ความคิดเห็นที่ 1 ปาฏิหาริย์เป็นเรื่องที่แต่งมาภายหลัง จากคุณ : ERWA เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:00:46

ความคิดเห็นที่ 2 บางเรื่องอาจเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเป็น เพื่อเป็นปริศนาธรรมมากกว่านะครับ จากคุณ : อริยัสซัยมัสเซนเปรโตรเมียส เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:02:51

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ จขกท. ถาม มันเป็นเปลือกนอกของพุทธศาสนาครับ เพราะว่าคนเราเปรียบดั่งบัว ๔ เหล่า คำสอนแต่ล่ะอย่างเหมาะสมกับคนไม่เหมือนกัน เพราะคนเราปัญญาไม่เท่ากัน บางคนสอบแป๊บเดียวก็เข้าใจ บางคนสอนนานหน่อยถึงเข้าใจ บางคนสอนแทบตายถึงเข้าใจ แต่บางคนสอนเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ และบางคนชอบอิทธิปาฏิหาริย์ บางคนชอบความสงบ บางคนชอบศึกษาเหตุและผล พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ปฏิบัติตาม หรือเชื่อทั้งหมด พระองค์ให้เลือกทำเลือกเชื่อตามความชอบของแต่ล่ะคน แต่สุดท้ายแล้วก็ได้ผลเป็นอย่างเดียวกัน คือนิพพาน หรือการปราศจากเหตุแห่งทุกข์ (นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย) นั่นเอง ดังนั้นอยากให้ จขกท. ลองไปศึกษาแก่นพระพุทธศาสนาดู เพราะถ้าได้ศึกษาถึงแก่งพระพุทธศาสนาแล้วแม้เพียงเล็กน้อย จขกท. ก็อยากจะเปลี่ยนคำถามใหม่ทันที จากคุณ : @==ไข่ดำ==@ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:05:28

ความคิดเห็นที่ 4 อย่าเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร)         Written by Administrator     Monday, 17 November 2008 11:06   กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร 1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) 2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย) 3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) 4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) 5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ) 6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ) 7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน) 8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) 9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) 10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ) ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:08:49

ความคิดเห็นที่ 5 สงสัยจะเข้ามาป่วน บอร์ดแล้วกระมั้ง อันนั้นมันเป็นพุทธประวัติ ที่ผ่าน 2500 กว่าปีแล้ว อาจจะมีบิดเบือนไปบ้าง อันนี้ไม่มีใครทราบ เพราะผ่านมาหลายชั่วอายุคนแล้ว สำคัญที่หลักการและวิธีปฏิบัติที่พระองค์ท่านชี้ทางให้เห็นธรรม อันนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ผมไม่ทราบว่าคุณนับถือศาสนาใด บางสิ่งบางอย่างผมก็ไม่แน่ใจ ซึ่งทุกคนมีสิทธิืคิด แต่ไม่เหมาะจะนำมาโพสอาจจะนำมาซึ่งความแตกแยกทางสังคม เพราะสิ่งเหล่านี้ที่ท่านพูดถึง มันไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่มันคือศรัทธา เหมือนทุกศาสนาที่เชื่อในพระศาสดาของตัวเอง ถามว่ามีใครเกิดทันเหรอครับ ไม่มีหรอก แค่นำหลักและแนวทางมาปฏิบัติที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆกันมา มายึดถือและปฏิบัติ เมื่อมันมีผลดีกับจิตใจและชีวิตดังที่กล่าวอ้างมาแล้วจึงศรัทธาครับ ไม่เคยมีคนบังคับเลยครับ หยุดถามอะไรที่มันจะกระทบต่อสถาบันครับ เพราะมันจะนำมาซึ่งความแตกแยก ขอบคุณ จากคุณ : อสูรเมรัย เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:11:26

ความคิดเห็นที่ 6 ผมไม่เชื่อครับ เพราะผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ :p จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:16:51

ความคิดเห็นที่ 8 คุณว่าชาวบ้านรับอะไรได้ง่ายกว่ากันระหว่าง เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ล้ำจินตนาการ หลักธรรมคำสอน84,000พระธรรมขัณธ์ น่าเศร้าคือเวลาผ่านไปคนที่เรียกว่าชาวพุทธหลายคนเชื่อว่าอย่างแรก แก่นของพุทธซะงั้นในขณะที่แทบไม่รู้จักและปฏิบัติตามหลักธรรม พระเครื่อง ของศักดิ์สิทธิ์ อวดอ้างพุทธคุณ แก้กรรม สแกนกรรม ทั้งๆนี้ศาสนาพุทธสอนให้รู้จักใช้ปัญญา แต่กลับมีของพวกนี้ได้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าศาสนาพุทธบ้านเราเสื่อมทรามไปถึงไหนแล้ว จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:18:29

ความคิดเห็นที่ 9 คิดว่าเป็นพวกเชื่อเรื่องลูกไม่มีพ่อได้ โลกแตกโลกแบนพวกนั้นละมั้งมาป่วนบอร์ด เกรียนที่เหยียบแท้ๆ นี่แหละเขาเรียกพวกระรานชาวบ้านเขาไปทั่ว เป้นมา 2003 ปีมาแล้ว จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:24:14

ความคิดเห็นที่ 10 อายุศาสนาก็สองพันกว่าปีแล้วนะ ผ่านการผสมผสานระหว่างศาสนา ลัทธิ ความเชื่อต่างๆ มากมาย แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ เพราะบางอย่างที่ได้รับรู้ มันขัดกับความเชื่อพื้นฐานของเรา แต่มีอยู่ ครั้งหนึ่งได้ฟัง ดร. บรรจบ บรรณรุจิ ผ่านรายการธรรมะทางวิทยุ รายการอะไรก็เลือนไปแล้ว เล่าเรื่อง พระวินัยในพระไตรปิกฎให้ฟัง ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ข้อปฎิบัติ ข้อห้ามทุกอย่างทุกเรื่อง มีที่มาที่ไป มีเหตุผล เช่น อย่างเรื่องห้ามพระฉันเนื้อสัตว์สิบประเภท จากนั้นก็เริ่มสนใจหาพระไตรปิกฎมาอ่านบ้าง ทำให้เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้ความรู็ก็แค่หางอึง ต้องขอโทษ จขกท ด้วย เขียนมาตั้งนานไม่ได้ช่วยตอบคำถาม จขกท เลย จากคุณ : delio เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:26:51

ความคิดเห็นที่ 11 ทุกคนครับผมไม่มีศาสนานะครับผมไม่เชื่อศาสนาใดทั้งสิ้นเพราะมันก็เป็รชนแค่สิ่งยึดเหนียวจิตใจ จากคุณ : ทำไมๆ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:35:15 A:14.207.232.179 X: TicketID:305119

ความคิดเห็นที่ 12 ผมศรัทธาคำสอน หาใช่ปาฏิหาร จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:39:09

ความคิดเห็นที่ 13 สิ่งที่คุณถามมานี่พระพุทธเจ้าเล่าให้ฟังจากปากหรือเปล่าครับ? หรือเอามาจากพระไตรปิฎกเล่มใดส่วนไหน จากคุณ : JusTBELievE เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:50:57

ความคิดเห็นที่ 14 มันเป็นเรื่องที่แต่งเพิ่มขึ้นมา จากคุณ : ใหญ่_พระนครเหนือ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 03:04:27

ความคิดเห็นที่ 15 อย่างที่คุณไข่ดำว่าไว้น่ะครับ... หลายๆอย่าง ก็เป็นปริศณาธรรม และ หลายๆอย่าง ก็มีไว้สอน คนแต่ละกลุ่ม  มีเปลือก มีกระพี้ มีเนื้อใน และมีแก่น ธรรมะ หรือ บางเรื่อง เหมาะกับ บัวพ้นน้ำ บ้างก็เหมาะสำหรับบัวปริ่มน้ำ บ้างก็เหมาะสำหรับบัวใต้น้ำ และบางเรื่อง ก็สำหรับบัวในตม มีสิ่งที่ใช้ตามระดับการรับรู้ หรือสติปัญญาของคนที่แตกต่างกันออกไป สำหรับ คำถามของคุณ ที่ว่า พระพุทธเจ้าเกิดมาก็มีบัวรองรับเลยนั้น... ผมขอถามว่า...   ตอนไหน ที่พระพุทธเจ้าประสูตร ? ตอนไหน ที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ? ตอนไหน  ที่เป็นพระพุทธเจ้า ? ลองพิจาณา แล้วศึกษาเพิ่มเติมดู  ผมจะไม่บอกทั้งหมด แต่ถ้าคุณค้นคว้า คิดวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วยสติปัญญา แล้วก็จะเข้าใจ ผมเอง...  ก็ไม่ได้เชื่อทุกอย่างเกี่ยวกับศาสนาพุทธเช่นกัน สวรรค์ นรก มีจริงหรือไม่ เทพยดา มาร พรหม มีหรือไม่ นิพพาน เป็น อนัตตา หรือเป็นอัตตา  ผมไม่ได้ใส่ใจอย่างเป็นนัยยะสำคัญ แต่ผมศึกษา ปฏิบัติ แล้วได้ผลที่ดีกับชีวิต  ผมจึงศรัทธา ในคำสอน ในพระพุทธศาสนา ตอนวัยรุ่น ผมก็เป็นแค่ชาวพุทธในทะเบียนบ้าน... จนวันหนึ่ง ได้พบกับหลวงปู่ท่านนึง  และมีบทสนทนาบางอย่าง ที่จุดประกายให้ผมเริ่มสนใจ ในคำสอน ในแนวทาง แบบพุทธปฏิบัติ ไม่ใช่พุทธปาฏิหาริย์ ศาสนาพุทธ...  เป็นสิ่งที่ต้องศึกษา และปฏิบัติ จึงจะเห็นผลจริงได้ ด้วยตนเองครับ ไม่ได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ง่าย แล้ว...คุณจขกท. คิดยังไง กับเรื่องราวต่างๆ ในศาสนาอื่นๆครับ ? โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...   ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 03:25:28

