ความคิดเห็นที่ 1 ขออภัยค่ะ เมื่อกี๊ลืมใส่ link Dailymail @cloud ทะเลสาบ Nyos ทะเลสาบ Monoun Limnic Eruption กระทู้ปลาตายที่ทะเลสาบ Taal Haraldur Sigurdsson แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 54 09:54:15 แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 54 11:18:48 แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 54 02:34:40 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 54 16:47:33 จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 15:48:03

ความคิดเห็นที่ 2 Nyos Lake ทะเลสาบมรณะ ทางตอนกลาง ค่อนไปทางเหนือของประเทศแคเมอรูน ใกล้ๆกับทางใต้ของไนจีเรีย มีทะเลสาบแสนสวยแห่งหนึ่งชื่อ ทะเลสาบนีโยส (Nyos Lake) ดูในแผนที่แล้วจัดอยู่ในเขตชนบทห่างไกลผู้คน การเดินทางเข้าไปแสนลำบากยากเย็น เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือเมืองวุม( Wum) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองยาอุนเด้ เมืองหลวงของประเทศไปค่อนข้างไกล ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ถึง12 ชั่วโมง ทะเลสาบนีโยสเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ พื้นที่ผิวน้ำกินอาณาเขตราว 206 ตารางกิโลเมตร ระดับน้ำตรงจุดที่ลึกที่สุดลึกถึง 208 เมตร นับ ว่าลึกกว่าทะเลสาบทั่วไปมาก ความลึกระดับนี้ทำให้น้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ถึงจะใสแจ๋วแต่มองลงไปแทบไม่เห็นอะไรเลย ประกอบกับผิวน้ำที่นิ่งเรียบอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วสวยแกมน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ชนเผ่า บาฟเม็นที่อาศัยอยู่บริเวณรอบทะเลสาบนีโยสมาหลายร้อยปีปฏิบัติตามคำ สอนของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ทว่า เมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่มีเหตุร้ายแรงน่ากลัวเกิดขึ้น น้ำในทะเลสาบเคยใสแจ๋วเป็นสีน้ำเงินเข้มอย่างไรก็ยังคงอยู่อย่างนั้น ผู้คนจึงค่อยๆอพยพมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่บริเวณนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ ฝนตกชุก ลูกหลานลืมเลือนตำนานเรื่องเล่าขานของทะเลสาบแห่งนี้ ปลูกบ้านตามอำเภอใจ บ้างก็อยู่ในหุบต่ำกว่าระดับของทะเลสาบ ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 มีคนอาศัยอยู่รอบๆทะเลสาบนีโยสหลายพันคน มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 54 11:19:20 จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 15:52:05

ความคิดเห็นที่ 3 เช้าวันรุ่งขึ้น ชายชาวแคเมอรูนรายหนึ่งปั่นจักรยานจากเมืองวุม เพื่อมาพบปะเพื่อนฝูงที่หมู่บ้านนีโยสต่ำ (Lower Nyos) ระหว่าง ทางเขาพบสัตว์ตายอยู่ริมถนนเต็มไปหมด ตั้งแต่หนู สุนัข ไปจนถึงตัวแอนทีโลป (กวาง ชนิดหนึ่ง) สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านและสัตว์ป่าอีกหลายชนิด สันนิษฐานง่ายๆว่าพวกมันคงตายจากการถูกฟ้าผ่า ซี่งเกิดขึ้นได้บ่อยๆ หากฟ้าผ่าลงมาใกล้ๆกับตัวสัตว์ แต่ ก็ยังไม่แน่ใจในข้อสันนิษฐานที่ตัวเองตั้งขึ้น พอ เข้าเขตหมู่บ้าน ความแปลกใจของชายผู้นี้ก็หลีกทางให้ความตระหนก เพราะทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยศพ ไม่ว่าจะเป็นคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ผู้อาวุโสไปจนถึงลูกเด็กเล็กแดง หรือสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งแมลง มีทั้งที่ตายอยู่ในกระท่อมและออกมาตายข้างนอก บรรยากาศอันวังเวงทำให้ชายหนุ่มเลิกล้มความคิดที่จะไปต่อ รีบกระโจนขึ้นปั่นจักรยานกลับไปยังเมืองวุมโดยเร็วที่สุด เหตุที่ชายหนุ่มมาเจอแต่คนตายและความเงียบสงัดน่าวังเวง ก็เพราะชาวบ้านส่วนน้อยที่มีชีวิตอยู่พ้นค่ำคืนอันเงียบสงัดนั้นมาได้ ค่อยรู้สึกตัวภายหลังอย่างอ่อนระโหยในตอนเช้าตรู่ เพิ่งจะพบว่ารอบๆตัวมีแต่เพื่อนและญาตินอนตัวแข็งอยู่เต็มไปหมด ที่ยังพอมีลมหายใจก็ไร้สติ ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น เสียงกรีดร้องร่ำไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วบริเวณ อากาศยามเช้าแจ่มใสสดชื่นก็จริง แต่ไม่มีเสียงนกร้องอย่างเคย น้ำในทะเลสาบที่เคยใสก็กลายเป็นสีแดงขุ่นน่ากลัว และน้ำตกเตี้ยๆที่เคยเป็นทางระบายน้ำทางเดียวของทะเลสาบแห้งเหือดไปอย่าง ไม่เคยปรากฏมาก่อน คน เหล่านี้ไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ทราบเพียงว่าได้ยินเสียงดังสนั่นแล้วก็วูบไปเฉยๆ ในที่สุดก็เลยพากันออกเดินทางไปยังเมืองวุมเพื่อหาคำอธิบาย แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 54 14:08:21 จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 15:56:35

