ความคิดเห็นที่ 1 มีคนเอามาใส่เพิ่ม จากคุณ : xbrilliant (redzaaboom) เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:27:43

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าสมมติว่าเพิ่มจรง ผมก็สมมติว่าแบ่งตัวหรืออาจมียุนิคอรนสีชมพูมาใส่เพิ่ม พิสูจน์ว่าเพิ่มได้จริงค่อยคุยกันดีกว่า จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:32:02

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่มีใครกล้าไปพิสูจน์หรอกครับ ได้กลายเป็นมารศาสนาแน่ ใครนะ ที่เถียงกับศาสนจักรว่าโลกกลม ยังเกือบเอาตัวไม่รอด คนที่เข้าใจ จะรู้ และเห็นได้เอง ว่าอะไรเป็นอะไร จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:35:33

ความคิดเห็นที่ 4 ^ ^ ^ ศาสนาพุทธที่แท้จริงไม่มีห้ามไม่ให้พิสูจน์หรอกครับ คนที่ห้ามไม่ให้พิสูจน์โดยกล่าวหาว่าคนอื่นเป็นมารศาสนาต่างหาก ที่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าผิดไป และทำให้ธรรมะมัวหมอง จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:42:01

ความคิดเห็นที่ 5 แบ่งตัวโดยใช้สัตว์ที่ไม่ค่อยใช้สติ เป็นพาหะครับ จากคุณ : KeyboardWarrior เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:42:32

ความคิดเห็นที่ 6 อยากให้มีการพิสูจน์โดยหน่วยงานทางราชการค่ะ เพื่อให้เป็นที่กระจ่าง อาจจะทำการพิสูจน์โดยคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยใหนสักแห่งก็ได้ เป็นประโยชน์แก่ทั้งผู้ที่ศรัทธาอยู่แล้ว และผู้ที่ยังไม่เกิดศรัทธา สงสัยค่ะว่าต่างประเทศ ที่มีวิถีพุทธแบบเรา เช่น อินเดีย เนปาล เค้ามีพระธาตุกันหรือเปล่า จากคุณ : ไม่สวยแต่เลือกค่ะ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:48:56

ความคิดเห็นที่ 7 สงสัยค่ะว่าต่างประเทศ ที่มีวิถีพุทธแบบเรา เช่น อินเดีย เนปาล เค้ามีพระธาตุกันหรือเปล่า ....เรื่องของพระธาตุ ของพระอรหันต์ และ พระบรมสารีริกธาตุ มีทุกประเทศที่มีชาวพุทธครับ มีมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลแล้ว ตามเจดีย์ใหญ่ๆ ล้วนมีพระบรมสารีริกธาตุ ครับ สำหรับคนวงนอกที่ไม่ใช่พุทธศาสนิก ศึกษาไปแล้วก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร เอาไปประยุกต์อะไรไม่ได้ครับ แต่ในมุมมองของนักปฏิบัติ ก้แค่แสดงว่า การปฏิบัติธรรม จนกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ จะมีผลต่อระบบสารเคมีในร่างกาย และฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อสารที่แฝงอยู่ตามเลือดและกระดูกต่างๆ เมื่อเผาไฟแล้ว จะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่จะค่อยๆแปรสภาพไป  และในที่สุดแล้วก็จะจับตัวเป็นผลึกใสๆบ้าง ขุ่นบ้าง ขึ้นกับการปฏิบัติในขณะที่ยังมีชัวิตอยู่ครับ อัฐิของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ก็ดูผิวเผินเป็นเพียงก้อนดิน แต่มีรูปลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกัน ต้องถามคนที่จะพิสูจน์ก่อนว่าจะพิสูจน์อย่างไร การส่องกล้องจุทรรศน์ ก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้นครับ หรือเครื่องมือพิเศษครับ ไม่ใช่เด็กแว๊นอยากจะพิสูจน์ก็สันนิษฐานไปเรื่อยๆ อย่างเช่นเพชร หรืออัญมณีประเภทต่างๆ ก็ลองติดต่อไปที่ "ชมรมรักษ์พระธาตุ" ถนนสุรวงศ์ มีผู้เชี่ยวชาญอัญมณีหลายท่านครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 54 23:08:35 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 23:03:11

ความคิดเห็นที่ 8 อยากให้พิสูจน์ อยากรู้ ๆ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 23:17:11

ความคิดเห็นที่ 9 วิธีพิสูจน์ที่ดีที่สุดคือ ให้ จขกท ไปปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพาน กระดูกกลายสภาพเป็นพระธาตุเสียเอง ก็สิ้นข้อสงสัยทั้งหมดเองครับ จากคุณ : wii เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 23:38:45 A:58.8.202.2 X: TicketID:263515

ความคิดเห็นที่ 10 ขอจินตนาการด้วยวิทย์นะครับ ตามเจตรมณ์ของ จขกท พระธาตุที่มีอยู่ก่อน อาจทำปฎิกริยากับแร่ธาตุต่างๆที่มีอยู่ในอากาศ รวมถึงแร่ธาตุจากในน้ำมนต์ จนก่อตัวใหญ่ขึ้น จนในที่สุดก็กระเทาะแตกออกเป็นชิ้นเล็กหลายชิ้น ทำให้ดูเหมือนเพิ่มจำนวนได้เอง (ผู้มีพระธาตุนิยมนำน้ำมนต์ที่มีแป้ง, ของหอม ไปพรมใส่พระธาตุ) ทั้งนี้ความเชื่อส่วนตัว ผมเชื่อว่าเกิดจากบุญ + พลังศรัทธาครับ จากคุณ : นกแคปหมู เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 23:42:48

ความคิดเห็นที่ 11 #9 ถูกใจแต่ให้ gift ไม่ได้ ก็ไม่แน่ใจว่า พวกที่อยากพิสูจน์ พิสูจน์แล้วเกิดประโยชน์อะไรบ้าง แต่ไม่ยอมมาปฏิบัติ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 23:43:21

ความคิดเห็นที่ 12 ^ ^ ^ คุณเอาแต่บอกให้ปฏิบัติมาตั้งแต่กระทู้ที่แล้วละ เอาเป็นว่าผมเล่าให้ฟังก็ได้ว่าผมปฏิบัติอะไรบ้าง โดยส่วนตัวผมนั่งสมาธิเกือบทุกวันมาหลายเดือนละวันละไม่มากเพราะผมนั่งแล้วชอบง่วง  และเข้าวัดตั้งแต่เด็ก เรื่องธรรมะถึงจะไม่ได้เชี่ยวชาญแต่ก็รู้มากกว่าคนทั่วไปที่เอาแต่กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยไม่รู้ที่มาที่ไปแน่ๆ หลักในการวิปัสสนาก็รู้ ที่วัดก็มีการสอนถึงแม้จะไม่ใช่สำนักคุณก็ตาม ผลการปฏิบัติคือ ไม่พบปาฏิหารย์ใดๆทั้งสิ้น คุณจะให้ผมสรุปว่าอย่างไร บางคนอาจสรุปว่าไม่มีจริง บางคนอาจเชื่อมั่นอยู่ยังคงบอกกับคนอื่นว่ามี แต่ผมพยายามมองให้เป็นกลางก็คือ อาจจะไม่มี หรืออาจจะยังไม่เจอก็ได้ ส่วนเรื่องไปปฏิบัติที่วัดป่าอะไรนั่น แน่นอนว่าผมก็อยากจะลองเหมือนกัน แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ไม่เหมือนกัน จะให้ทิ้งหน้าที่ตรงจุดนี้ไปวิปัสสนาที่ไม่รู้ใช้เวลากี่เดือน มันก็ยังไม่ถึงเวลา อธิบายมาขนาดนี้ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจได้แล้วนะ คนเราไม่ได้เสกเงินได้เองนะครับ ต้องทำงาน ต้องหาเงิน เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ใช่เอะอะก็บอกไปปฏิบัติสิๆ นู่นเลยวัดป่า... ไม่ต้องติดต่อโลกภายนอกเป็นเดือนๆ ออกจากป่ากลับมาบ้านพอดีงานหาย เงินหมด แฟนทิ้งกันพอดี ปล. อุตส่าห์บอกให้คุยแค่เรื่องกระบวนการเกิดแบบเป็นวิทยาศสาตร์ เป็นเหตุเป็นผล แล้วยังโยงมาเรื่องนี้กันไม่จบไม่สิ้นเสียที จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:15:08

ความคิดเห็นที่ 13 ที่บ้านก็มีนะแ่ไม่ได้สนใจ พ่อเอามาให้ดูอยู่ แอบได้ยินว่ามันเพิ่มๆลดๆอะไรของเค้านี่หล่ะ ผมสัญณิษฐานว่า เพิ่ม จริงๆแล้ว มันแตกตัวหรือเปล่า แบบว่าเปราะ เพราะอากาศทำปฎิกริยา ส่วนลดผมสัญณิษฐานว่ามีมือดี มาแอบหยิบออกไป ..... แต่บ้านผมไม่มีใครขึ้นมาได้หรอกหิ้งมันอยู่หน้าห้องนอนที่มองทะลุออกไปก็เห็นคน ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมแค่แอบได้ยิน อาจจะไม่มีการลดเกิดขึ้นเลยก็ได้ แต่การเพิ่มน่าจะมีซึ่งผมคิดว่ามันเปราะ จากคุณ : GG เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:22:00 A:58.8.136.160 X: TicketID:312375

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดเห็นที่ 9 วิธีพิสูจน์ที่ดีที่สุดคือ ให้ จขกท ไปปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพาน กระดูกกลายสภาพเป็นพระธาตุเสียเอง ก็สิ้นข้อสงสัยทั้งหมดเองครับ ----------------------------------- วิธีนี้กว่าจะได้ร้ก็ไม่มีแรงมาบอกใครแล้วหล่ะครับ แก่ตายก่อน -.- ไม่สมเหตุสมผลเลยครับ กุศสโลบายชักชวนมันก็ดีอยู่ แต่บางคนอาจอยากรู้แก่นก่อนที่จะได้เข้าไปสัมผัสเพื่อไม่ให้หลงทาง ถ้าไม่รู้จุดหมายปลายทาง จะให้เร่งออกเดินทางแล้วจะถึงที่เหรอไง มีแต่ยิ่งหลงทาง จากคุณ : GG เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:25:15 A:58.8.136.160 X: TicketID:312375

ความคิดเห็นที่ 15 จริงๆก็ไม่น่าจะพิสูจน์ยากอะไร ในเมื่อคุณมีสมมติฐานแล้วว่า 1 หากมีจิจศรัทธา พระธาตุจะเสด็จมาเพิ่ใ 2 หากไม่ศรัทธาพระธาตุจะหายไป แคาเอากล้องวงจรปิดมาจับตาดูไว้ก็จบละ มันจะยุ่งยากอะไรนักหนา มัวแต่อ้อมค้อม ให้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติบ้าง พิสูจน์ไปก็ไม่ได้อะไรบ้าง หากไม่มีพวกมาตัดค้าย ป่านนี้ก็รู้ความจริงไปละ จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:25:33

