 |
Bullet3 สุขภาพ: ผลการวิจัยเรื่องสมาธิในเชิงวิทยาศาสตร์
เฮลท์ ดอดคอม - คุณไม่จำเป็นต้องพระในการรับประโยชน์จากการทำสมาธิ จากผลของการศึกษาในเรื่องนี้ล่าสุดชี้ให้เห็นว่า เพียงการทำความเข้าใจเรียนรู้ในเรื่องการทำสมาธิในช่วงสั้นๆก็สามารถช่วยแต่ ละบุคคลในเรื่องของอาการเจ็บปวดได้ การทำสมาธิสามารถที่ช่วยเรื่องการจัดการกับความเจ็บปวด, อาการวิตกกังวล และอาการป่วยหรือปัญหาทางจิตได้ - ภาพจากซีเอ็นเอ็น การทำสมาธิสามารถที่ช่วยเรื่องการจัดการกับความเจ็บปวด, อาการวิตกกังวล และอาการป่วยหรือปัญหาทางจิตได้ - ภาพจากซีเอ็นเอ็น
ในการศึกษาค้นคว้าโดยหลักวิทยาศาสตร์ในเรื่องการทำสมาธิในครั้งนี้ นักวิจัยใช้วิธีการทดลองโดยการใช้ความร้อนเผาไหม้ผิวของผู้เข้ารับการทดลอง 15 คนมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายในช่วงเวลาทดลอง 2 ครั้งด้วยกัน โดยครั้งหนึ่งจะเป็นช่วงก่อนที่ผู้เข้ารับการทดลองจะเข้ารับการเรียนเรื่อง การทำสมาธิในเวลา 20 นาที และอีกครั้งหลังจากที่เข้าเรียนเรื่องการทำสมาธิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการวิจัยในครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน
นักวิจัยรายงานต่อไปว่า ในช่วงระหว่างการทำวิจัยช่วงที่สองหลังจากเสร็จสิ้นการวิจัยด้วยการถูกเผา ด้วยความร้อนก่อนและหลังการเรียนเรื่องทำสมาธิในครั้งแรกแล้ว เมื่อผู้เข้าร่วมการวิจัย 15 คนเริ่มทำสมาธิอีกครั้ง การใช้ความร้อน 120 ดีกรีฟาเรนไฮต์เผาที่ผิวที่น่องดูเหมือนว่าจะมีแรงกระตุ้นให้เกิดความเจ็บ ปวดน้อยลง 57 เปอร์เซ็นต์ และดูเหมือนว่าความร้อนที่ปะทะผิวหนังจะมีความรุนแรงลดลง 40 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ยแล้ว
ดอกเตอร์ ฟาเดล ซีล์แดน ประธานคณะวิจัย และผู้วิจัย postdoctoral ของมหาวิทยาลัย Wake Forest University School of Medicine ในมลรัฐนอร์ธแคโรไลน่า กล่าวว่า "ผลวิจัยข้างต้นเป็นความรู้สึกของผู้ที่ร่วมการศึกษาที่ลดลงอย่างน่าสนใจที เดียว" โดยดอกเตอร์ฟาเดล กล่าวเสริมว่า ความเจ็บปวดที่ลดลงเพราะการทำสมาธินั้น เป็นความเจ็บปวดที่ลดลงได้มากกว่าผลของการวิจัยในรูปแบบเดียวกันโดยการใช้ยา บรรเทาหรือระงับความเจ็บปวดเช่นยามอร์ฟีน และการใช้วิธีการสกดจิต
ผลของการวิจัยในครั้งนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ Journal of Neuroscience ประจำวันที่ 6 เมษายน 2011
และผลของการวิจัยที่ได้รับดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจ แต่อย่างใด ผลของการวิจัยที่ผ่านๆมาพบว่า การทำสมาธิในรูปแบบของพุทธศาสนาหรือเป็นที่รู้จักของชนชาวตะวันตกว่า "การเจริญสติ (mindfulness meditation)" นั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้บุคคลสามารถที่จะจัดการกับความเจ็บปวด, ความวิตกกังวลหรือความเคลียส และปัญหาอีกหลายๆอย่างเกี่ยวกับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของแต่ละบุคคลได้ แต่จะบุคคลที่จะได้รับประโยชน์เช่นนี้จำเป็นต้องเข้ารับการศึกษาเรื่องการทำ สมาธิมากกว่าวันหรือสองวันอย่างแน่นอน
นายแพทย์โรเบริ์ท โบนาคดาร์ ผู้อำนวยการศูนย์การจัดการกับการเจ็บปวด ณ Scripps Cente ที่เมืองแซนดีเอโกกล่าวว่า ความจริงที่ว่าดอกเตอร์ฟาเดลและกลุ่มผู้ร่วมทำการวิจัยสามารถที่จะได้รับผล การวิจัยเช่นนี้ได้โดยการเข้ารักบารศึกษาเรื่องการทำงสามาธิเพียง 80 นาทีนั้นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่เดียว
ดอกเตอร์ฟาเดลกล่าวเสริมว่า "ถึงแม้ว่าประโยชน์สูงสุดจากการทำสมาธินั้นจะได้รับจากการฝึกฝนเรียนรู้ใน ระยะเวลาที่ยาวนาน แต่ผลจากการวิจัยในครั้งนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า ผลประโยชน์ของการทำสมาธินั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทั่วๆไป"
