ความคิดเห็นที่ 1 จริงครับ ไอ้ที่บอกว่า เทคโนโลยีสูง จิตใจต่ำ นั่นมันคำปลอบใจตัวเองชัดๆ ดูประเทศไทยเป็นตัวอย่างได้ จากคุณ : erkDaZe เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:14:51

ความคิดเห็นที่ 2 ซ้ำ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 17:19:38 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 17:19:09 จากคุณ : erkDaZe เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:17:44

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องไปด้วยกันครับ เหมือนรถต้องมีทั้งคันเร่งและเบรค รถคันไหนมีแต่คันเร่งอย่างเดียวแต่เบรคแตก ใครอยากนั่งก็เชิญตามสบายครับ แต่ผมขอบายคนนึงล่ะ หึ หึ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:22:26

ความคิดเห็นที่ 4 จำเป็นต้องเลือก หรือให้ความสำคัญด้านหนึ่งด้านใดเท่านั้นเหรอ ทุกอย่างมีความสำคัญหมดครับ เพียงแต่ขึ้นอยู่กับบริบทกับสภาวะแวดล้อมของแต่ละคน ว่าจะมุ่งความสำคัญที่ด้านใดมากกว่ากัน และขณะเดียวกัน ก็สามารถให้ความสำคัญในระดับเดียวกันได้เช่นกัน จากคุณ : Singster เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:25:06

ความคิดเห็นที่ 5 ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นทุกวินาที .. แต่ความสุขของคนเรามันเพิ่มขึ้นตามความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์จริงหรือ? จริงและมี Indicator หลายอย่าดูจาก Life Expectancy ของประเทศพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนา เทียบกันก็ได้ หรืออัตราการรู้หนังสือ การกดขี่ที่เกิดจากศาสนา สุขภาพของมนุษย์ อัตราการรอดชีวิตของทารกแรกเกิด Indicator ทุกตัวมีดีขึ้นตามความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น โดยเฉลี่ยแล้วความสุขของคนเราเพิ่มขึ้นตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เราไม่ต้องใช้เวลาเป็นวันหรือเป็นเดือนในการเดินทางจาก กทม. ไปเชียงใหม่ เราสามารถคุยกับญาติ พี่น้องที่อยู่ห่างกันครึ่งโลกแบบ Realtime เราไม่ต้องกลัวว่าลูกเราที่กำลังจะเกิดจะตายหรือเปล่า เราไม่ต้องห่วงเรื่องห่าลง ท้องร่วง มาเลเรีย และสารพัดโรคซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวกว่า AIDS เยอะ ความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่ดึขึ้นมาจากวิทยาศาสตร์สามารถนั้นเกิดขึ้นมาในช่วง 400 กว่าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ Renaissance เท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับเวลาที่มนุษย์ใช้เวลากับศาสนามากว่า 6000 ปี จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:29:32

ความคิดเห็นที่ 6 หากเป็นเมื่อก่อน เราคงยังเป็นทาสกันอยู่ โต้แย้งเจ้านายไม่ได้ ก้มหัวรับกรรมลูกเดียว หากเป็นเมื่อก่อน คนที่รักป่วยหนัก ก็รอวันตายเท่านั้น  การรักษาอะไรก็ไม่มี หากเป็นเมื่อก่อน  จะทำอะไร ก็ต้องลงแรง ไม่มีเครื่องทุ่นแรง คุณว่า ทุกวันนี้ เรามีความสุขขึ้นไหม? จากคุณ : เทมปุระ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:40:50

