การเกิดเป็นคนนั้นถือเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาและเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานได้ครับ (ตามความเชื่อของชาวพุทธ) เพราะหากเกิดเป็นสัตว์จะไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะศึกษาและเข้าใจสัจธรรมที่แท้จริงได้ ดังนั้นเมื่อเกิดเป็นมนุษย์จึงเหมือนกับได้รับ "โอกาส" อันดีที่จะ "เลือก" ทำในสิ่งที่ดีขึ้นหรือเลวลงก็ได้ ซึ่งหากเป็นสัตว์ โอกาสเลือกนี้จะไม่มีเลย #43 ที่เห็นหลายคนบอกให้ไปศึกษาดูเองก็เพราะเรื่องราวมันค่อนข้างมาก หากโพสไปทั้งหมดเดี๋ยวก็มีคนบ่นว่ายาวไปขี้เกียจอ่านอีก แม้แต่ผมเองเจอข้อความยาวๆ ยังไม่อยากอ่านเลย ผมให้ key word ไปแล้ว ลองไปค้นคว้าต่อดู ไม่ยากเกินไปหรอกครับ #45 ความคิดของคุณเป็นวิสัยที่เกินจากคนปกติทั่วไปจะหาคำตอบได้แล้ว ซึ่งหากจะคิดไว้เป็นทฤษฎีส่วนตัวก็ไม่ว่ากันครับ แต่อย่าไปเครียดกับมันมาก เพราะไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับคุณได้ เว้นแต่คุณจะได้ไปเจอสภาวะนิพพานด้วยตัวเองเท่านั้นครับ จะบอกว่าเป็นเกมค้นหาทางออกจากสังสารวัฏก็คงได้ครับ แต่ผู้เล่นก็คือผู้ที่ต้องการออกจากเกมส์ ส่วนผู้ร่วมเกมส์คนอื่นๆ ก็คงเป็น NPC ที่เวียนว่ายอยู่ในระบบอย่างไม่รู้จบ จนกว่าจะคิดเข้ามาเป็นผู้เล่นบ้าง ส่วนเจ้าระบบลบความจำในตอนเกิดใหม่ หากไม่มีนี่คงยากที่จะใช้ชีวิตกันต่อไปได้ ลองคิดดูก็แล้วกันครับ เขาว่ากันว่าเราเวียนว่ายตายเกิดกันมานานเหลือเกิน นานจนทุกชีวิตที่ได้มาพบเจอกันนี้ต่างเคยได้เป็นคู่กันมาก่อนแล้วทั้งสิ้น ยิ่งบุคคลที่เกิดมาร่วมครอบครัวเดียวกันนี่ยิ่งต้องได้เคยร่วมเป็นสามีภรรยากันมาแล้วอย่างแน่นอน หากเกิดมาพร้อมด้วยความทรงจำจากชาติก่อน แต่ยังคงมีกิเลส มีความคิดแบบปุถุชน คงมีแต่ปัญหาตามมาแน่นอน ดังนั้นการระลึกชาติได้ยาวนานหลายๆ ชาติจึงถูกสงวนไว้ให้กับผู้ที่มีความพร้อมเพียงพอที่จะรับกับความจริงเหล่านั้นได้เท่านั้น แก้ไขคำที่พิมพ์ผิดครับ แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 09:34:05 จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:05:34

ความคิดเห็นที่ 56 ผมว่าคำผกาทำตนเป็นไอค่อนเหมือนกันครับ ไม่ได้ต่างจากคนที่ตนไปกราดด่าเลย เรื่องแม่ชี ผมมองว่ามันไร้สาระ และไม่เชื่อ แต่ที่คำผกาทำในเคสอื่นๆก็ไม่ใช่ว่าจะดี จากคุณ : นายเบียร์ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:10:45

ความคิดเห็นที่ 57 ผมไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมหรอก ผมชื่อตรรกะ เหตุและผล ผมก็เป็นคนนึงที่จะไม่ยอมตายเปล่า ถ้าผมเลือกจะทำบุญผมไม่ค่อยทำบุญกับวัดหรอก ผมทำกับเด็กยากไร้ดีกว่าเด้กพวกนั้นไม่มีจะกิน ตายแล้วเผาให้เปนเศษธุลีผมก็ไม่เอาหรอก ผมบริจากร่างกายตัวเองเป็นอาจารย์ใหญ่ดีกว่า สุดท้ายตายไปก็ไม่เหลืออะไรแต่ความดีที่ทำไว้ยังคงอยู่คับ จากคุณ : Akkamate เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:12:49 A:101.108.47.104 X: TicketID:312517

ความคิดเห็นที่ 58 #55 ^ ^ ไม่เครียดหรอกครับ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีความน่าสนใจ แต่ก็พบว่า  ยังใช้...ความเชื่อ นำทาง อยู่มาก ที่สำคัญ เคยบอกไปแล้วว่า พุทธศาสนา มี Paradox ก็ได้รับ คำติติง จากหลายๆท่าน แต่พอยกกรณี ตัวอย่าง ให้พิสูจน์ กลับ .... เงียบ กันไปหมด - - - http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10426410/Y10426410.html แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 23:17:18 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:16:29

ความคิดเห็นที่ 59 คห 57 แล้ว คุณ ก็ เป็นคนดี และไมทำกรรมชั่วอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องดิ้นหนี สัจธรรม ของความดี โดย อ้างว่าตัวเองไม่ นับถืออะไรหรอกครับ แนวทาง ของคนดี ไม่อ้างอิง ศาสนา หรอก ใครๆก็ทำดี ทำตัวมีประโยชน์ได้ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:17:57

ความคิดเห็นที่ 60 #57 ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะครับ จากคุณ : Akkamate เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:21:44 A:101.108.47.104 X: TicketID:312517

ความคิดเห็นที่ 61 แก้ไขครับ#59 ขอบคุณที่ช่วยขี้แนะคับ จากคุณ : Akkamate เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:22:23 A:101.108.47.104 X: TicketID:312517

ความคิดเห็นที่ 62 เอาจริงๆ ผมอยากรู้ชาติที่แล้วนะ แต่ไม่ใช่จากแม่ชีท่านนี้ อยากให้จิตแพทย์จับผมสะกดจิตย้อนเวลามากกว่า ( อยากน้อยฝรั่งมันก็ทดลองแล้ว ก็ได้ผลที่น่าแปลกดีเหมือนกัน ) โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อเรื่องสะเดาะเคราะห์ สแกนกรรม ตัดกรรม ฯลฯ และถ้าใครเป็นคนพุทธก็ไม่ควรจะเชื่อ ทางพุทธก็บอกอยู่แล้วว่าบุญคือบุญ กรรมคือกรรม แม้จะหยุดสร้างกรรมแล้วสร้างบุญตลอดชีวิต ท้ายที่สุดกรรมเก่าก็ต้องกลับมาหาอยู่ดี องคุลีมาลปล้น ฆ่า แม้บรรลุอรหันต์ก็ยังถูกปาด้วยหินจนตาย พระโมคคัลลานะบรรลุอรหันต์ก็ยังถูกโจรฆ่าตาย เพราะชาติที่แล้วพาแม่ที่ชราไปทิ้งในป่าโดยหลอกว่ามีีโจรมาแล้วๆ ชาตินี้แม้บรรลุอรหันต์ก็ยังหนีกรรมไม่พ้น อีกเรื่องนึง ทำไมชอบบอกกันว่ากรรมไม่มีจริง เป็นแค่เครื่องมือจัดลำดับทางสังคมของมนุษย์ ผมสงสัยจริงๆ คนที่เชื่อแบบนี้มองโลกยังไง คิดว่าคนทุกคนเท่าเทียมกันจริงๆ หรือ? ไม่มีทางอะครับ เกิดมาหน้าตา รูปร่าง ฐานะ สติปัญญาก็ไม่เท่ากันแล้ว เพียงแต่ที่เขาให้ปกครองแบบ ปชต. ก็เพื่อประกันว่าผู้นำจะฟังเสียงประชาชนเท่านั้นเอง ถ้าลุอำนาจก็ถูกถอดถอน ไม่งั้นก็ 4 ปี คะแนนตกฮวบ อาจจะไม่ได้กลับมาก็ได้ ก็แค่นั้น ไม่ได้ทำให้คนเท่าเทียมกันอยู่ดี ยิ่งทางศาสนา แม้จะพูดเรื่องกรรม แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเกิดแบบไหนแล้วต้องเป็นแบบนั้นไปตลอด ไม่งั้นศาสนาพุทธคงมีวรรณะแบบฮินดูไปแล้วมั้งครับ? แต่เอาเถอะ มนุษย์เราต้องการความสบายใจ และถ้าการไปตัดกรรม สแกนกรรม มันฝังความเชื่อให้คนละๆ เรื่องกิเลสลงบ้าง ผมว่าก็ช่างมันเถอะ ดีกว่าใช้กันแต่ตรรกะเพียวๆ แล้วมันจะค้นพบความจริงที่เจ็บปวดว่า " มนุษย์ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง และไม่มีการกระทำใดเลยที่ไม่มีผลประโยชน์ " ถ้ายึดความจริงข้ิอนี้กันแล้ว ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าเราจะมองหน้าคนอื่นยังไง แล้วจะอยู่กันยังไง ปล.ส่วนนางมารฯ ( ผมเรียกแบบนี้มานานแล้วครับ ) ปล่อยๆ แกไปเถอะ เป็น Idol ของพวกกิเลสนิยมไปแล้ว เห็นชอบแขวะพวกศีลธรรมนิยมแทบทุกสัปดาห์ในมติชน แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 00:49:23 จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:35:22

