ความคิดเห็นที่ 1 มันเหมือนพวกแร่แคลไซต์ หรือไม่ก็พวกควอทซ์ ดูคล้ายๆแต่ยังไม่เคยทดสอบ จากคุณ : DojiDoji เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 20:40:51

ความคิดเห็นที่ 2 สนับสนุนให้มีการทดสอบครับ ศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้เชื่อโดยไม่สงสัย แต่พระองค์สอนให้สงสัยและหาความจริง สิ่งนั้นแหละคือธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปล. หากพระพุทธเจ้าไม่สงสัย และตระหนักได้ว่าแนวทางของท่านอาฬารดาบสกับท่านอุทกดาบส ไม่ใช่ทางดับทุกข์ ก็ไม่มีพุทธศาสนาในวันนี้หรอกครับ จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 21:15:28

ความคิดเห็นที่ 3 ศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้เชื่อโดยไม่สงสัย ถ้าพูดถึงหลักกาลามสูตรแล้ว ต้องศึกษาให้ดีๆครับที่คำสอนนั้น สอนในเรื่องอย่าเพิ่งเชื่อ ในเรื่องที่เ็ป็นไปในทางกุศลครับ ส่วนเรื่องพระธาตุ คุณจะพิสูจน์อะไรครับ ว่าเป็นแร่ธาตุชนิดไหน ใช่ไหม แล้วคนที่มีประสบการณ์การเพิ่มขึ้นและลดลงของจำนวนพระธาตุ โดยแปลผันตามความสัมพันธ์ของการปฏิบัติธรรม จะพิสูจน์อย่างไรครับ รวมถึงหลังจากเผาไฟแล้วกระดูก กลายเป็นพระธาตุ ที่มีการเผยแพร่ทั่วไปของ หลวงตามหาบัวในวงศิษย์พระป่า แต่ไม่แน่ว่า ถ้าการพิสูจน์แบบไม่มีความเคารพ อาจจะหัวแตกก่อนได้พิสูจน์นะครับ แต่ถ้าพิสูจน์โดยการหาข้อเท็จจริง ด้วยจิตใจที่ที่เป็นกลาง เพื่อความรู้ยิ่ง ก็ลองติดต่อไปที่วัดป่าบ้านตาดสิครับ อาจจะออกจดหมายในนามของ คณะวิทยาศาสตร์จุฬาก็ได้ ทำอย่างเป็นกลาง ไม่ได้ทำแบบเด็กแว๊น จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 21:27:08

ความคิดเห็นที่ 4 ผลประโยชน์เยอะครับ พิสูจน์เสี่ยงถ้าไม่ใช่เดี๋ยวคนจะหมดศรัทธารายได้หดหาย อย่างพระคนนึงอวดอุตริเสกน้ำมนต์เป็นพระธาตุเพื่อให้ญาติโยมศรัทธาตน ขัดกับหลักศาสนา จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 21:30:15

ความคิดเห็นที่ 5 http://www.luangta.com/English/site/flash/LuangtaRelics.html The bonefragments of Than Acharn Maha Bua already turn into relics! อัฐิธาตุหลวงตามหาบัว Here is a picture with genital hair forming golden relics: (โลมาหลวงตา) อัฐิบางส่วนของหลวงตามหาบัวที่ยังไม่แปรเป็นพระธาตุ ลองศึกษาดูครับว่า ขั้นตอนการแปลสภาพเป็นพระธาตุ ต้องใช้เวลาพอสมควร ใครสนใจก็ไปศึกษาได้ครับ อย่าไปกลัวถ้า คุณมีจิตเป็นกุศลจริงๆ ไม่มีใครเขามาทำอันตรายคุณหรอกครับ ถ้า คุณ JD300 สนใจก็ทำจดหมายอย่างเป็นทางการไปขอศึกษาได้ครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 54 21:45:37 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 21:44:59

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ ^ สรุปว่าของพวกนี้มันแปรเป็นพระธาตุด้วยกระบวนการอะไรครับ แล้วมันเพิ่มขึ้นได้อย่างไร เรื่องแปรเป็นพระธาตุผมยังไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร มันคงมีกระบวนการทางเคมีบางอย่างของมันแหละ แต่เรื่องเพิ่มจำนวนนี่ มันเพิ่มได้ยังไง แค่แตกตัวโดยมวลรวมเท่าเดิมแต่ปริมาณเพิ่มขึ้น หรือมวลรวมเพิ่มขึ้นเลย หากมวลรวมเพิ่มขึ้นผมมองว่ายังไงก็ไม่น่าเป็นไปได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามันเพิ่มจริงๆ ผมมองว่าเป็นผลดีต่อพุทธศาสนามากกว่ามาบอกลอยๆแบบเล่าต่อๆกันมาอีกนะครับ ปล. ไม่ต้องแนะนำให้ผมไปพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติที่ไหนครับ ผมแค่ต้องการพิสูจน์เรื่องพระธาตุ ไม่ได้ต้องการพิสูจน์ศาสนาพุทธอย่างอื่น เหมือนผมแค่สงสัยว่ารุ้งกินน้ำเกืดขึ้นได้อย่างไร คุณกลับบอกว่าไปสมัครเรียนฟิสิกส์กับโรงเรียนกวดวิชา...สิแล้วจะรู้ มันใช่เรื่องมั้ยล่ะครับ จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 21:58:26