ความคิดเห็นที่ 16 หัวกระทู้บอกว่าขอแบบวิทยาศาสตร์ แต่พอตอนท้ายบอกว่าไม่ค่อยวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ เหมือนเนื้อหามันขัดกันเองในตัว โดยไม่ต้องพูดเรื่องจริงไม่จริง แต่จริงแล้วเพิ่มได้อย่างไรทางวิทยาศาสตร์ ถ้าจะให้ใกล้เคียงที่สุดก็ วิชาเล่นแร่แปรธาตุหล่ะมั๊ง ผมเอามาจากการ์ตูนที่อ่านนะ ไม่เคยศึกษาหรอก Full Metal Alchemist จากคุณ : psybuster เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:46:23

ความคิดเห็นที่ 17 #15 ก็ยังยืนคำเดิมว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนพระธาตุ มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติบูชาครับ ปฏิบัติที่บ้านในชีวิตประจำวันครับ ลองออกหาข้อมูลสัมภาษณ์ได้ครับ คนที่มีประสบการณ์เพื่อมุ่งเน้นการหลุดพ้นทางโลกจริงๆ ก็มีประสบการณ์ทุกรายครับ ระยะเวลาอาจจะหลายปีหลายเดือนครับ คุณมีงบประมาณมากพอจะตั้งกล้องเหรอเปล่าครับ ไม่ได้เกี่ยวกับศรัทธา แต่เกี่ยวกับการปฏิบัติบูชาครับ และผู้ที่มาเกี่ยวข้องกับพระธาตุส่วนใหญ่คุณลองดูสิครับ กิเลสเบาบาง คุณคิดว่าคนที่กิเลสหนาๆ จะศึกษาพระธาตุได้เหรอครับ (ก็อยากเห็นเหมือนกันนะ จะได้ผลอย่างไรบ้าง) ส่วนที่ท้าให้ไปติดต่อวัดป่าบ้านตาด ก็เพราะตอนนี้อัฐิหลวงตาอยู่ในช่วงแปรสภาพเป็นพระธาตุ คุณก็แนะนำตัวไปสิครับ ขอคำแนะนำจากผู้รู้หลายคน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:48:36

ความคิดเห็นที่ 18 จริงๆแล้วจะว่าไป องค์ความรู้ที่เรียนที่สอนกันอยู่ตามมหาวิทยาลัยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็ยังขาดเรื่องของการปฏิบัติธรรมในเรื่อง ผลของสมาธิในขั้นต่างๆ หรือแม้แต่เรื่องของ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใน สังคมนักปฏิบัติ ที่ยังต้องรอคำอธิบายมากมาย เพราะองค์ความรู้เหล่านี้ ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยไหนๆ คุณจะรู้ลึกซึ้งจริงๆ ก็ต้องมาคลุกคลี มาศึกษาด้วยตนเองทุกขั้นตอน แม้แต่ปริยัติ การศึกษาอ่านจากตำรา ก็ยังไม่ได้ทำให้คุณประจักษ์แจ้งใดๆ ถ้าก้าวข้ามโลกียธรรม แล้วมายืนข้าง โลกุตตระธรรม  จะไม่มีคำว่ามหัศจรรย์อะไรเลย เปรียบเหมือนคุณเรียนเรื่อง การรับสัญญาณภาพเสียง ที่มีความถี่คลื่นที่ต่างกัน สุนัขจะได้ยินเสียงที่ความถี่กว้างกว่ามนุษย์ ก็ไม่ได้มหัศจรรย์เลย เพียงแต่ปัจจุบัน วิทยาการปัจจุบันยังไม่ก้าวหน้ามากพอ หรือมีเครืองมือใดๆมาทดสอบ และอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ เหตุที่พุทธศาสนาไม่อธิบายเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงผลพลอยได้ มิใช่เป้าหมายแท้จริงนั่นเองครับ คือรู้ลึกรู้มากเรื่องวัตถุ รู้แค่ว่ามันเป็นเพียงธาตุมาประชุมกันเท่านั้น ก็เพียงพอต่อการปฏิบัติธรรมแล้ว  กิเลสกลับฟูฟ่อง มันสวนทางกับเป้าหมาย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 00:59:30

ความคิดเห็นที่ 19 มีหลวงพี่รูปหนึ่งบวชมาหลายสิบปีแล้วเล่าว่า ที่อินเดียมีการขุดบริเวณเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของพระสารีบุตร ท่านบอกว่าที่ขุดพบก็เป็นกระดูกมนุษย์ธรรมดานี่เอง จากคุณ : ถั่งโถมโหมแรงใจ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 01:14:54

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าเอาแบบวิทยาศาสตร์ก็ เนื่องจากพระธาตุมี organ พิเศษ ที่สามารถดักจับน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศได้ จากนั้นจึงนำสารทั้งสองมาทำปฏิกิริยาทางเคมีกัน เกิดเป็นหมู่ไฮโดรคาร์บอน ที่เป็นสารอินทรีย์ขยายตัวออกไปและสามารถฟังก์ชันงานได้ตามที่บอก จากคุณ : BLiNDiNG เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 01:23:46

ความคิดเห็นที่ 21 ไหนๆก็สงสัยแล้วก็ศึกษาแบบจริงๆจังๆเลยครับ อย่าเชื่อเพียงเพราะเค้าบอกต่อๆกันมา จากคุณ : BLiNDiNG เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 01:25:57

ความคิดเห็นที่ 22 เพลงไม่ค่อยชัดเลย ผมขอลงเนื้อไว้ให้ละกัน ตื่นเถิดชาวไทย อย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง  ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย  ถ้ามัวหลับมัวหลง เราก็คงมลาย  เราต้องเร่งขวนขวาย ตื่นเถิดชาวไทย  บ้านเมือง ยามเฟื่องฟุ้งรุ่งเรือง ก็อย่าลืมขวนขวาย  เผลอตัวศึกมา เราจะพากันตาย  จำไว้เถอะสหาย ตื่นเถิดชาวไทย  (สร้อย)  ชาติไทย เราไม่น้อมยอมใคร จะสู้จนชีพสลาย  หวังผดุงแหลมทอง เราพี่น้องหญิงชาย  อย่าให้ชาติสูญหาย ตื่นเถิดชาวไทย  (ซ้ำทั้งเพลงอีกครั้ง) จากคุณ : BLiNDiNG เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 01:31:01

ความคิดเห็นที่ 23 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 54 02:52:39 จากคุณ : กวางดาวรักสันโดษ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 02:51:44

ความคิดเห็นที่ 24 พิสูจน์พระธาตุ จากคุณ : กวางดาวรักสันโดษ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 02:55:09

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่วิทยาศาสตร์... คนแถวบ้านผมมีหินก้อนเท่าลูกอมเม็ดใหญ่ๆ ก้อนหนึ่ง เขาศรัทธามากตามความเชื่อของเขา เวลาผ่านไปปีกว่า ผมเดินผ่านหน้าบ้านเขา...เขาตะโกนเรียกผม...แล้วเอามาให้ผมดูใหม่ แล้วบอกกับผมว่า " มันขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม...ดูสิ !! " ผมเออ ออตามคำพูดเขา....." ใหญ่ขึ้นจริงๆ ด้วย !!! "  เขายิ้มด้วยความอารมณ์ดี (จริงๆผมก็ว่ามันเท่าเดิม พอจบบทสนทนา  ก็ตั้งวงกินเหล้าสนุกสนาน...เฮฮา...  (จะเครียดกันไปทำไมเนี้ย....) จากคุณ : ton_na_999 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 05:51:16

ความคิดเห็นที่ 26 พระูธาตุเกิดขึ้นได้อย่างไร คำอธิบายจากวิกิ อธิบายเรื่อง Sarira (พระูธาตุ) ไว้หลายแนว ดังนี้ (http://en.wikipedia.org/wiki/%C5%9Aar%C4%ABra ) 1. เป็นก้อนนิ่วที่อยู่ในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ 2. ในบางสภาวะ กระดูกอาจเปลี่ยนเป็นผลึกได้ (จากเปเปอร์ Scanning electron microscope observations of heat-treated human bone. ใช้กระดูกน่องของคนตั้ง 1ขวบ-97 ปี มาลองเผา พบว่าที่ >600องศาc กระดูกเริ่มเปลี่ยนเป็นผลึก และที่ >1000องศาc ผลึกจะเริ่มหลอมรวมกัน) 3. เกิดจากรวมกันของกระดูกและหินแร่ตามธรรมชาติ ระหว่างเผา (น่าจะกรณีเผาเชิงตะกอนแบบโบราณนะ -JD300) 4. เป็นกระดูกที่เ็ป็นทรงกลมและมีขนาดเล็กๆ ของร่างกาย แล้วหลงเหลือจากการเผา 5. ที่พบเยอะในกรณีของพระในศาสนาพุทธ เพราะไม่ค่อยมีคนสนใจไปตามดูของคนธรรมดา และในศาสนาอื่นก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูตรงนี้ จึงอาจจะมีปรากฏทั่วๆ ไปก็ได้  (อันหลังนี้อธิบายเรื่องศพไม่เน่าเปื่อยได้ เพราะศพตามสุสานไร้ญาติหลายที่ก็ไม่เน่าเปื่อย แต่ไม่ค่อยมีใครเอามาทำเป็นข่าว - JD300) แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 54 09:20:42 จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 09:16:14

ความคิดเห็นที่ 27 แถมอีกหน่อย ตามนิยามของการทดสอบ Real Science --> สิ่งใดที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิเป็นเท็จ ตามหลัก falsifiability สิ่งนั้นไม่ใช่ "วิทยาศาสตร์ที่แท้จริง" เนื่องจากเรื่อง พระสารีริกธาตุ สอบตกนิยามข้างต้นตั้งแต่แรก เพราะต้องอาศัยความเชื่อก่อนว่าวัตถุชิ้นที่ซื้อขายบูชากันอยู่นั้นเคยเป็นกระดูกของพระูพุทธเจ้าหรือพระอัครสาวกจริง ไม่มีทางจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเท็จ เพราะจะไปหากระดูกพระพุทธเจ้ามาทดลองเผาใหม่ก็ไม่ได้ จึงไม่มีความเหมาะสมในทางทฤษฎี ที่จะพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ต่อไป จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 09:37:22

