ความคิดเห็นที่ 1 คุมองคือ?? จากคุณ : หัวโตนะ เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 09:40:12

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ต้องเด็กครับ การฝึกจินตคณิตแบบวกลบคูณหารฝึกสมองจริงๆ แล้วชะลอการดำเนินโรคของอัลไซเมอร์ด้วยครับ ผมเห็นญาติของเพื่อนผมที่เป็นอัลไซเมอร์ หมอจะให้แบบฝึกหัดเลขมาทำทุกครั้งที่ไปหาหมอครับ แล้วก็มีแบบฝึกหัดพวกโยงเส้นอีก คิดซะว่าถ้าไม่ได้ต้องการให้ลูกเอาดีทางคำนวณ ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองทำงานอยู่ต่อเนื่องก็ได้ครับ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผลดีครับ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 09:40:41

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าใครได้ฝึกเพิ่ม ก็ดีทั้งนั้นแหละครับ การจะเก่งคณิตศาสตร์ยังไงก็ต้องทำโจทย์เยอะ ๆ ซึ่งรู้สึกว่าคุมองเค้าจะเน้นจุดนี้พอสมควร โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับการให้คิดเลขในใจบ่อย ๆ นะ เหมือนได้ใช้สมองเรื่อย ๆ ช่วยชะลอการเป็นโรคอัลไซเมอร์แบบที่ความเห็นที่สองบอกไว้ด้วย ถ้าใส่ไว้ในหลักสูตรประถม แล้วให้เด็กทุกห้องเรียน ผมก็ว่าไม่แปลกเท่าไหร่ แต่ที่น่าจะลำบากคือ การวัดผล จำเป็นต้องบังคับหรือไม่ว่าเด็กต้องได้คะแนนสูง เพราะเด็กที่เรียนไม่ได้ก็มี คงต้องดูจุดประสงค์และเกณฑ์การวัดผลครับ จากคุณ : basicguy เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 09:54:32

ความคิดเห็นที่ 4 ไร้สาระ จากคุณ : yugioh2500 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:01:30

ความคิดเห็นที่ 5 ระบบการเรียนแบบคุมองเป็นระบบการเรียนแบบเฉพาะตัว โดยมีการวิเคราะห์หาจุดเริ่มต้นในการเรียนที่เหมาะสมให้แก่นักเรียนแต่ละคน นักเรียนจะเริ่มเรียนจากระดับที่พวกเขาสามารถทำคะแนนได้เต็มจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบฝึกหัดคุมองออกแบบมาเพื่อให้นักเรียนสามารถแก้โจทย์ได้ด้วยตนเอง เมื่อนักเรียนเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตามกำลังของตนเอง เขาจะสามารถทำแบบฝึกหัดที่มีเนื้อหาเทียบเท่าชั้นเรียนในโรงเรียน และสามารถเรียนเนื้อหาที่เกินชั้นเรียนในโรงเรียนได้ในที่สุด ข้อมูล : http://th.wikipedia.org/wiki/คุมอง นึกว่าหลักสูตร"ครูมอง"เสียอีก อิอิ ครูจะมองเด็กหัวอ่อนคณิต นัดสอนตัวต่อตัวนอกเวลา จากคุณ : G-1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:17:03 A:58.11.180.181 X: TicketID:115608

ความคิดเห็นที่ 6 ผมนึกว่าคุมองสอนภาษาฝรั่งเศสเสียอีก ที่แท้สอนเลขหรอกหรือ จากคุณ : tomorrow night เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:42:30

ความคิดเห็นที่ 7 ขอแค่อย่าเอา power mind มารวม...... จากคุณ : KeyboardWarrior เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:49:23

ความคิดเห็นที่ 8 คงดีนะ ชม.คณิตธรรมดาก็ฝึกเด็กเรียนแบบปกติ คิดแบบปกติ แล้วเอาคูมงมาเฉลยวิธีเรียนแบบลัด ถ้าจัดการดีๆ ผมว่าจะทำให้เด็กเก่งจริงๆ ไม่ต้องพึ่งเรียนพิเศษเลย จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:58:33