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องของศาสนามันหลีกไม่พ้นอิทธิปาฏิหารย์หรอกคับ คุณจะทำยังไงให้คนอื่นเชื่อเรื่องที่คุณพูดเพราะว่าคุณเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน??? คุณก็จำเป็นจะต้องแสดงให้เขาดูอยู่แล้วว่าคุณเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานไม่งั้นเขาไม่เชื่อที่คุณพูด แล้วคุณจะแสดงให้เขารู้ได้ไงว่าคุณเป็นผู้รู้ผู้ตืนผู้เบิกบาน??? คุณก็จะต้องทำสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้จะต้องเฉพาะผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเท่านั้นที่จะทำได้ใช่มั้ยคับ??? ซึ่งมันก็คือจะต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์อะไรที่คนธรรมดาทำไม่ได้ซักอย่างหนึ่งอยู่แล้ว เรื่องอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้านี่ประจักษ์ชัดแจ้งในพระไตรปิฏกคับโดยไม่ต้องสงสัยว่าจะเป็นเรื่องที่แต่งเพิ่มหรือป่าวเพราะว่าคำสอนนี้น่าจะออกมาจากปากพระพุทธเจ้าเองคือเรื่องการสร้างบุญบารมีเพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือเรื่องทศชาติชาดกนั่นเอง การที่พระพุทธเจ้ารู้ว่าตัวเองสร้างบารมีอะไรมาก่อนก็คือพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ แค่นั้นก็ปาฏิหารย์อย่างหนึ่งแล้วคับ ถ้าจะบอกว่าศาสนาพุทธแท้เป็นหลักเหตุผลที่ไม่มีปาฏิหารย์นี่จงคิดเสียใหม่ ถ้าศาสนาพุทธสร้างขึ้นจากหลักเหตุผลก็เป็นได้แค่วิทยาศาสตร์, ปรัญญาแค่นั้นไม่มีทางเป็นศาสนาได้หรอกคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 03:28:22 A:223.205.227.193 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องที่คุณเล่ามา ผมคิดว่าเป็นเรื่องแต่ง ผมเคยคิดว่ามีแต่คนงมงายสุดๆเท่านั้นที่ไปยึดถือว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ทุกวันนี้ที่เหลือเชื่อมากกว่าคือ คนที่ยึดถืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มีจริง มีเยอะมาก คนที่นับถือศาสนา ส่วนมากก็เชื่อเรื่องแต่ง มากกว่า แก่น ในขณะที่แก่นของมันแต่ดั้งเดิม จริงๆคืออะไรก็ไม่รู้ เพราะแต่ละศาสนา ผ่านการชำระล้างมาหลายครั้ง โดยคนหลายคน เนื้อหาอาจจะถูกปรับเปลี่ยนไปจากเดิมเลยก็ได้ แล้วพวกเรากำลังนับถืออะไรอยู่กันแน่ อะไรกันแน่ที่เป็นของจริง คิดไปคิดมา เราไม่ต้องนับถือศาสนาอะไรก็เป็นคนดีได้นี่หว่า ไอพวกคำบอกเล่านี่ สุดท้ายก็เป็นแค่แนวทาง มันไม่มีอะไรเป็นหลักตายตัวอยู่แล้ว อะไรควรทำไม่ควรทำก็ต้องใช้ตัวเองตัดสินอยู่ดี แปลกมาก ที่มนุษย์เราพัฒนาสมองขึ้นมาให้ฉลาดกว่าสัตว์อื่นๆ คิดเทคโนโลยีอะไรออกมาได้ตั้งเยอะ แต่กลับคิดเอาเองไม่ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรสมควรไม่สมควร ต้องไปยึดถือเรื่องเล่าเป็นพันๆปี กฎหมาย กลับไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่าเรื่องเล่างมงายของศาสนา สำหรับผมเรื่องเล่า ประวัติของศาสดา คัมภีร์กำเนิดโลก โลกแตกทั้งหลายมันก็ แค่ อนิเม โลว์คลาส สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีชั้นต่ำ เป็นพันๆปี (ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง มีแต่ข้อความ) มีเอาไว้ให้เด็กที่ยังแยกไม่ออกว่าอะไรถูกอะไรผิด ดูเท่านั้น ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ มีความสามารถในการแยกแยะได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี โดยไม่ต้องมีศาสนา สำหรับคนที่ดันเอามายึดถือเป็นจริงเป็นจัง หรือต้องยึดถือมัน ไม่งั้นถึงกับแยกไม่ออกว่าอะไรถูกอะไรผิด ผมจัดคนพวกนี้เป็นพวกจิตอ่อน ส่วนพวกงมงายในศาสนา ก็ไม่ต่างจาก โอตาคุ ตกยุค และพวกสงครามศาสนา ก็ไม่ต่างจาก แฟนบอยวันพีช ตีกับ แฟนบอยนารุโตะ พอเข้าถึงความจริงข้อนี้ผมก็เลิกนับถือศาสนาไปเลย สำหรับผม มีแต่ พระเจ้ามาโดกะ กับองค์ศาสดาโฮมูระ เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 03:34:54 จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 03:33:00

ความคิดเห็นที่ 18 คัมภีร์ของศาสนาใดบ้างที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนคำพูดของศาสดา 100% การที่มีคนแต่งเรื่องเท็จเสริมมาบางส่วนนี่จะเหมารวมว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกเลยเหรอครับ คนดีมีสติปัญญาย่อมแยกแยะได้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ เลือกปฏิบัติเฉพาะในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล หลักธรรมของพุทธศาสนาเริ่มต้นด้วยความศรัทธา แต่กำกับด้วยปัญญาเสมอ ความมักง่ายของชาวพุทธรุ่นหลังเองต่างหากที่เลือกรับแต่ศรัทธา แต่ลืมเอาปัญญามากำกับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 03:36:48 จากคุณ : Varalbastra เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 03:34:36

ความคิดเห็นที่ 19 ขอตอบแบบคนรู้แค่กระพี้ ถูกผิดขออภัย คุณไม่ผิดหรอกที่ไม่เชื่อ เพราะคนที่นับถือพุทธที่คิดอย่างคุณก็มีเยอะ แต่เขาจะเข้าใจครับว่าเป็นเรื่องเล่าเรื่องแต่ง เรื่องศาสนากับเรื่องเล่าปาฏิหารย์มันคู่กันมาแต่โบราณแล้ว รู้สึกว่าการสอนพุทธประวัติสมัยใหม่ จะไม่สอนแนวอภินิหารแบบนี้แล้วนะ แต่ผมชอบศาสนาพุทธอยู่อย่าง ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาไหน อยากมาศึกษาเกี่ยวกับศาสนาพุทธได้เสมอ พระพุทธองค์ถึงกับเชิญให้มาพิศูจน์ได้เลยโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น คุณจขกท. ศาสนาพุทธมีมากกว่าเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าพอมีเวลาคุณลองเข้ามาศึกษาดู ถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาแล้วกัน จากคุณ : ถั่งโถมโหมแรงใจ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 03:43:39

ความคิดเห็นที่ 20 ผมเชื่อในหลักคำสอน ที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนาครับ แต่ไม่เชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ที่ จขกท ยกตัวอย่า่งมา จากคุณ : Epping เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 03:49:22 A:121.218.54.132 X: TicketID:315287

ความคิดเห็นที่ 21 ส่งท้ายก่อนเปิดเทอมกลับไปเรียนเหรอน้อง ก่อนจะมาตั้งคำถามก้ลองเอาพุทธประวัติมาศึกษาหลายๆด้านก่อนนะ จะได้ตาสว่างว่าเรื่องบางเรื่องที่เค้าเขียนเหมือนเป็นปาฏิหาริย์น่ะ เค้าแฝงนัยอะไรไว้ จากคุณ : nightdoc เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 04:05:43

ความคิดเห็นที่ 22 แนะนำท่าน จขกท ไปหาอ่านหนังสือ "พุทธประวัติสำหรับนักศึกษา" แปลโดยท่านพุทธทาสดูครับ จะทราบถึงข้อเท็จจริงของพุทธประวัติในอีกแง่มุมหนึ่งที่ไม่ได้กล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ ทั้งสิ้นครับ ท่านเชื่อเรื่องที่"พระพุทธเจ้า"ประสูติมาแล้วเดิน 7 ก้าวบนดอกบัว อีกทั้งยังพูดได้เลยมั้ยครับ? จริงๆ แล้วคำกล่าวที่ว่า "พระพุทธเจ้า" ก้าวเดิน 7 ก้าว อุปมาเปรียบดั่งว่าหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้นโพธิ์เป็น"พระพุทธเจ้า"แล้ว (ก่อนหน้านั้นท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ) คำสอน(อุปมาพระพุทธเจ้าเกิดแล้วพูดได้)ของท่านอันได้แก่"อริยสัจจ์"ได้เผยแพร่ไปทั่วทั้ง 7 แคว้นของอินเดียในสมัยนั้น อย่าลืมลองไปหาอ่านดูนะครับ................ จากคุณ : เทพกระบี่ไร้นาม เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 04:11:19