ความคิดเห็นที่ 7 อยากจะขอร้อง   #ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา ให้ใช้คำสุภาพครับ  ..มัน... น่าจะเปลี่ยนเป็นสรรพนามที่สุภาพไม่ยากนะครับ   ลองนึกดูว่า มีคนเคารพศรัทธาหลวงตามหาบัว  มากมาย เปรียบดั่งพ่อแม่ครูอาจารย์ หวังว่าจะเข้าใจนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:22:02

ความคิดเห็นที่ 8 สรรพนาม "มัน" ที่ผมใช้เรียก ผมใช้เรียกเถ้ากระดูกครับ และพระธาตุก็เป็นแค่วัตถุหนึ่ง ที่ไม่ใช่ตัวแทนของพระรัตนตรัย ผมคิดว่าตามหลักภาษใช้สรรพนามว่ามันกับสิ่งของก็น่าจะถูกนะครับ แต่เพื่อความสบายใจ ผมจะเปลี่ยนคำสรรพนามที่ใช้เรียกก็ได้ครับ จะได้ไม่เป็นประเด็นเพิ่มโดยใช่เหตุ เอาเป็นว่าผมขอโทษในส่วนที่เรียกว่า "มัน" ตรงนี้ละกัน แต่ขี้เกียจแก้กระทู้ละ ;) จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:29:14

ความคิดเห็นที่ 9 เรื่องการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของจำนวนพระธาตุ เท่าที่ทราบมา ก็เป็นแต่เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติบูชาเท่านั้นครับ  ลองสอบถามในห้องศาสนานะครับ มีหลายคนที่เจอประสบการณ์แบบนั้น เพื่อเป็นประจักษ์พยานของการมีอยู่ของพระธรรมคำสอน ในพระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่ต้องมาใส่ใจครับ เป็นเพียงเครื่องระลึกถึง คุณงามความดี เพื่อ พุทธานุสติ และสังฆานุสติ ครับ ที่ผ่านมาก็ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหน กล้าออกตัวศึกษาอย่างจริงจัง หรืออาจจะศึกษาแล้วแต่ไม่มีคำอธิบายใดๆ เท่าที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันมีอยู่ครับ แต่ถ้าคุณสนใจจริงๆ ก็ไปค้นคว้าศึกษาได้ครับ แต่ขอให้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์แบบเชี่ยวชาญตัวจริงๆนะครับ หรือมีความรู้เรื่องแร่ธาตุแบบลึกซึ้ง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:29:23

ความคิดเห็นที่ 10 ผมไม่มีความรู้วิทยาศาสตร์แบบเชี่ยวชาญครับ (จบบริหารมา เรียนฟิสิกส์ถัึงแค่ม.ปลาย) เรื่องพระธรรมคำสอนผมว่าอย่าเพิ่งเอามาโยงดีกว่า เพราะต่อให้พระธรรมคำสอนเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องไม่จริงก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องพระธาตุจะต้องจริงหรือเก๊ตามไปด้วย ถูกมั้ยครับ ตรงนี้ผมสงสัยแค่คำอธิบายของเรื่องพระธาตุว่า เกิดได้อย่างไร มีกระบวนการอย่างไร เพราะต่อให้เป็นปาฏิหารย์จริง ยังไงก็ต้องมีกระบวนการในการเปลี่ยนแปลง คงไม่ใช่อยู่ๆเส้นผมสีขาวๆผ่านไป 1 วินาทีมีผลึกมาเกาะเป็นพระธาตุอย่างสวยงามแน่ๆ ต้องมีกระบวนการที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปอยู่แล้ว และเรื่องพระธาตุเพิ่มจำนวนอีก ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามวลจะเพิ่มขึ้่น แต่ถ้่าหากปริมาณเท่าเดิม แต่มวลคงอยู่อันนี้อาจจะเป็นไปได้ ประมาณว่าสารเคมีในตัวพระธาตุนั้นแตกต่างจากเถ้าของคนทั่วไป เมื่อผ่านไปสักพักน้ำก็ระเหยออกมา ทำให้แห่้งและแตกเป็นรูปร่างที่สวยงาม แต่ของคนทั่วไปอาจะมีอย่างอื่นนอกจากน้ำ ทำให้แม้น้ำระเหยออกไปหมด มันก็ยังคงเป็นเถ้าธรรมดาที่รูปร่างไม่ได้สวยงามอะไรอยู่ดี จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:39:37

