 |
ถึงสาวกผู้เชื่อเรื่องพวกนี้ทุกท่าน กรุณาคิดตามขณะอ่านดูนะครับ วางความเชื่อที่เคยมีมาของตัวเองระหว่างที่อ่านข้อความนี้อยู่ ศาสนาพุทธมีหลักคำสอนนึงให้เชื่ออย่างมีเหตุและผล ทำไมหลักความคิดตามศาสนาที่เค้าสอนมาถึงไม่เอามาใช้ กลับใช้แต่ความเชื่อ หรือศรัทธาแบบไม่สงสัย หรืออยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นมันจริงหรือไม่แล้วค่อยเชื่อ ซ้ำร้ายทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยทำได้ เพียงแต่เคยได้ยินมา หรือ บางคนอ้างอิงว่าทำได้ แต่พอให้พิสูจน์กลับไม่สามารถทำได้จริงหรือมีข้ออ้างอื่น โดยมีเหตุผลต่างๆ นาๆ (เช่น ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ มันทำได้เฉพาะบางคน) แต่กลับมาคอยพูดชักจูงให้คนอื่นเชื่อโดยที่ตัวเองไม่มีความรู้ ความเข้าใจพอในสิ่งนั้นๆ (ถ้าเข้าใจก็ต้องอธิบายและพิสูจน์ได้) เช่น คห. 31 "การที่มีคนคนนึงบอกว่าทำได้แล้วทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้" ผมถือว่านี่เป็นข้ออ้างแก้ตัว เพราะถ้าเป็นทางวิทยศาสตร์ปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ยอมรับนั้น ถ้าปกตินักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการคนไหน เชื่อว่าเค้าสามารถทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เค้าจะพยายามหาวิธีพิสูจน์ตัวเอง เช่น ถ้าสมมุติตามกรณีนั่งสมาธินี้ ถ้าคิดแบบวิทยาศาสตร์ ถ้าเค้าเคยถอดจิตได้ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม เค้าจะเริ่มหาว่าอะไรเป็นตัวแปรที่ทำให้เค้าทำได้ เช่นท่านั่ง อารมณ์ อุณหภูมิ หรือตั้งสมมุติฐานต่างๆ นาๆ ขึ้นมาเพื่อหาคำตอบ ซึ่งระหว่างที่เค้ายังพิสูจน์ให้คนภายนอกเชื่อไม่ได้ ก็ไม่มีออกมาร้องว่าทำได้ๆ แต่อธิบายไม่ได้ แต่เค้าจะหาวิธีทดสอบของเค้าจนได้แล้วประกาศออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ และพร้อมจะรับการทดสอบวิธีต่างๆ (นี่คือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่บรรดาคนที่นับถือศาสนาต่างดูแคลนกันว่ายังด้อยกว่าศาสนาในหลายๆด้าน เช่นความรู้ ความลับจักรวาล และอื่น แต่วิทยาศาสตร์นั้นกลับหาเหตุผลมารองรับทฤษฏีความเชื่อของตนได้ แต่ศาสนากลับทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่หลายๆ อย่าง เชื่อกันมานมนานยิ่งกว่าของใช้หรือทฤษฏีใหม่ๆ ของวิทยาศาสตร์เป็นร้อยๆพันๆ ปี เช่นเรื่องผี อาคม และอีกนับไม่ถ้วน) แต่กลับกันทางศาสนานี่ ไม่เคยคิดที่จะอธิบายเอาแต่อ้างว่าสิ่งนั้นทำได้ ทำได้เฉพาะคน ผมคิดว่าถ้าของมันทำได้จริงๆ มันต้องมีหลักการอะไรซักอย่าง อย่างน้อยถ้าไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ก็ต้องทำโชว์ให้ดูได้ ไม่ใช่ว่าเอาคำตอบแบบหลีกเลี่ยงไปเรื่อย เช่นของอย่างนี้พูดแล้วเดี๋ยวเสื่อม (ถ้าคนเราสามารถทำสิ่งนั้นได้จริง คงจะอยากพิสูจน์ความจริงเพื่อตัวเอง และเพื่อศาสนาของตัวเองไปแล้ว) เพราะตามหลักศาสนาเค้าสอนให้พยายามเผยแพร่คำสอนเพื่อให้คนพ้นทุกข์ (ผมเชื่อว่าการที่คุณพิสูจน์เรื่องพวกนี้ก็ช่วยทำให้คนเชื่อศาสนามากขึ้น ขอบอกไว้ก่อนกันมีคนมาอ้างว่าการพิสูจน์เรื่องพวกนี้ไม่ใช่คำสอนอีก) ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้มีจริง แล้วเอามาพูดให้คนอื่นฟังไม่ได้เดี๋ยวเสื่อม ไม่คิดว่ามันผิดกับหลักศาสนาหรือไง (แต่ปัจจุบันที่เห็นมามีแต่คนพูดได้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ตัวเองทำไม่ได้ ถามลึกไปอีกก็ได้ยินมาอีกที หรือเห็นจากคนที่ตายไปแล้วนู่น) แต่ชอบเหลือเกินทึ่จะอ้างว่าสิ่งเหล่านั้นมีจริง ฝากถึงคนที่คิดว่าการทำพวกนี้ทำได้จริง กรุณาไปศึกษาจนถ่องแท้และทำให้ได้จริงก่อน แล้วมาพิสูจน์ให้คนที่ทำไม่ได้ดู ก่อนที่จะมาทำการพูดโน้มน้าวคนอื่นให้ไปเชื่อตาม ใช้หลักเหตุและผลของศาสนามาอ้างอิงหน่อย เพราะว่าการที่พูดว่านั่งสมาธิแล้วถอดจิตได้นะ มันเป็นเรื่องที่พูดถึงแต่ผล (ผล = นั่งสมาธิแล้วจะถอดจิตได้) แต่สาเหตุมันละเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน (เหตุ = ทำไมนั่งสมาธิถึงถอดจิตได้, ถอดจิตออกไปได้ยังไง,ทำไมถอดจิตแล้วถึงไปตามใจชอบไม่ได้,มันใช่เป็นจินตนการของตัวเองหรือเปล่า เป็นต้น) ทำไมคนที่คิดว่าตัวเองถอดจิตได้ ไม่ตั้งคำถามพวกนี้กับตัวเอง ไม่ลองถอดจิตไปดูอะไรที่พิสูจน์ได้มา หรือว่าคิดไว้เลยว่าถ้าถอดจิตได้จะไปดูผลบอลอาทิตย์หน้าหวยงวดหน้าเพื่อพิสูจน์ไปเลย (ลองคิดดูนะ ผมว่าคนส่วนใหญ่ถ้าถอดจิตให้ล่องลอยไปไหนมาไหนได้จริง คงอยากจะรู้เรื่องใกล้ตัวก่อนเป็นแน่ เช่นเพื่อนเรามันทำอะไรอยู่น้า ลูกเราทำอะไรที่โรงเรียน แฟนเราทำอะไรอยู่ พ่อแม่เราทำอะไรเป็นต้น ทำไมคนที่ถอดจิตได้ ชอบไปแต่ที่ๆ ไม่มีคนรู้กัน)
จากคุณ |
:
ลองตั้งคำถามตัวเองดู (CaTacLysMz)
|
เขียนเมื่อ |
:
21 มิ.ย. 54 14:15:14
|
|
|
|
 |