ความคิดเห็นที่ 4 เมืองวุมเป็นเมืองใหญ่ก็จริง แต่กว่าเรื่องจะไปถึงเมืองหลวงและกว่าทีมแพทย์ของรัฐบาลจะถูกส่งเข้าไปที่ ทะเลสาบนีโยส ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 วัน ระหว่างนั้นฝนฟ้าก็ตกหนัก ชาวบ้านได้แต่ฝังญาติพี่น้องของตนไปตามมีตามเกิด บางคนหลับไปกว่า 36 ชม. ตื่นขึ้นมาพบว่าคนในครอบครัวเสียชีวิตหมด ฆ่าตัวตายเลยก็มี รวมแล้วอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 21 สิงหาคม ได้คร่าชีวิตผู้คนรอบทะเลสาบไปเกือบ 1,800 คน ปศุสัตว์กว่า 3,000 ตัว สัตว์ป่าตลอดจน นก หนู งู แมลงที่อาศัยอยู่ชุกชุมแถวนั้นอีกนับไม่ถ้วน พูดง่ายๆคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในรัศมีประมาณ 20 กิโลเมตรของทะเลสาบตายเกือบทั้งหมด ยิ่งอยู่ใกล้ทะเลสาบเท่าใด อัตราการตายก็สูงขึ้นเท่านั้น ทีม แพทย์สังเกตว่าผู้รอดชีวิต แทบทุกคนมีอาการมึนงงอ่อนเพลีย บางคนมีรอยไหม้ตามร่างกาย บางคนระบบทางเดินหายใจมีปัญหา แต่โดยรวมแล้วก็ไม่มีอาการรุนแรงมากนัก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคได้เลย ไม่มีใครรับประทานอาหารอะไรผิดแปลกไปจากปกติที่เคยทาน ศพที่นำมาชันสูตรไม่มีการตกเลือดไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายหรือได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ ไม่มีเชื้อโรค กัมมันตภาพรังสี อาวุธเคมี หรือแก๊สพิษอะไรทั้งสิ้น ลักษณะที่จะบ่งบอกว่าเจ็บปวดทุกข์ทรมานก่อนตายก็ไม่มี เหมือนกับว่าหมดสติแล้วก็ตายไปเฉยๆอย่างนั้น เด็กๆที่หลับไปแล้วก็เหมือนจะตายทั้งๆที่หลับ ไม่ได้ดิ้นรนอะไรทั้งสิ้น จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 16:00:09

ความคิดเห็นที่ 5 รออ่าน อย่างใจจดใจจ่อ จากคุณ : LinkinArt เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 16:01:21

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าทีมแพทย์ไม่สามารถอธิบายโศกนาฏกรรมลึกลับครั้งนี้ได้ ชาว แคเมอรูนต่างเชื่อว่า วิญญาณในทะเลสาบคงจะโกรธเคืองที่ใครสักคนคงไปทำผิดล่วงเกินเอาไว้ มาพร่าผู้คนตายเป็นเบือเหมือนในตำนาน หลายประเทศในโลกเริ่มมองเรื่องนี้ด้วยสายตาสนใจใคร่รู้ รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับเรียกตัวผู้เชี่ยวชาญทางภูมิศาสตร์เคมีอันดับหนึ่งของ ประเทศ ให้เก็บข้าวของเดินทางไปแคเมอรูนเพื่อสืบให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เช่นเดียวกับรัฐบาลฝรั่งเศส (แคเมอรูนเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อน) สหรัฐอเมริกา เยอรมัน อังกฤษ อิตาเลียน และสวิสเซอร์แลนด์ รวมแล้วหลายสิบคน มีทั้งนักธรณีวิทยา นักเคมี ผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟ แผ่นดินไหว และผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ต่างๆอีกหลายแขนง ล้วนถูกส่งมาที่นี่อย่างเร่งด่วนจนแทบไม่มีเวลาเตรียมตัว การ ตรวจสอบเบื้องต้นของผู้เชี่ยวชาญนานาชาติเหล่านี้ไม่พบอะไรที่สามารถใช้ อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าพอใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อคิดอยู่ในใจของหลายคน ก็คือเหตุการณ์ที่คล้ายๆกันที่เกิดขึ้นแถวทะเลสาบโมนูน (Monoun Lake) เมื่อสองปีก่อน ทะเลสาบโมนูนอยู่ห่างจากทะเลสาบนีโยสมาทางใต้ประมาณ 69 ก.ม. ลักษณะทางภูมิศาสตร์ก็คล้ายๆกัน คือเป็นปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว และมีน้ำใต้ดินซึมเข้าไปขังอยู่จนกลายเป็นแหล่งน้ำ ทะเลสาบโมนูนไม่ใหญ่และลึกเท่ากับทะเลสาบนีโยส แต่มันอยู่ในบริเวณที่ต่ำกว่า ใกล้เมืองหลวงมากกว่า จึงมีคนอาศัยอยู่โดยรอบมากกว่า แค่เมืองที่ใกล้ที่สุดคือเมืองนจินดูนก็มีประชากรกว่า 3,000 คนเข้าไปแล้ว จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 16:02:05

ความคิดเห็นที่ 7 เช้าตรู่วันหนึ่งกลางเดือนเมษายน ค.ศ.1984 ผู้คนเกือบ 40 คน เสียชีวิตปริศนาขณะเดินทางไปตามถนนช่วงที่ลาดลงหุบเขา ก่อนถึงเมืองนจินดูน นอกจากนั้นยังมีแกะนับสิบตัวและสัตว์น้อยใหญ่ในบริเวณอีกมาก ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่ากำลังจะเกิดรัฐประหารหรือไม่รัฐบาลก็คงทดลอง อาวุธเคมี มีหลายคนเหมือนกันที่เชื่อว่าภูเขาไฟใต้ทะเลสาบโมนูนกลับ ฝื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เหตุการณ์ ครั้งนั้นทำให้สถานฑูตสหรัฐร้อนใจจนต้องเรียกผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูเขาไฟจาก มหาวิทยาลัยโรดส์ไอร์แลนด์ ชื่อ ฮาราลเดอร์ ซิเกิร์ดสัน มาพิสูจน์ดูให้รู้แน่ชัด ซิเกิร์ดสันสำรวจพื้นที่แถวทะเลสาบอยู่หลายเดือนโดยไม่พบสัญญาณใดๆ ที่บอกว่าจะเกิดภูเขาไฟระเบิด อุณหภูมิของน้ำในทะเลสาบไม่ได้สูงขึ้นผิดปกติ ไม่มีร่องรอยของแร่กัมมะถัน พื้นทะเลสาบก็ดูราบเรียบ เรื่องแปลกอย่างเดียวที่เขาเจอก็คือ ตอนที่ดึงขวดเก็บตัวอย่างน้ำขึ้นมาจากระดับน้ำลึกมากๆ ทุกครั้งฝาขวดจะระเบิดออก ที่ระดับผิวน้ำเหมือนมีแรงดันจากภายใน ซิเกิร์ดสันหาวิธีนำน้ำจากก้นทะเลสาบไปตรวจสอบจนได้ และพบว่าน้ำดังกล่าวเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 เป็น ก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีพิษใดๆกับมนุษย์ ร่างกายของเราผลิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เราหายใจออกจะมีก๊าซนี้ออกมาด้วย ในอากาศปกติมีก๊าซนี้อยู่ประมาณ 0.05% ก๊าซนี้หนัก กว่าอากาศ เมื่อมันถูกปล่อยออกมาในปริมาณมากๆมันจะกดลงต่ำ ทำให้ก๊าซออกซิเจนลอยขึ้นสูง ผลคือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในบริเวณนั้นจะไม่มีอากาศหายใจจนกว่าลมจะพัดเอา ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป อากาศที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผสมอยู่ประมาณ 5% จะทำให้เทียนไขและเครื่องยนต์ดับ เพิ่มขึ้นมาอีกเป็น 10% จะสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตเสียชีวิตได้ เพียงแต่อาจใช้เวลาอยู่ในช่วงโคม่านานหน่อย แต่ถ้าสูงขึ้นไปถึง 30% ละก็ สิ่งมีชีวิตจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วินาที จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 16:05:18

