ความคิดเห็นที่ 1 ยังชอบภาพนี้เหมือนเดิม จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 01:52:26

ความคิดเห็นที่ 2 บุญกับบาปมันวัดกันเป็นปริมาณไม่ได้หรอกครับเพราะมันวัดไม่ได้และไม่มีทางวัดเป็นปริมาณได้ ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป มันก็แค่นี้เองครับ แต่ในเมื่อแฟนของ จขกท. พูดแบบนี้ก็เป็นไปได้ว่าได้รับการสอนมาผิดๆ และก็ไม่มีใครช่วยแก้ให้มันก็เลยเป็นเช่นนี้ล่ะครับ จากคุณ : I'AM เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 01:59:10

ความคิดเห็นที่ 3 สุดท้าย ผมอยากทำอะไรที่ตัวเองสบายใจก็ไม่ได้เลย โดนพูดแดกดันตลอด ว่าบุญจะน้อย บุญไม่เยอะ ปล่อยสัตว์ ชาติหน้าก็ได้แต่ร่ำรวย แต่ไม่มีบารมี ชีวิตไม่มีความพร้อมเหมือนเลี้ยงพระ พอถามว่า ทำไมต้องเชื่อถาม ก็หาว่าผมบ้าวิทย์ ไม่เชื่อก็ลองดู ตายแล้วจะได้ตกนรกมั้ย -*- จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:08:02

ความคิดเห็นที่ 4 คุณแฟนเขาคงเสพความเชื่อมามาเกินไปหล่ะครับ ^^ แฟน "ทำแบบนี้ จะไปได้บุญ เหมือนทำบุญใหญ่ให้พระได้ยังไง" ผม "... แล้วทำบุญกับพระ กับทำบุญกับสัตว์โลกด้วยกัน ได้บุญต่างกันอย่างไร" แฟน "ทำบุญกับพระ ได้บุญมากกว่าทำทานแน่นอน หวังดีนะเนี่ย" ผม "ผมไม่ได้หวังบุญ" แฟน "ไม่ได้หวังบุญ งั้นตอนผมทำ ก็ให้อธิษฐานว่าไม่เอาบุญเลยนะ" ผม "ผมไม่เคยอธิษฐานเวลาทำบุญ ทำทาน แล้วแนวคิดแบบนี้ไปเอามาจากไหน" แฟน "พระสอนมา ไม่เชื่อก็ไม่ดูในพระไตรปิฏก" แฟน "ถ้าคลั่งศาสนามาก ลองถามนะครับ เกิดมาทำไม เพื่ออะไร เป้าหมายอย่างไร ^^ จากคุณ : ดัชนีขี้เมา เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:09:10

ความคิดเห็นที่ 5 เจอแบบนี้แก้ยากละครับ - -'' จากคุณ : Teerarod เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:09:24

ความคิดเห็นที่ 6 ปลงเหอะครับ แบบนี้เราไปคัดค้านยังไงไม่ได้แล้ว -*- จากคุณ : รู้งี้ไปขายน้ำเต้าฮวยดีกว่า เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:17:02

ความคิดเห็นที่ 7 คห.1 มีรุ่นภาษาอังกฤษมั้ยครับ จากคุณ : OmegaPi เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:17:58

ความคิดเห็นที่ 8 ฟังดูงมงายในบุญนะครับ ถึงไม่เกี่ยวกับวิทย์ก็ตอบหน่อย เวลาจะชักนำใครต้องทำตัวให้เหมือนเขาก่อนครับ ในเมื่อแฟนบ้าบุญ(อารมณ์แบบบ้าบอล)เราก็ต้องทำตัวเป็นพวกมนุษย์บุญด้วย อาจลองอ้างพุทธเพื่อดึงกลับมาให้เป็นคนธรรมดาดู แต่คุณต้องรู้เรื่องพุทธบ้างนะ ถ้าเป็นผมก็มีวิธีที่นึกไว้ประมาณนี้ ให้พระเทศน์สอนให้1 อ้างว่าแม้พระพุทธเจ้าก็ปล่อยสัตว์1(ปล่อยหงส์ที่พระเทวทัตยิง) บอกว่ามีเมตตากรุณาต่อสัตว์เป็นเบญจธรรม1 (อ้างว่าชาวพุทธควรมีเบญจศีลเบญจธรรม) อธิษฐานตอนทำบุญไม่รู้เหมือนกันแต่เรื่องอธิษฐานตอนทำทานเคยเห็นมีเขียนครับ จากความทรงจำที่อาจผิดพลาด ทำทานแล้วได้บุญเยอะสุดคือทำทานหวังนิพพาน นอกนั้นก็รองๆลงมา ทำทานไม่หวังอะไรเลยได้บุญลำดับซักสามหรือสี่มั้ง ถ้าทำบุญหวังของนอกกายน่าจะได้ระดับต่ำกว่าไม่หวังอะไรเลยอีก ถ้าแฟนคุณหวังอะไรแปลกๆคุณอาจอ้างได้ว่าคุณได้บุญเยอะกว่าด้วยซ้ำ อ้างอิงลองหาดูเอาในเน็ตครับ จะมีเว็บพระไตรปิฎกอยู่ น่าจะชื่อทำทานอย่างไรให้ได้ผลมาก ประมาณนี้ จากคุณ : donutpla2 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:18:19

ความคิดเห็นที่ 9 แฟนเป็น DMC หรือเปล่า ? เพราะดูจะจริงจังกับบุญมากเหลือเกิน จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:21:09

ความคิดเห็นที่ 10 คห1 ถ้าเป็นผมจะบอกว่า ถ้าเจ้าบังอาจเปิดไฟ มังกรมันจะหายไป แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 02:29:33 จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:29:22

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่ใช่ DMC ครับ (เขาบอกว่าไม่ชอบ DMC) แฟนจะค่อนข้าง ทำทุกอย่างเพื่อหวังบุญ พระท่านใดบอกอะไรเชื่อหมด (เอาง่ายๆ เชื่อพระมากกว่า เชื่อฆารวาสทุกคนไม่ว่าจะพ่อแม่หรือผมครับ) แต่ค่อนข้างจะเชื่อเรื่องบุญโดยการทำบุญกับพระมากที่สุด ในขณะนี้เดียวกันก็ทำบาปเรื่องอื่นๆไปด้วย และเชื่อว่าคนรวยทำบุญได้บุญเยอะกว่าคนจน เพราะมีกำลังทรัพย์มากกว่า ทำให้คนรวย รวยต่อๆไปอีก คนจนก็จนเหมือนเดิม เพราะไม่มีกำลังที่จะทำบุญใหญ่ๆ ซึ่งบางทีผมก็อยากพูดเรื่องการแบ่งฐานะในศาสนามันเป็นเรื่องไม่สมควร แล้วก็จะไปขัดไม่ได้ด้วยครับ ค่อนข้างที่จะเชื่อในความคิดตัวเองสูงมากกว่าเรื่องของเหตุและผล แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 02:31:40 จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:29:29

ความคิดเห็นที่ 12 เคยมีแฟนแบบที่เรามองว่าบ้าศาสนาเหมือนกัน เพียงแต่กลับกันคือคนที่บ้าเป็นผู้ชาย แล้วเค้าก็หาว่าเราเป็นผู้หญิงบ้าวิทย์ เวลาเราถามหาเหตุผลและข้อพิสูจน์ เป็นเหตุผลหนึ่งในหลายๆเหตุผลที่เลิกกัน เป็นส่วนหนึ่งของความเข้ากันไม่ได้ ต้องว่าอย่างนั้น ตอนนี้ ย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น ในมุมมองของคนที่เลิกกันไปแล้ว คิดว่ามันไร้สาระนะคะ ที่เราทะเลาะกันเรื่องนั้น คือไม่ใช่ว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด หรือฝ่ายไหนมีเหตุผลหรืองมงาย ถึงคุณจะถือหางทางวิทย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมีเหตุผลมากกว่า งมงายน้อยกว่า วิทยาศาสตร์ก็คือลัทธิอย่างหนึ่งค่ะ ถ้าคุณมองมันให้ดีๆ มันคือกลุ่มก้อนของความเชื่ออย่างหนึ่ง และเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกไปทั้งหมด หรือไม่ได้เป็นวิธีหาความจริงที่ดีที่สุดไปซะทั้งหมด เอาล่ะ แต่สาระของความเห็นนี้ก็คือ ช่างมันเถอะค่ะ ก็รักเธออย่างที่เธอเป็นตอนนี้แล้วขอให้เธอรักคุณอย่างที่คุณเป็น ต่างคนต่างให้อิสระกับอีกฝ่ายในการเชื่อและทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อตามสมควร คือคิดว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปทำให้ความสัมพันธ์ในอดีตนั้นดีขึ้นได้ เราคงจะปล่อยให้เค้าบ้าในสิ่งที่เค้าอยากบ้า แล้วพยายามทำจิตให้ผ่องใสไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนักนี่นา ปล. เจ้าของกระทู้มาถามห้องหว้ากอ แต่คำตอบเราดันเอาห้องสยามกับห้องศาสนามาผสมกัน หวังว่าคงไม่ผิดหวังนะคะ ^^ จากคุณ : ว่านแสงอาทิตย์ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:36:48

ความคิดเห็นที่ 13 #12 โดยปกติผมจะไม่ค่อยพูดถึงหรือทะเลาะนะครับ แต่ทุกวันนี้ที่ประสาทจะกิน เพราะโดนยัดเยียดความเชื่อนี่ล่ะครับ คือผมไม่ได้งมงายวิทย์ และไม่ได้คิดว่าแฟนผมผิดครับ แต่ผมจะเชื่อหลักศาสนาในแนวทางของผมครับ ทุกวันนี้ทำดี ทำบุญ ศาสนาก็ทำให้ผมเป็นคนดี ไม่กล้าทำบาป แต่โดนยัดเยียดความเชื่อเข้ามานี่ทำใจลำบากครับ จะขัดก็ยาก อยากทำแบบหนึ่ง ก็ต้องเปลี่ยนไปทำอีกแบบหนึ่ง ไม่งั้นก็จะทะเลาะกัน จะอธิบายอะไรก็จะไม่ฟังครับ เขาจะมองว่าผมติดวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เขาพูด เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น เพราะพระพูดมา พระจะไม่โกหก และผมก็จะต้องเชื่อตามนั้น ตอนนี้ยอมรับว่า คุยเรื่องที่มองไม่เห็นนี่ยากจริงๆครับ ศาสนา , ไสยศาสตร์ ถูกต้องเสมอ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 02:42:22 จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:41:05

