ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าตอบตามที่ผมถูกสั่งสอนฝังใส่หัวมาตั้งแต่กำเนิด ตามค่านิยมจารีตประเพณีทัศนคติความเชื่อ ตามกรอบของสังคมที่ผม อยู่ในปัจจุบันก็คงจะตอบว่า "ผมเชื่อ" ถ้าตอบตามความรู้สึกส่วนบุคคลไม่อิงกรอบใดๆ ทางสังคมที่กักขังความคิดเอาไว้ ก็คงบอกว่า "ผมไม่เชื่อ" จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 23:56:14

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่เชื่อ ครับ อีกอย่างผมคิดว่ามันไร้สาระเลยด้วยซ้ำ จากคุณ : Unloveable_oOm เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 23:59:12

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่เชื่อ  เเต่อยากให้มี จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:01:47

ความคิดเห็นที่ 4 คห. 3 อยากให้มีเนื้อคู่ หรืออยากให้มีชาติหน้าคับ อิอิ จากคุณ : Que :-> เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:04:39

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่เชื่อ.. ต่อให้เชื่อก็ไม่เชื่อ.. ฟังแล้วงงมั้ย? ในเมื่อ ชาตินี้จำไม่ได้ว่าชาติที่แล้วเราทำอะไรไว้ ชาตินี้ เราก็ไม่มีสิทธิรู้ว่า ชาติหน้าเราเป็นอะไร หรือพูดง่ายๆ ว่า ไม่มีการสื่อสารกันระหว่างชาติ.. แล้วเราจะทำเพื่อชาติหน้าไปทำไมกัน เราในชาติหน้าได้ดีหรือเลวร้าย เราในชาตินี้ก็ไม่ได้ไปรู้สึกด้วยซะหน่อย ต่อให้เกิดในชาติไทยเหมือนกันก็เถอะ ปล. ถ้าอ่านแล้วไม่งงก็เก่งแล้วหล่ะ ^^" จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:05:29

ความคิดเห็นที่ 6 ข้างบน ผมไม่งงครับ แต่ก็อธิบายไม่ได้ อิอิ จากคุณ : กัดเค้าทำไม เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:08:10

ความคิดเห็นที่ 7 ทำชาตินี้ให้ดีทุกสุด ชาติหน้าอย่าไปสนใจ เพราะ มันไม่รู้จะเกิดเหรือ เปล่า คำต้องห้ามของผม ห้ามพูดว่า "ชาติก่อนเราไม่มีบุญที่จะทำมันหลอก"  ครับ จากคุณ : takpiboon เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:10:14

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่เชื่อครับ ไม่เชื่อเรื่องบาปเรื่องกรรมเก่าด้วย สมมติว่าวันนึงมีคนแก่เอาไม้เท้ามาฟวดหัวคุณ แล้วบอกคุณว่า ปู่เอ็งเคยต่อยข้าเมื่อนานมาแล้ว คุณจะยอมรับได้ไหมล่ะ จากคุณ : อัศเจรีย์ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:11:20

ความคิดเห็นที่ 9 ให้ตายก็ไม่เชื่อ จากคุณ : pipek (yukraider) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:15:26

ความคิดเห็นที่ 10 ผมเชื่อคับ จากคุณ : โมกหลวงสีชมพู เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:16:33

ความคิดเห็นที่ 11 อ้อ.. เคยมีคนบอกว่า ต้องเอาไม้ไปตีหัวคนแก่อายุ 90 ชาติหน้า จะได้มีคนเอาไม้มาตีหัวเราตอนอายุ 90 ด้วย ^^" ปล. ถ้าไม่เหมาะสม.. ขอโทษคร้าบ จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:17:10

ความคิดเห็นที่ 12 พลังงานบางอยางเราก้อมองไม่เห็น ถ้าเราเชื่อแค่ประสาททั้ง 5 ของเราเราก้อ จะตอบว่าไม่เชื่อ เพราะเราสร้างกรอบแคบๆขึ้นมาเอง อย่าคิดว่ามนุษย์คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่าเอาตัสเองเป็นจุดศูนย์กลาง เหนือฟ้ายังมีฟ้า ถามหน่อยถ้าไม่มีเราพระจันทร์จะเป็นแบบนี้ไหม ตอบคือ ไม่เป็น เพราะเรามองด้วยตาของเรามันจิงเป็นแบบนี้ จากคุณ : มะแย คับ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:18:45 A:124.121.74.101 X: TicketID:301600

ความคิดเห็นที่ 13 มีคำสอนคำนึงที่ผมชอบมาก คือ ถ้าอยากรู้ว่าชาติที่แล้วเราเป็นยังไง ให้ดูที่ชาตินี้ และถ้าอยากรู้ว่าชาติหน้าเราจะเป็นเช่นไร ก็ให้ดูที่ชาตินี้ อีกเช่นเคย จากคุณ : บ่าวบ้านบาก เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:20:37

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่รู้ซิคะ  แต่เห็นเค้าชอบสัญญาว่าจะทำตาม ช่วง ชาติหน้าตอนบ่ายๆ   จากคุณ : Himawari_Chang เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:25:21

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่คิดว่าชาติหน้ามีจริง... แต่คิดว่าเป็นแค่กุศโลบายให้คนทำดีในชาตินี้...ของนักปกครองหรือนักปรัชญา ซึ่งหากทุกคนคิดว่าตายแล้วดับสูญ...คนจะไม่เกรงกลัวต่อบาป ทำให้ควบคุมชุมชน สังคมได้ยาก จากคุณ : รักเธอเพราะเธอน่ารัก เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:27:46

ความคิดเห็นที่ 16 อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย อจินไตย http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000006&bid=27&title=%CD%A8%D4%B9%E4%B5%C2%A4%D7%CD%CD%D0%E4%C3&keyword= จากคุณ : มะแย คับ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:27:49 A:124.121.74.101 X: TicketID:301600

ความคิดเห็นที่ 17 เดี๋ยวผมขอลองก่อนนะครับ ได้ยังไงเดี๋ยวมาโพสบอก จากคุณ : หัวโตนะ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:33:27

ความคิดเห็นที่ 18 - ถ้าชาติหน้าและการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ก็ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ถ้าวิญญาณมาจริงและไม่ดับสูญก็ขัดเต็มๆ งี้เราทุกคนก็มีวิญญาณอมตะน่่ะสิ - คำถามนะครับ ชาตินี้คุณโดนต่อย แปลว่าชาติที่แล้วเราไปต่อยเขา หรือเขาเพิ่งมาต่อยคุณในชาตินี้เป็นการเริ่มต้นกรรม งงมะครับ จากคุณ : Moonui เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:37:08

ความคิดเห็นที่ 19 ค.ศ. 1500 Mr. A: วันหนึ่งมนุษย์ที่อยู่คนละซีกโลกจะพูดคุยโต้ตอบกันได้แบบ real time Mr. B: ไอ้บ้า เป็นไปไม่ได้ คนอยู่กันคนละซีกโลกจะคุยกันได้ไง ------------------------------------------ ตอบเรื่องที่เจ้าของกระทู้ถาม รอให้มนุษย์มีความเข้าใจเรื่องมิติของเวลามากกว่านี้ ความจริงจะค่อยๆ เปิดเผยเองว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ส่วนคนที่ชอบสรุปฟันธงไปก่อนด้วยประสบการณ์เชิงประจักษ์ของตนเอง ก็งมงายในกระพี้ของวิทยาศาสตร์กันต่อไป ตัวเนื้อวิทยาศาสตร์แท้เริ่มจากวิธีคิด ที่ต้องมีเหตุผล มีการพิสูจน์ทดลองมารองรับข้อสรุปหรือฟันธงนั้นๆ ประสบการณ์ของปัจเจกบุคคลทำให้ดวงตาของคนมืดบอด บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ แต่นั่นหาใช่การคิดแบบวิทยาศาสตร์ไม่ จากคุณ : ผู้มาก่อนกาล เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:37:46 A:74.208.16.163 X: TicketID:315309

ความคิดเห็นที่ 20 ผมค่อนข้างเชื่อนะ แต่ขอให้มันอย่ามีเลย อยากให้มันเป็นแบบ คห 15 จากคุณ : Ice_Maiden เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:38:33

ความคิดเห็นที่ 21 อ๋อ อยากให้มีชาติหน้าค่ะ มันเหมือนว่า  Game  over   แล้วยังกลับมาเล่นใหม่ได้อีก จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:38:58

ความคิดเห็นที่ 22 พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เวลาเราที่เราเชื่ออะไรอย่างหนึ่ง เหตุผลที่จะรองรับความเชื่อนั้นมี 5 อย่าง คือ 1. เชื่อเพราะศรัทธา 2. เชื่อเพราะเราชอบใจ 3. เชื่อเพราะใคร ๆ เขาก็เชื่อกันแบบนั้น 4. เชื่อเพราะมันสอดคล้องกับความคิดที่มีมาแต่เดิมของเรา 5. เชื่อเพราะเราได้วิเคราะห์ถ้วนถี่ทุกแง่ทุกมุมแล้ว แต่เรายังไม่สามารถหาอะไรมาคัดค้านหรือหักล้างความเชื่อนั้นได้ แต่สิ่งที่เรากำลังเชื่ออยู่ มันมีความเป็นไปได้ 2 ประการ คือ เป็นจริง หรือ ไม่เป็นจริง หากเราต้องการรักษาความจริง(เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าพูดแต่ความจริง) เราไม่ควรจะไปตัดสินอย่างลงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งนั้นไม่จริง เพราะถ้าหากความจริงมันตรงข้ามกับความเชื่อของเรา เราก็จะได้ไม่ชื่อว่าเป็นคนโกหก ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่า การรักษาสัจจะ? ตอบ  เราเชื่ออย่างไร ก็บอกไปตามตรงว่า เราเชื่อแบบนี้ ด้วยเหตุผลนี้ แต่อย่าไปตัดสินว่า สิ่งที่เราเชื่อเท่านั้นจริง ความเชื่ออย่างอื่นเป็นเท็จ นอกจากนี้ยังมีแนวทางของ การรู้สัจจะ(รู้ว่ามะม่วงมีรสชาติอย่างไร) และการบรรลุสัจจะ(ได้ชิมมะม่วงนั้นแล้ว) หากสนในสามารถอ่านต่อได้ที่ อ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=10194&Z=10534&pagebreak=0 ======================================================== ลองพิจารณากันเอาเองว่ามันจริงอย่างที่ท่านกล่าวไว้หรือไม่ ส่วนตัวผมคิดว่าจริงตามนี้นะครับ ถ้าพิจารณาดีๆ นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษะสัจจะตามนัยแห่งคำสอนนี้ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 01:35:03 จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:48:31

ความคิดเห็นที่ 23 เราเชื่อว่า"ชาติหน้า"ก็คือ"ชาตินี้" งงไหมค่ะ? คือเราเชื่อว่าพอเราตายแล้วเราอาจจะไปเกิดใหม่นั้นคือชาติหน้าใช่ไหม? ทั้งที่มันก็คือต่อจากชาตินี้ เช่น นายA ตายวันนี้ ไปเกิดใหม่พรุ่งนี้ที่ใหม่ในโลกในเดิม นายA ก็แค่เกิดในชาติปัจจุบัน แต่มีตัวตนใหม่ นิสัยใหม่ เราเชื่อแบบนั้น จากคุณ : Piccalo_koz เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:51:38

ความคิดเห็นที่ 24 ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะเชื่อดีหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมต้องการให้มันเกิดขึ้นคือ อยากให้คนเราเชื่อว่าผลของกรรมรับผลในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า คนเราจะได้คิดชั่วๆ ทำชั่วๆ น้อยลง โดยเฉพาะนักการเมืองไทย จากคุณ : NMT@STUT เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:53:09

ความคิดเห็นที่ 25 มีไม่มี ไม่รู้สิ แต่ชาตินี้ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใครก็พอแล้ว จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:53:38

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่เชื่อ ไม่รู้... ไม่อยากจะคิด กลัวชาตินี้ทำไม่ดี ชาติหน้าจะไม่ได้ดี บางครั้ง ก็อยากจะเชื่อบ้าง ในสิ่งที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ในความรู้สึกลึกๆ ก็คิดว่า มันมีอยู่จริง จากคุณ : นราธิศคับ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:54:05

ความคิดเห็นที่ 27 ชาติหน้า .... ไม่เชื่อ แต่ถ้า ลาดหน้า ....... อร่อยครับ จากคุณ : evillcore เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:54:52

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่ครับ ไม่เลยซักนิด เอาเข้าจริงจะมีหรือไม่มีก็มีผลเหมือนไม่มีอยู่ดี ที่ผมอยากให้มีคือ save point มากกว่าครับ 55+ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 00:56:32

ความคิดเห็นที่ 29 #18 อัตตา คือ สิ่งที่มีลักษณะคงที่ แสดงถึงความไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา สิ่งที่ตรงข้ามกับอัตตาคือ นัตถิตา คือ สิ่งต่าง ๆ ล้วนมายาไม่มีอยู่จริง หลักอนัตตาคือ สิ่งตรงกลางระหว่าง 2 ความเชื่อนี้ ==================================== สิ่งต่าง ๆ มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดำรงอยู่ภายใต้กฎ อิทัปปัจจัยตา ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ อ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=7520&Z=7533&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=1812&Z=1883#154 แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 01:11:30 แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 01:09:35 จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 01:00:07

ความคิดเห็นที่ 30 คนที่เชื่อ ไม่ว่าจะเอาหลักฐานมาเสนอยังไงก็เชื่อว่ามี คนที่ไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเอาหลักฐานมาเสนอยังไงก็เชื่อว่าไม่มี ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดว่ามีหรือไม่มียังไง ปล จากที่เราอ่านและตีความหมายของคห 19 และ 22 คห 19 พูดในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่แกลับแฝงถึงความงมงายกว่าใครเพื่อน ส่วนคห 22 พูดในเชิงศาสนา แต่กลับแฝงความวิทยาศาสตร์กว่าใครเพื่อน แปลกดีเหมือนกัน จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 01:00:23