ความคิดเห็นที่ 63 #55 ผมเชื่อว่า คนที่ศึกษาจนรู้จริง -จริงๆ จะสามารถอธิบายหลักสำคัญได้ง่ายๆ ให้คนที่ไม่รู้เรื่องเข้าใจได้ง่ายๆ ส่วนคนที่ ชอบไล่ให้คนอื่นไปศึกษาเองนั้น เพราะตัวเองก็ยังศึกษาไม่ลึกซึ้งจนไม่สามารถอธิบายได้มากกว่าน่ะครับ ยกตัวอย่าง ให้คนที่เป็นแฟนกีฬาฟุตบอล อธิบายเรื่องฟุตบอลให้คนที่ไม่รู้จักกีฬานี้เลย คนที่อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็แค่บอก แบ่งข้างกันข้างละ 11 คน ฝ่ายไหนยิงประตูได้มากกว่าชนะ จบ... ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก เพราะหลักมันมีอยู่แค่นี้จริงๆ แต่ถ้าคนที่ศึกษาจนฟุ้งซ่านได้ที่แล้ว ก็จะบอกว่า โอ๊ยน้องต้องหัดดูเองแล้วจะรู้ว่าเค้าเล่นกันยังไง... ได้ไรมั่งกับคำตอบ แบบนี้? เอ่อ... แล้วรู้ได้ไงอ่ะครับ ว่าสัตว์มันอยากนิพพาน? ยังงั้นเกิดเป็นคนกรุงเทพก็ดีกว่าเกิดเป็นคนชนบทสิครับ เพราะ กรุงเทพมีห้างให้เดิน (และสามารถเลือกที่จะไม่เดินก็ได้ด้วย) จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:37:16 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 64 หลายๆความเห็นตอบหลายอันไปแล้ว ขอไม่ตอบ ขอเลือกตอบบางอันครับ ผมยังศึกษาไม่ดีนัก ผิดตรงไหนรบกวนคนที่รู้กว่าแก้ด้วยนะครับ ----------------------------------------------------------- @42 " #40 ตรงนี้ น่าสนใจครับ แล้วระบบ Memory Card ทำไม ต้องล้างความจำ ตอนเกิดใหม่ ด้วยล่ะครับ " คือระบบไม่ได้ล้างครับ แต่เราจำไม่ได้เอง เพราะการเกิดมาเป็นคนก็อยู่ในครรภ์มารดาตั้งเก้าเดือน แถมช่วงแรกๆไม่มีสัมผัสทาง ตา หูจมูก ลิ้น อีก และตอนที่เราปฏิสนธิใหม่ๆ มันเหมือนการที่เราถูกขังอยู่ในห้องมืดๆ นานๆ เราก็จะค่อยลืมเรื่องที่ผ่านๆมาครับ หทยวัตถุหรือที่อยู่ของจิตนั้นก็ไม่แข็งแรง จิตก็ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีอะไรมากระตุ้น เราก็จะระลึกได้ง่ายขึ้นครับ เช่น เราเคยขี่จักรยานเป็น ไม่ได้ขี่ 6 ปี กลับไปขี่ก็ยังขี่ได้อยู่ ถึงแม้จะเหมือนลืมไปแล้วว่าขี่เป็น (อันนี้ลองมาแล้วครับ เพราะม.1-6 เรียนไกลบ้าน ไม่ได้ขี่เลย มาขี่อีกทีปี 1 ครับ) อันนี้เป็นการอธิบายสิ่งที่ทางโลกเรียกว่า "พรสวรรค์ครับ" เหมือนเด็กเกิดมา บางคนเก่งไม่เหมือนกัน เพราะชาติที่ผ่านๆมาสั่งสมมาไม่เหมือนกัน แต่หากเกิดเป็นโอปปาติกะ คือ สัตว์ที่เกิดแล้วโตทันที เช่น เปรต เทวดา คุณยังจะจำได้ครับ ดูจากในพระสูตรได้ครับ เวลาเทพบุตร เทพธิดาจุติใหม่นั้น จะยังจำภพชาติที่ติดกันของตัวเองได้ครับ นอกนั้นก็ตามที่ #55 บอกครับ เราอยู่ในเกมส์ที่นิพพานคือการชนะครับ มีทางออกเดียว ถ้ายังไม่ KO ก็เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อย เล่นเกมส์ไปเรื่อยๆครับ พระพุทธเจ้าเป็นเหมือนคนที่ KO เกมส์โดยเก็บทุก item พิเศษได้ ได้ bonus และ score สูงปรี๊ดๆ พระอัครสาวกและเอตทัคคะทั้งหลาย เหมือนคนที่ KO เกมส์แล้วได้ item พอเศษ หรือ score บางอย่างสูง พระอรหันต์ธรรมดาๆทุกท่านก็คือผู้ที่ KO เกมส์ได้อย่างธรรมดาๆครับ พวกเราทั่วๆไปคือพวกที่ยังไม่ไปถึงไหน = =' ยังไม่ได้แม้แต่โสดาบันครับ ----------------------------------------------------------- ปล.ไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแม่ชีทั้งหมด ไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการสแกนกรรมและพระพุทธศาสนาสมัยนี้ทั้งหมดครับ แต่ไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับจขกท.และคนที่ปฏิเสธเรื่องกรรมกับสังสารวัฏทั้งหมดเช่นกัน แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 23:53:01 จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:46:39

ความคิดเห็นที่ 65 @42 คือผมแปลกใจว่า ทำไมคนถึงได้อยากจะเกิดใหม่เป็นคนกันนัก เกิดเป็นคนมันดียังไงหรือครับ? เกิดเป็นคนแสดงว่าทำบุญมาจริงหรือครับ ผมว่าเกิดเป็นคนนี่แหละแสดงว่าชาติที่แล้วโคตรจะทำกรรมไว้เยอะเลย เกิดเป็นนกหนูแมลงตามป่าเขา จับเค้ากินแล้วก็โดนเค้ากินยังจะดีกว่า แต่ที่ดีที่สุดเลยคือตายไปแล้วต้องไม่เกิดอีก นั่นแหละแสดงว่ามีบุญที่สุด ที่เราบอกกับสัตว์เดรัจฉาน (เช่นปลา เต่า ที่กำลังปล่อยลงน้ำ) ว่าชาติหน้าขอให้ไปเกิดเป็นคนนะลูก ปลามันคงค้อนควับ กรูเกิดเป็นปลาก็สบายดีอยู่แล้ว รถก็ไม่ต้องใช้ ไอแพดก็ไม่ต้องซื้อ ยังจะให้ตูเกิดเป็นคนอีก ----------------------------------------------------------- ตายไปแล้วต้องไม่เกิดอีก นั่นแหละแสดงว่ามีบุญที่สุด >> ถูกครับ นั่นคือนิพพาน แต่จะนิพพานได้ต้องทำบุญครับ และไม่ใช่แค่บุญที่ใส่บาตร หรือศึกษาธรรม แต่ต้องเป็นบุญที่ทำให้หมดกิเลสครับ ซึ่งสัตว?เดรัจฉานทำบุญยากมากครับ แค่การล่าสัตว์อื่นเป็นอาหารก็ต้องทำบาป ทำทานยาก ยิ่งศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมทำไม่ได้แน่นอน แต่มนุษย์ก็มีภาระครับ ไม่ได้ดีที่สุด เป็นเทวดาสบายกว่าคือแทบไม่มีภาระ มีเวลาทำบุญมาก แต่ก็มีข้อเสียบ้างคือ บุญบางอย่างเช่นทานก็ทำยากครับ เห็นทุกข์ก็ยาก และโอกาสติดสุขจนไม่สนใจทำบุญต่อก็มาก เมื่อหมดอายุขัยโอกาสลงอบายก็มากกว่ามนุษย์ครับ แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 54 23:53:21 จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:52:06

ความคิดเห็นที่ 66 @63 "เอ่อ... แล้วรู้ได้ไงอ่ะครับ ว่าสัตว์มันอยากนิพพาน? ยังงั้นเกิดเป็นคนกรุงเทพก็ดีกว่าเกิดเป็นคนชนบทสิครับ เพราะกรุงเทพมีห้างให้เดิน และสามารถเลือกที่จะไม่เดินก็ได้ด้วย" ------------------------------------------------ ไม่ใช่แค่สัตว์ครับ มนุษย์ เทวดา พรหม ที่ยังไม่อยากนิพพานก็มีมากมายครับ เพราะติดสุข หรือติดภพ ที่เรียกว่า กามตัณหา และภวตัณหา และยังไม่เห็นทุกข์ที่แม้จริง ผมเองก็ยังไม่เห็นทุกข์ที่แท้จริงครับ เห็นแค่จากการฟังและจากความคิด คือสุตตาและจินตามยปัญญา ยังไม่ได้จากภาวนามยปัญญาครับ ถ้าเห็นแบบแท้จริงแล้ว จะไม่อยากเกิดจริงจังครับ ตอนนี้ผมแค่พยายามสั่งสมบุญเพื่อให้เห็นทุกข์จริงๆก่อน แต่ก็ไม่ได้เลิกความสุขทางโลกครับ สัตว์ก็มีทุกข์แบบสัตว์ คนชนบทก็มีทุกข์แบบคนชนบท คนกรุงเทพฯก็มีทุกข์แบบคนกรุงเทพฯครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 23:58:49

ความคิดเห็นที่ 67 อ่าน #64 แล้ว ขอแนะนำให้คุณ MinIEs หยุดศึกษาแต่เพียงเท่านี้ดีกว่าครับ ไม่มีหลักฐานว่ามีเกมอะไรที่ว่าอยู่จริง ไม่มีหลักฐานว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ทำไมถึงสรุปออกมาได้ว่าต้อง นิพพานถึงจะหลุดพ้นล่ะครับ บางทีไม่ว่าจะนิพพานหรือไม่นิพพาน ตายไปก็อาจจะหายไปเลยเหมือนๆ กันก็ได้ และถึง จะมีชาติหน้าชาติที่แล้วจริง เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเราเคยเกิดเป็นอะไร หรือตายแล้วจะเกิดเป็นอะไร แล้วจะสนไปทำไม สู้ทำชาตินี้ให้ดีที่สุดดีกว่า ไม่ต้องไปห่วงชาติที่ผ่านมา หรือชาติที่ยังมาไม่ถึง ไม่ต้องไปสนว่ามีกรรมอะไรติดตัวมา และไม่ต้องสะสมบุญเอาไว้ใช้คราวหน้า (อย่าบอกว่าต้องไปศึกษาก่อนถึงจะเข้าใจอีกล่ะ) จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:00:05 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 68 @57 ผมไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมหรอก ผมชื่อตรรกะ เหตุและผล ผมก็เป็นคนนึงที่จะไม่ยอมตายเปล่า ถ้าผมเลือกจะทำบุญผมไม่ค่อยทำบุญกับวัดหรอก ผมทำกับเด็กยากไร้ดีกว่าเด้กพวกนั้นไม่มีจะกิน ตายแล้วเผาให้เปนเศษธุลีผมก็ไม่เอาหรอก ผมบริจากร่างกายตัวเองเป็นอาจารย์ใหญ่ดีกว่า สุดท้ายตายไปก็ไม่เหลืออะไรแต่ความดีที่ทำไว้ยังคงอยู่คับ ------------------------------------------- ตามที่ 59 บอกแหละครับ เพียงแต่อยากเพิ่มเติมว่าบุญไม่ได้มีแค่ทาน และทานที่ใช้เงินเท่ากัน ก็ไม่ได้ได้บุญเท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับผู้รับด้วย ในที่นี้หมายถึงศีล และความต้องการเป็นหลักครับ โดยทำบุญกับสัตว์ก็ได้ประมาณนึง ฆารวาสมีศีลที่ทรัพย์ไม่ขาดแคลนก็มากขึ้นประมาณนึง ฆารวาสมีศีลที่ทรัพย์ขาดแคลนก็มากขึ้นประมาณนึง สมมติสงฆ์มีศีลไม่ด่างพร้อยก็มากขึ้นประมาณนึง พระอรหันต์ก็มากขึ้นประมาณนึง พระพุทธเจ้าก็มากขึ้นประมาณนึง และมากที่สุดคือการทำสังฆทานครับ แต่การทำสังฆทานไม่ใช่การเอาถังใส่ของจากโลตุสไปถวายภิกษุแบบไม่จำเพาะเจาะจงเท่านั้นนะครับ เราต้องน้อมใจว่าสงฆ์นั้นเป็นตัวแทนของพระอริยบุคคลทั้งแปด ตั้งแต่โสดาปัตติมัคคบุคคล ไปจนถึงอรหันตบุคคล ซึ่งรวมถึงพระพุทธเจ้าด้วยนั่นเอง คนไม่มีศาสนาที่ทำตัวดีก็เป็นคนดีครับ และทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีครับ เพียงแต่พระพุทธศาสนาสอนมากกว่านั้น คือการเอาชนะเกมส์ตามที่ #55 และ #64 บอกครับ อื่นๆได้แค่ไต่ level ไปสูงๆครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:10:22

