ความคิดเห็นที่ 1 เอาปัจจุบันแล้วกันครับ  ผมมีบ้านแถวบ้านนอก  กลางคืนซักสามทุ่มขึ้นไปก็วังเวงหมดแล้ว  จากชินกับชีวิตในเมืองนอนหัวค่ำไม่เป็น ก็เลยกินเหล้าฆ่าเวลา  อยากบอกว่าโคตรเหงาเลยครับ  น่าเบื่อมาก   คนปกติส่วนใหญ่ตามชนบท  ดึกมาถ้าไม่หลับก็ดูละครหลังข่าวครับ   ลองไปทดสอบด้วยตัวเองดูได้ จากคุณ : fdX3S เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 03:17:32

ความคิดเห็นที่ 2 จากการอ่านนิยายชีวิตลูกทุ่งของคนสมัยก่อนมาบ้างนะครับ คนสมัยก่อนจะเข้านอนกันหัวค่ำ เรียกได้ว่าพอสิ้นแสงอาทิตย์ก็เริ่มเตรียมตัวนอนแล้ว เพราะต้องตื่นแต่เช้าไปทำไร่ไปทำสวน เช้านี้เช้าจริง ๆ ตี 4 ตี 5 ไก่โห่ก็ลุกแล้ว อย่างย่าผมก่อนเสียก็ตื่นตี 4 ทุกวันทั้งที่ไม่ต้องทำอะไร แกบอกแกชิน อีกสาเหตุที่นอนเร็วเพราะล้ามาจากการออกแรงทำไร่ ทำสวนเช่นกัน เรียกได้ว่ามันเป็นวงจรที่สมบูรณ์แบบมาก เหนื่อยเลยนอนไว นอนไวก็ตื่นไว ตื่นไวก็ออกไปทำงานไว ตกเย็นเหนื่อย ๆ ก็กลับไปนอน จากคุณ : ต้อมติ้ว เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 03:24:59

ความคิดเห็นที่ 3 จริงๆ สมัยก่อนตีสามตี สี่ก็ติ่นแล้วครับ  ตีห้าถือว่าสายด้วยซ้ำ จากคุณ : fdX3S เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 03:32:56

ความคิดเห็นที่ 4 จากประสบการณ์ส่วนตัว 2 ทุ่มก็นอนแล้วครับ ตื่นตี 4 ส่วนนอนนานไหม ก็ปกตินะครับ เหนื่อยจากการทำงานก็นอนเร็ว ตื่นมาก็ก่อเตาถ่านหุงอาหาร กว่าจะได้กินก็เช้าพอดี พอตอนสาย ๆ เที่ยง ๆ แดดร้อนก็หาที่นอนกลางวัน ส่วนเรื่องร้อนไหม ไม่ร้อนเท่าไหร่ 555+ จากคุณ : silverspider เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 03:37:52

ความคิดเห็นที่ 5 คุณก็น่าจะรู้นี่       ว่าคนสมัยก่อนลูกดกแค่ไหน จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 03:40:28

ความคิดเห็นที่ 6 ตกกลางคืนมาก็ซั่มกัน ลูกเลยดกไง จากคุณ : นายขนมหวาน เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 04:02:47

ความคิดเห็นที่ 7 ไปซั่มกันไหม จะไปก็รีบไป ไปกับพี่แล้วสบาย เดี๋ยวพีพาไปกิน ตับ ตับ ตับ ตับ จากคุณ : Namtaothong เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 04:23:31

ความคิดเห็นที่ 8 สมัยก่อน หรือสมัยนี้ ดึกมาก็ ซั่มกันทั้งนั้นแหละ การซ่ำกัน ไม่ได้ใช้บ่งบอก ความล้าหลัง ถ้าบอกว่าลูกดกเพราะอะไร ก็เพราะการคุมกันเนิดไม่แพร่หลาย มากกว่า จากคุณ : Spirited Away เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 04:35:23

ความคิดเห็นที่ 9 บะ บะ โอ้ บะ บะ ^^ จากคุณ : ปีศาจตาเดียว เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 04:35:52

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่ต้องสมัยก่อนมากก็ได้คะ เดี๋ยวนี้ตามชนบท ยังนอนเร็ว ตื่นเช้า ตอนกลางคืน ไม่ต้องห่วงว่าจะเหงาหรอกคะ แค่ตอนกลางวันทำงานหนัก(ทำไร่ทำนา หนักใช่เล่น) กลับมา กินข้าวเย็นเสร็จก็นั้น ทำโน่นนี้นั้น (สานตระกร้าบ้าง ทำสิ่งที่จำเป็นสำหรับวันใหม่) สักพักก็พากันนอนแล้ว ตื่นพร้อมไก่ขัน ซึ่งไก่มันจะขันตอนประมาณตีสาม เขาก็พากันตื่นแล้ว ถามว่ามันสนุกหรือป่าว มันแล้วแต่คนนะคะ โดยส่วนตัวแล้วชอบ แบบนี้สงบดี ถ้าคุณ จขกท เกินในสมัยโน่น คุณ จขกท ก็คงไม่ต้องการสิ่งบรรเทิงจำพวกนี้หรอกคะ ได้กินอิ่มหลับสบาย ก็เป็นสุขแล้ว เพราะสิ่งบรรเทิงที่ จขกท ว่ามาเนี้ยมันไม่ได้จำเป็นสำหรับคนสมัยก่อนเลย ความบรรเทิงก็อาจจะมีโรงละคร หรือง่าย ๆ ก็พวกลิเกมั้งนะ (สมัยก่อนไม่แน่ใจว่ามีหรือป่าว) ที่นาน ๆ ทีมีครั้ง การ กินอิ่ม หลับสบาย ไม่โรคภัย ก็เป็นสุขที่สุดแล้วคะ จากคุณ : น้องกาดำ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 04:42:19

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนเย็นนำเบ็ดไปปักไว้ริมคลองหรือในนาข้าวครับ หากได้ยินกบร้องก็ออกไปแทงกบ แล้วก็นอน  ตื่น ตี2 ตี3  ไปกรีดยาง แล้วกลับมานอน เช้าก็ไปเก็บยางขาย เสร็จก็อาบน้ำแล้วมานั่งร้านกาแฟ  ดื่มน้ำชา นินทาเพื่อน พูดเรื่องเพื่อนเหมือนใน Pantip Cafe ไม่ต้องมีเนตครับ ผ่านไป 1 คืนครับ จากคุณ : บองหลา เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 05:34:15