ความคิดเห็นที่ 11 ปาฏิหาริย์ มันจำเป็นกับการเรียกศรัทธา เมื่อศรัทธาแล้ว ก็ค่อยๆ ป้อน ค่อยๆ สอนสิ่งดีๆ ให้ เพื่อให้สังคมมนุษย์อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ผมว่า จขกท เข้าใจสิ่งที่ผมจะบอก จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:41:40

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ ตามไปต่อที่นี่ค่ะ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11063814/X11063814.html จากคุณ : ไม่สวยแต่เลือกค่ะ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:42:31

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณ คุณ RouteRaider นะคะ เข้าใจค่ะ แต่ส่วนตัวยังไงก็ยังเห็นว่าการเรียกศรัทธา โดยนำเสนอข้อเท็จจริงและ สอนให้คิดแบบมีเหตุมีผล น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า สอนให้งมงายค่ะ จากคุณ : ไม่สวยแต่เลือกค่ะ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 23:03:37

ความคิดเห็นที่ 14 พระธาตุ เพิ่มขึน พอจะเอามาตรวจแบบจริงจัง ก็ ถือว่าลบหลู่ เมื่อไหร่จะได้ความจริง  ส่วนเรื่องปาฏิหารย์ ผมเชื่อว่าคนที่พร้อมที่สุด   ในสภาวะที่เกิดสิงที่ไม่ คาดคิด จะ ได้โอกาสนั่นไป ผมไม่เคยเจอใครที่ไหนซักคนหรือที่ไหน ทีกล้า เอา สิ่งที่เรียกว่าพระธาตุ ไปหา ส่วนผสมทางเคมี จากคุณ : lyonheartz เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 23:10:03

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าเรียกว่าเป็นปรากฏการณื น่าจะถูกกว่า ส่วนเรื่องปาฏิหาริย์ ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าเมื่อร่างกายถูกเผาไฟไปแล้ว ที่เหลือแค่รอดูปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น หากใครสนใจจริงๆ ก็ช่วยแสดงตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญสักเรื่องสิครับ ที่เชื่อได้ว่า คุณมีความสามารถในการพิสูจน์จริงๆ และมีคุณวุฒิมากพอ ที่จะติดต่อ ขอศึกษาการแปรสภาพของกระดูกเป็นพระธาตุ ถ้าเด็กแว้นที่ไหนไม่รู้ ติดต่อไป คงจะไม่ผ่านครับ แต่ถ้า คณบดี คณวิทยาศาสตร์ จุฬา ออกตัวอย่างเป็นทางการ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะศึกษาครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 23:16:32

ความคิดเห็นที่ 16 แต่ส่วนตัวยังไงก็ยังเห็นว่าการเรียกศรัทธา โดยนำเสนอข้อเท็จจริงและ สอนให้คิดแบบมีเหตุมีผล น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า สอนให้งมงายค่ะ ตอบนะครับ ผมคิดว่า ระดับสติปัญญาของคนเรา มันต่างกันมากจริงๆ มีตั้งแต่ชนชันกรรมกร ไปจนถึงชนชั้น CEO ด้วยความแตกต่างของสติปัญญานี้เอง การจะเรียกศรัทธา ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยกฏธรรมชาิติทั่วไป คงไม่มีใครสนใจ หรือการจะมานั่งสอน ด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครบ้างจะเชื่อ ถ้ามีวันพิพากษา ถ้ามีเทพยาดาฟ้าดิน นรก สวรรค์ แบบนี้เริ่มช่วยได้ สังเกตว่า ทุกศาสนา ล้วนมีปาฏิหาริย์ และเรื่องราวที่พิสูจน์ไม่ได้ ก็เพื่อดึงให้มาเชื่อ มาศรัทธาเสียก่อน ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เมื่อทุกศาสนา ล้วนสอนให้คนเป็นคนดีอยู่แล้ว ก็ถือว่าดีต่อสังคมโดยรวม มองในเรื่องการเกิดพระธาตุ จะช่วยทำให้แนวทาง แนวปฏิบัิติ หรือคำสอน ของเกจิอาจารย์ผู้นั้น น่าเชื่อถือมากขึ้น เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เพราะท่านไม่ใช่คนธรรมดา จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:08:02