ความคิดเห็นที่ 8 ซิเกิร์ดสันสรุปว่าใต้ทะเลสาบโมนูนเต็มไปด้วยแม็กม่าหรือหินที่หลอมละลายอยู่ใต้พื้นโลก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหยออกมาจากแม็กม่าเหล่านี้ค่อยๆซึมขึ้นมาปนกับน้ำใต้ดินบริเวณก้นทะเลสาบ เรื่องนี้เป็นเรื่อง ปกติ ทะเลสาบไหนๆก็มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งนั้นไม่มากก็น้อย แต่มันสามารถลอยเป็นฟองปุดๆ ขึ้นมาที่ผิวน้ำแล้วละเหยปนไปกับอากาศได้โดยไม่เป็นอันตรายกับใคร เพียงแต่ที่ทะเลสาบโมนูนนี้มันไม่ลอยขึ้นมา เมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ น้ำลึกของทะเลสาบมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เจืออยู่อย่างเข้มข้น หากมีอะไรมาทำให้มันขึ้นมาเหนือผิวน้ำอย่างกะทันหันเป็นปริมาณมาก มันจะระเบิดและ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมาก สู่อากาศในช่วงระยะเวลาสั้นๆ กลายเป็นภัยธรรมชาติที่ อาจคร่าชีวิตผู้ทั้งเมืองได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที การตายด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ใช่เรื่องแปลกในประเทศแคเมอรูนเนื่องจากภายใต้แนวภูเขาไฟเก่าที่พาดผ่านประเทศแคเม อรูนนั้นมีแม็กม่าปริมาณมหาศาล จึงมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึมออกมาพร้อมน้ำใต้ดินเสมอ การระเบิดของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดย่อมในบ่อน้ำเล็กๆเกิดได้บ่อยครั้ง ซิเกิร์ดสันสรุปรายงานให้สถานทูต และเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่งไปยังวารสาร Science ซึ่ง เป็นวารสารวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐ แต่ถูกปฏิเสธ เพราะบรรณาธิการเห็นว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไป ทฤษฎีดังกล่าวจึงไม่ค่อยมีคนรู้ นอกจากคนวงในไม่กี่คน เหตุการณ์ ที่ทะเลสาบนีโยสทำให้รายงายของซิเกิร์ดสันถูกจับขึ้นมาปัด ฟุ่นอ่านกันอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงสองสามสัปดาห์แรกที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเดินทางมาถึงทะเลสาบนีโยส ได้มีการนำน้ำในทะเลสาบมาตรวจสอบกันหลายครั้งหลายหน นอกจากจะพบว่าสีแดงของน้ำเกิดขึ้นเพราะน้ำเต็มไปด้วยแร่เหล็กที่กลายเป็น สนิม เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อทำปฏิกิริยากับอากาศแล้ว ก็ไม่มีการพบก๊าซอะไรในปริมาณมากเกินปกติ แต่นั่นคือน้ำด้านบน ถ้าจะพิสูจน์ทฤษฎีของซิเกิร์ดสัน ก็ต้องมีการเอาน้ำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาตรวจ ทะเล สาบนีโยสอยู่ในแนวภูเขาไฟเก่า เช่นเดียวกับทะเลสาบโมนูน เป็นปากปล่องภูเขาไฟเก่าเหมือนกัน พื้นทะเลสาบก็คล้ายๆกัน คือเป็นหินก้อนใหญ่ปนกับเถ้าถ่านหนาแน่นจากการระเบิดในอดีต ระดับความลึกต่างกันก็จริงแต่ก็ถูกจัดว่าเป็นทะเลสาบที่ลึกด้วยกันทั้งสอง แห่ง ซึ่งหมายความว่าความดันบริเวณก้นทะเลสาบมีมากพอจะกดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้จม อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ที่ตั้งก็สำคัญ หากทะเลสาบนีโยสอยู่เหนือหรือใต้กว่านี้หน่อย อุณหภูมิของอากาศจะมีความแตกต่างกันมากขึ้นในแต่ละช่วงของปี ตาม ปกติแล้วทะเลสาบทั่วไปในฤดูหนาวด้านบนจะเย็นลงและจมลงไปด้านล่าง ปล่อยให้น้ำด้านล่างที่อุ่นกว่าและเบากว่า ลอยขึ้นมาด้านบน พอถึงฤดูใบไม้ผลิกระแสน้ำก็จะสลับกันอีกครั้งหนึ่ง เปิดโอกาสให้คาร์บอนไดออกไซด์ค่อยๆระเหยออกมาสู่อากาศได้ จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 16:11:04

