ก่อนอื่น ต้องถามกันให้แน่ ๆ ชัด ๆ กันก่อนว่า..
คุณเจ้าของกระทู้ และพระ นับถือศาสนาอะไร ?
หากทั้งสองท่านนับถือศาสนาพุทธ ก็ควรเข้าใจเรื่องชาตินี้ ชาติหน้า ซะใหม่ดีไหมครับ...
การเกิด การตาย ชาตินี้ ชาติหน้า ในความหมายของปฏิจสมุปบาท ไม่ได้หมายความว่า ต้องตายเข้าโลงไปก่อนดอกนะ จึงจะไปเจอชาติหน้า
อันที่จริง คำว่า ตาย ๆ เกิด ๆ ในความหมายของ หลักปฏิจจสมุปบาทนั้น ก็คือการเกิด-การตาย ของสภาวะจิตในปัจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในหนึ่งชั่วโมง เราอาจจะเกิด ๆ ตาย ๆ ได้นับหลายพันชาติก็ได้ (ลองไปทำความเข้าใจในวงจรปฏิจจสมุปบาท ดูให้ดี)
ส่วนเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ที่ต้องไปเจอ หลังจากที่เราต้องตายเข้าโลง ถูกเผา ถูกฝังแล้วนั้น แท้จริง ไม่ใช่คำสอนแท้ ๆ ของพุทธศาสนาหรอกครับ แต่เป็นความเชื่อเดิม ๆ ของศาสนาโบราณ เช่นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่มีมาก่อนศาสนาพุทธหลายพันปี
หลักคำสอนเหล่านี้ มาผสมผเส กันไปบ้าง และเข้ามามีบทบาทในนิทานชาดกที่เล่า ๆ ต่อ ๆ กันมาบ้าง ซึ่งนิทานชาดก มีหลายร้อยเรื่อง เป็นนิทานชาดกของศาสนาพุทธก็จริง แต่ส่วนใหญ่ ถูกนำมาเล่า เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นคติธรรมที่พระพุทธเจ้าต้องการแสดงจริง ๆ เท่านั้น
คล้าย ๆ กับที่ อีสป เล่าเรื่องกระต่ายกับเต่า อันที่จริง อีสป ไม่ได้ต้องการให้ผู้ฟังมานั่งโฟกัสว่า กระต่ายตัวนั้นมีจริง ๆ และท้าเต่าแข่งขันกันจริง ๆ ไปแอบหลับจริง ๆ หรอก แต่สิ่งที่อีสป ต้องการสื่อนั้น คืออะไร ท่านผู้อ่านที่ฉลาดย่อมรู้ดีว่า คือคติที่บอกว่า อย่าประมาท (ในส่วนของกระต่าย) และจงขยันมีจิตใจตั้งมั่นไม่ย่อท้อ (ในส่วนของเต่า) ก็แค่นั้น
แต่ทีนี้ในนิทานชาดก ในพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องที่ "เชื่อกันว่า" พระพุทธเจ้าทรงเล่าเอง ก็เลยคิดกันไปว่าทุกอย่างต้องเป็นจริงตามนั้น เช่น "กระแตตัวหนึ่ง สงสารลูกที่จมหายไปในทะเล ก็เลย เอาหางของตนวิดน้ำทะเลเพื่อให้น้ำทะเลแห้ง จะได้พบลูกของตน" คนฟังก็คิดว่า นั่นเป็นเรื่องจริง ๆ เพราะคนเล่าคือพระพุทธเจ้า
อันที่จริงพระพุทธเจ้าทรงมีการ สรุปเป็นคติสอนใจ หรือ "พระคาถา" ในท่อนสุดท้าย เพื่อเป็นคติสอนใจเท่านั้นเอง คนฟังในอดีตเข้าเข้าใจดี บางคนไม่เข้าใจก็ได้ความสนุกไปก่อน แล้วค่อยตามไปฟังเรื่องที่สูง ๆ ขึ้นไป จนไม่จำเป็นต้องเล่านิทานแล้ว เทศน์สอนกันโดยตรงเลย เพราะมีพื้นฐานจากการฟังนิทานมาก่อนแล้ว ก็มี