ความคิดเห็นที่ 17 ตามที่ผมเข้าใจนะครับ สิ่งที่พระอริยะบุคคล แตกต่างจากปุถุชนคนธรรมดาถ้าว่าด้วยวิทยาศาสตร์ที่พอจะอนุมานได้นั้นคือ คลื่นสมอง สามารถมองเห็นได้ถ้ามีsensor ระดับเดียวกัน นั่นหมายถึงว่า คุณจะต้องมีระดับคลื่นสมองอยู่ในย่านนั้นๆ  เหมือนกับตาเราไม่สามารถมองเห็นแสงอินฟาเรดได้แต่sensorทีวีธรรมดามันยังมองเห็นนั่นเพราะมันถูกสร้างมาให้สามารถรับคลื่นความถี่ย่านนั้น สิ่งที่พอเป็นหลักฐานความมีตัวตนของคลื่นสมองที่ว่าก็คือ ฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า(ถ้าเขียนผิดขออภัย)นั่นเอง ซึ่งถ้าหาข้อมูลในพระไตรปิฏกจะพบว่ามีการกล่าวถึงหลายครั้ง คลื่นสมองหรือรังสีที่ว่านี้น่าจะมีผลกับโครงสร้างร่างกาย อวัยวะต่างๆเพราะอยู่ใกล้ชิดแหล่งกำเนิดคลื่นมากที่สุดเหมือนกับที่กัมมันตภาพรังสีมีผลกับร่างกายมนุษย์เพียงแต่ให้ผลทางด้านบวก แต่ผลที่เกิดขึ้นอาจเปลี่ยนให้โครงสร้างของกระดูกหรือเส้นผมเปลี่ยนไป โดยภายใต้สภาวะความดันบรรยากาศและอุณหภูมิปกติอาจมีผลเท่ากับความดันและความร้อนมหาศาลที่กระทำต่อคาร์บอนจนกลายเป็นเพชร เช่นกันกับกระบวนการสลายตัวของธาตุคาร์บอน(น่าจะคาร์บอน14ไม่แน่ใจ)ที่เกิดขึ้นหลังจากสิ่งมีชีวิตนั้นตายลงเท่านั้นซึ่งนักวิทยาศาสตร์ใช้คำนวนหาอายุของสิ่งนั้น อาจเป็นคำอธิบายว่าทำไมกระบวนการเกิดพระธาตุจึงเริ่มขึ้นหลังจากที่พระอริยบุคคลท่านมรณภาพลงแล้ว  ส่วนการเพิ่มจำนวนขึ้นนั้นอาจอธิบายได้ว่าพระธาตุมีแรงดึงดูดต่อกันและกัน และมีแรงดึงดูดต่อผู้มีศรัทธา ดังนั้นเมื่อที่ใดขาดศรัทธาเสียแล้วพระธาตุจะหายไป(เฉย)ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะไปอยู่ ณ จุดที่มีแรงดึงดูดมากกว่า(มักเรียกกันว่าพระธาตุเสด็จ) ส่วนวิธีการเคลื่อนที่นั้นอาจเป็นสิ่งที่เราเรียกกันว่า วาร์ป กระโจนข้ามช่องว่าง อะไรประมาณนั้นก็ได้ (ที่แน่ๆมักจะเกี่ยวข้องกับแสงสว่างเป็นดวงพุ่งออกไปหรือลอยเข้ามาตอนพระธาตุเสด็จ)เพราะเรายังไม่รู้และไม่สามารถวัดแรงดึงดูดที่ว่านั้นได้เพราะอาจเป็นแรงอย่างอื่นที่ความรู้ของวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไปไม่ถึงแต่ไม่ใช่ไม่มี ที่กล่าวมานี้เป็นความเข้าใจส่วนตัว ถ้าดูว่าไม่มีเหตุผลต้องขออภัยด้วยครับ จากคุณ : พุงหมึก เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:15:46

ความคิดเห็นที่ 18 ฝากผู้ทดสอบ.... ที่เวียงป่าเป้า มีร้านขายของเก่าร้านหนึ่ง มีสิ่งที่เขาเรียกว่า "พระธาต" ว่างจำหน่ายอยู่มากมายเป็นสิบๆ กะละมัง วางบนโต๊ะบ้าง ตามพื้นทางเดินบ้าง มีครบทุกองค์ บอกว่าเก็บมาจากถ้ำ น่าจะมีจำหน่ายมากที่สุดในประเทศไทย จากคุณ : มุมม่วง เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:36:18

ความคิดเห็นที่ 19 ปัจจุบันคนที่เข้าหาผู้ที่แสดงปาฏิหาริย์ทั้งหลาย เขาไม่ได้เข้าไปหาด้วยความต้องการ จะศึกษาพระธรรมคำสอนนะครับ เขาเข้าไปขอเลขเด็ดบ้างบนนู่นบนนี่บ้าง ขอเครื่องลางของขลังสิ่งศักย์สิทธิ์บ้าง ตกลงก็กลายเป็นธุรกิจอย่างนึงไปแล้ว จากคุณ : psybuster เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:40:01