ความคิดเห็นที่ 28 ตอนนี้แนะนำให้นั่งเฝ้าอัฐิหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพราะอยู่ร่วมกันสมัยพอดี แต่ละคนที่พิสูจน์ด้วยตนเองก็จะพบด้วยตนเอง แต่พูดไปเขาก็ไม่เชื่อ (ทีนี้ถ้าจะเก็บข้อมูลเพื่อนำเสนอให้คนอื่นได้ มันก็จะติดปัญหาว่า คุณเฝ้า 24 ชั่วโมงไหม มีใครเข้าออกบริเวณนั้นได้อีก จิปาถะปัญหา) เราเองก็ไม่เคยเชื่อเรื่องพระธาตุ กระทั่งว่าซิลาเจลบ้าง อะไรบ้าง วันงานถวายเพลิงหลวงตามหาบัว เราอยู่รอบจิตกาธานตั้งแต่ค่ำ ๆ วันที่ 5 ถึงเช้าวันที่ 6 มีนาคม พระบอกให้เก็บอะไร ๆ แถวนั้น เราก็กราบท่านว่า ทองคำเปลวหรือเปล่า แวววาวของควอทซ์ในเม็ดทรายของลานซีเมนต์หรือเปล่า จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 09:45:13

ความคิดเห็นที่ 29 เราโชคดีได้รับแจกอัฐิบ้าง อังคารบ้าง เกศาบ้าง ข้าวก้นบาตรบ้าง ชานหมากบ้าง ของพระต่าง ๆ ศิษย์หลวงปู่มั่นรวมของหลวงตามหาบัวด้วย แต่ไม่เคยจะสนใจว่าจะเป็นพระธาตุไหม เราเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงท่านเหล่านั้นเฉย ๆ  แต่ว่าถึงจะไม่รู้ว่าเพิ่มหรือไม่เพิ่มจำนวน แต่ก็มีอะไรแปลก ๆ ตามแบบที่เขาเชื่อ เช่น จากอัฐิที่ลอยน้ำไม่ได้ ก็ลอยได้ (สรงน้ำสงกรานต์อัฐิ) มีวัตถุเล็ก ๆ แวววาว ๆ สะท้อนแสงมาเกาะ มีสีเกิดขึ้น จิปาถะ แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือดึงดูดความสนใจ จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 09:58:10

ความคิดเห็นที่ 30 คหที่ 9 ตอบถูกต้องแล้วแต่ไม่ถูกกิเลสใครหลายๆ คน จากคุณ : ptt เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 10:06:34 A:146.23.250.105 X: TicketID:330192

ความคิดเห็นที่ 31 jd300 ถ้าพิสูจนืได้จริงผมจะยอมรับ อย่าอ้างแบบ คห26เรย. มีแค่ความน่าจะเป้นได้เช่นเดียวกับตอนที่ท่าน พยามอธิบายเรื่องปรากฎการร์พญานาคบึงโขงหลงที่บอกว่าเกิดจากลมบ้าง ประมาณนี้ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่สรุปได้ชัดแจ้ง เสมือนท่านเสนอตัวมาเพื่อจะแก้ปัญหา แต่สุดท้ายท่านก็ได้แต่บอกว่าน่าจะยังงั้นนะ น่าจะยังงี้ สุดท้ายก็เงียบไปอีก ไม่สามารถได้resultที่ต้องการจริงๆ เอาแบบว่าโชว์ความสารามรถให้เหนจริงๆหน่อย เพราะเท่าที่ดูมาเหมือนท่านแค่เล่นปาหี่เรียกคนดูให้รุ้จักท่านเท่านั้นนะ หรือถ้าตั้งใจแค่จะเล่นปาหี่ ให้แจ้งลบกระทู้ผมได้เลยถือว่าผมไม่ได้พูดและขออภัย จากคุณ : รีฟมารบูรพา เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 10:07:34 A:202.139.223.18 X: TicketID:322500

ความคิดเห็นที่ 32 #26 จากข้อมูลที่ให้มายังขัดแย้งกับ อัฐิของหลวงตามหาบัวครับ ด้วยเหตุผลคือ หลังจากเผาร่างแล้ว และเก็บกระดูก ก็จะเหมือนกับคนทั่วไปครับ แต่จะใช้เวลาระยะหนึ่ง ค่อยๆกลายสภาพเป็นพระธาตุในที่สุด  รวมถึงสิ่งอื่นๆที่อยู่นอกเหนือการเผาไฟ หมายความว่า ไฟมิใช่ตัวแปรการแปรสภาพเสมอไปครับ การศึกษาพระธาตุของหลวงตามหาับัวจึงอยู่ในยุคสมัยที่สามารถศึกษาได้ชัดเจนครับ ก่อนการทดลอง ต้องขอถามผู้ทดลองว่า มีขั้นตอนการศึกษาอย่างไร จะใช้เครื่องมืออะไรบ้าง แล้วนำผลการทดสอบนั้นไปใช้เพื่อประโยชน์อะไรบ้าง ถ้าตอบตรงนี้ได้ชัดเจน ก็ติดต่อไปที่วัดป่าบ้านตาดได้เลยครับ > สิ่งใดที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิเป็นเท็จ ตามหลัก falsifiability สิ่งนั้นไม่ใช่ "วิทยาศาสตร์ที่แท้จริง" .... ต้องขอแย้งว่านี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครับ และต้องยอมรับว่า ไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เพราะยังไม่มีเครื่องมือใดๆมาพิสูจน์น่าจะถูกต้องกว่า การยอมรับแบบนี้จะทำให้วงการวิทยาศาสตร์พัฒนาครับ องค์ความรู้ที่มียังไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์น่าจะดีกว่า แต่ถ้าใช้หลักข้างบนเท่ากับว่า ยอมรับว่าวิทยาศาสตร์หยุดการพัฒนาแล้วครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 10:09:36

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าพูดถึงผงอังคารและอัฐิชิ้นเล็ก ๆ ของหลวงตามหาบัว ตอนได้รับครั้งแรกที่กุฏิกลางน้ำ เวลาประมาณ 5 โมงเกือบหกโมง สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นสีทองระยิบระยับเต็มไปหมด ชัดเจนมาก แต่พอมาอยู่กะเรา เอาไฟฉายส่องตอนกลางคืนประกายทอง ประกายแวววาวหายไปเกือบหมด เพ่งหาจนลูกตาจะถลน เอาไปส่องแสงอาทิตย์ตอนเย็นเวลาเท่า ๆ กัน แต่ต่างสถานที่ก็พบน้อยกว่าตอนได้มาครั้งแรก  ข้าวก้นบาตรก็เหมือนกันจากบาตรหลวงตาประมาณปี 2545 เราว่าผลึกแวววาว เป็นผลึกเกลือ และเส้นใยที่มีผลึกแวววาวมาเกาะเป็นเส้นใยรา เราก็เอาเส้นใยไปล้าง ผึ่งให้แห้ง ผลึกแวววาวก็กลับมาเกาะเหมือนเดิม (ตอนนี้ยังไม่ได้ทดลองต่อ) จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 10:59:08

ความคิดเห็นที่ 34 เข้าใจว่า เป็นกระบวนการพิเศษ ที่ไม่สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ คำตอบ จะเป็น เช่นว่า เทวดานำมาเป็นต้น เพราะของผม มีอัฐิหลวงปู่มั่น 1 องค์ กลายเป็นห้าองค์ ในวันสองวัน ขนาดเป็นคล้ายไข่ไก่ประมาณ 7-8 ม.ม. ครับ แถม ตลับแก้ว นั้นก็ปิดตาย ตอนนี้ยังเปิดไม่ได้เลย จึงเป็นเรื่องความเชื่อ ความเชื่อไม่เชื่อไม่บาปหรอกครับ แต่การไปตำหนิ ดูถูก หรือปรามาสจึงจะบาป จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 11:27:28

ความคิดเห็นที่ 35 แล้วทำไมพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่พิพิธภัณฑ์อินเดียกับที่ภูเขาทองถึงเป็นกระดูกเหมือนคนๆทั่วไป ไม่เป็นแก้วๆล่ะ จากคุณ : แค่ผ่านมา เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:06:53 A:58.8.178.123 X: TicketID:329530

ความคิดเห็นที่ 36 พระธาตุที่ผมได้มา ได้มาตั้งแต่ปี 2540 จนบัดนี้ก็ยังไม่เพิ่มจำนวน เพราะมีองค์เดียว ลักษณะกลมๆ ใส ตอนได้มาใหม่ๆ ลองลอยน้ำ ปรากฏว่าจมลงก้นแก้วน้ำ จึงนำขึ้นบนผิวน้ำใหม่ ปรากฏว่าครั้งหลังไม่จมน้ำแต่กลับลอยน้ำได้ เปิดดูหลายครั้ง สีจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากที่ใสเหมือนกระจก ก็เปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นเหมือนงาช้าง บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีเทา บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีแดง บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีชมพู บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ถ้าจับด้วยมือเปล่า สีจะเปลี่ยนทันที เช่นจากสีใสเหมือนกระจกก็เปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น พอปล่อยมือก็จะกลับมาใสเหมือนกระจกดังเดิม เกิดความสงสัยว่าเปลี่ยนสีเพราะอุณหภูมิของร่างกายผ่านทางนิ้วมือหรือไม่ จึงทดสอบด้วยการใช้กระดาษทิชชูจับ โดยลอกทิชชูออกเหลือชั้นเดียวบางๆ ปรากฏว่าไม่เปลี่ยนสี แต่จับด้วยมือเปล่าครั้งใดก็จะเปลี่ยนสีทุกครั้ง นี่พูดด้วยข้อเท็จจริงล้วนๆ นะครับ ไม่มีความเชื่อหรือศรัทธามาโน้มน้าวผู้อ่าน จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:11:10

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ถ้าเป็นกระดูกส่วนของฟัน จะไม่แปรสภาพครับ ยังคงดูเป็นฟันตามปกติ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:11:12

ความคิดเห็นที่ 38 "นี่คือห้องศาสนา" (พูดแบบรถสีดำที่ติดสติกเกอร์บอกว่า "รถคันนี้สีเขียว") จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:15:16

ความคิดเห็นที่ 39 #37 ไม่ใช่ส่วนของฟัน เป็นส่วนอื่นๆ เป็นชิ้นๆ ไม่ได้เป็นก้อนกลมๆแบบของไทย จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:29:11 A:58.8.178.123 X: TicketID:329530