ความคิดเห็นที่ 9 แต่เนื่องจากทะเลสาบนีโยสอยู่ในแถบเส้นศูนย์สูตร อุณหภูมิของอากาศสม่ำเสมอทั้งปี แถมยังมีแนวเขากั้นลมและฝน น้ำในทะเลสาบจึงนิ่งสนิทตลอดทำให้คาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ข้างใต้มากขึ้น เรื่อยๆ ผลการตรวจน้ำในระดับลึกลงไปพบว่าน้ำในระดับลึกเพียง 50 ฟุต มีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มากพอที่จะทำให้ฝาขวดกระเด็นออกเมื่อดึงขึ้นมาบนผิว น้ำ ที่ระดับ 600 ฟุต ปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นมากจนต้องใช้ขวดอัดความดันสูงถึงจะ เก็บตัวอย่างขึ้นมาได้ เมื่อนำมาตรวจวัดอย่างละเอียดแล้วก็พบว่ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผสมอยู่ใน น้ำอัตราส่วนห้าต่อหนึ่ง มากกว่าที่ใดๆที่เคยตรวจพบมาก่อน ปัญหาก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลเหล่านี้ถูกปล่อยสู่อากาศได้อย่างไร คำตอบอยู่ที่เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นที่ชาวบ้านได้ยินก่อนจะหมดสติไปนั่นเอง นัก ธรณีวิทยาสังเกตเห็นร่องรอยของหินถล่มที่เพิ่งเกิดขึ้นพร้อมๆกับปรากฏการณ์ ประหลาดที่คร่าชีวิตผู้คนทั้งหมู่บ้าน ด้านหนึ่งของทะเลสาบ มันจะหลุดออกจากภูเขาด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่เมื่อมันหล่นลงไปในน้ำ มันทำให้น้ำเกิดการสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน น้ำ ข้างบนไหลลงไปที่ระดับน้ำลึก น้ำข้างล่างที่เต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่เหล็กถูกผลักขึ้นมา ข้างบน เมื่อปะทะกับความดันที่น้อยกว่า ก็ระเบิดออก ทำนองเดียวกับฝาจุกขวดโซดาระเบิดออกเมื่อเราเขย่าขวด ผลก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลดันขึ้นมาในอากาศอย่างรวดเร็ว กระจายไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง เข้าแทนที่ออกซิเจน และทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ หลัง จากเกิดการระเบิด ระดับน้ำในทะเลสาบลดลงไปถึงหนึ่งเมตร นักวิทยาศาสตร์คาดการว่าว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเบิดออกมาใน เวลาแค่ 20 วินามี ตอนหัวค่ำของวันที่ 21 สิงหาคมมีมากถึง 1.2 ลูกบาศก์กิโลเมตร (หาก คิดไม่ออกว่ามากแค่ไหนขอให้จินตนาการถึงกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มี ด้านกว้างยาวด้านละหนึ่งกิโลเมตร) มันกระจายไปด้วยความเร็วประมาณ 72 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่บริเวณใกล้ทะเลสาบแทบไม่มีโอกาสรอดเลย เนื่อง จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนักกว่าอากาศส่วนใหญ่จึงลอยลงสู่ที่ต่ำ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขามีอัตราการตายสูงกว่าหมู่บ้าน ที่อยู่ในที่สูง กระนั้น ปริมาณที่มากมายมหาศาลของมันก็ทำให้คนและสัตว์ที่อยู่สูงกว่าทะเล สาบเกือบร้อยเมตรตายไปหลายศพ การระเบิดครั้งนี้ยังทำให้ต้นไม้บริเวณรอบๆทะเลสาบที่อยู่สูงขึ้นไปประมาณ 80 เมตรตายหมดสันนิษฐานว่าเกิดจากน้ำที่เต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สาดกระเด็นขึ้นไป เมื่อ รู้สาเหตุแล้วแทนที่จะเก็บกระเป๋ากลับบ้าน นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังต้องมานั่นกุมขมับกันต่อ ด้วยว่าการระเบิดครั้งนี้ไม่ใช่การระเบิดครั้งสุดท้าย ในเมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังคงซึมปนออกมากับน้ำใต้ดินอย่างต่อเนื่อง และทะเลสาบยังไม่เคลื่อนหนีไปไหนเหมือนในตำนาน ชาวบ้านก็เหมือนอาศัยอยู่บนระเบิดเวลาดีๆนี่เอง ไม่ ใช่แต่ทะเลสาบนีโยสเท่านั้น ทะเลสาบโมนูนก็ด้วย ถึงจะไม่ลึกเท่ากับทะเลสาบนีโยส แต่ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมอยู่ก้นทะเลสาบโมนูนก็เพิ่มด้วยอัตรา ที่เร็วกว่า นอกจากนั้นก็มีทะเลสาบคิวู (Kivu Lake) ใน ประเทศรวันดา ซึ่งนอกจากจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปนกับน้ำในปริมาณสูงจนน่าเป็นห่วงแล้ว ยังมีก๊าซมีเทน หรือที่เราเรียกว่าก๊าซธรรมชาติหนาแน่น หากระเบิดขึ้นมาคงน่าตื่นตาตื่นใจกว่าทะเลสาบนีโยส และทะเลสาบโมนูนมากนัก หลัง จากคิดค้นวิธีระบายก๊าซจากก้นทะเลสาบขึ้นมาหลายวิธี เช่นหย่อนระเบิดลงไปดึงก๊าซขึ้นมา เทสารเคมีที่มีทำให้ก๊าซหมดฤทธิ์ที่จะระเบิดได้ หรือขุดอุโมงค์ใต้ทะเลสาบเพื่อลดความดันฯลฯ ในที่สุดที่ก็ลงความเห็นว่า วิธีที่น่าจะดีที่สุดโดยไม่ทำให้ประเทศแคเมอรูนล้มละลาย หรือประเทศที่ต้องการช่วยเหลือทั้งหลายต้องหมดเงินสนับสนุนลงไปเสียก่อน คือการวางท่อลงไปถึงก้นทะเลสาบ แล้วสูบน้ำที่มีก๊าซเข้มข้นขึ้นมาที่พื้นผิว แรงดันมหาศาลจะทำให้น้ำพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศประมาณ 45 ฟุต ระบายก๊าซออกไปก่อนจะตกกลับมาที่ผิวน้ำ พวกเขาเชื่อว่าหากสามารถฝังท่อลงไปในทะเลสาบนีโยสได้ 5 ท่อ และในทะเลสาบโมนูน 3 ท่อ ก็คงจะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระเหยออกไปได้มากพอที่จะไม่ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นได้อีกในอนาคต ปัจจุบัน นี้ทะเลสาบทั้งสองแห่งมีท่อน้ำพุระบายก๊าซอยู่เพียงแห่งละท่อ จะเอามากกว่านั้นก็ยังไม่มีทุน กระนั้นก็ยังชะลอการระเบิดไปได้บ้าง ดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 16:15:02

ความคิดเห็นที่ 10 จบแล้วค่ะ ขอขอบคุณบทความดีๆจากคุณ Sleepwalk แห่งเว็บ @cloud เป็นอย่างสูงค่ะ จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 16:17:39

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านบทความนี้แล้วผมนึกถึงปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาค จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 16:28:20

ความคิดเห็นที่ 12 อืมม น่ากลัวจริงๆ จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:21:52

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณที่เอามาให้อ่านครับ จากคุณ : ตื่นแล้วจะกินอะไร เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:23:32

ความคิดเห็นที่ 14 บรรยากาศทะเลสาป มันวิเวกวังเวงโหวงเหวงไงบอกไม่ถุก จากคุณ : Culture เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:27:35