ความคิดเห็นที่ 20 เคยเอาพระธาตุ(ไม่แน่ใจว่าเป็นของใคร แม่เก็บใส่ตลับแล้วในที่เก็บทรงเจดีย์) บนหิ้งพระมา เป็นเม็ดเล็กๆกลมๆ ใสๆ สีเหลืองอ่อน แม่บอกว่าเพิ่มจำนวนได้เองด้วย ในใจก็คิด ไม่ใช่ละ กระดูกอะไรเพิ่มจำนวนได้เอง ก็เลยแอบเอามา 2-3เม็ด เอามาเผาไฟด้วยไฟแชคไม่ละลาย คิดว่าคงไม่ใช่พลาสติก ก็เลยเอามาตำ สรุปว่าแตกละเอียดเหมือนทราย ยังไม่ทันจะเอาไปเก็บรอดูการเพิ่มจำนวน แม่จับได้ โดนตีขาลายเลย T^T ปล. ตอนนั้นยังเด็ก เลยไม่ค่อยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ซักเท่าไหร่ จากคุณ : cOokiemOok เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 02:33:13

ความคิดเห็นที่ 21 พระูธาตุเกิดขึ้นได้อย่างไร คำอธิบายจากวิกิ อธิบายเรื่อง Sarira (พระูธาตุ) ไว้หลายแนว ดังนี้ (http://en.wikipedia.org/wiki/%C5%9Aar%C4%ABra ) 1. เป็นก้อนนิ่วที่อยู่ในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ 2. ในบางสภาวะ กระดูกอาจเปลี่ยนเป็นผลึกได้ (จากเปเปอร์ Scanning electron microscope observations of heat-treated human bone. ใช้กระดูกน่องของคนตั้ง 1ขวบ-97 ปี มาลองเผา พบว่าที่ >600องศาc กระดูกเริ่มเปลี่ยนเป็นผลึก และที่ >1000องศาc ผลึกจะเริ่มหลอมรวมกัน) 3. เกิดจากรวมกันของกระดูกและหินแร่ตามธรรมชาติ ระหว่างเผา (น่าจะกรณีเผาเชิงตะกอนแบบโบราณนะ -JD300) 4. เป็นกระดูกที่เ็ป็นทรงกลมและมีขนาดเล็กๆ ของร่างกาย แล้วหลงเหลือจากการเผา 5. ที่พบเยอะในกรณีของพระในศาสนาพุทธ เพราะไม่ค่อยมีคนสนใจไปตามดูของคนธรรมดา และในศาสนาอื่นก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูตรงนี้ จึงอาจจะมีปรากฏทั่วๆ ไปก็ได้  (อันหลังนี้อธิบายเรื่องศพไม่เน่าเปื่อยได้ เพราะศพตามสุสานไร้ญาติหลายที่ก็ไม่เน่าเปื่อย แต่ไม่ค่อยมีใครเอามาทำเป็นข่าว - JD300) แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 54 09:20:51 จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 09:16:21

ความคิดเห็นที่ 22 แถมอีกหน่อย ตามนิยามของการทดสอบ Real Science --> สิ่งใดที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิเป็นเท็จ ตามหลัก falsifiability สิ่งนั้นไม่ใช่ "วิทยาศาสตร์ที่แท้จริง" เนื่องจากเรื่อง พระสารีริกธาตุ สอบตกนิยามข้างต้นตั้งแต่แรก เพราะต้องอาศัยความเชื่อก่อนว่าวัตถุชิ้นที่ซื้อขายบูชากันอยู่นั้นเคยเป็นกระดูกของพระูพุทธเจ้าหรือพระอัครสาวกจริง ไม่มีทางจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเท็จ เพราะจะไปหากระดูกพระพุทธเจ้ามาทดลองเผาใหม่ก็ไม่ได้ จึงไม่มีความเหมาะสมในทางทฤษฎี ที่จะพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ต่อไป จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 09:36:56

ความคิดเห็นที่ 23 #22 แต่ก็พิสูจน์พระธาตุอื่นได้ นี่ครับ ทำไมต้องยก พระสารีริกธาตุ 1ตัวอย่าง มาเป็นตัวแทน ตัวอย่างลบด้วย หัวกระทู้ ก็เป็นวิทย์ อยู่ดีๆ #21 โดยเฉพาะข้อ5 ขอแค่ตัวอย่างจริงแค่ซัก 1เดียว ที่เก็บจริงมา และขัดกับการเกิดพระธาตุในทางพุทธ ก็พอ ครับ ข้อสันนิฐานอื่นๆ ของทั้ง2ฝั่ง จะมีน้ำหนักอะไร จะได้ การสรุป ด้วยหลักฐาน ที่เป็นประโชน์ต่อไป ดีกว่าการมาร่ายปรัชญา ถกตรรกะในทฤษฎีกัน เสริม ถ้าปราฎิหารย์ ในทางพุทธ ทำให้เกิด ก้อนนิ่วที่อยู่ในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ หรือ กระดูกเริ่มเปลี่ยนเป็นผลึก ได้ แล้วสิ่งนั้น จะไม่เรียกว่า ปราฎิหารย์ หรือครับ ผมว่าประเดนจริงๆ มันอยู่ที่ตัวเลขในข้อ5 มากกว่า ถ้าหามาได้ น่าจะจำเป็นมากกว่า อีก10ข้อ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 16:30:55