ความคิดเห็นที่ 7 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์สร้างสิ่งต่างๆได้มากมาย ทำให้การใช้ชีวิต สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาน้อยลง แต่ได้เนื้องานมากขึ้น ทำให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นมากมาย คนบาดเจ็บก็รักษาให้หาย คนอวัยวะขาดก็สร้างอวัยวะเทียม ฯลฯ สิ่งดีๆที่วิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมา ใช้เนื้อที่เท่าไหร่ในการบรรยายก็คงไม่พอ แต่ว่านะ การใช้ชีวิตมันเป็นแค่ปัญหาทางรูปธรรม แต่มนุษย์มีความซับซ้อนกว่านั้น มันยังมีปัญหาทางนามธรรมอีก ปัญหาทางความรู้สึกในจิตใจ โดยเฉพาะ เรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่อง "ความตาย" มนุษย์หวาดกลัวต่อความตายมาช้านานแล้ว แต่เรารู้เกี่ยวกับความตายน้อยมาก และความกลัวที่จะต้องสูญเสียทุกอย่าง ทำให้เป็นทุกข์ ตราบใดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตอบทุกปัญหาเกี่ยวกับความทุกข์ของมนุษย์ โลกนี้ก็จำเป็นต้องมีศาสตร์อื่นที่ "อ้าง" ว่าสามารถตอบปัญหานั้นได้ขึ้นมา และที่น่าสนใจก็คือ พุทธศาสนา อ้างว่า มีวิธีปฏิบัติที่สามารถทำให้ทุกข์ดับสนิทไม่มีเหลือ ภาวะที่ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงมีจริง มิหนำซ้ำ คนสอนยังไม่ง้อให้คนเชื่ออีกด้วย ความทุกข์เป็นสิ่งคู่กับชีวิต เมื่อมีคนอ้างว่าสามารถ ที่จะดับทุกข์ได้ตลอดกาล ก็น่าสนใจที่จะลองฟังดูหน่อยนะครับ ฟังดูแล้ว ทดลองทำดูแล้ว เมื่อเห็นว่าทุกข์ลดลงเรื่อยๆจริง ความรู้สึกเคารพ ความรู้สึกนับถือ ความรู้สึกศรัทธามันจะตาม มาเองทีหลัง ธรรมชาติของมนุษย์มีความรู้สึกสำนึกบุญคุณอยู่แล้ว เมื่อมีคนนำเรื่องดีขนาดนี้ มาบอกกล่าว มาสอน มาพูดให้ฟัง โดยแลกกับอาหารเพียงชั่วมื้อประทังชีวิตรอดไปวันๆ คุณจะรู้สึกตื้นตันในใจ จนสามารถก้มกราบแทบเท้าสมณะผู้นั้นได้เลยทีเดียว จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:51:17

ความคิดเห็นที่ 8 คำว่าพอมันอยู่แค่ปลายสายรุ้งเท่านั้น เราได้อะไรมาดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยจะพอใจ เพราะถ้าพอใจแล้ว จะรู้สึกเหมือนเราจะย่ำอยู่กับที่ แต่ก่อนล่าสัตว์มาย่างกินได้ตัวนึง อาจจะมีความสุขสุดยอดกว่าได้เงินแสนล้านเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ โหวดทำไม  = = จากคุณ : KeyboardWarrior เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:53:25

ความคิดเห็นที่ 9 คห.3 พูดถูก จำเป็นทั้ง 2 สิ่ง วิทยาศาสตร์ทำให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตดีขึ้น ศาสนาช่วยกล่อมเกลาจิตใจ หากมีแต่ความรู้ มุ่งแต่ต้องการผลสำเร็จ เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานจนเกินพอดี จะนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ได้เหมือนกัน ชีวิตมนุษย์ต้องมีความสมดุล ซึ่งเรียกว่า Equilibrium ชีวิตไม่มีสมดุลอยู่ไม่ได้ จากคุณ : ดุลของชีวิต เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:54:01 A:125.24.180.252 X: TicketID:317466

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าไม่มีศาสนา สมมติใครเกิดมาพิการอาจต้องถูกกำจัด ตามหลัก natural selection จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:56:30