ความคิดเห็นที่ 15 คลิปนี้เป็นภาพจำลองเหตุการณ์การเกิด Limnic Eruption ของ Methane ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งความรุนแรงมีมากมายมหาศาล และถ้าเกิดขึ้นจริง ก็อาจจะเป็นการล้างรัฐ California ทั้งรัฐได้เลยทีเดียว เนื่องจาก Methane ถ้าผสมอยู่ในน้ำ ก็จะไม่เป็นอะไร เพราะไม่ติดไฟ แต่ถ้าเกิดระเบิดขึ้นมาในลักษณะเดียวกับที่เกิดกับทะเลสาบ Nyos เมื่อไรก็จะไม่แค่ทำให้หลับและเสียชีวิต (Limnic Eruption ที่เกิดที่ทะเลสาบ Nyos เกิดจาก Co2 จึงไม่ติดไฟ ในทางกลับกัน กลับดับไฟด้วยซ้ำ) แต่ Methane ติดไฟได้ง่ายมาก ถ้ามีประกายไฟแค่นิดเดียวเท่านั้น จะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ไฟไหม้ทั่วทั้งเมืองเลยก็ว่าได้ค่ะ ส่วนสาเหตุที่สัญนิษฐานว่าจะทำให้เกิด Limnic Eruption ของ Methane ในมหาสมุทรได้ก็คือ การเกิดแผ่นดินไหว, แผ่นดินถล่ม และอุกกาบาตตกลงในมหาสมุทรค่ะ ส่วนภาพจำลองเหตุการณ์การเกิด Limnic Eruption ของ Co2 ที่ทะเลสาบ Nyos อยู่ที่นาทีที่ 2.27 นะคะ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 14:27:13 จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 18:27:50

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณคะ ^^ จากคุณ : radiergummi เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 18:56:06

ความคิดเห็นที่ 17 จากคุณ : ^__^ (เซ็งอูฐ) เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 19:26:37

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณค่ะ กระทู้นี้ดีมากๆ จากคุณ : พี่เลี้ยงจำเป็น เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 19:26:45

ความคิดเห็นที่ 19 ว้าว กีบหมดแร้วอ่ะค่ะ โหวตให้นะ จากคุณ : n-OO//bit-a เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 20:14:46

ความคิดเห็นที่ 20 แปลได้ดีมากเลย อ่านแล้วเข้าใจง่ายครับ แจกกิ๊บ+ฝากขอบคุณผู้แปลด้วยจ๊ะ จากคุณ : reenbun เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 20:40:31

ความคิดเห็นที่ 21 โหดร้ายมาก   ระเบิดอากาศแบบนี้ ไม่มีทางรอดชีวิตได้เลย ตายได้ในไม่กี่วินาที ถ้าไม่มีถังออกซิเจนเตรียมไว้ จากคุณ : Sakuder เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 21:48:59

ความคิดเห็นที่ 22 ณ วันเกิดเหตุ ชาวกระดานข่าวแห่งหนึ่งได้กล่าวถึงความเชื่อของสาเหตุการตายที่ว่าเกิดจากความโกรธเคืองของวิญญาณในทะเลสาบอย่าขบขันสนุกปาก โดยกว่าจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่จะเป็นไปได้ก็ปาเข้าไปกว่าร้อยความเห็น จากคุณ : Dr.boyze เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 22:09:49

ความคิดเห็นที่ 23 ตายแบบไม่รู้เรื่องกันเลยทีเดียว จากคุณ : Sparking Gunner เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 22:11:12

ความคิดเห็นที่ 24 โหวตครับ จากคุณ : doctorpatrix เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 22:25:50

ความคิดเห็นที่ 25 ใต้มหาสมุทรเราทั่วโลกก็มี มีเธน สะสมไว้เยอะเเยะเลยนะครับ เยอะมากขนาด ถ้ามันผุดขึ้นมานี่ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรได้เลย ถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น จากคุณ : Zance เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 23:02:07 A:223.206.53.7 X: TicketID:316524

ความคิดเห็นที่ 26 ได้ความรู้ใหม่ ๆ เพียบเลยครับ น่าเหลือเชื่อจริง ๆ จากคุณ : อ๊อบบี้ เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 23:23:34

ความคิดเห็นที่ 27 อยากเห็นหน้าตาท่อระบายก๊าซอ่า ~~ จากคุณ : ถั่วงอกเป็นฆาตกร เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 00:19:28

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณครับ ได้ความรู้ใหม่น่าสนใจ จากคุณ : ชาวโลก เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 00:47:37 A:1.47.9.177 X: TicketID:276814

ความคิดเห็นที่ 29 เหมือนเคยอ่านบทความนี้ในต่วยตูนเมื่อหลายปีมาแล้ว  ถ้าจำไม่ผิดเนื้อหายาวกว่านี้ สักประมาณ 3-4หน้า จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 01:02:39

ความคิดเห็นที่ 30 อ่านไป ด้วยใจระทึก...แค่คาร์บอนไดออกไซด์... แต่มหาศาลผุดกะทันหัน ตายเป็นเบือ... อยากเห็นภาพ ท่อระบายก๊าซ ด้วยค่ะ จากคุณ : มิมิแพน้ดา เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 01:02:42 A:115.87.98.181 X: TicketID:266891

ความคิดเห็นที่ 31 ภาพBefore ก็ว่าน่ากลัวแล้วนะ After นี่ไม่ต้องพูดถึง จากคุณ : ElinTyne เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 01:17:41

ความคิดเห็นที่ 32 ท่อ ที่มีท่อเดียว คือที่เห็นอยู่ไกลๆ  ในรูปของ คห 2 ใช่ป่ะ จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 01:58:58

ความคิดเห็นที่ 33 ภาพแสดงการทำงานของท่อระบายก๊าซ Co2 ในทะเลสาป Nyos ค่ะ จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 02:27:27

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ sb*star ใช่ค่ะ น้ำพุที่พุ่งขึ้นกลางทะเลสาป คือน้ำที่ผสม Co2 ที่ถูกดึงขึ้นมาเพื่อระบายความเข้มข้นของ Co2 ใต้พื้นทะเลสาปค่ะ จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 02:32:20

ความคิดเห็นที่ 35 ความคิดเห็นที่ 29  ถูกต้องแล้วคร้าบ.... จากคุณ : juti เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 06:16:36

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าบทความนี้เป็นของหนังสือต่วยตูน ก็ขอขอบคุณหนังสือต่วยตูนมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 06:30:09

ความคิดเห็นที่ 37 เคยได้ยินข่าวเรื่องแก๊สจากทะเลสาบในแคเมอรูนเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่ได้ติดตามผลการหาสาเหตุ มาอ่านกระทู้นี้ได้ความรู้ครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้และคุณ Sleepwalk ผู้แปลด้วยครับ "...ทำนองเดียวกับฝาจุกขวดโซดาระเบิดออกเมื่อเราเขย่าขวด..." แหม..ช่างเหมาะกับชื่อเจ้าของกระทู้ซะจริง จากคุณ : พรเลิศ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 09:20:06

ความคิดเห็นที่ 38 ทะเลสาปน่ากลัวมาก จะมีเนสซี่ด้วยไหม จากคุณ : beckung เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 10:03:24