ความคิดเห็นที่ 24 5. ที่พบเยอะในกรณีของพระในศาสนาพุทธ เพราะไม่ค่อยมีคนสนใจไปตามดูของคนธรรมดา และในศาสนาอื่นก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูตรงนี้ จึงอาจจะมีปรากฏทั่วๆ ไปก็ได้  (อันหลังนี้อธิบายเรื่องศพไม่เน่าเปื่อยได้ เพราะศพตามสุสานไร้ญาติหลายที่ก็ไม่เน่าเปื่อย แต่ไม่ค่อยมีใครเอามาทำเป็นข่าว - JD300) .... คนธรรมดา เก็บอยู่ตามบ้านก็เยอะครับ แต่ไม่มีใครมีสักรายครับ ถ้ามีโอกาสออกทีวี ลองพูดให้คนช่วยกันดูของญาตินะครับ บอกกันไปทั่วประเทศเลยยิ่งดี เกิดโกฏมาดู ส่วนสุสานไร้ญาติ ไม่เน่าไม่เปื่อย เขาขุดขึ้นมาเผาก็กลายเป็นเหมือนๆกันนะครับ ก็ให้ความรู้เพิ่มว่า พระธาตุเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่บรรลุธรรมเท่านั้นครับ หลังจากร่าง เผาไฟแล้ว ก็เป็นกระดูกธรรมดา แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบช้าๆครับ รวมถึงส่วนอื่นๆของร่างกาย เช่นเล็บ ขน หนัง ฟัน ชานหมาก ที่ไม่ได้เผาไฟ ก็กลายสภาพช้าๆเช่นกันครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 17:44:10

ความคิดเห็นที่ 25 คห 23 ถ้าเรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์หรือทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ คงจะไม่พูดประโยคเช่นนี้แน่ๆ ผมว่าคอมเม้นต์ผม เป็นการให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และเปิดโอกาสให้คิดต่อมากที่สุดแล้ว คอมเม้นต์นึงในกระทู้นี้ มาสืบหาความรู้ทางเคมี เพื่อแลกเปลี่ยนกันต่อดีกว่า Q: กระดูกของคนเรา หลังจากเผาไปแล้วมีการเปลี่ยนสีหรือเปลี่ยนลักษณะไปได้หรือไม่ A: ได้ ถ้าในการเผานั้น มีการใส่โลหะอื่นๆ เข้าไปด้วยในโลง จะเป็นความเชื่อที่ใ่ส่ของใช้ของผู้ตายลงไปหรือของที่เผาส่งไปโลกหน้าด้วย ... อันนี้ยังต้องคิดถึงว่า ถ้าเผาบนดินหรือเชิงตะกอน จะมีแร่ธาตุจากดินผสมเข้าไปด้วยอีกในกระบวนการเผา จากเปเปอร์ AN ANALYTIC REVIEW OF BURNT BONES IN MEDICOLEGAL SCIENCES (กูเกิ้ลดูได้ครับ) ถ้ากระดูกหลังจากเผาแล้ว นานเข้าเปลี่ยนเป็นสีชมพู แสดงว่ามีโลหะทองแดงเผาลงไปด้วย / ถ้าสีเขียว แสดงว่ามีธาตุเหล็ก / ถ้าเหลือง แสดงว่ามีโลหะสังกะสี ถ้ามีสีอันเกิดจากโลหะแทรกอยู่ในกระดูกที่ผ่านการเผา สีนั้นก็เปลี่ยนไปได้ตามกระบวนการทางเคมีที่เกิดกับโลหะนั้น เช่น oxidation/reduction ตามสภาพการเก็บรักษา โลหะอาจจะเปลี่ยนสีให้สว่างขึ้นหรือหมองลงก็ได้ รวมทั้งอาจเกิดสนิมเกลือพอกหนาขึ้นได้ด้วย จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 18:59:12

