 |
นอกจากนี้ เมื่ออยู่ในโครงการ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวงการวิทยาศาสตร์บ้านเรา จากที่ไม่เคยรู้จักนักวิทยาศาสตร์ไทยเลย ก็ได้มีโอกาสเข้าใกล้ชมบารมีนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ซึ่งต่อมาก็เป็นหนึ่งใน role model ของตน ได้มีโอกาสเยี่ยมชมห้องแลปในหลายๆแห่ง พอขึ้นม. 5 ก็กล้าวิ่งเข้าหานักวิทยาศาสตร์ดีเด่นปีนั้นเองเลย (อ.สกล พันธุ์ยิ้ม) ไม่ได้เจอท่านหรอก แต่ได้บุกถึงแลปท่านเข้าถ่ายรูป ขอข้อมูลเพื่อมาทำบอร์ดงานรร.เลย รู้จักภาควิชาชีวเคมี และงานวิจัยทางชีวเคมีก็ตอนนี้แหละ ตอน summer จึงเลือกมาฝึกงานที่ภาควิชาชีวเคมีนี้อีกครั้ง เป็นเวลา 4 วัน ในแลป อ.ประพนธ์ วิไลรัตน์ ได้ใช้เครื่องมือง่ายๆ ที่คิดว่าหรู (ก็ไม่เคยใช้มาก่อน) ได้เลี้ยงแบคทีเรีย สกัดพลาสมิด DNA ตัดด้วย restriction enzyme และ run gel electrophoresis ตอนม. 6 ทำโครงงานเดี่ยวเรื่อง เซลล์ไฟฟ้าเคมี ไปแง้บช้อนอะลูมิเนียมจากโรงอาหารมาใส่กรด HCl เพื่อผลิต H2 gas (ผิดศีลข้อ 2) และใช้ด่างทับทิมมาทำปฏิกิริยาให้ได้ O2 gas เพื่อเอามาปล่อยใส่เซลล์ไฟฟ้าที่ออกแบบและประกอบขึ้นเอง พัฒนา electrode เองจากลวดความร้อนเตาไฟฟ้า (โบราณ เดี๋ยวนี้หาแทบไม่ได้แล้วมั้ง) เรียนรู้อะไรหลายอย่าง คิดเองเกือบหมด ค้นและอ่านเยอะมาก มีอาจารย์แนะนำนิดหน่อย พอให้ได้แนวทาง แล้วก็มีโอกาสได้ไปค่ายวิทย์ที่ USA (เพราะพสวท.ดึงทุนสนับสนุนมาได้ 2 ทุน ให้สอบแข่งกันในรุ่น โดยสอบภาษาอังกฤษ โปรดย้อนกลับไปอ่านย่อหน้าที่แล้ว จะเห็นความโชคดีตรงนี้ว่าทำไมจึงได้รับเลือกไป) ได้ไปเปิดหูเปิดตา (ไม่มีปัญญาไปเที่ยวต่างประเทศเองหรอก) และได้รู้ว่าความรู้เราไม่แพ้เพื่อนฝรั่งเลย เพียงแต่ติดขัดเรื่องการสื่อสารเท่านั้นเอง เลยเกิดแรงบันดาลใจว่าจะต้องไปเรียนต่อที่ USA ให้ได้ จะต้องฝึกภาษาเพิ่มขึ้นอีก จบม. 6 ระหว่างที่เพื่อนร่วมห้องกำลังเอนทรานซ์ระทึก ตนเองเอาเงินเก็บไปร่วมค่ายฝึกภาษาอังกฤษอยู่หลายวัน (ในประเทศน่ะ) ระหว่างอยู่ม.