ความคิดเห็นที่ 69 #66 ไม่ใช่ครับ ประเด็นคือว่า เกิดเป็นคนดีกว่าสัตว์เพราะมีโอกาสจะนิพพานได้ แต่ผมบอกว่า งั้นขอผมเกิดเป็นสัตว์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องลำบากเลือกว่าจะนิพพานหรือไม่ เพราะสำหรับสัตว์ที่ไม่รู้ว่าโลกนี้มีนิพพาน จะนิพพานหรือไม่ก็ไม่แตกต่าง กัน เหมือนไก่ได้พลอย คนป่าได้ไอแพด แต่สำหรับคนที่รู้ว่านิพพนานแล้วไม่ได้นิพพาน มันก็จะเป็นทุกข์ต้อง "ศึกษา" ไปเรื่อยๆ น่ะสิครับ เกิดตายขึ้นมานี่ต้อง ศึกษาใหม่อีก เพราะดันไปขอเกิดใหม่เป็นคน ฮาา... แต่สำหรับสัตว์ที่ไม่รู้จักนิพพาน ก็เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ครับ จะไปแคร์ทำไมว่าเราเคยเกิด มาแล้วกี่ครั้ง ขออย่าเกิดเป็นคนก็พอ จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:10:33 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 70 คนที่นับถือศาสนา จะมีวิธีคิดที่ผูกอยู่กับคำสอนทางศาสนา อีกส่วนหนึ่งผูกติดกับความเชื่อทางศาสนา ทั้งๆที่ไม่ได้มีในคำสอน ดังนั้นการไม่ยึดติดกับศาสนาใดๆเลย ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร กลับเป็นเรื่องดีเสียอีก เราจะไม่ถูกสิ่งที่เรียกว่า "ศรัทธา" มาบดบังการใช้ปัญญา เราจะไม่ถูกกรอบความเชื่อหรือคำสอนทางศาสนา มาจำกัดขอบเขตทางความคิด ทำให้มองวิเคราะห์เห็นความเป็นจริงภายใต้มายาภาพได้ไม่ยากนัก บางอย่างที่ตอนเด็กเราอาจเห็นเป็นความจริง เมื่อเวลาผ่านไป ระบบความคิดเราพัฒนาขึ้น เราก็สามารถแยกแยะมันออกได้ เพราะกระบวนการทางความคิดเราไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความเชื่อทางศาสนา ซึ่งอาจถูกปรุงแต่งจากภายนอกเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม แม้แต่คำว่า "กรรม" ก็เป็นเพียงความเชื่อ ที่ถูกนำมาใช้แบ่งแยกความสูงต่ำทางสังคมของมนุษย์ จากคุณ : Ayu เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:20:25

ความคิดเห็นที่ 71 #67 ครับ ผมยอมรับว่าผมเองไม่สามารถพิสูจน์ได้แม้แต่ให้ตัวเองสัมผัสได้ครับ อย่าว่าแต่ให้คนอื่นสัมผัสเลย ผมก็แค่ share ตามที่ศึกษามาครับ เหมือนกับการอ่าน review paper ที่ไม่ได้ลงไปดู primary นั่นแหละครับ เพราะผมยังไม่มีความสามารถลงไปตรงนั้นได้ แต่ที่ผมเชื่อก็เหมือนกับการเลือกเชื่อหลักทางวิทยาศาตร์ที่มี 3 ทฤษฎีอธิบายไว้ คือ 1.นิพพานคือทางหลุดพ้น 2.ไม่มีนิพพาน ตายไปก็อาจจะหายไปเลยเหมือนๆกัน หรือ3.ไปอยู่กับพระเจ้าสำหรับคนดีและศรัทธา ซึ่งต้องมีอันใดอันหนึ่งเป็นจริงครับ เพียงแต่ผมเลือกเชื่อเหตุผลของคนเขียนทฤษฎีที่ 1 คือพระพุทธเจ้าครับ เพราะหลายๆทฤษฎีย่อยๆที่อธิบายถึงนิพพานและวัฏสงสารเป็นเหตุเป็นผลมากครับ และเรื่องพวกนี้คนเล่าได้จากการ observe เอง คือการตรัสรู้ครับ ซึ่งไม่สามารถแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้ตามหลักวิทยาศาตร์ เป็นปัจจัตตัง คือรู้เฉพาะตนครับ หากอยากจะเชื่อทฤษฎีที่ 2 3 ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมแค่เล่าต่อจากท่านครับ ------------------------------------------------------ ส่วนที่บอกว่า "สู้ทำชาตินี้ให้ดีที่สุดดีกว่า ไม่ต้องไปห่วงชาติที่ผ่านมา หรือชาติที่ยังมาไม่ถึง ไม่ต้องไปสนว่ามีกรรมอะไรติดตัวมา และไม่ต้องสะสมบุญเอาไว้ใช้คราวหน้า" ก็แล้วแต่ครับ แต่คนที่เชื่อทฤษฎีที่ 1 เช่นผมจะไม่ทำแบบนั้น ผมก็ไม่ได้ห่วงชาติที่แล้ว ชาติหน้านะครับ ไม่คิดจะตัดกรรม สแกนกรรม วันๆนี้ก็ใช้ชีวิตเช่นคนทั่วไป ฟังเพลง อ่านการ์ตูน บ้าดารา เรียน อ่าน paper เที่ยวกับเพื่อน ระหว่างนี้ถ้ามีอะไรไม่ดีมากระทบก็รู้ให้ทัน ไม่ทันก็ไว้ครั้งหน้า นอกจากเวลาพวกนี้ถึงจะไปศึกษาธรรม และปฏิบัติธรรมครับ สองอย่างหลังคือการสะสมบุญหลักๆของผม ทำทานบ้าง ช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง สาธารณะประโยชน์บ้างตามโอกาสที่สะดวก และ/หรือมีคนชวนครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:24:00

ความคิดเห็นที่ 72 จากความเห็น 17ที่เราสงสัย ขอบคุณที่อธิบายคะ  เราอัดอั้นและไม่เข้าใจมานานเหมือนกัน และคิดว่า  คำอธิบายที่ทุกท่านอุตส่าห์พิมพ์มา(เกรงใจจัง)มันไม่ไขปริศนาเราได้เหมือนเดิม เพราะมันก็มาจากตำราท่องจำหนะคะ แบบนี้เราก็เคยอ่านเคยท่องทำข้อสอบ อรหันต์มีจริงไหมก็ยังไม่รู้เลย  จะรู้ก็ต้องเจอกับตัวเอง  ไม่ใช่เห็นคนอื่นบรรลุ  << แสดงว่าพิสูจน์ไม่ได้ใช่ไหมคะ  จนกว่าตัวเองจะทำได้เอง แต่ของแบบนี้มันก็คงไม่มีทางพิสูจน์ได้อะนะ  เพราะคงไม่มีใครไปตามบันทึกว่าแต่ละคนทำกรรมอะไรมาตั้งแต่เกิดเป็นตัววิญญาณแล้วมาจุติมีกายเนื้อในชาติต่างๆ) สรุปคือ   เรา(ตัวเอง)ไม่มีสิทธิ์ไปบอกใครว่ากรรมไม่มีจริง   และก็ไม่มีสิทธิ์ไปบอกใครเช่นกันว่ามันมีจริง เพราะเราพิสูจน์ไม่ได้   แล้วท่านล่ะ  แลกเปลี่ยนนะคะ (มาถึงจุดนี้แล้ว  เหมือนผิดห้องไงไม่รู้ซิ เกรงใจจัง) จากคุณ : Himawari_Chang เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:25:01

ความคิดเห็นที่ 73 คือบางทีผมพิมพ์ๆอยู่แล้วกดเลย ไม่ได้ refresh ก่อน บางประเด็นอาจจะไม่ต่อกัน ขอโทษที ตอนนี้กำลังพิมพ์ @69 ครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:27:02

ความคิดเห็นที่ 74 ถ้ารู้จักคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลจริงๆจะรู้ว่าการใช้ชีวิตแบบโลกีย์อย่างที่จขกท.ว่ามานั้นมันคือการฆ่าตัวตายผ่อนส่งที่ไม่ได้ก่อประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น การบอกตัวเองว่าบาปกรรมไม่มีจริงเพื่อที่จะทำอะไรตามต้องการก็ได้นั้นก็แค่ข้ออ้างที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่มีสาระเท่านั้นเอง เป็นการใช้ตรรกกะแบบวิบัติที่เห็นได้ทั่วไป เรื่องกรรมผมไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ แต่การกระทำใดๆย่อมส่งผลที่ต่อเนื่องตามมาและถ้าคิดว่าทุกการกระทำในโลกนี้นั้นส่งผลและ้เกี่ยวเนื่องต่อกัน มันคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่จะหลอกตัวเองว่าทำเรื่องแย่ๆไปเถอะแล้วผลดีๆอาจจะกลับมาก็ได้ การกระทำดีมันไม่มีหลักประกันว่าจะต้องได้ผลดีกลับมาและถึงจะได้กลับมาก็ไม่มีหลักประกันว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ การทำความดีซ้ำๆมันก็แค่การเพิ่ม Factor ที่จะให้ตัวเราได้รับผลดีกลับมาเท่านั้น และในทางกลับกันการทำเรื่องไม่ดีซ้ำๆมันก็เป็นการเพิ่ม Factor ให้ผลไม่ดีกลับคืนมาสู่ตัวเราเท่านั้นเอง จากคุณ : VeryBadman เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:35:16 A:131.89.129.235 X: TicketID:310253

ความคิดเห็นที่ 75 พูดยากนะ เรื่องหลักฐาน ของการเวียนว่ายตายเกิด ชาติหน้ามีจริง เปรียบได้ว่า รอให้ มนุษย์รับสัญญาณโทรศัพท์ ได้ด้วยมือเปล่า (ต้องใช้เครื่องรับ ถึงรู้ว่ามีจริง) ถ้าง่ายแบบนั้น สิ่งที่จะเกิดกับโลกก็คือ งมงายในเรื่องอิทธิฤทธิ์ มากๆๆๆๆๆๆครับ หากตรงไหนผิด ต้องขออภัย ยุคก่อนเกิดศาสนาพุทธ พราหมณ์ได้แค่ฌาน3 แต่พอพระองค์ได้ฌาน4 พราหมณ์ทั้งหลายจึงนับถือพระองค์เป็นอาจารย์ครับ ถึงระดับนั้นอิทธิฤทธิ์มากมาย จะมาเอง แต่อิทธิฤทธิ์เป็นแค่เครื่องมือ ให้บรรลุธรรมครับ ส่วนผู้ที่เผลอ (ประมาท) หลงในอิทธิฤทธิ์ ก็อาจจะไม่บรรลุธรรม ขั้นสูง ในชาติปัจจุบันครับ ผู้บรรลุธรรม จะมีจิตใจสูงส่งอย่างถาวรครับ แต่คนทั่วไปจะยับยั้งได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เช่นเรื่องของกิเลส ผู้รู้แจ้งเห็นจริงใช้อิทธิฤทธิ์ ในการเรียนรู้ธาตุในโลก แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 00:38:37 แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 00:37:43 จากคุณ : NipponJ เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:35:36