ความคิดเห็นที่ 14 ศรัทธาไม่เหมือนกัน จะไปอยู่กันยืดได้อย่างไร จากคุณ : N'Wan เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:51:25

ความคิดเห็นที่ 15 ที่บ้านเขาเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่าครับ พ่อ แม่? ลองถามเขาดูสิครับว่า ทำบุญมากๆเพื่อหวังผลชาติหน้าหรอ? ไม่ได้อยากนิพพานแบบพระพุทธเจ้าหรอ? อยากรู้จัง จะตอบยังไง จากคุณ : Proximitron เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:52:28

ความคิดเห็นที่ 16 เกินไปมั้งครับ บุญไม่ได้เป็นก้อนนะครับถึงจะวัดปริมาณได้  มันคือความรู้สึกซาบซ่านเข้าไปในหัวใจเวลาตัวเองทำอะไรที่มันเข้าท่ามากกว่านะผมว่า ก็อย่างว่าจะให้ไปเปลี่ยนความคิดใครมันคงยาก เพราะเธอก็เชื่อ ถูกฝัง ถูกสั่งสอนอย่างนั้นมาก่อน แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 02:55:37 จากคุณ : chimpanz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:53:48

ความคิดเห็นที่ 17 #15 ที่บ้านเขาก็ค่อนข้างจะเป็นแบบนี้ล่ะครับ เคยถามนะครับ ไม่ได้อยากนิพพานเหรอ แฟนบอกว่า คงไม่ได้นิพพานอยู่แล้ว ขอให้เกิดชาติหน้าสบายดีกว่า #16 ผมคิดว่าบุญคือ สิ่งที่ทำแล้วเราสบายใจครับ ผมชอบเลี้ยงอาหารเด็กๆ ปล่อยนก ปล่อยปลา ใส่บาตร ถวายสังฆทาน แต่แฟนผมเขาชอบเน้นอะไรใหญ่ๆ เช่น เลี้ยงพระทั้งวัด เธอบอกผมว่า สิ่งที่ผมทำมันได้ไม่เท่าที่แฟนทำ และพยายามยัดเยียดให้ผมทำเหมือนๆกัน ถามว่าในใจผมเชื่อบาป บุณ คุณ โทษ มีจริงไหม ผมเชื่อว่า มันเป็นเรื่องของใจมากกว่า ทำดีแล้วสบายใจ นั่นคือ บุญ ผมชั่วแล้วกลัวความนั่นคือ บาป ผลของกรรม แฟนผมกลับถามมาว่า แล้วทำไมโลกนี้แต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน บางคนหูหนวก ตาบอด นั่นล่ะ เพราะบุญที่ทำมาจากชาติที่แล้ว ผมเองยังเคยถามไปเล่นๆเลย ว่าแล้วปริมาณบาป บุญของคนทั้งโลก จะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลที่มหาศาลขนาดไหน ระบบ computing ขนาดไหน จึงจะคำนวณบุญบาปได้หมด เธอก็หาว่าผมดูถูก คนที่สงสัยในศาสนา คือ คนที่ทำบาป ถ้าเชื่อแล้วก็ห้ามสงสัย - -! แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 03:01:14 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 03:00:44 จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:57:44

ความคิดเห็นที่ 18 สำหรับเรา เรามองว่า บางเรื่องปล่อยๆไปบางก็ได้ แฟนคุณเขามีความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เขาอยากทำอะไร ก็ปล่อยให้เขาทำไปเถอะค่ะ เถียงกันมากๆ คุณจะเหนื่อยเปล่า มันจะออกทำนอง ปีศาจมีจริงไหม ประมาณนี้ การที่พยายามอธิบายเหตุผล หรือถกเถียงกับคนที่มีความเชื่อสุดๆในเรื่องนั้นๆ เหมือนพยายามทวนน้ำอย่างมากค่ะ เราว่าจากสถานการณ์ของคุณอย่าเป็นปลาแซลม่อนเลยค่ะ เป็นแค่คนยืนดูน้ำไหลก็พอ ไม่เหนื่อย ไม่ต้องคิดมาก แฟนอยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ อาจยากสักหน่อย แต่ถ้าทำได้ จบ ค่ะ จากคุณ : pitchayapatsorn เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 03:01:01

ความคิดเห็นที่ 19 #18 ปกติผมก็จะไม่ค่อยพูดเรื่องพวกนี้ครับ แฟนผมจะทำอะไรก็ทำครับ ผมไม่เคยห้าม แต่เธอเล่นมาพยายามยัดเยียดให้ผมด้วยนี่สิครับ ยกตัวอย่างเช่น ผมพูดลอยๆว่าอยากเลี้ยงเด็กในมูลนิธิ เธอก็จะพยายามให้ผมไปเลี้ยงพระในวัด ถ้าขัดก็จะเป็นการเริ่มทะเลาะ หาว่าผมไม่เชื่อ แบบนั้นแบบนี้ พอจะมีแนวทางที่จะเปลี่ยน หรือลดความเชื่อมั่นที่สูงขนาดนี้ไหมครับ จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 03:03:18

ความคิดเห็นที่ 20 บุญมีปริมาณมากน้อยจิงๆนะคับ บุญมากบุญน้อยมีอยู่จิงๆ จิงอยู่ที่บาปบุญเป็นนามธรรมที่ตวงวัดขนาดไม่ได้แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นนามธรรมแต่พระเจ้าก็มีพระปัญญาสูงส่งขนาดที่จะแปลงร่างสิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีขนาดให้กลายเป็นสิ่งที่มีขนาดได้ ซึ่งเพื่อการนั้นพระเจ้าได้สร้างกิเลส 4 ขึ้นมาให้เราตกเป็นทาสโดยสมบูรณ์ของกิเลสเพื่อให้กิเลสเป็นที่ยึดเกาะของบาป+บุญ ซึ่งกิเลสที่ถูกบาป,บุญยึดเกาะแล้วจะเอาบาป+บุญออกไม่ได้ ทำให้บาป+บุญนั้นๆส่งผลต่อเราต่อเนื่องตลอดเวลาแต่ว่ากิเลสซึ่งบาปหรือบุญเกาะอยู่นั้นสามารถมลายหายไปได้ ซึ่งถ้ากิเลสตัวที่บาปเกาะอยู่สลายไปบาปตัวนั้นก็จะหลุดออกไปด้วยทำให้เราก็จะสามารถหมดเวรหมดกรรมพ้นเคราะห์กรรมเวรได้ บาปหรือบุญที่เป็นนามธรรมไม่มีขนาดจึงสามารถมีขนาดได้ด้วยประการฉะนี้ ซึ่งบาปตัวที่แรงสุดมีขนาดอนันต์ก็จะเป็นอนันตริยกรรม (บาปไม่เกาะกับกิเลสแต่เกาะกับตัวเราแทนจึงไม่สามารถสลายไปตามการแตกสลายของกิเลสได้) ส่วนบุญที่แรงสุดขนาดอนันต์เหมือนกันก็คือการทำบุญกับผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 03:06:24 A:223.207.122.100 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 21 ทำบุญกับพระผมเลือกทำทานกับมนุษย์และสัตว์ร่วมโลกดีกว่าครับ ไม่สนใจว่าจะได้บุญรึไม่ แต่ผมรู้สึกอิ่มใจที่ได้ช่วยมนุษย์และสัตว์ร่วมโลก มากกว่าครับ. จากคุณ : JoeMai เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 03:16:23

ความคิดเห็นที่ 22 # 19 สำหรับเรา เราคิดว่า การอยู่เฉยๆจะดีที่สุด แฟนคุณพูดอะไรมาก็ฟังผ่านๆ เออออตามไป แต่อย่าไปใส่ใจมาก เพราะเราคิดว่า จากที่คุณเล่ามา ยิ่งคุณแสดงเหตุผลในการอธิบายหรือปฏิเสธ เธอก็จะยิ่งเกทับใส่คุณมากขึ้น ทีนี้จากการคุยธรรมดามันจะกลายเป็นการทะเลาะกัน ไม่งั้นคุณก็หางานอดิเรกทำซะ จะได้ผ่อนคลาย ไม่ต้องใส่ใจเธอมาก สักพักเมื่อเธอเห็นว่าคุณไม่ค่อยใส่ใจ เธอก็จะเบาลงไปเอง จากคุณ : pitchayapatsorn เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 03:37:51

ความคิดเห็นที่ 23 สังเกตไหมคะว่าผู้หญิงไม่ว่าจะพูเรื่องอะไรก็ตาม แค่ฟังแล้วพูดว่า จริงเหรอ อ้อ ก็ดีนะ ทุกอย่างก็จะดีเอง เพราะบางครั้ง บางเรื่องผู้หญิงไม่ต้องการเหตุผลค่ะ ไม่อยากฟังเหตุผล แค่อยากได้คนสนใจ คือไม่ต้องฟังแบบตั้งใจอ่ะค่ะ ฟังๆไปเถอะ เดี๋ยวก็ดีเอง จากคุณ : pitchayapatsorn เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 03:40:35

ความคิดเห็นที่ 24 ของพวกนี้ทำไปก็ไม่เสียหายหรอกครับ เช่นอธิฐานอะไรแบบนี้ จะเชื่อไม่เชื่อ จะจริงไม่จริง อันนี้ก็ยากที่จะพิสูจน์ ก็ถือเป็นการบริหารความเสี่ยงไปละกันครับ เผื่อมีจริงขึ้นมา แล้วดันไม่ได้ทำไว้ ก็ึคงจะแย่น่าดู แฟนคุณเค้า ก็หวังดีกับคุณ อยากให้คุณมีบุญบารมีเยอะๆ เค้าก้หวังดี แล้วเรื่องพวกนี้ก็เล็กๆน้อย ผมว่าคุณทำๆตามไปอย่าน้อยๆก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย จากคุณ : ปีศาจตาเดียว เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 03:48:09