ความคิดเห็นที่ 23 ....     ถ้าลองคิดว่ามันเป็นจริงได้ มันก็มีคำตอบสำหรับบางข้อในแนววิทยาศาสตร์       ลูกม้า ลูกวัว ลูกช้าง เกิดมาเดินได้เลยครับ ถ้าสมมุติ มีการอุ้มท้องได้นาน กว่าปรกติ(โดยไม่ตายเพราะสำลักขี้เถ้า) แล้วอยู่ในท้องจนโตเหมือนกับลูกช้าง พอคลอดออกมา ก็เดินได้เลย เป็นต้น         กรณีที่ ธรณีสูบ ก็แผ่นดินไหวไงครับ หรือ แผ่นดินยุบตัว โคลนถล่ม อย่างที่เกิดที่อิหร่านเป็นต้นครับ                                                                                                        ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 04:13:38

ความคิดเห็นที่ 24 ^ #20 ปาฏิหารย์นั่นแหล่ะคับแก่นของศาสนา ถ้าศาสนาไม่มีปาฏิหารย์มันก็ไม่มีใครเชื่อและพอไม่มีศาสนิกศาสนามันก็ตายคับ... ปาฏิหารย์มันไม่แฝงนัยอะไรทั้งนั้นหรอกคับ พระพุทธเจ้าไม่มุสาดังนั้นจะสร้างเรื่องโกหกเพื่อแฝงคติสอนใจอะไรไม่ได้ ถ้าอยากจะสอนก็สอนตรงๆไม่ต้องสร้างเรื่องก็ได้ ความเชื่อฮินดูผิดๆหลายอย่างพระพุทธเจ้าก็ทำลายไปโดยการพูดตรงๆเนี่ยแหล่ะคับพระพุทธองค์ไม่เคยมีลักษณะที่จะพูดอ้อมๆโกหกเพื่อสร้างเรื่องสอนใจอะไรเลยซักนิด... และในทำนองเดียวกันพระสงฆ์ก็ไม่มุสา ดังนั้นพระสงฆ์จะแต่งเรื่องอะไรขึ้นมาเพื่อเป็นคติสอนใจไม่ได้ด้วยเช่นกันคับ ดังนั้นพระไตรปิฏกเมื่อสังคยนาแล้วก็จะต้องตรงตามข้อเท็จจิงที่เคยได้รับรู้มาทุกประการถ้าสังคยนาแล้วแต่งเรื่องอะไรแทรกลงไปก็อาบัติแหล่ะคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 04:17:42 A:223.205.227.193 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 25 มีศาสนาใดบ้างในโลกที่ไม่มีการเสริมแต่งบิดเบือน เราเองโตมาในครอบครัวที่มีหลายความเชื่อ เราเลยต้องเรียนรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรเชื่อ เรามองว่า "กาลามสูตร" ที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้เป็นการสอนให้เรามี critical thinking skill ส่วนเรื่องอิทธิปาฎิหารอะไรทั้งหลาย เราไม่เชื่อค่ะ เราเชื่อแค่หลักของเหตุและผลแค่นั้น เรื่องบาปบุญ เราไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า รู้แค่ว่าถ้าเราทำอะไรไม่ถูกต้อง ทำให้ตนเองหรือคนอื่นเดือดร้อน เราก็ไม่มีความสุข แค่นั้นเอง เรื่องเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่รู้เหมือนกัน คงจะให้บอกว่ามีหรือไม่มีคงไม่ได้ เอาเป็นว่าทุกวันนี้ที่ยังปฎิบัติยึดถือแนวทางแบบพุทธ เพราะคิดว่ามันเป็นเหตุเป็นผล ตอบโจทย์ชีวิตเราได้ดีที่สุด จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 04:33:58

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบตามหลักวิทยาศาสตร์คือ พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเดินได้ พูดได้ คือเรื่องจริง เพราะพระพุทธเจ้าเกิดจากการที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ตอนนั้นก็อายุ 35 ปีแล้วครับ เรื่องอื่นไม่รู้ครับ จากคุณ : นายกานต์ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 04:54:26

ความคิดเห็นที่ 27 ลองค้นคว้าหาอ่านหลาย ๆ ตำราดูนะครับ แล้วเราจะเข้าใจเอง บางอย่างมันก็เป็นแค่เปลือก/มีความหมายแอบแฝง แก่นแท้มันจะ ดี/ไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นจะตีความแล้วนำไปใช้ให้ได้ผลดีที่สุด คนแต่งตัวดีสวยงาม กับคนใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง คนที่มองจะสนใจใครก่อนล่ะ อิอิ : ) จากคุณ : SuicideJumper เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 05:25:28

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่เชื่อก็ไมต้องเชื่อ และผมก็ไม่เชื่อด้วยเหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา จากคนอื่นๆ ส่วนเรื่องตำรา ก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาหรอก เพราะมันก็เป้นเรื่องที่ คนอื่นแต่งมาเช่นกัน ที่บอกว่ามีนัยยะแฝง มันก็เป็นแค่ความคิดของ คนเขียนหนังสือเล่มนั้น จริงๆอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ สรุปคือเรื่องของประวัติศาสตร์ ใครจะเขียนยังงัยก็ได้ เพราะเราคงกลับไปพิสูจน์ไม่ได้ อะไรเห็นว่าดีก็เลือกเอามาใช้ละกัน จากคุณ : psybuster เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 05:57:06

ความคิดเห็นที่ 29 จขกทอ่านจาก หนังสือเรียนไทย ครูสอนไทย ไง เกิดจากการแต่งเติมแบบไทยๆ เข้าไป ต้นฉบับเราไม่รู้หรอก ผ่านมานานขนาดนั้น เอาแค่วิชาภาษาไทย ขุนช้างขุนแผน ยังมีอภินิหารเพียบเลย แล้วนี้ วิชา พุทธศาสนา เชียวน้ะ เลยเติมแต่งเอาให้เต็มที่กันเลย ศาสนาอื่นๆ ก็มีพอๆ กันแหละ อภินิหาร เปลี่ยนไปตามลักษณะนิสัย ของแต่ละประเทศ จากคุณ : lama เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 06:30:29 A:77.247.181.165 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ถ้ามันเป็นเรื่องแต่งและไม่มีใครรู้ว่าจิงๆแล้วพระพุทธเจ้าพูดว่าไงแล้วทำไมยังจะต้องนับถือศาสนาพุทธอีกล่ะคับ คุณบอกว่าเรื่องแต่งมันเป็นแค่เปลือกแต่คุณรู้เหรอว่าที่คุณคิดว่าเป็นแก่นของคุณนั่นมันก็ไม่ได้แต่งขึ้นเองทีหลัง??? แถมถ้าคิดว่าเรื่องอิทธิปาฏิหารย์มันเป็นเรื่องแต่งงั้นมันก็คือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์นั่นแหล่ะที่แต่งขึ้นนั่มก็หมายความว่าพระสงฆ์สาวกอาบัติกันเป็นกิจวัตรไม่มีสมบัติความเป็นสงฆ์ แล้วไม่ทราบจะยังนับถือพุทธไปอีกทำไมในเมื่อศาสดาก็ตายแล้วตำราก็โดนแก้แถมพระสงฆ์สาวกก็ไม่อยู่ในศีลในธรรม พระรัตนตรัยเสื่อมสลายแล้วครบหมดทั้ง 3 สิ่ง หรือว่านับถือเพราะว่าศาสดาตายไปแล้วนั่นแหล่ะที่สำคัญ???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 06:42:13 A:223.205.227.193 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 31 ใน 3 ศาสนาใหญ่ของโลก พุทธ คริสต์ อิสลาม ถ้าเอา ปาฏิหาริย์ ออกหมด เหลือแต่ คำสอน เรื่อง จริยธรรม และ ปรัชญา ศาสนาพุทธ จะเป็นศาสนาเดียวที่ยังเรียกว่า ศาสนา หรืออาจเรียกว่า เป็น วิชาปรัญญา ศาสนาอื่นๆ ที่ถอด ปาติหาริย์ ออกแล้ว จะกลายเป็นแค่ นิทานปรัมปรา จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 07:04:10

ความคิดเห็นที่ 32 อย่าเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร)         Written by Administrator     Monday, 17 November 2008 11:06   กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร 1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) 2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย) 3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) 4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) 5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ) 6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ) 7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน) 8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) 9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) 10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ) ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น จากคุณ : เวย์คุง     เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 02:08:49   ถูกใจ : Living Extreme ............................................................................................................... พระพุทธเจ้ารู้ล่วงหน้าเป็น พันๆปีแล้วว่า  ศาสนา คำสอน อาจถูกบิดเบือน กลายเป็นลัทธิความเชื่อได้ง่าย จึงสอนเตือนไว้ แม้แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็บอกว่าอย่าเชื่อจนกว่าจะพิจารณาปฏิบัติดีแล้ว ซึ่งผมไม่เคยเห็นศาสนาใหน ลัทธิใหน สอนแบบนี้ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน บางครั้งยังมีความเชื่อผิดๆ ที่เกิดจากอคติ ถ้าพระพุทธเจ้า จะแค่หลอกลวง  หาคนเข้ามาเป็นสาวก  อยากให้คนศรัทธามากๆ สอนให้เชื่ออภนิหาร พลังเทพ    สร้างความร่ำรวย ความสุขแบบโลกีย์  จะได้ผลกว่าเยอะ  จะสอนให้ละ เลิก ทำไม อย่างการที่ท่านสอนว่า กรรม เป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ได้ ดูไม่เชิญชวน ให้เข้าร่วม  สู้บอกเข้ามา แล้วแก้กรรมได้  ไม่ง่ายกว่าหรือ อย่าง ปกิจจสุมทปบาท  และหลักธรรมจริงๆของพระพุทธศานา เข้าใจยากมาก และ มีเหตุผล มีสมมติฐาน พอที่จะให้นักวิทยาศาสตร์ต้องมาคิด ถกกันได้ด้วยซ้ำ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 07:11:51 จากคุณ : พิซซ่าหน้าปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 07:05:37