ความคิดเห็นที่ 76 @69 #66 ไม่ใช่ครับ ประเด็นคือว่า เกิดเป็นคนดีกว่าสัตว์เพราะมีโอกาสจะนิพพานได้ แต่ผมบอกว่า งั้นขอผมเกิดเป็นสัตว์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องลำบากเลือกว่าจะนิพพานหรือไม่ เพราะสำหรับสัตว์ที่ไม่รู้ว่าโลกนี้มีนิพพาน จะนิพพานหรือไม่ก็ไม่แตกต่าง กัน เหมือนไก่ได้พลอย คนป่าได้ไอแพด แต่สำหรับคนที่รู้ว่านิพพนานแล้วไม่ได้นิพพาน มันก็จะเป็นทุกข์ต้อง "ศึกษา" ไปเรื่อยๆ น่ะสิครับ เกิดตายขึ้นมานี่ต้อง ศึกษาใหม่อีก เพราะดันไปขอเกิดใหม่เป็นคน ฮาา... แต่สำหรับสัตว์ที่ไม่รู้จักนิพพาน ก็เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ครับ จะไปแคร์ทำไมว่าเราเคยเกิด มาแล้วกี่ครั้ง ขออย่าเกิดเป็นคนก็พอ -------------------------------------------------- ตาม #71 ต่อจากตรงทฤษฎีครับ คือต่อว่าผมเชื่อทฤษฎีที่ 1 ตามเหตุผลนั้นครับ ดังนั้นถ้าตาม 2 3 เกิดเป็นสัตว์ก็อาจจะสุขกว่าครับ ที่จะอธิบายต่อเป็นตามทฤษฎีที่1 นะครับ คือการศึกษาจะเป็นทุกข์หรือสุขก็ขึ้นกับบุคคลครับ โดยส่วนตัวเป็นสุขเสียส่วนใหญ่ครับ ถ้าไม่ง่วงหรือติดงานอะไร เหมือนอ่าน paper อ่าครับ ผมอ่านบางเรื่องก็สุข แต่อ่านบาง field แล้วปวดกะโหลกทุที -*- บางคนก็กลับกัน ทั้งๆที่เป็นการศึกษาเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าตาายแล้วเกิดใหม่ ก็ต้องศึกษาใหม่ จริงครับ แต่กลับไปที่ #64 คือเรื่องการสั่งสมมาแต่ชาติอดีต หรือที่ทางโลกเรียกว่าพรสวรรค์ เหมือนคนเรียนเหมือนกัน แต่บางคนเรียนเลขเก่งมาก เร็วมา บางคนเรียนเคมีเก่งมาก เร็วมาก เพราะตรรกะเหล่านั้นสั่งสมมาไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับการศึกษา คนศึกษาชาติแรกครั้งแรกย่อมช้ากว่าคนที่ศึกษามาหลายร้อยชาติครับ คนที่ปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน การที่จะได้ธรรมสูงสุดนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยในครั้งแรก แต่เราก็ไม่รู้หรอกครับว่าเราเคยทำมากี่ครั้ง หรือไมเคยทำ ทำไปๆสั่งสมไป จนมันพอเพียงแล้วก็จะบรรลุเองครับ ท่านเคย Analogy ไว้ประมาณว่า เหมือนการปลูกมะม่วงย่อมไม่ได้ผลทันที ต้องรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยไปเรื่อย เมื่อมะม่วงโตเต็มที่ ออกดอก จึงออกผลให้ทานครับ แต่เปลี่ยน time scale จากการดูแล 1 วัน เป็นการปฏิธรรม 1 ชาติ ประมาณนี้ครับ ปล.การปฏิธรรมเท่านั้นถึงจะนิพพานได้ครับ การศึกษาเป็นเพียงการให้เรารู้ว่าจะปฏิบัติยังไง และสำหรับผมคือส่วนที่ทำให้เชื่อที่จะปฏิบัติตามทฤษฎที่ 1 ด้วยครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:38:57

ความคิดเห็นที่ 77 อีกเรื่อง มีใครพอจะมีไอเดียไหมคะ ถ้า คนบรรลุอรหันต์มากๆ  ดวงวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดก็จะลดลงเรื่อยๆ จนถึงวิญญาณดวงสุดท้าย  ก็จะไม่สามารถไปทำกรรมกับใครได้  ก็จะบรรลุอรหันต์โดยอัตโนมัติ รึเป่า จากคุณ : Himawari_Chang เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:40:09

ความคิดเห็นที่ 78 @72 กำลังพิมพ์ครับ @74 ย่อหน้าที่สอง ในพระพุทธศาสนา มีคำอธิบายตามที่คุณบอกอยู่เลยครับ จะสรุปแบบคุณ ก็ไม่ผิดครับ Quote ตาม @75 ครับ "พูดยากนะ เรื่องหลักฐาน ของการเวียนว่ายตายเกิด ชาติหน้ามีจริง เปรียบได้ว่า รอให้ มนุษย์รับสัญญาณโทรศัพท์ ได้ด้วยมือเปล่า (ต้องใช้เครื่องรับ ถึงรู้ว่ามีจริง)" จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:41:52

ความคิดเห็นที่ 79 หงะตอบ 74 ก่อน 72 ได้ไงอะ จากคุณ : Himawari_Chang เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:47:11

ความคิดเห็นที่ 80 @79 74 สั้นหง่ะ เลยตอบเลย แหะๆ ตอนนี้พิมพ์ @77 อยู่ครับ ---------------------------------------------------- @72 อรหันต์มีจริงไหมก็ยังไม่รู้เลย  จะรู้ก็ต้องเจอกับตัวเอง  ไม่ใช่เห็นคนอื่นบรรลุ  << แสดงว่าพิสูจน์ไม่ได้ใช่ไหมคะ  จนกว่าตัวเองจะทำได้เอง ตอบ >> ครับ ถ้าจะเอาเป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จริงๆก็ตามนั้น แต่อรหันต์บางท่านสามารถรู้ได้ครับ ว่าใครเป็นอรหันต์ รวมทั้งใครเป็นปุถุชน พระโสดาบัน ส่วนถ้าพระโสดาบันบางท่านก็รู้พระโสดาบัน กับปุถุชนได้ แต่ไม่รู้สูงไปกว่านั้นครับ สรุปคือ  เรา(ตัวเอง)ไม่มีสิทธิ์ไปบอกใครว่ากรรมไม่มีจริง และก็ไม่มีสิทธิ์ไปบอกใครเช่นกันว่ามันมีจริง เพราะเราพิสูจน์ไม่ได้ แล้วท่านล่ะ  แลกเปลี่ยนนะคะ (มาถึงจุดนี้แล้ว  เหมือนผิดห้องไงไม่รู้ซิ เกรงใจจัง) ตอบ >> ครับ ตัวผมบอกไม่ได้ แต่ท่านที่บรรลุบอกได้ครับ แต่ก็ไม่สามารถบอกและพิสูจน์ให้เราเห็นด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้ครับ เช่นเดียวกับ UV แต่ปัจจุบันเรามีเครื่อง detect เลยบอกได้ แต่ยังไม่มีคน develop เรื่องเหล่านี้ แต่เรื่องกรรมอธิบายให้พอเข้าใจจากปรกฏการณ์ได้ว่ามีอยู่จริง เหมือนกับ photon ที่เราก็ยังไม่สามารถทำให้เห็นถึงความเป็นอนุภาคของมันได้ แต่มีปรากฏการณ์ที่แสดงถึงความเป็นอนุภาคของมัน (อันนี้ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกมั๊ย ไม่ได้เรียน Physics อีกเลยจากปี 1 ถ้าผิดก็แก้ล่ะกันครับ จะหา analogy ให้ใหม่) จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:55:51

ความคิดเห็นที่ 81 คห.74 เคยมีอมยิ้ม หายไปไหนแล้วละ ว่าจะโยนกีปให้ซะหน่อย เห็นด้วยอย่างยิ่งเลย - ถ้าเลือกทำดี = ใจคิดดี -------> กายทำดี ----------> โอกาสเจอผลดีๆ มีมาก Ex.ถ้าคุณตั้งใจเรียน อยู่ในกลุ่มเด็กเรียน ไม่ติดเที่ยว ไม่แว้นซ์ ไม่ติดเกม ผลคือคุณผลการเรียนดี และมีแนวโน้มที่จะได้เจอสังคมที่ดี ได้หน้าที่การงานมั่นคง มีฐานะไม่ลำบากในอนาคต - ถ้าเลือกทำชั่ว = ใจคิดชั่ว ----------> กายทำชั่ว ---------> โอกาสเจอผลชั่วๆ มีมาก Ex.ถ้าคุณแว้นซ์ เป็นนักเลงหัวไม้ ขี้เหล้า ติดบุหรี่ ชอบเที่ยวอย่างว่า ผลคือคุณจะมีโอกาสเิกิดอุบัติเ้หตุด้วยมอเตอร์ไซค์ , ถูกคู่อริทำร้าย , ตับแข็ง , วัณโรคปอด , เป็น HIV อยู่มากในอนาคต ย้ำว่าผมใช้คำว่า " มีโอกาสมาก " เท่านั้น บางครั้งอาจจะใช่ หรือไม่ใช่ก็ได้ เพียงแต่ถ้าเราเลือกทางไหน โอกาสที่จะเจอผลลัพธ์ในทางนั้นมันก็จะมากขึ้น แล้วเราจะเอาตัวไปเสี่ยงทำไม? ปล.ไปบอร์ดที่คุยกันเรื่องโรคทาง พสพ. นะครับ case ถุงยางแตกหรือรั่วใช่ว่าจะไม่มี แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 00:59:37 จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : วันเนา 54 00:58:33

ความคิดเห็นที่ 82 ถาม อีกเรื่องคะ กฎแห่งกรรมหน่อยคะ กฎแห่งกรรมใช้ไม่ได้กับ อโหสิกรรมรึเป่า หรือยังใช้ได้อยู่ เช่น ธรรมชาติจะลงโทษแทนคนที่ อโหสิกรรม เอง คือยังไงก็ต้องรับกรรม กรณีแรก อันนี้เสมอกัน a ฆ่า b ิb ฆ่า a a อโหสิกรรม b เลยไม่ฆ่า b ตามกฎแห่งกรรม   กรณีที่2 ไม่เสมอกันคือ a ฆ่า b ิb ฆ่า a a ฆ่า b ิb อโหสิกรรม a เลยไม่ฆ่า a ตามกฎแห่งกรรม   กรณี3 a ฆ่า b ิb ฆ่า a a ฆ่า b a บรรลุอรหันต์ แล้วปรินิพาณ (คงไม่มาเกิดอีกแล้ว รึเป่า)  bไม่ได้อโหสิกรรมให้ a แล้ว b จะไปลงที่ไหนอะ  หรอว่า a จะปริณิพาณไ่ม่ได้  ต้องรอ b มาฆ่าก่อน   งงเหมือนกัน   แต่แปลกนะ  ตอนที่เราเด็กๆเรียนพระพุทธศาสนาเราไม่เคยมีคำถามแบบนี้เลยขึั้้นมาในหัวเลย  แต่พอโตมาหน่อย  เห็นพระเป็นกระเทย  เห็นห้องหว้ากอชอบตั้งคำถาม  เห็นนักการเมืองมี 2 บทบาท เรา็ก็เริ่มที่อยากจะสงสัยและคิดคำถามพวกนี้  สงสัยแม้กระทั้งว่า  ถ้าไม่มีศาสนาพุทธ  เราจะเป็นคนดีด้วยตัวเองไม่ได้เชียวหรือ จากคุณ : Himawari_Chang เขียนเมื่อ : วันเนา 54 01:22:52