วิธีการทำสมาธิสำหรับการทำวิจัยในครั้งนี้เป็นวิธีการที่เป็นที่ รู้จักกันโดยทั่วไปว่า "สมถะ (Shamatha)" หรือ "หยุดหรือตั้งมั่น (focused attention)" เฉกเช่นเดียวกับการทำสมาธิในรูปแบบอื่นๆคือ การฝึกให้ตั้งมั่นเพ่งไปที่จิตและร่างกายของตนเองโดยที่ไม่ปล่อยให้ความคิด ของตนสร้างเสริมสิ่งต่างๆไปมากกว่าความเป็นของจิตและร่างกายของตน และในเวลาเดียวกันที่เพ่งไปที่ลมหายใจของตนเองหรือบริกรรมบทสวดมนต์
การสแกนสมองในช่วงการทำวิจัยในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เทคนิคการทำสมาธิเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเหตุในการเปลี่ยนระบบสมองของ ผู้เข้าร่วมทำวิจัยตอบสนองต่อความเจ็บปวด
ดอกเตอร์ฟาเดลรายงานถึงการทำวิจัยว่า ในการสแกนสมองดูส่วนที่เรียกว่า somatosensory cortex ที่เป็นส่วนของสมองรับความรู้สึกของมนุษย์ โดยก่อนที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะได้รับการเรียนรู้เรื่องการทำสมาธินั้น สมองส่วนนี้จะตอบสนองต่อความเจ็บปวดของผิวหนังช่วงน่องขาด้านขวาของผู้เข้า ร่วมทำการวิจัยเป็นอย่างมากเมื่อได้รับความร้อนเผา แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนเรื่องการทำสมาธิแล้วนั้น สมองส่วนดังกล่าวของผู้เข้าร่วมทำการวิจัยจะตอบสนองต่อความเจ็บปวดน้อยลงไป อย่างเห็นได้ชัด "ซึ่งผลของการสแกนสมองส่วยดั่งกล่าวในสองช่วงเวลานี้ ชี้ชัดว่าการทำสมาธิสามารถช่วยให้บุคคลนั้นสามารถรับรู้หรือจัดการกับความ เจ็บปวดที่ได้รับ โดยสมองเปลี่ยนการรับรู้ความรู้สึก"
ในเวลาเดียวกัน สมองส่วนที่รับผิดชอบในเรื่องการรักษาระดับความสนใจและการประมวลผลของอารมณ์ ของผู้เข้าร่วมการวิจัย จะมีการตอบสนองสูงขึ้นในช่วงของการทำสมาธิ และการตอบสนองของสมองส่วนนี้ดูเหมือนจะตอบสนองมากที่สุดสำหรับอาสาสมัครที่ รายงานว่า ความเจ็บปวดที่ได้รับจากความร้อนนั้น มีอัตราที่น้อยที่สุด
ดอกเตอร์แคทารีน แม็คลีน นักวิจัยเรื่องการทำสมาธิ และเป็น postdoctoral fellow ในสาขาจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins University กล่าวว่า ในความเข้าใจที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปนั้น การทำสมาธิผ่อนเบาความเจ็บปวดได้นั้น ไม่ใช่จากการปรับหรือขจัดความรู้สึกของแต่ละบุคคลในเรื่องความเจ็บปวด แต่การทำสมาธิจะเป็นการฝึกให้แต่ละบุคคลสามารถที่จะควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด ของตนเองได้
ดอกเตอร์แคทารีนกล่าวเสริมว่า จากผลของการสแกนสมองส่วนต่างๆในเวลาของการทำสมาธินั้นชี้ชัดแล้วกว่า ระบบการทั้งสองข้างต้นนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน โดยการทำสมาธิเป็นกุญแจในการเปลี่ยนธรรมชาติของความเจ็บปวดก่อนที่ความเจ็บ ปวดนั้นๆจะถูกรับรู้โดยแต่ละบุคคล และในเวลาเดียวกันการทำสามาธิก็สามารถที่จะช่วยให้แต่ละบุคคลสามารถที่จะ จัดการกับความเจ็บปวดได้ดีมากขึ้น
แต่คำถามที่สำคัญที่สุดจากการวิจัยในครั่งนี้อยู่ที่ว่า การทำสมาธินั้นจะเป็นกุญแจสำคัฐในการช่วยแต่ละบุคคลในการจัดการกับการเจ็บ ปวดในชีวิตจริงประจำวันได้หรือไม่ ความเจ็บปวดโดยเฉพาะความเจ็บปวดเรื้อรังนั้น เป็นสิ่งที่มีความแยบยลมากกว่าความเจ็บปวดที่ถูกสร้างขึ้นในห้องแลปสำหรับ การวิจัยเฉพาะเรื่อง และที่สำคัญความเจ็บปวดในชีวิตจริงนั้นมักจะมีสิ่งอื่นๆเช่น ภาวะซึมเศร้า และอาการแทรกซ่อนอื่นๆร่วมอยู่ด้วยในขณะที่บุคคลนั้นๆกำลังได้รับความเจ็บ ปวด
"ในบางเวลา ความเจ็บปวดนั้นมักจะมีความเกี่ยวข้องกับ "ความทุกข์" ที่ได้รับซะมากกว่าที่จะเป็นความเจ็บปวดด้วยตัวของมันเอง และ "ความทุกข์" นี้แหล่ะคือสิ่งที่ยากที่สุดในการให้การเยี่ยวยารักษา บางทีนะ การทำสมาธิด้วยวิธี "การเจริญสติ (mindfulness meditation)" นั้นอาจจะเป็นยาขนานเดียวที่จะใช้รักษาเยี่ยวยาสิ่งนี้ได้" นายแพทย์โรเบริ์ทปิดท้าย
รายงานโดยซีเอ็นเอ็น สรุปจากรายงานของ เฮลท์ ดอด คอม
จากคุณ |
:
F:A:B:R:E
|
เขียนเมื่อ |
:
วันแรงงาน 54 06:59:30
|
|
|
|
 |