ความคิดเห็นที่ 9 ผมเคยเรียนตอนเด็กครับ เขาไม่ได้มีวิธีลัดอะไรมากมาย แต่เป็นการให้ทำโจทย์เยอะๆแข่งกับเวลา ทำไปเยอะมากๆ เขาให้กลับมาทำที่บ้าน ต้องจับเวลาทุกครั้ง ห้ามโกงตัวเอง โจทย์ตั้งแต่บวกลบง่ายๆ ไปถึง คูณหาร แบบยากขึ้น เลขเยอะขึ้น ตามเลเวล ถ้าเกิดทำทันเวลาที่กำหนดของแต่ละเลเวล พอครบก็เหมือนผ่านด่าน ได้อัพเลเวลทำโจทย์ที่ยากไปอีก เหมือนกะให้ทำจนชิน จนคุ้น แล้วก้จะทำได้เร็ว จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 11:10:23

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นหลานไปเรียน โอ้ยเอาแต่ละข้อมา ผมเองยังทำไม่ได้ แต่หลานมันนั่งทำแป๊บๆเสร็จ เป็นผมผมก็ให้เรียนนะ จากคุณ : เข้ามาครองโลก เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 11:37:01

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่รู้จัก มีมีลูก จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 11:59:02

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่รู้ว่าเขาสอนยังไง แต่ผมก็ว่ายังมีประโยชน์นะ เคยเรียนจินตคณิตตอน ป.6 ก็ช่วยได้เยอะ แต่ยังไงที่สำคัญ "กระบี่อยู่ที่ใจ" เด็กคนไหนสนใจก็ถือว่าได้กระบี่ดีครับ ^^ จากคุณ : SilverBrain เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 12:27:44

ความคิดเห็นที่ 13 ก็ดีนะ อะไรดีดีก็รับมาหมดแหละ ผมไม่มีอะไรจะค้านหรอก สนับสนุนด้วยซ้ำ ถ้ามันจะทำให้พัฒนาการการเรียนรู้ดีขึ้น ก็จัดเข้ามาอยู่ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับซะ แต่จะไม่เห็นด้วยถ้าพ่อแม่คนไหนคิดว่าถ้าลูกเราจะต้องไปเรียนเสริมอะไรพวกนี้โดยหวังว่าลูกจะต้องเป็นที่สุด เป็นอัจฉริยะ ทำคุณประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ ก็เปลี่ยนความคิดซะเถอะ เรื่องพวกนี้มันอยู่ที่ตัวคนแต่ละคน เก่งตอนนี้ พอจบไป ไม่ได้ทบทวน ก็โง่เหมือนเดิม แต่ถ้าเรียนพื่อทำเกรดสูง ๆ ก็อีกเรื่อง สมัยประถมผม ก็มีโรงเรียนกวดวิชาแนวนี้ คือ สมาร์ทเบรน ก็ฝึกจินตนาการถึงลูกคิด ก็ทำให้คิดเร็วไวขึ้น คิดเลขได้เป็นจำนวนที่มากขึ้น ตอนนั้นพ่อแม่คนมีกะตัง มีวิสัยทัศน์ ก็ส่งลูกไปเรียนกัน พอตอนนี้กลับไปนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ก็มีคำถามในใจ แล้วไงหล่ะ ? สุดท้ายทุกคนก็ต้องเลือกอาชีพ อาจจะอยากเป็นมัคคุเทศน์ แม่มเสียเงินเรียนคณิต หรือสุดท้ายได้เรียนจบคณิต ไปจริง ๆ ถ้าเด็กไม่ชอบไม่สนใจ ไม่มีการทบททวน ความรู้พวกนนี้ก็หาย หรือ ถ้าทบทวนสม่ำเสมอ จะเป็นที่สุดของนักคณิตศาสตร์ระดับโลกเลยหรือเปล่า? สุดท้ายก็กลับมาโลกแห่งความจริง ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน มีครอบครัว ทำงานไปวัน ๆ เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงครอบครัว  เฮ้อ ระดับศาตราจารย์เค้าคงไม่มาสนใจไอ้พวกเทคนิคคิดเลขเร็วพวกนี้หรอก เขียนคำว่าจินตคณิต แต่ผมก็ยังมองว่าเ็ป็นระเบียบแบบแผนอยู่นั่นเอง ก็แค่ฝึกคิดในใจแบบมีแบบแผน เหอๆๆๆๆ ใช้คำซะสวยหรู แต่ก็ยังอยู่ในกรอบอยู่ดีไม่ใช่หรอ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 54 13:46:39 แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 54 12:38:47 แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 54 12:37:04 จากคุณ : ป๊อปปูล่า เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 12:30:49