ความคิดเห็นที่ 83 ว้าว คืนพรุ่งนี้พูดถูกใจ นาน ๆ ที คห.19 เราให้กีบนายนะ จากคุณ : มะเดี่ยวสีเขียวอ่อน เขียนเมื่อ : วันเนา 54 01:29:38

ความคิดเห็นที่ 84 อยากจะบอกคนในคลิปมากๆว่า ที่มันทุกข์อยู่ทุกวันนี้อ่ะ ไม่ใช่เพราะเปิดประตูให้พม่งพม่าที่ไหนหรอก น้องหนูเอ๋ย   ที่แกทุกข์เพราะแกดันเปิดผ้าตะหาก ทีหลังก็อย่าไปเปิดให้ใครดิ มันจะได้ไม่ทุกข์ (ไม่ค่อยชอบแม่ชีคนนี้อยู่แล้ว พอเห็นแกเอาความทุกข์ของคนอื่น มาพูดเป็นเรื่องตลกแล้วนึก....    สงสารน้องคนนี้แฮะ) อีกอัน  ที่แม่ชีบอก ผู้ชายมีศักดิ์ศรีมากกว่าผู้หญิง ให้กราบให้ไหว้ผัว ก่อนจะหลับจะนอนกันก็กราบมันซะก่อน ป๊าดดดดดดดด!!  คิดไปได้นะแม่ชี ผู้ชายบางตัว เอ๊ย บางคนนี่น่ากราบมากเลย ไม่ทำมาหากิน ให้เมียหาเลี้ยง ตัวเองเมาวันยังค่ำ กลับมา ตีลูกเตะเมีย ทำแท่นให้มันนั่งซะดีมั๊ย จะได้กราบเช้ากราบเย็น เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต จะได้เจริญๆ คนเราจะสมควรไหว้สมควรกราบมันไม่ได้ดูกันที่ความดีแล้วเรอะ แค่ให้เกิดมามีจู๋ก็ถือว่ามีศักดิ์ศรีมากกว่า น่ากราบ เฮ๊อะ!! ช่างคิดนะ อีกอย่าง ที่พูดว่าแก้กรรมๆ โทษทีเถอะ กรรมนี่แก้กันได้ด้วยเหรอ แค่คำคำนี้ เราก็ไม่เห็นด้วยเอามากๆแล้ว สิ่งเลวร้ายที่ทำลงไปแล้ว มันแก้ไขไม่ได้หรอกค่ะ จะบอกว่า เข้าวัดทำบุญเยอะๆ นั่งสมาธิเยอะๆ จะแก้กรรมชั่วที่ทำไปแล้วได้ บอกเลย ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 01:40:43 จากคุณ : Oh my dahlia เขียนเมื่อ : วันเนา 54 01:34:22

ความคิดเห็นที่ 85 ตั้งข้อสังเกต เรื่อง หนักๆ มาเยอะแล้ว มาเรื่อง เบาๆ บ้างดีกว่า ลองดู คลิป ด้านล่างนี้ นะครับ แล้วลองตอบ คำถาม หรือ ลองตอบ กับตัวเอง ว่า เหตุใด คนที่เชื่อ...เรื่องกรรม และ นิพพาน ยังทานเนื้อสัตว์อยู่ แล้วการทานเนื้อสัตว์ ไม่มีกรรมให้ต้อง มาเวียนว่าย อยู่ในสังสารวัฎ ต้องกลายมาเป็น สัตว์ ให้คนอื่นเขาฆ่า เอาเนื้อไปทาน บ้างหรอกหรือ แล้วการที่ ใครสักคน มุ่งจะไป ให้ถึง นิพพาน แล้วผลกรรม ในเรื่อง ของ อาหาร นั้นตกอยู่กับ คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไป นับตั้งแต่ คนเลี้ยง หรือ คนจับ คนฆ่า และ คนนำมาปรุง คนทาน นั้น ไม่มี กรรม หรือ เศษกรรม ให้เป็นมลทิน แต่อย่างใด อย่างนั้น  จริงๆ น่ะหรือ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันเนา 54 01:40:05

ความคิดเห็นที่ 86 @79 อีกเรื่อง มีใครพอจะมีไอเดียไหมคะ ถ้า คนบรรลุอรหันต์มากๆ  ดวงวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดก็จะลดลงเรื่อยๆ จนถึงวิญญาณดวงสุดท้าย  ก็จะไม่สามารถไปทำกรรมกับใครได้  ก็จะบรรลุอรหันต์โดยอัตโนมัติ รึเป่า ---------------------------------------------------- คือก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า จิตเกิดดับตลอดเวลา ผมจะ analogy คล้ายๆคลื่นในเรื่องของพลังงานครับ (ถ้าผมอธิบาย Physics ผิดก็ขอโทษ และแก้มาได้นะครับ TT A TTT ผมจะอธิบายใหม่) คือคลื่นน้ำเนี่ย ตามที่ผมเข้าใจ คือ อนุภาคอยู่กับที่ในแนวราบ แค่เคลื่อนที่เป็น SHM ในแนวดิ่ง แต่ส่งพลังงานไปในแนวราบใช่มั๊ยครับ ทีนี้จิตคล้ายๆอนุภาคน้ำครับ คือเกิด ตั้งอยู่และดับไปครับ โดยความเร็วในการเกิดดับของจิตเนี่ย เร็วมาก เทียบแล้วลัดนิ้วมือหนึ่งครั้ง จิตเกิดดับประมาณแสนโกฏิขณะดวงครับ ซึ่งจิตแต่ละดวงก็จะมีหน้าที่ของตนๆ ที่เรารู้ไม่ทัน ก็เหมือนตาเราไม่รู้ว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ติดดับ 50-60 ครั้งต่อวินาทีนั่นแหละครับ ทีนี้ อนุภาคน้ำไม่ได้พาพลังงานไป จิตก็ไม่ได้พากรรมไปครับ แต่จิตดวงที่หนึ่งดับจะส่งอำนาจกกรมต่อให้ดวงที่สอง สองส่งไปสามเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดครับ สัตว์นรก เปรต เทวดาก็เช่นกันครับ เวลาเราตาย จิตดวงสุดท้ายในภพชาตินี้ดับ จิตดวงแรกในภพชาติหน้าก็จะเกิดขึ้นทันที ด้วย scale เวลาเดียวกันครับ แล้วพลังงานหรืออำนาจกรรมไปไหน ? พลังงานพวกนี้ก็จะส่งผลเมื่อเดินทางมาถึงและเหตุปัจจัยพร้อมครับ เช่น เราทำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ มีเชื้อ influenza เข้ามาพอดี เราเคยฆ่าสัตว์เล็กๆไว้ ก็จะส่งผลให้เราเป็นหวัดใหญ่ได้ ถ้าฆ่าสัตว์ใหญ่แถมเยอะด้วย ก็เป็นปอดบวมหรือเสียชีวิตได้ แต่ถ้าไม่เคย (ซึ่งไม่มีใครไม่เคย ควรจะเป็นยังมาไม่ถึงมากกว่า) แม้จะมีเชื้อ influenza มา หรือพลังงานมาถึง อำนาจกรรมมาถึง แต่เรา 1.แข็งแรง/2.ไม่ได้รับเชื้อ/3.รับเชื้อ แต่ dose ต่ำ = เหตุปัจจัยไม่พ้รอม ก็ไม่เป็นหวัดครับ หรือ Asymptomatic นั่นเอง (หมายเหตุ: อันนี้ไม่ได้เป็น Analogy แต่เป็นการอธิบายการส่งผลของกรรมแบบหนึ่ง โดยใช้โรคเป็น model ซึ่งผมไม่ได้เอาวิทยาศาสตร์มายำกับพระพุทธศาสนาครับ เวลาผมอยู่ทางโลก ผมก็ตอบอาจารย์และคิดแบบทางโลก ไม่มีพระพุทธศาสนามาเกี่ยว เวลาตอบพ่อแม่พี่น้อง ก็ยกตัวอย่างอื่นๆ แต่อันนี้ตอบคนในห้องนี้ เลยออกมาเป็นแบบนี้ครับ) ทีนี้ทุกอย่างที่เราทำ เป็นกรรมแทบทั้งหมดครับ ขึ้นอยู่กับดีหรือไม่ดี ทีนี้กรรมที่ทำให้เราเกิดก็มีครับ คือ ตัณหา-อุปาทาน หรือความอยาก-ความอยากอย่างเหนียวแน่น แต่เราดูหนังสนุก เราชอบ ก็มีตัณหา เราอยากดูอีก ก็มีตัณหา เมื่อเหนียวแน่นมากๆ ก็กลายเป็นอุปาทานครับ ตัณหา-อุปาทานเป็นเหมือนสิ่งที่ส่งพลังงานให้มีการเกิดครับ จิตของพระอรหันต์เป็นอย่างไร ? คือจิตที่ไม่มีกิเลสแล้ว ซึ่งรวมถึงตัณหาอุปาทานด้วย เมื่อจิตที่ตายดับลง จึงไม่มีจิตที่ทำหน้าที่เกิดในภพใหม่ จึงไม่เกิดนั่นเอง ---------------------------------------------------- พระอรหันต์ต้องรับผลของกรรมอยูไหม ? รับครับ เช่น พระโมคคัลลานะตาม #62 เพียงแต่พอไม่เกิดแล้ว กรรมอื่นๆอีกมากมายที่ยังมาไม่ถึง และเหตุปัจจัยยังไม่พร้อมก็ไม่ต้องรับแล้ว เป็นโมฆะวาระไป คนบรรลุอรหันต์มากๆ >> ไม่มีครับ อันนี้เป็น all or none ครับ เมื่อถึง threshold แล้ว ได้เลยครับ ดวงวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดก็จะลดลงเรื่อยๆ >> ชาติที่เป็นพระอรหันต์คือชาติสุดท้ายครับ ---------------------------------------------------- ยังมีต่อครับ แต่ post ก่อน ยาวเกิ๊น ผมแล้วค่อยอ่าน 82-85 นะครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 01:44:13

ความคิดเห็นที่ 88 Version ไทยๆ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันเนา 54 01:51:53