ความคิดเห็นที่ 25 ดักดาน จากคุณ : kraab เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 03:57:23 A:124.121.208.187 X: TicketID:211923

ความคิดเห็นที่ 26 - อยากสบายใจ ก็เลิก - ไม่อยากเลิก ก็ทำใจ จากคุณ : Ethan_Ko เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 04:01:49

ความคิดเห็นที่ 27 #12 เลิกกับแฟนเพราะเรื่องแบบนี้เหมือนกัน อยากได้แฟนเป็นนักวิทย์ไหม อะฮิอะฮิ จากคุณ : นายแสนดี  เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 04:01:50

ความคิดเห็นที่ 28 #26 คงไม่ถึงขั้นเลิกครับ แต่งงานกันแล้ว ถ้าไม่มีทางทำให้ลดลงได้ ก็คงต้องทำใจแบบที่หลายๆคนบอกครับ จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 04:08:49

ความคิดเห็นที่ 29 เราว่าเลี้ยงพระทั้งวัด กับช่วยหมาจรจัด อย่างหลังเราสบายใจกว่าค่ะ -_- เวลาทำบุญนี่ทำเพื่อความสบายใจ ดีกว่าทำเพื่อเมื่อเราทำแล้วจะได้ผลตอบแทนอะไรนะ จากคุณ : yongiee เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 04:10:19

ความคิดเห็นที่ 30 #28 งั้นคงต้องทำใจ แต่ให้มันมีความสุขครับ ถ้าการทำบุญที่แฟนต้องการ มันไม่ไปกระทบ (เดือดร้อน) ถึงเรื่องอื่น ๆที่สำคัญ เช่น การเงิน ,การงาน  ฯลฯ ก็ลองปรับเปลี่ยนมุมมองให้เป็น บาปบุญ ชาตินี้ชาติหน้า ฯลฯ วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ทำตาม ๆไปก็คงไม่เสียหลายอะไรทำนองนี้อะครับ ป.ล. อันนี้ส่วนตัว ลองแสร้งทำให้มันเว่อร์ ๆแบบมากกว่าแฟนคุณดูครับ (แกล้ง ๆทำนองต้องอดอยากเพื่อทำบุญ) เผื่อเธอจะฉุกคิดได้บ้่าง (แต่ถ้าเธอยิ่งชื่นชอบ อันนี้ก็รีบถอนตัวโดยเร็วอะเน้อ :) จากคุณ : Ethan_Ko เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 04:29:26

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าเป็นผม ผมจะพาเธอไปดูในพระไตรปิฏกให้มากกว่านี้ เน้นพระสูตรที่สำคัญๆ เช่น การไม่ถือมงคลตื่นข่าว การใตร่ตรองก่อนเชื่อ ลักษณะคนที่หลงผิดเพราะบุญ ถ้าสนใจเรื่องบุญก็ให้ไปดูพระสูจน์เกี่ยวกับการทำบุญที่ถูกไปเลยว่าทำอย่างไร จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 05:10:20

ความคิดเห็นที่ 32 ยกมือด้วยคนค่ะ ทุกวันนี้ประสาทจะกิน แต่เริ่มปรับตัว(เรานะที่ปรับ)ได้บ้างแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นแบบแฟนจขกทเปี๊ยบ ทำบุญแต่กับพระ พอตอนหลังพอเริ่มอัพเลเวลก็ทำบุญอย่างอื่นด้วย ทะเลาะกันทีก็บอกว่าเป็นเพราะเราไม่ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมถึงได้เป็นแบบนี้ หรือดูข่าวว่าใครไม่สบาย พิการหรือเคราะห์ร้าย พอเราบอกว่าสงสารเค้านะซวยจริงๆ เค้าก็จะเถียงว่าไม่ได้ซวยหรอกแต่เป็นเพราะทำกรรมไม่ดีมาชาติก่อนก็ต้องใช้กรรม(ถ้าพูดต่อหน้าคนคนนั้นสงสัยโดนเตะปาก)โอ๊ยย อยากจะบ้าวันละหลายรอบ เดี๋ยวนี้อัพเลเวลแล้ว หนักกว่าเดิม แต่เราเริ่มปรับตัวได้ เริ่มมีเข้าฌาน เปิดประตูมิติ นั่งสมาธิป้องกันภัยภิบัติ และเริ่มคิดว่าเราทำบาปเยอะในชาติก่อน ถ้าเราป่วยเช่นปวดเมื่อยก็จะบอกว่า ทำแต่เรื่องไว้ ไปทำบุญกรวดน้ำมั่งนะ ถ้าเราไม่เร่งปฏิบัติธรรมก็จะอยู่กับเค้าไม่ได้ แถมถ้าเกิดภัยพิบัติจะเราเป็นอันตรายอีก พูดตลอดเวลา พอจะเถียงก็พูดประมาณว่าจิตเราไม่ละเอียดเท่าเค้าเลยไม่เข้าใจ ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นก็หันมาบอกเราว่า เลิกทำชั่วได้แล้ว คนอื่นเค้าเดือดร้อน(งงวุ้ย) ก่อนกินอะไรก็ตามก็ต้องร่ายคาถาเพื่อล้างเศษกรรมในอาหาร(คิดดู แรกๆที่เห็นมันจะdisturbingแค่ไหน ยิ่งเวลาไปกินตามรา้น) และอื่นๆอีกมากมายที่เราไม่กล้าเล่า อยากจะกรี๊ดมาก แล้วหงุดหงิดตรงเถียงไม่ออกด้วยเพราะหลักธรรมอะไรที่เค้าอ้างมันก็มีอยู่จริง แต่อยู่ๆไปก็ชินละ ทำเป็นไม่สนใจ คิดซะว่า แปลกๆเรื่องนี้ดีกว่าเรื่องอื่น อย่างน้อยเค้าก็รู้จักบาปบุญคุณโทษ และช่วงหลังแม้จะหนักแต่ก็เค้าใจดีขึ้น เลยคิดซะว่าเค้ามาเป็นตัวทดสอบให้เราบำเพ็ญบารมี(ขันติ อุเบกขา ทำนองนั้น)ก็ดีเหมือนกันค่ะ ปล. อย่าแสร้งทำตัวเว่อร์แบบที่คห.30 เราเคยแล้ว โดนข้อหาว่าเราไปสาปเค่้าและใส่พิษ(ทางจิต)ในอาหารให้เค้ากิน งงเลย แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 05:28:54 จากคุณ : scarlett เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 05:25:41

ความคิดเห็นที่ 33 ...คุณอย่าใช้มุมมองแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นมุมมองแคบๆแบบมุมเดียวสองมุม ของคุณซี...ทำไมคุณไม่ลองเปิดมุมมอง ใช้มุมมองแบบอื่นๆบ้างละ ?  เช่น คุณอาจจะมองว่า  ..."อือมแบบนี้ก็เป็นโชคดีของตูข้าแล้วที่มีแฟนเคร่งศาสนาบ้าการทำบุญ นั่นหมายถึงแฟนเป็นคนใฝ่ดี  ถ้าไม่งั้นไปได้แฟนที่ไม่เป็นคนสนใจศาสนา ต่อไปเธออาจจะแอบไปมีชู้ หรือหลอกลวง หรือทำผิดศีลธรรมอื่นๆ เพราะพื้นฐานจิต ไม่ใฝ่ดี" ...  ทำไมคุณไม่ส่งเสริมเธอไปด้วยกัน ซึ่งที่เธอพูดมาก็ถูกทั้งนั้น... ...ถ้าคุณยังไม่เปลี่ยนแนวคิด ทัศนคติมุมมอง  คุณก็คือไอ้โง่คนหนึ่ง  ที่มีทองคำแท้ๆในมือ แต่ดันไปมองว่าเป็นอุจจาระ ซะงั้น .. ..ผมยังอยากได้แฟนแบบคุณสักคน หายากจริงๆ  ยกแฟนคุณให้ผมไหมละ?  ผมจะเอามาประคับประคองทะนุถนอมอย่างดีเลย แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 05:36:23 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 05:33:53 จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 05:32:52

ความคิดเห็นที่ 34 การทำบุญที่ดีก็คือไม่ต้องสนว่าบุญมากบุญน้อย ทำเรื่อยๆขอให้ทำ แต่ถ้าจะทำการใหญ่ไม่ทำกับเนื้อนาบุญคงไม่ได้ ตัวอย่างท่านที่ทำบุญเรื่อยๆตามกำลัง --- พระสีวลี ตัวอย่างท่านที่ทำบุญใหญ่กับเนื้อนาบุญ --- อดีตพระยามาร ให้ทานกับพระผู้มีศีลย่อมได้บุญมากกว่าผู้ไร้ศีล เพราะผู้มีศีลย่อมสร้างความร่มใจให้ผู้ให้ทานและผู้อื่น ถ้าทำทานเพราะหวังเพียงทรัพย์ บุญที่ได้ก็ย่อมแคบเพราะไม่เผื่อจิตไปยังผู้อื่น #๒๙ กรรมที่เอ่ยวาจาออกมาแล้วไม่ธรรมดานะนั่น สบายใจอย่างไหนก็ทำอย่างนั่นไม่ควรเปรียบเทียบ เจ้าของกระทู้ท่านทำทานไม่หวังบุญมากน้อยได้ครับ ผมสนับสนุน ถึงท่านอธิษฐานไม่เอาบุญท่านก็ได้บุญอยู่ดีเพราะบุญไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวๆจับต้องได้ การช่วยชีวิตสัตว์ที่ท่านทำเรียกว่าเมตตาธรรม ไม่ต้องไปสนว่าบุญจะมากน้อยหรอก เพราะโลกร่มรื่นด้วยศีลและเมตตา จากคุณ : กัมปนัม เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 05:59:57 A:125.26.215.34 X: TicketID:275953