ความคิดเห็นที่ 33 บางเรื่องที่น่าเชื่อได้ก็ควรเชื่อ แต่ถ้าดูเกินความจริงก็ใตร่ตรองไห้ดี พระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้ว แม้จะมาจากพระไตยปิกฎเอง จากคุณ : AEOU เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 07:20:22 A:223.207.37.175 X: TicketID:165031

ความคิดเห็นที่ 34 เราเองก็เคยตรวจสอบศาสนาพุทธมาก่อน ตรวจสอบเพื่อจะรู้ ไม่ได้ตรวจสอบเพื่อจะจับผิด แล้วเราก็ได้รู้ว่า ยังมีเรื่องดีๆ คมๆ อีกแยะ ที่พุทธกระแสหลักไม่ได้ยกมาพูดถึง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล เป็นเรื่องที่ต้องพินิจพิจารณา ยากแก่การอธิบายอย่างง่ายๆ เลยไม่ค่อยได้ถูกเผยแพร่ในวงกว้าง สู้เรื่องมหัศจรรย์ เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ไม่ได้ เราก็เลยยังเป็นชาวพุทธอยู่ได้ รอเวลาที่เหมาะสมเพื่อการปฏิบัติธรรมมากขึ้น แต่ในระหว่างนี้ เราก็คงไม่ทำกรรมไม่ดีเพิ่ม เราก็คงไม่เปลี่ยนใจไปเชื่อเรื่องพระธาตุ พระพุทธบาท วัตถุงมงาย การสะเดาะเคราะห์ การสแกนกรรม การอวดผี อะไรพวกนี้หรอกครับ จากคุณ : Tiggy-ข้าวหอม เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 07:25:02

ความคิดเห็นที่ 35 แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ อันนี้ก็อวยศาสนาพุทธเกินไป ถ้าตัดปาฏิหาริย์ออก บางศาสนา สามารถนำมาใช้เป็นทั้งกฎหมายและรัฐธรรมนูญของประเทศเพื่อปกครองคนได้เลย นิยายปรัมปราทำอย่างนั้นมิได้หรอก ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ จากคุณ : เดจาวู เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 07:28:41 A:124.120.229.38 X: TicketID:315148

ความคิดเห็นที่ 36 อันนี้ก็อยากจะกล่าวเช่นกัน จะรวมอยู่ในกระทู้นี้เลยก็ดี มหาบุรุษ ลักษณะ 32 ประการ ของพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่ลักษณะของมนุษย์ การแต่งเสริมเติมแต่ง หรืออวยกันเกินไป ผิดศีลข้อ 4 รึไม่ จากคุณ : เดจาวู เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 07:36:56 A:124.120.229.38 X: TicketID:315148

ความคิดเห็นที่ 37 ทุกศาสนา มีเรื่องปาฏิหารย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอค่ะ ขึ้นอยู่กับว่า เราเลือกจะหยิบเอาแก่น หรือจะหยิบเอากระพี้ มาพิจารณา จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 07:38:04

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าก็ได้ครับ แต่ผมเชื่อว่า ศีล5 จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จากคุณ : ตื่นแล้วจะกินอะไร เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 08:09:31

ความคิดเห็นที่ 39 สิ่งเหล่านี้จะมีหรือไม่มี คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ได้กระทบกระเทือนคำสอนเพื่อความพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่น้อย จากคุณ : รู้สึกตัว เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 08:12:43

ความคิดเห็นที่ 40 เชื่อในหลักคำสอนของท่าน จากคุณ : เทวดาน้อย เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 08:17:16

ความคิดเห็นที่ 41 ในพระสูตรมีกล่าวไว้  มีกลองใบหนึ่งตัวกลองทำด้วยไม้  เมื่ออยู่ไปๆ ตัวกลองบางจุดเกิดผุเสียหาย  ช่างซ่อมก็เอาไม้ใหม่มาอุดเข้าไป  เมื่ออยู่ไปอีกมีจุดที่ผุอีก ก็เอาไม้ใหม่อุดเข้าไปอีก  เมื่อเวลาผ่านไปนานแสนนาน  กระบวนการนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ  สุดท้ายเนื้อไม้เดิมของกลองนั้นก็ไม่มีเหลือมีแต่ไม้ที่อุดเข้าไปใหม่  แต่ชาวบ้านก็ยังมองเห็นว่ากลองนั้นก็ยังคงเป็นกลองอยู่ เปรียบได้กับคำสอนของพระศาสดา ที่ถูกแต่งเติมไปตามกาลเวลา (ด้วยอรรถกถา ครูบาอาจารย์ต่างๆ) จนท้ายสุดคำสอนเดิมของพระศาสดาก็ไม่มีเหลืออยู่ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา เหลือแต่คำว่าศาสนาพุทธ  จะเป็นพุทธไสยศาสตร์  พุทธพาณิชย์  พุทธผสมพราหมณ์  พุทธที่เชื่อผีสางเทวดา ไหว้ต้นไม้ประหลาด  สัตว์พิการ ขอหวย ขอโชค ขอลาภ ฯลฯ ยึดสิ่งที่ไม่ใช่สาระของพระพุทธศาสนาเป็นสรณะ  เป็นศรัทธางมงานกับสิ่งที่ไม่ใช่แม้แต่กระพี้(น่าจะเป็นกาฝากมากกว่า)ของพระพุทธศาสนา แทนที่จะสร้างปัญญาให้เข้าถึงแก่นของศาสนา จากคุณ : rujipars (rujipars_a) เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 08:29:49

ความคิดเห็นที่ 42 นั่งจานบินไปกับอาตมาขึ้นไปถามพระพุทธองค์ที่สวรรค์กันนะจ๊ะ พอดีจะเอาข้าวทิพย์ ไปถวายพอดี อย่าลืมทำบุญช่วยค่าน้ำมันด้วยนะจ๊ะ ยิ่งทำเยอะ จานบินจะได้บินเร็วๆ นะจ๊ะ จากคุณ : นะจ๊ะ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 08:43:31 A:202.12.118.61 X: TicketID:305869

ความคิดเห็นที่ 43 **  ที่คุณถามมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเล่าอุปมาอุปมัยให้คนเกิดความศรัธา  เมื่อศรัธาแล้วจึง ค่อยสอนแก่นของศาสนาจากเบื้องต้นจนชั้นสูง   ** แม้ในปัจจุบันก็มีไม่ต้องพระพุทธเจ้าดอกครับ  ลองมองรอบๆตัวดูครับมีใครบ้างที่ถูก ยกย่องจนเกินคน   ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ลองตรึกตรองดู    รถยนต์  ทำไมต้องทำบอดี้สวยๆ  สีสวยๆ  รูปร่างสวยๆ  ทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวข้องกับการ วิ่งได้ของรถเลย   แก่นของมันคือ  เครื่องยนต์กับล้อ  แต่ที่ต้องทำให้มันสวยเพื่อให้คน ชอบก่อน  เมื่อชอบแล้วเขาก็จะชื้อ  รถยนต์แต่ละยี่ห้อก็จะแข่งกันทำสวย..... จากคุณ : ตาเป๋า เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 08:45:51

ความคิดเห็นที่ 44 ผมว่าน่าจะลองไปถามที่ห้อง ศาสนา ดีกว่าครับ เพื่อที่จะได้ รับความเห็นที่แตกต่างกันครับ จะได้ไม่มองคำตอบของคำถามในมุมเดียว จากคุณ : nap62 เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:04:40

ความคิดเห็นที่ 45 บางความเห็นก็ดี  บางความเห็นก็มาม่า จากคุณ : apollo14 เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:05:23

ความคิดเห็นที่ 46 ผมเป็นคริสต์ แต่ผมเชื่อใน "เนื้อหาคำสอนที่ดีและมีเหตุผล" ของทุกศาสนา จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:21:27 A:125.24.56.39 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 47 คนบางคนไม่นับถือศาสนาของคนอื่นแล้ว ยังพยายามมาบ่อนทำลาย พยายามพูดจาน่ารังเกียจ ทำตัวเหมือนเข้าใจในหลักศาสนา แต่แท้จริงแล้วรู้แต่เปลือกนอก แล้วหยิบประเด็นเล็กๆ มาโจมตี จะเห็นเค้าได้ทุกกระทู้ที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ว่างๆ กลับไปปฏิบัติตามหลักศาสนา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณยึดให้ได้ดีก่อนจะมาพูดจาทำลายศาสนาอื่นครับ ส่วน #35 ศาสนาพุทธ ก็มีหลักธรรมคำสอน ที่สามารถนำไปใช้เป็นระเบียบปกครองทางโลกได้อย่างดียิ่งครับ ตัวอย่าง ทศพิธราชธรรม, พรหมวิหาร 4 เป็นต้น แต่จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธ คือ มุ่งให้ทุกคน ตัดกิเลส หลุดพ้นจากวัฏสงสาร แต่ใช่ว่าทุกคนจะเลือกเดินทางนั้น เพราะพื้นฐานแต่ละคน หรือกิเลสของแต่ละคนไม่เท่ากัน พระพุทธองค์จึงทรงสอนหลักธรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกแง่มุมของชีวิต จากคุณ : Paokun เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:25:36