ความคิดเห็นที่ 14 ดีค่ะ หลานเราสองคนเรียน (เรียนวันเสาร์) คิดเลขในใจได้เร็ว เข้าใจคณิตได้ง่าย ตอนนี้อยู่ ม.ปลาย ได้ทอป 1-5 คณิตศาสตร์มาทุกชั้น พอเข้า รร ใหม่ ก็ได้คณิตเป็นตัวช่วยตลอด จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 13:23:06

ความคิดเห็นที่ 15 เคยเรียนมาเหมือนกันครับ ถามว่าได้ผลมั้ย ได้มากเลยครับ คิดเร็ว ไม่ใช่เฉพาะเลข และติดตัวไปตลอดครับ แต่เด็กจะเหนื่อยมาก บางคนเรียนคุมองเสร็จไปเรียนดนตรี แล้วไปเรียนกีฬาต่อ อันนั้นก็เกินไป จากคุณ : workbench เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 14:09:09

ความคิดเห็นที่ 16 สมัยก่อน พ่อแม่เค้าฝึกในวงไพ่อะไร .... จำเลขกันแม่นเลย จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 14:31:31 A:110.169.194.44 X: TicketID:250855

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนประถม+มัธยม ผมก็เรียนจินตคณิต ใช้ลูกคิดแล้วครับมีประโยชน์มากครับ คิดเลข2หลักเร็วขึ้น ลงท้ายด้วย9ก็ -1 +10 ด้วย8 ก็-2 +10 ไรงี้ จากคุณ : Fuzien เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 14:55:23

ความคิดเห็นที่ 18 สมัยผมเรียนประถม ก็ยังมีแบบที่คล้ายๆ กันนะครับ เป็นคิดเลขในใจ ทุกๆ เช้าครูจะเอาโจทย์มาให้ทำเวลาจำกัด ยากง่ายสลับกันไป แถมมีเก็บคะแนนสอบปลายภาคด้วยนะ เสียอย่างเดียวคือ ครูไม่สอนเคล็ดลับการคิดให้ บางคนจับจุดได้ก็สบายไป บางคนยังงมโข่ง(แบบผม) ก็งมต่อไป ทำไม่เคยทันซะที  - -" จากคุณ : MoonGlade เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 16:22:25

ความคิดเห็นที่ 19 ใช่แล้วครับ คณิตคิดเร็ว สมัยประถมที่เราทำ ๆ กัน มีไว้เพื่อฝึก ให้เด็กมีจินตนาการ และคิดหาเทคนิควิธีพลิกแพลงด้วยตัวเองครับ เรื่องพวกนี้เอามาสอน ไม่ได้ครับ ผมเลยมองว่า เด็กที่ไปเรียนกวดวิชาพวกนี้ เหมือนรอให้คนมาป้อนเทคนิค ให้ แต่ไม่เคยที่จะคิดเทคนิคเองด้วยตัวเองเลย นี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกว่า ต่อให้ไปเรียนก็จะเก่งกว่าเพื่อนร่วมชั้นแค่ในช่วงนั้น ทำคะแนนได้ดีกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายแล้ว ก็จะไม่ได้ฝึกให้ตัวเองคิดนอกกรอบได้เลย แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 54 16:53:21 แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 54 16:46:53 จากคุณ : ป๊อปปูล่า เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 16:46:33