ความคิดเห็นที่ 11 ที่บอกว่าความสุขของคนเราเพิ่มขึ้นตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ นี่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือป่าว พุทธ บอกว่า ความทุกข์ของคนเรา เพิ่มขึ้นตามความขาด สำคัญ ต้องบอกว่า สำคัญต่ออะไร ถ้าเป็น สำคัญต่อการมีความสุขของคน คนอยู่ ตามป่าเขา มีความทุกข์มากว่า คนอยู่กับเทคโนโลยี งั้นหรือ //ย่อยโจทย์ลงมา เหมือนเหลือคำถามว่า //ระหว่างความเชื่อ กับความจริง //อะไรจำเป็นต่อความสุข ของคนมากกว่ากัน เปลี่ยนเป็น อะไร สำคัญต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติ มากกว่า ไม่มีศาสนา ก็คงอยู่กันได้ (จะอยากอยู่กันหรือป่าวไม่รู้) ไม่มีวิทย์ ทรัพยากรจะไม่พอใช้ ในอีกไม่นานนัก วันนึง เมื่อความจริงๆมากขึ้นๆ อาจจะไม่ต้องมีศาสนา แต่ก็ต้องมีอะไร มาจัดการให้สังคมสงบสุข อยู่ดี แต่ด้วยวิทย์ ไม่แน่ว่า ความจริงก็ถอยสัดส่วนลงได้ อาจจะทำให้ความเชื่อและศาสนาจำเป็นมากขึ้นก็ได้ ถ้าถามผมว่า อยากให้ไทยพัฒนา วิทย์หรือสังคม มากกว่ากัน ผมว่าสังคมนะ เอาใหม่ สมมติ นับแต่วินาทีนี้ไปจนวันสิ้นอายุไข ให้เลือกระหว่าง ลบวิทย์ทั้งหมดไปจากโลก กับลบศาสนาทั้งหมดไป จะเลือกอย่างไหนดี หมายถึง เลิกงานแล้ว กำลังจะกลับบ้าน รถ ไฟฟ้า ประปา สื่อสาร ทุกอย่างหยุดหมด เทียบกับ ทุกอย่างปกติ แล้วคุณก็ขับรถกลับบ้านตามปกติ ศาสนาหายไป ทุกคนมาเผชิญกัน ตามสัญชาตญาณ ไม่มีข้อกำหนดของความดี เลว เหมือนจะอยู่กันได้แฮะ ทุกวันนี้ คนเลว ตามนิยามทางศาสนา ก็มีอยู่ตั้งเยอะ ส่วนตัวผม พอจะจัดการกับวัตถุอะไรทางกายได้นะ แต่จะในสังคมที่ไม่มีศาสนาเลย ผมไม่เอาดีกว่า น่ากลัวมากมาย ขนาด ยังพอมีศาสนากัน สังคมก็ยังเป็นอย่างนี้ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:17:26

ความคิดเห็นที่ 12 เฮ้ เพื่อนฝูง ศาสนา ไม่เท่ากับ จริยธรรม เอาญี่ปุ่นตั้ง เอาศาสนาออก มันก็ยังเป็นญี่ปุ่น ใช้กฏหมาย+จริยธรรมคุมสังคม เอาญี่ปุ่นตั้ง เอาเทคโนโลยี ออก => อารยธรรมล่มสลาย หาอาหารยังไง พลังงานจากไหน? ทุกคนจะได้ขึ้นสวรรค์ตามความเชื่ออย่างรวดเร็วเลยทีเดียว จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:19:34

ความคิดเห็นที่ 13 ตาม #12 ถ้าถามว่าวิทยาศาสตร์กับจริยธรรมอะไรสำคัญกว่ากัน อันนี้น่าคิด ถ้าถามว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาอะไรสำคัญกว่ากัน ตอบได้ทันทีว่าวิทยาศาสตร์ ไม่มีผลอะไรบ่งชี้ว่าคนที่นับถือศาสนามีจริยธรรมสูงกว่าคนที่ไม่นับถืออะไรเลย อย่างมีนัยสำคัญ อาชญากรส่วนใหญ่ก็มีศาสนาทั้งนั้นครับ แม้แต่สงครามก็เกิดขึ้นได้ เพราะศาสนา พวกก่อการร้ายก็ยังมีอ้างศาสนา ที่พูดมานี้ไม่ใช่จะบอกว่ามีศาสนาเลว ไม่มีศาสนาดี (เพราะผมก็นับถือศาสนานะ) แค่จะบอกว่าถ้าคนนับถือศาสนามีทั้งคนเลวคนดีในจำนวนที่พอๆ กับคนที่ไม่นับถือศาสนา เราคงอ้างไม่ได้ว่าศาสนาสำคัญกว่าวิทยาศาสตร์ เพราะช่วยในเรื่องของจิตใจ ในเมื่อคนที่ไม่มีศาสนาจิตใจก็ไม่ได้ต่ำไปกว่าคนมีศาสนา เป้าหมายในชีวิตของเขา แค่ต่างไปจากคนที่มีศาสนาเท่านั้นเอง จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:26:52

ความคิดเห็นที่ 14 ศาสนา ไม่เท่ากับ จริยธรรม จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:37:02