ความคิดเห็นที่ 89 @79 ต่อครับ ---------------------------------------------------- จนถึงวิญญาณดวงสุดท้าย  ก็จะไม่สามารถไปทำกรรมกับใครได้ >> คือวิญญาณดวงสุดท้ายของทุกคนก็จะไม่สามารถไปทำกรรมกับใครได้ครับ เพราะมีหน้าที่ตัดภพชาติอย่างเดียว ทีนี้ระยะเวลาหลังจากเป็นพระอรหันต์จนถึงตายของท่าน หรือนิพพานเนี่ย ท่านยังมีการกระทำครับ แต่การกระทำของท่านไม่เป็นกรรม บุญ หรือบาปครับ กรรมในพระพุทธศาสนาคือการกระทำที่ให้ผลครับ แต่เวลาพระอรหันต์ท่านทำอะไรใหม่ๆ ก็ไม่เป็นบาป เพราะไม่มีกิเลสแล้ว และไม่เป็นบุญด้วย แต่ระหว่างนั้นก็รับผลของกรรมตามปกติ เจ็บ มีทุกขเวทนาตามปกติครับ แต่ท่านก็รับด้วยสติครับ ต่างจากเราๆที่รับด้วยโทสะ ---------------------------------------------------- จะบรรลุอรหันต์โดยอัตโนมัติ รึเป่า >> การบรรลุอรหันต์มีทางเดียวครับ คือปฏิบัติธรรม หรือเฉพาะเจาะจงคือ วิปัสสนา ครับ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นการนั่งไขว้ห้างหลับตาก็ได้ครับ สำหรับคนที่มีพรสวรรค์หรือสั่งสมมานานแล้ว แต่อย่างเราๆแบบนั้นมันง่ายครับ เพราะเป็นการปิดทวารไปบ้าง ตามพระสูตร พระอรหันต์ตอนที่บรรลุๆ ก็คือการปฏิบัติวิปัสสนา แล้วได้อรหันต์โดยที่บางทีแค่ฟังธรรมได้ หรือแค่การจับผ้าสกปรก หรือแค่รับข้าวในบาตรครับ แต่ทั้งหมดจะมีหลักการดังนี้ (อันนี้ก็ตามทฤษฎีอีก หรือเป็นปริยัติ ผมเองยังไม่ได้สักขั้นนะครับ TT A TTT) มีขั้นย่อยมากมาย ภาพรวมคือการรับรู้ไตรลักษณ์ครับ จะเป็นเสียง วัตถุ จิต etc. ก็ได้ ทุกสิ่งเกิดแล้วดับครับ เมื่อรับรู้แล้วก็จะรับรู้ถึงความน่ากลัวในสังสารวัฏจริงๆ ที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา (ของผมแค่สุตตาครับ แถมยังหลุดไปกับกิเลสบ่อยมากๆ TT A TTT) จนถึงจุดๆหนึ่งหรือ threshold นั้น ก็จะก้าวข้ามไปเป็นพระอรหันต์ครับ โดยการทำงานของจิตที่ทำหน้าที่ประหานขุดลอกกิเลสออกไปอย่างสิ้นเชิง ที่เรียกว่ามัคคจิต ครับ จริงๆแล้วการบรรลุต้องเป็นลำดับ คือ ปุถุชน -> โสดา -> สกทา -> อนาคา -> อรหันต์ครับ แต่กลับไปที่ time scale การเกิดดับของจิตใน #86 ครับ คือมันเร็วมาก ดังนั้นบางคนที่สั่งสมมาพอ แค่ 1 วินาทีก็เปลี่ยนจากปุถุชนเป็นพระอรหันต์ได้ครับ โสดา, สกทา, อนาคา, อรหันตมัคคจิตมีหน้าที่ประหานกิเลสที่หยาบและละเอียดต่างชนิดกัน โดยตัณหานั้นจะถูกประหาน delete ด้วยอรหันตมัคคจิตครับ จึงมีเพียงพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เกิดแล้ว แล้วยศโสดา -> สกทา -> อนาคา -> อรหันต์ พวกนี้ได้แล้วได้เลย เอาคืนไม่ได้ครับ ถ้าชาตินี้คุณจบแค่พระโสดาบัน ชาติต่อไปเกิดใหม่ก็เป็นพระโสดาบันเลยครับ เพราะการ delete กิเลสของมัคคจิตเหมือน shift + del อ่ะครับ ไม่ได้ลง recycle bin ถ้าฌาณจะข่มกิเลสไว้เฉยๆ เหมือนเอาลง recycle bin พอฌานหมดอำนาจ กิเลสก็ restore ตัวเองกลับมาได้ครับ ปล. ไม่พูดถึง programme กู้ file นะครับ หึๆ แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 01:52:58 จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 01:52:10

ความคิดเห็นที่ 91 @82 ต่อ ถ้าไม่มีศาสนาพุทธ  เราจะเป็นคนดีด้วยตัวเองไม่ได้เชียวหรือ ได้ครับ อย่างที่บอกใน #68 ตอนท้ายๆครับ ว่า ศาสนาไหนๆก็สอนให้คนเป็นคนดี ยุคที่ไม่มีศาสนาแม้พระพุทธศาสนาก็ยังมีคนเป็นคนดีได้ครับ คนระหว่างที่ ยุคพระพุทธศาสนาของพระกัสสปะพุทธเจ้าสิ้นไปจากโลกมนุษย์ ถึงก่อนยุคพระพุทธศาสนาของพระสมนโคดมพุทธเจ้าก็ยังมีคนเป็นคนดีได้ครับ พระพุทธศาสนาก็สอนให้เป็นคนดี แต่ที่มากกว่าคือ ทางออกจากวัฏสงสาร คือการนิพพาน ด้วยการเดินทางปฏิบัติให้ตัดตัณหาอุปาทาน ให้ถึงอรหัตน์เท่านั้นครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 02:41:03

ความคิดเห็นที่ 92 @84 คือผู้ชายมาเกิดด้วยบุญที่มากกว่าผู้หญิงจริงครับ แต่ไม่ได้แปลว่าคนที่เกิดเป็นผู้หญิงทำบุญน้อยกว่าผู้ชาย งงไหมครับ ? บุญที่นำเกิดเป็นผู้ชายเป็นบุญหนักแน่นครับ คือ ทำด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่ลังเล บุญที่นำเกิดเป็นผู้หญิงเป็นบุญที่อ่อนกว่าครับ คือ ทำด้วยความโลเล คือเช่น ชาติที่ n A ทำทานด้วยความเด็ดเดี่ยว สวดมนต์ด้วยความลังเล ช่วยสุนัขตกน้ำด้วยความลังเล B ทำทานด้วยความเด็ดเดี่ยว สวดมนต์ด้วยความเด็ดเดี่ยว ช่วยสุนัขตกน้ำด้วยความลังเล ชาติที่ n+1 บุญสวดมนต์ A จากชาติที่ n นำเกิดก็เป็นผู้หญิง บุญสวดมนต์ B จากชาติที่ n นำเกิดก็เป็นผู้ชาย ชาติที่ n+2 บุญทำทาน A จากชาติที่ n นำเกิดก็เป็นผู้ชาย บุญช่วยสุนัขตกน้ำ B จากชาติที่ n นำเกิดก็เป็นหญิง ชาติที่ n+3 บุญช่วยสุนัขตกน้ำ A จากชาติที่ n นำเกิดก็เป็นผู้หญิง บุญทำทาน B จากชาติที่ n นำเกิดก็เป็นผู้ชาย ครับ โดยทั่วๆไป ถ้าทำบุญด้วย factor อื่นเท่ากัน เช่น สิ่งที่สละไปเท่ากัน ผู้รับเดือดร้อนเท่ากัน etc. บุญที่ทำด้วยความเด็ดเดี่ยวจะมากกว่าลังเลครับ ---------------------------------------------------------- ทีนี้มาที่แม่ชีบอกว่า แม่ชีบอก ผู้ชายมีศักดิ์ศรีมากกว่าผู้หญิง คือไม่ผิดนัก มั้ง? ถ้าพิจารณาที่บุญนำเกิด แต่ผมว่าไม่สำคัญขนาดนั้น สิ่งที่กระทำอยู่ปัจจุบันจริงๆต่างหากที่สำคัญ เพราะจริงๆแล้ว คนที่เกิดมาเป็นผู้ชายอาจจะทำบุญเด็ดเดี่ยวครั้งนั้นครั้งเดียว แต่ครั้งอื่นแทบไม่ได้ทำบุญเลย ผู้หญิงก็ในทางกลับกันครับ ดังนั้นก็เลยเห็นด้วยว่า "คนเราจะสมควรไหว้สมควรกราบมันไม่ได้ดูกันที่ความดีแล้วเรอะ" แต่การให้ภรรยากราบสามี ก็ไม่เป็นไรครับ เป็นการอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นบุญอย่างหนึ่งครับ ทุกครั้งที่เราก้มหัวให้ใคร หรือกราบใครก็ตาม ในทางกลับกันสามีก็ควรกราบภรรยาด้วยครับ อ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งกันและกัน อย่างน้อยทุกคนที่เกิดมาเป็นคนก็เป็นผลของบุญครับ เรากราบได้ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นคนซึ่งกันและกัน งงมั๊ยครับ คือไม่ได้ค้านทั้งแม่ชีทั้งคุณ Oh my dahlia ในจุดนี้ และเห็นด้วยกับคุณ Oh my dahlia มากกว่า พูดมาซะยาว โดยส่วนตัวคงไม่ทำกับคนทั่วๆไปอ่าครับ 555+ คงดูแปลก ยกเว้นพ่อ แม่ ญาติ คนเคารพจริงๆ ---------------------------------------------------------- ส่วนที่บอกว่า "สิ่งเลวร้ายที่ทำลงไปแล้ว มันแก้ไขไม่ได้หรอกค่ะ จะบอกว่า เข้าวัดทำบุญเยอะๆ นั่งสมาธิเยอะๆ จะแก้กรรมชั่วที่ทำไปแล้วได้ บอกเลย ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ" ตามที่ #90 ครับ แก้ไม่ได้ แต่ dilute ได้ครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 03:18:20

ความคิดเห็นที่ 93 ใครลบ #90 เราหว่า T A T ยาวด้วย ง่วงและ ตอบ @82 ไปอ่ะครับ ไม่ได้ save ด้วย ถ้าอยากรู้พรุ่งนี้จะมาพิมพ์ใหม่ครับ จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 03:21:28

ความคิดเห็นที่ 94 มนุษย์อยู่บนพื้นฐานของการรับประทา­นเนื้อสัตว์ เช่นเดียวกับ เสือ สิง ต้องโทษระบบมันใช่ไหมละที่เลวร้ายกว่าซึ่ง­กำหนดให้มนุษย์เป็นแบบนี้แล้ว กิน ๆ ไปเหอะเพื่อความอยู่รอดยังไงก็ไม่บาปกรรมหรอก เรื่องกรรมมันเป็นแค่ความเชื่อของบางศาสนาเท่านั้นเอง แต่ศาสนาอื่น ไม่ !! จากคุณ : Pisdu เขียนเมื่อ : วันเนา 54 03:33:18 A:124.120.61.75 X: TicketID:302550