ความคิดเห็นที่ 48 ความคิดเห็นที่ 38 ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าก็ได้ครับ แต่ผมเชื่อว่า ศีล5 จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จากคุณ : ตื่นแล้วจะกินอะไร เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 08:09:31 ************** จิงหง่ะ ถือศีล 5 เคร่งครัด แล้วเข้าบ่อนเสียเงินจนหมดตัว ผิดศีลมั้ย ถือศีล 5 เคร่งครัด สูบบุหรี่ จนเป็นมะเร็งปอด ผิดศีลมั้ย ถือศีล 5 เคร่งครัด ไปสวิงกิ้ง กับคู่สามีภรรยา ที่ไม่มีลูกและไม่มีบิดามารดา ผิดศีลมั้ย จากคุณ : เดจาวู เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:30:45 A:124.120.229.38 X: TicketID:315148

ความคิดเห็นที่ 49 ลองไปดูกระทู้นี้เขา ถกกันเริ่องการวิจารณ์พระไตรปิฏก มีการเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์ด้วยโดยเฉพาะใน คห.121 บอกให้วิทยาศาสตร์ลดอีโก้ เพราะมีหลายอย่างที่ศาสนาทำได้แต่วิทยาศาสตร์พสูจน์ไม่ได้ ไม่รู้รวมเรื่องการไปถวายข้าวพระพุทธเจ้า การแก้กรรม คุณไสย หรือการรู้จิตคนอื่น ด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้าอ้างว่าพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ มันก็ง่ายที่จะอ้างและหลอกได้ทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่มีผลหรือตัวชี้วัดออกมา  เช่นเรื่องGT200 ความจริงถ้าเขาตรวจระเบิดได้ด้วยพลังจิตหรืออะไรนี่ก็น่าจะดีนะ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10539890/Y10539890.html โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นไปได้ที่จะมีพระพุทธเจ้าจริงๆ คือตอนแรกเป็นคนธรรมดา พอนั่งสมาธิค้นคว้า ก็ศรัสตรู้เป็นพระพุทธเจ้า รู้เรื่องทุกอย่าง แต่นำมาสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์เป็นหลัก หรือไม่ก็เป็นคนธรรมดาที่ฉลาดๆทดลองและศึกษามากๆก็สรุปเป็นทฤษฎีคำสอนต่างๆได้  ส่วนเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็ไม่แน่อาจแต่งภายหลังหรือเป็นจริงก็ได้ด้วยปัจจัยพิเศษเช่นลมพัดดอกบัวมารองรับ หรือเกิดmutationเกิดมาแล้วเดินได้เลย..เป็นต้น จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:41:39

ความคิดเห็นที่ 50 พระพุทธเจ้า ที่เราๆ เรียกกัน ก็คือมนุษย์คนหนึ่งนี่ละครับ อาจเรียกว่า นักปรัญญาชีวิต ก็ได้  ท่านศึกษา และ เผยแพร่ คำสอน ในการดำรงชิวิตของมนุษย์ หรือ ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ นี่เอง ส่วนเรื่องอิทธิฤทธิ์ต่างๆ คนรุ่นหลังๆ เขียน เล่า เติม แต่ง เอาเองทั้งนั้นละครับ คุณควรศึกษา ที่เนื้อหา คำสอน ดีกว่า สิ่งมหัศจรรย์ ที่ฟัง หรือ อ่านมา จากคุณ : ชายพจน์ เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:49:45

ความคิดเห็นที่ 51 ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ อ่านหนังสือ พุทธประวัติจากปากพระโอษฐ์ ไม่มีที่เขียนมาครับ เลยไม่เชื่อ จากคุณ : .eAT เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:53:04

ความคิดเห็นที่ 52 ลองเข้าวัดสายปฏิบัติ หรือไปปฏิบัติธรรมตามวัด ตามสถานที่ปฏิบัติธรรมต่างๆ ที่นำคำสอนมาจากพระไตรปิฎกจริงๆดูครับ ... ไม่ใช่ไปฟังคุณครูประถมสอนเด็กในโรงเรียนมาใช้ เพราะนั่นมันไว้สอนเด็ก(จากคำถามคุณทั้งหมดละ เพราะนั่นมันนิทาน มัธยมเค้าจะสอนอีกแบบแล้ว) แล้วจะรู้ว่าศาสนาพุทธจริงๆเป็นอย่างไรครับ หรือง่ายๆเดินเข้าร้านหนังสือ หาหนังสือของท่านพุทธทาสมาอ่านสักเล่มครับ แล้วจะรู้ว่าศาสนาพุทธจริงๆสอนอะไร อย่างไรบ้าง...แล้วคุณจะเข้าใจ ศีล 5 เยอะขึ้น เพราะแค่คุณปฏิบัติตามศีล 5 ชีวิตก็มีความสุขเยอะขึ้นละครับ จากคุณ : bamboogie เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:59:54

ความคิดเห็นที่ 53 จขกท. ถามเหมือนที่นร.ไทย ที่อินเดียถูกถามในชั้นเรียน นร.ไทยตอบว่า "แล้วเชื่อว่าปู่ที่คุณไม่เคยเห็นหน้ามีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่าล่ะ" เรื่องเล่าในหมู่ญาติเกี่ยวกับปู่ ทำให้เราเชื่อเพราะเขาเป็นญาติเรา พระธรรมที่ตถาคตกล่าวไว้ดีแล้ว พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง สาธุชนพิจารณาแล้วว่าเป็นสัจธรรม พึงเชื่อว่าตถาคตมีอยู่จริง ยากที่คนธรรมดาจะคิดอ่านได้ ท่านไม่เชื่อเรื่องผี นี้จขกท. เห็นว่าเป็นคิดถูกต้องแน่นอนหรือ เป็นสิ่งเที่ยงแท้หรือ การตอบเช่นนี้ ไม่เป็นหลักของนักวิทย์ เพราะยังไม่สิ้นสุดการพิสูจน์ เหมือนกล้องจุลทรรศ์เมื่อร้อยปีก่อน ส่องไวรัสไม่เห็นนั่นแหละ พอไม่เห็นก็บอกไม่มี พอตัวเองมองเห็นก็บอกมี แต่คนอื่นบอกกลับปฏิเสธ โดยสิ้นเชิง คุณมีมุมมองของคุณก็ควรพูดว่าเป็นสิ่งที่คุณคิด อย่าใช้ถ้อยคำตีขลุม ความคิดทุกคนในห้องนี้ เพราะหลายท่าน ไม่ได้เป็นชาวพุทธ แต่เคารพความเห็นของชาวพุทธ และตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ไม่งมงาย ยึดติด พร้อมรับฟังความเห็นของผู้อื่น ที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เขาเชื่อ เพราะทุกท่านต้องการ"รู้แจ้ง"ในสิ่งที่ตนศรัทธา ไม่หลงทาง เดินทางตรง เลี่ยงทางอ้อม เรื่องที่แจ้งข้างต้น เป็นนิยายเกือบทั้งหมด บางส่วนใส่สีใส่ไข่ แต่บางเรื่องน่าจะจริง ด้วยอิทธิวิธี แต่ไม่เป็นสาระในหลักธรรมเลย แนะนำให้ไปอ่านจากหนังสือนักธรรมตรี โท เอก จะได้สาระมากกว่าแบบเรียน พุทธประวัติที่เราเรียนมามาจากปฐมสมโภช แต่งสมัยร.4 โดยนำเรื่องในอรรถกถา มาประพันธ์ใหม่ ให้เป็นเล่มเดียวจบ แต่ในพระบาลีที่ปรากฏในพระสูตรทางเถรวาท และมหายาน ไม่ตรงกับอรรถกถาทั้งหมด มีการสันนิษฐานในหลายประเทศรวมทั้งไทยว่า เหตุการณ์พิเศษเป็นการสื่อแบบ"ตีความ" เหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นจริงที่ยกมาได้แก่ ตอนประสูติพระนางมายา ทรงยืนคลอด โดยเกี่ยวกิ่งไม้สาละ เป็นเรื่องจริง ตรงกับในหนังdavinci code แมรี แมคดาลีน ยืนคลอดลูกสาวบน ขอนไม้ มือจับชายผ้า ตถาคตสูง1วา(2ม.) พระนางมายา ต้องเป็นสตรีสูงสง่า ไม่เตี้ย ผอมแน่นอน ดอกบัวมารองรับ เชื่อว่าเป็นบุคคลาธิษฐาน ในงานจิตรกรรม คือแสดงให้เห็นว่าเป็นยอดมนุษย์ ผู้นำความหลุดพ้นมาให้ จำนวน7ดอก แล้วแต่การตีความ เกิดแล้วพูด มีการเก็บข้อมูลทางฝรั่งแล้วว่าเด็กบางคนคลอดมาไม่กี่วันเริ่มพูดได้  จึงเชื่อว่ามีมูล ธนูเป็นดอกบัว แบ่งได้สองอย่างถ้าตีตามอรรถกถาข้อความนี้เป็นอิทธิวิธี แต่ตามข้อวินิจฉัยเชื่อว่า พรานขมัง ธนูได้พูดคุยแล้วเกิดเปลี่ยนใจ มานับถือแทน เพราะการปา โปรยดอกไม้ไปยังบุคคลที่บูชา ถือเป็นเรื่องปรกติในสังคมอินเดีย ในไทยมีพิธีโยนบัว ธรณีสูบ มีในพระบาลี น่าจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดได้ยาก  เพราะทำผิดหนักมากถึง2ใน5 ของอนัตริยกรรม โดยเฉพาะข้อ4 มีคนเดียวในประวัติพุทธเสียด้วย ซึ่งการที่แผ่นดินยุบบริเวณแคบและปิดเองได้นี้ยังไม่มีบันทึกปรากฏแน่ชัด แล้วแต่จะเชื่อก็แล้วกัน เพราะการทำผิดมหันต์มากมาย ก็ไม่เคยโดนธรณีสูบ ประเด็นที่หลายคนสงสัยจริงๆ เช่น แสงฉัพพรรณรังสี มีตลอดไม่ เพราะไม่ปรากฏบ่อยนัก กษัตริย์ไม่สามารถทราบได้ว่าใครคือพระศาสดา เมื่อแวดล้อมด้วยหมู่สงฆ์ จนต้องมีคนบอกถึงทราบ เพราะทุกท่านเป็น "สมณะโล้น" รังสีน่าจะมีเป็นครั้งคราวบางท่านว่าไม่น่ามี เพราะถ้ามีตลอดผู้คนคงแตกตื่น โดยที่ลัทธิอื่นชิดซ้าย เพราะแผ่ออร่าได้ตลอดเวลา ทรงผมตถาคต เมื่อแรกตรัสรู้ เชื่อว่ายังไม่ทรงปลงผมทั้งหมด เพราะการเล่าเรียนในสำนักสองอาจารย์ นิยมมวยผมแบบโยคี ดาบส จนมีวินัยให้ภิกขุปลงผม จากนั้นมาตถาคตไม่มีเส้นผมที่ศีรษะ แต่ในงานจิตรกรรมนิยม ทำมวยผมเพื่อให้คนดูแยกความแตกต่างจากภิกขุได้ ไม่งั้นเวลาดูพระสีวลี บางท่านยีงนึกว่าเป็นตถาคตเลย หลักฐานการมีอยู่ของตถาคต เริ่มจากที่มีการขุดพบเจดีย์ แห่งแรกของโลก มีจารึกสมัยพระเจ้าอโศก ปรากฏหลายแห่ง และระบุว่าเป็นสังเวนิยสถาน เมื่อเทียบสอบกับคัมภีร์แล้วมีความใกล้เคียงกัน จากความเห็นของนักวิชาการ หลายแขนงเชื่อว่าตถาคตมีตัวตนจริง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99 เมืองปอมเปอี และอีกหลายเมือง แต่ก่อนก็บอกว่าไม่มี เป็นนิยาย พอขุดเจอ ออกมาคุยโม้กันใหญ่ แล้วหลักการอยู่ไหน ไม่ใช่หลักกู แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 10:15:50 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 10:09:18