ความคิดเห็นที่ 35 ฟังผ่านๆไปเถอะค่ะ ทำบุญอย่างที่คุณอยากทำ ถ้าเขาว่าอย่างไร ก็ไม่ต้องใส่ใจมาก ถ้าเขาบ่นไม่หยุด ก็บอกไปว่า ผมชอบทำของผมแบบนี้แหละ คุณชอบทำบุญอย่างไรก็ทำไป ไม่ว่ากัน จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 06:02:03

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเห็นใจ จขกท. ครับ เพราะ สถานการณ์ของเจ้า จขกท. กับสถานการณ์ของผม เหมือนกัน100เปอร์เซนต์ จากคุณ : p_warat (p_warat) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 06:37:13

ความคิดเห็นที่ 37 เขาแค่อยากให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นครับ สังเกตดูก็ได้ เขาคงไปไม่ได้ไปบอกเรื่องแบบนี้กับคนอื่นแบบพร่ำเพรื่อ ลองนั่งลงศึกษาเรื่องนี้ด้วยกันสิครับ แล้วจะเข้าใจบุญมากขึ้น เพราะบุญนั้นเป็นชื่อของความสุขนั่นเอง ส่วนที่แฟนจขกท.เขาเป็นนั้น อย่าเรียกว่าคลั่งศาสนาเลยครับ เรียกว่า ยึดบุญหรือบ้าบุญ จะถูกมากกว่า ในวิทย์ก็มี เรียกว่า บ้าวิทย์ ต้องพิสูจน์ ๆๆ ไหนหลักฐานๆ ไหนงานวิจัยๆ พวกนี้ไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก เพียงแต่ก่อความรำคาญเท่านั้น แต่เมื่อมองให้ดี เขามีแต่ความปรารถนาดีต่อเรา จึงพูดมากหน่อย จากคุณ : tiger18 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 06:57:30

ความคิดเห็นที่ 38 @1 จะบอกว่าศาสนา เชื่อไม่ได้อ่ะดิ จากคุณ : rasta-420 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 07:00:24

ความคิดเห็นที่ 39 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kawaka&month=10-2008&date=21&group=65&gblog=28 จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 07:15:10

ความคิดเห็นที่ 40 ผมแค่สงสัยนอกประเด็น เราใช้คำว่าแฟนแทนคำว่าภรรยาตั้งแต่เมื่อไร ถ้าเป็นผมคิดว่าถ้ายังไม่แต่งงานกันผมก็คงจะค่อยๆถอยห่างไปดูว่าจะไปกันได้หรือเปล่า ความคิดขัดแย้งทางศาสนาแบบนี้โอกาสพังมีค่อนข้างสูง เพราะคิดว่าคงจะอยู่กันยาก จะถอยยังทันถ้ายังไม่แต่งงานกัน ถ้าแต่งแล้วก็ตามสบายเลยครับ คงยากแล้วล่ะ เพิ่งรู้ตรง#28 love me love my dog ถ้าจะอยู่กับฉันเธอต้องทำตามคำสั่งฉัน แปลแบบนี้น่าจะใกล้เคียง จากคุณ : ชมรมคนรักหมา เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 07:44:57

ความคิดเห็นที่ 41 แต่เดิมผมเคยมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในความหมายของ "บุญ" และกรรมวิธีในการ "ทำบุญ" คิดว่าหากจะได้บุญต้องทำกับ วัด ทำกับ พระ เท่านั้น แต่เมื่อได้อ่านหนังสือ "ฉลาดทำบุญ" ของท่านพระชาย วรธัมโม และพระไพศาล วิสาโล    ทำให้ผมมีความเข้าใจมากขึ้น และมักจะแนะนำให้เพื่อนๆ ได้อ่าน ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นการสร้างบุญอย่างหนึ่งเช่นกัน ลองพิจารณาดูครับ http://www.komol.com/autopage/show_page.php?t=61&s_id=3&d_id=3 จากคุณ : มายากล เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 07:45:24

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าแบบนี้สงสารฝรั่ง... เกือบทั้งหมดไม่เคยทำบุญกับพระเลย จากคุณ : eumatee เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 07:57:09

ความคิดเห็นที่ 43 วันดีคืนดีในอนาคต...บ้าน-ที่ดินที่คุณผ่อนมาตลอดชีวิต อาจกลายเป็นของวัด ลูกเต้าอาจไม่มีที่อยู่ เนื่องจากกรรมเก่าของเขาแต่ชาติปางก่อนได้ครับ..ถ้ามีแม่บ้านบ้าบุญหนักแบบนี้ อันตรายจริงๆ ทำบุญเอาหน้าไม่ได้บุญนะครับ...ได้แค่ความซาบซ่าน(ที่ได้หน้า) แป๊บเดียว ยิ่งทำบุญแบบ โลภบุญด้วยแล้วน่าสงสาร...มีศาสนาก็เหมือนมียาพิษยิ่งเสพยิ่งเสื่อม. แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 09:26:10 จากคุณ : Salt Cat เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:00:42

ความคิดเห็นที่ 44 ทำบุญเพราะหวังบุญ เป็นการป้อนอาหารให้กิเลสของตัวเอง.. บาปนะนั่น ทำให้รู้จริงครับ หาพระไตรปิฏกมาอ่าน หาหลักธรรมมาอ่าน ทำให้รู้ให้ได้ว่า จุดประสงค์หลักของพระพุทธศาสนาไม่ใช่การทำบุญ แต่เป็นการปฏิบัติธรรม แล้วก้อ.. อยากให้เรียกคนประมาณนี้ว่า คลั่ง "เปลือก" ของศาสนามากกว่า จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:04:21

ความคิดเห็นที่ 45 แฟนคุณบ้าบุญจริงๆน่ะแหล่ะ  บอกเขาว่า บุญนี้เป็นของแปลก  ถ้าอยากได้ จิตจะมีความโลภ ทำให้ได้น้อย  ถ้าทำแล้วไม่อยากได้เลย  จะได้มาก   ก็ไม่แปลกนะ  เพราะคนพุทธส่วนมากในประเทศไทย  ทำบุญเพื่อจะได้บุญมากๆ  ตายไปจะได้ไปอยู่สวรรค์  หารู้ไม่ว่า  จิตที่มีโลภะมาก  จะส่งผลไปเกิดในอบายภูมิ จากคุณ : nuch_tre เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:06:03

ความคิดเห็นที่ 46 คืออ่านแล้วทำให้นึกถึงกระทู้นึงในเว็บเอ็มไทย(สมัยซักเมื่อห้าหกปีที่ผ่านมาเคยเล่นที่เว็บนั้น) มีคนมาตั้งกระทู้บ่นเรื่องที่แม่เค้าบ้าทำบุญ ถึงขนาดมีปัญหากับที่บ้านเพราะแม่บ้าบุญเอามาก ๆ จะหาทางขายที่ดินเพื่อไปทำบุญ ฝ่ายพ่อและลูก ๆ ต่างก็ไม่เห็นด้วย เลยเกิดปัญหาภายในครอบครัว ฟัง ๆ แล้วเหมือนกับการต้องการทำบุญของฝ่ายแม่แบบนี้คือต้องการ "ผลบุญ" มากเกินไปแบบนี้ก็คือ "กิเลส" ตัวนึงรึเปล่า แบบนี้ก็แสดงว่าปลงยังไม่ได้สิ ส่วนตัวแล้วมองว่าการทำบุญนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำที่วัดเท่านั้น เราทำบุญได้กับคนรอบ ๆ ตัวเรา แค่เราแบ่งปันความรู้สึกดี ๆ ให้คนรอบข้างก็น่าจะได้บุญ(ความสบายใจ)แล้ว การช่วยเหลือครอบครัว การบริจาคนั่นนี่ให้กับคนที่เค้าขาดแคลน คือทำสิ่งเหล่านี้แล้วได้ความสบายใจก็น่าจะหมายถึงการได้บุญนะ จากคุณ : JC2002 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:20:54

ความคิดเห็นที่ 47 บ้าบุญจริงหรือเปล่า ถ้าบ้าจริง บอกว่าทำทานได้บุญน้อยกว่า รักษาศีล รักษาศีล ได้บุญน้อยกว่า ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา พอปฏิบัติมาก ๆ ก็เข้าใจไปเอง แล้วจะเลิกนิสัยแบบนี้ไปเองครับ จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:29:10

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าแฟนคุณศึกษาศาสนาพุทธแบบถ่องแท้จริงๆ น่าจะรู้ว่า ทำทาน (ให้อาหาร ทรัพย์สิ่งของ) ไม่เกี่ยวกับปริมาณ แต่อยู่ที่คุณภาพ (ให้ผู้ที่ควรให้ ผู้รับบริสุทธิ์ ผู้ให้ตั้งใจบริสุทธิ์ สิ่งของได้มาอย่างบริสุทธิ์) แม้ว่าจะทำบุญกับพระผู้ใหญ่ ระดับเจ้าคณะ แต่หากพระรูปนั้น เป็นพระที่ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศัล ธรรม ก็อาจจะได้บุญน้อยกว่าทำกับคนจนที่ซื่อสัตย์ สุจริตอีก และผลของการทำทานนั้น ยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับผลของการทำบุญ ตั้งสมาธิ จากคุณ : [STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:30:28 A:27.130.202.1 X: TicketID:267882

ความคิดเห็นที่ 49 ผมจะถามแฟนกลับว่าเธอเคยศึกษาพระไตรปิฏกหมดแล้วเหรอ เป็นผม ผมอาจเลิกนะ ไม่ใช่อะไรหรอก ถ้ามีลูกแล้วเกิดเธอสอนลูกแบบนี้ ผมพูดอะไรไม่ได้อีก คงรู้สึกไม่ดีมากๆน่ะครับ จากคุณ : เคยตายมาแล้วเธอรู้ไว้เลย เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:30:49

