ความคิดเห็นที่ 1 ต่อมา ในสมัยนารา-เฮอัน (ค.ศ.710-794) วิวัฒนาการ ของหม้อหุงข้าว ก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็น โอกิ-คามาโดะ มีแนวคิดให้ถูกสร้างขึ้นให้ใช้งานกลางแจ้ง มีภาชนะ แยกส่วน สำหรับบรรจุอาหารที่เรียกว่า ฮากามะ ซึ่งเป็นสิ้นส่วนภาชนะที่ใช้สำหรับทิ้งลงไปในหลุมที่ ถูกขุดไว้ด้านล่างโดยมี กองฟืนสำหรับหุงต้ม กลบไว้อีกที ในภายหลังการประดิษฐ์ภาชนะบรรจุข้าวสำหรับหุง ถูกสร้างขึ้นมาแก้ปัญหาข้อนี้โดยเฉพาะ โดยเน้นไปที่รูปแบบลักษณะเป็นทรงรี ถูกตีขึ้นด้วยโลหะ เรียกว่า โอกามะ ชาวญี่ปุ่นเรียก หม้อหุงข้าว ชนิดนี้ว่า มูชิ คามาโดะ กลางทศวรรษ 1920 ญี่ปุ่นเริ่มมีการทดลองพัฒนาผลิตภัณฑ์หม้อหุงข้าว ที่ใช้ไฟฟ้าขึ้นเป็นครั้งแรก สำเร็จในปี 1940 โดยบริษัท ที่เราคุ้นหูกันดีอย่าง มิตซูบิชิ อิเลคทริก เป็น หม้อหุงข้าวที่มีหม้อ และ ใช้ขดลวดนำความร้อนขดอยู่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานที่ดูใกล้เคียงกับหม้อหุงข้าวใ นปัจจุบันที่สุด และในภายหลัง บริษัทมัตซูชิตะ และ โซนี่ ก็ได้ผลิตหม้อหุงข้าวออกจำหน่าย เช่นเดียวกับ มิตซูบิชิ อิเลคทรอนิค แต่ความนิยมและเรื่องของการใช้งานนั้นก็ยังไม่ประสบค วามสำเร็จเท่าที่ควร จากคุณ : bobby the great เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:11:01

ความคิดเห็นที่ 2 กระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม ปี 1956 บริษัท โตชิบา ก็ได้นำหม้อหุงข้าวที่ทำงานอัตโนมัติ โดยไม่ต้องคำนวณเวลานั่งเฝ้า และทำการวางจำหน่ายทั้งหมด 700 เครื่อง ผลคือโตชิบาประสบความสำเร็จในการตลาดครั้งนี้ พอเริ่มรู้ทิศทางและความต้องการดีแล้ว โตชิบาก็เริ่มผลิตหม้อหุงข้าวไฟฟ้าอัตโนมัติ เพิ่มอีก 200,000 เครื่อง ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ซึ่งใน 4 ปี ต่อมาหม้อหุงข้าวไฟฟ้าก็เป็นที่แพร่หลายไปเกือบครึ่ง ประเทศ หากวิเคราะห์ดูแล้ว สาเหตุหนึ่งที่บริษัทโตชิบา ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ก็คงเนื่องมาจากเวลาและสายการผลิตที่รวดเร็ว และ ความแม่นยำ ในการวิเคราะห์ความต้องการตลาดและตอบโจทย์ผู้บริโภคไ ด้ จากคุณ : bobby the great เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:11:46