ความคิดเห็นที่ 39 ทะเลสาบ น. ห้วงนํ้าใหญ่ที่มีแผ่นดินล้อมรอบ มี ๒ ชนิด คือทะเลสาบนํ้าเค็ม และ ทะเลสาบนํ้าจืด ต้องสะกดด้วย บ. ครับ จากคุณ : bbiggy เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 10:24:02

ความคิดเห็นที่ 40 ชื่อ จขกท เข้ากับเนื้อหามวากกกกกกกก จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 10:38:45

ความคิดเห็นที่ 41 เอา CO2 ขึ้นมา เดี๋ยวพวก NGO ก็มาประท้วงเรื่อง Global Warming หรอก แต่มีอีกอย่างที่น่าห่วงคือ การขุดเจาะน้ำมัน เมื่อก่อนมีคนที่มาอธิบายเร่ืองการขุดเจาะน้ำมันในเว็บนี้แหละ มีตอนนึงที่เมื่อขุดขึ้นมาแล้ว ต้องเอาสิ่งอื่นกลับลงหลุมไปด้วย เช่น น้ำ หรือ CO2 ที่น่ากลัวก็คือ CO2     ในกรณีที่ปิดหลุมไปแล้ว  เกิดมันเฮี้ยนขึ้นมา รั่วระเบิดแหกคุกออกมาได้นี่ ไม่ตายกันเยอะเลยหรือ ในขณะที่ขุดก็เข้าใจว่าไม่ค่อยมีคนเข้าไปอยู่แถวนั้นหรอก  แต่หลังจากขุดหมดไปแล้ว อาจจะมีคนเข้าไปทำการเพาะปลูกก็ได้  เพราะดินไม่ได้เสียอะไรเลย อย่างที่ฝาง(แถบตะวันอกกลาง ไม่ต้องกล่าวถึง เพราะมีแต่ทราย) ใครรู้เรื่องนี้ช่วยอธิบายหน่อยเหอะ จากคุณ : zardic เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 11:27:04

ความคิดเห็นที่ 42 น้ำในทะเลสาบ จะเป็นน้ำโซดาหรือเปล่า จากคุณ : spmx เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 11:34:28

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณคร้าบ จากคุณ : birdInwsad เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 11:46:05 A:124.120.248.185 X: TicketID:308232

ความคิดเห็นที่ 44 สุดยอด ถ้าผมเป็นชาวบ้านแถวนั้นก็คงคิดไม่ออกหรอกว่าเป็นเพราะคาบอนไดออกไซค์ใต้น้ำ แบบคาดไม่ถึงเลยจริงๆ จากคุณ : Desolation Angel เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 12:29:42

ความคิดเห็นที่ 45 อันนี้ Lake Nyos อันที่ผมเคยถกกับคุณกาลามะชนเรื่องการละลายของ CO2 เลยนี่นะ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/08/X9533478/X9533478.html ตรงนี้ ไหนๆก็ขอยกอธิบายเรื่องความสามารถในการละลายของ CO2 มาเลยนะครับ ความสามารถในการละลายของ CO2 ในน้ำก็เป็นไปตาม Henry's Law ซึ่ง ยิ่งมีความดันสูง ความสามารถในการละลายของก๊าซ CO2 ก็สูง ซึ่งน้ำที่มีก๊าซเจืออยู่ ถ้านำขึ้นมาข้างบนก๊าซมันก็จะคายตัวจากสภาพสารละลายกลับมาเป็นก๊าซ ทว่า ก๊าซ CO2 มีสมบัติพิเศษ คือมันจับพันธะกับน้ำอยู่ในรูปกรด Carbonic ได้ H2O + CO2 -> H2CO3 กรด คาร์บอนิค มีความเสถียร น้ำที่มีก๊าซ CO2 ละลายอยู่เต็มอิ่มจากด้านใต้ แม้เมื่อเคลื่อนมาข้างบนแล้ว มันก็จับพันธะกลายเป็น H2CO3 จึงยังคงสภาพเป็นสารละลายได้ แต่เมื่อมีการกระทบกระเทือน H2CO3 ก็จะแตกออกเป็น H2O และ CO2 ตัว CO2 ก็จะแยกออกมาในสถานะก๊าซได้ทันที ตัว Lake Nyos มีทางน้ำลึกลงไปใต้ดินอีกกว่า 2 กิโลเมตร ความสามารถในการละลายของ CO2 ในน้ำที่ระดับความดันบรรยากาศ 200 Bar CO2 สามารถละลายอยู่ได้ถึง 340 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำ นั่นคือน้ำแค่ 3 ลิตรของ Lake Nyos จะมี CO2 ออกมาได้ถึง 1 ลูกบากศ์เมตร และคาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้จับอยู่ในรูปของกรดคาร์บอนิค รอวันที่จะเกิดแผ่นดินไหว แล้วปล่อยก๊าซ CO2 ออกมาครับ (อัพรูปไม่ขึ้น ลองกดส่งเปล่าๆเผื่อจะผ่าน) จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 12:39:47

ความคิดเห็นที่ 46 อ่านแล้วนึกถึงคดีหนึ่งในเรื่อง Rocketman ที่พวกพระเอกถูกส่งตัวมาเพื่อตรวจสอบการตายปริศนาของคนในหมู่บ้าน ซึ่งสาเหตุก็มาจากเรื่องเดียวกันเลย นั่นคือการระเบิดของก๊าซ CO2 จากใต้ทะเลสาบ แต่ที่แตกต่างกันคือ ในเรื่อง Rocketman นั้นเกิดในประเทศที่อยู่ในซีกโลกเหนือ ตอนก๊าซระเบิด มันระเบิดจากธารน้ำแข็งของทะเลสาบ จากคุณ : End of Love เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 12:49:01

ความคิดเห็นที่ 47 ผมโชคดีที่เกิดเป็นคนไทย ไม่มีอะไรร้ายแรงแบบนี้ในประเทศของเรา จากคุณ : Casanovy_mustdie เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 13:26:18

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณค้าบบบบบ จากคุณ : LAPD21 เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 13:29:58

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : The Yearling เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 13:31:42

ความคิดเห็นที่ 50 ธรรมชาติจัดการมนุษย์ได้เงียบเชียมาก จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 13:55:28

ความคิดเห็นที่ 51 คาร์บอนเป็นธาตุพิเศษที่อยู่กับใครก็ได้โดยมันจะพยายามไปดึงนิวตรอนจากชาวบ้านมารวมกับมัน คาร์บอนมีทุกที่ครับตั้งแต่สิ่งที่อ่อนที่สุดถึงสิ่งที่แข๊งที่สุดอย่างเพชร ^^ จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 13:58:59

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณมากค่ะ เป็นความรู้ได้ดีมากๆเลย อ่านแล้วขนลุกเลย  ความน่ากลัวใต้ทะเลสาป... จากคุณ : Park Gibzilla เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 14:04:56