ความคิดเห็นที่ 12 สมัยก่อนหลับดึกสุดๆ  ก็ตอนมีงานวัด มีหนังกลางแปลงมาฉายนี่แหละครับ แล้วต้องฉายหนังผีด้วยนะ  ตอนเดิน หรือปั่นจักรยานกลับนี่ สยองเลยละ...มืดก็มืด บรึ๊ยๆ จากคุณ : ton_na_999 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 05:36:15

ความคิดเห็นที่ 13 ใน วิชาดาราศาสตร์ เราเชื่อว่า การกำเนิดของดาราศาสตร์ ในทุกอารยธรรม มาจาก ยามค่ำคืน ในสมัยโบราณที่ไม่มีความบันเทิงอะไรอยู่เลย มนุษย์ใช้ท้องฟ้า เป้น ความบันเทิงยามค่ำคืน เป็นอินเตอร์เนทแห่งบรรกาล มนุษย์เมื่อ 2 ล้านปีก่อน ก็มีการสังเกตท้องฟ้าแล้ว จากหลักฐานการวาดสีตามผนังถ้ำ ซึ่งเราถือว่า เป็นการกำเนิดของ วิชา ดาราศาสตร์ จนในที่สุด ก็บ่มความรู้จนเป้น ดาราศาสตร์ ในอารยธรรมต่างๆ เช่น สุเมเรียน จีน อินเดีย อียิป โรมัน ที่มีดาราศาสตร์ เป็นของตนเอง //ภาพ - อีสชันโก้ -อุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด      กระดูกน่องลิงบาบูนอายุกว่า 25,000 ปี ที่ขุดพบในแหล่งต้นกำเนิดของมนุษย์ในอาฟริกา เป็นหลักฐานว่า มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ รู้จักเรื่องดาราศาสตร์เป็นอย่างดีแล้ว ระดับนึง รอยหยักของกระดูก เป็นมาตราวัดกับดวงจันทร์และดวงดาว ส่องทาบเพื่อใช้ดูศึกษาดาราศาสตร์ อย่างแม่นยำ จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 05:36:22

ความคิดเห็นที่ 14 เอาแค่ตอนเราเด็กๆละกันนะ .บางคืน นั่งล้อมวง เล่านิทานที่ชานบ้าน (บ้านยกใต้ถุนสูง มีระเบียงยื่นออกมา) หลังทานข้าวเย็นเสร็จ ปู่จะนั่งจักตอกไปด้วย เล่านิทาน หรือเรื่องเหลือเชื่อให้ฟัง บางคืนอาจเป็นเรื่องภูติผีปีศาจ  เรื่องสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  ที่ห้วยแถวบ้านถูกระเบิด ทางรถไฟ เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงสะเบียงขึ้นทางเหนือ บางคืนอาจเป็นเรื่องเล่าสมัยที่ผู้เฒ่าผู้แก่ต้องต้อนวัว ควาย ไปเลี้ยงในไร่ หักร้างถางพงในถิ่นอาถรรพ์ ในฤดูหนาว  นั่งล้อมวงผิงไฟ เผาข้ามหลาม หมกมัน หมกเผือก เด็กๆก็ได้กินมันกินเผือก บางทีนำผ้าห่มมาห่มด้วย แล้วทำไฟไหม้ตีนผ้าห่ม  เจั๊ยวจ๊าวมาก หากมีหนังกลางแปลง  ก็พากันขี่รถถีบ  หรือเดินกันไปเป็นกลุ่ม ไปดูหนังกลางแปลง ส่วนมากจะเรื่องผีๆ  ขากลับก็เฮฮา  เพราะกลัวผีกันสุดๆ บางคืน อาจต้องไป งานบุญ งานศพ บ้านไหนมีก็ต้องไปช่วย (สมัยก่อนไม่มีการเอาศพไว้วัด และปัจจุบันก็นิยมตั้งไว้ที่บ้าน)  (ทางภาคเหนือ)  ไหนจะงานลอยกระทง ประเพณีทั่วไปอีก บางครั้ง เหน็ดเหนื่อยจากฤดูการทำนา  ทั้งตอนเพาะปลูก หรือตอนเก็บเกี่ยว  ก็อาจจะกินข้าวแล้วนอนเกาพุง คุยโม้กันไป  หนุ่มๆก็ไปเที่ยวสาวบ้านโน้นบ้านนี้  บ้านใต้บ้านเหนือ  ก็มาเล่าสู่กันฟัง แต่ละคนจะมีฉายาประจำตัว  ไว้ให้เรียกกันง่ายๆ  เช่น อ้ายปั๋นขี้ตด อ้ายเก่งขี้คร้าน ต่างๆ นานา   เวลานินทาก็จะเป็นที่สนุกสนาน แต่ละฤดู จะมีกิจกรรมให้ทำ ไม่มีว่างเลย ฤดูร้อน  ส่วนมากก็ เย็นๆ นั่งนอกชาน  เล่าเรื่อง ใกล้เข้าฤดูฝน จักตอก แช่น้ำ เอาไว้มัดกล้าข้าว ใกล้เข้าฤดูหนาว  ย่าต้องเอางิ้วมาแกะๆ แยกเม็ด  เอาไว้ยัดผ้าห่มไว้ห่มฤดูหนาว มันมีอะไรให้ทำหลายอย่าง  จนนึกไม่ออกว่าจะมีความเหงาหรือความทุกข์ยังไง ความทุกข์ที่ว่า คงจะเป็นความลำบากตรากตรำ และความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเสียมากกว่า เวลาตอนกลางคืน บ้านนอกไม่มีแสงไฟ ท้องฟ้าจะมืดสนิท จะเห้นกลุ่มดาวชัดเจน นิทานเกี่ยวกับดวงดาวนี่ เยอะเลย  ผู้ใหญ่ก็จะสอน  หลงทางในป่าให้มองดวงนี้ ๆ นั่นดาวไถ นั่นดาวลูกไก่ มันสนุก มีความสุขมาก ซึ่งหาไม่ได้แล้วในยุคนี้ จากคุณ : Sparking Gunner เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 07:29:00

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ^ ^ ^.... จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 07:43:28