ความคิดเห็นที่ 15 วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็แยกออกมาจากการสอนองค์ความรู้ของศาสนาครับ ความสำคัญของศาสนานับแต่โบราณคือการอธิบายปรากฏการณ์ของโลก และการอธิบายนั้นมันก็มีกลไกเกิดขึ้น และแยกมาในชั้นหลัง แน่นอนว่าคำว่าวิทยาศาสตร์ตรงนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ตามนิยามหว้ากอ แต่เป็น Science ที่เป็น สหวิทยาการ คำตอบของจริยธรรม ทำไมต้องทำดี ในทางศาสนาและวิทยาศาสตร์นั้นเริ่มต้นเหมือนกัน ศาสนา ย่อมได้ใช้หลักการและเหตุผลในการร้อยเอากฏเกณฑ์ของสังคมขึ้นมา นั่นอาจเป็นวิสัยทัศน์ของศาสดาที่ทำเพื่อมนุษย์ หรือเขาอาจได้เห็นความจริงอะไรบางอย่าง มันก็กลายเป็น กฎเกณฑ์ ที่คุมด้วย ธรรมเนียม และจารีต ซึ่งถ้าให้เป็นฝั่งวิทยาศาสตร์ ให้หาเหตุผลหรือวิธีการดำรงอยู่ของสังคมโดยสันติ มันก็คงจะออกมาเป็นเซตของกฏเกณฑ์พึงปฏิบัติในรูปจริยธรรมที่คล้ายคลึงกัน เพียงว่า กฏเกณฑ์ที่สร้างมาในยุคสมัยนี้ จะมีการคุมกฎแบบเข้ม ส่วนโครงปฏิบัติแบบหลวมๆ ในรูปของสิทธิมนุษยชน ธรรมาภิบาล ละครับ ถ้าในระดับของสังคมมนุษย์ แม้จะเอาศาสนาออกไป วิทยาศาสตร์ก็จะให้กำเนิดศาสนาขึ้นมา และถ้าเอาวิทยาศาสตร์ออกไป แม้มนุษย์จะล้มลุกคลุกคลานกันบ้าง แต่ด้วยการนำของศาสนา วิทยาศาสตร์ก็ย่อมจะเกิดขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน (อย่างน้อยผมก็เชื่ออย่างนั้น) จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:37:42

ความคิดเห็นที่ 16 ตอนกลางคืนเดินอยู่ในซอยเปลี่ยว เห็นคนเิดินสวนทางมา รอบๆกายไม่มีใครอยู่ หันหลังกลับ ยิงเข้าให้ ทำแบบๆนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส ผิดกฏหมายแต่ไม่มีใครเห็น(นี่หว่า) ถ้าไม่มีศาสนายึดเหนี่ยวจิตใจ ความรู้สึกบาปบุญคุณโทษ ก็จะไม่สำนึก ถ้ามีคนแบบนี้หลายคน มีหวังสังคมอยู่กันไม่ได้ จากคุณ : jengchai เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:43:33

ความคิดเห็นที่ 17 คห.16 แล้วตรงไหนเป็นวิทยาศาสตร์ล่ะนั่น? ความรู้สึกกลัวแล้วคว้าปืนยิง ??? จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:49:57

ความคิดเห็นที่ 18 #16 โปรดอ่าน #12 - #14 จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:53:30

ความคิดเห็นที่ 19 แล้วถ้ามีแต่ศาสนาอิสลามกับเทคโนโลยีให้เลือก ผลโหวตคงต่างออกไปยิ่งขึ้นอีก คริคริ จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 19:19:53

ความคิดเห็นที่ 20 ผมว่าตอบกันก่อนไหมว่า วิทยาศาสตร์(Science)*คือ ? ศาสนา(Religion)คือ ? จริยศาสตร์(Ethics)คือ ? ปรัชญา(Philosophy)คือ ? *ปกติแล้ว "วิทยาศาสตร์" หรือ "Science" โดยทั่วไป เช่น คณะวิทยาศาสตร์, หนังสือปรัชญาวิทยาศาสตร์, หนังสือ What is this things called Science ? จะหมายถึง วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science) จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 19:26:47

ความคิดเห็นที่ 21 ผมคิดง่ายว่า มีอาหารกิน สำคัญไหม? สำคัญ ทำไงให้มีอาหารกิน ? ต้องมีเงิน ทำไงให้มีเงิน ? ต้องทำงาน ทำงานอะไร? ทำงานที่เรียน เรียนอะไร? เรียน อิเล็คทรอนิกส์(อุปกรณ์ส่วนใหญ่เกิดจากวิทยาศาสตร์) ระหว่าง นำความรุ้ด้านศาสนาไปสมัครงาน กับ นำความรู้วิทยาศาสตร์ไปสมัครงาน อะไรที่ทำให้ได้งานทำ? เมื่อมีงานทำ ก็มีเงิน? เมื่อมีเงินก็สามารถซื้อข้าวกินได้ โดยไม่ต้องขอชาวบ้านกิน ระหว่าง ประเทศที่คนส่วนทำงานเพื่อแลกเงิน กับ ประเทศส่วนใหญ่คนไม่ทำงานแต่ขอชาวบ้านกินอะไรสำคัญกว่ากัน ? -_-" จากคุณ : บัตรผ่าน enterprise เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:00:00 A:192.251.226.205 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 22 นั่งนึก แล้วทำตาปริบๆ จากคุณ : askedwutt เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:01:08