ความคิดเห็นที่ 20 ผมว่าวิธีที่ประหยัด และดีกว่า ก็คือ คุณพ่อ คุณแม่ ไปหาโจทย์ประถม มาให้ลูก ๆ เยอะๆ แบบว่าคราวละ 50 ข้อ ทุก ๆ ครั้งที่ฝึกลูก แล้วกำหนดเวลา ว่าต้องทำให้เสร็จภายใน .... ตีไปว่าข้อละ 5 วินาที ถ้าคราวไหนทำได้ทุกข้อ ทันเวลา และถูกหมด คุณพ่อคุณแม่ก็หารางวัลมาให้ลูกของคุณ แบบนี้ยังจะมีประโยชน์กว่าอีก ไม่ต้องเสียเงินด้วย แล้วจะฝึกให้ลูกของคุณหาทางเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเองคนเดียว โดยมีรางวัลล่อดึงดูดเขาเหล่านั้น แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 54 16:55:31 จากคุณ : ป๊อปปูล่า เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 16:51:33

ความคิดเห็นที่ 21 (เพื่อนฝากโพสครับ) ผมเรียนคุมองมาเมื่อนานมาแล้วครับ โดยส่วนตัวคิดว่าดี แต่ยังไม่ได้เห็นด้วยกับการนำเข้ามาร่วมสอนในชั้นเรียน คุณภาพของการเรียนคุมองขึ้นกับครูประจำศูนย์ครับ วิสัยทัศน์ครูประจำศูนย์มีผลมาก(เหมือนเลือก advisor) ปรัชญาคุมองที่ครูศูนย์ผมให้ไว้คือการเรียนแนวที่ให้เด็กเริ่มคิดด้วยตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง เรื่องเหล่านี้ ครูสามารถจัดการเรียนการสอนแบบนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาคุมองแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่ต้องหาแบบฝึกหัดเอง แบบฝึกหัดสมัยผมเรียนค่อนข้างหนักและเยอะครับ(เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเข้มน้อยลง แต่อาจจะดีก็ได้ ผมไม่เคยทำ ไม่วิจารณ์) ระดับต้นๆจะบวกลบคูณหารซ้ำไปซ้่ำมา ดูเหมือนจะเป็นการฝึกทักษะoperationทางคณิตศาสตร์เท่านั้น ผู้ปกครองหลายบ้านก็จะมาบ่นให้ผมฟังว่า เรียนอะไรเนี่ย ผมเองเรียนแรกๆก็เหวอเหมือนกัน ต้องกลับไปนั่งหารยาว ทั้งที่ตัวเองอยู่มัธยมแล้ว และทักษะคณิตศาสตร์ก็ไม่ได้แย่อยู่แล้ว (ผมไม่ชอบเหมือนกันต่อต้านมากๆ) พอขึ้นมาระดับนึงแบบฝึกหัดจะเน้นพิสูจน์มากกว่าเรียนในโรงเรียน เช่น พิสูจน์สูตรกำลังสองสมบูรณ์ ในหลายมุมมอง พิสูจน์วิธีหาsquare root พิสูจน์ผลบวกidentity ตรีโกณ โดยเริ่มจาก geometry เรียนภาคตัดกรวยโดยเริ่มคนละแนวกับโรงเรียน(คุมองจะเริ่มจาก loci ว่า lociวงกลมเป็นยังไง วงรีเป็นยังไง แล้วจากแนวคิด loci เราสร้างสมการอธิบายได้ยังไง ซึ่งโรงเรียนผม โผล่มาก็ สมการวงกลม สมการวงรีเลย) ถ้าถามผมนะ คุมองให้เริ่มเรียนจาก concept แล้วนำไปสู่สมการ หรืออื่นๆ แต่โรงเรียนผมน่ะ เริ่มเรียนจากสูตร เริ่มเรียนจากนิยามที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ครูศูนย์ผมดีมากครับ ผมเรียน คุมองไม่จบ เรียนถึงแค่ระดับN (ตอนนั้นมีถึงระดับ Q) แต่ครูผมบอกว่า ผมไม่จำเป็นต้องเรียนต่ออีกแล้ว ที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งบ่งบอกว่า ผมหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง สามารถทำความเข้าใจเรื่องที่ไม่เคยรู้เรื่องได้ด้วยตัวเอง(เรียนเกินชั้นเรียนแล้ว) เอาเวลาไปเตรียมตัว ent ดีกว่า ผมคิดว่าถ้าอาจารย์ในโรงเรียนทุ่มเทพอ คุมองก็ไม่จำเป็นครับ เปลืองเงินให้แฟรนไชส์ญี่ปุ่นเปล่าๆ จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 17:01:58