ความคิดเห็นที่ 40 ตาม คห. 26 ผมว่าก็เป็นข้อสันนิษฐานจากอีกมุมมองนึงนะ ในเมื่อเรายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตาม #26 หรือว่า เป็นปาฏิหารย์อย่างที่เล่าๆมา เราก็ควรจะรับฟังทั้งสองทาง และเก็บไว้เป็นสมมติฐาน มากกว่าจะสรุปเอาดื้อๆว่าทางที่ตนไม่ถูกใจเป็นสิ่งที่ไม่ถูก โอเคคุณอาจจะเชื่อสมมติฐานที่ 1 หรือ 2 ก่อนมีการพิสูจน์ก็ได้มันเป็นสิทธิของคุณคุณจะเชื่ออะไรก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้าย สิ่งที่เลวร้ายคือการด่าทอ ดูถูก ปรามาสคนที่เชื่อต่างกับตนเองต่างหาก ผมสรุปสมมติฐานคร่าวๆนะครับ หากมีอะไรตกหล่นช่วยเพิ่มเติมด้วยนะครับ สมมติฐานที่ 1 เกิดจากปาฏิหารย์ เทวดานำมา จิตที่บริสุทธิ์ของผูทรงศีลยังอยู่ ฯลฯ ทำให้เกิดเป็นพระธาตุและการแตกตัว สมมติฐานที่ 2 ร่างกายของผูู้ทรงศีล ในขณะที่มีชีวิต และก่อนตาย มีการหลั่งสารที่ต่างจากบุคคลธรรมดาเล็กน้อย เนื่องจากจิตเป็นสมาธิ อารมณ์ไม่แปรปรวนทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน หรือสารบางอย่างออกมาน้อย ซึ่งส่งผลให้กระดูกแปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุหลังจากตาย (เปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ที่หากฆ่าอย่างทรมานกับไม่ทรมานคุณภาพเนื้อจะต่างกันเพราะสารที่หลั่ง)0 สมมติฐานที่ 3 เถ้ากระดูกของทุกคนมีโอกาสเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว (อาจจะ 1 ใน 10 เป็นต้น) เพียงแต่ไม่มีใครสนใจไปเก็บรักษาเถ้ากระดูกและเปิดดูอีกรอบ ดังนั้นหากมีการเก็บรักษาเถ้ากระดูกของพระสัก 100 รูป โอกาสเจอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สมมติฐานข้อนี้ก็ยังไม่ได้กล่าวไปถึงว่า แล้วโอกาส 1 ใน 10 (ตัวเลขสมมติ) นั้นเกิดจากอะไร เกิดจากปัจจัยที่ผู้ตายควบคุมได้ เช่น อาหารการกิน อากาศที่หายใจ ความรู้สึกก่อนตาย ยาที่ใช้เป็นประจำ ระบบการทำงานต่างๆในร่างกายขณะมีชีวิต หรือ ปัจจัยที่ผู้ตายควบคุมไม่ได้ เช่น วิธีเก็บรักษา เวลาที่ใช้ในการเผา เชื้อเพลิงที่ใช้ขณะเผา ฯลฯ จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:31:06

ความคิดเห็นที่ 41 อีกนิดนึงหากทำใจเป็นกลาง ไม่ยึดติดกับความเชื่ือของตนตามสมมติฐานที่ 1 2 3 และยอมรับผลที่จะเกิดขึ้น ผมว่าการพิสูจน์นี้ออกแบบการทดลองไม่ยากนะ หากมีทุนที่เพียงพอ ในขั้นต้นมีแค่กล้องวงจรปิด เถ้ากระดูกของผู้ทรงศีล กับเถ้ากระดูกของบุคคลทั่วไป ก็สามารถพิสูจน์ได้ระดับนึงแล้่ว เพียงแต่คนที่มีเถ้าของผู้ทรงศีลส่วนมากไม่คิดจะทำเพราะกลัวกระทบกับความเชื่อ และผู้ที่คิดจะทำ ก็อาจไม่มีกล้องวงจรปิด ครั้นจะลงทุนซื้อเพื่อทดลองก็ไม่ใช่เรื่อง หากเงินไม่ได้เหลือทิ้งเหลือขว้างก็คงไม่มีใครทำหรอก จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:44:10

ความคิดเห็นที่ 42 ก็แค่มีคนแอบเอามาใส่แล้วบอกว่ากระดูกมันเพิ่ม (หรือเปลี่ยนไป) นั้นแหละ.. กระดูกมนุษย์มันมีอะไรวิเศษวิโสกว่าสัตว์ต่างๆ อะไรนักหนา? กระดูกเปลี่ยนธาตุได้เพราะปฏิบัติธรรม ปฏิบัติดี? พิลีกมาก ถึงทำแล้วจะกลายเป็นผลึก..แล้วไง? ผมสงสัยพวกคนที่ปฏิบัติธรรมเหลือเกินว่า ทำไมถึงคิดว่ามนุษย์พิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ขนาดนี้ พวกเราเป็นเพียงแค่แบคทีเรียบนผิวโลก หาได้มีคุณค่าอะไรสลักสำคัญถึงขนาดต้องอวดตัวเลยสักนิดเดียว ปล.ผู้ทรงศีลทั้งหลายเยอะเหลือเกินนะเมืองไทย...ทำไมประเทศนี้ไม่เจริญสักที ใครก็ได้ตอบผมที? จากคุณ : Alphanet เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 13:54:25

ความคิดเห็นที่ 43 #42 คนที่เขาปฏิบัตธรรม เขาก็คนธรรมดาอย่างคุณนี้แหละ ไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหนหรอก มีพ่อมีแม่ กิน ง่วง หิวเป็น มีความรู้สึก  เขามีอย่างเดียวที่ต่างจากคุณ คือใจ ไม่ใช่หัวใจ แต่เป็นจิตใจ จิตใจที่คนอย่างคุณไม่มีวันเข้าใจ นั่นละสิ่งที่เขาต่างจากคุณ ซึ่งไม่ว่าคุณจะว่ายังไง เถียงอย่างไรต่อไป คุณก็ไม่มีวันเข้าใจ เพราะจิตใจคุณมันได้แค่นั้น มองได้แค่นั้น เห็นได้แค่นั้น นักปฏิบัติธรรม(จริงๆ)ทั้งหลายเขาไม่ได้ห่วงเรื่องตายไปแล้วจะกลายเป็นพระธาตุหรอก  ไม่มีใครมานั่งคิดว่า กุตายไปกระดูกกุจะเป็นพระธาตุหรือเปล่าน้อ มันมีแต่คนธรรมดาเท่านั้นแหละที่คิด เลื่อนลอย เพ้อฝัน คนที่เขามุ่งหวังในการปฏิบัติธรรม จุดมุ่งหมายเขามีอยู่แล้ว คือดับทุกข์ ไม่ใช่พระธาตุ พระธาตุมันก็เป็นแค่สัญลักษณ์ ผลพลอยได้ เหมือนกับการทำทาน การไปเกิดในสวรรค์ มนุษย์โลกมันก็เป็นแค่ผลพลอยได้ แต่จุดมุ่งหมายของการทำทาน คือการรู้จักลด ละ ความตระหนี่ถี่เหนียว ความยึดติดของๆ ตัวเองเท่านั้นเอง   ปล.ผู้ทรงศีลทั้งหลายเยอะเหลือเกินนะเมืองไทย...ทำไมประเทศนี้ไม่เจริญสักที ใครก็ได้ตอบผมที? ประเทศนี้มีผู้ทรงศีลกี่คนที่คุณบอกว่าเยอะ ลองเทียบมาให้ดูหน่อย เอาแค่คนถือศีล 5 ได้ครับซัก 1 ปี ถือจริงๆ ไม่ใช่ว่า ผมไม่ฆ่าสัตว์เพราะ ผมซื้อกินเอา ผมไม่ลักทรัพย์เพราะ ผมมีเงินแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่าถือศีล คนที่รู้จักการถือศีลคือคนที่รู้จักว่า ถ้าทำผิดข้อนี้โทษของมันคืออะไร นั่นแหละคนที่มีศีล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ยอมประพฤติผิดเลย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต คนๆนั้นแหละ เรียกว่าเป็นคนมีศีลอย่างแท้จริง ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงแล้วละ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 54 14:27:40 จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 14:26:11

ความคิดเห็นที่ 44 พระธาตุ แล้วงัย ที่บ้านก็มี แล้วงัย จริง แล้วยังงัย ไม่จริง แล้วยังงัย พระธาตุ จะของจริง ของปลอม มีจริง หรือไม่มีจริง ก็ต้องทำงาน ปฏิบัติกันไป มัวมาสงสัย และค้นหา "อวิชา" กันทำไม เมื่อ "แก่น" ของพระธรรม คือการหลุดพ้น หลุดจากพระธาตุ หลุดจากตัวตน หลุดจากกิเลส หลุดจากเครื่องรางของขลัง หลุดพ้น หมายความว่า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี จะจริงหรือไม่จริง เราก็ไม่เดือนร้อน ไม่ร้อนตัวหากคนว่ามันเป็นเรื่องโกหก หรือไม่ส่งเสริมหากมีคนเชิดชู หลุดจากตัวตน ก็หมายความว่า ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ว่าดี ว่าเลว ก็ไม่เดือดร้อน ตั้งใจทำความดีรักษาศีล ทำหน้าที่ดูแลบิดามารดา หาเลี้ยงครอบครัวด้วยอาชีพที่สุจริตไม่เบียดเบียนใคร เพราะมันคือหน้าที่พื้นฐานเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ มิเช่นนั้นแล้วก็เป็นเพียงสัตว์มนุษย์ที่ลุ่มหลงในกิเลส ทำทุกอย่างเพียงเพื่อตอบสนองตัญหาตนเองเท่านั้น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงยังไม่สามารถทำให้คนเกิดปัญญาทางธรรมได้ แต่ก็ยังสมควรศึกษาเอาไว้เป็นเกราะป้องกันกลอุบายจากมิจฉาชีพ จขกท. ปฏิบัติ เพื่อคนหาความจริง หรือว่าคนหาเพื่อหลุดพ้น หากทราบความจริงแล้วจำทำอย่างไรกับความจริงนั้น ผมเชื่อว่า ท่านก็จะถือตัวถือตน ว่าเป็นผู้รู้ หรือไม่ใช่ จากคุณ : debud เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 14:47:19

ความคิดเห็นที่ 45 รูู้แล้วไงต่อ...คิดว่าจะเกิดประโยชน์หรือโทษมากกว่ากันครับ จากคุณ : ตดเบาๆ (Poor Knights) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 15:38:12

ความคิดเห็นที่ 46 ผมแค่อยากรู้ว่าพระธาตุจริงๆแล้วเป็นยังไง เมื่อไรจะเลิกโยงไปเกี่ยวกะการปฏิบัติสักทีนะ ผมเบื่อพวกอ้างว่าตัวเองธรรมะธัมโมก็ตรงนี้แหละ เหมือนคนพูดไม่รู้เรื่อง ผมสงสัยเรื่องใด ก็ตะแบงตอบไปว่าปฏิบัติสิ ไม่ใช่แก่นไปเรื่อย นี่ห้องวิทยาศาสตร์นะครับ ผมตั้งกระทู้เพื่อถามถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไม่ได้ถามว่าทำยังไงถึงจะบรรลุธรรม ผมแค่อยากรู้ว่าสิ่งสิ่งนี้เกิดได้อย่างไร ไม่ได้บอกสักคำว่าอยากบรรลุธรรม  ขอร้องเลิกทำตัวเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องสักทีเถอะครับ ผมถามอย่างนึงคุณตอบอย่างนึง แล้วผมจะได้สาระที่ผมต้องการจากการตั้งกระทู้มั้ยครับ รอให้ผมตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับเรื่องทำยังไงให้บรรลุธรรม คุณค่อยเข้ามาตอบได้มั้ย หรือไม่ถ้าอยากเทศน์นัก ก็ตั้งกระทู้เองเลยครับ ไม่ต่องมาเกี่ยวกับกระทู้นี้ ช่วยรักษามารยาทด้วยครับ กระทู้พูดถึงสิ่งใด ก็ช่วยพูดในประเด็นของกระทู้ด้วย อุตส่าห์ย้ำนักหนาตั้งแต่หัวกระทู้แล้ว กาลเทศะแค่นี้คุณยังทำไม่ได้ ก็อย่าอ้างตัวว่าเป็นคนดี ธัมมะธัมโมเลย บอกให้ชัดๆอีกที ว่าผมถามเพราะอยากรู้ เหมือนคนโบราณที่อยากรู้ว่าฟ้าผ่าเกิดจากอะไร แอปเปิ้ลตกลงมาบนโลกได้ไง ทำไมรุ้งถึงมีเจ็ดสี ไม่เกี่ยวกับเรื่องธรรมะเลย ดังนั้นเลิกโยงไปเกี่ยวกับธรรมะและการปฏิบัติสักที จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 15:49:01

