 |
ร่วมสนทนานะครับ.
การที่จะวิเคราะห์ว่า ดวงอาทิตย์ในพระสูตร นั้นเพิ่ม ขึ้นที่ละดวง จนถึง 7 ดวง หรือตามความหมายของกระทู้นี้ ที่เข้าใจว่าดวงอาทิตย์ขยายตัวเป็น 7 ระดับ ตามความคิดเห็นว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ที่ไปขัดแย้งกับคำแปลในพระไตรปิฏก.
เมื่อนำวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้อง ข้อมูลหรือสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์นั้นต้องชัดเจนก่อน ไม่ใช่เป็นการคิดไปเอง นะครับ.
เพียงข้อมูลที่ 1 อย่างเดียวเนื้อหาข้อมูลในตัวกระทู้ก็ไม่ถูกต้องแล้วดังนี้.
เมื่อพิจารณา ดวงอาทิตย์ห่างจากโลกประมาณ 93,000,000ไมล์ ขนาดของโลก มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7,900 ไมล์ ขนาดดวงอาทิตย์มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 864,000 ไมล์
ถ้าดวงอาทิตย์ขยายตัว 100 เท่า ก็จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8,640,0000 ไมล์ ก็ยังห่างจากโลกถึงประมาณ 70 กว่าล้านไมล์
เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนขึ้น ถ้าดวงอาทิตย์มีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล โลกของเราก็จะมีขนาดเหรียญ 25 หรือ 50 สตางค์ และจะอยู่ห่างไกลกันเกินว่า 2.5 กิโลเมตร
ดังนั้นข้อมูลในตัวกระทู้นั้น เป็นการจินตนาการคิดไปเอง ซึ่งไปขัดแยังกับคำแปลพระไตรปิฏก ที่ไม่สมเหตุสมผล ขาดข้อมูลทางวิทยาศาสต์ที่ใกล้เคียงความจริงไปมากเลยครับ.
ซึ่งไม่ว่าดวงอาทิตย์จะขยาย ตัวเป็น 100 เท่า ก็ย่อมไม่สามารถทำให้โลก นั้นต้องโดนเผาไหม้จนสลายไปได้ เพราะอยู่ห่างไกลกันมาก ยกเว้นในกรณีการเกิดชุปเปอร์โนวา โลกนั้นอาจจะถูกระเบิดทำลายเป็นจุลไปด้วยก็ได้ หรืออาจจะถูกผลักกระเด้นออกไปลอยอยู่ในอาวกาศ จนถูกดึงดูดเข้าไปสู่วงโคจร ของดาวฤกษ์ดวงอื่นก็ได้ ซึ่งสามารถเกิดสมมุติฐานได้หลายกรณี ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไปว่า โลกต้องระเบิดหรือสลายไปพร้อมกับดวงอาทิตย์ ที่ตัวเองโคจรอยู่.
และในพระไตรปิฏกนั้น ได้กล่าวถึงดวงอาทิตย์ค่อยปรากฏ เป็น 2ดวง เป็น 3ดวง จนถึง 7ดวง. ตามสมมุติฐานที่ผมเคยแสดงไว้น่าจะเป็นดังนี้ กาแลคชีใหญ่(เกิดจากหลายกาแลคชีมารวมกัน) กำลังบีบอัดเข้าสู่ศูนย์กลาง ดังนั้น ดาวฤกษ์ต่างๆ ย่อมโดดเบียดเข้าชิดกัน จึงเสมือน(สมมุติ)ว่าเมื่อเรายื่นอยู่บนโลก ตอนใกล้สิ้นกัป ก็จะคอยๆ เห็นดวงอาทิตย์ เพิ่มขึ้น เป็น 2 ดวง แล้วเวลานานไป ก็จะมีดวงอาทิตย์เพิ่มมาอีก เป็น 3 ดวง เวลานานไปเป็นอย่างนี้ จนดวงอาทิตย์ครบ 7 ดวง
เมื่อถึงกาลนั้น ทุกอย่างในอาวกาศในอานาบริเวณนั้น(ในส่วนนั้น) ก็เผาไหม้กลายเป็นจุลไม่มีเหลือ กลายเป็นไอหมดลิ้น กระจายไปทั่ว เมื่อกาลผ่านไปก็ค่อยรวมตัวกันเป็นของเหลว(หรือน้ำตามในพระไตรปิฏก)แล้วค่อย พัฒนาควบแน่นขึ้นเกิดความร้อน แล้วฟอร์มตัวเป็น กลุ่มดาวฤกษ์ และโลกต่อไป ก่อเป็น กลุ่มดาวเล็กๆ กระจายกันอยู่ แล้วค่อยดึงดูดกัน เป็นกาแลกชีใหญ่ขึ้น อาจจะเกิดหลายกาแลกชี ที่เกิดในอาวกาศในนาบริเวณนั้น (อธิบายอย่างคร่าว)
แต่ในอาวกาศในอานาบริเวนอื่นซึ่งไกลกันมากๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยความไกล เพราะอาวกาศนั้นหาที่สุดไม่ได้ ก็ย่อมมีการเกิดดับของจักวาลหรือกาแลกชี แต่เป็นคนละที่กันไม่เกี่ยวกัน.
