 |
คุณ RouteRaideR #129 คะ
กรณีของดิฉัน ถ้าจะบอกว่าเกิดจาก "จิตหลอน" ก็ยิ่งทำให้เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า "ทำไมมันเกิดขึ้นแบบกระทันหัน" แบบนั้น มั่นใจล้าน ล้าน ล้านและล้านเปอร์เซ็นต์ว่าก่อนจะเกิดเรื่องนี่ตัวเองปกติดีทุกอย่าง อารมณ์ก็ปกติดี ชีวิตก็ไม่ได้มีเรื่องกดดันอะไร ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีทุกอย่างไม่มีเรื่องใด ๆ ให้กดดันจนถึงขั้นทำให้เกิดภาวะทางจิตใจเลย คือพูดง่าย ๆ ชีวิตมีความสุขปกติดีทุกอย่าง
แต่จำได้ว่ามันมาเริ่มเกิดอาการก็ตอนที่ตัวเองอัพบล็อกขอบคุณ Hi5 + Facebook + bloggang เพราะตอนนั้นก็เห็นรูปคนบางคนใน Hi5 และ Facebook และความรู้สึกตอนนั้นเหมือนรู้สึกว่าเค้าอ่านบล็อกของดิฉันอยู่ และเค้าน่าจะอ่าน comment ของดิฉันในพันทิปนี้ด้วย (คือก่อนหน้านั้นก็ความรู้สึกปกติดี รู้ว่านี่คือรูปของคนที่เราเคยรัก เคยตัดใจจากมา และความรู้สึกก็ธรรมดา ๆ ไม่ได้คิดถึงมากมายแบบบ้าคลั่งอะไร)
จากนั้นตัวเองเลยตัดสินใจอัพบล็อกเพื่อขอบคุณ 3 เว็บนี้ที่ทำให้คนที่จากกันมาสิบกว่าปีได้มีโอกาสรับรู้ข่าวคราวของกันและกัน จำได้ว่าโพสต์บล็อกนั้นในวันที่ 16 ก.ค. 2553 จากนั้นเริ่มมีอาการแปลก ๆ เริ่มมีอาการคิดถึงแต่ก็ยังไม่มีอาการเจ็บหัวใจอะไร แต่พอวันที่ 18 ก.ค. 2553 เท่านั้นแหละมันมีอาการเจ็บหัวใจ หัวใจหน่วงหนักแบบอาการเดียวกันกับตอนที่ตัดใจจากเค้ามาในปีแรกเลย และตั้งแต่วันนั้นเลยที่ใจน็อคไปอยู่ในภวังค์เลย และในช่วงใจน็อคตอนแรกคิดถึงมากกกกกกกกก อยากกลับไปหามาก แต่ยังไม่ได้ยินเสียง แต่พอช่วงหลัง ๆ ได้ยินเสียงมาเลย และอยู่ในภวังค์สื่อสารกันมาเลย แบบส่งภาพให้กันและกันได้ด้วย แต่พอเริ่มมีสติก็เกิดอาการกลัวตัวเองบ้าก่อนเพราะมันรู้สึกเหนื่อย ๆ กับการสื่อสารแบบนี้ เหมือนสมองเราทำงานตลอดเวลา จะอ่านหนังสืออะไรก็ไม่ได้เลย เพราะมีเสียงความคิดสื่อสารกันตลอดเวลา และที่สำคัญคือในช่วงอยู่ในภวังค์นั้นไปเปิดอัลบั้มรูปที่พี่ ๆ ในแผนกซื้อให้เป็นของขวัญในวันรับปริญญาในช่วงที่ยังทำงานอยู่ที่นั่น พอเปิดเจอบันทึกของตัวเองก็ยิ่งให้งง เพราะวันที่เจอกันวันแรกคือวันที่ 18 ก.ค. 2538 และเราดันมาเกิดใจน็อคในวันที่ 18 ก.ค. 2553