ความคิดเห็นที่ 47 ไม่มีใครกล้าให้พิสูจน์ คุณลองไปขอเขาเอามาพิสูจน์สิ ทิฐิพระ มานะกษัตริย์ มันยังคงมีอยู่ บางคนก็งมงาย บางคนก็ไม่งมงาย เมื่อของไม่งมงายกับงมงายมาอยู่ด้วยกัน คนที่ไม่งมงายก็จะไม่สนใจพวกงมงาย ก็ปล่อยมันไป เมื่อพวกงมงายมากๆ เข้า พวกงมงายเลยขึ้นมาใหญ่ เมื่อใหญ่มันก็มีอำนาจ เมื่อมันมีอำนาจพวกไม่งมงายบางพวกก็อยากรู้อยากเห็น แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกงมงายมันใหญ่ จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 15:57:30

ความคิดเห็นที่ 48 ผมว่า เวลาคนเครียด ก็จะหลั่งสาร ที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง แต่เวลาคนที่มีความสุข ทางใจ ก็จะทำให้ร่างกายสดชื่นไปด้วยจากสารที่หลั่งออกมา สาเหตุของโรคต่างๆ ส่วนใหญ่มาจากความเครียด เนื่องด้วยความเครียดทำให้ ร่างกายผลิตสารที่เป็นโทษต่อร่างกาย กระบวนการต่างๆก็ผิดไป ผิด กับ คนที่มีความสุข เรื่องที่ กลายเป็นสมมติฐานคือ พระธาตุ ผมว่าอาจจะมาจาก สารบางอย่างที่ได้รับ ที่หล่อเลี้ยงร่ายกายมีองค์ประกอบอยู่ใน กระดูก เมื่อ เวลาผ่านไป สารดังกล่าวแปรสภาพ หรือทำปฏิกริยากับ อากาศ หรือ ธาตุที่อยู่ในกระดูก ก็เกิด เป็น วัตถุที่มีองค์ประกอบ ที่มีความเงา หรือ มีสีต่างๆ ตามธาตุที่ประกอบอยู่ เทียบเคียงกับ เหล็ก ที่โดน น้ำ โดนอากาศ ก็จะเปลี่ยนเป็นสนิม ประมาณนี้ครับ จากคุณ : popy เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 16:05:26 A:203.144.240.232 X: TicketID:281397

ความคิดเห็นที่ 49 อาจจะเป็นกุศโลบาย ให้เรากราบไหว้ เพื่อทำตามความดี ของท่านเหล่านั้น โดยมี วัตถุเป็นสิ่งยึดเหนื่ยว ความดีของบุคคลนั้นๆ แต่ถ้าผิดวัตถุประสงค์เพื่อให้ ได้ลาภ กราบไหว้ เพราะต้องการ เลขเด็ด อะไรประมาณนี้ ผมว่าน่าจะผิดวัตถุประสงค์ในการบูชา ตัววัตถุ ที่เกิดจาก ท่านที่จิตใจบริสุทธิ์เหล่านั้น จากคุณ : popy เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 16:13:12 A:203.144.240.232 X: TicketID:281397

ความคิดเห็นที่ 50 ผมแค่อยากรู้ว่าสิ่งสิ่งนี้เกิดได้อย่างไร .... ก้ตอบไปแล้วชัดเจนว่าต้องปฏิบัติจนกายวาจาใจบริสุทธิ์เท่านั้น จะกินสารเคมีเข้าไปในร่างกาย หรือผสมก่อนเผาระหว่างเผมันเป็นไปไม่ได้ คนที่ตีโพยตีพาย คุณจะตัดตัวแปรสำคัญได้อย่างไรครับ ก็พระธาตุที่เกิดขึ้น จะเิกิดเฉพาะผู้ที่บรรลุธรรมเท่านั้น ไม่มีเครื่องมือใดๆไปวิเคราะหื พยาธิสภาพของ พระอริยสงฆ์ ก่อนมรณะภาพสักราย ลองติดต่อไปที่ คณะแพทย์ที่ตรวจ พระอริยสงฆ์ในอดีตสิครับ คุณมาถามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ก็ในเมื่อไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนศึกษาแบบจริงจังสักราย คุณจะตัดตัวแปรเรื่องการปฏิบัติได้อย่างไรครับ สิ่งที่คุณต้องวิเคราะห์ใน ประเด็นวิทยาศาสตร์คือ การปฏิบัติธรรม จนบรรลุธรรม เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสารเคมีในร่างกายอย่างไรต่างหากครับ และขณะนี้ อัฐิหลวงตาก็มีคนถ่ายภาพออกมาให้ดูมากมาย ก็ไปศึกษากระบวนการเปลี่ยนเป็นพระธาตุสิครับ คุณจะเอาตัวแปรว่า กระดูกคนตายทั่วไปกิเลสหนา ไปเทียบเท่ากระดูกหรืออัฐิพระอริยสงฆ์ที่บรรลุธรรมได้อย่างไรครับ หากเป้าหมายชาวพุทธสายปฏิบัติ ก็แค่เป็นสัญลักษณืบ่งบอกถึง ผลลัพทธ์ต่อธาตุในร่างกายที่แปรเปลี่ยนไป ลักษณะของพระบรมสารีริกธาตุมีหลายสัณฐานครับ หรือมีหลายสี หลายรูปร่าง อรหันตสาวกก็มีรูปลักษณ์ต่างกันไปครับ ผมจึงบอกให้คุณ ลงชื่อ ไปหา คณบดี คณะวิทยาศาสตร์ที่ไหนสักแห่งครับ ที่มีเครื่องมือพร้อม และเสนอแผนมาครับ ว่า เป้าหมายการพิสูจน์คืออะไรครับ ไม่มีใครตอบได้สักคน เอาแบบเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมีไหมครับ เฃ่นเชี่ยวชาญการตรวจกระดูกคนตายทั่วไปมาแล้ว ขั้นตอนการพิสูจน์มีอย่างไร ดีกว่าเอาเด็กแว๊นมาเสนอขอพิสูจน์ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 17:05:12

ความคิดเห็นที่ 51 http://www.luangta.com/English/site/flash/LuangtaRelics.html ลองไปยลโฉม พระธาตุ และ อัฐิของหลวงตามหาบัว  ก่อนจะพุดไปเรื่อยๆครับ จะไม่มี ดร. ท่านใดที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ออกตัว ขอพิสูจน์บ้างหรือครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 17:06:41

ความคิดเห็นที่ 52 ถ้าเก็บไว้บูชาส่วนตัว ก็ดี ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ที่มีปัญหา เพราะการเอาพระธาตุมาหากิน มาหลอกลวง คนที่ไม่รู้ มากกว่า จากคุณ : สายธาร1 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 17:17:41

ความคิดเห็นที่ 53 ก็อบตามมา #27 แต่ก็พิสูจน์พระธาตุอื่นได้ นี่ครับ ทำไมต้องยก พระสารีริกธาตุ 1ตัวอย่าง มาเป็นตัวแทน ตัวอย่างลบด้วย หัวกระทู้ ก็เป็นวิทย์ อยู่ดีๆ #26 โดยเฉพาะข้อ5 ขอแค่ตัวอย่างจริงแค่ซัก 1เดียว ที่เก็บจริงมา และขัดกับการเกิดพระธาตุในทางพุทธ ก็พอ ครับ ข้อสันนิฐานอื่นๆ ของทั้ง2ฝั่ง จะมีน้ำหนักอะไร จะได้ การสรุป ด้วยหลักฐาน ที่เป็นประโชน์ต่อไป ดีกว่าการมาร่ายปรัชญา ถกตรรกะในทฤษฎีกัน เสริม ถ้าปราฎิหารย์ ในทางพุทธ ทำให้เกิด ก้อนนิ่วที่อยู่ในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ หรือ กระดูกเริ่มเปลี่ยนเป็นผลึก ได้ แล้วสิ่งนั้น จะไม่เรียกว่า ปราฎิหารย์ หรือครับ ผมว่าประเดนจริงๆ มันอยู่ที่ตัวเลขในข้อ5 มากกว่า ถ้าหามาได้ น่าจะจำเป็นมากกว่า อีก10ข้อ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 17:31:50

ความคิดเห็นที่ 54 ก็ไม่รู้ว่ายังไงนะครับ............ ตัวผมเองก็เป็นคนฝ่ายวิทยาศาสตร์เต็มตัว..... กล้าพูดได้ว่าไม่ได้นับถือศาสนาไหนแล้ว(ปัจจุบัน คนเกาหลี ญี่ปุ่นก็มีมากที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย) ตอนนี้อาจจะเรียกได้ว่านับถือศาสนา "วิทยาศาสตร"์ ไปแล้วแฮ่ะๆ ทั้งๆที่ ที่บ้านเข้าวัดกันหมด พ่อเป็นมัคคธายก.... เรื่องก็คือ ที่บ้านมีพระธาตุของเกจิท่านหนึ่ง เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ไปดู มีอยู่ 6 เม็ด แต่ปีนี้ตอนเอาพระมาสรงน้ำช่วงสงกรานต์เลยนึกอยากลองเปิดดู มีเพิ่มมาเป็น 12 เม็ด งงเลยงานนี้... จากคุณ : apadechi (apadechi) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 18:19:05

ความคิดเห็นที่ 55 คห.42  นี่ ได้ใจกันเลยทีเดียว ปิดเทอมหล่ะสินะ ช่วงนี้... จากคุณ : apadechi เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 18:21:43