ความคิดเห็นที่ 22 ฟังจาก Firion เล่ามา ผมว่าดีนะ แต่จริง ๆ เรื่องพวกนี้ผมก็ประสบมาเหมือนกัน ตอนมัธยม ก็อย่างนี้แหละ เอาสูตรไปก่อน แล้วตอนเรียนมหาวิทยาลัยค่อยเข้าใจที่ไปที่มา แต่ขอโทษเถอะ ผมไปเปิด text book ก็สอนที่มาเหมือนกันครับ เค้าจะแบ่งเป็น ฺBegin -> Pre -> Immediate -> colleage -> Advance ซึ่ง Text book นี่ดีนะ ถึงว่าทำไมเด็กต่างชาติมันเก่งกันจัง บุคคลากรคนที่แต่งหนังสือนี่ มีแต่คนเก่งแบบนี้เยอะ ๆ เลยป่าวนี่ พูดมาตั้งนาน สรุป อย่างจะเก่งอะไร หรืออยากจะให้ลูกคุณเก่งอะไร สอนให้เค้ารู้จักช่วยเหลือตนเอง ถ้าเค้ารัก เค้าชอบอะไร ก็สนับสนุนเค้า เดี๋ยวเค้าก็จะขวนขวายหาความรู้ด้วยตัวเองแหละครับ แต่เราก็ต้องช่วยเค้าด้วย แบบว่า ป๊ะป้าคับ ขอเงินซื้อหนังสือ 2000 บาท :O อะไรแบบนี้ (เหงื่อตกเลย) แต่แหมถ้าลูกคุณอ่านหนังสือเล่มละ 2000 บาทได้ จนจบและเก็บได้ซัก 70% ของเนื้อหาในหนังสือ ผมว่ามันก็คุ้มกว่าเอาเงินไปเรียนพิเศษ คอร์สนึงแหละนะ ผมว่าแล้วแต่ความคิดใครความคิดมันนะครับ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 54 17:19:10 จากคุณ : ป๊อปปูล่า เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 17:17:40

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณทุกท่านที่มาตอบ ผมเพิ่งพบว่า โรงเรียนที่ว่า ไม่ใช่โรงเรียนเอกชนนะครับ ต้องขอแก้ตรงหัวกระทู้ด้วย เป็นโรงเรียนประเภท ประชาสงเคราะห์ น่ะครับ เด็กๆน่าจะเรียนฟรี ทางคุมองคงมีโครง การสนับสนุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้อะไรแบบนี้น่ะครับ ต้องขอโทษด้วยครับที่เข้าใจผิด จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 18:18:18 A:124.120.213.6 X: TicketID:251808

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าไม่เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม แล้วไม่ใช่การล้างสมอง ผมไม่ขัดข้อง จากคุณ : 666 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 19:38:53 A:183.89.185.116 X: TicketID:295253

ความคิดเห็นที่ 25 ก็ดีนะคะ แต่การบ้านจะเยอะมากเลยรึเปล่า จากคุณ : ชีวิตวันวัน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 21:28:21

ความคิดเห็นที่ 26 เด็กมันจะตีโจทย์เลขไม่เป็นเอา ให้เรียนแต่คุมอง calculate กันเร็วจริง แต่พอเจอโจทย์ สสวท. ก็ทำได้ไม่ถึงครึ่ง จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 00:12:54

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่เคยเรียน แต่เห็นผลหลายคนว่าดีนะ อ่านจากเกมเบรนเอจ บอกว่าการพัฒนาสมองต้านอัลไซเมอร์ ไม่ใช่คิดเรื่องยากมาก นานๆ แต่เป็นคิดเรื่องง่ายมากแป้บเดียว การคิดเลขเร็วคือคิดเรื่องง่ายมากหลายเรื่องอย่างเป็นระบบ ต้องดีอยู่แล้วล่ะ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 03:59:43