พอเล่าให้คนใกล้ตัวและคุณหมอฟัง ก็มีการเร่งให้ไปพบนักจิตวิทยาเลย ตอนนั้นโทรหานักจิตยาจะนัดแล้ว แต่พอดีเวลาไม่ตรงกันเลยยังไม่ไปพบ ก็จนค่อย ๆ ให้เวลาเป็นตัวช่วย คือช่วงนั้นก็ทั้งกลัว ๆ ว่าตัวเองเกิดอาการจิตหลอนด้วยเช่นกัน และจากนั้นเลยตั้งใจพิสูจน์กันตรง ๆ เลย โทรศัพท์พิสูจน์กันตรง ๆ ไปเลย พอมั่นใจว่าเสียงนี้คือเสียงการสื่อสารทางความคิดกันเอง ต่อมาเลยไม่รู้สึกกลัวแล้ว และจำได้ว่าในปลายเดือน ธ.ค. 2553 เป็นวันคริสต์มาส ในวันนั้นเหมือนเสียงเงียบไปและก่อนจะมีการเงียบยังมีการแซวกันอีกว่า "วันนี้สบายใจขึ้นรึยังครับ" (จะบ้าตาย...ตอนนี้นึกถึงแล้วจะแอบขำในใจซะมากกว่าว่าเป็นบ้าอะไรกันขนาดนั้น ชีวิตนี้ลึกลับดีจัง..)
รู้นะว่าอาจจะถูกคนในห้องนี้มองว่า "เพี้ยน" ไปอีก แต่ไม่เป็นไร เพราะตัวเองรู้ตัวว่าอารมณ์และความรู้สึกกลับมาปกติและมาอยู่กับปัจจุบันแล้ว ยกเว้นเจ้าอาการทางหัวใจที่ยังบีบรัดตัว แบบเจ็บนิด ๆ และหลังที่ร้อน ๆ อยู่ (แต่คุณหมอโรคหัวใจตรวจแล้วกลับไม่เจออะไร เพราะหัวใจปกติดี) และคำถามในใจคือ ช่วงที่เกิดเรื่องน่ะมันคือพลังอะไรที่มาควบคุมคนคนนึงที่ปกติดีให้ไปอยู่ในภวังค์ได้แบบนั้น และก็กลับมาเป็นปกติเอง และถ้าจะว่าเป็นการทำงานผิดปกติของสมองแล้วมันจะผิดปกติเพราะอะไร ก็สมองไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร คือถ้ามีการเกิดอุบัติเหตุแล้วได้รับบาดเจ็บนี่ก็จะว่าไปอย่าง อีกอย่างแล้วทำไมทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเองได้ คืออยู่ในภวังค์อยู่ 4 เดือนกว่า ๆ (ตอนนั้นนี่เรียกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ความจำก็เหมือนจะแบบเลอะ ๆ เลือน ๆ จิตใจและความรู้สึกกลับไปอยู่ในอดีต อยากกลับไปหาเค้าอย่างเดียว เหมือนความรู้สึกกลับเมืองไทยจริง ๆ เวลาขับรถอยู่ดี ๆ เหมือนตัวเองขับรถอยู่เมืองไทย เหมือนต้องขับชิดซ้ายเลย ตอนนั้นกลัวถึงขั้นไม่กล้าขับรถเอง บางทีก็เหมือนจำเส้นทางใกล้ ๆ บ้านแบบเลอะ ๆ เลือน ๆ) แต่พอหลัง ๆ ความรู้สึกเริ่มดีขึ้น เริ่มกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แต่การสื่อสารกันทางโทรจิตก็ยังทำได้เรื่อย ๆ จนต่อ ๆ มาเสียงความคิดที่สื่อสารกันก็ค่อย ๆ หายไปเอง
คือถ้าจะเชื่อตามคำตอบที่หาได้จาก google เรื่องของ "Twin Flame" หรือ "Twin Flame Magic" เหมือนเค้าพูดถึงเรื่อง Soul Connection อะไรประมาณนี้ แถมอาการนี่ดันไปตรงกับที่เค้าพูดไว้เกือบทุกอย่าง ที่สำคัญก่อนเจอกันนี่ เจอหมอดูทักไว้เรื่องเนื้อคู่ ดันมาตรงทุกอย่างอีก เรียกว่าเจอกันวันแรกนี่หน้าเค้ามาวนในหัวตั้งแต่วันแรกแล้วว่าเคยเจอที่ไหน แต่หาคำตอบไม่ได้ และด้วยความที่ตัวเองเป็นคนดื้อไม่เชื่อเรื่องหมอดูไง ขออยู่กับความเป็นจริงดีกว่า(ตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเหมือนนิยายยังไงไม่รู้..หุหุ)เพราะคิดว่าเราต่างกันเกินไป กลัวว่าอยู่ทำงานที่นั่นต่อแล้วจะยิ่งเผลอใจมากไปกว่านี้แล้วเกิดวันนึงครอบครัวเค้าเลือกคนที่เหมาะสมกับเค้าแล้วคนที่เจ็บจะเป็นเราเองนี่แหละ ก็เลยตัดใจและจากมา ตอนจากมาปีแรกก็ใจสะเปะสะปะ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ได้งานก็ทำงานไม่ได้ สมองไม่ทำงานเลย เรียกว่าอาการใจหน่วงหนักนี่ก็เกิดขึ้นมาแล้วในปีแรกที่จากมา(หนึ่งปีเต็ม ๆ ที่ใจสะเปะสะปะ) แต่ไม่ถึงขั้นสื่อสารกันทางความคิด(โทรจิต)ได้ และปีต่อ ๆ มาได้งานใหม่ก็พยายามเน้นใจไปที่งานและเวลาช่วยรักษาใจด้วยก็จนใช้ชีวิตตามปกติมาเรื่อย ๆ จนสิบกว่าปีต่อมาเริ่มเห็นรูปเค้าในไฮไฟและก็เฟสบุ๊ค ตอนแรก ๆ ความรู้สึกก็ปกติดี ก็ถือว่าเป็นรูปคนที่เราเคยรัก(มาก)ในอดีตเท่านั้น ก็ไม่ได้คิดมากอะไร แต่พออัพบล็อกขอบคุณไฮไฟกับเฟสบุ๊คและบล็อกแก็งค์เท่านั้นแหละ ได้เรื่องเลยเกิดอาการใจน็อคไปอยู่ในภวังค์ก็จนได้มาเกิดเรื่องราวประหลาด ๆ ลึกลับ ๆ น่ะ คือในชีวิตไม่เคยมีความรู้สึกคิดถึงใครแบบจะเป็นจะตายเหมือนที่มีความรู้สึกกับคนคนนี้ และไม่ใช่ว่าในชีวิตนี้จะไม่เคยปิ๊งหรือชอบใครซะหน่อย คือชีวิตตอนนั้นก็ตามประสาวัยรุ่นปกติ ก็มีเคยปิ๊ง ๆ ชอบ ๆ แล้วจากมาก็ผ่านไป แต่ก็ไม่ได้จะเป็นจะตายอะไรเลย ปกติไม่ใช่คนปล่อยใจให้ไปเรื่อยเปื่อยกับเรื่องพวกนี้ ชีวิตจะเน้นไปที่เรื่องเรียนกับเรื่องงาน และพอแต่งงานก็เน้นไปที่ครอบครัว แต่มีคนนี้คนเดียวที่ทำให้ตัวเองใจสะเปะสะปะได้แบบสองครั้งสองครา
ซึ่งพอเจอเรื่องแบบนี้มันเลยมีคำถามในใจว่า
- "พลังอะไรมาควบคุมคนที่ปกติดีทุกอย่างให้ไปอยู่ในภวังค์ได้แบบนั้น" - "ไอ้เจ้าหัวใจที่บีบรัดตัว เจ็บนิด ๆ(ตอนนี้แค่เจ็บนิด ๆ แต่ตอนอยู่ในภวังค์นี่เจ็บมากเหมือนหัวใจสองดวงขยุ้มกันอยู่เลย) หลังที่ร้อน ๆ ตรงบริเวณหัวใจนี่คืออะไร ทำไมคุณหมอโรคหัวใจตรวจแบบซีเรียสแล้วไม่เจออะไร" - "การสื่อสารกันทางโทรจิตและส่งภาพให้กันและกันนี่ทำไปได้ยังไง และถ้าจะว่าเกิดจากจิตหลอน อะไรทำให้เกิดจิตหลอน" - "และทำไมความรู้สึกต่าง ๆ กลับมาเป็นปกติเอง โดยที่ไม่ได้ไปพบนักจิตยาหรือจิตแพทย์อะไรเลย"