ความคิดเห็นที่ 31 ส่วนตัวไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า ชาติที่แล้วครับ ตายแล้วก็ดับไป แต่เวลาอ่านข่าว สมมติว่า คนร้ายปล้นฆ่าข่มขืนคนตาย30ศพ แล้วถูกวิสามัญโป้งเดียวที่หัว ก็เริ่มรู้สึกว่ามันดูไม่ยุติธรรมเลยในสิ่งที่คนร้ายทำให้คนอื่นทรมานอย่างมาก แต่ตัวเองจบชีวิตอย่างรวดเร็ว ง่ายดาย ไม่ทรมาน คนที่ทำดีดูจะเสียเปรียบคนที่ทำเลวมากๆครับ ทำดีอาจต้องลำบาก โดนคนไม่ดีทำร้าย แต่บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่เป็นปกติของการใช้ชีวิตก็ได้ จากคุณ : BoAtGiggs เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 01:09:11

ความคิดเห็นที่ 32 ไม่เชื่อครับ ทั้ง 2 เรื่อง จนกว่าจะมีทฤษฎีที่มีหลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่นยากที่จะปฏิเสธ มาอธิบายเรื่องนี้ จากคุณ : ผลึกความคิด เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 01:12:20

ความคิดเห็นที่ 33 ชาติหน้า แบบไหนล่ะครับ ถ้าแบบ พุทธ คือ 1 ขณะมีเกิดดับไปแล้ว 17 ชาติ อันนี้เห็นๆอยู่ครับ (ถ้าตั้งใจดู) แบบ พราหมณ์ ร่างกายตาย แล้วมีวิญญาณไปเกิด เป็น อีกชาติ อันนี้ไม่ทราบครับ และ ไม่ค่อยเชื่อ ผมเป็นพุทธ ที่เรียนจากบาลี มากกว่า แปลไทย น่ะครับ จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 01:18:28

ความคิดเห็นที่ 34 เชื่อรึเปล่าครับว่าเนื้อคู่กัน ได้ถูกกำหนดมาแล้ว ตอบว่า แล้วแต่กรณี ๆ ไป ============================================= ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ พอเห็นกันเข้าก็เฉยๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้าก็เลื่อมใส. ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงเหตุแห่งความรักแก่ภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :- ความรักนั้นย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุสองประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑  (เจ้าของความเห็นคิดว่าเป็นที่มาของความเชื่อเรือง บุพเพสันนิวาส) ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑ เหมือนดอกอุบลเมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุสองประการ คือน้ำและเปือกตม ฉะนั้น. อ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=323 แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 02:12:22 จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 01:25:30

ความคิดเห็นที่ 35 หลัก ๆ ก็คิดตาม #15 ตายไป ถ้าถูกเผาก็เป็นขี้เถ้า ถ้าเอาไปฝังก็เป็นคนเน่า ๆ ให้หนอน ให้ใส้เดือนกิน ผมเห็นแค่นี้แหละ : ) จากคุณ : SuicideJumper เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 02:13:01

ความคิดเห็นที่ 36 #30     คนที่เชื่อ ไม่ว่าจะเอาหลักฐานมาเสนอยังไงก็เชื่อว่ามี คนที่ไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเอาหลักฐานมาเสนอยังไงก็เชื่อว่าไม่มี ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดว่ามีหรือไม่มียังไง จะว่าไป ความเห็นแบบนี้ก็งมงายนะครับ คนที่เปลี่ยนใจเพราะหลักฐานมีเยอะมาก โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ครับ อย่าเอาตัวเองตัดสินคนอื่นสิครับ จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 02:19:51

ความคิดเห็นที่ 37 เชื่อตอนเห็นโฮปเวลนี่แหล่ะ จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 02:23:14

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่มีชาติหน้า แต่เชื่อว่าคงวนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง  เพราะความรู้สึกแต่ละครั้งเหมือนเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้นเลย จากคุณ : กะเพราหมูไข่ดาว_ชาดำเย็นแก้ว เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 03:25:06

ความคิดเห็นที่ 39 เนื่องจากข้อเท็จจริงของเรื่องนี้เกินหลักของประจักษ์เหตุผลจะไปพิสูจน์สรุปได้ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง แต่ขณะเดียวกันหลักของประจักษ์เหตุผลเช่นวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ปฏิเสธหลักของตรรกะเหตุผลเช่นคณิตศาสตร์เสียทีเดียว แม้จะยังไม่อาจพิสูจน์ความมีอยู่ของสภาพศูนย์หรืออนันต์สิ้นเชิง,ลิมิตเข้าสู่สภาพอนันต์,จินตภาพ ฯลฯ ให้เป็นที่ประจักษ์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ตาม และนอกจากหลักตรรกะเหตุผลทางคณิตศาสตร์แล้ว จะมีหลักเชิงตรรกะ หรือปรัชญาเหตุผล หรืออาจมีหลักสัจธรรมสัมบูรณ์แท้จริง อื่นใด ที่สามารถเป็นหลักอ้างอิงหรือชี้แนวทางข้อเท็จจริงแก่วิทยาศาสตร์ได้บ้างหรือไม่ ? นับเป็นเหตุผลที่ท้าทายความจริงเช่นกัน โดยในที่นี้ถ้าอิงตามหลักสัจธรรมทางศาสนาเช่นไตรลักษณ์,ปฏิจจสมุปบาท จะเป็นเหตุผลที่ชี้ไว้ว่าการเกิดของชีวิตทั้งปวงล้วนเป็นไปสู่ทุกข์น้อยใหญ่แล้วสิ้นชีวิตลงตามกาลเวลาสถานที่ต่างๆเสมอ  แต่ทั้งนี้ความมีอยู่ของสรรพสิ่งล้วนต้องเป็นความมีอยู่ตามการรับรู้หรือล่วงรู้เหตุผลความมีอยู่ต่างๆโดยสิ่งมีชีวิตเสมอ ดังนั้นถ้าทุกชีวิตตายแล้วสูญ (ไม่อาจรับรู้ความมีอยู่ใดได้อีก)   ข้อ 1. จะเป็นตรรกะเหตุผลที่ชี้ว่าความมีอยู่ของสรรพสิ่งย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งมีชีวิตที่ยังเกิดมา ถ้าไม่มีชีวิตที่เกิดมารับรู้ความมีอยู่ได้อีก ก็ย่อมถึงคราสิ้นสุดความมีอยู่ของสรรพสิ่ง และถ้าแต่ละชีวิตตายแล้วยังไม่สูญ (ยังสามารถรับรู้ความมีอยู่ใดได้อีก)   ข้อ 2. จะเป็นหลักตรรกะเหตุผลที่ชี้ว่าความมีอยู่ของสรรพสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตตามกาลเวลาสถานที่ต่างๆที่ยังดำเนินเรื่อยไป เป็นตัวอย่างของตรรกะเหตุผล 2 ข้อที่ให้ผู้อ่านช่วยกันวิเคราะห์ชั่งน้ำหนักความจริงกันไปครับ จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 03:26:09

ความคิดเห็นที่ 40 ศาสนาพุทธจริงๆแล้วไม่ได้สอนให้คนเชื่อ แต่สอนให้คนพิสูจน์ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการพิสูจน์ ยังไม่ต้องเอาถึงขนาดเรื่องที่พุดกันถึงชาติที่แล้วหรือชาติหน้าหรอกครับ ผมว่าเอาแค่มีใครได้ลองฝึกวิปัสนากรรมฐาน นั่งสมาธิจนจิตนิ่งจริงๆ กันบ้างรึยัง ว่าณ.ขณะนั้นมันเป็นยังไง สิ่งเหล่านั้นที่เกิดมันเกิดขึ้นได้ยังไง สิ่งที่สัมผัสทั้ง 5 สัมผัสไม่ได้มันเกิดขึ้นได้ยังไง เอาแค่นี้เอง ยังไม่ต้องไปไกลถึงเรื่องชาติหน้า ชาติที่แล้ว ผมว่าหลายๆท่านก็ยังไม่เคยเหมือนกัน ผมว่าวิทยาศาสตร์จะสรุปว่าสิ่งใหนมีจริงหรือไม่มีจริง น่าจะเกิดจาการได้ทำการทดลอง พิสูจน์ อย่างดีแล้วถึงจะสามารถบอกได้ว่าจริงหรือไม่อย่างไร ถ้าลำพังว่าคิดเองว่าไม่น่าจะมี หรือเชื่อว่าไม่มี มันยังไม่ได้รับการพิสูจน์จนถ่องแท้แบบนี้ถือเป็นข้อสรุปหรือข้อเท็จจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ได้แล้วเหรอครับ ผมอยากให้มีนักวิทยาศาสตร์จริงๆสักคน ลองฝึกวิปัสนา กรรมฐาน อย่างจริงจัง จนได้ญาณขั้นสูงอย่างถ่องแท้แล้ว จากนั้นจึงจะสามารถตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่ เพราะได้ผ่านการพิสูจน์แล้ว ไม่ใช่นึกเอาหรือเชื่อเอาเองโดยยังไม่ได้พิสูจน์ จากคุณ : Paul Krub เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 04:07:20

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าพูดอย่างจริงใจที่สุดคือ "ไม่ทราบ" แต่คิดว่า "ไม่สำคัญ" เพราะใช่ว่าตอนนี้เราจะจำเรื่องชาติก่อนได้ถ้ามีจริง ดังนั้นมันก็เป็นไปได้สูงว่าชาติหน้าถ้ามีจริงก็ใช่ว่าเราจะจำชาตินี้ได้ ความดีความชั่วมันเป็นสัญชาติญาณในการดำรงเผ่าพันธุ์ ถ้ามนุษย์ไม่มีสัญชาติญาณนั้นป่านนี้คงได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ดังนั้นโดยปกติของมนุษย์ที่มีสุขภาพจิตเป็นปกติจึงรู้สึกดีเมื่อทำดีและรู้สึกแย่เมื่อทำเรื่องไม่ดี ซึ่งผมก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกแย่อยู่ลึกๆเพียงเพราะการเชื่อหรือไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง #30 ประโยคสุดท้ายของคำตอบไม่จำเป็นต้องมีแต่อย่างใด การถกเถียงอย่างสร้างสรรจะถูกเบี่ยงประเด็นให้เป็นความแตกแยกก็เพราะประโยคแบบนั้นนั่นแหละครับ จากคุณ : VeryBadman เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 04:36:50 A:131.90.0.235 X: TicketID:310253

ความคิดเห็นที่ 42 พรุ่งนี้ก็คือชาติหน้า จากคุณ : TheCoreZa เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 06:14:16

ความคิดเห็นที่ 43 ผมเชื่อ จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 06:48:33

ความคิดเห็นที่ 44 ผมก็หาคำตอบมาตลอดชีวิต นี่ก็อย่าง 30 แล้วผมก็ยังไม่ได้คำตอบเลยครับ แต่ก็ยังคงหาคำตอบไปเรื่อย ๆ ยังไม่สรุป ยังไม่ปักใจไปทางใดทางหนึ่ง จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 06:59:34

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่เชื่อแน่นอน เพราะไม่รู้สึกผูกพันเชื่อมโยงกับชาติที่แล้วเลย ถ้ามีชาติหน้าต้องมีความเชื่อมโยงกันให้เห็นหรือรู้สึก นอนหลับแล้วตื่นก็ยังรู้ว่าเมื่อวานทำอะไร แบบนี้มันเชื่อมโยงกัน ถ้าไม่มีการเชื่อมโยงก็เหมือนเป็นคนใหม่ ขีวิตใหม่ไม่ผูกพันกัน แล้วจะถือว่าเป็นคนๆเดียวกันแต่คนละชาติได้ยังไง จากคุณ : mon เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 07:36:30 A:58.64.64.90 X: TicketID:111025

ความคิดเห็นที่ 46 ไม่เชื่อครับ จากคุณ : Aukub เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 08:21:46

ความคิดเห็นที่ 47 ชาติหน้าชาติก่อน เป็นสิ่งที่ทำการทดลองพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเท็จ อาศัยแต่ความเชื่อ จึงไม่นับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เหมาะแก่การถกเถียง จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 08:27:35

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่รู้ว่าจะเชื่อดีหรือไม่ แต่ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับชีวิตก็ทำให้จากที่เป็นคนเฉย ๆ กับเรื่องพวกนี้กลายเป็นเขวในเรื่องนี้พอสมควร(อาจจะแอบเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียส) และแอบมีความเชื่อเล็ก ๆ ส่วนตัวคือเชื่อว่าวิญญาณของคนเราหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ น่าจะสามารถเดินทางวนเวียนในระบบจักรวาลนี้ จากคุณ : JC2002 เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 08:40:17

ความคิดเห็นที่ 50 ผมสงสัยว่า...น่าจะมีจริงครับ ที่มาก็คือ การที่เห็นการพิสูจน์เรื่องการระลึกชาติได้ของคนที่ส่วนมากเป็นเด็กๆ ซึ่งมีกรณีคล้ายกันจำนวนมากในหลายประเทศไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้น จะว่าเป็นการหลอกลวงก็สรุปไม่ได้ ถ้าหากการกลับมาเกิดใหม่เป็นจริงได้ ก็เปรียบได้ว่าคนๆหนึ่งหรือผมขอเรียกว่า วิญญาณดวงหนึ่ง มีสิทธิเล่นเกมส์ได้หลายรอบ แต่ไม่รู้ว่าเอาเหรียญอะไรหยอดตู้เกมส์นี้.. ซึ่งมันทำให้ผมอยากจะเชื่อ จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 09:24:59

ความคิดเห็นที่ 51 เอาเรื่องชาติหน้า...      ชาติหน้าของใครหรือของอะไรล่ะครับ?      ชาตินี้ของเรา ตอนเด็กกะตอนนี้ ทั้งความจำ ทั้งวัตถุดิบที่มาประกอบเป็นร่างกาย         ยังไม่ใช่ของเดิมเลย  ตอนสิบขวบกะตอนนี้ กินแล้วถ่ายออกไปเกินน้ำหนักตัวกี่เท่าแล้ว      เมื่อก่อนรักแม่คนเดียว ตอนนี้รักใครอยู่ล่ะครับ            ถ้าเป็นชาติหน้าของวัตถุที่เคยเป็นตัวเรา แล้วกลับมาเป็นตัวตนอื่นอีก มีแน่ๆ          ถ้าเป็นชาติหน้าของความจำที่ที่ย้อนมาเกิดในร่างอื่น  มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ทั้งไทยทั้งเทศ      แต่ชาติหน้าที่มีทั้งวัตถุปัจจุบัน ความจำปัจจุบัน  เวลาผ่านไปแว๊บเดียว ก็ไม่ใช่ของเดิม แล้วครับ      ไม่ได้มั่วนะ      เรื่องจริง.... แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 09:29:59 จากคุณ : phenix เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 09:27:36