ดังนั้นการนับ กัป หรือ จำนวนกัป ในพุทธศาสนา นับจาก โลกธาตุนี้(มีหลายจักรวาล เป็นกลุ่มกาแลคชีกลุ่มหนึ่ง) ที่ปรากฏมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาได้ เกิดขึ้น 1 ครั้ง แล้วดับสลายไป แล้วเกิดใหม่ เรียกว่า 1 กัป. และไม่ใช่ว่า ทุกครั้งที่เกิดขึ้นใหม่จะต้องมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นทุกครั้ง บางคราวห่างกันหลายกัป จึงปรากฏมีพระพุทธเจ้าสัก 1 พระองค์ บางคราวห่างกันจนนับกัปไม่ได้ เรียกว่าอสงไขย จึงจะบังเกิดมีพระพุทธเจ้า
และขอให้ทำความเข้าใจว่า.... แต่กลุ่มกาแลกชีอื่นๆ ที่มีจำนวนอนันนั้น หมายถึงมีโลกธาตุอื่นๆ เป็นอนัน แม้โลกธาตุนั้นจะเกิดแล้วสลายไป เกิดใหม่อย่างไร ก็ไม่ถือนับเป็นกัป ตามหลังในพุทธศาสนา.
จากข้อมูลเก่า ที่ผมเคยเสนอไว้แล้ว...
http://www.vichadham.com/picsun/born_galaxy.htm
อ้างอิงข้อมูลจาก พระอรรถกถา ในตำราพุทธศาสนา
จากอรรถกถาเล่มที่ 1
ในกาลใด กัปย่อมพินาศไปเพราะไฟ, ในกาลนั้น โลกย่อม ถูกไฟเผา ภายใต้ตั้งแต่ชั้นอาภัสสระลงมา. ในกาลใด กัปย่อมพินาศไปเพราะน้ำ ในกาลนั้น โลกย่อมถูกน้ำทำลายให้แหลกเหลวไป ภายใต้ตั้งแต่ชั้นสุภกิณหะลงมา. ในกาลใด กัปย่อมพินาศไปเพราะลม, ในกาลนั้น โลกย่อมถูกลมพัด ให้กระจัดกระจายไป ภายใต้ตั้งแต่ชั้นเวหัปผละลงมา. ก็โดยส่วนมาก* พุทธเขตอย่างหนึ่ง (คือเขตของพระพุทธเจ้า) ย่อมพินาศไป แม้ในกาลทุกเมื่อ.