ความคิดเห็นที่ 16 กินตับค่ะ จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 07:46:07

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนผมเด็กๆ  เวลาเย็นกินข้าวกันแล้วก็นั่งล้อมวงคุยกัน  มือก็ทำงานกันไป  2 - 3 ทุ่มก็แยกย้ายบ้านใครบ้านมัน  ทีวีไม่มีดูหรอก  หาบ้านที่มีทีวีดูยากเต็มทน  ถ้ามีก็มีแค่ช่อง 8 ลำปางช่องเดียว  ปิดสถานีตอน 4 ทุ่ม    ชีวิตก็เริ่มใหม่ตอนตีห้า  เปิดร้านเรียงของทำมาหากินกันไป จากคุณ : bermAggie เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 07:48:31

ความคิดเห็นที่ 18 สมัยก่อน  บ้านเรือนไม่ได้สร้างจากอิฐจากปูน   แต่สร้างจากไม้ ไม่มีการตีฝ้า  หลังคาเป็นทรงจั่ว  บ้านเรือนไม่ได้มิดชิดแน่นหนา บ้านไม้  ไม่มีฝ้าเพดาน ทรงจั่ว จะมีการระบายความร้อนได้ดี  เปิดหน้าต่างนอนด้วย และกางมุ้งเอา อากาศไม่ได้ร้อนตับแตก เหมือนในปัจจุบัน ตอนกลางคืน ลมเย็นๆพัดมา  พัดเอากลิ่นดอกไม้หอมเย็น  ดอกราตรี ดอกวาสนา ดอกแก้ว  บางทีดอกละมุด ส้มโอ อะไรก็ว่ากันไป  พัดมาเป็นระยะๆ ให้พอหอมเย็น   ร้อนมากก็มีพัดมือถือ  ที่สานจากใบจาก  พัดไป พัดมา ก็ง่วงนอน ยิ่งตอนใกล้รุ่งนี่ หนาวมาก ต้องยื้อยุดฉุดผ้าห่มกัน เทียนไขคือของฟุ่มเฟือย  มีก็แต่ไต้ หรือตะเกียงน้ำมันก๊าดล่ะจ้ะ นอนกัน  ถ้ามัวโม้ ก็3ทุ่มกว่าก็มีนะ  ตื่นก็ตี4 ตี5 เพราะต้องติดไฟ นึ่งข้าว ทำกับข้าว  เก็บผัก รดน้ำผัก ไปเอาหญ้าให้ควาย   ถ้าบ้านไหนเลี้ยงวัว ควายเยอะ  ต้องต้อนออกไปกินหญ้าคาที่ทุ่งนู่น หน้าฝนก็ต้องรีบไปต้อนกลับ เดี๋ยวฟ้าผ่ามันตาย   ภารกิจเยอะจริง ๆ- -* จากคุณ : Sparking Gunner เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 07:55:27

ความคิดเห็นที่ 19 จักตอก สานแห สานไซ จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 07:56:40

ความคิดเห็นที่ 20 ผู้ชายตั้งเทียน ผู้หญิงนั่งเทียน    ไม่เห็นยาก จากคุณ : rain_gutters เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 08:02:35

ความคิดเห็นที่ 21 หลายคนคิดว่า ไม่มีไฟฟ้า แล้วคนจะเอาแต่การสืบพันธ์กัน ทั้งที่จริงแล้ว ถึงมีไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต ก็ยังสืบพันธ์กัน เป็นปกติ โดยไม่ยอมมองที่สาระที่เค้าต้องการถามเลย ผมเกิดก่อนบ้านมีไฟฟ้าสิบปี ตอนมีทีวีก็นอนสามทุ่ม ก่อนมีทีวีก็นอนตอนสองทุ่ม ฟังวิทยุข่าวคุณปรีชา เกิดไม่ทันยุคไม่มีวิทยุ จากคุณ : master foo bar เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 08:27:43

ความคิดเห็นที่ 22 . . ชนบทยามค่ำคืน สงบและสวยงามจริงนะคะ... เสียงดนตรี คือ เสียงหรีดหริ่งเรไร แสงไฟ คือ แสงจันทร์ แสงดาว กลิ่นหอม คือ กลิ่นจากมวลดอกไม้สารพัดสารพัน แม้แต่กลิ่นดินกลิ่นหญ้าหลังฝนตกก็ยังหอมเลยค่ะ.... จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 08:43:36

ความคิดเห็นที่ 23 วัยรุ่นเค้าไปหาสาวๆกันไม่ใช่เหรอ ตอนกลางคืนนะ จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 08:52:13

ความคิดเห็นที่ 24 สมัยผมทำค่ายพัฒนาชนบท หมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้า ตกกลางคืนเค้าก็มาล้อมวงกินข้าวกันครับ ปิ้ง จี่ อะไรกันกินไป คุยกันไป ก็ดึกไม่รู้ตัวครับ ผมไม่เห็นว่าจะน่าเบื่ออะไรยังไงเลย มีความสุขดีออก แถมคนในหมู่บ้านก็สนิทกัน ขโมยขโจรก็ไม่ค่อยมี สังคมดีมากๆเลยครับ จากคุณ : Sorry_I can't be perfect เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 08:57:53