ความคิดเห็นที่ 95 @85+88 (อันนี้ไม่ยาว ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ ขอตอบก่อนไปนอนจริงๆล่ะกัน) ผมยังกินเนื้อสัตว์อยู่ครับ แต่ไม่สนับสนุนการฆ่าสัตว์ และไม่ฆ่าสัตว์ครับ ก่อนอื่น อธิบายก่อนว่า ปาณาติบาต จะครบองค์กรรมบทนั้น ต้องมีอะไรบ้าง ๑. สัตว์มีชีวิต ๒. รู้ว่าสัตว์มีชีวิต ๓. จิตคิดจะฆ่า ๔. พยายามเพื่อจะฆ่า ๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น ถ้าครบ สามารถให้ผลได้ในการนำเกิด คือ นำเกิดในอบายได้ และให้ผลหลังการเกิด คือ ๑. ร่างกายทุพพลภาพ ๒. รูปไม่งาม ๓. กำลังกายอ่อนแอ ๔. กำลังปัญญาไม่ว่องไว ๕. เป็นคนขลาดหวาดกลัวง่าย ๖. กล้าฆ่าตนเอง หรือถูกฆ่าได้ ๗. พินาศในบริวาร ๘. โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ๙. อายุสั้น ถ้าไม่ครบ แต่มีข้อ๓. จิตคิดจะฆ่า จะให้ผลในการนำเกิดไม่ได้ แต่ให้ผลหลังการเกิดได้ครับ ถ้าไม่ครบ และไม่มีข้อ๓. ก็ไม่ให้ผลครับ การซื้อสัตว์ที่ตายแล้วมาปรุงอาหารจึงไม่บาปครับ (อันนี้ก็แอบขัดกับความรู้สึกผมช่วงแรกๆเช่นกัน) การให้คนอื่นฆ่าก็บาปไม่ต่างกันครับ เช่น - ซื้อเนื้อหมูที่แล่เรียบร้อยแล้วมา 2 kg ไม่บาปครับ - บอกแม่ค้าขายหมูว่า พรุ่งนี้ขอหัวหมู 1 หัวนะ อันนี้บาปครับ ๔.พยายามเพื่อจะฆ่านั้นเป็นการพยายามทางวาจาครับ - ไปกินอาหารทะเล เห็นว่าร้านเค้าเลี้ยงกุ้งเป็นๆ ปลาเป็นๆ ในตู้ ร้านขายปลาเป็นในตลาดสด ชนิดที่ว่าถ้าเราไม่สั่ง เค้าก็ยังไม่ฆ่า อันนี้ก็บาปครับ เช่นเราสั่งปูผัดผงกระหรี่ แล้วเค้าต้องเอาปูขึ้นจากตู้มาฆ่า บาป แต่ตามร้านที่เลาะเนื้อปูไว้แล้ว ไม่บาปครับ ผมไม่ไปร้านอาหารทะเลแบบนี้กับครอบครัวครับ ถ้าเพื่อนอยากกิน ผมก็ไม่สั่งครับ   = =' คือสรุปง่ายๆว่า ถ้าเราไม่ได้มีส่วนร่วมในการพยายามให้สัตว์นั้นตาย แม้จะไม่รู้ตัวก็ตาม ก็ไม่บาปครับ เพราะถึงเราไม่ไปซื้อ มันก็ตายอยู่แล้วครับ ถ้าไม่ครบ และไม่มีข้อ๓. ก็ไม่ให้ผลครับ นี่ เช่นเดินเหยียบหมดโดยที่เราก็ไม่เห็น แต่ถ้าตั้งใจเหยียบ ก็บาปครับ แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 03:43:06 จากคุณ : MinIEs เขียนเมื่อ : วันเนา 54 03:41:09

ความคิดเห็นที่ 96 กรรมเก่า กรรมใหม่ อะไรก็ได้ แค่ตอนนี้ เรามา "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" กันเถอะค่ะ อันนี้คงมีทุกศาสนาที่สอน เพราะคงไม่มีศาสนาไหนสอนให้คนทำความชั่ว? ถ้าตอบแบบส่วนตัวก็จะบอกว่าทุกอย่างมันก็รู้อยู่แก่ใจน่ะค่ะ ทำอะไรไปก็รู้อยู่แก่ใจทุกอย่างเลย ฆ่าคน ขโมยของ ฆ่าสัตว์ ด่าคน ฯลฯ "กรรม"ชั่วทั้งหลาย ก็ส่งผลต่อจิตใจตัวเอง ให้คิดถึงสิ่งเหล่านั้นตลอดเวลา แล้วสุดท้ายก็จบลงที่จิตใจตัวเอง ว่าเคยทำอะไรไว้บ้าง ชีวิตจะเป็นอย่างไรกับการกระทำของตัวเอง ก็จิตใจตัวเองทั้งนั้นแหละที่จะส่งผลให้มันเป็น แล้วถ้าทำ"กรรม"ที่คิดว่ามันไม่ดีแล้วใจเป็นทุกข์ในความคิดของตัวเอง กับทำกรรมดีแล้วจิตใจไม่ต้องคอยวิตก ไม่ต้องคอยกังวลว่าไอ้สิ่งที่เราทำแล้วเราคิดว่ามันไม่ดีจะมารบกวนจิตใจให้ไม่สงบ ไม่สุข ก็สู้ทำความดีไปดีกว่า แต่ถ้าใครคิดว่ามีความสามารถในการทำอะไรที่ดูเหมือนว่าจะเป็นกรรมชั่ว(ใช้ดูเหมือนว่าเพราะบางทีกรรมที่ไม่ดีของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน) แล้วจิตใจสงบสุขได้ก็อยู่ที่ตัวคุณเองทั้งนั้นแหละค่ะ คิดแบบง่ายๆไม่ยุ่งยากได้เท่านี้เพราะดิฉันเองก็ไม่ได้รักษาศีลเพียงห้าข้อได้ครบทุกขณะจิตน่ะค่ะ^^ จากคุณ : ryukazeii เขียนเมื่อ : วันเนา 54 05:38:38

ความคิดเห็นที่ 97 สงสัยค่ะ ว่าท่ีแม่ชีพูดเร่ืองหอยน่ีถือว่าส่อเสียดหรือเปล่าคะ จากคุณ : Mitzi เขียนเมื่อ : วันเนา 54 06:57:12 A:202.124.88.199 X: TicketID:301097

ความคิดเห็นที่ 98 สรุปสั้นๆ ทุกอย่างที่คุณ MinIEs ว่ามาคือ "ความเชื่อ" ครับ เชื่อแล้วสบายใจ มีจุดมุ่งหมายในชีวิตก็เชื่อไปเถอะครับ (แต่บอกแล้วว่าหยุดศึกษาเหอะ สบายใจกว่าแยะ ชีวิตมีความสุขกว่าเยอะ นี่แหละนิพพานของจริง) จากคุณ : ปลาแสนกวน เขียนเมื่อ : วันเนา 54 07:48:09 A:223.206.208.129 X: TicketID:312088

ความคิดเห็นที่ 99 แสดงว่า การทานเนื้อสัตว์ ไม่อยู่ใน กฎแห่งกรรม แล้วล่ะสิครับ เราสามารถ ทานเนื้อสัตว์ หรือ เอาชีวิตสัตว์อื่น เป็นอาหาร ได้มากเท่าที่ต้องการ โดยไม่ต้อง กลายไปเป็นสัตว์ ให้คนอื่นเขาฆ่า เอาเนื้อไปทาน อย่างนั้น น่ะหรือ แล้ว กฎแห่งกรรม จะเป็นจริง อยู่ได้อย่างไร เพราะ การทานเนื้อสัตว์  ถ้าใชัปัญญา กำกับ โดยไม่ใช้ อคติ มาบิดเบือน การรับรู้ ย่อมทราบได้ โดยบริสุทธิ์ใจว่า มีเบื้องหลัง การฆ่า  อย่างเป็นระบบ รองรับอยู่อย่างแน่นอน การทานเนื้อสัตว์ จึงเป็นการสนับสนุนการฆ่าสัตว์ ในทางตรง ไม่ใช่ ทางอ้อม เลยด้วยซ้ำ หาก การทานเนื้อสัตว์ จะอ้างเพียงลอยๆว่า ไม่ได้มีเจตนาฆ่า ทางตัวอักษร หรือ หลอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้น ความเชื่อ อันนี้ จะเป็นความเชื่อที่ อันตราย มากกว่า ความเชื่อ ที่ว่า สัตว์เป็นอาหาร แล้วปฏิบัติด้วยความเมตตา ตามอัตภาพ เสียอีก เพราะ กรณีข้างต้น คนทานเนื้อสัตว์ จะพยายามปิดหู ปิดตา เสแสร้งว่า ตนเองไม่ได้ฆ่า แล้วก็ไม่บาป  คือ พยายามบิดเบือน การรับรู้ และ ความรู้สึก ให้จดจ่อ อยู่แต่อาหารตรงหน้าที่ปรุงสำเร็จ หรือ มองแค่ ความเป็นศพของสัตว์ ที่วางขาย ก่อนนำมาปรุง แล้วตัดตอนให้ ไม่ไปคิดถึง กระบวนการก่อนหน้า ก็เท่านั้นเอง --- สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ถ้าหาก ไม่จัดตรรกะ ความเชื่อ ให้เป็นไปตามที่ ท่าน MinIEs  อธิบายใน #95 จะเกิดอะไรขึ้น จะพบว่า กฎแห่งกรรม และ การเข้าสู่นิพพาน ขัดแย้งกันเอง  น่ะสิครับ v v  กรณี การฆ่าสัตว์ โดยไม่เจตนา ทำไม ไม่ต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์ ให้คนอื่น เขาฆ่า โดยไม่เจตนาบ้าง หากท่านเคยเหยียบมด ตาย โดยไม่เจตนา ทำไม ไม่ต้องไปเกิดเป็นมด ให้คนอื่น เหยียบตาย โดยไม่เจตนาบ้าง แล้วมด  จำนวนมากมาย มหาศาล ที่อยู่ในเหตุการณ์ ถูกเหยียบตาย โดยไม่เจตนา  โดยคนบนโลกทั้งหมด จากอดีต ถึง ปัจจุบัน จวบจน อนาคต มีเท่าไหร่ แล้ว เป็นใคร  มาจากไหน ล่ะครับ อยู่ดีๆ ถึงต้อง มาเกิดเป็นมด แล้วมารับกรรม ในลักษณะนี้ จะเห็นได้ว่า หากใช้ เจตนา เป็นตัวกำหนด กรรม ก็จะไม่สามารถ นำมาอธิบายได้ ทั้ง กรรมของ คนที่เหยียบ และ กรรมของ มดที่ถูกเหยียบ อย่างตลอดสาย ได้นั่นเอง --- ข้อสังเกต ต่อมา กรณี  ฆ่าสัตว์ โดยเจตนา ไม่ว่า ยุง แมลงสาบ ด้วยการตบ ฉีดพ่นยา หรือ การยิงนก ตกปลา ฯลฯ อันนี้ คงไม่ปฏิเสธ แล้วนะครับ ว่า เป็น...กรรม ที่ต้องชดใช้ แล้วหากจะ อ้างว่า ถ้าบรรลุอรหันต์แล้ว สามารถ บรรเทา หรือ ทำให้กรรมนี้ เป็นกรรมที่ไม่ให้ผล คือ สามารถเข้าสู่นิพพาน ไปได้เลย ตรงนี้ เท่ากับว่า เดิมพัน  ความเชื่อ ครั้งนี้ สูงมากแล้วนะครับ คือ ถ้าท่าน เชื่อใน   เรื่องกรรม และ นิพพาน แล้วก็เคยฆ่าสัตว์ โดยเจตนามาก่อน ท่านจะต้อง เข้าถึง นิพพาน ให้ได้ในชาตินี้ ในภาวะที่ยังเกิดเป็นคน  ให้ได้นะครับ มิเช่นนั้น ต่อไปหากท่านเกิดเป็นสัตว์ เช่น ปลา หรือ นก หรือ ต้องกลายเป็นสัตว์กินเนื้อ ด้วยคำอธิบาย ในเรื่อง ห่วงโซ่อาหาร แล้ว นำเรื่อง กฎแห่งกรรม  มาประกอบกัน จะกลายเป็นว่า ท่านถูกบังคับให้ต้อง เวียนว่าย ตายเกิด  กลายเป็น สัตว์กินเนื้อ อยู่ในห่วงโซ่อาหาร แบบบวนลูป ออกมาไม่ได้ แล้วนะครับ ถ้าไม่ต้อง ชดใช้กรรม กฎแห่งกรรม ก็ไม่เป็นจริง ถ้าต้องชดใช้กรรม ในระบบห่วงโซ่อาหาร  ในภาวะที่เกิดเป็นสัตว์กินเนื้อ ก็เท่ากับว่า  จะไม่มีวัน ได้เกิดเป็นคน เพื่อ การปฏิบัติ เข้าสู่นิพพาน ได้อีกเลย   ฝากไว้ ให้เป็นข้อคิด ละกันครับ แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 09:20:09 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันเนา 54 08:51:16