ความคิดเห็นที่ 56 เสริม ตอนเรียนอนุบาล หรือประถมนี่แหละ ครูสอนให้ฝึกดูลมหายใจ ไม่ได้ใส่ใจทำอะไร นานๆก็ลองทำ ฝึกหายใจแบบโยคะนิดนึง ผ่านมาเป็น10ปีอยู่เหมือนกัน ผ่านทุกข์หนักๆมาครั้งนึง ช่วงหลังนี่ ถึงได้เข้าใจ จิตทุกข์ จิตสุข ของตนเอง ธรรมะข้อล่าสุด เพิ่งได้มาเมื่อวาน ไม่ต้องไปถึง อนัตตา ธรรมชาติ คือ อนิจจัง ล้วนแต่ประกอบขึ้น จึงจักต้องทุกขัง คือต้องแยกสลายลง แม้วิศวะ จะพยายามจ่ายพลังาน เพื่อรักษาสภาพไว้ แต่เป็นธรรมดา เมื่อปัจจัยเสื่อม พันธะต่างๆย่อมสลายลง สรุป สุขจากพันธะ อาจจะมีอยู่ แต่สุขที่มั่นคง มันจะอยู่ที่สภาพพลังงานต่ำ คือ ไม่รวมตัว ไม่มีพันธะ ผูกติด ยึดกับตัวตนสิ่งใด แค่ลมหายใจเข้าออก ก็สุข และเสริมสุขได้ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 18:32:24

ความคิดเห็นที่ 57 คห 23 ถ้าเรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์หรือทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ คงจะไม่พูดประโยคเช่นนี้แน่ๆ ผมว่าคอมเม้นต์ผม เป็นการให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และเปิดโอกาสให้คิดต่อมากที่สุดแล้ว คอมเม้นต์นึงในกระทู้นี้ มาสืบหาความรู้ทางเคมี เพื่อแลกเปลี่ยนกันต่อดีกว่า Q: กระดูกของคนเรา หลังจากเผาไปแล้วมีการเปลี่ยนสีหรือเปลี่ยนลักษณะไปได้หรือไม่ A: ได้ ถ้าในการเผานั้น มีการใส่โลหะอื่นๆ เข้าไปด้วยในโลง จะเป็นความเชื่อที่ใ่ส่ของใช้ของผู้ตายลงไปหรือของที่เผาส่งไปโลกหน้าด้วย ... อันนี้ยังต้องคิดถึงว่า ถ้าเผาบนดินหรือเชิงตะกอน จะมีแร่ธาตุจากดินผสมเข้าไปด้วยอีกในกระบวนการเผา จากเปเปอร์ AN ANALYTIC REVIEW OF BURNT BONES IN MEDICOLEGAL SCIENCES (กูเกิ้ลดูได้ครับ) ถ้ากระดูกหลังจากเผาแล้ว นานเข้าเปลี่ยนเป็นสีชมพู แสดงว่ามีโลหะทองแดงเผาลงไปด้วย / ถ้าสีเขียว แสดงว่ามีธาตุเหล็ก / ถ้าเหลือง แสดงว่ามีโลหะสังกะสี ถ้ามีสีอันเกิดจากโลหะแทรกอยู่ในกระดูกที่ผ่านการเผา สีนั้นก็เปลี่ยนไปได้ตามกระบวนการทางเคมีที่เกิดกับโลหะนั้น เช่น oxidation/reduction ตามสภาพการเก็บรักษา โลหะอาจจะเปลี่ยนสีให้สว่างขึ้นหรือหมองลงก็ได้ รวมทั้งอาจเกิดสนิมเกลือพอกหนาขึ้นได้ด้วย จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 18:59:09

ความคิดเห็นที่ 58 ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ลูก: พ่อๆ ทำไมโทรศัพท์สองเครื่อง ถึงส่งรูปหากันผ่านอากาศได้ครับ พ่อ: อ๋อ เรื่องนี้อธิบายไปลูกก็ไม่เข้าใจ ลูกต้องไปปฏิบัติดูก่อน ลูก: .......... พ่อ: ลูกปฏิบัติแล้วก็จะรู้เองแหละ ของแบบนี้วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง ลูก: ...................... พ่อ: คนที่เขาเข้าถึง เพราะเขาปฏิบัติ เขาไม่ใส่ใจเรื่องการส่งรูปหรอก มันเป็นแค่ผลพลอยได้ ลูก: !@#$%^&*()_+ ทำไมมันไม่เป็นแบบนี้ ลูก: พ่อๆ ทำไมโทรศัพท์สองเครื่อง ถึงส่งรูปหากันผ่านอากาศได้ครับ พ่อ: มันส่งข้อมูลหากันด้วยระบบดิจิตัล ผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน่ะลูก ลูก: ระบบดิจิตัล คืออะไรครับ แล้วคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร พ่อ: ระบบดิจิตัลคือ บราๆๆๆๆ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือ บราๆๆๆๆ ลูก: อ๋อๆๆๆ เหรอครับพ่อ หลักการมันเป็นแบบนี้นี่เอง แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 54 20:24:18 จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 20:22:02

ความคิดเห็นที่ 59 #58  ตรรกะแปลกเนอะ ก็สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์เฉพาะในวงปฏิบัติเท่านั้น หากมีใครสามารถนำพระธาตุของญาติพี่น้องมาแสดงได้ โดยพื้นหลังไม่เคยปฏิบัติ ก็ช่วยแสดงหลักฐานด้วยครับ ว่าคนธรรมดา ก้สามารถกลายเป็นพระธาตุได้ ดีกว่าพูดลอยๆนะครับ #57  เรื่องการเผาเชิงตะกอนดิน มีการเผาแบบนี้มาแต่สมัยโบราณแล้วครับ และหลังจากนั้น ก็เก็บกระดูกคนตายส่วนหนึ่งลอยอังคาร ลอยน้ำ เก็บส่วหนึ่งลงโกฏหรือ ผอบแก้ว ทุกปี โดยเฉพาะคนไทย มักจะเก็บเอาไว้ที่บ้าน  และเชื่อว่าลูกหลานจะนำมาทำบุญ ก็สามารถเปิดดูได้ครับ  ถ้าบ้านใครเป็นแบบนั้น ย่อมเป็นที่ฮือฮาแล้วครับ ส่วนเรื่องการตั้งข้อสันนิษฐานว่า เผาแล้วผสมสารต่างๆเข้าไป ต้องมาพิสูจน์ตั้งแต่กระดูกธรรมดา แล้วค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างร่างครับ อยากให้ฝ่ายที่ตั้งสมมุติฐานทดลองจังเลยครับ ไปขอกระดูกใครก็ได้ครับ ที่โรงพยาบาล อาจารย์ใหญ่ แล้วนำมาเผากับสารที่คุรคิดว่าใช่ แล้วยังคงสภาพเป็นกระดูกแบบเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะค่อยๆแปรสภาพ จนกลายเป็นก้อนเปลี่ยนรุปร่างไป แต่ถ้าบอกว่าเผารวมแล้วจบกระบวนการแบบหลอมโลหะ มันจะเปลี่ยนรูปร่างทันทีครับ แบบรับจ้างทำเพชรด้วยกระดูก   นี่คือสิ่งที่แตกต่างครับ #(-_-") ปล  อย่าไปกลัวว่าใครเขาจะกล่าวหาว่ามาขัดผลประโยชน์ครับ ผมสงสารประเทศไทยจริงๆนะครับ ทีระบบการศึกษาของไทย ด้านวิทยาศาสตร์ยังต้องพัฒนาไปอีกหลายๆด้าน มักจะมีปัญหาการใช้ตรรกะ  ขาดแคลนเรื่อง MQ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 20:38:29

ความคิดเห็นที่ 60 มีคนอ้างว่ารู้ธรรมะกว่าใคร กะลังบ้า และควบคุมสติไม่ได้ ปฏิบัติแล้วได้อะไร จากคุณ : เบื่อคนตะแบง เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 20:43:31 A:118.172.80.45 X: TicketID:329812

ความคิดเห็นที่ 61 อ้าว ทำไมอยู่ๆ ก็ปี๊ดแตกขึ้นมาล่ะ นี่แสดงว่ายังปฏิบัติไม่พอใช่ไหม จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 20:49:05

ความคิดเห็นที่ 62 #(-_-") เรามาทำความเข้าใจในเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมก่อนว่า ไม่มีความจำเป็นต้องรู้ถึงที่มาที่ไปของธาตุ เพราะรู้ไปแล้ว ไม่ได้ช่วยให้กิเลสลดลงแม้แต่น้อย เขาจึงไม่นิยม หรือคาดหวังว่า กระดูกตนเองต้องกลายเป็นพระธาตุ เพราะจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ไม่ต้งไปรับรุ้อะไรครับ แต่ที่เขาสนใจก็คือ ฝ่ายวิทยาศาสตร์ต่างหากที่ เข้าไปสนใจ เพราะฉะนั้นก็ควรใช้ภาษาวิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั่นเอง เหมือนกับ ชานหมากของพระอริยสงฆ์หลายรูป ไม่ได้เผาไฟ ก็สามารถกลายเป็นพระธาตุได้ นักวิทยาศาสตร์ที่จนปัญญา ก้จะตอบว่ามีคนเอาแก้วผลึกไปใส่  มีแค่ประเด็นว่าเขาขี้โกงเพราะตนอธิบายไม่ได้ แล้วขอถามกลับว่า นักปฏิบัติเขาไม่ได้สนใจตรงนั้นเลยครัย เขาแค่ต้องการ ทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ผลพลอยได้ก็แค่นั้น แต่ฝ่ายวัตถุนิยมต่างหาก ที่ให้ความสนใจ จึงตัดเรื่องการประพฤติธรรมออกไป เพราะในตำราระดับมหาวิทยาลัยฝังตะวันตก เขาไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้ไงครับ จึงไม่มีภาษาวิทยาศาสตร์มาอธิบาย ปรากกการณ์นั้นๆว่า การทำกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ จนละสังโยชน์ตัดกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง มีผลอย่างไรต่อกายภาพ ถ้าคนพูดเคยศึกษาเรื่องพวกนี้มาก่อน มันก็จะฟังดูมีน้ำหนักมากขึ้น แต่ปัจจุบันไม่มีนักวิทยาศาสตร์ที่ลงมือศึกษาด้านนี้อย่างจริงจังต่างหากครับ ถึงมีก็แค่ขั้นอนุบาล ตรวจจับคลื่นหัวใจ  ตรวจลมหายใจของคนที่ปกิบัติธรรม แต่ไม่ได้ลงลึกถึง โครงสร้าง ชีวเคมี ในร่างกายเลยครับ สงสารประเทศไทยจริงๆนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 20:49:59