ความคิดเห็นที่ 25 กลางคืนในหน้าฝนไม่มีกิจกรรมกับเพื่อนบ้านกินข้าวเสร็จก็นั่งคุยลูกหลานแล้วเข้านอน ผู้ชายลุกแต่เช้าไปไถนา เห็นดาวศุกร์บนฟ้าสดใสเรียกปะกายพรึก(ดาวเช้า) กลางคืนในหน้าร้อนหัวค่ำเดินเล่นหรือนั่งคุยหน้าบ้านได้เพราะดินแห้ง มีกิจกรรมเดือนห้า เล่นร้องรำทำเพลง เล่นสะบ้า เล่นโชง(โยนผ้า) เกิดเป็นวัฒนธรรมบนสุวรรณภูมิมาเป็นพันปี ชีวิตคนสมัยก่อนลำบากนะ.....(เอา100ปี ย้อนไป) ไม่มีเครื่องจักร ทำด้วยแรงกายทั้งหมดคิดดูเอาเอง บ้านมุงด้วยหญ้าคา ฝาบ้านปิดด้วยใบไม้ หุงข้าวในหนึ่งมื้อ ต้องผ่าฟืน ก่อไฟ หุงข้าวจนข้าวสุก ไม่มีรถใช้เกวียน ใช้ควายใช้วัว หาบแบก เดินด้วยสองขา ไม่มีโรงสี มีครกไม้ตำข้าว มีกระด้งพัดข้าว สัตว์ป่าชุกชุม โจรชุกชุม กินยาต้มรากไม้ ไม่มีโรงพยาบาล มีแต่ครูยาหม้อ ครูเสน่ห์(หมอพื้นบ้าน) ไม่มีสบู่ ไม่มีแฟ้บ แต่มีเหา มีแผลตามร่างกาย ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้า  หน้าฝนปลูกหม่อน เก็บใบหม่อนเลี้ยงไหม สาวไหม หน้าแล้งทอผ้า เข้าหน้าฝนเสร็จพอดี แล้วเริ่มต้นใหม่เป็นฤดูเหมือนทำนา ...และอีกเยอะแยะ....   สมัยนี้สบายกว่าเยอะเป็นร้อยเท่า แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 54 09:08:32 แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 54 09:07:08 จากคุณ : 123 (เทพบุตรสายฟ้า) เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 09:05:22

ความคิดเห็นที่ 26 สังคมดีอย่างว่าครับ เวลามีกิจกรรมอย่างหน้าหนาวข้าวกำลังเป็นน้ำนมขาว ๆ ก็เอามาตำข้าวเม่ากัน หน้าข้าวโพด หน้าถั่วก็ลงเก็บถั่วกัน บางปีมีตั๊กแตนก็ล้อมจับกัน กว่าจะนอนมีดึกเหมือนกัน ตอนผมอยู่บ้านนอกนอนกัน 3-4 ทุ่ม ยกเว้นไม่มีงานจริง ๆ ก็นอนเร็ว เวลาว่างเยอะ ๆ นี่ก็ เอามาเย็บเสื้อผ้า ทอผ้ากัน แม่ผมยังเก็บนุ่นมาเย็บที่นอนเองเลย บางทีก็เอาระหุ่งมานั่งแกะกัน อยู่ที่้บ้านไหนขยันแหละครับ ตื่นกันแต่เช้าไปไร่ไปนากัน บางวันก็ตื่นเช้าไปตักบาตรกัน จะเอาชีวิต กทม กับ ตจว ไปเทียบกันไม่ได้ จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 09:14:16

ความคิดเห็นที่ 27 เซ็งไม่เซ็ง  ผมว่าแล้วแต่มาตรฐานของแต่ละคนมากกว่าครับ บางคนก็ชอบเงียบๆ  บางคนก็ชอบแสงสี   อย่างบ้านที่เชียงราย  สมัยก่อนตอนเด็กๆก็ยังไม่ได้มีเนต มีมือถือ  ยิ่งสมัยเด็กๆ สองสามขวบ ไม่มีไฟฟ้าด้วย   พ่อต้องจุดเทียนอ่านหนังสือเอา  (จำไม่ได้หรอก พ่อเล่าให้ฟัง)   ส่วนตัวผมเอง คิดว่า พวกเทคโนโลยีพวกนี้มันเป็นสิ่งเกินจำเป็น  คือถึงไม่มีก็อยู่ได้   แต่ละคนก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน     อยู่ต่างจังหวัด กลางคืน ก็นั่งดูดาว  นั่งผิงไฟ  อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ส่องเขียด ตกปลา  ว่ากันไป และก็อ่านหนังสือเยอะมาก พอเข้ามัธยม อยู่โรงเรียนประจำ  ที่เชียงราย  ก็ไม่ได้มีเนทในหอ  ไม่มีมือถือ(ไม่ให้พก)  ไม่อนุญาตให้เอาเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าไป  ก็ใช้เวลาอยู่กับคนจริงๆนี่ล่ะครับมากกว่า  คุย เล่น อ่านหนังสือ   นานๆก็ไปนอนดูดาวบนดาดฟ้า ทำโน่นทำนี่ แอบหนีออกจากหอบ้าง  โครตมีความสุข จีบสาว อยู่ต่างโรงเรียนกัน ก็เขียนจดหมาย  เขียนกันเป็นร้อยฉบับเลย  บางทีเขียนกันเป็น 7 8แผ่น   มันเป็นความสุขที่สุขมากจริงๆนะครับ   ต่างจากพวกอินเตอร์เนต  มือถือ ไอพอด ไอแพด ต่างๆนาๆ  ของพวกนี้ใช้แล้วสนุกดี   แต่ไม่ได้สุขอิ่มเอิบอย่างชีวิตต่างจังหวัดสมัยก่อน สำหรับผม  แล้วผมว่าของพวกนี้ล่ะ ที่ทำให้ผมเหงา   ยิ่งเหงาก็ยิ่งใช้ ยิ่งใช้ก็ยิ่งเหงา บอกไม่ถูก   ไม่เหมือนอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับคนจริงๆ  อยู่ได้แบบไม่ต้องการของพวกนั้นเลย   =w= เรื่องร้อนไม่ร้อน  ผมว่า คนสมัยก่อนคงไม่ได้เดือดร้อนขนาดนี้  เพราะสภาพบ้านเรือนต่างกัน   เอาง่ายๆ  ตอนสมัยมากรุงเทพใหม่ๆ  ผมอยู่หอ  หอพักนี่คือ ถ้าไม่เปิดแอร์นี่อยู่ไม่ได้เลย  ร้อน  อับ  ไม่มีอากาศ   เพราะเป็นห้องสี่เหลี่ยม ซึ่งไม่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราอยู่แล้ว   แต่พอย้ายมาเช่าบ้านอยู่  เป็นบ้านโบราณ  มีสวนด้วย  ตัวบ้านก็ออกแบบไว้ให้เปิดโล่ง  ประตูหน้าต่างสูงยาวจากพื้นจดเพดาน ปล่อยให้ลมธรรมชาติพัดผ่านได้  ฝ้าไม่ต้องปิด  กันสาดอะไรก็ไว้กันแดด  ต้นมะม่วงดอกไม้ใบหญ้าหหน้าบ้านก็ช่วยให้บ้านเย็น   ตอนนี้ไม่มีแอร์(ไม่มีจริงๆ) ก็อยู่สบาย   หากกลางวันร้อนมากหน่อยก็หาทางดับร้อน หาอะไรเย็นๆดื่ม  กินข้าวแช่    แต่ก่อนบ้านเรือนก็คงเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ไม่มีควัน ไม่มีตึกมาบังลม ไม่มีแอร์ปล่อยความร้อนออกมา  ก็คงอยู่กันสบายล่ะ บ่นไปก็คิดถึงชีวิตแบบนั้น  คิดถึงบ้านจัง =w= เอาเพลงมาแปะ  เผื่อว่ากลางคืนแต่ก่อนคงประมาณนี้มั้ง จากคุณ : คุ้มข้าวกล้อง เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 09:18:40