ความคิดเห็นที่ 28 ค.ห.26 การตีโจทย์ ดิฉันว่าที่จริงเป็นเรื่องของภาษาซะมากนะคะ  คุมองจึงเน้นย้ำเสมอว่า ให้เด็กอ่านหนังสือมากๆ เมื่อเด็กทำแบบฝึกหัดด้วยการเรียนรู้ไปทีละขั้นด้วยตัวของเขาเอง เด็กจะมีความชำนาญเรื่องการคำนวณและเกิดnumber sense และพร้อมจะต่อยอดหรือประยุกต์ด้วยความเข้าใจของตัวเองได้ค่ะ เด็กที่ตีโจทย์ได้ แต่คำนวณไม่แข็งนั้นน่าเสียดาย และเป็นเรื่องน่าเศร้ากว่านะคะ ในขณะที่เด็กที่มีพื้นฐานการคำนวณที่ดี สามารถพัฒนาด้านโจทย์เองได้ง่ายค่ะ จากคุณ : MJdrawer เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 08:39:47

ความคิดเห็นที่ 29 รร. เอกชนที่ว่าอาจจะแค่ลอกชื่อคุมองมาหากิน และลอกวิธีสอนมาเฉยๆก็เป็นได้นะ จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 10:46:19 A:58.137.175.82 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 30 ...จาก คห 23... ...ถ้าทำแบบที่กล่าวมาผมถือว่าเป็น "การโฆษณาแฝงในสถานศึกษา" ครับ... จากคุณ : gunpen2010 เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 14:05:10

ความคิดเห็นที่ 31 เราก็เรียนคุมองเหมือนกันคะ วิธีการสอนแบบคุมอง คือให้เด็กทำความเข้าใจกับเนื้อหาด้วยตัวเองคะ น้องเราก็เรียน น้องเราเป็นคนสมาธิส้ันตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วด้วยคะ จากคุณ : เขียนบน iPhone (XinJaiJaiz) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 14:29:21

ความคิดเห็นที่ 32 #28 ผมเห็นแย้งน่ะครับ เพราะจากประสบการณ์ที่พบมา ผมว่าเด็กที่เรียนแต่ calculate อย่างเดียว ก็มีแต่ทักษะการคำนวณที่เร็ว แต่พอไปเจอโจทย์ยากๆ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องตีความ ต่อให้ทักษะดีแค่ไหนถ้าตีโจทย์ไม่แตก ก็ผิดอยู่ดี เรื่องของความเร็วการคำนวณมันไม่ค่อยหนีกันหรอกครับ แต่ความต่างมันอยู่ที่ math sense มากกว่าครับ อย่างที่พูดถึงโจทย์ สสวท. ไม่มีหรอกครับที่จะให้มานั่งคำนวณตัวเลข บวกลบคูณหาร เศษส่วนยกกำลัง ดึงเข้าดึงออก พบว่าโจทย์ออกมาเป็น ข้อความที่ต้องตีความ นั่นหมายความว่า ความเร็วที่ฝึกฝนมา มีประโยชน์ค่อนข้างน้อย (ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีน่ะครับ การคิดคำนวณเร็วเป็นสิ่งที่ดี) คุณลองหา โจทย์ สสวท มาทำดูก็ได้ครับ แล้วจะพบว่า คุมองน่ะดี เพราะฝึกให้เด็กคำนวณได้เร็ว แต่แค่นั้นมันไม่พอครับต้องตีความโจทย์ให้แตก ซึ่งนั่นหมายถึง ต้องฝึกทำโจทย์แบบตีความด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะเก่งแค่กลางๆ ค่อนไปทางต่ำน่ะครับ นั่นคือความเห็นส่วนตัวน่ะครับ จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 15:19:30