ความคิดเห็นที่ 3 คุณสมบัติของหม้อหุงข้าไฟฟ้า คือในขั้นตอนการหุงข้าว ในตอนนั้นจะใช้เวลาเพียง 20 นาที ซึ่งหม้อหุงข้าวไฟฟ้าในยุคนั้นจะมี 2 ชั้น ชั้นนอกสำหรับบรรจุน้ำ ส่วนชั้นในสำหรับบรรจุข้าว รูปแบบเทคโนโลยีหม้อหุงข้าวนี้ถูกใช้อยู่นานถึง 9 ปี ทั่วเอเชีย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหม้อหุงข้าวในยุคปัจจุบัน After ในปัจจุบันหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ถือว่าเป็นเครื่องใช้ที่สำคัญและจำเป็นมากในชีวิตประ จำวัน เนื่องจากหม้อหุงข้าวไฟฟ้ามีระบบการทำงานอย่างอัตโนม ัติ จึงอำนวยสะดวกและประหยัดเวลาในการหุงต้ม ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ จะมีบริษัทหม้อหุงข้าวเป็นจำนวนมาก ให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ แต่หลักการทำงาน หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ของทุกบริษัท ก็ยังคงมีหลักการทำงาน ที่คล้ายกัน เช่นเดิม คือ แผ่นแผ่กระจายความร้อนหรือแผ่นความร้อน เทอร์โมสตัท ที่ใช้ควบคุมอุณหภูมิ สวิตซ์ หลอดไฟบอกสภาวะการทำงาน หม้อหุงข้าวชั้นใน และ หม้อหุงข้าวชั้นนอก และ รุ่นใหม่มีฟังก์ชันการตั้งเวลาและอุณหภูมิ เสริมเช่นกัน จะยุคไหน สมัยไหน คนไทย ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องปากเรื่องท้อง เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนไปตอบโจทย์ความต้องการ และ ชี้ถึงแนวโน้มการทำงานที่สะดวกสบายขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่ง หม้อหุงข้าว ที่ดูดีๆแล้ว มันก็คือเทคโนโลยีพื้นฐาน แม้รูปลักษณ์และเสริมเสริมจะเปลี่ยนไปแต่ยังไงก็ได้ ผลลัพท์ออกมาเช่นกัน จากคุณ : bobby the great เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:13:11

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่กล้าปาดเลย อยากรู้จังว่ารู้ได้ไงว่าข้าวสุก หลักการยังไงเหรอครับ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 12:15:51 จากคุณ : มะขามดอง เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:14:30

ความคิดเห็นที่ 5 "New model, original parts" จากเวบ unigang.com คลังความรู้ จากคุณ : bobby the great เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:15:52

ความคิดเห็นที่ 6 หม้อไฟฟ้ายุคแรกบางอันใช้ไอน้ำข้างนอกหม้อเข้าไปนึ่งข้าว เป็นหม้อ 2 ชั้น จากคุณ : โจโฉผู้ปลอมราชโองการฮ่องเต้ เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:17:44 A:58.8.67.59 X: TicketID:065895

ความคิดเห็นที่ 7 จาก มุมมองคนญี่ปุ่น อันที่จริง ประเทศไทย หรือประเทศในแถบสุวรรณภูมิ ทำหม้อดิน สำหรับ หุงข้าวมาหลายพันปีแล้วครับ(จากหลักฐาน บ้านเชียง) หม้อดินสำหรับหุงข้าวมีรูปทรงโดยเฉพาะ กล่าวคือ ลักษณะกลมป่องตอนส่วนล่างมีคอคอดทางส่วนบน และมีปากเป็นเชิงผายออกเพื่อรองรับฝาละมีที่ปิดได้อย่างมิดชิดและเหมาะสม ขนาดของปากหม้อมีขนาดเล็กกว่าส่วนก้นหม้อ เพื่อสะดวกในการรินน้ำออกเวลา “ เช็ดน้ำข้าว ” หม้อหุงข้าวดินเผานี้จะมีเนื้อดินบางเป็นพิเศษกว่าภาชนะที่ทำด้วยดินอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะยิ่งบางความร้อนในการหุงต้มจะดีและไม่เปลืองเชื้อเพลิง ช่างปั้นหม้อจะมีวิธีทำให้เนื้อดินบางโดยการตีด้วยหิน ด้านในของผนังหม้อในขณะที่หม้อยังเป็นดินหมาด ๆ อยู่เรียกว่า “ ตีหม้อ ” หม้อที่ราคาแพงและคุณภาพดีจะมีเนื้อละเอียดบางและขัดผิดภาพนอกเป็นมันเงาน แหล่งผลิตหม้องดินเผาที่มีชื่อเสียงในภาพกลาง ได้แก่ บางตะนาวศรี ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จากคุณ : bobby the great เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:22:30

ความคิดเห็นที่ 8 หม้อดินสำหรับหุงข้าวอีกแบบ จากคุณ : bobby the great เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:24:15