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าใช้ชีวิตอย่างฉลาดในสังคมที่มีคนมากกว่าหนึ่งคน ต้องรู้จักปรับใช้ให้ถูกต้องทั้งสองศาสตร์ครับ ศาสนาอย่างเดียวก็ไม่สามารถดำรงอยู่แบบปุถุชนได้ถ้าเลือก โลกียธรรม ถ้าวิทยาศาสตร์อย่างเดียวโดยแกล้งหลงลืมคุณธรรมความดี สังคมนั้นก็จะวิบัติ ดังนั้นจากข้างบน รถวิ่งเร็ว ก็ควรมีเบรกด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เลิกใช้รถ พอใจมีความสุขแบบการเดินเท้า ก็ใช้ศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธอย่างเดียวก็สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุข โดยทิ้งวิทยาศาสตร์ได้ เพียงแต่คนที่ไม่เคยศึกษาศาสนาด้วยปัญญา นั้นยากจะเข้าใจ ยังคงเหมารวมว่า คนมีศาสนานั้นจะต้องงมงาย ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์ หลายๆทฤษฏีก็รอเวลาถูกหักล้าง เมื่อมีข้อมูลใหม่ๆเข้ามา ยุคสมัยเปลี่ยนไป องค์ความรู้เปลี่ยนไป วิทยาศาสตร์บางอย่างก้เป็นเพียงองค์ความรู้ที่หลงผิดเข้าใจผิดในแต่ละยุคนั้นๆ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:02:35

ความคิดเห็นที่ 24 . . คนดีหรือคนเลว ไม่ได้วัดกันที่มีศาสนาหรือไม่นะคะ.. ดีในอีกศาสนาหนึ่งอาจไม่ดีในอีกศาสนาหนึ่งก็ได้... แต่ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือศรัทธาในศาสนาใด หรือแม้จะไม่มีศาสนาเลยก็ตาม เราก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติเหมือนกัน และวิทยาศาสตร์ก็พยายามหาความรู้จากธรรมชาติเหล่านั้นหล่ะค่ะ มาให้มนุษย์ประยุกต์ใช้สร้างอารยะธรรมต่างต่างขึ้นมา จนถึงทุกวันนี้... จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:13:45

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นที่ 19 แล้วถ้ามีแต่ศาสนาอิสลามกับเทคโนโลยีให้เลือก ผลโหวตคงต่างออกไปยิ่งขึ้นอีก คริคริ จากคุณ : ก็อดแฮนด์ ไม่รู้เหมือนกันนะ... สมัยนี้ภาพอิสลามถูกมองไปด้านลบ นอกจากทำตัวเองแล้ว ยังมีมหาอำนาจช่วยตอกย้ำ แต่ยุคทองของอิสลาม (อาหรับ เปอร์เซียร์ เติร์ก แขกมัวร์ ฯลฯ) อยู่ช่วงเดียวกับยุคมืดในยุโรป ศตวรรษที่ 7-15 เป็นช่วงที่อิสลามกับเทคโนโลยีพากันเฟื่องฟู ไม่ใช่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ถ้าไม่มีแนวคิดยึดคืนนครศักดิ์สิทธิ์ ก็คงพากันไปอีกไกล พื้นฐานวิทยาศาสตร์ในยุโรปหลังจากตื่นจากยุคมืด ก็มีได้มาจากตรงนี้ พร้อมทั้งฟื้นฟูปรัชญากรีก ถ้าอิสลามเป็นกำแพงกั้นเทคโนโลยีจริง ๆ อย่างแนวความคิดที่มักมองไปด้านลบ ระบบตัวเลข "อารบิก" ที่มีรากจากอินเดีย มันส่งผ่านไปไม่ได้หรอก จากคุณ : M&M เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:24:37 A:124.122.161.226 X: TicketID:313571