ความคิดเห็นที่ 26 ทำไมพระธาตุของคนดังจึงเป็นเม็ดกลมใส ตอบว่า ด้วยปาฏิหารย์ คิดอยากจะพิสูจน์ ตอบว่า แนะนำว่า อย่าทำเลยครับ  ( ด้วยทางวิทยาศาสตร์นะครับ ) ถ้าไม่เชื่อ  ไม่ศรัทธา แนะนำว่า ทำใจว่างๆ ไม่ยุ่งไม่เกี่ยว หรือ ถ้าจำต้องกราบไหว้ โดยทำใจไม่ได้ ก็แนะนำว่า ให้ระลึกว่า เรากราบพระรัตนตรัยครับ ผมตอบ เช่นนี้ เพราะเห็นคนที่พิสูจน์ คนนึง ประสบกับสิ่งที่ไม่ดี แต่ก็ไม่มากนักนะครับ แต่ทำให้เขาเปลี่ยนชีวิตนิดหน่อย เป็นหมอ อย่างที่ตั้งใจไม่ได้ แค่นั้นเอง จากนั้นเขาไปขอขมา และก็ไม่มีอะไร แต่อวัยวะทีเขาเสียไป นั้นเสียถาวร คือ ตาเสียไปข้างนึงครับ ทำให้เป็นหมอผ่าตัดไม่ได้ เป็นประสบการณ์ จริง ซึ่งก็มีเท่านี้ เลย นำมาเสนอท่านเจ้าของกระทู้ หวังให้เกิดประโยชน์ แก่ท่านเจ้าของกระทู้นะครับ เป็นประสบการณ์เดียว จึงเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ไม่ว่ากันครับ จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 22:29:36

ความคิดเห็นที่ 27 ผ้าห่อศพตูริน ที่โด่งดัง ก็เอามาตรวจสอบจนละเอียดยิบๆๆๆๆๆๆไปถึงขนาดใช้กล้องไมโครส่องกันเลยทีเดียว ตรวจสอบองค์ประกอบ ตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอน ฯลฯ ฝรั่งเค้าไม่เชื่อ สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยแค่ ลมปาก มนุษย์ ครับ.......... ถ้าพระธาตุไปอยู่เมืองฝรั่ง คงจะโดนตรวจสอบไปเกลี้ยงแล้วครับ จะเป็นพวก hoax หรือเปล่าก็ว่ากันไป จับพระธาตุมาแย่งองค์ประกอบ แยกสเปคตรัม ตรวจสอบอายุ ฯลฯ สงสัยว่า จะมีคนหน้าแหกเยอะ..... จากคุณ : ฟหกด2 เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 11:33:08 A:180.183.227.152 X: TicketID:323088

ความคิดเห็นที่ 28 #25 ตราบที่ท่านไม่ยกสถิติมา ผมก็ยังไม่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ขอสถิติแบบที่ #24 บอกซิครับ ท่านนิยามวิทยาศาสตร์ ยังไง แบบไม่ต้องมีสถิติหรือครับ ท่านต้องเข้าใจว่า ฝั่งเสนอ มีสถิติ ว่ามีพระธาติ จากอรหันต์ ถ้าท่านหาพระธาตุ จากคนธรรมดามาได้ดีพอ ผมก็จะสรุปทันทีว่า พระธาตุ เป็นเรื่องธรรมดา ของคนทั่วไป โดยไม่โต้แย้งใดๆ ผมเรียนวิศวะไฟฟ้า กับคอมมา (ฟิสิกส์ 2A แคล B2A) แตกฉานทางคณิต วิทย์ ศาสนา อยู่พอสมควร แต่ไม่ได้ยึดติด หรือได้เรียนตามหลักสูตร ผมไม่ได้สนใจว่าความเห็นผมจะถูกยอมรับ ด้วยวิทย์ตามนิยามของท่านหรือป่าว การพิจจรณา ความสัจจริงของผมเอง ย่อมมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ผมก็พิจจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า มีความสัจจริงแค่ไหน วิทย์เอง ก็มีสมมติฐานบางข้อ ขึ้นมาลอยๆอยู่ จริงๆก็ยึดตามสถิติ ผมเชื่อสถิติ มากกว่า เหตุผล คำอธิบาย ในดาต้าไมนิ่ง(ที่ผมเรียนมา2คาบ) ไม่มีคำว่าเหตุผล มีแต่สถิติ ด้วยซ้ำไป จริงๆ อาจจะมีเหตุผลหลัก ซ่อนอยู่ แต่ผมก็ยึดสถิติอยู่ดี ใน#21 มีข้อความที่ดีครับ แต่ท่านต้องรับผิดชอบ ข้อความใน #22 ด้วย ผมเขียนตัวอย่างไว้ใน http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11063814/X11063814.html#75 สรุป 2เรื่องล่าสุดที่ผมติดใจท่าน คือ ท่านไม่ลงสถิติไว้ ขณะที่ฝ่ายเสนอ เค้ามีสถิติอยู่ ถ้านี่ลงชื่อเป็นสมภพเขียน ผมจะไม่มาค้านหนักอย่างนี้ เพราะน้ำหนักของท่านผู้เขียน หนักกว่าอีกฝั่งมาก ขณะที่เนื้อหา ไม่มีสถิติประกอบ และยังมีข้อตำหนิบางอย่างที่สำคัญ ผมเป็นคนนึงที่สนใจ น้ำหนักเนื้อหาเป็นหลัก น้ำหนักผู้เขียนเป็นรอง แล้วมาพิจจารณาเนื้อหาเอาเอง แต่คนทั่วๆไป อาจจะไม่ใช่อย่างนั้น จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 11:55:14