[พุทธเขต ๓ พร้อมทั้งอรรถาธิบาย]
ขึ้นชื่อว่า พุทธเขต (คือเขตของพระพุทธเจ้า) มี ๓ คือ ชาติเขต (คือเขตที่ประสูติ) ๑ อาณาเขต (คือเขตแห่งอำนาจ) ๑ วิสัยเขต (คือ เขตแห่งอารมณ์ หรือความหวัง) ๑. ในพุทธเขต ๓ อย่างนั้น สถานเป็นที่หวั่นไหวแล้ว เพราะเหตุทั้งหลาย มีการถือปฏิสนธิเป็นต้น ของพระตถาคต ชื่อ ชาติเขต ซึ่งมีหมื่นจักรวาลเป็นที่สุด. สถานที่อานุภาพแห่งพระปริตรเหล่านี้ คือ รัตนปริตร เมตตาปริตร ขันธปริตร ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร โมรปริตร เป็นไปชื่อว่า อาณาเขต ซึ่งมีแสนโกฏิจักรวาลเป็นที่สุด. เขตเป็นที่พึ่งซึ่งพระองค์ทรงระลึกจำนงหวัง ที่พระองค์ทรงหมายถึง ตรัสไว้ว่า ก็หรือว่า ตถาคตพึงหวังโลกธาตุมีประมาณเพียงใด ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า วิสัยเขต ซึ่งมีประมาณหาที่สุดมิได้. บรรดาพุทธเขตทั้ง ๓ เหล่านั้น อาณาเขตอย่างหนึ่ง ย่อมพินาศไป ดังพรรณนามาฉะนี้. ก็เมื่ออาณาเขตนั้นพินาศอยู่ ชาติเขตก็ย่อมเป็นอันพินาศ ไปด้วยเหมือนกัน. และชาติเขตเมื่อพินาศไป ก็ย่อมพินาศโดยรวมกันไปทีเดียว. แม้เมื่อดำรงอยู่ ก็ย่อมดำรงอยู่โดยรวมกัน.
สรุปได้ว่า พุทธเขตมี 3 เขต คือ
1.ชาติเขต มีหมื่นจักรวาล ที่สว่างและหวั่นไหว เมื่อพระมหาโพธิสัตว์ ปฏิสนธิ ประสูติ และตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า 2. อาณาเขต มีล้านล้านจักรวาล ที่อำนาจของพุทธคุณไปถึงได้ (ก็คือกลุ่มกาแลคชี ที่รวมกาแลคชีทางช้างเผือกนี้ด้วย) 3. วิสัยเขต มีจักรวาลหรือโลกธาตุประมาณหาที่สุดมิได้ ที่พระพุทธเจ้าพึงรู้ได้ (ทรงรู้ไปได้ทั่วทุกๆ กาแลคชี)
วิเคราะห์ ตามอรรถกถา เมื่อตอนสิ้นกัป หมายถึง 1. อาณาเขตและ 2. ชาติเขต ที่มีจักรวาลถึงแสนโกฏิจักรวาล (ล้านล้านจักรวาล) ก็คือกลุ่มกาแลคชีในอาณาบริเวณทางช้างเผือกทั้งหมด พังจนหมดสิ้นจนไม่มีเหลือ ซึ่งไม่ใช่จักรวาลเดียวหรือโลกที่มนุษย์โลกเราอยู่นี้ พังจนหมดสิ้นเพียงจักรวาลเดียว แต่หมายความว่าพังสลายไปทั้งหมดในกลุ่มกาแลคชีทางช้างเผือก(มีอยู่หลายกาแล คชีที่ใกล้กัน ที่อัดเข้ามารวมกัน) แต่กาแลคชีอื่นหรือโลกธาตุอื่นที่อยู่ไกลออกไปมากๆ หาได้พังสลายไปพร้อมกันไม่ ก็คือ กลุ่มกาแลคชีแต่ละกลุ่มมีการเกิดแล้วยุบรวมตัวกันแล้วสลาย แล้วเกิดใหม่แล้วยุบรวมตัวกันแล้วสลาย ไปตามธรรมชาติแต่หาได้สลายไปพร้อมกันที่เดียว และการนับว่า 1 กัป นั้น จำนงหมายเอาแต่โลกธาตุหรือกาแลกชีที่จะมีหรือที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติปรากฏ ขึ้นได้เท่านั้น เกิดขึ้นแล้วพังสลายไปหนึ่งรอบเป็น 1 กัป และเมื่อก่อตัวเป็นโลกธาตุสมบูรณ์(กาแลคชี)ใหม่ จึงนับเป็น กัป ต่อไป
แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 54 12:08:12
จากคุณ |
:
P_vicha
|
เขียนเมื่อ |
:
21 เม.ย. 54 12:06:38
|
|
|
|
 |