ความคิดเห็นที่ 53 เหมือน คห.29 ครับ อ่านจากต่วยตูนเหมือนกัน จากคุณ : คลองเหล็ก เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 14:30:37

ความคิดเห็นที่ 54 ดีจังเลย ถ้าอยู่แถวนั้น มีเหล้าสักขวดไม่ต้องหา โซดาจากไหนเลย :) จากคุณ : 1 (neungnarak) เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 15:05:56

ความคิดเห็นที่ 55 รูปในคห.2 น้ำนิ่งมากจนดูน่ากลัว จากคุณ : jengchai เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 16:14:52

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณมากครับที่นำมาเล่าต่อ น่าสนใจและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน แต่ได้ความรู้มากๆ เลยครับ ^^ จากคุณ : Zenior เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 17:12:20

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณนะคะ ^^ จากคุณ : cheerful_love เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 18:59:18

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 19:40:33

ความคิดเห็นที่ 59 มีน้ำพุแบบนี้มีทางเอาไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้เปล่าอะครับ จากคุณ : oro เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 21:10:41

ความคิดเห็นที่ 60 เคยคิดไว้เหมือนกันว่าสิ่งที่จะฆ่าคนให้ตายหมู่ได้มากที่สุด มีปัจจัยเดียวคือ อากาศเนี่ยแหละครับ ขอบคุณความรู้ดีๆ ครับ จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 21:57:08

ความคิดเห็นที่ 61 บรรยากาศน่าขนลุกจริงด้วย (แต่ตามปกติก็คงเงียบสงบเป็นธรรมชาติดี) ทั้งเรื่องนี้ เรื่องสึนามิ และเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เป็นข้อเตือนใจว่า อย่าดูถูกคำสั่งสอนของคนโบราณเป็นอันขาด บางอย่างมันผิดก็จริง แต่หลายๆ อย่างก็เกิดจากภูมิปัญญาที่ล้ำลึกจริืงๆ นะ จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 22:33:53

ความคิดเห็นที่ 62 อ่านแล้วอึ้งมาก อึ้งสุดๆ จากคุณ : group_doll เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 22:45:43

ความคิดเห็นที่ 63 สนุกจังเลย อ่านแล้วอยากกินเป๊ปซี่ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 00:50:43

ความคิดเห็นที่ 64 น่ากลัวจริงๆค่ะ เหมือนหลับไปเฉยๆเลย จากคุณ : ^กว้างxยาว^ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 01:18:53

ความคิดเห็นที่ 65 หายใจฝืดเดียว ตายเลยแฮะ,,, จากคุณ : berylium เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 02:31:44

ความคิดเห็นที่ 66 อีกโปรเจกต์ของคนที่เข้าไปศึกษาค่ะ เป็น pdf ไฟล์ อาจจะโหลดช้าหน่อย http://pa.water.usgs.gov/projects/energy/stray_gas/presentations/2LunchTuttlePC7.pdf จากคุณ : gw เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 07:48:12

ความคิดเห็นที่ 67 รูปน่ากลัวจัง... จากคุณ : gw เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 07:52:17

ความคิดเห็นที่ 68 แล้วรอยไหม้ตามร่างกายหล่ะครับ เกิดได้อย่างไร?? จากคุณ : Moomba เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 10:52:10

ความคิดเห็นที่ 69 โอย...อ่านแล้วน่ากลัวจริงๆ ธรรมชาตินี่มันสุดๆแล้ว จากคุณ : หน่วยต่อสู้อากาศยาน เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 11:07:25

ความคิดเห็นที่ 70 สยองหงำครับ จากคุณ : อาหงำ (yordafone) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 11:42:12

ความคิดเห็นที่ 71 ได้ึความรู้ใหม่ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ธรรมดารำลึก เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 13:59:45

ความคิดเห็นที่ 72 ตอบคุณ Moomba นะคะ อ่านจากที่ใน Wikipedia แปลได้คร่าวๆว่า เค้ายังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่ารอยไหม้และรอยแผลตามร่างกายของผู้ประสบเหตุ เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะ Co2 อย่างเดียว ไม่สามารถทำให้เกิดอาการไหม้ได้ อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็สัญนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากก๊าซพิษ เช่น acidic gases (ก๊าซที่มีสภาพเป็นกรด) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันระหว่าง hydrogen sulfide (H2S), carbon dioxide (CO2), และสารปนเปื้อนบางชนิด แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 54 14:35:46 จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 14:30:55

ความคิดเห็นที่ 73 โหยยย ขอบคุณมากคะ เรื่องน่าสนใจมาก มีประโยชน์จริงๆ จากคุณ : fukaze เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 14:51:03

ความคิดเห็นที่ 74 ชื่อ login กับเรื่องที่นำมาให้อ่าน เข้ากันได้ดีจังเลยครับ จากคุณ : Mr. SJ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 15:36:29

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ น่ากลัวมากเลยนะนั่นน จากคุณ : NorsDavincy เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 17:01:40

ความคิดเห็นที่ 76 ผมงงประโยคนี้ที่  คห.9 หลัง จากคิดค้นวิธีระบายก๊าซจากก้นทะเลสาบขึ้นมาหลายวิธี เช่นหย่อนระเบิดลงไปดึงก๊าซขึ้นมา เทสารเคมีที่มีทำให้ก๊าซหมดฤทธิ์ที่จะระเบิดได้ หรือขุดอุโมงค์ใต้ทะเลสาบเพื่อลดความดันฯลฯ ในที่สุดที่ก็ลงความเห็นว่า วิธีที่น่าจะดีที่สุดโดยไม่ทำให้ประเทศแคเมอรูนล้มละลาย หรือประเทศที่ต้องการช่วยเหลือทั้งหลายต้องหมดเงินสนับสนุนลงไปเสียก่อน คือการวางท่อลงไปถึงก้นทะเลสาบ แล้วสูบน้ำที่มีก๊าซเข้มข้นขึ้นมาที่พื้นผิว แรงดันมหาศาลจะทำให้น้ำพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศประมาณ 45 ฟุต จากคุณ : punkskate208 เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 17:28:29

ความคิดเห็นที่ 77 นึกถึงฮินามิซาวะในแว่วเสียงเรไร จากคุณ : Shikamaru เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 17:41:44

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ ค่ะ อ่านสนุกมาก  เหมือนนั่งดูหนังอยู่เลย ธรรมชาตินี่เป็นมัจจุราชเงียบจริง ๆ จากคุณ : mayday_helpme เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 19:05:06

ความคิดเห็นที่ 79 ธรรมชาติยังมีอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ให้ค้นหาอีกเยอะเลย ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ThatsNoon เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 22:42:21