ความคิดเห็นที่ 9 To คห.4 คำถามยอดฮิต จริงๆ มันไม่รู้หรอกครับว่าข้าวสุก แต่หม้อข้าวไฟฟ้า จะมีเทอร์โมสตัทตรวจสอบอุณภูมิครับ โดยอาศัยหลักการที่ว่า เมื่อข้าวสุกแล้ว คือไม่มีน้ำที่ก้นหม้อแล้ว ใช่ไหมครับ อุณหภูมิที่ก้นหม้อจะสูงกว่า 110 องศา C เทอร์โมสตัทก็จะตัดไฟครับ (จะได้ยินเสียงสปริงเด้ง แต๊ก)ไง จากคุณ : bobby the great เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:27:50

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ว่าแต่ จขกท. โพสเสร็จรึยัง กลัวโดนด่า จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:47:20

ความคิดเห็นที่ 11 ขอเล่าประสบการณ์เรื่องหม้อหุงข้าวให้ฟังสักเล็กน้อย เคยมีประสบการณ์การต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจากทวีปแอฟริกาและนานาประเทศ มันเป็นโครงการของกระทรวงการต่าง- ประเทศจัดให้มีการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยในสาขาวิชาเดียวกัน ก็มีหลายชาติด้วยกันมา เข้ารับการอบรมเป็นสิบคนอยู่กันเป็นเดือนมีเพื่อนบ้านเราเช่น พม่า ลาว เวียดนาม และหลายประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น อียิปต์ จอร์แดน อูกันดา เอธิโอเปีย ปากีสถาน และอีกหลายประเทศผมจำชื่อไม่ได้แต่ประมาณนี้ วันสุดท้ายทางมหาวิทยาลัยผมจัดงานเลี้ยงส่ง โดยให้คนแต่ละชาติทำอาหารประจำชาติหรืออาหารของชาติตนเองมาแลก เปลี่ยนกันรับประทาน คนที่มาจากแอฟริกาส่วนใหญ่จะหุงข้าวคล้ายกันกล่าวคือ เอาข้าวสารดิบผัดกับน้ำมันก่อน เมื่อข้าว เริ่มเหลืองจึงค่อยๆ เติมน้ำลงไปและเติมน้ำลงไปเรื่อยๆ จนกว่าข้าวจะสุก ใช้วิธีกะเอา ข้าวที่ได้จะคล้ายข้าวมันไก่ แต่ไม่มัน มากเท่า ระหว่างนี้จะมีการเติมหอมซอย ผงกะหรี่ (แล้วแต่ชาติ) มันฝรั่งหั่นหรือแครอทหั่นลงไปด้วย สิ่งที่ทำให้พวกที่มาจากแอฟริกาตกตะลึงมากคือ "ซึ้ง" ธรรมดาๆ บ้านเรานี่เองเขาแปลกใจมากกว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่าสามารถ หุงข้าวได้อย่างไร และแปลกใจกับวิธีหุงของมันด้วย ด้วยการเอาถ้วยโลหะขนาดเล็กใส่ข้าวสาร ใส่น้ำตามส่วน แล้วเอาไป นึ่ง ซึ่งเขาไม่รู้จักวิธีการนึ่งมาก่อน มีหลายคนซื้อติดมือกลับบ้านไปด้วย ที่สำคัญเขาไม่รู้จักหม้อหุงข้าว บ้านเขาไม่มีนี่ก็ทำ แปลกใจไม่น้อยไปกว่าซึ้งเลย เขาไม่คิดว่ามีอุปกรณ์แบบนี้อยู่บนโลกด้วย ซื้อติดมือกลับบ้านไปเช่นเดียวกัน อารมณ์เหมือน เราไปเจอสุดยอดเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันที่ญี่ปุ่นแล้วเราตกตะลึงมากไปแพ้กันเลย ปล. สังเกตนะครับแต่ละชาติที่มาดูงานบ้านเรา ไม่มีสิงค์โปร์กับมาเลเซียเพราะสองประเทศนี้เขาเป็นประเทศพัฒนาแล้วเรา ต้องไปดูงานบ้านเขาแทน อีกหน่อยเราก็คงต้องแคนดิเดทกับลาว พม่า เขมร และหลายประเทศในแอฟริกา จากประเทศที่ เคยอยู่ในอันดับจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเซียต้องลดระดับลงมาแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านและหมู่ประเทศในแอฟริกาแทน จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 13:05:18