ความคิดเห็นที่ 54 ผมเชื่อว่ามีจริง แต่ไม่เชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ จขกท.ไม่ได้ลบหลู่ไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งสิ้น พระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้ตั้งคำถามแม้แต่กับตัวพระองค์เองอยู่แล้ว ปล. แต่ผมไม่ได้นับถือพุทธนะ จากคุณ : CARAGIO เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 10:21:31

ความคิดเห็นที่ 55 #53 ก็เคยได้ยินทำนองนี้เหมือนกันที่ว่า เราไม่เคยเห็นปู่ ทำไมเชื่อว่ามีปู่จริง แต่ตรรกะแบบนี้ไม่น่าจะใช้เปรียบเทียบในเรื่องที่เราไม่รู้หรือไม่เห็นได้ เช่น บางคนจะบอกว่ามีชาติหน้า ก็จะบอกว่ามีเมื่อวานไหมแล้วมีพรุ่งนี้ไหม สรุปว่ามีชาติหน้า  ความจริงน่าจะอธิบายว่ายังมีเรื่องธรรมชาติอีกมากที่วิทยาศาสตร์ยังค้นคว้าไม่พบเช่นเรื่องอวกาศเป็นต้น ความจริงชาติหน้าไม่ได้มีความหมายอะไรตราบเท่าที่คนทั่วไประลึกชาติไม่ได้ และตัวตนและการยึดมั่นในตัวกูของกูอยู่แค่ชาตินี้เท่านั้น ชาติหน้าไม่เกี่ยวกับเรา ก็ธรรมชาติดันทำให้เราระลึกชาติไม่ได้นี่ ช่วยไม่ได้ถ้ามีชาติหน้าจริง จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 10:24:46

ความคิดเห็นที่ 56 เอาง่ายๆเลย เกมที่ให้คนแสดงท่าทางเพื่อสี่อถึงคำๆหนึ่ง แค่ทำต่อกันไป 3-4 คน ก็ยังเพี้ยนแล้วเลย นับประสาอะไรกับ"สาร"ที่"สื่อ"ผ่านเวลาสองพันหกร้อยปี ผ่านคนหลายชนชาติ ที่มีภาษา วัฒนธรรมและความเชื่อต่างกัน แต่สิ่งที่ยังอยู่คือแกนกลางหรือแก่น ที่ไม่ว่าจะเอาอะไรมาหุ้ม แก่นก็ยังไม่เปลี่ยน ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เราจะสนใจแค่เปลือก หรืออยากเห็นไปถึงแก่น ผมเห็นว่าศาสนาพุทธสอนให้คนรู้จักตัวเอง ไม่ต้องมา่ซาบซึ้งศรัทธาหรือทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข ก็เลยเป็นปัญหา ว่าคนที่ทีศักยภาพคิดเองได้ มีน้อยไปหน่อย ต้องเป็นบัวพ้นน้ำ แถมบางคนกว่าจะพ้นน้ำได้ ก็แก่ตายไปซะก่อน ไม่ทันได้สอนใครอีก จากคุณ : jaycee เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 10:30:00

