ความคิดเห็นที่ 1 จะเอาอะไรกับคนห้องนี้ล่ะครับ ก็แค่คนธรรมดา ไอน์สไตน์ระดับโนเบลแล้ว จากคุณ : imanust_261204 เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 17:43:32

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่า วิทย์ไม่สามารถสรุปได้ว่า ไม่มีอยู่จริง อะนะครับ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 17:54:51

ความคิดเห็นที่ 3 ท่านเข้าใจถูกแล้วครับ เราถือว่า "อีเทอร์ไม่จำเป็น" มันจะมีหรือไม่มีมันก็ไม่สำคัญต่อเรื่องของแสง มันอาจมีก็ได้ แต่ในความหมายอื่น ไม่เหมือนอีเทอร์ตามแบบที่สมัยนั้นตั้งสมมุติฐานกันครับ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 17:58:04

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้านิยามอีเทอร์ว่าเป็นตัวกลาง ในการเคลื่อนที่ของแสง จะบอกว่า ไม่มีอยู่จริง ก็คงจะไม่ผิด เอ เขียนความเห็นขัดกันเอง ยังไงไม่รู้ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 18:04:01

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกับ จขกท. ความเห็นส่วนตัว คิดว่าต้องดูบริบทที่พูดด้วยครับ ether ไหน ในความหมายเก่าแก่สำนักของพลาโตเองจัด ether เป็น fifth element ส่วนในความหมายที่ว่า ether เป็น absolute frame of reference อันนี้น่าจะพูดได้ว่า ether ไม่มี (เพราะทฤษฎีสัมพัทธภาพบอกว่าไม่มี absolute frame of reference) ส่วนในความหมายที่ว่ามันเป็น medium ชนิดหนึ่งที่เติมเต็มอยู่ในเอกภพ ที่เคยเชื่อกันว่าอัตราเร็วแสงขึ้นอยู่กับสมบัติของ ether อันนี้สัมพัทธภาพเฉพาะแสดงไว้แล้วว่าสมการแม็กซ์เวลล์ไม่จำต้องเป็นพึ่งพาการมีอยู่ของ ether ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า ether แต่น่าสังเกตว่าในกรณีนี้เราใช้ Occam's razor บอกไปเลยว่าไม่มี ether (อย่างน้อยก็ในความหมายของ medium และการทำตัวเป็นกรอบอ้างอิงสัมบูรณ์) ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเสียหายอะไรอะครับ จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 18:11:41

ความคิดเห็นที่ 6 นึกว่ามันที่โปะหน้าแล้วสลบ-*- จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 19:07:19

ความคิดเห็นที่ 7 อืม...การบอกว่าไม่มีหรือมีอีเทอร์มันต้องมีเหตุผลมายืนยันความคิดอ่ะครับ ตอนแรกเริ่มเลยคิดกันว่าในอวกาศน่าจะมีตัวกลางอะไรซักอย่างให้แสงเดินทางผ่านมาได้ เหมือนที่โลกเรามีอากาศ ก็เลยสมมติว่ามันมีอีเทอร์ คิดดูสิครับว่า ณ ตอนนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ด้วยซ้ำว่าอีเทอร์คืออะไร แต่เพราะต้องการให้มีอะไรบางอย่างมาเป็นตัวแปรในการอธิบายทฤษฎีของตัวเอง นักวิทยาศาสตร์ก็เลยสมมติอีเทอร์ขึ้นมา พอเอาตัวแปรนี้ใส่เข้าไปแล้วทฤษฎีก็ดูน่าเชื่อถือ คนก็เลยเชื่อกันต่อๆมาว่าต้องมีอีเทอร์ ต่อมา ไอน์สไตน์คิดทฤษฎีใหม่ซึ่งทำนายผลได้แม่นยำกว่าทฤษฎีเก่า และในทฤษฎีนี้ไม่จำเป็นต้องมีอีเทอร์อีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ก็เลยรื้อทฤษฎีเก่าทิ้งเพราะให้ผลได้ไม่แม่นเท่าของใหม่ แล้วตัวแปรเก่าที่ใส่มาเกินความจำเป็น แถมไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริง แถมไม่มีใครรู้ด้วยว่าสมบัติของมันคืออะไร มันจะยังจำเป็นอยู่ไหม ก็ในเมื่อตอนแรกมันมีอยู่เพื่อให้ทฤษฎีเก่าสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าคุณเจอปรากฏการณ์ประหลาดที่อธิบายไม่ได้ คุณอาจใส่ตัวแปร ผี พระเจ้า มนุษย์ต่างดาว หรือพญานาค เพื่อให้สอดคล้องกับทฤษฎีที่คุณเชื่อ แต่พอมีทฤษฎีใหม่ที่อธิบายได้ดีกว่า คุณก็ตัดตัวแปรเก่าทิ้งได้เลย จากคุณ : omega. เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 19:09:13