ความคิดเห็นที่ 12 #9 อ้าวเหรอครับ ผมนึกว่า มันมีตัวรับแรงกด พอหุงไปๆ มันเบาขึ้น จน จุดๆนึง มันก็เด้งซะอีก เพราะขยับหม้อทีไร เด้งทุกที อ้อ แล้วหม้อสมัยใหม่เนี่ย เขานับถอยหลังยังไงครับ อย่างที่ใช้ตอนนี้ที่บ้าน เป็นเวลาดิจิตอล  พอมันถึงที่กำหนดปั๊บ ตัดปุ๊บ เห็นเวลามันถอยหลังน่ะครับ มันรู้ได้ไงว่า ถอยกี่นาที เกิดมันสุกแล้วแต่ยังไม่ตัดเนื่องจากเวลาล่ะครับ ไม่ไหม้เหรอ แต่ข้าวหุงออกมาแล้วสวยมาก ดีกว่าหม้อรุ่นเก่าอีก แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 13:11:32 จากคุณ : มะขามดอง เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 13:08:23

ความคิดเห็นที่ 13 ปาดขวาเงียบๆ จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 13:09:16

ความคิดเห็นที่ 14 ตอนเด็กๆ  ยังหุงข้าวด้วยเตาถ่าน ตั้งข้าวใน"ซึ้ง" ถ้าเป็นถ้วยใหญ่  ต้องยกน้ำเททิ้่งหนึ่งครั้ง กว่าข้าวจะสุก ถึงแม้จะเหนื่อยและยุ่งยาก แต่ทำแล้ว ได้ความ"เพียร" ติดตัวมาจนโต จากคุณ : labor_pu เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 13:20:13

ความคิดเห็นที่ 15 พูดถึงแอฟริกา        มีคนไทยไปอยู่ในแอฟริกา    วันดีคืนดีเห็นต้นมะม่วงที่นั่นออกลูกสุกดี    ก็เอาตะกร้อที่ติดไปด้วยมาสอย    คนผิวดำพื้นเมืองมาเห็นเข้า    ตาเหลือกแตกตื่นโวยวายเข้ามาดูกันใหญ่     บอกกันว่าเทคโนโลยีใหม่จากไทยแลนด์    (รู้สึกว่าคนแอฟริกันเขาจะใช้วิธีรอให้มะม่วงมันตกลงมาเอง   ค่อยเอาไปกิน) จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 19:16:21

ความคิดเห็นที่ 16 ผมขอคำแนะนำด้วยครับ ผมอยู่เชียงใหม่ ที่บ้านใช้หม้อหุงข้าวคอมพิวเตอร์ Tosh... ตัวหม้อด้านในเป็นเหล็กหล่อหนา บริษัทบอกใช้ทำอาหารนานาชนิดได้ รวมทั้งขนมปัง เคยลองทำขนมปังแล้วไม่ได้เรื่อง (ฝีมือเราอาจไม่ได้เรื่อง) ก็ไม่เคยทำอะไรอีกเลยนอกจากหุงข้าว หมดประกันไปแล้ว เดือนที่แล้วใช้งานไม่ได้ ก็ยกเครื่องไปร้านใหญ่ของเชียงใหม่ (ยังไม่เห็นคนรับสินค้าซ่อมยิ้มให้เลย) ผมแจ้งให้ประเมินราคาซ่อม หลังจากนั้นได้รับแจ้งว่า บอร์ดเสีย ค่าบอร์ด 1,300 บาท โห...... หม้อใหม่ราคา 2,000 กว่าบาท ซ่อมทีหนึ่งใช้เงินครึ่งหนึ่งของหม้อใหม่ ใครจะซ่อมล่ะ ผมก็เลยยกหม้อกลับบ้าน ต้องเอาหม้อเก่าๆมาใช้หุงข้าวไปก่อน ผมอยากซ่อม แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ขอความกรุณาแนะนำด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 54 02:38:22 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 54 00:51:35 จากคุณ : omepra เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 00:50:24