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณมากค่ะสำหรับกระทู้ดีๆ  อ่านไป กลัวไป  ธรรมชาติยิ่งใหญ่มาก มนุษย์ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง จากคุณ : เสวนาเพื่อความกระจ่าง เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 00:16:50

ความคิดเห็นที่ 81 น่าเอาไปทำระเบิด CO2 นะ อัดใส่จรวดสัก 300 bar เอาไปทิ้ง ฮี่ๆได้ยินเสียงเครื่องบินตูมหลับ จากคุณ : Calypsol_Red เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 12:42:25

ความคิดเห็นที่ 82 เข้ามาอ่านครับ จากคุณ : Good will hunting เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 14:05:34

ความคิดเห็นที่ 83 แล้วงานของซิเกิร์ดสัน ซึ่งได้รับการยอมรับแล้วเนี่ย ได้ตีพิมพ์มั้ยน้อ จากคุณ : Thinkology เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:24:03

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณครับ จากคุณ : kloyman เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:56:28

ความคิดเห็นที่ 85 ถ้างั้น น้ำที่อยู่ข้างล่างๆ ก็จะมรีสภาพเหมือนโซดาใช่ไหมครับ แหม มันน่าตั้งโรงงานโซดาจริงๆ ทำอุปกรณ์เก็บน้ำที่อยู่ลึกๆใส่ขวดปิดแน่นแล้วค่อยยกขึ้นมา โฆษณาว่า โซดาธรรมชาติแท้ๆ น่าจะขายดี พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ^^ จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 11:47:25

ความคิดเห็นที่ 86 ขอบคุณ นักวิทยาศาสตร์ ทุกๆท่านที่ใช้เวลานานนับปี ศึกษาเรื่องเหล่านี้ จนได้คำตอบ ถึงสาเหตุ ต่างๆ ทุกๆอาชีพ ต้องมีจิตวิญาณ ในงานของตนจริงๆ ถึงทำให้โลกเราก้าวหน้า และเจริญ ปล. ที่พิมพ์อย่างนี้เพราะ ตอนอ่านช่วงแรก ตัวผมคิดว่า เฮ้ยยยย ทะเลสาปบนเกาะ ห่างไกล แบบนั้น จะเสียเวลาไปหาสาเหตุ ของเรื่องนี้ทำไมกัน ดู บรรยากาศของทะเลสาป ดิ น่ากลัวชิป....าย   เสียเวลาไป ค้นหาสาเหตุทำไม เรื่องแต่ง หรือ ป่าว ภาพประกอบ เอามาจากไหนมา เฟค แหงๆ เขียนซะน่ากลัวเชียว แต่ พอตั้งใจอ่านจนจบ.....เออ   ต้องขอบคุณ จิตวิญญาณ นักวิทยาศาสตร์ ทุกท่านจริงๆ ถ้าไม่มีพวกท่าน เราอาจจะไม่มีเมือง ให้อาศัย ก็เป็นได้ เพราะวันดีคืนดี การระเบิดอาจจะเกิดขึ้นแบบไม่ตั้งตัว โดยที่เราไม่รู้ วิธีแก้ไข เลยด้วยซ้ำ... จากคุณ : chan ty เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 13:47:52

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ ค่ะ จากคุณ : โบยบินแล้วไม่หวนคืน เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 18:50:24

ความคิดเห็นที่ 88 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 20:18:49

ความคิดเห็นที่ 89 ได้ความรู้ใหม่จริงๆ ค่ะ ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ขอบคุณเจ้าของกระทู้ค่ะ ที่นำเรื่องราวมาแบ่งปัน ^^ จากคุณ : Oyashirasu เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 21:20:41

ความคิดเห็นที่ 90 เศร้า.... แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 54 21:03:49 จากคุณ : หมากตาเดียว เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 23:50:57

ความคิดเห็นที่ 91 เพิ่งได้ดูสารคดีเรื่องนี้ใน National Geographic (ถ้าจำไม่ผิด) เมื่อเดือน ม.ค. บางคนนอนหลับอยู่ก็ไปเลย ไม่ก็เดินออกมาล้มข้างนอก น่าสงสารชาวบ้าน บางคนตื่นมา ครอบครัวไปหมด ทั้งหมู่บ้านเรียกว่าี้ร้างไปเลย จากคุณ : Big Bear's Journee เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 54 01:23:08

ความคิดเห็นที่ 92 ว่าเเต่ว่าเราไม่มีทางเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซเป็นคาร์บอนปรกติได้เลยหรอค่ะ ถ้าคาร์บอนปรกติ จะดีกว่าอีก จากคุณ : kapoong เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 54 07:58:21

ความคิดเห็นที่ 93 สารคดีช่อง BBC รายการ Horizon ตอน Killer Lakes เค้าไปสัมภาษณ์ ฮาราลเดอร์ ซิเกิร์ดสัน ด้วยนะคะ :) แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 54 09:48:24 จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 54 09:10:34

ความคิดเห็นที่ 94 สารคดีช่อง National Geographic รายการ Naked Science ตอน Killer Lakes สารคดีนี้น่าจะเป็นอันเดียวกับที่คุณ Big Bear's Journee ได้ดู เราก็เลยไปหา download แล้วก็เอาไปลงใน youtube ไม่รู้จะผิดกฎเค้าหรือป่าวนะคะ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 54 10:08:28 จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 54 10:04:51

ความคิดเห็นที่ 95 น่ากลัว ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ จากคุณ : น.ส.แสงแก้ว เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 54 15:00:45

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณนะคะ จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 00:59:20

ความคิดเห็นที่ 97 H2O  + CO2 = H2CO3  กรดคาร์บอนิกชัดๆ สาเหตุของผิวไหม้เกิดขึ้นตามสมการครับ จากคุณ : pop_mmt เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 20:21:53

ความคิดเห็นที่ 98 อ่านแล้วได้ความรู้ดีจริงๆ  ขอบคุณเจ้าของกระทู้นะคะ จากคุณ : jigabelle เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 20:46:10

ความคิดเห็นที่ 99 สงสัยอย่างคือ หายใจเข้าไปฟืดเดียวตายเลยหรอครับเจ้าCO2เนี่ย จากคุณ : สงสัย (pandar12) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 21:08:21

ความคิดเห็นที่ 100 ^ ^ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ Co2 นะคะ สูดเข้าไปแรกๆอาจจะมึนๆ เวียนหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน พอมากถึงระดับนึงก็เสียชีวิตค่ะ :) ยังไงรอผู้รู้มาให้คำอธิบายนะคะ แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 54 01:34:02 จากคุณ : Bubblesoda เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 54 01:27:17