ปล. คือด้วยความที่เป็นคนเชื่ออะไรยาก นี่ขนาดว่าเจอคำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดแล้วจาก google ก็ยังอยากหาคำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลในด้านวิทยาศาสตร์ แต่พอเจอคำตอบทางวิทยาศาสตร์ในห้องนี้ก็คล้าย ๆ สรุปว่าเป็นเรื่องของการทำงานของสมองผิดพลาด แล้วทำไมอยู่ ๆ สมองผิดพลาดไปเอง และกลับมาเอง สรุปก็เลยยังมีคำถามคาใจต่อไป..หุหุ..
http://lightworkers.org/blog/116747/twin-flame-magic
^ ^ จากลิงค์นี้มีที่พูดถึงและใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
"They are two bodies with one soul and one beating heart sharing in unconditional love. To get to this happiness, they must endure a great amount of initiations. They are two bodies with one soul and one beating heart sharing in unconditional love. Everything becomes exposed. "AS YOU MIRROR EACH OTHER, YOU WILL KNOW EVERYTHING. YOU WILL KNOW YOUR TWIN SO VERY WELL ON THE INSIDE, IN THE HEART AND THE SOUL. YOU WILL KNOW HOW THEY FEEL AND YOU WILL KNOW HOW THEY THINK. YOU WILL EVEN HEAR THEM, AND YES, YOU WILL BE ABLE TO COMMUNICATE TELEPATHICALLY. DURING THE TESTING STAGES, YOU ARE GOING NUTS OR LOOSING YOUR MIND. THIS IS COMMON AMONG TWINS." "
==========================
"Twin Flames can only be compared to the bond between identical twins. "THEY ARE AWARE OF EACH OTHER'S THOUGHTS, FEELINGS, DESIRES AND NEEDS AT A LEVEL THAT IS HARD TO IMAGINE. THE DEPTH OF LOVE IS SUCH THAT TO BE APART EVEN FOR A DAY IS A HARDSHIP. WHAT IS MEANT BY THAT IS THAT THEIR HEARTS LITERALLY HURT WHEN THEY ARE SEPARATED FROM EACH OTHER. AS YOU CONNECT WITH AN INTEGRATE THE ATTRIBUTES AND QUALITIES OF YOUR OTHER HALF, SOMETHING MAGICAL HAPPENS - YOU RETURN TO WHOLENESS WITHIN YOU OWN BEING, AND YOU NO LONGER LOOK OUTSIDE YOURSELF FOR VALIDATION OR FOR WHAT YOU FEEL IS MISSING." " ==========================
ปล. อ่านดูแล้วอาจจะฟังดูเหมือนนิยาย แต่ดันเกิดอาการจริงกับชีวิตจริงของคน..หุหุ..
แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 54 01:25:13
จากคุณ |
:
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน.... (JC2002)
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ก.ย. 54 01:21:05
|
|
|
|
 |