ความคิดเห็นที่ 100 การหลุดพ้น พิสูจน์ได้นะครับ แต่มันต้องพิสูจน์ด้วยการลงมือทำ พระพุทธเจ้าสอนให้เราทุกข์น้อยลง คนที่บอกว่าเราทำความดีก็พอแล้ว ลองนึกเหตุการณ์แบบนี้นะครับ - ขับรถเจอรถปาดหน้า - คนใกล้ชิด เจ็บป่วย เสียชีวิต - สูญเสีย คนรัก - สอบเข้าไม่ได้ - โดนไล่ออกจากงาน ถามว่าทุกข์ไหมครับ ถ้าทุกข์ คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนให้ทุกข์น้อยลง จนถึงไม่ทุกข์เลย ดังนั้นแม้ในชาตินี้ ไม่ต้องรอนิพพาน เราก็สามารถทุกข์น้อยลง เพียงแต่สนใจในคำสอน นำมาคิด นำมาปฏิบัติ เราต้องมีชีวิตอีกตั้งหลายสิบปี มันน่าจะดีนะ ถ้าเราไม่ทุกข์มากนัก และยิ่งดีเข้าไปอีก ถ้านรก สวรรค์มีจริง นิพพานมีจริง เพราะเท่ากับได้กำไร 2 ต่อ จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : วันเนา 54 09:17:46

ความคิดเห็นที่ 101 ^ ^ ตรงนี้ ก็น่าสนใจครับ เพราะ ความเชื่อ ในพุทธศาสนา มักจะบอกว่า เป็นปัจจัตตัง หรือ รู้ได้ ด้วย การปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งตรงนี้ เป็นความเชื่อ ใน ระบบกรรม แต่ถ้า มองไปอีกฟาก ในกลุ่มศาสนา ที่มีความเชื่อ ในระบบ พระเจ้า แล้ว เขาบอกว่า ให้ท่านมานับถือ ศาสนาเขา แล้วพิสูจน์ ศรัทธา ต่อ พระองค์ ท่านจะ เปลี่ยนศาสนา เปลี่ยนความเชื่อ เพื่อพิสูจน์ ไม๊ล่ะครับ ถ้า เรื่องกรรม เป็น อจิณไตย แล้วเรื่อง พระเจ้า เป็น อจิณไตย บ้าง  ไม่ได้หรือ ให้ท่านเชื่อ ในระบบพระเจ้า แบบที่ท่านเชื่อ ในระบบกรรม บ้าง ไม่ได้หรอกหรือ เหตุใด จึงเป็นเช่นนั้น เพราะ ศาสนา ทั้งสองสาย ต่างใช้ความเชื่อนำทาง เช่นเดียวกัน แล้วก็มี อจิณไตย เหมือนๆกัน ทั้งในแง่ ของ กรรม และ พระเจ้า จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : วันเนา 54 09:31:39

ความคิดเห็นที่ 102 ก็ดีนะ   แต่ระวังนะ ไอ้ที่ว่า "ไม่เดือดร้อนใคร" คิดให้ทั่วๆและละเอียด คิดนานๆ มันไม่เดือดร้อนคนอื่นหรือสิ่งมีชีวิตอื่นจริงๆหรือเปล่า อยากพูดแค่นี้แหละ จากคุณ : precham เขียนเมื่อ : วันเนา 54 09:35:53

ความคิดเห็นที่ 103 อย่าเหมารวมว่าชาวหว้ากอจะคิดหรือเชื่อเหมือนกันคุณสิครับ ผมไม่เชื่อเรื่องสแกนกรรม มันฟังเหมือนคนทรงเจ้ามากกว่าความเชื่อทางพุทธ เหมือนเป็นการบิดเบือนศาสนาเพื่อหาชื่อเสียงเงินทองเข้าหาตัวมากกว่าครับ จากคุณ : oryze เขียนเมื่อ : วันเนา 54 09:37:53

ความคิดเห็นที่ 104 ถ้ามีคำสอนที่บอกว่า ชีวิตเราขึ้นอยู่กับผู้อื่น (มีบุคคลมาชี้นิ้วกำหนด) หรือให้รังเกียจศาสนาอื่น คำสอนนั้นควรจะเป็นแค่ลัทธิ ไม่ควรเป็นศาสนา ว่ามั้ยครับ อจินไตย ไม่สามารถใช้กับทุกสิ่งครับ ไม่งั้นคนก็จะบอกว่า เรื่องspider man เป็นอจินไตย แต่คำพูดที่ถูกต้องคือ "spider man ไม่มีอยู่จริง" http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=22850 http://www.dhumma.net/index.php?option=com_content&view=article&id=623&Itemid=624 แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 54 09:49:35 จากคุณ : NipponJ เขียนเมื่อ : วันเนา 54 09:48:51

ความคิดเห็นที่ 105 ธรรมะของพุทธ เป็นตรรกะที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เช่นสังโยชน์10 และ อนุสัย7 ดังนั้นเรื่องราวในพระไตรปิฎก จึงควรแบ่งออกเป็น เรื่องpsychology และเรื่องปาฏิหาริย์ เพราะจริงๆแล้ว ศาสนาพุทธ ถือเป็นตำราจิตวิทยา เล่มใหญ่ จากคุณ : NipponJ เขียนเมื่อ : วันเนา 54 09:58:44

ความคิดเห็นที่ 106 ดูกันได้ที่นี่ http://shows.:-)/kid-len-hen-tang จากคุณ : Mr.Feynman เขียนเมื่อ : วันเนา 54 10:16:32

ความคิดเห็นที่ 107 อ่านกระทู้นี้ ผมสรุปจากหัวผุๆได้สองเรื่อง 1. โกหกไม่เป็นไร หาเหตุผลเข้าข้างการโกหกได้ แม่ชีอาจจะโม้ แต่ก็เพือ่กุศโลบายทางศาสนา ส่อให้เห้นว่าจะเชื่อเฉพาะเรื่องที่ตัวเองอยากฟังเท่านั้น  จริงเท็จไม่สนใจ ของเท็จก็อวยต่อได้ 2. กินไม่บาป ฆ่าสิบาป  อันนี้เป็นการหลับหูหลับตาเลี่ยงไปแบบข้างๆคูๆ  ผมไม่ได้สั่งฆ่า ผมกินเฉยๆๆ ผมเลยไม่บาป แต่มองคนฆ่าว่าบาปด้วยความขยะแขยง  ผมว่าตลกดี  จริงๆก็พอกัน ถ้าไม่กินกันจริงๆ ก็คงไม่มีคนฆ่าเพื่อเป็นอาหาร จากคุณ : แก้มอ้น เขียนเมื่อ : วันเนา 54 10:16:33

ความคิดเห็นที่ 108 หากใครได้ศึกษาและเข้าใจในธรรมะ จริงๆแล้วก็จะรู้ครับว่า พวกนี้ไม่เรียกนักบวชเขาเรียกว่าอลัชชี อันที่จริงคุณลาแสนกวน ได้อธิบาย ความหมายของกรรมที่ถูกต้องแล้วนะครับผมขออธิบายอีกทีนะครับ กรรม = การกระทำ มี 2 อย่าง กรรมดี/กุศลกรรม และ กรรมชั่ว/อกุศลกรรม วิบาก = ผลของการกระทำ(นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ากรรม) ส่วนการเสวยผลของกรรมนั้น ก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลครับผู้ใดกระทำอะไร ก็เป็นผู้รับผลจากการกระทำนั้น ซึ่งผลของการกระทำจะเกิดได้ 2 ทาง คือ 1.จิต  2.กาย ครับต้องได้รับทั้ง 2 ทางครับ แต่ทางพุทธเน้นหนักที่จิตครับ จากคุณ : โขงคดโค้ง เขียนเมื่อ : วันเนา 54 10:20:49

ความคิดเห็นที่ 109 หากกฎแห่งกรรมมีจริงเท่ากับว่ากฏนี้เลวร้ายมาก ขัดแย้งกันเองไม่มีความยุติธรรมเอาซะเลย ผมเคยคิดจินตนาการแบบบ้า ๆ เล่น ๆ นะว่าเรื่องนี้มันต้องมีกลไกผลประโยชน์แอบแฝงเบื้องหลังอะไรสักอย่าง เช่นฆ่าสัตว์มาเยอะสุดท้ายไปลงนรกเพื่อล้างกรรมแต่ประโยชน์แฝงที่แท้จริงแล้วเพื่ออะไรกันแน่ไม่มีใครรู้ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับโรงฆ่าสัตว์ของมนุษย์ดี ๆ นี่เอง บางศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม >> ถ้ามีจริง ๆ สุดท้ายที่รอดก็มีแค่ 000000000.01% ที่เป็นผู้โชคดี เพราะทุกคนล้วนเกิดมาเคยฆ่าสัตว์แม้แต่การกิน ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ต้องลงนรกเพื่อความยุติธรรม ? บางศาสนาสอนให้เชื่อพระเจ้าเพื่อมนุษย์รอดพ้อนจากบาป >> ถ้างั้นอยากสบาย ๆ ก็ไปเข้าหาพระเจ้าไม่ดีกว่า ? เออแล้วจะให้เลือกศาสนาไรดีที่คิดว่าถูกต้อง 100% ในเมื่อไปคนละทิศคนละทาง คิดแล้วปวดหัว จากคุณ : Pisdu เขียนเมื่อ : วันเนา 54 10:24:30 A:124.120.60.51 X: TicketID:302550