ความคิดเห็นที่ 52 #18 คุณเอาหลักปรมาตมัน ของพราหมณ์มาปนกับพุทธแล้ว ตายแล้วสูญ หรือไปรวมกับสภาวะอมตะเรียกว่าอัตตา ชาติหน้าและการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา เพราะมีการเกิดดับ แปรเปลี่ยน  ไม่ขัดแย้งกัน ขอเสนองานวิจัยของฝรั่งให้ชมกัน จะได้มีหลักฐานยอมรับ ไม่ใช่ตอบแบบลอยๆ นี้ห้องนักวิทย์ ต้องมีการอ้างสมมุติฐาน หรือเอกสาร คัมภีร์ ไม่ใช่ตอบตามอารมณ์ ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.) นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” มานานกว่า ๔๗ ปี ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน ผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่อง "ระลึกชาติ" เมื่อท่านได้เสียชีวิตลงแล้ว นสพ.วอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกา ได้สดุดีว่า “ท่านเป็นบุคคลที่ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้อย่างมีหลักการ ยากที่จะปฏิเสธได้” นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ กล่าวว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ในยุค ๒๐๐๐” การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน ได้ดำเนินการมากว่า ๔๗ ปี ตั้งแต่ก่อนปี ๒๕๐๓ ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้ หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา และทวีปเอเชีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า ๓,๐๐๐ ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็ก ที่จำอดีตชาติได้ จำนวนมหาศาล ถึง ๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน (Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย ผลงานการศึกษาวิจัยของศ.นพ.เอียน ได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นรายงานทางวิชาการ ในนิตยสารชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ และตำรับตำราออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ ถึงปัจจุบัน มากกว่า ๒๐๐ เล่ม จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก แต่ผลงานการศึกษาวิจัยของท่าน เป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่ขัดกันกับคำสอน และความเชื่อทางศาสนา ฮีบรู (ยิว) คริสต์ และอิสลาม แต่ถึงแม้ว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน จะถูกตราหน้าจากศาสนิกชนที่นับถือ ศาสนาฮีบรู (ยิว) ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ว่า ความคิดของเขาเป็นความคิดนอกรีต (Heresy) หรือเป็นพวกนอกรีต (Heresies) ก็ตาม แต่ความจริงที่ท่านได้พิสูจน์ และยืนยันในวันนี้ จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการวิทยาศาสตร์ และจากผู้คนทั่วโลก การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” ของ ศ.นพ.เอียน ท่านก็ไม่ได้โน้มเอียงไปกับความเชื่อทางศาสนา ท่านยังคงเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เป็นกลาง เชื่อในความเป็นจริง และเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตลอดไป สุดท้าย เมื่อท่านเสียชีวิต ท่านก็คงจะได้พบความจริง และได้ประจักษ์ชัดเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตาย ด้วยตัวของท่านเองแล้ว ไม่ต้องท่องเที่ยวสืบหาศึกษาวิจัยกรณีศึกษาใดๆ อีกต่อไป การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน สามารถบอกกับโลกว่า "ความจริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย และตั้งแต่ตายจนกระทั่งเกิดใหม่นั้น  อาจจะไม่เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาต่างๆ เหล่านี้" ด้วยเหตุที่ว่า "การศึกษาวิจัยชี้ไปที่ ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรมมีจริง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตัวท่านเองก็เกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์  ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านก็ไม่ได้เอาความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริงที่พิสูจน์ได้ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่า ท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริง เกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า   ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง"   http://www.truth4thai.org/node/234 ฟื้นความทรงจำย้อนกลับไปยัง อดีตชาติ Past Life Regression Therapy ยังมีงานวิจัยอีกแบบหนึ่ง เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด โดยวิธีการสะกดจิตโดยนักจิตวิทยา เพื่อให้ผู้ถูกสะกด ฟื้นคืนความทรงจำในชาติก่อน อันที่จริง การสะกดจิตโดยตัวมันเอง ไม่ได้อธิบายกระบวนการ ฟื้นความจำในชาติก่อน หากแต่เป็นเพราะ เทคนิกที่เรียกว่า Past Life Regression Therapy { PRL }หมายถึงการรักษาโดยการฟื้นความทรงจำย้อนกลับไปยัง อดีตชาติ ผู้ที่อยู่ภายใต้การรักษาแบบนี้ไม่ได้หลับไป และคลื่นสมองก็มีลักษณะแตกต่างจากสภาวะหลับ นอกจากนี้โดยอาศัยการพิจารณาลักษณะคลื่นสมอง นักจิตวิทยาบางคนจะสามารถชักนำให้ผู้ถูกสะกดเข้าสู่ภาวะการรู้สึกตัวในระดับต่างๆกันได้ดีกว่าการสะกดจิตแบบเดิมๆ ซึ่งในสภาวะเช่นนี้ จะเหมือนกับสภาวะของการทำสมาธิของผู้ปฏิบัติธรรมแบบพุทธ หรือ เต๋า เราทราบกันดีว่า ภายใต้สภาวะการรวบรวมสมาธิ ผู้ถูกสะกดจะสามารถสัมผัสได้ถึงสมาธิระดับลึก ทำให้เขาสามารถรับรู้ประสบการณ์ในอดีตได้ ในขณะที่ยังมีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน พวกเขายังสามารถจำอดีตชาติในหลายศตวรรษก่อน อย่างไรก็ดีเราอยากจะตั้งข้อสังเกตว่า PRL เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากในหมู่นักวิชาการมีทั้งยอมรับ และคัดค้าน David Quigley กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้เขาพบข้อมูลจำนวนมหาศาล ในแวดวงของเขาและในงานทดลองวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ว่า ในเขตแดนความทรงจำของอดีตชาติ นี้มีพื้นฐานอยู่บนประวัติบุคคลและเหตุการณ์ ที่มีอยุ่จริงในประวัติศาสตร์ เขายังได้อ้างถึง งานสัมมนาวิจัยระหว่าง Helen Wambach , Marge Rieden และ Ian Stevenson( การศึกษา กรณีการระลึกชาติ 30 ราย ) เขากล่าวต่อไปว่า ผู้ซึ่งยังคงปฏิเสธเรื่อง นี้อาจคิดว่าตนเองคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์กว่า แต่จริงๆแล้ว พวกเขากำลังติดกับดัก ของหลักการที่ไร้เหตุผล ซึ่งเทียบได้กับความเชื่อของเหล่านักปราชญ์ใน ศตวรรษที่ 16 ซึ่งยึดถืออย่างเหนียวแน่นในความเชื่อที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล Dr.Brian Weiss สำเร็จการศึกษาด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย โคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยเยล เป็นประธานของภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ที่ศูนย์การแพทย์ Mount Sinai ในไมอามี่ ท่านเป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการใช้เทคนิก PRL หลังจากที่ท่านจบการ ศึกษาที่เยล ก็ไปเป็นผู้บรรยายที่ มหาวิทยาลัย พิทสเบริก และมหาวิทยาลัยไมอามี่ เมี่อท่านอายุได้ 80 ปี ท่านได้ตีพิมพ์หนังสือวิชาการกว่า 40 เล่ม เดิมทีในฐานะที่เป็นนักวิชาการจากระบบการศึกษาแบบเก่า ท่านไม่ได้สนใจเกี่ยวกับ Parapsychology ( จิตวิทยาเปรียบเทียบ ) ท่านไม่มีความรู้และความสนใจแม้แต่น้อย ในเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่หนังสือเล่มหนึ่งของท่าน ชื่อ Many Lives , Many Masters สามารถขายได้ 2 ล้านเล่ม และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆกว่า 20 ภาษา บทคัดย่อของหนังสือเล่มมีความว่า “ จิตเวชศาสตร์และอภิปรัชญา กลืนกลายเข้าด้วยกันใน.........ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นใน วิธีการทางคลินิกด้านจิตเวชศาสตร์ จะพบว่าตนเองลังเลที่จะยอมรับการรักษาแบบย้อนอดีตชาติ พลันเมื่อผู้ที่ถูกเขาสะกดจิต ได้เปิดเผยเรื่องราวในอดีตชาติของเขาออกมา http:.teenee.com/xfile/explaruk/12.html อ้างอิง http://www.rogerwoolger.com/pastlife.html http://www.johnadams.net/how/index.html http://en.wikipedia.org/wiki/Ian_Stevenson http://en.wikipedia.org/wiki/Reincarnation งานวิจัยเรื่อง " 23 ผู้กลับชาติมาเกิด" โดย Ian Stevenson, M.D. (ศาสตราจารย์ น.พ.เอียน สตีเวนสัน) มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย พิมพ์โดย อภิธรรมมูลนิธิ หน้าพุทธมณฑล อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม 73170 http://www.questbooks.net/author.cfm?authornum=237 http://www.esolibris.com/articles/reincarnation/reincarnation_stevenson.php http://www.rogerwoolger.com/pastlife.html http://www.johnadams.net/how/index.html Ian Stevenson, M.D. is known for his groundbreaking research into the phenomena of children who remember previous lives. From 1967-2001, Dr. Stevenson was the Director of the Division of Personality Studies at the University of Virginia. Ian Stevenson’s research into cases of children who claim to remember previous lives has taken him around the world. He employs rigorous scientific methods in his research into such cases. His Twenty Cases Suggestive of Reincarnation, published in 1966, documented 20 cases in which reincarnation was offered as the most plausible explanation for the phenomena. Dr. Stevenson is the author of many other books, including Unlearned Language (1984), Children Who Remember Previous Lives: A Question of Reincarnation (1987), Where Reincarnation and Biology Intersect (1997), and European Cases of the Reincarnation Type (2003). Available titles by Ian Stevenson: http://www.questbooks.net/author.cfm?authornum=237 ๒. ชาติภพ โดย Brian L.Weiss,M.D. ( มหาวิทยาลัยไมอามี่) จุไรรัตน์ อารยะกิตติพงศ์ แปล สำนักพิมพ์มติชน ๑๒ ถ.เทศบาลนฤมาล ประชาชื่น๑ กทม. ๑๐๙๐๐ http://www.matichonbook.com/images/cover/L470426102702.jpg ชื่อหนังสือ : ชีวิตระหว่างภพ (Life between Life) หมวด : สารคดี -- สิ่งลี้ลับ/ความเชื่อ ผู้แต่ง : อรทัย เจริญชาติ จัดพิมพ์โดย : สนพ.มติชน พิมพ์ครั้งที่ 4 : สำนักพิมพ์มติชน กันยายน 2548 กระดาษปอนด์เหลือง ปกอ่อน จำนวนหน้า : 267 หน้า ขนาดหนังสือ : 14.6 cm. x 25 cm. ISBN : 974-322-433-5 ๓. ประจักษ์พยานตายแล้วเกิด โดย ดร. บุณย์ นิบเกษ โรงพิมพ์สหมิตรออฟเซท ๔๘ /๕๔ ถนนพระสุเมรุ บ้านพานถม พระนคร กทม. ๑๐๒๐๐โทร.๒๘๒๒๒๐๘ พิมพ์ครั้งที่ ๓ ๔. จิตใต้สำนึกกับการระลึกชาติ โดย Jess Stearn “ทศยุทธ์” แปล สำนักพิมพ์เรืองบุญ ๑๐/๐ ม.๗ ต.บางกระสอ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 09:52:07 แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 09:33:35 แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 09:32:44 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 09:32:00

ความคิดเห็นที่ 53 ขอยกมาตอบ จขกท. http://www.pantip.com/cafe/social/topic/U10492741/U10492741.html คู่แท้ ที่จขกท.กล่าวเป็นคติศาสนาใดครับ เพราะคำตอบไม่เหมือนกัน พุทธ คู่ที่ครองรักกันยั่งยืนต้องประกอบด้วยสมชีวิตา4 god  ลิขิตมา แล้วแต่godจะพอใจ gods soulmate ต้องหาอีกครึ่งของเราให้เจอ ไทยโบราณ ลักษณะอยู่กินฉันผัวเมีย เป็นเรื่อง"ผูกสมัครรักใคร" โดยไม่ผิดผี เมื่อ"สิ้นรักหักสวาท" ก็ถือว่า"สิ้นบุญวาสนา"ต่อกัน อยู่กันไปรังแต่จะทุกข์เปล่าๆ เรื่องแบบนี้ไทยโบราณว่าเป็นอจินไตย ไปกำหนดตายตัวไม่ได้ เพราะเราก็จำไม่ได้ว่าไปสัญญิงสัญญา ผูกเวรจองกรรมกับใครไว้บ้าง สำคัญที่ต้อง"ไม่ผิดผัวผิดเมีย" ทำบุญร่วมกันมาแค่นี้ ดีกว่าไปหลอกลวงจนอาฆาตพยาบาทต่อกัน การยึดติดคำว่าคู่แท้ เป็นอุปทาน  สำคัญที่การมีคู่ดีต่อตัวเราและครอบครัวหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 09:45:38 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 09:37:09