ความคิดเห็นที่ 28 เพิ่มเติมอีกครับ   นอกจากที่กล่าวข้างบนก็มีงานพิธีกรรม กิจกรรมทำบุญ ทางศาสนาพุทธและศาสนาพราห์ม ศาสนาอิสลาม คริสต์ด้วยครับ ก็คือทำบุญด้วย มีมหรสพฉลองด้วย มีพลุ มีตะไล มีหนังตะลุง ลำตัด ลิเกก็ว่ากันไป เห็นไม๊ครับโบราณก็ไม่ได้เหงานะ การทำนาปลูกพืชไม่มีปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ทำนานี้ไม่ได้ใส่ปุ๋ย ปุ๋ยจะใส่เฉพาะ ต้นผักต้นผลไม้ ไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำมัน  จุดไฟจากใต้ที่ทำจากยางไม้ผมเศษไม้เนื้ออ่อน ห่อด้วยใบมะพร้าวทำเป็นยาวๆมัดด้วยด้ายไม้ไผ่ หม้อก็ ทำมาจากดินเหนียว เผาด้วยฟางข้าว ขันกินน้ำทำมาจากกะลามะพร้าว ทัพพีตักข้าวทำมาจากกะลามะพร้าว เครืองใช้ต่างๆก็สานมาจากไม้ไผ่ เช่นกะเชอ ครุถังใส่น้ำ หาบน้ำ วัฒนธรรมในที่ลุมแม่น้ำกับพื้นที่ราบสูง หรือชาวดอย ก็แตกต่างกันไปตามพื้นที่     มีสิ่งทันสมัยหน่อยหนึ่งคือ เข็มเย็บผ้า ที่คนจีนหาบมาขาย เวลาเย็บก็ใช้ด้ายสอดเข้าไป    ............ แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 54 09:31:41 จากคุณ : 123 (เทพบุตรสายฟ้า) เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 09:20:04

ความคิดเห็นที่ 29 กิจกรรมที่ จขกท.ว่ามามันไม่ได้จำเป็นอะไรขนาดนั้นซักหน่อย คนสมัยนี้หลายคนยังไม่ทำเลย จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 09:22:12 A:58.137.175.82 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 30 sex จากคุณ : Zeichnung เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 09:36:56

ความคิดเห็นที่ 31 อย่าว่าแต่ไฟฟ้าเลย สมัยปู่ย่าตายายผม แค่ไม่มี dvd ดู มีลูกออกมา 8-9 คน จึงมีผมทุกวันละฉะนี้ จากคุณ : LAPD21 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 09:42:59

ความคิดเห็นที่ 32 ปิดไฟ ใส่ กลอน จะเข้ามุ้งนอน คิดถึงใบหน้า นั่งเขียนจดหมาย แล้วรีบทิ้งไปโรงงานทอผ้า ถึงคนชื่อฉันทนา ที่เคยสบตา กันเป็น ประจำ จากคุณ : ชื่อนี้ก็มีคนใช้แล้ว เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 09:55:24

ความคิดเห็นที่ 33 ดีดพิณเปี๊ยะแอ่วสาวครับ จากคุณ : anthonoy เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 10:02:28

ความคิดเห็นที่ 34 สมัยที่ไม่มีไฟฟ้า กิจกรรมตอนกลางคืนก็คงเป็นนอนหลับนี่ล่ะครับ หรือไม่ก็เล่นหมากรุก อ่านหนังสือ อยู่กันหลายคนหน่อย ก็กินเหล้า ล้อมวงพูดคุย เล่าขานตำนานหรือนิทานสู่กันฟัง เสร็จแล้วก็เข้านอน เพื่อพักผ่อน เอาแรง เตรียมไว้สำหรับการทำงานในวันต่อไป พวกผู้หญิงก็ต้องลุกขึ้นมาทำอาหาร ทำขนม เตรียมใส่บาตร พวกผู้ชายก็ต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวออกไปทำงานหนักนอกบ้าน อยากรู้ลองไปดูตามชนบทได้ครับ อาจไม่เหมือนสมัยเก่าก่อนเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวนี้ไฟฟ้าก็เข้าถึงเกือบทุกพื้นที่ แต่ชีวิตประจำวันก็คงไม่ได้พึ่งพาไฟฟ้ามากมายนัก จากคุณ : Zenior เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 10:05:20

ความคิดเห็นที่ 35 ประชากรจีน อินเดีย มีมากมานานนนนแล้ว ตั้งแต่โลกยังไม่ค้นพบไฟฟ้า เพราะอะไรหว่า คิดซิ จากคุณ : ....... เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 10:06:58 A:192.168.3.13 X:192.168.1.10, 124.120.104.64 TicketID:303162

ความคิดเห็นที่ 36 ก่อกองไฟ นั่งดื่มเหล้าขาว เมาก็นอน จากคุณ : พระจันทร์สีฟ้า เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 10:44:10

ความคิดเห็นที่ 37 ย่าผมมีลูกแปดคน ยายผมมีลูกสิบคน หมายความว่าไง คิดกันเอาเอง หุๆๆๆๆ เอาเป็นเรื่องเป็นราวนิดนึง สมัยก่อนเขาก็ออกมาดูดาวแล้วเล่านิทานกัน ก็เลยมีนิยายดาว หรือนิทานต่างๆ มากมายตกทอดมายังรุ่นเรา สมัยต่อม่ก็มีการละเล่นต่างๆ เช่นหนังตะลุง มาแสดงให้ดูกัน ก็ว่ากันไปตามยุคสมัย จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 10:45:01