ความคิดเห็นที่ 8 มันก็เหมือนกับบอกว่า ผี มีอยุ่จริงน่ะครับ วิทยาศาสตรืที่ดี ควรจะพิสูจน์ได้ครับ จากคุณ : MIOSIS เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 19:12:09

ความคิดเห็นที่ 9 คห.3 คงหมายถึง ทฤษฎีสตริง จากคุณ : MIOSIS เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 19:14:10

ความคิดเห็นที่ 10 ได้มีคนทดลองไปแล้วว่าไม่พบการมีอยู่หรือถ้ามีก็ไม่มีผลต่อความเร็วแสง จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 19:27:25

ความคิดเห็นที่ 11 ตกลง วิทยาศาสตร์สมัยนี้ สรุปแล้วหรอครับว่า อีเทอร์ ไม่มีอยู่จริง ปลายศตวรรษที่ 19 มีทฤษฎีว่าแสงมีตัวกลางชื่อ อีเทอร์ Physics theories of the late 19th century postulated that, just as water waves must have a medium to move across (water), and audible sound waves require a medium to move through (such as air or water), so also light waves require a medium, the "luminiferous aether". มิเชลสันสร้างเครื่องมือ interferometer เพื่อวัดการไหลของอีเทอร์ Michelson had a solution to the problem of how to construct a device sufficiently accurate to detect aether flow. The device he designed, later known as an interferometer ผลการทดลองไม่พบการไหลของอีเทอร์ Most famous "failed" experiment http://en.wikipedia.org/wiki/Michelson%E2%80%93Morley_experiment#Most_famous_.22failed.22_experiment จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 19:31:40

ความคิดเห็นที่ 12 เอาเป็นว่าพูดได้ว่า อีเทอร์ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มี หรือมี แค่ไม่จำเป็นต้องมี ก็อธิบายเรื่องแสงได้สมบูรณ์แล้ว จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 20:56:54

ความคิดเห็นที่ 13 อีเทอร์มันกำเนิดจากนิยามขึ้นมาเองนี่ครับ แถมนิยามก็แค่ "เป็นตัวกลางให้แสงวิ่ง" ถ้าแสงไม่ต้องมีตัวกลางวิ่ง ก็น่าจะสรุปได้ว่าไม่มีอีเทอร์ เพราะว่าเรานิยามมันไว้แค่นั้นแหละครับ. จากคุณ : Munch เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 21:56:22

ความคิดเห็นที่ 14 แล้วทำไมแสงจึงไม่ต้องอาศัยตัวกลาง----->เพราะตัวกลางเป็นสิ่งสัมบูรณ์ แต่อวกาศ เป็นสิ่งสัมพัทธ์ จากคุณ : MIOSIS เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 22:01:58

ความคิดเห็นที่ 15 จะพูดให้ชัดอวกาศไม่มีตัวตนเป็นแค่ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆครับ (ปรัชญาแบบไลบ์นิซ) จากคุณ : MIOSIS เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 22:03:46

ความคิดเห็นที่ 16 อีเทอร์   อาจเป็นสนามโน้มถ่วงของมวลก็ได้ ซึ่ง ไม่เป็นไปตามสมมุติฐานแรก ว่ามันอยู่นิ่ง  โลกเคลื่อนที่ฝ่ามันไป แต่สนามโน้มถ่วงมันเคลื่อนที่ไปพร้อมกับโลก การทดลองทางแสงบนโลกจึงไม่ไหลทวน หรือตาม อีเทอร์เลย จากการทดลองเอานาฬิกาเคลื่อนที่ไปกับเครื่องบิน  แล้วนาฬิกาเดินช้าลง ผลการทดลอง ตรงกับการคำนวณที่ใช้ จุดศกโลก เป็นจุดอ้างอิง ไม่ใช่ เอาจุดที่ผู้สังเกตที่จุดเริมต้นเป็นจุดอ้างอิง แสดงว่า ผลกระทบเกิดจากโลก ซึ่งตัวกลางมีอย่างเดียว  คือสนามโน้มถ่วงของโลกนั่นเอง จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 22:44:04