ความคิดเห็นที่ 54 สติปัญญาของสัตว์ประเภทเดียวกันไม่ค่อยแตกต่างกันมากครับ แต่สติปัญญาของคนต่างกันมากเหลือเกิน  นอกจากจะต่างกันมากแล้ว ทรัพย์สินเงินทองยังต่างกันมากอีก  บางคนมีทรัพย์สินเป็นร้อยล้านพันล้าน ซึ่งก็รวยมากอยู่แล้ว แต่ยังมีบางคนรวยเป็นหมื่นล้านแสนล้าน ในขณะที่บางคนเงินร้อยเงินพันยังไม่มีติดตัว และบางคนยังมีหนี้สินถูกฟ้องร้องล้มละลายก็มี  ทั้งที่ทุกคนต่างก็เป็นคนเหมือนกัน คนรวยมากๆเขาหากันยังไงครับ ถึงได้รวยมากอย่างนี้  หากใครรู้วิธีแล้วทำให้ตัวเองรวยเหมือนเขาจะได้ไหม ผมไม่รู้ว่าคนรวยเขาหาเงินกันยังไง ถึงได้รวยมากอย่างนี้ เมื่อคิดไม่ออกจึงคิดไปในทางโชคชะตาลิขิตครับ เป็นไปได้ไหมว่าสติปัญญาและฐานะนั้นเป็นบารมีเดิมที่สั่งสมมาแต่อดีตชาติ จากเซลล์เล็กๆค่อยๆวิวัฒนาการมาเป็นคน ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาหลายๆชาติ  ใครมาก่อนก็พัฒนาไปก่อน ใครมาบ่อยก็พัฒนาไปมาก สั่งสมไปเรื่อยๆ  แต่สิ่งที่เขียนมาไม่มีหลักฐานครับ จากคุณ : บุญถิ่น เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 09:47:49

ความคิดเห็นที่ 55 เชื่อครับ มันเป็นทฤฏีสัมพันธภาพ อีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกันนะครับ จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 09:56:57

ความคิดเห็นที่ 56 ยังจำได้แฟนผมเคยบอกว่า "ชาติหน้าตอนบ่ายๆเธอก็ไม่ได้เห็นขาอ่อนฉันหรอก" จากคุณ : หงส์ปลายปืน เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 10:02:15

ความคิดเห็นที่ 57 ไม่เชื่อครับ โดยเฉพาะพวกนั่งระลึกชาติ  มีแต่พวกคลั่งชาติ ระลึกทีก็บอกคุณเป็นคนสมัยกรุงศรีนะ แล้วก็ต้องอยู่ในช่วงสงครามเสียกรุงซะด้วย ให้มันไปดูคนสิบคนมันจะบอกอย่างนี้ซะแปดเก้าคน   คือชาติที่แล้วตูจะเป้นชาติอื่นไม่ได้งั้นเถอะ  ต้องเป็นคนกรุงศรี  อยากเป็นชาวล้านนา ชาวสุโขทัย ขอม ศรีวิชัย พุกามมั่งไม่ได้หรือไง  อ้อลืมไปคนไทยส่วนมากตกประวัติศาสตร์ แล้วอยากรู้ครับถ้าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง มีดวงวิญญาณ แล้วอัตราการเกิดของประชากรโลกที่กำลังเป็นเอกโป เนี่ยมันเอาดวงจิตมาจากไหนเหรอครับ  มันมีเครื่องกำเนิดวิญญาณอยุ่หรือไง  แล้วมันทำงานยังไง เป็นเครื่องตรีเอกานุภาพ หรือเปล่า  แล้วมันแยกดวงจิตอย่างไร ดวงนี้เป้นมนุษย์ หมา แมว กิ้งก่า กิ้งกือ เลน เอี้ย จากคุณ : -sam- เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 10:03:50

ความคิดเห็นที่ 58 ชาติหน้าอาจหมายถึง ลูปหน้าก็ได้ จากคุณ : นายคล้าว เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 10:27:09

ความคิดเห็นที่ 59 ขออ้างจากหลักของพุทธ และฮินดู(ที่่เอาหลักการพุทธไปผนวก)เพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้น จากพระอภิธรรมหลักพุทธ โลกเข้าสู่ความเสื่อมเพราะอายุมนุษย์ลดลง ตามวัฏจักร แต่เดิม1 อสงไขยปีเท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว 1อันตรกัป เท่ากับระยะเวลาที่อายุของมนุษย์ ไขลงจากอสงไขยปีจนถึง 10 ปี แล้ว ไขขึ้นจาก 10 ปี จนถึงอสงไขยปีอีก ครบ 1 คู่ เรียกว่า 1 อันตรกัป 1 มหากัปประกอบด้วย 4 ช่วง ของจักรวาล 1 สังวัฏฏ  ช่วงที่กำลังถูกทำลาย  เป็นเวลา 64 อันตรกัป 2 สังวัฏฏฐายี   เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความว่างเปล่า หลังจากจักรวาลถูกทำลาย   เป็นเวลา 64 อันตรกัป 3 วิวัฏฏะ กำลังก่อตัวขึ้นของจักรวาล  เป็นเวลา ๖๔ อันตรกัป 4 วิวัฏฏฐายี (จักรวาลที่ตั้งขึ้นใหม่เรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม) เป็นเวลา ๖๔ อันตรกัป ยุคนี้เป็นยุคเดียวที่มนุษย์อาศัยได้ ดังนั้น 1 มหากัป จึงเท่ากับ 256 อันตรกัป เพราะฉะนั้น 1 มหากัปจึงมีการทำลาย เพียง 1 ครั้ง นับตั้งแต่จักรวาลถูกทำลาย จนกระทั่งเกิดใหม่ และพินาศอีกครั้งจึงเป็นเวลา 4 อสงไขยกัป หรือ 256 อันตรกัป นับเป็น 1 มหากัป จากยุคนี้ไปจนอายุลดจนเหลือ 100 ปี เรียกว่าเข้าสู่ยุคมิคสัญญี คนดีมีน้อยคนชั่วมีเยอะ พูดง่ายๆการเกิดเป็นคนง่ายขึ้น กว่าแต่ก่อนแต่คุณภาพทางกมลสันดานแย่ลง เป็นสวรรค์ของคนพาลโดยแท้  กุศลสะสมไว้เท่าไรมาเทที่แดนนี้ เพราะไม่มีทุนพอจะไป ภพภมูิที่สูงกว่า เช่น เทวโลก เพราะเทวโลก พรหมโลก ค่อนข้างตายตัว แต่โลกมนุษย์มีเงื่อนไขการเกิดที่ยืดหยุ่นกว่า http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=4f866a5c9ef472c4 วิญญาณที่เกิดของวนเวียนอยู่ในสามภพนี้แหละ เช่น มด แมลง มีกุศลพอก็เกิดเป็นคนได้ เทวดา พรหม หมดกุศลก้อนใหญ่ แต่เหลือกุศลพอก็มาเกิดเป็นคนได้ วิญญาณทั้งอนันตจักรวาล ประมาณมิได้ เราอาศัยใน"มงคลจักรวาล" สัตว์จากจักรวาลอื่นจะมาเกิดก็ได้ จะไปเกิดที่จัการวาลอื่นก็ได้ อยู่ที่เจตจำนงของเราว่าต้องการอะไร พระโคตมะพุทธเจ้า กล่าวกว่า 158 วัฏสงสารที่ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย ปัญหา เราอาจจะทราบได้ไหมว่า เราเริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัวทอนหญ้าไม้ กิ่งไม้ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดมัดละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเราโดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่าหญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไปข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฏพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้” ติณกัฏฐสูตร นิ. สํ. (๔๒๑-๔๒๒) ตบ. ๑๖ : ๒๑๒ ตท. ๑๖ : ๑๙๙ ตอ. K.S. II : ๑๑๘-๑๑๙ http://www.84000.org/true/158.html ความดี ความชั่วที่เราทำมาต่อเนื่องยาวนาน ความอาฆาตพยาบาทที่เจ้ากรรมนายเวรจองกฐินเราไว้ เป็นตัวส่งผลให้ไปเกิดยังภพ ภูมิต่างๆ จุดเริ่มต้นเรายังไม่สามารถทราบได้ว่า"ทำไมเราขึ้นต้องเกิด" ตถาคตสามารถบอก ชี้ ให้เห็นถึงหนทางดับได้ คนตายมีกรรมไปทางนรก จะมียมฑูตพาไปหาพญายม แล้วถามว่าเคยทำความดีอะไรบ้าง ถ้าเรานึกออกตอบได้ ก็ไปเกิดภพอื่นที่ไม่ใช้นรก ถ้าตอบไม่ได้ตั้งไปรับโทษ หลายประเทศก็มีความเชื่อนี้ เช่น ทรอย จีน ไท เรียก"เงินปากผี" ไว้ติดสินบนเจ้าพนักงานในนรก คนชั่วจริง ดีจริง ตายไปเกิดยังภพ ภูมินั้นทันทีเพราะผลที่มำชัดเจน เหตุให้เกิดเป็นยมฑูตและนายนิรยบาล  เหตุก็คือช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ทำบุญกับบาปไว้เท่ากัน จึงได้เกิดเป็นยมฑูตและนิรยบาล ในขณะที่เกิดเป็นยมทูตและนิรยบาลนั้นก็ถือเป็นการชดใช้กรรมไปในตัวเช่นกัน โดยการทำหน้าที่ของตน อันที่จริงยมฑูตกับนายนิรยบาลก็อันเดียวกันแต่ต่างหน้าที่กัน พวกที่เก็บวิญญาณจะเรียกว่า ยมฑูต และพวกที่ลงทัณวิญญาณที่ทำบาปในนรกแต่ละขุมนั้นเรียกว่า นายนิรยบาล ต้องกินน้ำทองแดงเดือดเป็นการรับกรรมชั่วที่ทำไว้ เมื่อใดที่หมดกรรมแล้วก็จักได้มาเกิดอีกครั้ง โดยอาศัยบุญจากการทำหน้าที่ยมฑูตและนิรยบาลนั้น จากคัมภีร์ปุราณะหลักฮินดูโลกมีสี่ยุค เรียกว่า มหายุค สัตยยุค เตรตายุค ทวาปรยุค สิ้นยุคเมื่อพระกฤษณะตาย โดนธนูยิงที่ข้อเท้า โดยนายพรานจาราแบบอคิลิส กลียุค ความดีหนึ่งส่วน ความชั่วสามส่วน ซึ่งทั้ง 4 ยุครวมกัน กลียุคมีอายุ 432,000 ปี การตีความคัมภีร์ฮินดูว่าปัจจุบันนี้โลกอยู่ในกลียุคมีคนเชื่อมากที่สุด การตีความคัมภีร์ฮินดูแบบอื่นๆ เชื่อว่าโลกอยู่ในช่วงเริ่มทวาปรยุค โดยทั่วไปแล้วกลียุคก็คือยุคมืดเพราะผู้คนห่างเหินจากพระเจ้าอย่างถึงที่สุด ตามคติของฮินดู เมื่อโลกมาถึงกลียุค เชื่อกันว่าพระศิวะ  จะทรงเปิดพระเนตรดวงที่อยู่กลางหน้าผากขึ้น และโลกจะถูกทำลาย เพื่อคืนสมดุลของโลกให้เกิดการสร้างโลกขึ้นใหม่ โดยพระพรหมธาดา ผู้ลิขิตทุกสรรพสิ่งบนโลก แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 10:57:13 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 10:51:38

ความคิดเห็นที่ 60 การสะกดจิตระลึกชาติ ก็เป็นสิ่งที่ทำการทดลองพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเท็จ อาศัยแต่ความเชื่อ (ว่าที่พูดออกมานั้นเป็นเรื่องของชาติที่แล้วจริง) จึงไม่นับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เหมาะแก่การถกเถียง จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 10:56:05

ความคิดเห็นที่ 61 มีใครระลึกชาติได้รึเปล่าละครับ ว่าชาติก่อนตัวเองเป็นอะไร ถ้าระลึกชาติไม่ได้แล้ว ชาติหน้ามีจริงไม่มีจริงก็ไม่มีผลอะไรเพราะผลลัพธ์เราก็ไม่รุ้ตัวเองอยู่ดี จากคุณ : 3N เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 11:48:27

ความคิดเห็นที่ 62 ชาติหน้า เป็นสิ่งสมมุติ  แต่ตายแล้วเกิดครับแน่ครับ จากคุณ : a fat cat in a hat เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 13:03:36

ความคิดเห็นที่ 63 ยิ่งอ่านยิ่งปวดเฮดหนัก จาก 47 และ 48 มี login JD300 และก็มี login JC2002 มีใครใหม่กว่านี้มั้ย เช่น 2012 เป็นต้น แซวขำๆนะคะ อาจารย์  เคียดอ่ะ จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:00:36

ความคิดเห็นที่ 64 เดิมผมไม่เชื่อ แต่มาอ่านเรื่องดาราศาสตร์ พบว่า ดาวแต่ละดวงมีการเกิด ดับ หลายรอบ เพิ่งรู้ว่า ธาตุเหล็ก  ต้องผ่านการยุบตัวและเกิดใหม่ของดาว จึงจะเกิดขึ้นได้ ในสเกลใหญ่ระดับดวงดาวยังมีวัฎจักร คงไม่แปลกถ้าสเกลเล็กอย่างชีวิตคนจะมีเหมือนกัน สรุปว่า ส่วนตัวก้ำกึ่งครับ จากคุณ : 447 เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:58:04

ความคิดเห็นที่ 65 ผมเชื่อเรื่องภพชาติครับ ---------------------------------------------------------------- to #60 ใช่ครับการระลึกชาติ เป็นการพิสูจน์ได้ทางเดียวก็จริงครับ เพราะหากจะพิสูจน์ว่า การระลึกชาติว่า....."มีจริงหรือไม่" - มีจริง : ก็ต้องหาคนที่ระลึกชาติได้สักคน มาทดสอบให้เป็นที่ประจักษ์ - ไม่มีจริง : ทำไม่ได้เพราะเราไม่มีทางไปทดลองกับคนทั้งโลกเพื่อพิสูจน์ว่า พวกเขาระลึกชาติไม่ได้ ดังนั้นปัญหาว่ามีการระลึกชาติอยู่หรือไม่ จึงจัดเป็น Devil's proof -------------------- แต่.... ณ. ตอนนี้มีบุคคลที่ระลึกชาิติได้อยู่ จึงมีทางจะพิสูจน์ได้ว่าพิสูจน์ว่า...."บุคคลนี้ทำได้จริงหรือไม่" - ทำได้จริง : ก็ต้องทดสอบตามขั้นตอน สืบประวัติ ตรวจสอบเรื่องราว อะไรก็ว่าไป - ทำไม่ได้ : เช่นเล่าเรื่องราวมีพิรุจ มีการโกหก....... ซึ่งการพิสูจน์แบบนี้เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะพิสูจน์ได้ 2 ทาง (ไม่เป็น Devil's proof) จากคุณ : นกแคปหมู เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 20:44:21