ความคิดเห็นที่ 26 Now, even though the realms of religion and science in themselves are clearly marked off from each other, nevertheless there exist between the two strong reciprocal relationships and dependencies. Though religion may be that which determines the goal, it has, nevertheless, learned from science, in the broadest sense, what means will contribute to the attainment of the goals it has set up. But science can only be created by those who are thoroughly imbued with the aspiration toward truth and understanding. This source of feeling, however, springs from the sphere of religion. To this there also belongs the faith in the possibility that the regulations valid for the world of existence are rational, that is, comprehensible to reason. I cannot conceive of a genuine scientist without that profound faith. The situation may be expressed by an image: science without religion is lame, religion without science is blind. Albert Einstein, "Science, Philosophy and Religion: a Symposium", 1941 US (German-born) physicist (1879 - 1955) The following article by Albert Einstein appeared in the New York Times Magazine on November 9, 1930 pp 1-4. It has been reprinted in Ideas and Opinions, Crown Publishers, Inc. 1954, pp 36 - 40. It also appears in Einstein's book The World as I See It, Philosophical Library, New York, 1949, pp. 24 - 28. http://www.sacred-texts.com/aor/einstein/einsci.htm แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 20:28:48 จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:26:02

ความคิดเห็นที่ 27 ... จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:26:48

ความคิดเห็นที่ 28 เห็นคุณ nisas Quote มาแล้ว ก็ต้องมีอันนี้ประกอบไปด้วย Science, in consequence, has been accused of undermining morals-but wrongly. The ethical behaviour of man is better based on sympathy, education, and social relationships, and requires no support from religion. Man’s plight would, indeed, be sad if he had to be kept in order through fear of punishment and hope of rewards after death. “Einstein on Cosmic Religion and Other Opinions & Aphorisms” Dover Publications, inc. Mineola, Newyork ISBN-13:978-0-486-47010-8 (p. 51-52) จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:42:56

ความคิดเห็นที่ 29 ที่จริงถ้ามนุษย์ทุกคนมีจิตใจสูง มีสติมีปัญญามีจริยธรรมรู้จักผิดชอบชั่วดีด้วยตัวเองและสามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ให้กระทำผิดกระทำชั่วได้เหมือนกันหมดทุกคน ถึงเวลานั้นศาสนาจะมีหรือไม่มีก็เท่ากันครับ แต่ในความเป็นจริงคือ มนุษย์ทุกคนไม่ได้มีจิตใจสูงขนาดนั้น ตรงกันข้ามคนที่มีจริยธรรมรู้จักผิดชอบชั่วดีด้วยตัวเองนั้นมีน้อยมากถึงมากที่สุด และอีกอย่างคือ คนที่จิตใจสูง ก็ไม่แน่นักว่าจะดำรงตนในสภาพเดิมได้ตลอดไป เมื่อต้องอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปกิเลศตัณหา ลาภยศสรรเสริญ ซึ่งอาจดึงให้คนดีๆ เสียไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นศาสนาจึงต้องเกิดขึ้นมาในโลกนี้ เพื่อดึงคนให้มีจิตใจสูงขึ้น รู้จักผิดชอบชั่วดีมากขึ้น เพื่อให้สามารถดำรงตนในโลกนี้อย่างมีสติ ไม่กระทำผิดกระทำชั่วต่อตัวเองและผู้อื่น และตักเตือนให้คนที่ดีอยู่แล้วไม่ประมาทจนเกิดอาการ "ดีแตก" ไปได้ ถ้าไม่มีศาสนา ไม่มีคำสั่งสอนของศาสนาเลยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โลกนี้อาจจะไม่เหลือ "มนุษย์" อยู่เลยก็ได้ คงเหลือแต่ "สัตว์มนุษย์" ที่ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ชนิดอื่นๆ บนโลกนี้ ซึ่ง "สัตว์มนุษย์" ที่ว่า น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 20:53:06 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 20:51:50 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:44:15

ความคิดเห็นที่ 30 คุณปริน พูดได้ดี พูดได้ดี อยากให้กิ๊ฟสักล้านคะแนน.. จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:49:15

ความคิดเห็นที่ 31 ต้องมีศาสนาคับใช้แต่จริยธรรมไม่ได้เพราะจริยธรรมสามารถชี้นำได้โดยผู้มีอำนาจคับ ญี่ปุ่นนั่นแหล่ะตัวอย่างสุดประเสริฐ คนญี่ปุ่นมีคุณภาพมีจริยธรรมดีแต่ก็เพราะจริยธรรมอันสุดยอดของญี่ปุ่นนั่นแหล่ะถึงนำพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และตราบจนบัดนี้ญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้มีกองทัพของตัวเอง... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:52:05 A:223.204.81.12 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 32 ญี่ปุ่นไม่ได้เรียกจริยธรรมครับ แต่เรียก ว่า จารีตประเพณี จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:58:04