ความคิดเห็นที่ 63 คำถามของกระทู้นี้คือ ================ สงสัยเรื่องพระธาตุ กระบวนการอะไรทำให้มันเปลี่ยนเป็นแบบนั้น และมันเพิ่มจำนวนได้อย่างไร [ขอแบบวิทยาศาสตร์] vote [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน เรื่องจริงไม่จริงเอาไว้ก่อน ไม่ต้องมาเถียง สมมติว่าจริงก่อนละกัน กระบวน การทางเคมีแบบใดที่ทำให้กระดูกธรรมดาเป็นพระธาตุได้ และ ที่ว่าเพิ่มจำนวนนั้น แค่จำนวนพระธาตุเพิ่ม(แตกตัว) หรือว่ามวลรวมเพิ่ม(สสารใหม่เพิ่มมาดื้อๆ) ขอย้ำว่าไม่ต้องมาเถียง เรื่องเชื่อไม่เชื่อ จริงไม่จริงนะครับ เพราะมันไม่ใช่ประเด็นของกระทู้ และมันไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สักเท่าไร ================ จขกท. ตั้งไม่ได้หวังจะปฏิบัติ แต่ต้องการความเห็นทางวิทยาศาสตร์ ว่าถ้ามีสิ่งแบบนั้นเกิดขึ้น จะมีสาเหตุใดที่เป็นได้บ้าง เรื่องของศาสนาพุทธ ที่ใช้ขัดเกาจิตใจ ให้รู้ถึงแก่นแท้ของชีวิต ไม่มีใครเถียง ไม่มีใครลบหลู่ดูถูก สิ่งนั้นต้องปฏิบัติจริง ถึงจะเข้าใจ ใครเขาก็รู้ แต่ เอามันมาโยงกันทำไม? ในเมื่อเขาถามกันในอีกเรื่อง? จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 20:56:19

ความคิดเห็นที่ 64 ทำไมต้องหาเรื่องมาทะเลาะกันอยู่เรื่อยน้า เบื่อจัง ไม่น่าเข้ามาเลย ขออนุณาตแสดงความเห็น อย่าว่าเรานะ เอาไปดูคลายเครียดกันครับ จากคุณ : กว้างขวาง เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:00:39

ความคิดเห็นที่ 65 ปล อบ่าไปคิดว่ามาหักล้างกัน เพื่อเอาชนะนะครับ แค่กระตุ้นให้เกิดการทดลอง หลังจากการตั้งสมมุติฐาน เพื่อพิสุจน์สมมุติฐานเหล่านั้น ให้เป็นไปตามขั้นตอนวิทยาศาสตร์ การให้ความรู้ในมุมที่ใครหลายคน ขาดประสบการณ์ชีวิต มุมมองอีกด้านที่ไม่เคยหาได้จากมหาวิทยาลัยไหนๆ ถือว่าเป็นการให้ความรู้แลกเปลี่ยนกัน  แต่ก็เจอหลายคนที่ทำตัวไม่ต่างจากเด็กแว๊น ชั่วโมงประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกันนี่แหละ สามารถนำมาบอกเล่าในมุมที่ต่างกัน มันคือเสน่ห์ของการหาคำตอบของปรากฏการณ์ทั้งหลาย ด้วยกระบวนการแบบวิทยาศาสตร์ เพราะหลายครั้งที่เด็กๆหลายคน ตัดตัวแปล ที่มีความสัมพันธ์ต่อปรากฏการณ์ทิ้งแต่แรก มันก็นำไปสู่การตั้งสมมุติฐานที่ผิดพลาดนั่นเอง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:05:14

ความคิดเห็นที่ 66 หวังว่าจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ขอย้ำอีกทีว่าการแปเปลี่ยนพระธาตุ มีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออก คนที่ต้องการเป็นพระธาตุไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องชีวเคมีใดๆทังสิ้น แค่ปฏิบัติ กายวาจาใจให้บริสุทธิ์ ตัดกิเลสเป็นพระอรหันตืเท่านั้นครับ แต่ถ้าอยากรู้ว่าทำไมการปฏิบัติจึงมีผลต่อระบบการทำงานในร่างกาย ตรงนี้ต่างหากที่คุณต้องไปศึกษาเรื่อง ชีวเคมีในร่างกายในระหว่างดำรงขันธ์ ก็รู้ๆกันอยู่ว่า องค์ความรู้ในปัจจุบัน มันแคบมาก แล้วจะมาถามหาอะไรครับ มันมุมมองแคบมากนะ ที่ไปสันนิษฐานว่า เขาขี้โกง หวังว่าจะเปิดโกลทัศน์ให้เด็กไทยหลายคนนะครับ ตอนนี้อัฐิบางส่วนของหลวงตามหาบัว แต่มีบางส่วนที่แปรไปแล้ว ยังไม่กลายเป็นพระธาตุก็รีบๆไปศึกษา พอถึงเวลานั้น อย่ามาร้องไห้ว่าศึกษาไม่ทันนะครับ ยังมีของคุณแม่จันดีน้องสาวของหลวงตาอีกนะครับ และชานหมาก เส้นผมเกศา ที่ลูกศิษย์ได้รับไป นับหลายสิบคน ก็กลายเป็นพระธาตุทั้งสิ้น มาจากผลของการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าใครอยากได้คำอธิบายภาษาเคมี คงต้องให้ ดร. ที่เชี่ยวชาญด้าน biochem มาตอบนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:14:37

ความคิดเห็นที่ 67 คุณเชื่อว่า สิ่งนั่นคือของจริง ไหมครับ จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:19:21

ความคิดเห็นที่ 68 วิทยาศาสตร์ไม่ได้สอนให้เชื่อครับ แต่ให้ลงมือพิสุจน์เช่น เส้นเกศาหลวงตา เล็บ ขน กระดูกที่เก็บหลังจากเผาไฟแล้ว และได้กระจายไปตามวัดลูกศิษย์หลายสิบแห่ง ขอให้ลงพื้นที่ไปสัมภาษณืแบบไม่รู้ตัวครับ ไปเก็บข้อมูลเบื้องต้นเอาเองสิครับ คนที่อยู่ในสังคมนักปฏิบัติ เขาเจอเรื่องพระธาตุเสด็จ ต่อหน้าต่อตา หรือเพิ่มจำนวน ลดจำนวน ของพระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุมากมายครับ เป็นเรื่องปกติ จนเคยชินแล้ว หรือแม้แปรสภาพของชานหมาก ผม ขน เล็บ ที่ไม่โดนไฟ การแปรสภาพจะมีกระบวนการ ค่อยๆเปลี่ยนครับ ไม่ใช่มีเม็ดผุดขึ้นมา ปล ถ้าสนใจ ขอให้ติดต่อไปที่ วัดป่าบ้านตาดครับ และคนที่มีเครดิตดี ก้น่าจะเป็นคณบดี คณะวิทยาศาสตร์ท่ไหนสักแห่ง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:25:58

ความคิดเห็นที่ 69 ไม่ล่ะครับขอบคุณ ผมไม่ได้สนใจจะทดสอบหรือพิสูจน์อะไร แค่เข้ามาแจม และสะท้อนภาพรวมของกระทู้นี้ที่ผม (และคิดว่าหลายๆ คนเห็น) ให้ทราบกันแค่นั้น #58 จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:30:38

ความคิดเห็นที่ 70 ^ ^ เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เรื่องหลายเรื่อง ก็ไม่ใช่กิจของคณบดีครับ :-) แค่ลูกน้องบางคนชอบหาเรื่องให้คณบดีปวดหัวครับ ฮะฮะ จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:32:26

ความคิดเห็นที่ 71 แต่ก็ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีใครคิด bio-robot ฝังลงในสมองและร่างกาย ส่งเข้าไปเก็บการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สารเคมีทั้งหลายในร่างกาย แล้ว ส่งข้อมูลมาประมวลทันที แบบวินาทีต่อวินาที แสกนเห็นการทำงานของเลือดที่ไหลผ่านเซลต่างๆในร่างกายได้ แล้วไปสะสมที่ส่วนต่างๆ รวมถึงเก็บภาพที่ตามองเห็นแล้ว นำมาแสดงด้วยระบบ digital ก็ได้ครับ หรือแม้แต่รสชาติใดๆ ก้ส่งมาประมวลผลแสดงให้คนอื่นรับรู้ และที่สนุกคือ การแปลความคิดของคนหนึ่งคน ให้อีกคนเข้าใจโดยไม่พุดอะไรเลย ผ่านอุปกรณืตัวนี้ ตอนนี้มันไม่มีเครืองมือแบบนั้นเนอะ ก็ต้องอาศัย body language และเจโตปริยญาณ ไปก่อนแล้วกันครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:37:23

ความคิดเห็นที่ 72 คิดว่าคนจีนน่าจะคิดค้นได้ โดยเฉพาะหมอแมะ ที่เขาแค่แตะนิ้วสามนิ้วไปที่ข้อมือ ก็บอกได้หมดว่าร่างกายส่วนไหนผิดปกติ จากการสั่นสะเทือนของเส้นเลือดและชีพจร วันนึงเราอาจจะเห็นอุปกรณืพิเศษนี่ทำหน้าที่แทนหมอแมะก็ได้ ขนาดสมัยโบราณ หมอแมะ แค่แตะเส้นเชื่อก ที่ผูกข้อมือของ มเหสีฮ่องเต้ เขายังบอกได้เลยว่า ป่วยยังไง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 21:46:46

ความคิดเห็นที่ 73 ไปกันใหญ่ หากทำให้ จขกท. ขุ่นเคืองก็ขออภัยด้วย โดยส่วนตัว "ไม่รู้" ว่าพระธาตุ เกิดขึ้นได้อย่างไร และไม่เห็นประโยชน์จากความรู้ตัวนั้น และโดยส่วนตัว "เชื่อ" ว่าการที่ร่างกายมนุษย์จะแปรเปลี่ยนไปเป็นเป็นพระธาตุไม่ได้จำกันเฉพาะพระเท่านั้น คนธรรมดาก็เป็นได้ หมูหมา ก็อาจจะเป็นได้ ก็คงอารมณ์ ใส้ดินสอ กับเพชร นั้นละ ที่เป็นคาร์บอนเหมือนกัน แต่รูปลักษณ์ต่างกัน เคยได้ข่าวด้วยซ้ำ ว่าในต่างประเทศมีกระบวนการทำศพคนให้เป็นพระธาตุ ยังงัยก็ลองหาข้อมูลดูแล้วกัน ส่วนเรื่องการเพิ่มจำนวน หรือว่าลดลงไป ผมยังไม่เคยเห็นกับตา พระธาตุที่ผมมี ก็ไม่เคยเห็นว่าจะเพิ่ม หรือจะลด มีแต่ได้ยินมาอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเองก็ไม่ค่อยสวดมนต์เท่าไร ก็ดูๆไปก็ไม่เห็นว่าพระธาตุจะหายไป เดียวนี้ มารศาสนามันเยอะ จริงก็อาจจะมี หลอกกันก็น่าจะไม่น้อย ดำรงสติ คิดดูดีดี ว่าที่เค้าว่ามันมาเพิ่ม หรือว่าหายไปนะ เราเห็นเอง หรือว่าฟังกันมา --------------------------- และถ้าอยากพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่เห็นจะยาก... ไม่เห็นต้องพึ่งกล้องวงจรปิด... ก็ไปขอพระธาตุมา เก็บไว้ในที่ที่เรารู้คนเดียว แล้วก็คอยดู ถ้าหายไป ก็ลองทำหลายๆครั้ง หรือซ่อนไว้หลายๆที่ ก็น่าจะได้คำตอบไม่ใช่หรือ... ผมทำแล้ว ในห้องพระที่บ้าน มีแต่เพิ่ม เพราะเดียวคนนู้นก็ให้มา คนนี้ก็ให้มา ไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม ส่วนเรื่องการเกิดพระธาตุ คงพิสูจน์ยาก เพราะการที่จะควบคุมเงื่อนไขให้เกิดนั้น คงต้องทำในห้องทดลอง แต่ขอสังเกตุที่ผมขอยกขึ้นมา คือ พระเกจิส่วนมาก จะประชุมเพลิงกลางแจ้ง ซึ่งน่าจะต่างกับการเผาศพทั่วไปที่ทำในเมรุ ตรงนี้อาจจะเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่การเกิดพระธาตุ ก็เป็นได้ ฝากไว้พิจารณา จากคุณ : debud เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 23:41:06