ความคิดเห็นที่ 50 ถ้าเป็นผม... อยากได้แม่ของลูกที่ฉลาดหน่อยอะครับ เดี๋ยวลูกเราเกิดมา ก็อาจจะติดนิสัยแม่ยิ่งหนักไปใหญ่ ถ้าเป็นผม คงจะ... " เลิก..!!!!! "  หรือ... ไม่คบตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ แต่เรื่องความรัก... มันพูดยากส์... จากคุณ : คนสร้างภูเขา เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:33:26

ความคิดเห็นที่ 51 ถ้าทำเพื่อหวังบุญแสดงว่ายังมีกิเลสอยู่(มากด้วย) พระที่ไหนสอนมาให้หวังบุญแบบนี้ ก็เลิกนับถือได้ จากคุณ : ลาบราดอร์สีดำ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:36:33

ความคิดเห็นที่ 52 แฟนคุณคงเป็นพวก ศรัทธาจริต คือยังโง่มาก เชื่อไปหมด คุณลองศึกษา พุทธศาสนาสิครับ ไม่เชื่อต้องศึกษา แล้วคุณจะรู้เลยว่าที่แฟนคุณพูดมา ผิดหมด ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่คุณทำสมาะิสัก 10 นาที ได้บุญมากกว่า ถวายสังฆทานทั้งวัดอีกนะครับ ผมขอบอก ทำบุญด้วยการทำทาน เป็นแค่ 1% ในวิธีการสร้างบุญแค่นั้น คุณคุ้นๆกับคำว่า บุญกิริยาวัตถุ10 หรือเปล่าครับ นั่นแหละ ง่ายๆเลย บุญสร้างได้ดดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท แถมได้บุญมากกว่าพวกชอบบริจาคเสียอีก และบุญก็เป็นแค่เปลือกในพุทธศาสนา   พุทธศาสนา เป้าหมายอยู่ที่จิตอย่างเดียว ศีล บุญ ก็เปรียบเหมือนกับ ระเบียบของทหาร ที่บอกว่า ให้ตัดผมสั้น ให้โกนหนวด แค่นั้นเอง ปัจจุบัน คนไทยหลงกันเยอะ คือไม่รู้อะไรเลยในเรื่องพุทธศาสนา แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 08:41:26 จากคุณ : มังกรจักรวาล เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:40:01

ความคิดเห็นที่ 53 อะไรที่ตึงเกินไป หย่อนเกินไป ไม่ดีนะครับ ทำบุญกับพระ ถ้าพระดีก็แล้วไป แต่ถ้าพระที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ ทำกับคนธรรมดา ที่มีศีลยังได้มากกว่า จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:40:10

ความคิดเห็นที่ 54 ระวังทำบุญจนหมดตัวนะครับ อ่านดูแล้วแฟนคุณค่อนจะงมงาย ยึดมั่นถือมั่นในการทำบุญ แต่ไม่หมั่นทำกุศล ภาษาพระท่านว่า โง่ ในการที่มองไม่เห็นเรื่องถูกเรื่องควร หรือ สีลพตปรามาส ขออภัย ผมเชื่อว่าบุญไม่อาจวัดเปนปริมาณมากน้อยได้นะฮะ คนเราควรจะเลิกถือคำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กันนะ ผมว่าความหมายมันผิด แท้จริง พระท่านว่า ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว เช่นกันกับ ทำบุญ มิใช่ได้บุญ แต่ทำบุญ นั้น เปนบุญ จขกท ลองหาหนังสือ ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม ของท่านพุทธทาส ให้คุณแฟนอ่านสิครับ ซื้อไปวางๆ ไว้ทำว่าคุณสนใจอ่านก็ได้นะ เผื่อว่าเนื้อหาในหนังสือจะพอช่วยแก้ไขทัศนคติของเขาได้ จากคุณ : เหมียวออก้า (orcahappy) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:43:54

ความคิดเห็นที่ 55 บางคนชอบเล็กบางคนชอบใหญ่ ถ้าไม่เห็นตามกันก็อยู่กันไม่ได้หรอกครับ ผมว่าที่คุณจะบ้าตายเพราะคุณอีโก้จัดเกิน ทำนองไม่ว่าอะไรต้องเอาตามกรูทุกอย่าง ไม่สามารถรับฟังคนอื่นได้ ผมว่าสำรวจใจตัวเองดูให้ดี อาจจะช่วยได้ ไม่จำเป็นต้องทำบุญก็สบายใจได้ ถ้าหันมามองใจตัวเองบ้าง ปล่อยละวางความยึดมั่นลงบ้าง แล้วจะนอนหลับสบาย จากคุณ : spiderman เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:49:20 A:unknown X:110.168.104.195 TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 56 ทำตามที่ จขกท. คิดน่ะถูกต้องแล้ว ส่วนแฟนก็ปล่อยให้เขาคิดแบบนั้นถ้าเขามีความสุข ไม่เอารัดเอาเปรียบใครในสังคมก็พอแล้ว จากคุณ : rdo เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:54:56

ความคิดเห็นที่ 57 มีกิเลสในบุญ  อยากได้บุญ  อยากมีบุญเยอะๆ T T ปล่อยวางๆๆๆๆ จากคุณ : AIM-9X เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:17:34

ความคิดเห็นที่ 58 คุณลองทำงี้ดิ ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง คุณทำหน้าตื่นๆแต่ขรึมๆเดินไปบอกแฟนว่า เมื่อคืนเห็นพระองค์ใหญ่มากเดินเข้ามาหาแล้วเดินแทรกเข้ามาอยู่ในตัวคุณ พระองค์นั้นพูดก้องอยู่ในสมองคุณว่า คุณคือพระอรหันต์กลับชาติมาเกิดแต่ที่เกิดมาเป็นคนธรรมดาหลายภพชาติแล้วก็เพราะ สมัยที่เป็นพระนั้นคุณบ้าทำบุญเกินไป ขนาดยกวัดทั้งวัดของตัวเองให้วัดอื่นเพราะเชื่อว่าเป็นการทำบุญสูงสุด แต่เบื้องบนมองเห็นถึงความไม่พอดี ไม่เดินสายกลางของคุณ ซึ่งเป็นอันตรายและไม่ใช่วิธีที่จะพาไปสู่นิพพาน จึงได้ยุติชีวิตอรหันต์ของคุณไว้เมื่อหลายๆภพที่ผ่านมา สวรรค์ส่งคุณให้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้เรียนรู้การทำบุญที่พอดีพอประมาณ ทำบุญทีละน้อยๆสะสมไปเรื่อยๆเหมือนการก่อกองทรายให้เป็นเจดีย์ใหญ่ หากคุณตะบี้ตะบันทำบุญหนักๆ มากๆแล้วล่ะก็ คุณจะไม่มีวันได้กลับไปเป็นอรหันต์และจะไม่มีวันได้เห็นแม้แต่แสงเลือนๆส่องทางสู่นิพพาน ส่วนคนที่ชอบยั่วยุให้คุณทำบุญเยอะๆ พระใหญ่องค์ที่เข้ามาสถิตย์อยู่ในกายคุณท่านบอกว่า เป็นมารมาผจญ คุณก็แกล้งทำเป็นซึนเดเระว่า ไม่รู้ว่าที่ว่ามารผจญนั่น พระท่านหมายถึงใคร จากคุณ : หุ หุ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:18:30 A:114.181.194.161 X: TicketID:299625

ความคิดเห็นที่ 59 ผมก็เบื่อครับ, อยู่ประเทศไทยมีแต่พวก Anti วิทยาศาสตร์ เวลามีเรื่องอะไร ผมเห็นว่ามันผิดนะ มันไม่ดีนะผมก็เอาวิทยาศาสตร์เข้าไปอธิบาย อย่างช้าๆและสุภาพ ผมเน้นมากเรื่องความสุภาพในการแนะนำคนอื่น ผมก็กลายเป็นพวกขวางโลก ทั้งๆที่ผลสุดท้ายมันก็เป็นแบบที่ผมบอก จากคุณ : LordOfHero เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:23:39

ความคิดเห็นที่ 60 ลองพาไปหาพระที่มี logic ดี ๆ ซักองค์ไม้ครับ แล้วถามให้รู้จริงไปเลย จากคุณ : เหวเห้ว เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:31:33