ความคิดเห็นที่ 38 อีก 20 ปีข้างหน้า จะมีคนถามว่า คนสมัยนั้น(คือสมัยนี้) อยู่กันได้อย่างไร มีแค่ อินเตอร์เน็ต ทีวี โรงภาพยนต์ ฯลฯ เพราะเด็กสมัยนั้น แมร่ง ขับยาน เล่นกันแล้ว! จากคุณ : หนมกรุบ (Rinkub) เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 10:47:11

ความคิดเห็นที่ 39 คนสมัยก่อนมาเห็นพวกเราในปัจจุบัน อาจจะสงสารก็ได้ คงคิดว่าพวกเราเหงามากๆจนต้องนั่งคุยกับจอสี่เหลี่ยมวันละสามสี่ชั่วโมง จากคุณ : yatiko เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 10:58:45

ความคิดเห็นที่ 40 จะเอ็นเตอเทนกันไปไหน เรื่องที่ให้ทำ มีรอบตัวเลย ผมเคยอยุ่สวน กลางคืน ไม่มีไฟฟ้า มีแต่เทียน คืนนั้นผมเอาเทียนมาส่องมดและแมลงช้างตามพื้นดินครับ ดูว่ามันเดินไปไหน บางครั้งเอาตะเกียงเจ้าพายุ ไปแขวนบนกิ่งไม้ แล้วสังเกตพฤติกรรมสัตว์ บริเวณนั้นครับ จากคุณ : ตามน้ำ (wipeout) เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 11:05:29

ความคิดเห็นที่ 41 สมัยก่อนเขาต้องมีลูกกันเยอะแลครับ เพราะอัตราการรอดของเด็กจนถึงโตเป็นผู้ใหญ่นั้นน้อยมาก คลอดมา 10 คน อาจจะรอดจนโตเป็นผู้ใหญ่แค่ 3-5 คนเองก็ได้ ึคิดดูว่าตั้งแต่เรามีประวัติศาสตร์มา ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นได้ช้ามากเลย มีมาเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมานี้แลครับ ทีประชากรโตแบบก้าวกระโดด จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 11:25:01

ความคิดเห็นที่ 42 เค้าไม่ได้ว่างแล้วก็เอาแต่ซั่ม ลูกเลยเยอะครับ  คิดไปได้ ใช้อะไรคิดเนี่ย ผมว่าเค้าซั่มน้อยกว่าคุณเยอะ อยู่เป็นครอบครัวใหญ่ เอาสถานที่เอาเวลาที่ไหนซ่ำกันนักหนา   แต่ที่ลูกมันเยอะเพราะ ร่างกายเค้าแข็งแรงสมบูรณ์กว่าคุณ แล้วก็เค้าไม่มีการคุมกำเนิดครับ  ถ้าซ่ำปริมาณแบบพวกคุณแล้วไม่คุม ผมว่าลูกพวกคุณตั้งทีมฟุตบอลได้แล้ว  อ้อ อเมริกันฟุตบอลด้วยนะ (ฮา) จากคุณ : ARMS STRONG เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:01:50

ความคิดเห็นที่ 43 ขึ้น๒ค่ำเดือน๗ วันฉลูไม่ถูกกับมะแม เมื่อแสงทองเริ่มจางหายจากขอบฟ้า หมู่วิหคเริ่มบินกลับรัง แยกกันไปคนละทิศละทาง ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาในบริเวณบ้านชายสวนนั้น แม่พลอยซึ่งนุ่งกระโจมอกสีหม่น อยู่บนชานเรือน ก็เริ่มจุดตะเกียงเก่าๆแสงสว่างสีทองอร่ามจากตะเกียงนั้นขับให้ผิวแม่พลอย ซึ่งขาวอมชมพูอยู่แล้ว น่ามองยิ่งขึ้นเข้าไปอีก แม้เจ้าหล่อนจะไม่ได้ใช้skinfood แต่ก็ใช้ขมิ้นและเกลือขัดตัวเป็นประจำ หล่อนเอื้อมแขนอันเรียวงามไปหยิบกะปิ ใส่ลงไปในหม้อแกงส้ม ที่ตั้งอยู่ กลิ่นแกงส้มปลาช่อนที่หล่อนทำนั้น หอมฟุ้งไปทั่วเรือน ฟ้าเริ่มมืดสนิท แสงดาวเริ่มชัดเจนขึ้นบนขอบฟ้า เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องดังระงม แม่พลอยเตรียมสำรับกับข้าว เพื่อรอคนรักของตน วันนี้มีทั้งน้ำพริกกะปิ และผักหลากหลายชนิด ซึ่งเด็ดและเก็บเอาบริเวณรอบๆบ้าน พร้อมน้ำแกงร้อนๆของแกงส้มกลิ่นหอมฉุย เธอเริ่มทำกับข้าวตั้งแต่บ่ายด้วยความไม่ได้เร่งรีบกับชีวิต เพราะไม่ต้องรีบไปทำงานวันพรุ่งนี้ ไม่ต้องดูเรยา ไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และไม่ต้องไป แฮ๊งค์เอาค์ที่ไหน เลยบรรจงทำได้เต็มที่ อย่างสุดฝีมือ หล่อนมองไปที่บริเวณบ้าน ด้วยความห่วงคนรักของตนที่ยังไม่กลับมา ซึ่งปกติน่าจะกลับมาแล้ว ด้วยความที่คิดถึงคนรัก บวกกับความมืด ความเงียบ เสียงแมลงต่างๆร้องดังขึ้นเรื่อยๆ หล่อนเริ่มกลัว โดยที่ไม่มีสาเหตุอะไร คิดไปต่างๆนาๆ เพราะทุกๆวันที่ผ่านมาบรรยากาศไม่ได้เป็นแบบนี้ หล่อนเริ่มรำพึงถึงคนรัก ทำไมไม่กลับมาซักทีหนา ข้ารอพี่อยู่ ในขณะที่หล่อนตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความกลัว ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ก็มีเสียงประหลาดเกิดขึ้นรอบบ้านของเธอ ดังขึ้นไปทั่วเสียงนั้นดัง แท๊ดๆ แท๊ดๆ!!! แสงสีขาวกระพริบไปทั่ว และเสียงดังแต็ก! หล่อนพูดจนแทบจะตะโกนออกมา “ฮ้า.....ไฟมาแล้ว” แสงไฟจากหลอดผอม ที่บรรจงติดทั่วบ้านสว่างจ้าไปทั่ว และคอมตู้เย็นก็ดังขึ้น บ้านโดนตัดไฟเพราะไม่ได้ไปจ่าย พลอยตกงาน จึงต้องอยู่บ้าน เยี่ยงคนโบราณ คนรักของหล่อนไปจ่ายค่าไฟตั้งแต่บ่ายคล้อย.......................... ผมคิดว่าผมกลับไปอยู่จุดนั้นได้ถ้าไม่มีไฟฟ้า กิจกรรมก็คงคล้ายๆกับปัจจุบัน คือ หาอะไรทำไปเรื่อย!!!XD จากคุณ : brainsick เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:03:46