ความคิดเห็นที่ 57 โลกนี้อาจจะเป็นเมททริกก็ได้นะครับ  ทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น  ผมจะเล่าให้ฟังคร่าวๆเชื่อไม่เชื่อแล้วแต่วิจารณยาน ผมจำความรู้สึกตอนอยู่ในท้องแม่  และต้อนคลอดออกมาใหม่ๆได้ ตอนอยู่ในท้องแม่ ในนั้น พอดีมาก ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่แสบ ไม่เจ็บ มีแต่ความพอดี  สามารถฟังคนที่อยู่ข้างนอกพูด และเข้าใจความหมายได้  ความรู้สึกไม่เหมือนทารก แต่ กำหนดอายุไม่ได้  ความคิดน้อย สงบ  นิ่ง(ไม่ต้องขยับที่หน้าอกด้วย)  ตอนคลอด ทันทีที่ถูกอากาศภายนอก  รู้สึกแสบไปทั้งตัว  อยากจะกลับเข้าไปที่เดิม แล้วก้มีเสียง ผู้ชาย มาคุยด้วย ไม่น่าจะใช่คน(เพราะเค้ารู้ว่าเรากำลังคิดอะไร) เค้าบอกว่าจะกลับเข้าไปเหลอ  ตรงนั้นเป็นเค่จุดเริ่มต้น  ข้างหน้ายังต้องเจอกับอะไรอีกเยอะ สักพักผมเริ่มอึดอัด  ผมเริ่มดิ้นเพราะอึดอัด เสียงนั้นก็บอก หายใจสิ  ผมก็ งง นี่ผมยังไม่หายใจเหลอ เค้าก็เลยบอกให้ขยับที่หน้าอกเข้า  เดียวก้หายใจได้เอง ในนั้นมันสบายใช้ใหมละ ผมเลยบอก(คิด)ตอนนี้ผมแสบตัวไปหมดทั้งตัวแล้ว  เค้าก็บอกว่า สักพักก้จะปรับตัวได้เอง ผมเลยถามว่า ถ้าปรับตัวแล้วจะรู้สึกเหมือนเดิมใช้หรือเปล่า  เค้าตอบว่า คงไม่สบายเท่าเดิมหรอก แต่จะดีขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ความรู้สึกเป็นตัวตนที่ไม่ใช่ ทารก ก็ค่อยๆหายไป กลายเป็นทารก ที่ไม่รู้เรื่องอะไร ฟังอะไรไม่รู้เรื่อง  คิดอะไรไม่ได้ ได้แค่รับรู้สิ่งภายนอก ที่เห็น ที่ได้ยิน(ไม่เข้าใจความหมาย) เท่านั้น ลำพังเรื่องนี้ไม่ทำให้ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่โลกนี้จะเป็นเมททริก หรอกครับ นอกจากเรื่องนี้ ผมยังเจออีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะ ในวัยเด็ก ผมเจอบ่อยมาก จนผมไม่รู้สึกว่า เป็นเรื่องปรกติ หรือ ผิดปรกติ ของผู้คนทั่วไป  เดียวจะเล่าให้ฟังเชื่อหรือไม่แล้วแต่วิจารณยาน  สมัยผมเด็กๆ ก่อนเข้าเรียนอนุบาล ผมอยู่บ้าน บางที่ไปเผ้าแผงขายผ้า ผมสามารถบวกเลข ลบเลข ทอนเงินได้แล้ว  รู้ ก. ไก่ ถึง ฮ. นกฮูก อ่านหนังสือพิมพ์ได้แล้ว(พ่อสอน) ผมชอบเล่นเป็นนักเรียน เคยเล่นกับเด็กรุ่นพี่(บ้านแถวนั้น)ที่เรียนชั้น ประถมแล้ว ให้เค้าสอน ก.ไก่ เค้าสอน ก. ข. ค. ง.  แล้วก็หยุดไป ผมก็บอกต่อซิ เค้าก็ ก. ข. ค. ง.  ใหม่  ผมก็เลยบอกว่า แล้วยังงี้เมื่อไหร่จะถึง ฮ. นกฮูกซะทีละ  เค้าก็อึ้งซักพักแล้วก็พากันหนีไป ผมมีประสบการคอนแท็ก(ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวโดยตรง) บ่อยมากในวัยเด็ก แต่ความเข้าใจของผมก็คือ ผมเข้าใจว่าพวกเค้าเป็น หมอ  ผมมักจะพบเค้าในช่วงกลางคืน คือผมมันจะตื่นขึ้นมาพบว่าผมไม้ได้อยู่ที่บ้าน(ผมเข้าใจว่า พ่อ พามาหาหมอ)  ในตอนเด็กๆนั้น  ผมเคยเป็นหูน้ำหนวก ทำยังไงก็ไม่หาย  ไปหาหมอหลายที่ เอายามาเป่า หมอที่ไปหากลางวัน(หมอจริง) ยาที่เอามาเป่า จะทำให้หูรู้สึกตัน และ อื้อ แล้วก็ไม่หายสักที่  แล้วคืนหนึ่งที่ผมนอนหลับ  ผมตื่นมาพบหมอ 4 คนในชุดคลุม สวมหมวก ใส่แว่นเรแบน(น่าจะเป็นลูกกะตามากกว่า) หมอทำการตรวจจมูก และหู โดยใช้โลหะแหลม แหย่เข้าไปที่จมูก น่าจะแย่จนถึงกะโหลกด้านใน  แล้วกดจนหัวผมติดกับเตียงโลหะ ที่นอนอยู่(เค้าบอกว่าเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อที่ใกล้สมอง และจุดนี้สามารถเข้าถึงเนื้อสมองได้แต่ต้องเจาะผ่านเนื้อเยื่อบางๆ)  แล้วก็มาที่หู เค้าบอกว่า เอาอะไรมาใสหูเยอะแยะ  จริงๆแล้วปัญหาของหูอักเสบคือ มีของเหลวในหูมากเกินไป ยิ่งเอาอะไรมาใส ก็ยิ่งอักเสบ  เค้าเลยจัดการใช้ท่อโลหะ แหย่เข้าไป ดูเอาของเหลวออก  ตอนนั้นผมรู้สึก เบาสบายหูที่สุดเลย เพราะมันตื้อๆตันๆมาพักใหญ่แล้ว พอดูดเสร็จ รู้สึกแสบหูนิดๆ แต่ก็ดีกว่า หูตัน แล้วเค้าก็พ่นยาเข้าไป  ความรู้สึกเหมือยามันแตกตัวข้างในหู เหมือน ตอนที่เราอม ลูกอมโคกที่มันแตกในปากเปาะแปะๆ  ความรูสึกในหูคือ แห้งเลยครับ  หลังจากคืนนั้นผ่านไป หูผมหายจากหูน้ำหนวก  จนทุกคนในบ้านไม่อยากเชื่อว่าหายได้ยังไง อันนี้คือหลักฐานของความมีอยู่จริงที่มันวางอยู่ข้างหัวผมมานานแล้ว  ผมยังมีการคอนแท็กอีกหลายครั้ง พูดคุยกันหลายเรื่อง เคยกระทั้ง ทดสอบขับยาน ระบบอัตโนมัติ  สำหรับระบบ แมนวล เค้าบอกว่าต้องหลับตาแล้วมองเห็นด้านนอกได้ ถึงจะสามารถขับ ระบบแมนวล ได้ ในวัยเด็ก ขณะที่ผมกำลังเล่นอยู่ที่บ้านตา ผมชอบดูหนังบู้ชอบเรื่องปืน  ตาก้เอาปืนมาให้ดูบอกว่ามีคนให้ยืมมาให้เอามาให้ผมดู  เป็นปืนขนาดเล็ก สวย ผิวสีเงิน ตอนที่ตาเดินออกไป ด้วยความซนของเด็ก ผมหยิบเอาตะปูมาขูดที่ผิวโลหะ เป้นรอยขีดลงมาแล้วโค้งคร้ายเลข 5 ผมเลยขีดอีกเส้นให้กลายเป็นเลข 5 ตะปูไม่สามารถกินผิวโลหะได้ แต่มีรอยจางๆ เป้นเลข 5 แถวๆปุ่มปลดแม็ก แล้วตาก้มาหยิบเอาไป บอกเค้ามาเอาคืนแล้ว  มีเอกสารมากับปืน มีเลข 1999 หรือ 2000 เนี่ยผมไม่แน่ใจประมาณนี้  ผมเลยถามตาว่านี่เลขอะไร ตาบอกคงจะเป้นเลขปีมั้ง น่าจะเป้นเลขปี ผมเลยถามตาว่าปีนี้ปีอะไร ตาบอกปี 25XX (จำไม่ได้) หรือถ้าเป้นของฝรั่งก็ 19xx (น่าจะอยู่ในช่วง 197x)  ผมก็เลยบอกว่า ทำไมมันไม่ตรง เชื่อหรือเปล่าครับ  ตอนนี้ผมเป็นเจ้าของ ปืน PPK/s เผิวสีเงิน  ซื้อมาประมาณปี 2543  ตอนซื้อ สถาพ ใหม่กิ๊ก ไม่มีริ้วรอยใดๆ  หลังจากเวลาผ่านไปซักระยะ  ริ้วรอยก็มาตามกาลเวลา หลังจากที่ผมจำเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว ผมก็มาดูที่ปืน แถวปุ่มปลดแม้ก ตะแคงดูกับแสงไฟ  ปรากฏมีเลข 5 อยู่ตรงตำแหน่งนั้น ในลักษณะเดียวกับเลยครับ  เอาละซิครับ   เรื่องการเห็นของของตัวเอง ไม่ได้มีชิ้นเดียว  มีไม่ตำกว่า 4 ชิ้น ซึ่งมาคนละช่วงเวลา มาในวัยเด็กบ้าง วันเรียนบ้าง วัยทำงานบ้าง แต่หลังจากที่ผมเริ่มจำทุกอย่างได้ ประมารปี 2542  ก้ไม่ค่อยมีประสบการคอนแทก อีกเลย หรือมี แต่ผมยังไม่รู้ก้ไม่ทราบ เรื่องนี้ มีทั้งความทรงจำ และ หลักฐานเป็นวัตถุ ซึ่งใครไม่เชื่อ ผมเชื่อ  และผมสรุปกับตัวเองว่า  มนุษย์ต่างดาว ที่มีเท็คโนโลยีสูงมีอยู่จริงและได้มาถึงโลกนานมากๆแล้ว   การเดินทางผ่านกาลเวลา ไปสูอดีต และ ไปสู่อนาคต  มีจริงและสามารถทำได้แล้ว  และการเดินทางผ่านเวลานั้น สามารถนำวัตถุธาตุ เดินทางผ่านไปได้ด้วย ไม่ได้ไปด้วยจิตรหรือมิติพลังงานเพียงอย่างเดียว เพราะมีหลักฐานเป้น วัตถุที่เปลี่ยนแปลงตามการแก้ไขของอดีต   และนอกจากนั้นในประสบการณ์คอนแทรก ผมเคยมีคุยเรื่องทามแม็ทชีน(คุยแบบเด็กๆ) เค้าบอกว่า เวลาเหมือนเครื่องบันทึกเทบ อยากไปเวลาไหน ก็แค่ไปตรงนั้น แล้วก็อ่าน   พอรวมหลายๆเรื่องเข้าไป  ผมเลยมีความคิดผุดขึ้นมาว่า โลกนี้เป้น เมททริก หรือเปล่า ทำไมการเวลาถึงอยู่ในรูปของการบันทึก และส่วนในเรื่องของ พระพุทธเจ้า  มนุษย์ต่างดาวก็มีความสนใจมากเหมือนกันครับ  แต่ไม่สามารถนำ พระพุทธเจ้ามาทดลองได้  จากประสบการคอนแทรกของผม มนุษย์ต่างดาวบอกว่า เผ่าพันธุ์ ของเค่า มีพลังจิตร เป้นพื้นฐานอยู่แล้ว คือ มีทุกคน การหลับตามองเห็น มีทุกคน และใชในการขับยาน ระบบแมนวล  แต่ในเผ่าพันธุ์ มนุษย์โลก ซึ่งไม่ได้มีพลังจิตรโดยกำเหนิด จะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่มีพลังจิตร   และกลุ่มที่ มนุษย์ต่างดาวสนใจมากคือ กลุ่มของพระพุทธเจ้า(มนุษย์ต่างดาวเรียกว่า ชายเสื้อเหลือง) มนุษย์ต่างดาวบอกกับผมว่า  มีชายเสื้อเหลืองกลุ่มหนึ่ง มีหนึ่งคนเป้นหัวหน้า มีสาวก 5 คน และมีบริวาลอีกมาก  มีคนนับถือมาก  มนุษย์ต่าวดาวได้นำ สาวกทั้ง 5 คนมาทำการทดลอง ทุกคน  เมื่อทดลองเสร็จ จะมีการลบความจำ  แต่มีอยู่ หนึ่งคน ไม่สามารถลบความจำได้ ไม่ว่าจะลบไปกี่ครั้งก็ตาม  ส่วนคนที่เป้นหัวหน้า พวกเราไม่สามารถนำตัวมาทดลองได้เลย  เค้าจะมาเมื่อเค้าต้องการจะมา  และเค้าจะไปเมื่อเค้าต้องการจะไป เมื่อเค้ามา(หัวหน้าชายเสื้อเหลือง)  เราก็ต้อนรับ โดยให้นั่งที่เก้าอี้นักบิน ตัวที่ผมนั่งนั่นแหละ เพราะที่นี่มีที่นั่งเพียงที่เดียวคือ เก้าอี้นักบิน ทุกครั้งที่มา เค้าก็จะสอนสิ่งต่างๆที่เป้น ปรัชญา เราก็มิได้ขัดที่จะฟัง แต่เรามีเป้าหมายที่การเรียนรู้สิ่งต่างๆที่มิใช่ปรัชญาจึงไม่ได้นำมาเป็นหลักยึดแต่หลายสิ่งก็พูดตรงกับสิ่งที่เรารู้  พวกเราสงสัยว่า ทำไม่ มนุษย์ที่ไม่มีพลังจิตรโดยกำเหนิด แต่เมื่อมีพลังจิตรแล้ว จึงสามารถมีพลังจิตที่สูงมาก มากกว่าเผ่าพันธุ์ที่มีพลังจิตรโดยกำเหนิดซะอีก  สิ่งนี้มนุษย์ต่างดาวสนใจและอยากทดลองเป้นอย่างมากแต่ไม่สามารถทดลองได้  แลยแนะนำให้ผมไปขอฝึก กับชายเสื้อเหลือง เค้าบอกว่า บริเวณใกล้ๆจากที่ผมอยู่ มีชายเสื้อเหลือง 2-3 คนที่มีพลังจิตร ให้ผมไปฝึกกับเค้าลองดู เค้าบอกว่า ลักษณะของชายเสื้อเหลืองที่มีพลังจิตร จะไม่เหมือนกับ ชายเสื้อเหลืองทั่วไป จะไม่ค่อยยุ่งกับคนอื่นเท่าไหร่ ให้ไปลองหาดู      นอกจากนั้น ยังเคยพาผมไป ดวงจันทร์  และ ไปพบกับ ชายเสื้อเหลืองคนหนึ่ง  ลักษณะ ผมยาวหยิก ผิวเข้ม ใบหน้าคล้ายแขก นั่งอยู่บนกองฟาง ในโรงเก็บฟาง  มนุษย์ต่างดาวให้ผมเข้าไปถาม  ผมเดินเข้าไปถาม เป้นพระทำไมไว้ผมยาว ทำไมไม่โกนผม หรือไม่ใช่พระ  ท่านบอกว่า คนบาป เมื่อเจ้าไม่มีเราในหัวใจ แล้วเจ้าจะพบเราได้อย่างไร มนุษย์ต่างดาวก็บอกว่า ทำไม่ท่านไม่บอกเรื่องนั้น กับเค้าเพราะเค้าจะต้องเจอกับมัน  แล้วชายเสื้อเหลืองก้บอกว่า  เค้าไม่ได้อยู่ในเวลาที่จะได้พบกับเรา  แล้วก็ลุกขึ้นเดิน แล้วก้มีคนยื่นถาด ใส่อาหารให้ผม บอกให้ผม ใส่บาตรกับเค้าแล้วจะโชคดีมาก  ผมหับไป บอก ทำบุญด้วยครับ ท่านก็ไม่ยอมหยุดเดิน  ผมก้บอกว่าหยุดก่อนครับทำบุญด้วย ท่านก้ไม่หยุดเดิน  คนที่ยื่นถาดให้ก้บอกว่า ต้องพูดว่า นิมน ผมก้พูดว่า นิมน  นิมน  ตอนนั้นท่านเดิมไปไกลมากแล้ว  ถนนดิน ยาวสุดลูกหูลูกตา ตอนผมพูดนิมน ท่านเดินไปได้ 1/3 ของระยะที่มองเห็นแล้ว ท่านเดินอีกไม่กีก้าว ก้หายลับไปเลย เหมือน วาปไปเป้นช่วงๆเลย คนที่ยกถาดให้ ก็รับ ถาดคืน แล้วบอกว่า ปรกติ ท่านใจดีมากๆและไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ      ส่วนตัวตอนนี้ ผมเชื่อ เรื่องพระพุทธเจ้า  เชื่อเรื่องผี  เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว และเชื่อเรื่องภัยพิบัตที่ชาวโลกกำลังเจออยู่นี้ด้วย    และ ผมก้สงสัยว่า โลกนี้เป็น เมททริก หรือเปล่า  ถ้าเป้น เมททริก จริง อะไรก้เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นครับ  ไม่ว่าจะธรรมชาติ หรือ ไม่มีรูปแบบเลย จากคุณ : แคมปัส เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 11:15:29