ความคิดเห็นที่ 74 ขอล้อเลียนซักหน่อย ทำไมมันเป็นแบบนี้ ลูก: พ่อๆ ทำไมโทรศัพท์สองเครื่อง ถึงส่งรูปหากันผ่านอากาศได้ครับ พ่อ: มันส่งข้อมูลหากันด้วยระบบดิจิตัล ผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน่ะลูก ลูก: ระบบดิจิตัล คืออะไรครับ แล้วคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร พ่อ: ระบบดิจิตัลคือ บราๆๆๆๆ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือ บราๆๆๆๆ ลูก: พอเหอะพ่อ ยิ่งพูดยิ่งงง ผมไปปั้นเทวรูปต่อดีกว่า ทำไมมันไม่เป็นแบบนี้ ลูก: พ่อๆ ทำไมโทรศัพท์สองเครื่อง ถึงส่งรูปหากันผ่านอากาศได้ครับ พ่อ: เออ พ่อไม่ได้เรียนมาด้านนี้นะลูก มันก็คงทำได้นั้นละ ลูก: แต่พ่อ มันส่งรูปได้นะ เทพมากเลย ต้องมีเทวดาอยู่ข้างในคอยส่งรูปแน่ๆ พ่อ: (แกะมือถือลูกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย) ไหน ไม่เห็นมี เองมั่วนี่หว่า ประกอบเองนะ พ่อไม่ได้เรียนมาด้านนี้ ลูก: (T_T) จากคุณ : debud เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 23:57:59

ความคิดเห็นที่ 75 แรงโน้มถ่วงแอปเปิ้ลของนิวตัน สอบตกนิยามข้างต้นตั้งแต่แรก เพราะต้องอาศัยความเชื่อก่อนว่าวัตถุชิ้นนั้นๆ เคยเป็นแอปเปิ้ลของนิวตัน ไม่มีทางจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเท็จ เพราะจะไปหาแอปเปิ้ลของนิวตันมาทดลองโยนใหม่ก็ไม่ได้ จึงไม่มีความเหมาะสมในทางทฤษฎี ที่จะพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ต่อไป จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 09:32:44

ความคิดเห็นที่ 76 มีใครสงสัยเรื่องแสงโค้งตอนสุริยุปราคา ที่เป็นเม็ดกลมๆ และคิดอยากพิสูจน์ว่าเป็นสารประกอบชนิดใดบ้างใหม แสงโค้งเกิดขึ้นได้อย่างไร คำอธิบายจากวิกิ อธิบายเรื่อง Sangkonge (แสงโค้ง) ไว้หลายแนว ดังนี้ (http://en.wikipedia.org/wiki/แสงโค้ง ) 1. โค้งด้วยก้อนนิ่วที่อยู่ในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ 2. ในบางสภาวะ แสงอาจจะโค้งได้ พบว่าที่ >600องศาc แสงจะเริ่มเบน และที่ >1000องศาc แสงจะ เริ่มเลี้ยว) 5. ที่พบเยอะในตอนสุริยุปราคา เพราะไม่ค่อยมีคนสนใจไปตามดูแสงของคนธรรมดา และในสาขาอื่นก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูตรงนี้ จึงอาจจะมีปรากฏทั่วๆ ไปก็ได้  (อันหลังนี้อธิบายเรื่องศพไม่เน่าเปื่อยได้ เพราะศพตามสุสานไร้ญาติหลายที่ก็ไม่เน่าเปื่อย แต่ไม่ค่อยมีใครเอามาทำเป็นข่าว - JD300) ผมอ่านตาม #75 ก่อน นำมาด้วยความรู้สึก หลังๆว่า เป็นการสื่อสารของนักโฆษณา มากกว่านักวิทย์ ตอนแรก จะเขียนให้ครบทั้ง5ข้อ แต่อ่านทวนดู ยอมรับว่า ของ 2 3 4 นี่ มีหลักการ แต่ยังยืนยันว่า จำเป็นต้องมีสถิติมารองรับ และประเดนสำคัญยังอยู่ที่ข้อ5 ส่วนที่ล่วงเกินไปก็ต้องกราบขออภัยอาจารย์ แต่ส่วนไหนถ้าอาจารย์เขียนไม่รัดกุม และดูมีไบแอสเกินไป ก็คงจะต้องมีความเห็นผมออกมาเป็นปกติ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 09:47:00

ความคิดเห็นที่ 77 ความคิดเห็นที่ 75 แอ๊ปเปิลของนิวตันมันเป็นเรื่องเล่ามิใช่หรือครับ แต่ทฤษฎีของนิวตั้น พูดถึงสิ่งของที่ไม่ได้ระบุว่าเป็นอะไร ฉะนั้น จะลองใช่อะไรทดสอบ ก็ไม่น่าเป็นปัญหา ส่วน แสงโค้งอะไรนี่ผมไม่เคยเห็นครับ เลยไม่มีอะไรจะมาทดสอบ จากคุณ : debud เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 14:02:59

ความคิดเห็นที่ 78 แรงโน้มถ่วงแอปเปิ้ลของนิวตัน สอบตกนิยามข้างต้นตั้งแต่แรก เพราะต้องอาศัยความเชื่อก่อนว่าวัตถุชิ้นนั้นๆ เคยเป็นแอปเปิ้ลของนิวตัน ^ ^ ^ ทำไปได๊ - -" แอปเปิ้ลของนิวตัน มันเป็นแค่ชื่อเรียก (อย่างไม่เป็นทางการ) สำหรับที่มาของกฏนิวตัน เกี่ยวอะไรกับแอปเปิลของนิวตัน จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 14:45:44

ความคิดเห็นที่ 79 คห 75 76 มั่วครับ จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 14:46:53

ความคิดเห็นที่ 80 เคยได้ข่าวด้วยซ้ำ ว่าในต่างประเทศมีกระบวนการทำศพคนให้เป็นพระธาตุ ยังงัยก็ลองหาข้อมูลดูแล้วกัน ......อันนั้นเขาเรียกว่าเอากระดูกมาผสมกับแร่บางอย่างหลอกให้เป็นเนื้อเดียวกัน กลายเป็นเพชรครับ ส่วนเรื่องการเกิดพระธาตุ คงพิสูจน์ยาก เพราะการที่จะควบคุมเงื่อนไขให้เกิดนั้น คงต้องทำในห้องทดลอง แต่ขอสังเกตุที่ผมขอยกขึ้นมา คือ พระเกจิส่วนมาก จะประชุมเพลิงกลางแจ้ง ซึ่งน่าจะต่างกับการเผาศพทั่วไปที่ทำในเมรุ ตรงนี้อาจจะเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่การเกิดพระธาตุ ก็เป็นได้ .......... คนโบราณสมัยก่อนเขาก็เผากลางแจ้งทั้งนั้นครับ ไม่มีใครเป็นพระธาตุครับ ยกเว้นพระที่ท่านบรรลุธรรมจริงๆ คือเขารู้กันตั้งแต่ก่อนมรณะภาพแล้วครับ เพราะมีร่างกายบางส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวกับไฟก็แปรสภาพเป็นพระธาตุเยอะแยะครับ สรุปนะครับ ไม่น่าเชื่อว่าหว้ากอจะไม่ศึกษาแล้ว ยังตรรกะเพี้ยนหนักหลายคนเชียว กระบวนการเกิดพระธาตุไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากเก็บกระดูกที่ เชิงตะกอนครับ ยังคงเป็นเพียงรูปกระดูกแบบคนตายทั่วไปที่แตกหัก แต่ต้องพักไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะค่อยๆเพิ่มขึ้นและเปลี่ยนรูปร่างครับ ก็ยืนยันให้ไปถามหาคนที่เขาปฏิบัติจริงจัง ลองตั้งกระทูสำรวจก้ได้ครับ ที่เขามีประสบการณ์การปฏิบัติธรรมแบบจริงจัง เขาก็เจอประสบการณ์เหล่านี้จริงๆ ส่วนคนที่ไม่ได้ปฏิบัติแบบจริงจัง ก็อยู่นอกกลุ่มเป้าหมายครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 22:00:18

ความคิดเห็นที่ 81 venture รู้รึยังว่ามีบริษัทต่างชาติรับทำกระดูกเป็นพระธาตุ แต่ก็ขำ venture ตัวเองตรรกะเพี้ยนไม่ได้คิดอย่างวิทยาศาสตร์แม้แต่น้อยไม่เคยทำวิจัย แต่คิดว่าตัวเองทดลองแล้วถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ไปลงเรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐานซักตัว 2 ตัว ดีกว่ามั้งอย่างเรื่องความรู้พื้นๆทางพระทพุทธศาสนายังไม่รู้เลย งมงายไปทั่วไม่กล้าแม้แต่จะตอบความเห็นผมที่มี การสังคายนามาแล้วแต่ไปยึดติดกับกระพี้หรือติ่งหรือเนื้องอกของศาสนา แล้วเอามาพูด การทดลองอย่างผิดวิธี วิจัยโดยไม่หาวิธีลดตัวแปร มันก็ได้ค่าเป็นเท็จอย่าง venture กับพรรคพวก ทำนั่นละครับเดี็๋๋ยวนี้เขาไหว้ตัวพระศาสนาไม่ใช่่เนื้องอกของศาสนา จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 15:03:42

ความคิดเห็นที่ 82 ที่บ้านเราก็มีพระธาตุค่ะ แต่เราไม่ได้ปฏิบัติแบบเอาจริงเอาจัง เลยยังไม่กล้าพิสูจน์ใด ๆ เราก็อยากรู้นะคะ ว่าแตกตัวได้ยังไง คือแบบนี้ค่ะ เป็นเม็ดกลมใสเล็ก ๆ แต่แตกตัวออกมาเพิ่มจำนวนมากขึ้น ไม่มีใครเอามาใส่เพิ่มหรอกค่ะ ถ้าเป็นธาตุอย่างหินงอกหินย้อยในถ้ำ มันคงต้องมีเรื่องอุณหภูมิเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันถึงจะขยายใหญ่ขึ้น มันคงต้องมีนักวิทยาศาสตร์ที่นั่งทำอภิญญาพิสูจน์ให้ค่ะ ให้เค้าลองปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบเค้าน่าจะให้คำตอบคุณได้นะคะ จากคุณ : anumotanasatu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 17:19:18