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบแบบไม่กั๊ก วิทยาศาสตร์สิครับ ผมอยู่มาเกือบจะ 1/4 ศตวรรษนี่ เกือบจะไ่ม่ได้ใช้ศาสนาเลย (ใช้เพราะจำเป็นในบางทีเท่านั้น) แต่วิทยาศาสตร์ผมใช้มันทุกวันเลย จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 21:12:13

ความคิดเห็นที่ 34 เชื่อว่า เมื่อวิทยาการขีดสุด ต้องสร้าง ศาสนา มาต่อเนื่อง จากคุณ : labor_pu เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 21:26:17

ความคิดเห็นที่ 35 กพอ สำคัญกว่า สอนให้เย็บผ้าเป็น กวาดบ้านได้ คนอ้วนใส่เสื้อลายตั้ง คนผอมใส่เสื้อลายขวาง จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 21:37:06 A:124.122.135.122 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 36 วิทยาศาสตร์ ทำลายโลกได้ทั้งโลก ศาสนา ทำให้โลกสงบ ป.ล.  ไม่ต้องบอกนะว่า ศาสนาบางศาสนาไม่ดี นั่นมันถูกบิดเบือนโดยมนุษย์ที่มีอำนาจต่างหาก         ถ้าศาสนาไม่เกิดมาเพื่อให้สังคมมีสันติ  จะเกิดมาทำไม  รกเปล่าๆ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 21:45:28

ความคิดเห็นที่ 37 #36 น่าสงสัยนะครับ ทำไมวิทยาศาสตร์มีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ศาสนามีแต่ข้อดีอย่างเดียว.. เรียกว่าติดอยู่ในอะไรน้า? จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 22:00:15

ความคิดเห็นที่ 38 มีสองทาง โลกมันอยู่ใต้กฎทิวลักษณ์ วิทยาศาสตร์ "ทำให้" มองแยกส่วน เพื่อที่จะควบคุม >>>ครองโลก(ที่เห็นอยู๋) ศาสนา "ทำให้" มองภาพรวม เพื่อที่จะรวมเป็นหนึ่ง >>>หลุดพ้น(ไปอีกโลก) ความหมายนี้น่าจะใช้เป็น เทคโนโลยี เหมาะสมกว่า วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็น กระบวนการ วิทย์ = ความเข้าใจวัตถุ สปิริต = ความเข้าใจจิตใจ ใครเป็นคนตัดสิน "คุณค่า" ว่าควรจะเป็นสิ่งไหน เป็นคำถามที่ subjective... "เวลา" อาจทำให้คำตอบของคนเปลี่ยนได้ครับ ถ้าไม่ abuse สุดโต่ง ทั้งสองฝ่าย มันคงอยู่ร่วมกันได้ จากคุณ : A Song for xx เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 22:01:53

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้ากลัวว่าเมื่อไม่มีศาสนาหรือเรื่องนรก-สวรรค์แล้วคนจะลุกฮือขึ้นมาทำชั่วมากขึ้นล่ะก็ อยากให้มองไปที่เรายังมีเรื่องจริยธรรมอยู่ และหลักจริยธรรมนี้ไม่ใช่ศาสนา หรือมาจากศาสนา แต่มันมีอยู่ก่อนแล้ว และพอมีศาสนาเค้าก็เอาจริยธรรมนี้ไปใส่ด้วย แต่ไม่ใช่แค่นั้น เค้ายังเอาค่านิยม วิถีชนของพื้นที่และอำนาจของผู้สวมเครื่องแบบศาสนาใส่ลงไปด้วย จริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องมีศาสนามาใช้ในการควบคุมคน แต่เราควรปลูกฝังเรื่องหลักจริยธรรมและการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมมากกว่า จากคุณ : Matriarch Miaw เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 22:21:00

ความคิดเห็นที่ 40 วิทยาศาสตร์ก็อันนึง  ส่วน  ความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ ก็อีกอันนึง แต่คนฝักใฝ่วิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่แยกไม่ออก ระหว่างความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์กับวิทยาศาสตร์  มันจึงมีสิ่งที่เหมือนศาสนา เด๊ะ ๆ นอนเนียนอยู่ในวงวิทยาศาสตร์เสมอ  โดยที่คนฝักใฝ่วิทยาศาสตร์ไม่ได้สังเกตุ หรือ บางทีก็แกล้งมองไม่เห็น จากคุณ : Reverb เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 22:38:04