ความคิดเห็นที่ 58 ความคิดเห็นที่ 38 ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าก็ได้ครับ แต่ผมเชื่อว่า ศีล5 จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จากคุณ : ตื่นแล้วจะกินอะไร เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 08:09:31 ************** ความคิดเห็นที่ 48 จิงหง่ะ ถือศีล 5 เคร่งครัด แล้วเข้าบ่อนเสียเงินจนหมดตัว ผิดศีลมั้ย ถือศีล 5 เคร่งครัด สูบบุหรี่ จนเป็นมะเร็งปอด ผิดศีลมั้ย ถือศีล 5 เคร่งครัด ไปสวิงกิ้ง กับคู่สามีภรรยา ที่ไม่มีลูกและไม่มีบิดามารดา ผิดศีลมั้ย จากคุณ : เดจาวู เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 09:30:45 A:124.120.229.38 X: TicketID:315148 +++++++++++++++ แล้วเข้าบ่อนเสียเงินจนหมดตัว ผิดศีลมั้ย //ผิดข้อ1เลยครับ เว้นจากการฆ่าหรือเบียดเบียนผู้อื่นและตนเองให้ต้องเจ็บปวดทรมาน สูบบุหรี่ จนเป็นมะเร็งปอด ผิดศีลมั้ย //ผิดครับ เหมือนข้อข้างบน ไปสวิงกิ้ง กับคู่สามีภรรยา ที่ไม่มีลูกและไม่มีบิดามารดา ผิดศีลมั้ย //ผิดข้อกาเม จังๆเลยนะครับ ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 12:51:20 จากคุณ : ตื่นแล้วจะกินอะไร เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 12:48:45

ความคิดเห็นที่ 59 ต้องขอชมเจ้าของกระทู้ที่มีความ ฉลาด ที่ถามคำถามแบบนั้น ผิดกับคนที่ไปไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นกล้วย ขูดเสาหาเลข ซึ่งคนพวกนี้ ไม่เข้าแก่นแท้ของศาสนาเลย คนพวกนี้ก็เลยมอง ว่าคนที่แต่งชุดขาวเข้าวัด ไหวพระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ว่าเป็นพวกงมงาย กลับกันคนที่เข้าวัดไปฟังธรรม ไปทำบุญ ก็มองคนที่ไปไหว้จอมปลวก นั้นว่าเป็นพวกงมงาย......แล้วใครกันละที่งมงาย ....ต่อเลย...แต่ก่อนนั้นผมก็เคยมีคำถามแบบเจ้าของกระทู้นะครับ... แต่พอสงสัยมาก ๆ ก็เริ่มที่จะถามตัวเองกลับไปบ้างว่า.... ...."ถ้าได้หลักฐานแล้วจะทำอย่างไรกับมัน"..... เจ้าของกระทู้ลองถามตัวเองดูนะครับ... แล้วตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่ผมไปพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าแทน แล้วหลังนั้นคำถามที่ถามเหมือนเจ้าของกระทู้มัน ผมก็ถามใจผมว่า จะรู้ไปทำไม....? รู้แล้วคนรอบข้างมีความสุขไหม รู้แล้วพ่อแม่ภูมิใจไหม รู้แล้ว...สามารถไม่ต้องมาเกิด ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ได้ไหม ? ....และก็ก็ความคิดเห็นที่ 57 ของคุณ แคมปัส น่าสนใจดีนะครับ... จากคุณ : สง กับ สัย เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 54 14:35:11 A:10.0.100.2 X:110.77.247.218 TicketID:321094

ความคิดเห็นที่ 60 คุณทำไม ๆ ครับ ที่คุณตั้งคำถามมานี้ไม่ผิดที่คุณจะสงสัยครับ แต่ถ้าคุณเป็นคนจริงไม่ใช่พวกอ่อนปัญญา ไม่ต้องไปถามใครหรอกครับเพราะไม่มีใครจะตอบคุณได้ถึงจะตอบได้ก็ไม่เป็นจริง "คำตอบที่แท้จริงอยู่ที่ตัวคุณเอง ถ้า...คุณจะลองปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง" ผมรับรองว่าคุณจะพิสูจน์ทุกเรื่องที่คุณสงสัยได้ อย่าว่าแต่แค่เรื่องพุทธปาฏิหารเลยครับ แต่ถ้าคุณไม่เป็นคนจริงก็รับเอาความคิดเห็นทั่วไปนี่แหละเป็นคำตอบไปครับ จากคุณ : md เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:26:48 A:223.205.221.167 X: TicketID:322771