ความคิดเห็นที่ 66 เชื่อครับ เรื่องเนื้อคู่ มีครับแบบอธิษฐาน มาด้วยกัน แต่ก็ต้องมีองค์ประกอบหลายๆอย่างเสมอกัน เช่น ศีล ซึ่ง คิดว่าน้อยมากครับ ส่วนใหญ่จะเป็น คู่เวร มากกว่า แบบ อยู่ด้วยก็เดือดร้อนใจ แต่ก็เลิกไม่ได้ จากคุณ : semplice เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 54 01:06:41

ความคิดเห็นที่ 67 เชื่อครับ หรือถ้าให้ครอบคลุมหน่อยก็คือเชื่อว่ามีโลกหลังความตายที่มีระบบและรูปแบบครับ จากคุณ : NAPUS 57 เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 54 11:42:54

ความคิดเห็นที่ 68 ผมคิดตามหลักพลังงานไม่สูญหายไปไหนแต่เปลี่ยนรูปร่างไป คนคนหนึ่งมีชีวิตจากพลังงานหนึ่ง เมื่อตายไปพลังงานนั้นมันหายไปไหน?? ตอบตามความคิดคือมันเปลี่ยนรูปไป แต่เปลี่ยนไปอย่างไรไม่อาจทราบได้ อาจจะไปอยู่ในตัวคนใหม่ สิ่งมีชีวิตอื่น หรือแม้กระทั่งสิ่งของ อาจจะไปเป็นกลุ่มก้อนเดิม หรือแยกกันไป หรือไปรวมกับ กลุ่มอื่น อาจจะอธิบายเรื่องความจำว่าทำไมจำชาติก่อนไม่ได้ เพราะที่ย้ายไปมีแต่พลังงาน แต่ความทรงจำไม่ได้ย้ายเพราะยังอยู่ในสมองของคนเดิมอยู่ (เปรียบเสมือน harddisk ใน computer) จากคุณ : REDBULLRUN เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 54 17:58:25

ความคิดเห็นที่ 69 เชื่อ ว่ามีชาติหน้า เชื่อว่ามีชาติก่อน เชื่อว่ากรรมวิบากมีจริง เชื่อว่าตัวเองมีกรรมวิบากเป็นของตัวเอง จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 54 20:52:36

ความคิดเห็นที่ 70 ถ้าตอบว่า....ไม่เชื่อ...หรือ....เชื่อ....  แบบนี้ตอบแบบ..โ เป็นผมจะตอบว่า....กรุไม่รู้... แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 15:30:48 จากคุณ : ชักธง1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 15:23:09

ความคิดเห็นที่ 71 คิดว่าต้องพิสูจน์เรื่องชาติก่อนให้ได้ ถ้ามีชาติก่อนจริง แสดงว่าต้องมีชาติหน้า เพราะชาตินี้ ก็คือ ชาติหน้า ของ ชาติที่แล้ว งง แมะ คหสต. คงมีเหตุผลสักอย่างที่ชาตินี้เราเป็นคนไม่ใช่หนอน สัตว์เซลล์เดียวทั้งๆที่ตามสถิติสัตว์พวกนี้มีมากกว่ามนุษย์มากมาย ไทยเราน่าจะไปทำวิจัยในคนป่า ชาวบ้านที่อาศัยในป่า อาจจะเห็นรอยต่อการข้ามภูมิจากสัตว์มาเป็นคน มีหลักฐานหลายอย่างที่ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า วิวัฒนาการมีจริง การเกิดใหม่ข้ามภพชาติมีจริง จากคุณ : อยากรู้ว่าเธอคือใคร เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 15:34:22

ความคิดเห็นที่ 72 แวะเข้ามาอ่าน และขอตอบว่าไม่เชื่อ จากคุณ : โฮลิก เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 15:34:31

ความคิดเห็นที่ 73 ไม่เชื่อเท่าไหร่... แต่อยากจะคิดว่ามนุษย์ทุกคนในโลก ทั้งในอดีตและอนาคตมีวิญญานดวงเดียวกัน ใครจะรู้ ชาติภพอาจจะไม่ได้ดำเนินไปตามกาลเวลาก็ได้ เมื่อเราตายไป อาจจะได้ไปเกิดใหม่เป็นคนในช่วงชีวิตเดียวกับเรา ทุกคนที่อยู่ตรงหน้า ข้างๆ ข้างหลัง ญาติพี่น้อง คนแปลกหน้า ล้วนเป็นคนๆเดียวกันกับเรา เป็นอดีตและอนาคต การกระทำทุกอย่างของเราที่ทำต่อบุคคลอื่น ก็คือสิ่งที่เราจะถูกกระทำเมื่อเราได้เกิดเป็นคนๆนั้น ไม่ต้องเอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่ แค่คิดได้อย่างนี้ เราก็ไม่อยากจะไปก่อกรรมกับใครแล้ว จากคุณ : ari เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 15:35:18 A:125.24.117.244 X: TicketID:313880

ความคิดเห็นที่ 74 ชาติหน้ามีจริง หรือ ไม่มีจริง ไม่มีผล ณ ตอนนี้ แต่มีผลในอนาคตสืบไปข้างหน้าครับ สักวันนึง ก็อาจจะหาวิธีขุดความทรงจำเก่าๆมาใช้ได้ จากคุณ : geefa เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 15:56:22

ความคิดเห็นที่ 75 ให้ไม่ตายก็เชื่อครับ จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 16:00:16

ความคิดเห็นที่ 76 เชื่อครับ เพราะหากไม่มี จะมีผู้หาทางหลุดพ้นทำไม นั่งให้สบายๆ ไปวันๆ ดีกว่า แต่ถึงจะเชื่อ ก็ไม่ได้ไปใส่สงสัยให้วุ่นวาย เพราะแต่ละชาติที่เกิดมาก็มีความเหมาะสมของมัน ทำในสิ่งอันสมควรในแต่ละชาติที่เกิดมา ดีกว่ามานั่งคิดว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน เสียเวลาในชาตินี้ไปเปล่าๆ อนึ่ง ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ กับความเชื่อทางศาสนาและศีลธรรมจรรยา ควรละวางไว้คนละส่วนกันนะครับ เราสามารถเชื่อทั้งสองทางพร้อมกันได้โดยไม่ทำให้ทางใดทางหนึ่งเสียหาย ถึงแม้เมื่อพิจารณาแล้วความเชื่อทั้งสองทางจะดูขัดกันก็ตาม แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 17:12:44 จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 16:17:26

ความคิดเห็นที่ 77 คคห.13 ชาบู ชาบู ชาบูว์~ ขอขยายนิดนึง เพื่อความชัดเจน ถ้าอยากรู้ว่าอดีตเราเป็นอย่างไรให้ดูตัวเราในปัจจุบัน ถ้าอยากให้อนาคตเราเป็นอย่างไร ก็ให้ตั้งใจทำเพื่อให้เป็นอย่างนั้น เพราะกรรม = ผลของการกระทำ ปล. ทำดีเว้นชั่วมันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก ดังนั้นจงอย่าหาข้ออ้างมารองรับในการทำชั่ว จากคุณ : รบชนะ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 16:28:51

ความคิดเห็นที่ 78 สรุปว่า ไม่ว่าจะเรื่องชาติหน้ามีจริงหรือไม่ พระเจ้าพระเยซูมีจริงไหมแล้วสามารถแสดง ปาฏิหาริย์ได้จริงๆรึเปล่า พระอัลเลาะฮ์เป็นผู้สร้างทุกอย่างใช่หรือไม่ มันเป็นความเชื่อทั้ง นั้น เถียงกันให้ตายไปข้าง ก็สรุปไม่ได้หรอก จากคุณ : earth world เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 16:37:03

ความคิดเห็นที่ 79 ชาติที่แล้ว ชาติหน้า นรก และ สวรรค์ ไม่มีจริงครับ เป็นเพียงอุบายที่เกิดขึ้นเพื่อให้มนุษย์ทำความดี จากคุณ : อีกออินึนเด เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 17:05:06

ความคิดเห็นที่ 80 ชาติหน้าไม่มีจริงใช่ป่ะ โอเคผมจะไ้ด้ทำชั่วซะหน่อย... จากคุณ : tkung13 เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 17:34:17

ความคิดเห็นที่ 81 แล้ว  เมื่อวาน กับ วันพรุ่งนี้  มีจริงหรือเปล่า ... จากคุณ : erikson เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 17:36:44

ความคิดเห็นที่ 82 >>ชาติหน้าชาติก่อน เป็นสิ่งที่ทำการทดลองพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเท็จ อาศัยแต่ความเชื่อ >>จึงไม่นับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เหมาะแก่การถกเถียง ไม่จริงหรอกครับ อ เจษฯ ว่าถ้าทดลองพิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เหมาะแก่การถกเถียง อย่าติดกับดักของคำว่าวิทยาศาสตร์มากเกินไป  เพราะเรื่องของความเชื่อ ศาสนา มันมีประเด็นมาถกเถียงกันอย่างมีเหตุผลได้มากมาย เช่นในแง่ปรัชญา จิตวิทยา ฯลฯ หรือแม้แต่ยกคำสอนที่เป็นแก่นมาถกเถียงกัน ใช้ตรรกะต่างๆ หาความสมเหตุสมผลของคำสอนก็ยังได้ หรือบางท่านในกระทู้นี้ ก็ยกคำสอนของพระพุทธเจ้ามา เช่นของคุณ sky-hook-damper  เรื่องคู่ อ่านแล้ว แม้พิสูจน์ไม่ได้ แต่คุณคิดว่าตรรกะมันสมเหตุสมผลไหมหละ หาอะไรมาแย้งได้ไหม   อ่านความเห็นบางคน ตั้งป้อมก่อนเลย ไม่เชื่อ เพราะพิสูจน์ไม่ได้  เหมือนจะวิทยาศาสตร์แต่ไม่วิทยาศาสตร์เลย  บ้างยกตัวอย่างของพวกหลอกลวงมาอ้าง แล้วพาลฟันธงไปเลยว่าชาติหน้าชาติก่อนไม่มีจริง อวิชชาแท้ๆ ถามว่าที่ฟันธงไปแล้วเนี่ย ได้เคยลองศึกษาแก่นของศาสนาพุทธอย่างจริงจังหรือยัง หรือดูแต่เปลือกก็มาตัดสินแล้ว  แบบนี้ก็ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เช่นกัน แต่กำลังติดกับดักแคบๆ ของคำว่า วิทยาศาสตร์ ชาติหน้ามีจริงไหมผมไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่าประมาท จงเร่งทำความดีเพื่อการหลุดพ้น ทางสายกลางดีที่สุด  ผมก็เชื่อพระองค์ท่าน ทำดีไว้ ทำใจให้บริสุทธิ์ มุ่งลดละกิเลส ทำบุญทำทานตามอัตภาพ  ถือศีล 5 มุ่งทำตามที่ท่านสอน ฯลฯ ถ้าชาติหน้าไม่มีจริง อย่างน้อยชาตินี้ ผมก็มีชีวิตที่ดี ไม่เบียดเบียนใคร ไม่โกงใคร ไม่มีทุกข์มาก ไม่ต้องรุ่มร้อน ใจไม่ทุกข์ ถ้ามีทุกข์ก็ไม่มาก เพราะทำใจกับเรื่องราวต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจต่างๆ ก็ไม่มาก การใช้ชีวิตในกรอบศีลธรรมที่จะไม่เบียดเบียนใคร รู้จักการให้ การเมตตา  ไม่มีอะไรเสียหายเลย แต่ถ้าชาติหน้าเกิดมีจริง ก็มีเครื่องรับประกันว่า ชาติหน้าผมจะต้องไปสู่สุขติภูมิ ดังนั้น ทางที่ถูกคือแทงกั๊กไว้ครับ ไม่เชื่อเรื่องภพชาติก็ได้ แต่ชีวิตนี้ ต้องทำดี มีอย่างน้อยศีล 5 กำหนดกรอบการใช้ชีวิตไว้ เพราะนี่เป็นเครื่องรับประกันการมีชีวิตที่ผาสุกได้มากกว่าการมีเงินมีทองล้นฟ้า หรือมีอำนาจมากมายเสียอีก จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 17:49:17

ความคิดเห็นที่ 83 จขกท.ถามเกี่ยวกับความเชื่อ (ส่วนบุคคล) ก้อตอบตามที่เชื่อแหละกันว่า "ไม่เชื่อทั้งสองอย่าง" แต่ถ้าหากมันจะมี ก้อไม่อยากมาเกิดในชาติถัดๆ ไปอีกแล้วแหละ ไม่อยาก Restart หรือ Reset หลังจาก Game over อะไรทั้งนั้นครับ จากคุณ : tomimoto เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 18:30:35

ความคิดเห็นที่ 84 ลองคิดดู.....ฮิตเลอร์นี่โชคดีจังสั่งฆ่าคนตั้งหลายล้านคน แต่ไม่ต้องรับผมใดๆจากทีทำไว้เลย .....แล้วสัตว์มันทำอะไรผิดมันถึงถูกฆ่ามาเป็นอาหาร ถ้ามันเกิดมาเพื่อเป็นอาหารและเต็มใจเป็นอาหาร เวลาฆ่ามันมันก็ต้องไม่ร้อง ไม่หนี ยืนให้เชือดคออย่างภูมิใจซิ แล้วใครเคยเห็นหมูหรือวัวเวลาโดนฆ่าไหมล่ะ .....ถ้าชาติหน้าไม่มีจริง คนที่ฆ่าคนตาย ขายยาบ้า ขโมยของ เป็นชู้กับคนอื่น แล้วไม่โดนเคยจับก็ต้องถือว่าโชคดี เพราะทำแล้วจบเลย แต่... อะไรคือความยุติธรรม ถ้าทำแล้วจบ คนกับสัตว์ต่างกันตรงไหนเหรอ แล้วทำไมเราเกิดเป็นคน ทำไมมันจึงเป็นสัตว์ ผมก็ถามไปงั้นแหละ เพราะรู้ว่าใครๆจะว่าผมงมงาย ถ้าตายแล้วจบ ผมก็ดีใจแทน ฮิตเลอร์ บินลาเดน พวกก่อการร้าย และพวกคนเลวอย่าง นักโทษฆ่าข่มขืนทุกคน มือปืนรับจ้างที่ฆ่ามาเป็นร้อยศพเพราะคุณจะไม่ได้รับโทษอะไรเลย เพราะคุณจะแค่ตายแล้วก็จบ จากคุณ : แค่คิดเล่นๆ (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 18:37:21