ความคิดเห็นที่ 61 อาการ"งกบุญ" กำเริบ แก้ได้ด้วยการหาหนังสือนักธรรมตรี โท เอก มาอ่าน แต่ถ้าคนไข้เชื่อพ๊อคเก็ตบุ๊คมากกว่าก็จนใจ ที่เขาทำเรียกว่า "ทาน" ระดับของความดีที่จะได้ไล่จากน้อยไปหามาก ๑. ทานมัย คือ บุญที่เกิดจากการให้ทาน(สิ่งใดให้แล้วไม่คิดทวงคืน) ๒. ศีลมัย คือ บุญที่เกิดจากการรักษาศีล ให้ผลมากกว่าทาน สีเลนะ สุคะติง ยันติ.... หมายความว่า การรักษาศีลทำให้เกิดความสุข.... (เพราะไม่ได้เบียดเบียนใคร... ก็ไม่มีใครมาจองเวรจองกรรมเรา.. จึงเกิดเป็นความสุข) สีเลนะ  โภคะสัมปะทา ... หมายความว่า การรักษาศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ หรือทำให้มีทรัพย์นั่นเอง สิเลนะ  นิพพุติง  ยันติ ..... หมายความว่า การรักษาศีล เป็นหนทางให้เข้าสู่นิพพาน (ทั้งนี้เพราะการรักษาศีลเป็นฐานสำคัญในการที่จะบำเพ็ญภาวนา, มีสมถะ และวิปัสสนา, ใช้ปัญญาในการศึกษาวิจัยข้อธรรมอันเป็นหนทางสู่พระนิพพานนั่นเอง, ทั้งนี้ตัวศีลเองไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเข้าถึงนิพพานโดยตรง แต่ผู้ที่จะเข้าถึงนิพพาน จะต้องมีศีล) ตัสมา   สีลัง วิโสทะเย .... หมายความว่า ทุกคนควรรักษาศีล (บางทีพระท่านให้ศีล ๕ ท่านก็เพิ่มเติมว่า อย่างน้อยก็มีศีล ๕) http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4757351/Y4757351.html ๓. ภาวนามัย คือ บุญที่เกิดจากการเจริญภาวนา เจริญสติในมหาสติปัฏฐานสี่ ส่วนใหญ่เน้นแต่ทาน เพราะเป็นลาภสักการะ สองอย่างที่เหลือเป็นเรื่องของใจอยู่บ้านทำเองได้รวยยาก     คำว่า “บุญ” หมายถึง ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ใจ ธรรมชาติที่ชำระจิตใจให้สะอาดให้ผ่องใส มีผลได้แก่ความสุขที่เกิดทางใจ บุญเกิดได้หลายทาง บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ดังนี้     ๑. ทานมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ได้แก่ วัตถุสิ่งของให้ธรรมะเป็นทาน เรียกธรรมทาน, ให้อภัย เรียกอภัยทาน     ๒. ศีลมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ได้แก่ การปฏิบัติตามข้อห้ามตามที่ทรงบัญญัติในพระปาฏิโมกข์เพื่อกำจัดกิเลส     ๓. ภาวนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา ได้แก่ การปฏิบัติใจเพื่อกำจัดกิเลส แบ่งเป็น สมถะภาวนา และวิปัสสนาภาวนา     ๔. ไวยาวัจจมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือกิจการสงฆ์และภาระพระศาสนา     ๕. อปจายนะมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการมีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณและคนทั่วไป     ๖. ปัตติทานมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนบุญให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว     ๗. ปัตตานุโมทนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการแสดงอนุโมทนาในส่วนบุญร่วมกับผู้อื่น     ๘. ธัมมเทศนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม ได้แก่การอธิบายบรรยายธรรมะให้แก่ผู้ร่วมโลกที่ร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย     ๙. ธัมมัสสวนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม ได้แก่ การฟังธรรมและนำข้อธรรมมาประพฤติปฏิบัติให้พ้นทุกข์     ๑๐. ทิฏฐชุกัมม์ คือ การทำความเห็นให้ตรงเป็นสัมมาทิฏฐิเชื่อในธรรมและการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สร้างความดีไม่ยาก แต่ไม่รวย ไม่หรู และการบังคับใจทำยาก เรี่ยไรไม่ได้จึงเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:37:56

ความคิดเห็นที่ 62 แม่เราก็ชอบทำบุญมากๆๆ น่าเบื่อ ฟังทุกวันอะไรก็ไม่รู้ ไม่ล้างจานก็บาป อะไรก็บาป เถียงพ่อแม่ก็บาป น้องเราตื่นเช้าต้องไปไหว้ศาลพระภูมิ เจ้าแม่สารพัด ทั้งน้ำดง น้ำแดง ดอกไม้แดง ตุ๊กตา หมดเงินในส่วนนี้ไม่ใช่น้อย เรามองว่าในส่วนนี้ศาสนาพุทธสอนตรงไหน  แล้วก็ไปขอให้ถูกหวย พอวันหวยจะออกไม่ต้องทำอะไรกันแระ ถูกหวยมาเอาไปไหว้เจ้าแม่ต่อไป เราไม่ว่าคนที่เข้าถืงศาสนาพุทธจริงๆ แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังแยกไม่ออกกันไหนศาสนาอันไหนไสยศาสณ์ เรื่องงมงาย เอากลับมารวมกัน อย่างในกรณีของแม่กับน้องสาวเรา เลือกเชื่อที่จะเชื่อ ทั้งๆที่เอาหนังสือพุทธศานามาอ่านพระพุทธองค์ไม่ให้นับถือเจ้าแม่กาลี ไม่ให้งมงายในเรื่องนี้ แต่ก็ยังทำกันอยู่ เรามองแล้วเลือกที่จะเชื่อมากกว่า.. เราเลยกลายเป็นคนแตกแยก จะขนของออกจากบ้านสักวัน แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 13:35:41 จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:44:49

ความคิดเห็นที่ 63 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:45:56

ความคิดเห็นที่ 64 ผมเคยอ่านหนังสือที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันได้ทรงประพันธ์ไว้ถึงเรื่องบุญ (ถอดความมาจากพระไตรปิฎกอย่างที่แฟนคุณบอก) ถ้าแฟนคุณยังเชื่อถึงเรื่องของ "ปริมาณ" อันนั้น ไม่ได้บุญเลยแม้แต่น้อย หากคนที่ตั้งใจที่จะทำ หมายถึง กำหนดใจ ตั้งใจ แค่นั้นผลบุญยังได้มากกว่าคนที่ขายทรัพย์ทุกอย่างเพื่อทำบุญ ผมว่าแฟนคุณ จขกท คงไปฟังคำสอนมาไม่ครบ (มีการกล่าวถึงขอบเขตบุญแต่มีข้อความต่อจากนั้นมาอีก) แต่การทำบุญที่ได้บุญมากที่สุด คือเมื่อให้ทานซึ่งเป็นตัวตัดความโลภ ตัดความอยากในใจได้แล้ว เป็นแค่เบื้องต้น การถือศีลด้วยใจที่บริสุทธิ์ ทำให้ร่างกาย จิตใจเรา ถูกล้างออกจากอบาย (ทางเสื่อม) เพื่อเตรียมตัวทำขั้นต่อไป การภาวนา หรือทำสมาธิ แม้เพียงชั่วกระพริบตา ชั่วนกกระพือปีก หากเราบริสุทธิ์ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ยังได้บุญมากกว่า การที่เราทำบุญกับพระอรหันต์ทั้งโลกอีก ในรายของแฟน จขกท  เคยอ่านผ่านๆตาของอรรถกถาที่อธิบายเรื่องนี้ว่า คนที่ทำแต่ทาน คือการให้ทุกประเภท ไม่ว่าจะทำกับพระ ขอทาน ฯลฯ หากเกิดในภพภูมิต่อไป ก็มีกินมีใช้ แต่ไร้ซึ่ง บริวาร และปัญญา การทำบุญที่จะได้บุญจริงๆ คือการไม่หวังเอาบุญ (แบบ จขกท ) หากทำบุญเพื่อหวังผล เมื่อนั้นบุญก็เศร้าหมอง วัตถุทานหรือเงินทำบุญ หากได้มาไม่บริสุทธิ์ บุญนั้นก็เศร้าหมอง ถ้าเป็นคน กทม. แนะนำให้ไปหาประวัติวัดนึง (ถ้าจำชื่อไม่ผิดคือ วัดคณิกาผล ตอนนี้จะชื่ออะไรไม่รู้) ที่มีคนบริจาคสร้างวัดขึ้น แต่เงินที่ได้คือเงินที่เก็บมาจาก โสเภณี (เป็นแม่เล้านั่นเอง) ถามว่าคนที่สร้างวัดนั้นได้บุญหรือไม่ ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว (เรื่องนี้ลองหาอ่านได้ในหลายๆที่ รวมถึงประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)) คิดดูละกันนะครับว่า สร้างวัดเองทั้งวัด ยังไม่ได้บุญเลยสักนิด เพราะวัตถุทานไม่บริสุทธิ์ แต่แฟน จขกท  ทำบุญเพื่อหวังบุญ ใจก็ยังละโมบ ยังมีความโลภ มีกิเลส มันก็บุญเศร้าหมอง บุญที่ว่าได้เยอะแยะ มันไม่ได้หรอกครับ   "ถ้าตราบใดยังให้ด้วยความอยาก"   เขาไม่เรียกทำบุญครับ ปล. ขออนุญาตเพ้อเจ้อไปตามเรื่อง แต่ จขกท. ตั้งห้องผิดครับ ขออนุญาตแจ้งลบ จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:51:20

ความคิดเห็นที่ 65 ผมไม่ทราบว่าคุณแฟนของ จขกท. ได้ถูกเพื่อน ๆ ชักชวนเข้าลัทธิ ดีเอ็มซี หรือเปล่า ถ้าใช่ก็น่ากลัวมาก การทำบุญนั้น ตามหลักศาสนาพุทธในพระไตรปิฎก ระบุไว้เรื่องการทำบุญ และการได้อานิสงค์บุญไว้มากมาย ยกตัวอย่าง การทำบุญให้ สัตว์เดรัชฉาน ได้อานิสงค์น้อยกว่าการทำบุญกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป การทำบุญกับคนทั่ว ๆ ไปได้อานิสงค์น้อยกว่าทำบุญให้กับพระสงฆ์ การทำบุญกับพระสงค์ได้อานิสงค์น้อยกว่าการทำบุญให้กับพระอรหันต์ การทำบุญกับพระอรหันต์มีอานิสงค์น้อยกว่า การทำบุญกับบิดามารดา...อะไรทำนองนี้ ผมจำได้ไม่ค่อยหมดครับ ลืม ๆ ไปบ้างแล้ว คำว่าอานิสงค์ คือผลของบุญ แต่ไม่ใช่ว่าทำกับสัตว์ แล้วไม่ได้บุญ หรือบุญน้อย แต่ใช้คำว่า ได้อานิสงค์ คือการได้ผลของบุญน้อย ดังนั้น การทำบุญควรทำตามโอกาส มีโอกาสทำบุญกับสัตว์เราก็ทำ มีโอกาสทำบุญกับพระก็ทำ แต่ที่สำคัญ ต้องทำบุญกับบิดามารดา จะดีที่สุด ได้อานิสงค์มากมาย แม้แต่พระพุทธเจ้ายังยกย่องการทำบุญกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเลยครับ ขนมนมเนย ผลไม้ สมุนไพร อาหาร ข้าวของเครื่องใช้ที่บิดามารดาใช้ ก็ซื้อหาไปให้ท่านเถอะครับ ชีวิตนี้เรามีโอกาสทำบุญกับท่านไม่มาก จากคุณ : @==ไข่ดำ==@ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:51:46