แต่คนฟังในปัจจุบัน ดันไม่สนใจคติธรรม สนใจแต่ตัวละครในเรื่อง.....ก็เลยเข้าใจผิดกันไปใหญ่....เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แหล่ะครับ
ส่วนเรื่อง ชาตินี้ ชาติก่อน ชาติหน้า ก็เช่นกัน ลองไปศึกษาศาสนาพุทธให้เข้าใจลึกซึ้งดูเถิดครับ ท่านจะรู้ว่า "ไม่มีความจำเป็นต้องไปสงสัยเลย" ก็เพราะว่า "ในเมื่อไม่มีอะไรมาเกิด แล้วจะมีอะไรมาตาย ในเมื่อไม่มีอะไรมาตาย แล้วจะมีอะไรไปเกิดเป็นชาตินี้ชาติหน้าด้วยเล่า"
ลองคิดดูดี ๆ ครับ เพราะพุทธศาสนาเน้นสอนเรื่องของ อนิจตา ทุกขตา และอนัตตา
ความไม่เที่ยงแท้ ความไม่สามารถทนอยู่ได้ และความไม่ใช่ตัวตน จนถึงที่สุดก็ไม่มีตัวตน นั่นเอง จึงไม่มีใครมาเกิด ไม่มีใครมาตาย คงมีก็แต่ "ความเปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ในกาลเวลา
การเปลี่ยนแปลงของรูปธรรม (สสาร) เป็น นามธรรม (พลังงาน) หรือการเปลี่ยนแปลงจาก สังขตธรรม (สสาร) เป็น อสังขตธรรม (พลังงาน) โดยใช้หลัการคือกฎไตรลักษณ์ ดังต่อไปนี้
-อนิจตา ความไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา หรือ ในกาละเทศะ (กาล-อวกาศ)
-ทุกขตา ไม่สามารถทนอยู่ได้นาน ไม่ว่ามวลสารใด ๆ ก็ไม่เสถียรเที่ยงแท้เป็นนิรันดร์ จะต้องไม่สามารถคงสภาพของตนเองได้ตลอดกาล จะต้องมีการแปรสภาพ เพราะทนอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป อาจจะล้าน ๆ ปี ก็ถือว่า เป็นเวลาที่ผ่านไป คือต้องแปรสภาพไปตามกาลเวลา ในกาละเทศะ (กาล-อวกาศ) ในที่สุด
-อนัตตตา (อ่านว่าอะนัดตะตา) มิใช่ตัวตน หากย่อยมวลสารในร่างการของเราลงแล้ว ก็จะเห็นว่า ไม่มีส่วนใหนที่มีความเป็นตัวตนของเราเลย หากย่อย วัตถุธาตุทุกชนิดลง ให้เล็กที่สุด ก็จะเห็นว่า ไม่มีอะไรเป็นตัวของวัตถุธาตุก้อนเดิมเลย และหากย่อยลงไปจนไม่เหลืออะไร (อรูป-นามธรรรม) ก็จะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงจากสสารไปเป็นพลังงานไปเลย ในเมื่อเป็นพลังงานไปแล้ว เราจะตามกลับมาหารูปเดิม หรือสสารเดิมได้หรือไม่? แม้วันหนึ่งอาจมีคนคิดว่าทำให้มันกลับมาได้ แต่ก็คงไม่สามารถกลับมาเป็นก้อนเดิม ชนิดเดิมได้อย่างแน่นอน คงกลับมเป็นสิ่งอื่น ๆ หรืออย่างอื่น ๆ ไป อีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือความมิใช่ตัวตน หรือ อนัตตา นั่นเอง
ดังนั้น ในกระบวนการนี้ มี "ใคร" มาเกิด หรือ มี "ใคร" มาตายหรือ?
ก็เห็นมีแต่ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลา ตามกฎของไตรลักษณ์ นี่นา
แล้วจะเอาชาตินี้ ชาติหน้า ชาติก่อน มาจากไหน?