ความคิดเห็นที่ 41 ^ #32 เพราะคนมีจริยธรรมคับถึงทำตามจารีตประเพณี... #39 อ่าน #31 ด้วยคับ... -"- จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 23:10:38 A:223.204.81.12 X: TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 42 #28 อ้าว ตกลงปู่ไอน์แกจะเอายังไงกันแน่เนี่ย หรือว่าพูดแบบประนีประนอมเพราะกลัวอำนาจศาสนจักร แต่ยังไงผมคิดว่าวิทย์เพียวๆ มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดีอ่ะ ถ้าเพราะถ้าไม่มีอะไรมาถ่วงดุลมันจะโหดเหี้ยมแน่ๆ  พอดีเคยดูเรื่อง Gattaca มาเลยแอบกลัว แค่สายตาสั้นยังจะโดนจับไปเป็นพลเมืองชั้นสอง แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 23:52:50 จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 23:51:48

ความคิดเห็นที่ 43 ตา nisas ลองกดมาอ่าน ในบล็อคผมดูเองละกัน มีเขียนเรื่อง ศาสนาอวกาศ (Cosmic Religion) ไว้ครับ ในนั้นจะวิเคราะห์ลักษณะของศาสนาเอาไว้ ปล. อย่างกรณีของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ความเชื่อที่ว่าเมื่่อตายไปจักเกิดใหม่เป็นแสงจากดวงอาทิตย์ ที่จะทำให้คนบ้าบิ่นขนาด อันนี้ละ คือรูปแบบของศาสนาครับ ปล2. ถ้าหากว่ามนุษย์ที่ไม่มีศาสนาอาจฆ่าผองเพื่อนมนุษย์ได้แบบฆ่าเล่นเช่นใน 16 มนุษย์เราโดยธรรมชาติก็คงเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน และสิ่งนี้ย่อมนับเป็นการดูถูกสติปัญญาสิ้นดี เพราะพฤติกรรมมวลมนุษย์ สมมุติเลวสุด ก็ควรเป็นแค่ระดับเดรัจฉาน จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 54 08:03:05

ความคิดเห็นที่ 44 ^ ผมว่าไม่ใช่รูปแบบศาสนานะคับเพราะว่าไม่มีคำสอนไม่มีพระเจ้าและไม่มีศาสดา ความเชื่อในแบบศาสนาสากลทั้งหลายเขาสามารถค้นหาได้ว่าต้นตอของคำสอนมาจากไหนคับอย่างความเชื่อพุทธก็มาจากพระพุทธเจ้าความเชื่อคริสต์ก็มาจากพระเยซู แต่ลัทธิบูชาท้องถิ่นนี่มักจะมีแต่ความเชื่อที่บอกต่อๆกันเป็นความเชื่อปริศนาที่ไม่รู้ว่ามีต้นตอมาจากที่ใหนแต่ก็เชื่อกันเพราะว่าใครๆเขาเชื่อกันและถ้าไม่เชื่อก็จะดูเป็นคนเลวร้ายในสายตาพวกพ้อง (ซึ่งแน่นอนว่าความเชื่อนั้นจะต้องมาจากชนชั้นปกครองแน่นอน...) ความเชื่อแบบศาสนาที่เป็นสากลเขาจะไม่เชื่ออะไรที่เข้าข่ายลักษณะนี้คับ ความเชื่อนั้นความเชื่อนี้มาจากไหนเปิดคัมภีร์อ้างอิงกันได้คับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 02:17:28 A:192.168.4.1 X:58.137.99.76, 180.183.145.143 TicketID:311423

ความคิดเห็นที่ 45 ในมุมมองของผม ความสำคัญ - วิทยาศาสตร์ 100% - ศาสนา 0% จากคุณ : ด้วยความเคารพ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 00:10:08 A:124.122.183.214 X: TicketID:293925

ความคิดเห็นที่ 46 ตอบ  คห  37      น่าจะคิดได้นะ ว่าทำไมวิทยาศาสตร์ทำลายโลกได้ทั้งโลก       ลองหาข้อมูลซิ ว่าระเบิดนิวเคลียร์ ทั้งโลกขณะนี้มีเท่าไร ทำลายโลกได้กี่ครั้ง       มาจากวิทยาศาสตร์หรือเปล่า จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 54 08:00:13