ปลายนั้น computer project ส่วนตัวที่บ้าน (ซึ่งพบทางตันในการเขียนเกมส์ในภาษา BASIC บนเครื่องกระป๋องนั่นมานานแล้ว เพราะมันไม่มี graphics routine อะไรเลย แถม RAM แค่ 16 kB เขียนเกมส์ยังไม่ถึงครื่งเกมส์ที่ตั้งใจเลย RAM เต็ม) ก็ขยายมาเรียนรู้ภาษาเครื่อง ซึ่งเป็น hex code คือเปิดฝาเจ้ากระป๋องมาดูพบว่าเป็น CPU ของ 6800 Motorola (ต้นตระกูลของ PC) ก็ไปสรรหาคู่มือของ microprocessor มาศึกษา เป็นภาษาอังกฤษอีกแล้ว และพยายามพัฒนา graphics routine ขึ้นเอง สุดท้ายไม่สำเร็จตามแผน แต่ก็ทำให้มันลากเส้นตรงใดๆ ได้ และเริ่มส่วน routine วาดวงกลมไปหน่อยนึง พอดีต้องเข้ามหาลัย ซึ่งเรียนหนักมากจึงไม่ได้มีโอกาสพัฒนาเจ้ากระป๋องต่อจากนั้นอีกเลย ตรงนี้ให้ดูความมุ่งมั่น
ขึ้นปีหนึ่ง ต้องไปเรียนศาลายา ตอนนั้นมีอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ ก็เหมือนไม่มี เพราะท่านไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้เรียกเรามาเคี่ยวเข็ญให้ทำอะไรเป็นพิเศษ คือจะไม่ทำอะไรก็ได้ (คงไม่ต่างจากเดี๋ยวนี้เท่าไรมั้ง) แต่ตนเองกับเพื่อนก็ยังเพียรถ่อมาพญาไท รับโจทย์จากอาจารย์ไปทำ ส่วนตัวได้โจทย์จากอ.ภาคเคมีไปพัฒนาโปรแกรมทำ linear และ nonlinear ROBUST fitting (ช่วงนั้นที่บ้านพอจะมีเงินขึ้นบ้าง ผ่อนบ้านหมดหรือไงเนี่ย พ่อใจดีซื้อ PC 286 มาที่บ้าน เสร็จเรา) แล้วก็มาฝึกเทคนิค cell culture และ sterile techniques เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยจากภาค bio (เท่าที่พอจำได้นะ) วีรกรรมที่จำได้คือเรียน bio ในห้องไม่รู้เรื่องนะ จด lecture ไม่ทัน เพราะอาจารย์ปิ้งแผ่นใสเร็วเหมือนทำข้าวเกรียบว่าว (สมัยนั้นไม่มี powerpoint ให้ขอ copy file ไปดูได้นะ ไม่มีแจก handout อีกตะหาก) เดินหมดอาลัยตายอยากไปหลบหามุมอ่านหนังสือในห้องสมุด เผอิญมุมสงบคือแถบ textbook ภาษาอังกฤษ (ที่อื่นมันไว้จีบกันมั่ง เล่นซ่อนหากันมั่ง) เลยลองหยิบ text bio มาดู พบว่าใหม่เอี่ยม (คือไม่มีใครหยิบอ่านกันเลยน่ะ) รูปสวย อ่านไม่ยากมาก (ก็เคยอ่านคู่มือภาษาอังกฤษมาพอควรแล้ว) แถมมีรากศัพท์ latin ชื่อ phylum, class etc (เรียนอนุกรมวิธานน่ะ) เฮ้ย เข้าใจดีกว่าที่เรียนใน lecture อีก เลยเสี่ยงตาย ยืม textbook มาอ่านประชดชีวิตมันเลย (เพื่อนๆส่วนใหญ่ไปอ่านหนังสือม.ราม ทั้งที่บางคนชอบไปดูแคลนคนอื่นที่เอ็นไม่ติด) ปรากฏว่าด้วยความเข้าใจที่พอจะมีจากการอ่าน text บวกความบ้าบิ่นไม่กลัวตาย ไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีแรงกดดันมาก กลับทำให้ได้ A มา อิๆ (โชคดีที่มีความพยายาม) (มีต่อ)
จากคุณ |
:
JediJi
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ก.ย. 54 20:53:12
|
|
|
|
 |