ความคิดเห็นที่ 85 คิดว่าชาติหน้าคุณจะว่ายน้ำชนะคู่แข่งเป็นสิบๆล้านได้อีกหรือไง..... ไม่เชื่อครับ พวกที่พูดว่าจำชาติที่แล้วได้หรือเห็นชาติที่แล้วของคนอื่นได้ มันก็นักต้มตุ๋นดีๆนี่เอง คิดเดาซุยเอาเองว่าเกิดเป็นตัวโน่นนี่ เป็นคนนั้นคนนี้ แถมมีคนบ้าจี้เชื่อจริงจังมากมาย แค่กับข้าวที่กินอาทิตที่แล้วยังนึกไม่ออกเลย จะมาจำอะไรได้ขนาดนั้น เอามาหลอกให้คนทำความดี ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ถึงจะทำความดีแต่ไม่สามารถคิดเป็นเหตุผลได้ ก็จะต้องตกเป็นเหยื่อของคนอื่นอยู่ดี จากคุณ : KeyboardWarrior เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 18:50:28

ความคิดเห็นที่ 86 ชาติหน้าอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ (กรอบคิดผม) ... เป็นเรื่องพ้นวิสัยคิด พอๆกับเรื่องผลกรรมที่นับเข้าเป็นอจินไตย ... (กรอบคิดพุทธ) จากคุณ : jassb1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 18:52:35

ความคิดเห็นที่ 87 โห ใครขุดกระทู้นี้มาแนะนำเนี่ย ตั้งหลายวันแล้ว ถกกันได้ซิ ทำไมจะไม่ได้ พิสูจน์ว่าไม่มีก็ไม่ได้ พิสูจน์ว่ามีก็ไม่ได้ อย่างนี้ใครคิดจะหลอกลวงด้วยเรื่องเหล่านี้ได้อีกหลายเรื่องซิ ด้วยคำว่าสิ่งที่ไม่รู้ไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มี พอๆกับพระเจ้ามีจริงไหม สงสัยว่าพระเจ้าจะสร้างชาติหน้า นรก สวรรค์ด้วยหรือเปล่า โดยส่วนตัว ไม่แน่ใจ แต่คิดว่ามีหรือไม่มีก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราระลึกชาติไม่ได้ เมื่อธรรมชาติเป็นอย่างนี้ มันก็กลายเป็นคนละคนไป เหมือนกับว่าการยึดมั่นในตัวกูของกูแค่ชาตินี้เท่านั้น ยิ่งถ้าเราละตัวตนได้แล้วมันจะมีใครเกิดใครตาย ก็เป็นเสียงแต่ธาตุเปลี่ยนแปลงไหลเรื่อยไปตามธรรมชาติเท่านั้น จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 18:52:56

ความคิดเห็นที่ 88 ผมเชื่อเรื่อง ชาติหน้ามีจริง บาปกรรมมีจริง แต่ไม่เชื่อว่าชีวิตเราถูกกำหนดมาแล้ว งง ไหมครับ จากคุณ : V_Accy เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 18:54:21

ความคิดเห็นที่ 89 ผมก็เชื่อบ้างนะ  เพราะลองคิดดูแล้ว ทำไมทุกศาสนามันจะมีเรื่องแบบนี้เหมือนกันหมด  ถ้าคิดในแบบวิทยาศาสตร์เป็นไปได้มั้ยว่า พระเจ้าที่มาโปรดในทุกๆศาสนาคือมนุษย์ต่างดาว ที่มาบอกคนๆนึง มันก็อาจเป็นไปได้ เหมือนเพ้อเจ้อนะ แต่คิดว่าการตายของคนอาจจะเป็นการย้ายจิตไปสู่ มิติอื่น จากคุณ : FFK-KZ@Fiesta เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 18:55:04

ความคิดเห็นที่ 90 ไม่ทราบ แต่ครั้งนึง ผมเคยพบเคยได้ทดลองย้อนอดีตชาติ ซึ่งพอโตขึ้นก็คิดว่า มันอาจจะ = การสะกดจิต จากญาติผู้ใหญ่ที่ศึกษาด้านนี้คนนึง ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว 1.ตอนนั้นมีคนทดลองกัน 4 คน ตอนที่ทำผมอายุ 16 ที่เหลือเป็นผู้ ญ อายุ 20-23 1 คน ผุ้ชาย 14 ส่วนอีกคนเป็นน้าผู้ ญ อายุน่าจะ 30++ แต่มีญาติมุงประมาณ 10 กว่าคน 2.เริ่มแรกถ้าจำไม่ผิด น่าจะเริ่มจากการสวดมนต์ แล้วก้อหลับตานั่งทำสมาธิ เวลาจำไม่ได้คับ 3.ซักพัก ท่านให้คิดถึงหน้่าบุคคลที่รัก พ่อ แม่ ญาติ ฯลฯ แล้วให้นึกถึงพระนึกถึงชายผ้าเหลือง 4.ท่านบอกถ้าเห็นชายผ้าเหลืองแล้ว ให้เกาะชายผ้าเหลืองตา่มไป แล้วก็ถามว่า เกาะตามรึยัง เกาะแล้ว ตอนนี้รอบตัวเห็นอะไร เห็นดอกไม้ เห็นบ้านมั้ย ??? <<<<< ตรงนี้อาจเป็นการสะกดจิต-ชี้นำ 5.ท่า่นถามต่อว่า ถ้าเห็นบ้านแล้ว ลองเดิน เข้าไป เห็น ผู้ชายหรือผู้หญิง แต่งชุดยังไง...... จบครับ --------------------------------------------- สรุปนะครับ คนทั้งหมด 4 คนที่ร่วมย้อนอดีตชาติ เท่าที่ผมจำได้คือ 1.ตัวผม จบตั้งแต่เห็นพระในจินตนาการ หลังจากนั้นก็ไม่เห็นไรเลยนอกจากความมืด 2.น้าผู้ ญ เห็นตัวเองเป็นผู้ชาย แต่งชุดซึ่งตอนนั้นตามความที่จำไ้ด้ คือ เค้าสรุปว่า น่าจะอยุ่ในช่วงรัชกาลที่ 4 3.พี่ผู้ ญ เห็นสวนดอกไม้ 4.น้องชายผม เห็นคนในบ้านไม่รุ้ว่าผู้ ญ หรือ ผู้ชาย แต่ผมยาว จากเรื่องนี้ถ้าให้ถามว่าผมเชื่อเรื่องชาติที่แล้ว ชาติหน้ามั้ย ผมถึงตอบว่าไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้เห็นไม่ได้พบเอง แต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธเลยว่ามันไม่มีจริง อาจจะมีหรืออาจจะไม่มีก็ได้ ส่วนญาติคนอื่นที่ถึงขั้นหลังๆ เค้าก้อต้องบอกว่าเค้าเชื่อแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นจริง หรือ การสะกดจิตให้เห็นก็ตาม -------------------------- จากคุณ : Sylphs เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 18:58:53

ความคิดเห็นที่ 91 เป็นกระทู้แนะนำที่สั้นที่สุด จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 19:01:22

ความคิดเห็นที่ 92 เอา 2 ลิ้งมาเพิ่มจาก #52 แต่ส่วนตัวผมยังไม่เชื่อนะครับ คิดว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจ ถ้ามีคนศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วก็น่าจะไปหามาอ่านดูว่าเขาค้นคว้าได้ความว่ายังไงบ้าง http://en.wikipedia.org/wiki/Reincarnation_research http://en.wikipedia.org/wiki/Twenty_Cases_Suggestive_of_Reincarnation อ่านจากวิกิแล้ว ควรจะกดลิ้ง reference ข้างล่างตามไปอ่านหน้าอื่นๆ ต่อนะครับ ผมยังอ่านไม่หมดเลย เยอะมาก แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 19:26:22 จากคุณ : Iron-Spider เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 19:03:54

ความคิดเห็นที่ 93 แล้วมนุษย์ต่างดาวมีชาติหน้ามั้ยครับ  จากคุณ : botia เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 19:15:30

ความคิดเห็นที่ 94 ตายแล้วเกิดใหม่มีจริง แต่เนื้อคู่เป็นสิ่งสมมุติครับ จากคุณ : Darth Aiglatson เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 19:17:20

ความคิดเห็นที่ 95 เป็นกระทู้แนะนำที่ จขกท.ไม่มีกีบ จากคุณ : ปลาเป็นวิ่งทวนน้ำ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 19:30:34

ความคิดเห็นที่ 96 เปรียบเทียบกันง่ายๆ เมื่อวาน กับ พรุ่งนี้ มีไหม ว่าโดยสัจจะ ไม่มี มีแต่ปัจจุบัน ว่าโดยสมมติ มี เพราะเราผ่านมาแล้วและกำลังจะพบ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะเลือกเชื่อแบบใด แต่ผมเชื่อพระพุทธเจ้า ที่ตรัสเตือนว่า ไม่ว่าจะมีชาติหน้าหรือไม่ก็ตาม ก็ขอให้เราทำดีไว้ก่อน แล้วจะไม่เสียใจและเดือดร้อนในภายหลัง ถ้าหากมีชาติหน้า เราจะได้เกิดมาพบแต่สิ่งดี เพราะเราทำกรรมดี ถ้าหากไม่มี เราก็จะได้พบแต่สิ่งดีดี ในปัจจุบันนี้ จากคุณ : tiger18 เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 19:40:15

ความคิดเห็นที่ 97 ถ้ามีชาติหน้า ก็ต้องมีชาติที่แล้ว ถ้ามีชาติที่แล้ว ทำไมเราจำไม่ได้ ? ต้องหาเหตุผลมาประกอบอีก ถ้าบอกว่ามีแต่ชาตินี้ เกิดมาเริ่ม 0 ตายไปก็จบกัน ดูสมเหตุสมผลมากกว่า จากคุณ : kidarmy เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 19:49:53

ความคิดเห็นที่ 98 ส่วนตัวไม่เชื่อ  แต่จะบอกก็ไมไ่ด้ว่ามีหรือไม่มีเพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ของแบบนี้ต้องรอตอนตายรู้แน่ สมมุติว่าถ้ามีจริงก็คงจะฉุกคิดว่า อ๊ะ มีจริงๆด้วย  แล้วก็ไปเกิดใหม่ ลืมทุกอย่าง แล้วก็กลับมาเถียงกันต่ออีกว่า ชาติหน้ามีจริงไหม  กลายเป็น loop ทันที จากคุณ : Desolation Angel เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 20:22:38

ความคิดเห็นที่ 99 ไม่มีอะไรให้ถกเถียง (เพราะคงไม่มีวันจบ) ก็เอาเป็นว่าตอบสั้นว่า ไม่เชื่อ ก็แล้วกันนะครับ จากคุณ : art_sarawut เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 20:36:12

ความคิดเห็นที่ 100 ทำไมมนุษย์มักจะยกระดับตัวเองขึ้นมาเหนือกว่าสัตว์อื่นๆ ทั้งๆ ที่สิ่งมีชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ชาติหน้ามีจริงไหมไม่มีใครทราบ แต่วัฏจักรของสิ่งมีชีวิตก็คงดำเนินต่อไป.. เรื่อยๆโดยไม่เปลี่ยนแปลง บุญและกรรม ก็เช่นเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อยกระดับจิตใจให้เหนือกว่าสัตว์โลกทั่วไป.. สิงโตที่ฆ่ากวางเป็นอาหารเมื่อวันนี้และตลอดไป.. มันจะได้รับกรรมที่มันทำหรือไม่.. คุณฆ่าคนหนึ่งคนกับมดหนึ่งร้อยตัว.. คุณให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน.. หนึ่งชีวิต หนึ่งจิตวิญญาณ มันเท่ากันหรือ.. จากคุณ : รอยหยัก เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 20:59:14