ความคิดเห็นที่ 44 ยามสองแล้ว หลับนอนกันบ้าง ลูกมากยากจน จากคุณ : bmjas เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:07:15

ความคิดเห็นที่ 45 คนสมัยก่อน มีลูกเกิน 5 คนเป็นเรื่องปกติครับ ตา ยาย ของผมมีลูก 11 คน ครบทีม คนสมัยนั้น ก็มองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เข้านอนกันเร็ว และตื่นแต่เช้าครับ จากคุณ : E22QV เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:09:03

ความคิดเห็นที่ 46 ลูกมาก เพราะไม่มีการคุมกำเนิด คนละเรื่องกับไม่มีไฟฟ้าใช้ แล้วจะทำอะไร จากคุณ : Phoenix032 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:16:22

ความคิดเห็นที่ 47 ไม่มีไฟฟ้าใช้เป็นแค่ตัวเสริมให้เกิดการซั่ม จากคุณ : fdX3S เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:40:10

ความคิดเห็นที่ 48 ต่างจังหวัด - ในเมือง มีไฟฟ้าใช้ ทีวีไม่มี มีแต่วิทยุ 1) เด็กโต เปิดวิทยุ AM ทั้ง Medium Wave ทั่วๆไป   พิเศษก็ Short Wave รับฟังสถานี BBC, เสียงประขาขน จากจีนแดง ฟังคอมมิวนิสต์ ปลุกระดมให้เกลียด อเมริกา และ ผู้นำไทย มันดี/ แต่ไม่ค่อยเชื่อ ดูหนังโรง ไม่มีตังส์ก็เตร็ดเตร่ในตลาด ชมแสงสี อาศัยพาหนะคือจักรยาน และมอเตอร์ไซค์ ถ้ามีงานวัด งานประจำปี ก็สว่างกัน พวกเอาถ่าน ก็อ่านหนังสือ ทำการบ้าน เอาดีเพื่อวิชาการ สำหรับเข้ามาสอบในสถาบันมีชื่อ เพื่อความฝันในอาชีพ 2) เด็กเล็กก็ฟังนิทาน หลายแนว คือ ผี เช่น "ผีกระสือ", "ผีกองกอย"  คุณธรรม เช่น "นางสิบสอง" และ นิทานปรำปราบ้าง เช่น "ผาแดงกับนางอ่าย" ไม่เกิน 3-4 ทุ่มก็นอนแล้ว 3) ผู้ใหญ่ ก็ตั้งวง กินเหล้าบ้าง ไพ่บ้าง โดยเฉพาะ "ดรัมมี่" ดูหนังโรง เวลาที่เหลือก็ตามแรงพลักดันของสิ่งมีชีวิต สืบเผ่าพันธุ์ - นอกเมือง จุดตะเกียงคางคก(ทำจากกระป๋องนม ไม่มีครอบแก้ว ควันดำ) ฐานะดี ก็ตะเกียงมีครอบแก้ว จนถึง ตะเกียงเจ้าพายุ สว่างเทียบ 100 แรงเทียน ฟังวิทยุใช้ถ่านไฟ จับกลุ่ม ฟังนิทาน เช่น "พระสุธนกับนางมโนรา" เล่าเรื่องต่างๆถ่ายทอดไป เช่น ตำนานโจรชื่อดัง "ดำ หัวแพร" ตำรวจ ก็ "ขุนพันธ์ฯ" เหมือนในเมือง ไม่เกิน 3 ทุ่มก็นอน   ทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่ ก่อนแสงตะวันที่ปลายฟ้า แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 54 12:46:00 จากคุณ : kai50 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:41:20

ความคิดเห็นที่ 49 เรื่องรุ่นปู่รุ่นย่า ที่มีลูกเยอะ เป็น 10 คน เพราะนโยบายของรัฐในขณะนั้นไม่ใช่เหรอครับ แต่หากดูรุ่นปู่รุ่นย่า ที่มีพี่น้อง ก็มีไม่ได้เยอะเป็น 10 นะครับ แล้วสมัยก่อน การตั้งครรภ์ ไม่ใช่เรื่องสนุกนะครับ (สมัยนี้ก็ไม่สนุกหรอก) มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตนะครับ ************** ตอบจขกท. ตอนเด็กไปเที่ยวต่างจังหวัด เย็น ๆ ในแถวบ้านเค้าก็ปั่นไฟกันถึงประมาณ 2-3 ทุ่มนี่แหละครับ ซึ่งหากไม่ได้ไปดูทีวี ก็ไปหาอย่างอื่นทำครับ เช่นหาแมลงตามขี่ควาย หรือไปจับกบ แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 54 12:57:08 จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:55:15

ความคิดเห็นที่ 50 อายุ คนโพสต์  แต่ละคน  ไม่ต่ำกว่า   30  ปี  แน่ๆครับ จากคุณ : netkuff72 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 12:59:21

ความคิดเห็นที่ 51 กระทู้นี้ เช็คอายุคนตอบแต่ละคนได้เลยนะนั่น :) จากคุณ : Cymry เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 13:07:44

ความคิดเห็นที่ 52 จำได้ว่าตอนเด็กๆ ก็เบื่อเหมือนกันครับ ตอนที่ปิดเทอมแล้วไม่มีเพื่อนนี่ยิ่งเบื่อใหญ่ไปเลยครับ ดู TV เดินเล่น ปั่นจักรยานเล่น  ผมอยู่ได้ด้วยดินน้ำมันครับ ปั้นๆๆๆ ไปเรื่อยๆครับ บางวันก็เอาอ่างน้ำมานอนแช่เล่นตอนร้อนๆ มากๆ ครับ ส่วนตอนนี้ถ้าไม่มี internet นี่แทบจะบ้าตายเหมือนไม่มีอะไรทำเลยครับ เพราะว่างานนีั่ใช้คอม 80% เลยครับพ่วงด้วย internet อีกด้วย จากคุณ : น้องหนอนนุ่ม เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 14:44:20