ความคิดเห็นที่ 17 แนวคิดพวกนี้ กลับไปกลับมาได้ตลอดครับ อีเทอร์ในความหมายของตัวกลางของแสงที่กระจายอยู่เต็มเอกภพ ตอนนี้ที่ใกล้เคียงก็คือสนามฮิกส์ไงครับ เพียงแต่สนามฮิกส์ไม่ทำอันตกิริยากับ อนุภาคสปินที่ไม่เต็มจำนวนเท่านั้น จากคุณ : เขียนบน iPad (เถ้าลอย) เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 22:47:22

ความคิดเห็นที่ 18 วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ว่า อีเทอร์มีอยู่จริงครับ ตอนแรก คิดว่าเป้นตัวกลาง ไป ๆ มา ๆ แสงไม่ต้องใช้อีเทอร์ ทำให้อีเทอร์หมดหน้าที่ หมดความหมาย และหมดวิธีวัด... เลยไม่มีใครสนใจมันอีก จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 23:14:42

ความคิดเห็นที่ 19 เท่าที่เคยอ่านมาก็เ้ข้าใจเหมือน จขกท อะนะ ประมาณว่า มันเป็นสิ่งสมมติขึ้นมาเพื่อให้เกิดความเป็นเหตุเป็นผลขึ้น แต่ไปๆมาๆ เหตุผลนั้นก็สมบูรณ์ในตัวมันได้แล้ว โดยที่ไม่ต้องมีสิ่งสมมตินาม อีเทอร์ มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่คนไม่พูดถึงอีก สรุปว่า มี ไม่มี ก็ไม่มีความหมาย .... แต่จะตีความต่อไปว่า ไม่มี ผมว่าก็ไม่ผิดเท่าไรนะ คล้ายๆคำว่า วิญญาณ ไง เชื่อว่ามี แต่พิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์เลยบอกว่า ไม่มี  จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 11:27:46

ความคิดเห็นที่ 20 คห17 คงอ่านของไบรอัน กรีน ที่ว่าแนวความคิดเกี่ยวกับอวกาศกลับไปกลับมาระหว่าง อวกาศสัมบูรณ์ กับ สัมพัทธ์ จะบอกให้ว่า ไบรอัน กรีน ก้ยังเข้าไม่ถึงในบางแง่มุมของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป นะครับ เช่นพูดถึง Bucket argument แต่ไมได้พูดถึง Hole argument เลย ถ้าเราเชื่อในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ผมว่าอวกาศควรจะแบบสัมพัทธ์ ไม่ใช่ อวกาศ(เวลา)สัมบูรณ์ เหมือน กรีน สรุปไว้ ผมว่ากรีน เขาพลาดตรงนี้ไปล่ะ อาจเพราะ วงการที่เขาอยู่มันเป้น ฟิสิกส์พลังงานสูง และ ซุเปอร์สตริง เลยไปเน้นความสำคัญของ ควันตัมฟิลด์มากกว่า  ส่วนที่ว่า อีเทอร์อาจจะเป็นฮิกส์ฟีลด์ ขอเหตุผลหน่อยครับ ตามทฤษฎี ฮิกส์ฟิลด์ เป็นสนามสเกลาร์นะครับ spin=0 แต่สนามโน้มถ่วงตามทฤษฎีแบบ perturbation spin=2 และที่สำคัญอนุภาคฮิกส์อาจจะไม่มีจริงนะครับ ตอนนี้้นักฟิสิกสืหลายๆคนเริ่มสงสัยกันแล้ว จากคุณ : MIOSIS เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 12:05:12

ความคิดเห็นที่ 21 #1 ผมไม่ใช่คนธรรมดาครับ ผมเป็นผี พอใจยังครับ อิอิ จากคุณ : wan_medtech เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 13:09:06

ความคิดเห็นที่ 22 เฮ้อนึกว่าอีเธอร์ทางเคมี ที่เป็นยาสลบ = =! จากคุณ : เหลืองหางขาว เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 15:25:00 A:202.41.187.241 X: TicketID:312165