ความคิดเห็นที่ 66 ปล่อยนก เป็นการทรมานมันมากกว่านะครับ ไม่ได้บุญเผลอๆได้บาป ก็เค้าจับมาให้คุณปล่อย แถมตัดปีกล่าง บินไปได้นิดหน่อย ก็ตก แล้วจับมาให้คนใจบุญปล่อยอีก  ถ้าอยากปลดปล่อยชีวิตให้สัตว์ คุณไปที่ตลาดสด ซื้อปลาเป็นๆแล้วเอาไปปล่อยในแหล่งน้ำที่ปลอดภัย เป็นการให้ชีวิตเป็นการปลดปล่อยชีวิตครับ ทำแล้วสบายใจ ว่ากันตามเหตุผล การทำบุญกับพระ ทำไมถึงดีกว่าทำบุญกับเพศอื่น เพราะพระเป็นเนื้อนาบุญ เป็นผู้ปฎิบัติเพื่อโน้มเข้าสู่นิพพาน การสนับสนุนจึงได้บุญมาก เทียบให้ชัดเจนกว่านั้น ถ้าคุณมีเงิน 10,000 บาท ต้องการให้ทุนกับใครซักคน ระหว่างเด็กเรียนดีความประพฤติดี กับ เด็กเกเร ไม่เอาเรียน ติดเที่ยวติดยา  ถ้าคุณให้กับเด็กคนแรก นอกจากจะเป็นการส่งเสริมคนดีแล้ว ก็เป็นการยืนยันได้ว่าการทำดีแล้วได้ดี เค้าได้รับสิ่งที่ดี เพื่อประโยชน์ต่อเค้าเอง คุณทำบุญกับเค้าคุณก็มีความสุขสบายใจ เพราะเชื่อว่าเค้าจะนำเงินทุนนั้นไปใช้ในทางที่ดี ที่เหมาะสม     แต่ถ้าคุณให้กับเด็กคนที่สอง คุณอาจจะต้องเก็บไปคิดอีกเยอะว่าเค้าจะนำทุนนั้นไปใช้ทำอะไร ถ้าเค้าเอาเงินต่อเงิน นำทุนไปซื้อปืนปล้นชาวบ้าน  เอาเงินไปซื้อยา มาขาย กลายเป็นเอเย่นน้อยๆ จนยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา คุณคิดว่าคุณได้บุญหรือบาป ? จากคุณ : false เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:59:05

ความคิดเห็นที่ 67 คนที่เข้าใจบาปบุญ กรรม ชาติหน้า จะไม่อยากเกิดใหม่หรอกครับ เพราะการเกิดใหม่หมายถึงเกิดมาใช้กรรม เท่านี้ก็รู้แล้วว่า แฟนคุณหลงอยู่กับความเชื่อผิดๆ เมื่อแต่งกันแล้วไม่อยากเลิก ก็ต้องหาแนวทางที่ถูกต้องให้เธอได้เห็น จะได้ปรับพฤติกรรม ความเชื่อที่มันเอียงๆอยู่ เคยฟังสัมภาษณ์เรื่องการนั่งสมาธิว่าไปนั่งทำไมนั่งแล้วดียังไง โดยพี่อ้อม สุนิสา กับอีกหลายท่านที่เป็นดารา (แต่ผมไม่รู้จักเพราะไม่ค่อยสนดารา) ฟังแล้วผมก็เอ้อ นี่แหละความสงบที่แท้จริง เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ทำไปทำไม ลองสืบดูนะครับว่าพี่เค้าไปวัดไหน ผมว่าช่วยได้แน่นอน จากคุณ : แมงแกลบ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 10:26:46

ความคิดเห็นที่ 68 แฟน คุณ บ้าศาสนา แต่ไม่เข้าใจ ศาสนาเลยสักนิด เข้าใจแต่สิ่งที่คนอื่นบอกมามากกว่า จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 10:47:50

ความคิดเห็นที่ 69 เรียน ท่านเจ้าของกระทู้ ที่นับถือ คุณเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้หรอก ต้องรอให้เขาหรือเธอเปลี่ยนเอง คุณเองก็ต้องระวังตัวอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ความเชื่อแปลกๆของผู้อื่นเข้าไปในสมองของคุณ เวลาที่ผมไปทำบุญ ทำทาน หมายความว่าผมไปเพื่อให้ ไม่ได้ไปเอา และผมไม่ได้อะไร พระสงฆ์ไม่ใช่ผู้แทนของพระพุทธเจ้า พระพุทธต่างหาก พระพุทธจึงถูกแยกออกไป ต่างหากจากพระสงฆ์ คนที่สามารถแสดงอัจฉริยภาพทางด้านพุทธศาสตร์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผมเท่านั้น ผมจึงจะเรียกว่าพระสงฆ์ จากคุณ : สุเชษฐ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 10:51:50 A:125.25.14.95 X: TicketID:303142

ความคิดเห็นที่ 70 1. การถวายสิ่งของแก่สงฆ์ ก็คือทานเหมือนกัน "หลาย" สำนักชอบสั่งสอนให้แบ่งแยก แยกว่าให้สัตว์ให้คนคือทาน ให้แก่สงฆ์คือบุญ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นแท้จริงก็คือทาน ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบแห่งบุญ ซึ่งเป็นขั้นต่ำที่สุด ต่ำกว่าศีล และภาวนา 2. ทานคือการสละ สละคือให้ ให้ไม่มีรับ ให้แบบหวังบุญ คือให้แบบหวังผล เพราะฉะนั้นจึงเป็นการแลกเปลี่ยน ไม่ใช่้การสละ ไม่ใช่ทาน และไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบุญ 3. การให้อะไร แบบหวังผล มันก็คือการก่อความโลภ เมื่อปล่อยให้ความอยากมีเข้าครอบงำได้ สติก็หมดลง จึงก่อให้เกิดความคิดชนิดว่ายิ่งทำยิ่งได้ เพราะอยากได้จึงทำ คิดว่ายิ่งทำมากยิ่งได้มาก จึงทำแบบทุ่มสุดตัว ขาดสติไตร่ตรอง จึงเกินพอดี สุดท้ายก็เป็นการเบียดเบียนตัวเอง เราเห็นกรอบวิธี และการดำเนินความคิดข้างต้นนี้ในหลาย ๆ ที่ ที่ชัดเจนที่สุด และสุดโต่งที่สุดก็คือวัดธรรมกาย เมื่อก่อนผมต่อต้านเขาอย่างมาก แต่ปัจจุบัน ผมพยายามวางเฉยแล้ว เพราะท้อแท้ ท้อแท้เพราะเห็นมากขึ้นว่า วันธรรมกายไม่ใช่วัดเดียวที่มีกรอบแนวคิดอย่างนั้น แต่เป็นแทบทุกวัด ลองมองอย่างละเอียดดูครับ จากคุณ : Capo เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 12:04:54

ความคิดเห็นที่ 71 ไม่รู้ว่า จขกท จะได้คำตอบหรือยังว่าควรจะทำอย่างไรดี มีหลายความเห็น หลายความคิดต่าง  จขกท จะได้คำตอบว่าอย่างไร ก็คงอยู่ที่ธรรมะในใจของจขกท.  ขอให้  จขกท. แก้ไขได้นะคะ  และขอให้เป็นทางที่ดีที่สุด ขอธรรมคุ้มครอง จากคุณ : guofang09 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 13:36:40

ความคิดเห็นที่ 72 ถอยเมียใหม่มาขับดีกว่า จากคุณ : เดินดงพงไพร (เดินดงพงไพร) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 13:38:21

ความคิดเห็นที่ 73 ขอโทษด้วยนะครับ ที่มาตั้งห้องนี้ เพราะผมคิดว่าห้องนี้น่าจะมีแนวคิดดีๆ ที่ผมเอาไปพูดกับแฟนให้เข้าใจมากขึ้น ผมค่อนข้างจะเป็นคนที่ถูกปลูกฝังมาว่า ผลที่ทำ = สิ่งที่ทำ / สิ่งที่หวัง หรือ ขอ ประกอบกับผมเป็นคนที่เคยลำบากมากมาก่อน ผมเลยเป็นคนที่ทำให้ทำบุญทำทาน โดยไม่หวังอะไร แต่แฟนเขาจะเป็นคนที่มีความเชื่อคนละแบบกันครับ จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 14:21:53

ความคิดเห็นที่ 74 เห็นด้วยกับ 37 41 48 61 67 แม่เราก็ชอบทำบุญนะมากด้วย ส่วนเราก็กลางๆ แต่ไม่ได้เคร่งครัดอะไร แต่เชื่อเรื่องของเวรกรรม และไม่กล้าทำอะไรชั่วสุดโต่งแน่นอน ไม่รู้สิ คิดง่ายๆแค่เรื่องของฐานะ รูปร่าง หน้าตา คนเราเกิดมาทำไมต่างกันล่ะ ถ้าไม่ใช่บุญกรรม อย่าบอกว่ากรรมพันธุ์ DNA ดี หรือโชคดีด้วยความบังเอิญเลย บางคนไม่คบ32 พิการแต่เกิด ส่วนนี้เราเชื่อว่าส่วนอ่ะ เพราะโชคชะตา วาสนา วิทยาศาตร์ก็พิสูจน์ไปได้เช่นกัน ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ธรรมะกับไศยศาสตร์ คนชอบเอามาปนกันทั้งที่มันคนละเรื่องเลยมองดูเป็นเเรื่องงมงาย จากคุณ : Much the same เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 54 11:12:06

ความคิดเห็นที่ 75 คุณเปลี่ยนใจตัวเองไม่ได้ฉันใด คุณก็เปลี่ยนใจแฟนคุณไม่ได้ฉันนั้นครับ ปล. ถ้ามีแฟนแบบนี้อยากลองตบเตือนสติซักเปรี้ยง เหอๆ จากคุณ : Darth Aiglatson เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 54 18:54:46

ความคิดเห็นที่ 76 ทำบุญหวังผล แปลว่าไม่ได้ทำด้วยใจผ่องใส ทำไปทำไม ? จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:52:25