ความคิดเห็นที่ 101 เชื่อว่าไม่มีชาติหน้า เชื่อว่าชีวิตนี้มีชีวิตเดียว เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว แต่ตายแล้วไม่ดับสูญ ยังคงเป็นพลังงานที่ดำรงอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร์ในโลกวิญญาณ   ชีวิตสามโลก ชีวิตในครรภ์ อสุจิที่เจาะเข้าไปผสมกับไข่ก่อให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์และพัฒนาจนกลายเป็นตัวอ่อน เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในครรภ์ของมารดา เด็กที่อยู่ในครรภ์ไม่เคยรู้ว่าโลกภายนอกนั้นมีอยู่ เค้าค่อย ๆ เติบโตขึ้นจนถึงอายุขัยที่จะต้องออกจากครรภ์มาสู่อีกโลก ชีวิตในโลกที่มองเห็นได้ เด็กเมื่อคลอดออกมาสู่โลกที่มองเห็นได้ที่เราทุกคนใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เค้าค่อย ๆ เติบโตขึ้น เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย และใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ จนถึงวันหนึ่งที่เค้าหมดอายุไข และจากโลกนี้ไป เรียกง่าย ๆ ว่าตายนั่นแหละ ชีวิตในโลกที่มองไม่เห็น เรียกง่าย ๆ โลกวิญญาณ มีจริงหรือไม่เถียงกันไปก็เถียงกันมา สิ่งที่มองไม่เห็น ใช่ว่าจะไม่มีอยู่ พลังงานที่เราจับต้องไม่ได้มองไม่เห็นแต่มันก็มีอยู่ วิญญาณคืออะไรมีจริงไหม โลกวิญญาณมีจริงไหม ใครไม่เชื่อก็คงต้องลองตายดูเมื่อนั้นจะรู้คำตอบเอง เด็กที่อยู่ในครรภ์แม่ไม่ดูแลตัวเองให้ดี ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์ หรือกินสิ่งที่ไม่เหมาะสม สารทุกอย่างถูกส่งต่อถึงลูกน้อยในครรภ์ ย่อมมีผลต่อสุขภาพของเด็กฉันใด การใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างประมาทกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย ไม่ได้กระทำสิ่งดีงามอะไรมากนัก ก็ย่อมส่งผลต่อวิญญาณของตนเอง เด็กที่แม่กินสิ่งที่ไม่มีประโยชน์หรือมีโทษต่อร่างกายลูกน้อย เช่นสุราหรือยาเสพติด ย่อมส่งผลให้ลูกในครรภ์ได้รับอันตรายจากสารเหล่านั้นด้วย เมื่อเด็กคลอดออกมาแบบพิกลพิการ ชีวิตบนโลกนี้ของเด็กคนนั้นก็กลายเป็นคนพิการไปจนชั่วชีวิต คล้าย ๆ กันเมื่อใครคนหนึ่งใช้ชีวิตในหนทางที่ชั่วร้าย จิตวิญญาญของเค้าคนนั้นย่อมมัวหมองไปตลอดกาลด้วยเช่นกัน เรื่องกลับชาติมาเกิดเชื่อว่าไม่มี ตายแล้วตายเลย ไม่ได้กลับมาเกิดอีกแน่ๆ   ระลึกชาติคืออะไร ทำไมมีคนบางคนระลึกชาติได้ เชื่อว่านั้นเป็นวิญญาณของปู่ย่าตายายหรือญาติที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้นต้องการบางอย่างจึงสื่อสารผ่านคน ๆ นั้นมากกว่า ประเด็นชีวิตนี้มีชีวิตเดียว เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว เมื่อตายแล้วได้พบความจริงที่ตอนยังไม่ตายไม่เคยรู้ อยากกลับมาแก้ไขก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะตายไปแล้ว สิ่งที่ทำได้คือพยายามบอกคนที่อยู่บนโลก ความเชื่อส่วนตัวล้วน ๆ เชื่อแบบนี้อ่ะนะ ใครไม่เชื่อก็แล้วไป จากคุณ : มุนีน้อย เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 21:16:46

ความคิดเห็นที่ 102 มีใครจำเหตุการณ์ตอน 1 ขวบได้มั้ย มีใครรู้เหตุการณ์ตอนอายุ 100 ปีมั้ย ถ้าให้ จิต เป็นรูปแบบพลังงานชนิดนึง ที่ยังไม่มีเครื่องมือสมัยนี้วัดได้ และมีโปรแกรม AI ที่เรียนรู้ได้เอง และมี วินโด อยู่คู่กันกับ จิต ให้ร่างกายเป็นเหมือน Hard ware คราวนี้ตอนเริ่มเกิดตัว Hard ware มันจะยอมรับ แค่ส่วน วินโด พอรันโปรแกรมเสร็จ ก็จะรับ ส่วน AI แต่จะบังคับให้ ส่วนนี้ เริ่มที่ศูนย์ใหม่ (คือเริ่มเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่แรก) อาจจะเป็นเพราะ ตัว Hard ware มีข้อจำกัด สำหรับส่วน AI นี้ในช่างแรกๆ พอ AI เริ่มพัฒนา มันก็สั่งให้ พัฒนา Hard ware ด้วย ทำไมมีบางคนจำชาติที่แล้วได้ (อาจจะมี หรือ ไม่มี) เพราะ อาจจะมี AI บางตัวที่พัฒนา ถึงขนาดที่ว่าเอาข้อมูลบางส่วน ไปฝังไว้กับตัว วิโด หรืออาจเกิดความผิดพลาดที่ตัว วินโดเอง หรือถ้าเริ่มระรึกชาติได้ในช่วงอายุนึงสมมติสัก 60 ปี อาจเป็นได้ที่พัตนาตัวโปรแกรมจนถึงขั้น จำรองระบบปฏิบัติการณ์ขึ้นมาอีกตัว และสามารถ ไปกู้ข้อมูล ของเก่าที่ถูกลบไปกลับคืนมาได้ ปล.ตอบในส่วนของกระทู้ ตอบว่าไม่รู้ครับ เพราะอาจจะ มี หรือ ไม่มีก็ได้ ยังไม่ได้พิสูจน์กันนิ จากคุณ : ก็เพ้อเจ้อไปเรื่อย เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 21:18:50 A:202.149.127.130 X: TicketID:283347

ความคิดเห็นที่ 103 ถ้าพูดตามแนวท่านพุทธทาส กับท่าน ว วชิรเมธี ท่านจะพูดทำนองที่ว่า ชีวิตเราก็เหมือนแม่น้ำจากปิงวังยมน่าน ไหลรวมกันเป็นเจ้าพระยา ชีวิตชาตินี้ชาตินี้ก็เป็นแบบนี้ เหมือนไม่เชื่อว่ามีวิญญาณเป็นดวงๆ เป็นแค่กองกิเลสเป็นสิ่งปรุงแต่งเกิดดับ เกิดดับ คือ .. เราอ่านไม่เยอะมากเท่าไหร่นะ ไม่รู้จะตีความถูกป่าว จากคุณ : n-OO//bit-a เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 21:23:33

ความคิดเห็นที่ 104 ชาติหน้ามีจริงๆ ครับ อย่างนี้ครับ ร่างกายของเรา เกิดจากการรวมตัวกันของสารประกอบต่างๆ เมื่อเราตาย และเน่าเปื่อยไป สารประกอบเหล่านี้ อาจกลับมารวมกันใหม่ ปฏิสนธิกันใหม่ ภายใต้เงิืนไข หรือสภาวะเดิม หรือใกล้เคียงของเดิม โครงสร้างร่างกายต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างสมอง หรือโครงสร้าง DNA ก็จะเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงของเดิม บวกกับสภาพแวดล้อมที่เหมือนเดิม ก็จะได้ตัวเราเหมือนเดิม แต่โอกาสก็ยิ่งน้อยลงไปอีกที่จะให้สภาวะแวดล้อมของการเติมโตเหมือนเดิม พูดง่ายๆ คือ มีความเป็นไปได้ในเรื่องของการเกิดใหม่ เกิดซ้ำ แต่ความเชื่อมโยงกันในแต่ละชาติ โดยตัวเราเองนั้น คงไม่อาจเชื่อมโยงกันได้ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 21:33:41

ความคิดเห็นที่ 105 ส่วนเนื้อคู่นั้น หรือความที่เราถูกชะตากับใครสักคน ไม่ถูกชะตากับใครสักคน อันนี้ผมก็ไม่เคยใส่ใจในรายละเอียดเลย มันแปลกเหมือนกัน ที่บางทีเราชอบขี้หน้าคนนี้ แต่เรากลับไม่ชอบขี้หน้าคนนี้ ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยได้คุ้นเคยกันมาก่อน เรื่องนี้แปลกมาก จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 21:38:06

ความคิดเห็นที่ 106 เพิ่มอีกนิด ชอบคำนี้ ตายแล้วไปที่ชอบ ๆ นะ เชื่อว่าตายแล้วได้ไปที่ชอบ ๆ ที่ชอบ ๆ ในที่นี้หมายถึงที่ ๆ ตรงกับตัวตนของคน ๆ  นั้น เช่นคนที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวก็จะได้ไปอยู่กับคนที่ชอบเห็นแก่ตัวด้วยกัน คนที่ชอบแบ่งปันก็ได้ไปอยู่กับคนที่ชอบการแบ่งปันด้วยกัน ลองคิดดูที่ ๆ มีแต่คนเห็นแก่ตัวมาอยู่ด้วยกันมันจะเป็นเช่นไร เมื่อมีแต่ความเห็นแก่ตัว ความริษยา เกลียดแค้น ชิงชัง  สภาพแวดล้อมแบบนั้นเรียกนรกได้ไหม แล้วที่ ๆ มีแต่คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันอยู่ด้วยกันมันจะเป็นเช่นไร ที่ ๆ เต็มไปด้วยความรัก ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สภาพแวดล้อมแบบนั้นเรียกสวรรค์ได้ไหม แล้วอะไรคือสิ่งที่จะคัดกรองให้เราไปอยู่ในสวรรค์หรือนรกล่ะ จิตใจของเราหรือเปล่า ไม่มีใครมาชี้นิ้วบอกให้เราไปที่ไหนได้ทั้งนั้น เราเป็นคนกำหนดเอง จิตใจของเรากำหนดเองว่าเราชอบแบบไหน ฝึกกระทำคุณงามความดี ขัดเกลาจิตใจตัวเองเสียแต่วันนี้ย่อมดีกว่า จากคุณ : มุนีน้อย เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 21:39:13

ความคิดเห็นที่ 107 ผมเชื่อนะครับ เชื่อว่าพลังงานไม่มีวันศูนย์สลาย แปรเปลี่ยนไปเป็นอื่นไม่มีที่สิ้นสุด ผมได้แต่คิดว่า....ถ้าคนเรารู้ว่ามีชาติหน้าจริงๆจะเกิดอะไรขึ้นครับ ผมเห็นภาพของการที่ทุกคนเห็นว่าชาติหน้ามีจริงคือ....... ทุกคนจะทำชาตินี้ดีมากๆ ไม่กล้าทำชั่ว จะเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า คนทำดีเพราะกลัว ทำดีเพราะอยากจะได้ดี ทำดีเพราะรู้เบื้องหน้าวจะเป็นอย่างไร และรู้ว่าชาติหน้าจะเป็นอย่างไร คนทำความดี ด้วยความหวัง ด้วยความอยาก เกิดอะไรขึ้นครับ กิเลสมหาศาล โลกจะเต็มไปด้วยกิเลส เกิดสงครามเพราะความอยาก เเก่งแย่งกันทำความดีเพื่อชาติหน้า เห็นไหมครับ คนเรารู้ว่ามีชาติหน้าจริงๆ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ความรัก โลภ โกรธหลง ยังคงอยู่คู่กับมนุษย์ไปตลอด การรู้ว่ามีชาติหน้าไม่ได้ดับความเป็น "คน" ได้ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงไม่ได้ทรงสอนให้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับชาติหน้าครับ ทรงสอนให้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา เมื่อเรารู้ทุกอย่างภายในตัวเราแล้ว เราจะรู้ทุกอย่างในมหาจักรวาล คราวนี้จะมีชาติหน้าหรือไม่มีก็ไม่สำคัญครับ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าชาติหน้ามีจริง แต่ยังเต็มไปด้วย รัก โลถ โกรธ หลง รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรครับ เหมือนเรารู้ว่า 2+3=5 แล้วงัยครับ เป็นจริงแล้วงัย เราต้องผจญกับทุกข์ สุขสลับกันไป จนหมดลมหายใจเหมือนกันทุกคน จากคุณ : ozone*tity เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 22:05:40

ความคิดเห็นที่ 108 ถ้าเกิดว่าอยู่ๆ สิ่งมีชีวิตโดนเชื้อโรคเล่นงานเป็นหมันกันทั้งโลก ชาติหน้าหายสิครับพี่น้อง จากคุณ : ผมมันมั่ว เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 22:23:33 A:58.9.254.200 X: TicketID:255989

ความคิดเห็นที่ 109 ลองเอาคำถามเดียวกันนี้ไปถามที่ห้องศาสนาดูสิ น่าจะได้อะไรที่แตกต่างบ้างนะ จากคุณ : ac_toto เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 22:51:30