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้าไม่มีพวกฝรั่งบ้างาน บ้าคิดค้นสิ่งของ ไทยคงจะไม่ต่างกับ คห 14 เหมือนอยู่รอแก่ตายยังไงไม่รู้ จากคุณ : _ๅ/-ภถ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 14:44:20 A:223.205.51.23 X: TicketID:318712

ความคิดเห็นที่ 54 นอนฟังปู่เล่านิทานบนชานเรือน นิทานก้อมด้วยนะ อิอิ จากคุณ : ข้าวเหนียวเขาวง เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 14:45:55

ความคิดเห็นที่ 55 สิ้นแสงตะวันก็เตรียมหลับครับ ตืื่่นเช้ามาเตรียมทำกับข้าวหุงข้าว และทำงานต่อ แต่เช้ามากๆครับ ตี 3 - 4 ได้ ทุกวันนี้ บางบ้านตามชนบทก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ครับ จากคุณ : แมงเฟรชชี่ซู่ซ่า เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 14:46:37

ความคิดเห็นที่ 56 53# แล้วทุกวันนี้คุณไม่ได้อยู่รอแก่ตายหรอครับ หรือ ตาย ก่อนแก่ จากคุณ : durasail เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 14:59:22 A:58.181.157.122 X: TicketID:308748

ความคิดเห็นที่ 57 เอาเป็นชนบทในไทยที่ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึงในปัจจุบันแล้วกัน ส่วนใหญ่จะเป็นการหาอยู่หากินตามประสาครับ ยิงหนู ยิงนก ก้านปลา ไต้กบไต้เขียด จับงูสิง ยิงพังพอนดักกะรอก ยิงบ่าง โอ้ยเยอะแยะสารพัดจะทำครับ ถ้าไม่หาอยู่หากิน ก็เล่นดนตรี ลำกลอน พิณ แคน โหวต ตามแต่ใครจะมี มีอันเดียวเล่นเสียได้ยินทั่วหมู่บ้าน จากคุณ : นะจ๊ะ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 15:13:05 A:125.24.58.183 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 58 แหม คนสมัยก่อนเขาก็อยู่กันมาได้ ก็คงมีสุขมีทุกข์คล้ายๆคนยุคปัจจุบันนั้นแหละ ถึงได้มีพวกเราจนถึงวันนี้ ผมเองก็เคยใช้ชีวิต แบบที่ จขกท. ตั้งมา และตอนนี้โหยหา ชีวิตแบบนั้นมาก อยากให้โลกใบนี้กลับไปเป็นแบบเก่า เพราะการดิ้นรนไม่มากเท่า ชีวิตในเมืองหรูหราแบบปัจจุบันนี้ จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 15:43:51

ความคิดเห็นที่ 59 แต่ละคน เอ้ารับไปเลย จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 15:57:02

ความคิดเห็นที่ 60 ลูก จากคุณ : ฟรีค่าแรงตลอด5หมื่นโล เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 16:31:25

ความคิดเห็นที่ 61 แบบ ที่ 57 พูด เลยครับ  ผมอยู่ กลางทุ่งรับซื้อสินค้าเกษตร ตอนกลางคืน ก้อเห็นคนส่องกบส่องเขียด ส่องปลา ครับ   พอ เห็น ก็   จึ๊กๆ จากคุณ : pedpukking เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 16:50:09

ความคิดเห็นที่ 62 จขกท. ถามเหมือนกับว่า internet เป็นอะไรที่ำสำคัญกับชีวิตมากเลยนะครับ จริงๆ แล้วคนส่วนใหญ่ตกกลางคืนเขามีกิจกรรมทำหลายๆ อย่าง และไม่ต้องใช้ internet จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 16:50:50

ความคิดเห็นที่ 63 สมัยก่อนที่ลูำกดก  เราว่าไม่ได้เป็นเพราะปั๊มบ่อยเสมอไปหรอก อต่เป้นเพราะไม่รู้ /ไม่มี การคุมกำเนิดมากกว่า ความถี่อาจจะน้อยกว่าปัจจุบันก็ได้ ใครจะรู้ จากคุณ : Sparking Gunner เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 18:54:05

ความคิดเห็นที่ 64 คืนเดือนหงาย  ล้อมวงเล่นมอญซ่อนผ้า มืดๆ หลังฝนตกเก็บแมงเม่าที่มาบินรอบตะเกียง เอากะละมังใส่น้ำดัก คั่วใส่น้ำปลานิดๆ มัน... จากคุณ : BigNk เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 20:53:58

ความคิดเห็นที่ 65 ไม่ค่ะ ขอไม่ตอบ แค่อยากบอกว่า ความสงบสมัยก่อน เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว จากคุณ : elin เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 23:35:59

ความคิดเห็นที่ 66 กินข้าวเสร็จ ก็มานั่งชานบ้าน ดูดาว เกาหลัง นวดหลังให้พ่อ ให้ตา ยายจุดตะเกียง ปั่นฝ้าย เย็บชุนเสื้อผ้า และเล่าถึงสมัยก่อน ว่าตอนโน้นเป็นยังงั้น เดินทางกันยังไง ป่าเขาเป็นยังไง สัตว์ต่างๆ เมื่อก่อนมีนั้นนี้ หนาวๆ ก็สุมไฟ ปิ้งข้าวเหนียว หมกถั่ว เด็ดถั่ว แกะข้าวโพดกันไป ยามค่ำ เป็นเวลาแห่งความสุข ของครอบครัว ที่ทุกคนได้อยุ่พร้อมหน้า ตะเกียงดวงเดียว ที่ชานบ้าน กับเสียงพูดคุย หยอกล้อ   เล่าขานเรื่องราวครั้งเก่าๆ ที่คนปัจจุบันไม่ค่อยพบเจอ เพราะพอค่ำลง ครอบครัวยังไม่ครบหน้า กลับมาก็หันหลังเล่นเน็ต ดูทีวี ห้องใครห้องมัน ว่าแล้วก็คิดถึง ตา กับ ยาย.... จากคุณ : kamas เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 03:58:05