ความคิดเห็นที่ 33 มีหลานเรียนอยู่ เข้าเรียนตั่งแต่ 7-8 ขวบ นี่ก็เรียนมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ป้าก็มักจะดูหลานทำการบ้านของ Kuฯ เสมอ เห็นการบ้านแล้ว เอ..ทำไมทาง Kuฯ ให้ทำการบ้านซ้ำ ๆ เป็นชุด ๆ อย่างนี้ไม่ Create เลย เคยแนะ แม่เด็กว่า เรียนอย่างอื่นดีกว่ามัย แบบนี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาหรือวิเคราะเหตุผล ว่าทำไมต้องมา บวก หรือ ลบ คูณ หารเลย  เหมือนฝึกให้เด็กใช้สมอง เป็นเครื่องคิดเลข เท่านั้น แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่ยอมเลิกเรียน อยากได้เหรียญ ที่ทาง Ku ฯ มอบให้ ใครมีลูกหลานเรียนอยู่ ลองเปิดการบ้านเด็ก และพิจารณาดู ..เห็นเช่นเดียวกับป้าหรือเปล่า? จากคุณ : ป้าModi (modi) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 18:29:20

ความคิดเห็นที่ 34 ลบ..(ซ้ำ) แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 18:30:38 จากคุณ : ป้าModi (modi) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 18:29:31

ความคิดเห็นที่ 35 อย่างนี้ก็สมควรจะต้องสอน ทั้ง calculate กับสอนทำโจทย์สร้าง math sense ให้มากขึ้น แต่สิ่งที่ผมว่าสำคัญคือ ทำให้เด็กเห็นความสำคัญของคณิตศาสตร์มากกว่า ตอนเด็ก ๆ ผมกับเพื่อนชอบคุยกันว่า จะเรียนไปทำไมวะ โครตงงเลย ดูดิ อย่างแม่ค้าใช้ตอนซื้อของ-ทอนตัง ก็แค่ +- เอง จากคุณ : Steady Aim เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 04:10:01

ความคิดเห็นที่ 36 ตอบ คห 33 การคิดเลขเร็ว เป็น "ทักษะ หรือ skill" ซึ่งจะเกิดขึ้นได้โดยการฝึกเท่านั้น การทำซ้ำบ่อยๆ เป็นการเพิ่มทักษะความชำนาญ ถ้ารู้ แต่ไม่ฝึกทำ ไม่มีวันจะชำนาญได้ คำว่าชำนาญ หมายความว่า ใช้ได้ทันที ใช้ได้เหมือนเป็นอัตโนมัติ ไม่เสียเวลาคิด และประยุกต์ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ การฝึกประยุกต์ ต้องทำหลังจากมีความชำนาญในทักษะพื้นฐานแล้ว จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 09:23:58

ความคิดเห็นที่ 37 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 54 22:00:34 จากคุณ : MJdrawer เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 21:37:47

ความคิดเห็นที่ 38 #32 คุมองไม่ได้เน้น "เร็ว" เพียงอย่างเดียวนะคะ แต่ให้ความสำคัญแก่ ความถูกต้องด้วย(มากกว่าด้วยซ้ำ) .. ที่สำคัญคือ เป็นกระบวนการที่เด็กทำได้ ด้วยการทำความเข้าใจด้วยสมองและวินัยของเขาเอง ถ้าเด็กไม่ทำความเข้าใจด้วยตนเอง จะไม่สามารถก้าวผ่านในแต่ละเลเวลได้นะคะ เด็กไม่ได้ถูก "ยัด" แต่เด็กถูกท้าทายต่างหากค่ะ (ท้าแบบตัวต่อตัวเสียด้วย) เราว่า นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับระบบกวดวิชาทั่วไปค่ะ ... เรื่องโจทย์ปัญหา ไม่ต้องเรียนค่ะ ไปซื้อหนังสือมาทำก็ได้  ที่ต้องทำคือ สร้างกำลังและนิสัยการเรียนรู้ให้เด็ก นั่นคือต้นทุนที่จะติดตัวเด็กตลอดต่างหาก ... ความเห็นส่วนตัวเช่นกันนะคะ :)) แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 54 21:59:36 จากคุณ : MJdrawer เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 21:41:27