ความคิดเห็นที่ 110 เรื่องเนื้อคู่นี่ไม่รู้จะเชื่อหรือไม่เชื่อดีนะ คือเคยเจอกรณีหมอดูทักว่าจะเจอเนื้อคุ่แบบนี้ บอกบุคคลิกลักษณะ และระดับการศึกษาว่าจบมาจากประเทศอะไรอีกต่างหาก(ดีนะที่ไม่ได้บอกชื่อและนามสกุลไว้เลย..หุหุ..) พอเดือนต่อมาได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์งาน พอเจอหน้าคนที่จะสัมภาษณ์งานมันเกิดความรู้สึกคุ้นหน้ามาก ยิ่งนั่งมอง(คือเค้าปล่อยให้รอซักพัก ปล่อยให้นั่งดุเค้าทำงานไปพลาง ๆ) ก็นั่งดูเค้าทำงานไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกว่าเคยเห็นคนคนนี้ที่ไหนซักแห่ง แต่ก็นึกไม่ออก ตอนสัมภาษณ์งานเสร็จ เดินออกมานั่งรอรถเมล์ก็ยังเกิดคำถามคาใจอยู่ว่าเคยเจอที่ไหน นั่งในรถเมล์ก็มีหน้าคนคนนี้วนอยู่ในหัวว่าเคยเจอที่ไหน แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ก็จนได้มาร่วมงานกันก็เริ่มมองกันแล้ว และเริ่มมีคนในแผนกพูดถึงการศึกษาของเค้า อ้าวทำไมมันออกตรง ๆ ล่ะเนี่ย และตอนนั้นเริ่มปิ๊งกันแล้ว คนในแผนกเริ่มจับได้แล้ว ส่วนตัวแล้วรุ้สึกว่าเรามีบุคคลิกคล้าย ๆ กันมาก และต่อมาก็เริ่มรู้ว่าเค้าเป็นใคร คราวนี้ไม่รู้จะเอายังไงดี จะถอยหรือจะอยู่ต่อ สุดท้ายถอยดีกว่า เพราะกลัวเจ็บกว่านี้ ขึนอยุ่ต่อเกิดรักมากกว่านี้ เพราะรู้ตัวว่าตัวเองก็แค่เด็กบ้านนอกที่เข้ามาทำงานและเรียนใน กทม. เฉย ๆ เค้าเป็นใคร เราเป็นใคร เลยเลือกที่จะตัดใจ ลาออกจากงานซะ (ตอนนั้นมั่นใจว่าตัวเองคงจะเจ็บไม่มากหรอก เพราะเป็นคนที่ดูแลใจตัวเองได้ในเรื่องนี้ ไม่เคยจะเป็นจะตายกับใคร เพราะรักคนยาก) แต่กับคนคนนี้เรียกว่ากลับตาละปัด ตอนจากมาใหม่ ๆ นั้นใจเกือบตาย หัวใจนี่หนักหน่วง คือรุ้สึกว่าถ้าเอาเข็มจิ้มหัวใจนี่เลือดไหลออกมาคงจะเป็นเลือดแบบช้ำหนองน่ะ เจ็บแบบจุก ๆ อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไห้ไม่ออก รู้แต่ว่าคิดถึงแบบทรมาณมาก มีอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นหลายเดือน ถึงกับต้องไปหาหมอเพื่อขอยานอนหลับมากิน คุณหมอให้ได้แค่ยาคลายเครียด ตอนนั้นนี่ผอมกะหร่องเลย ในชีวิตไม่เคยคิดจะโทรหาผู้ชายก่อน แต่กับคนคนนี้ทำให้ยอมเลย คิดถึงมากแบบเหมือนตัวเองจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาโทรหา เพราะตัวเองเลือกตัดใจลาออกจากงานแล้ว สุดท้ายเลยได้เหตุผลว่าขอให้เค้ามาค้ำประกันงานใหม่ให้ พอโทรหาและได้ยินเสียงจึงเริ่มดีขึ้น เริ่มมีรอยยิ้มให้เพื่อน ๆ ได้เห็น ในปีที่จากมาปีแรกนั้นนี่ได้งานใหม่สองที่ก็ทำงานไม่ได้ คือใจสะเปะสะปะไปแบบเหมือนคนขาดสติ เพื่อนที่พักอยู่ด้วยกันเห็นอาการก็อดสงสัยและเป็นห่วงไม่ได้ ไม่เคยเห็นเป็นคนแบบนี้ (เรียกว่านี่คืออาการอกหักครั้งแรกในชีวิต จากรักครั้งแรก เพราะปกติเป็นคนรักคนยาก) นั่นคือเมื่อช่วงปี 2538 - 2539 นะ คือถึงจะจากมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืมคนคนนี้ ก็จนเมื่อราว ๆ ปลายปี 2552 เริ่มเห็นรูป(ที่เป็นรูปเดิม ทำให้จำได้)ในไฮไฟ คือปกติก็จะเสริชดูข้อมูลเค้าอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่เคยคิดจะติดต่อกลับ ได้แต่แอบดูแบบมีความสุขไปด้วย พอเห็นรูปในไฮไฟ เกิดอาการเขินรูป(แอบขำตัวเองเหมือนกันว่าความรุ้สึกยังคงเหมือนเดิมแฮะ) และก็เริ่มเห็นรูปที่เป็นปัจจุบันขึ้นในเฟสบุ๊ค ก็ทำให้รู้ว่า อืมมม...หน้าตาตอนอายุเท่านี้เป็นแบบนี้เหรอ เพราะคนเราจากกันมาตั้งสิบกว่าปี หน้าตาเปลี่ยนไปมากพอสมควร (แต่ก็ไม่แก่เท่าไหร่นี่นา...หุหุ..) และความรู้สึกตัวเองตอนนั้นยังปกติ เหมือนรู้ว่านั่นคือคนที่เราเคยรักมากในอดีต แต่ก็มีความสุขที่ได้รับรู้ข่าวคราวของเค้า จากนั้นเมื่อกลางปี 2553 ตัวเองก็เลยอัพบล็อกขอบคุณไฮไฟ เฟสบุ๊คและก็บล็อกแก็งค์ ที่ทำให้คนที่จากกันมาตั้งสิบกว่าปีได้มีโอกาสรับรู้ข่าวคราวของกันและกัน(คือตัวเองรับรู้จากการดูรูปเค้าในไฮไฟและเฟสบุ๊คเท่านั้น ส่วนเค้าก็คงจะรับรู้จากการอ่านบล้อก แต่ตอนนั้นตัวเองก็ไม่เคยติดต่อกันเลย) จำได้ว่าโพสต์บล็อกนั้นเมื่อ 16 ก.ค. 2553 หลังจากอัพบล้อกนั้นแล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีอากาสแปลก ๆ รู้สึกว่าคิดถึงแต่ก็ยังไม่มากนะ แต่พอวันที่ 18 ก.ค. นั่นแหละ เรียกว่าใจน็อคเลย เกิดอาการหัวใจหน่วงหนักแบบบีบรัดตัว เริ่มมีอาการนอนซม คิดถึงจนร้องไห้เลย เช้าวันนั้นแฟนจะไปโบสถ์ พอแฟนเดินมาบอกว่าจะไปโบสถ์แล้วนะ ก็เลยบอกแฟนว่า "Please pray for me too." คือตอนนั้นรู้ว่ามีอาการจุกอยู่ข้างใน พอแฟนกลับมาเห็นอาการซึม ๆ แฟนถามว่าเป็นอะไร เท่านั้นแหละ น้ำตามันหลั่งออกมาเลย เหมือนคนอกหักเลย นั่นก็คืออาการเริ่มเข้าสู่ภวังค์รักแล้ว ต่อมาก็เริ่มคิดถึงแบบกินไม่ได้นอนไม่หลับจริง ๆ แล้ว เรียกว่าเห็นภาพหน้าคนบางคนมาแบบเป็นสไลด์เลย อาการสปาร์คเหมือนผีเสื้อบินว่อนอยุ่ในท้องกลับมาอีก (คือตอนที่ปิ๊งกันนั้นสังเกตุว่าเมื่อใดที่ตัวเองมีอาการสปาร์คในท้อง ก็จะเห็นเค้าเดินมามองที่หน้ากระจก คือเหมือนสิ่งที่เราสองคนสื่อสารกันอีกทางอะไรประมาณนี้) ช่วงที่อยู่ในภวังค์นั้นแฟนต้องพาไปไหนมาไหนเพื่อให้มีสติกลับมา และอาการเจ็บหัวใจตอนนั้นนี่หนักกว่าเดิม รู้สึกได้เลยว่าเหมือนหัวใจสองดวงขยุ้มกันอยู่เลย เจ็บปวดหัวใจมาก ทรมาณพอสมควร ตอนกลางคืนไม่ได้นอนแต่ตอนกลางวันกลับไม่ง่วงครับท่าน ตอนนั้นตั้งใจสุ้ว่าจะไม่ติดต่อกลับ แต่อยุ่ ๆ เลยลองติดต่อกลับเพื่อให้อีกฝ่ายเอารุปออกจากไฮไฟได้มั๊ย เพราะควาามรุ้สึกคิดถึง(เหมือนที่เคยเป็นตอนจากมาใหม่ ๆ นั้นมันกลับมาอีกแล้ว) และอีกฝ่ายก็เอารูปออกจากไฮไฟให้ แต่ตอนนั้นสายไปเสียแล้ว เรียกว่าเผลดกระหน่ำส่งอีเมลไปหาเป็นว่าเล่น เพ้อซะใหญ่ โอ้โห..เหมือนคนขาดสติ (พอเริ่มมีสติ ก็อ้าว นี่ฉันไปกันใหญ่แล้ว กระหน่ำส่งอีเมลเป็นว่าเล่น...หุหุ..) และตอนนั้นมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วงนั้น มันอธิบายออกมาเป็นคำพุดไม่ได้ มีเรื่องราวเหลือเชื่อที่ยังคิดว่าเป็นไปได้ยังไง แถมเสียงในหัวนี่คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ คุยกันถึงเรื่องราวในอดีตเลย ความรุ้สึกเหมือนที่เราเคยทำงานด้วยกันอยู่เลย (เหมือนตัวเองกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง เกิดอาการบ้าถึงขนาดไปเซฟรูปอีกฝ่ายมาตัดแปะพร้อมกับรูปตัวเองแล้วเก็บไว้ในคอมฯ เลย... พอเริ่มมีสติ เริ่มรู้ตัวก็ได้แต่ขำตัเองและก็จัดการลบรุปนั้นออกไปแล้ว..หุหุ..) ตอนนั้นนี่คุยกันแบบใช้ความคิดคุยกัน(สื่อสารกันทางความคิด) อาการเจ็บหัวใจก็ยังคงอยู่เรื่อย ๆ แถมมีวันนึงเหมือนตัวเองพอมีสติ กะว่าจะตัดใจอีกครั้ง แต่เกิดอาการหัวใจจบีบรัดตัวแรงมาก เหมือนหัวใจจะแตกสลายเลย แบบปวดร้าวตรงกล้ามเนื้อหัวใจ จนทำให้นึกถึงคนที่เค้าหัวใจวายตายนี่ว่าเค้าจะเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจแบบนี้ไหม และช่วงนั้นนี่มีการโต้ตอบกันทางบล็อกนี่แหละเป็นตัวช่วยให้รับรูด้วยว่าเสียงที่เราสื่อสารกัน(ในหัว)นี่คือเราสื่อสารกันจริง ๆ (แต่ก็ยังอยู่ในภาวะที่สลึมสลือ แบบอยู่ในภวังค์อยู่) เพราะอีกฝ่ายก็เอามาโพสต์ในบล็อกให้เราอ่านและรู้เป็นนัย ๆ อีกอย่างในช่วงอยู่ในภวังค์นั้นไปเปิดดูอัลบั้มรูปตอนรับปริญญาตอนที่พี่ ๆ น้อง ๆ ในแผนกซื้อให้ และมีการเขียนการ์ดให้ และก็ไปเจอบันทึกของตัวเองถึงได้รู้ว่าวันที่เราเจอกันวันแรกคือวันที่ไปสัมภาษณ์งานคือวันที่ 18 ก.ค. 2538 อ้าว..เรามาเกิดอาการใจน็อคอีกครั้งในสิบกว่าปีต่อมาในวันที่ 18 ก.ค. 2553 ตอนนั้นแฟนเห็นอาการแล้วก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ได้แต่ปลอบใจว่า "บางทีชาติที่แล้วคุณกับเค้าอาจจะเคยเกิดเป็นคู่แฝดกันก็ได้นะ คือรักและผูกพันกันมาก แต่ก็ไม่สามารถจะใช้ชีวิตร่วมกันได้" จากไอเดียเรื่องคู่แฝดที่แฟนพูดปลอบใจนี่แหละเลยทำให้ตัวเองเริ่มเสริจหาคำตอบทาง google ก็ไปเจอคำตอบที่ใกล้เดียงที่สุดคือเรื่องของ Twin Flame ก็หาอ่านเรื่องนี้มาเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ใกล้เคียงที่สุด และยิ่งไปอ่านเจอเรื่อง Twin Flame Magic จากลิงค์นี้ http://lightworkers.org/blog/116747/twin-flame-magic ก็ยิ่งรู้สึกว่านี่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองชัด ๆ นี่ โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "During the testing stages, you are going nuts or loosing your mind. This is common among Twins." คือก็พากันบ้าสลึมสลือไปพักนึงนี่นา แถมกลับมามีสติเองได้โดยไม่ต้องไปหาหมอหรือนักจิตวิทยาอะไรเลย เหมือนหลุดโลกไปอยู่ในความฝันในอดีต เรียกว่าย้อนเวลาไปหาความรู้สึกในอดีตกันซักพักแล้วก็พากลับมาได้เอง...หุหุ.. ตอนนั้นเกิดทั้งความสุขและความทุกข์แบบมีอาการซึมเศร้า และก็มีเรื่องราวอะไรมากมายที่เราได้รับรุ้จากการสื่อสารกันทางความคิด(โทรจิต) แต่ก็พยายามตั้งสติให้ได้ ก็จนเริ่มมีสติกันในช่วงปลายเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว เลยเริ่มโทรศัพท์พิสูจน์กันตรง ๆ ก็เป็นอันมั่นใจว่าเสียงที่เราได้ยินกันในภวังค์นั้นคือเสียงความคิดที่เราสื่อสารกันเองระหว่างเราสองคน ตอนนี้สตินี่กลับมาจริง ๆ แล้ว แต่อาการเจ็บหัวใจก็ยังคงอยู่ และที่สำคัญในช่วงปลายปีที่แล้วก็ไปตรวจสุขภาพประจำปี คุณหมอก็ตรวจหัวใจให้ ทุกอย่างปกติดี แต่ทำไมอาการเจ็บหัวใจก็ยังคงอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ เพียงแต่ระดับความเจ็บนั้นก็ลดลงเรื่อย ๆ ตามเวลา ปล. อ่านแล้วอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อหน่อยนะคะ แต่นี่คือประสบการณ์จริง และคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนคนนึง แค่อยากเล่าว่าเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี ต้องเจอด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจว่ามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ ส่วนเรื่องเนื้อคู่นั้นก็ไม่รู้มีจริงหรือไม่มีจริง(ที่สำคัญช่วงเวลามันผ่านมาแล้ว จะย้อนกลับไม่ได้แล้ว) แต่ที่ตัวเองเชื่อแน่ ๆ คือ "จิตวิญญาณ" ของคนสองคนที่ผูกพันกันนั้นคงจะมีจริง จึงทำให้คนสองคนกลับมาเจอกันได้อีก(ถึงแม้จะเป็นเพียงโลกไซเบอร์ก็เถอะ) แต่ตัวเองก็ไม่ได้ไปงมงายว่ามีหรือไม่มี ก็ยังคงขอใช้ชีวิตแบบมีสติกับชีวิตปัจจุบัน ส่วนความรู้สึกรักและหวังดีที่มีให้กับคนที่ตัวเองเคยรักนั้นก็จะยังคงมีอยู่ตลอดไป จากคุณ : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน... (JC2002) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 22:56:37

ความคิดเห็นที่ 111 ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ วิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์กันรู้ไปนานแล้วครับ เพียงแต่พื้นที่เกี่ยวกับทางนี้ยังไม่แพร่กระจายไปมากนัก ส่วนคำตอบก็คือ ชาติหน้ามีจริงครับ จากคุณ : นักคิดหมายเลข 1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 23:01:20

ความคิดเห็นที่ 112 ไม่เชื่อครับ จากคุณ : ผมไม่เกี่ยวผมมาซื้อลูกชิ้น เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 23:04:45

ความคิดเห็นที่ 113 เชื่อล่ะกัน ดูมีหวังดี จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 23:05:47

ความคิดเห็นที่ 114 ผมเชื่อครับ จากคุณ : ผมรู้..คุณรักผม เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 23:32:26

ความคิดเห็นที่ 115 เชื่อ จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 23:35:06