ความคิดเห็นที่ 29 "ขณะที่ฝ่ายเสนอ เค้ามีสถิติอยู่" เอาตัวเลขมาซิ จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 14:48:49

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 28 แค่เจอคำว่า "แรงโน้มถ่วงแอปเปิ้ลของนิวตัน สอบตกนิยามข้างต้นตั้งแต่แรก เพราะต้องอาศัยความเชื่อก่อนว่าวัตถุชิ้นนั้นๆ เคยเป็นแอปเปิ้ลของนิวตัน" ที่ท่านพูดมาในกระทู้นั้น ผมก็ให้ตกแล้วครับ การทดลองไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องแอปเปิ้ลของใครเลย ไม่กล่าวถึงด้วยซ้ำว่าเป็นของชาวสวน ร้านขายผลไม้ หรือของนิวตัน และที่สำคัญแก่นของเรื่องแรงโน้มถ่วงก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าของแอปเปิ้ลแม้แต่นิด อย่าอวดอ้างเลยดีกว่าว่าวิศวะคอมฯ ได้ A คุณจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้นในบอร์ด จะบอกว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์มือหนึ่งขององค์กรยักษ์ใหญ่ระดับโลก ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณพูดจริงหรือโกหก แต่สิ่งเดียวที่โกหกไม่ได้ในบอร์ดคือ หลักการคิด และตรรกะ ที่แสดงผ่านตัวหนังสือต่างหาก ที่ทำให้รู้ว่า ไอ้นี่มันเป็นเด็กอมมือ หรือ เก่งจริง แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 54 19:11:44 จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 19:09:32

ความคิดเห็นที่ 31 คุณหมอจักรแก้วเตือนด้วยความหวังดีครับ ส่วนใครจะเชื่อ หรือถึงกลับลบหลู่ดูหมิ่น ก็ถือว่าคุณต้องรับกรรมส่วนนั้นไป  ประสบการณ์ชีวิตคนเราแตกต่างกันครับ เหมือนกับถ้าบอกว่า ในมุมของนักวิทยาศาสตร์ที่เอาหนูมาทดลอง และสุดท้ายต้องตายจากผลการทดลอง ก็เชื่อว่านักวิทยาศาสตร์หลายคน ก้ถือเป็เรื่องธรรมดา แต่ในมุมของนักปฏิบัติ เขาพิสูจน์เรื่องพวกนี้จนชัดเจนแล้วและเขาก็จะหลีกเลี่ยงไม่สร้างกรรม เพราะฉะนั้นที่บอกว่าฝรั่งจะจับมาทดลอง จริงๆแล้วเรื่องพระธาตุไม่ได้มีแต่ประเทศไทยหรอกครับ มีทุกประเทศที่มีพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองครับ ........จับพระธาตุมาแย่งองค์ประกอบ แยกสเปคตรัม ตรวจสอบอายุ ฯลฯ สงสัยว่า จะมีคนหน้าแหกเยอะ..... อยากให้คุณTicketID:323088  แสดงตัวจริงๆครับ ประกาศออกสื่อเลยครับ และต้องการศึกษาพระธาตุแบบจริงจัง  คิดว่าคงจะมีผู้สนใจให้คำแนะนำคุณได้ในชีวิตจริงๆครับ #25 เรื่องของสีที่เปลี่ยนไป อันนี้เชื่อว่าใครหลายคน น่าจะพอมีความรู้อยู่บ้างครับ มีญาติหรือคนรู้จัก ก้เปลี่ยนเป็นสีชมพูเยอะครับ เพราะมันจะใส่เครื่องประดับลงไปในโลงด้วย ประเด็นนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องพระธาตุที่เราคุยกันนะครับ แต่ประเด็นเรื่องของการหลอมละลายตามที่หลายคนสันนิษฐาน ก็น่าจะกลายเป็นเม็ดใสหลังจากเผาเสร็จททันทีครับ ตรงนี้ต่างหากครับที่ควรศึกษาว่า จากผงหรือเศษเล็กๆ เปลี่ยนรูปร่างและจับตัวเป็นผลึกได้อย่างไร ส่วนกระดูกชิ้นใหญ่ๆยังไม่เปลี่ยนรูปร่างครับแต่จะเป็นผลึกที่กลมมนมากขึ้น ยึดติดกันแน่นขึ้น ตรงนี้คนที่จะโต้แย้งน่าจะเข้าใจโครงสร้างการยึดจับโมเลกุลของธาตุ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 22:14:15