ความคิดเห็นที่ 77 เรื่องใกล้ๆตัวเลย เรื่องนี้ เรื่องนี้เครียดมากมาย ยิ่งกว่าคุยการเมืองในบ้านอีก มีคนเคยบอกว่าเปลี่ยนคนอื่นยาก เปลี่ยนตัวเองง่ายกว่า แต่เราก็คิดว่าเรื่องนี้ก็ยากอยู่ เราเรางก ยังไงก็ต่างคนต่างทำละกัน ไม่่ต้องเอามาเปรียบ หรือบังคับ หรือออกคำสั่ง ก็พอใจแล้ว ทำตามที่พอใจ ตั้งใจเองดีกว่า ส่วนคนอื่น มันเรื่องของเขา เงินเขา ความตั้งใจเขา จากคุณ : น.ส.แสงแก้ว เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 12:48:16

ความคิดเห็นที่ 78 เอาของแฟนมาโพสต์ค่ะ ดิฉันเป็นแฟนเจ้าของกระทู้บังเอิญมาอ่านเจอค่ะ ไม่ต้องกังวลนะค่ะ ว่าจะทะเลาะกันหรือ ป่าว ไม่แน่นอนค่ะ เข้าใจสามีค่ะ ไม่โกรธสามีแน่นอน การที่ดิฉันทำบุญ ดิฉันไม่ได้หวังจำนวนหรือปริมาณนะค่ะ ดิฉันอยู่กับยาย ยายดิฉันเป็นคนชอบเข้าวัดเข้าวา แม่ดิฉันเป็นแม่ชีค่ะ การปลูกฝังของบ้านดิฉันคือ อยากให้รู้จักทำบุญ เกรงกลัวต่อบาป รู้จักแบ่งปัน เป็นคนดี แต่เมื่อฉันยังเด็ก เติบโตมากับครอบครัวคนจีนไม่ได้ร่ำรวยอะไร ยายไปไหนก็ต้องไปค่ะ ตื่นตี3ไปวัด บ้านอยู่ชลบุรี ไปวัดที่นครปฐม ก็ไปอย่างนี้ตลอด แต่พอดิฉันโตมาเรียนจบทำงาน กำลังทรัพย์ ในการทำบุญก็มากขึ้น มันเหมือนดิฉันได้แบ่งปัน ตู้บางตู้บริจาค ก็อาหารกลางวันเด็ก ดิฉันก็ใส่ค่ะ ไม่ใช่แค่อาหารพระ ถ้าทำแล้วไม่เดือดร้อน ดิฉันก็อยากให้ค่ะ ไม่ใช่แค่หวังบุยอย่างเดียว หมาจรจัดฉันก็ซื้ออาหารเป็นกระสอบไปให้ที่วัด ไม่ใช่แค่กับพระแน่นอน ไม่ใช่ หวังบุญ อะไรเหมือนที่ จกท.ทั้งหลายเข้าใจ ฉันเชื่อชาติหน้ามีจริง เราทำดีย่อมได้สิ่งดี อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้สร้างภาระอะไรให้กับสังคม ดิฉันไม่ได้ทำบุญแค่เงินค่ะ ฉันสวดมนต์แทบทุกคืน เดี๋ยวพวกคุณจะว่าฉันบ้าอีก แต่รู้มั้ยค่ะ บุญช่วยอะไรฉันได้บ้าง เมื่อตอนที่ฉันเรียนนิติศาตร์ เวลาอ่านหนังสือ ฉันจะนั่งสมาธิก่อน เมื่อมีสมาธิฉันก็จะอ่านท่องจำได้ง่าย อีกอย่างทำให้ฉันมีสติอยู่ตลอดค่ะ ฉันกับสามีเราถึงไม่ค่อยทะเลาะกัน พระสอนให้เรามีสติรู้เท่าทันอารมณ์ พอเกิดปัญหาฉันก็จะนิ่งค่ะ โพสต์ถามสามีได้เลยค่ะ และ บุญ การสวดมนต์ ทำให้มนุษย์อย่างฉันที่มีกิเลส จากใจร้อน มีความใจเย็นและสบายใจค่ะถ้าดิฉันไม่มาทางบุญ คงทะเลาะเลิกกันไปนานแล้วค่ะ เพราะสามีค่อนข้างใจร้อนมาก สามีอ่อนกว่าดิฉัน 3 ปีนะค่ะ เมื่อเค้าทำผิด ดิฉันก็ให้อภัยตลอด เนี่ยเพราะฉันบ้าบุญนะค่ะ  ดิฉันไม่เคยเอาเรื่องมาเดือดร้อนสามีหรือ ทำบุญจนสามีเดือดร้อน ฉันทำในส่วนของฉันค่ะ ไม่ได้ทิ้งพ่อ แม่ ยาย แล้วทำบุญ กับพระค่ะ ขณะทำดิฉันมีสติสัมปะชัญญะครบแน่นอนค่ะ ที่ประเด็นก็วันเกิดสามีค่ะ 365 วัน มี 3 วันค่ะ ที่ดิฉันอยากทำบุญใหญ่ค่ะ คือ วันเกิด สามี วันเกิด ดิฉัน แล้วก็ วันปีใหม่ เพราะดิฉันกับแฟนไม่ค่อยได้ใส่บาตรพระเลยค่ะ จะทำก็ 3 นั้น แต่ไม่ทำดิฉันไม่ได้บังคับคุณแฟนนะค่ะ เพราะไม่สามารถบังคับได้ค่ะ  ที่ผ่านมาก็พา เจ้าของกระทู้ คือ คุณแฟนไปปล่อยเต่า7ตัวมาค่ะ เหมาที่ตลาดค่ะ โดยที่ดิฉันไม่พูดว่า อย่าปล่อยเลยสักคำ ก็ช่วยทำบุญไป200 บาทค่ะดิฉันก็ยินดีเสมอ แล้วการอธิฐานเทำบุญหรือเวลาสวดมนต์ยาวๆของดิฉันทุกคืน ดิฉันอธิฐานจริงค่ะ ขอจริง ไม่ได้หวังว่าต้องได้นี่ค่ะ เพราะถ้าหวัง คงนอนรอแต่บุญแล้วค่ะ ส่วนใหญ่การขอของดิฉันก็คือ ฉันไม่สบายใจในเรื่องใด ก็ขอให้ผ่านไปด้วยดี ใครคิดร้ายก้อขอให้เค้ามาเป็นมิตรที่ดีกับเรา ไม่ได้ขอให้บุญทวีคูณ อย่างนั้นฉันบ้าแล้วค่ะ ต้องมารอฟังค่ะว่าดิฉันขออะไร ขอให้คนอื่นมากกว่าตัวเองอีกค่ะ ขอให้การงานของแฟนอย่าได้มีอุปสรรค ขอให้แฟนคิดดีทำดี ให้พ่อให้แม่ ให้ครอบครัว ไม่ได้โอ้อวดค่ะ ไม่ได้ว่าตัวเองดี แต่เมื่อฉันทำดี ฉันอยากขอให้คนที่ฉันรักดีด้วย ได้บุญด้วยเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้ขอให้รวยขึ้น หรือยิ่งทำยิ่งได้ แค่ทำแล้วมีความสุข อยากทำอยากให้  ไม่ได้ไปเล่นการพนัน ก็ดีแล้วค่ะ กระทู้นี้ดิฉันโพสต์โดยที่ไม่ได้ติดใจเพื่อนๆคนใด เพราะที่พิมพ์เพราะว่าเพื่อนๆบางคนบอกให้เลิก ตัดใจ หรือ ตบปาก คนเราต่างความ คิด ต่างจิตใจ มันก็แตกต่างกันได้ค่ะ แต่สิ่งที่ดิฉันทำถึงแม้จะงมงาย ก็ไม่ได้ทำให้เดือนร้อน ก็เป็นสิ่งที่ดีใช่มั้ยค่ะ หน้าที่ภรรยา ฉัน ก็ไม่บกพร่องสักนิดเดียว การดูแลครอบครัวหรือสามี มันเป็นอันดับหนึ่งในใจ ดิฉันอยู่แล้วค่ะ เพราะดิฉันรู้บทบาทในชีวิตมนุษย์ค่ะ ว่ายืนอยู่จุดไหนทำอะไรอยู่  ขอบคุณมากค่ะสำหรับหลายๆกระทู้ค่ะ แล้วดิฉันก็จะหาพระไตรปิฎกมาอ่านค่ะ  (หากไม่เหมาะสมก็สามารถลบได้เลยค่ะ) จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 21:20:45

ความคิดเห็นที่ 79 เอาLogin เจ้าของกระทู้ มาโพสต์ ค่ะ ขอบคุณเจ้ากระทู้ 33 มากนะค่ะ ที่เข้าใจค่ะ ในความคิดที่ต่างมุมของดิฉัน ค่ะ แล้วขอตอบกระทู้ที่ 50 นะค่ะ ว่าถ้าดิฉันเป็นแม่ที่โง่ แต่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็คงดีกว่า แม่ที่ฉลาด แต่ จิตใจต่ำทรามนะค่ะ ถ้าสามีดิฉันเลิกเพราะเรื่องนี้ ตามคุณว่า ดิฉันคงไม่โกรธ แล้ว ก็ปลงค่่ะ เพราะ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน พ่อแม่ที่รักจะตาย วันที่ท่านจะจากไปเรายังรั้งไว้ไม่ได้ ดิฉันจะเข้าใจด้วยค่ะ ว่าไปด้วยกันไม่ได้ ดิฉันยอมหย่าให้สามี ได้เป็นอิสระ แล้วก็หาคนที่เหมาะสมกับเค้าได้ แต่ถ้าสามีดิฉันเป็นอย่างเจ้ากระทู้ 50 อย่าว่าแต่คบเลยค่ะ แค่หน้าคุณดิฉันยังไม่เหลียวเลยค่ะ ขอให้คุณได้ภรรยาที่ฉลาดกว่าดิฉันนะค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : moonoiz เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 21:43:51