ความคิดเห็นที่ 1 พูดถึงเรื่อง Quantum กันก่อน ในทางฟิสิกส์ เมื่อมีคำว่า Quantum โผล่มา แปลว่าเรากำลังศึกษาอะไรที่เล็กมากๆ อาจจะเล็กขนาดเล็กกว่าอะตอมด้วยซ้ำ แล้วทำไมฟิสิกส์ถึงต้องแยกโลก Quantum ออกมาล่ะ เพราะว่าในโลกนี้พฤติกรรมของสิ่งที่เราศึกษา เช่น อิเล็กตรอน ควาร์ก มันใช้ฟิสิกส์ดั้งเดิมประเภท F = ma ของนิวตัน ที่เราเีรียนกันเพื่อสอบ Entrance/Admission มาใช้อธิบายไม่ได้ แถมพฤติกรรมของสิ่งที่เราศึกษา ก็ขัดกับสามัญสำนึกเราด้วย เช่น อิเล็กตรอนอนุภาคที่ถูกยิงด้วยความเร็วใกล้แสง สามารถผ่าน Double-slit ทั้งสองช่องพร้อมๆ กันได้ ตำแหน่งของวัตถุแบบชี้ชัดไม่ได้ บอกได้ในรูปความน่าจะเป็นแบบ Wave function เท่านั้น แล้วทำไมพฤติกรรมแปลกๆ ในโลกควอนตัม จึงไม่เกิดในชีวิตประจำวัน มีคำอธิบายหลักๆ อยู่สองแบบ ที่นักฟิสิกส์คิดว่า่น่าจะใช่ แบบแรกคือ การตีความแบบโคเปนเฮเกน คือ "การที่ผู้สังเกตการณ์เข้าไปชั่ง ตวง วัด" เป็นตัวที่ทำให้เกิด Wave function collapse คืออะไรที่อยู่ในรูปความน่าจะเป็น เมื่อโดนชั่งตัววัด ก็จะ "เลือก" ค่าหนึ่งใน Wave function แค่ค่าเดียว การตีความแบบนี้ ทำให้เกิดกรณี "เหมียวของชโรดิงเจอร์" เป็นการล้อเลียนวิธีตีึความแบบนี้ เราเอาแมวใส่ในกล่อง แล้วในกล่องมี sensor ตรวจวัดการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีแค่อะตอมเดียว (สารกัมมันตรังสีสลายตัวในรูปความน่าจะเป็นครับ เรารู้แค่ค่าครึ่งชีวิต เช่น ถ้ามีสารร้อยอะตอม เวลาหนึ่งเดือนคือครึ่งชีวิต แปลว่าีิีอีกหนึ่งเดือนห้าสิบอะตอมจะสลายไป แต่ถ้าเราเอาอะตอมเดียวมาสังเกต เราไม่รู้หรอกครับว่ามันจะสลายเมื่อไหร่) ถ้าสลายจะปล่อยสารพิษให้แมวตาย ถ้าไม่แมวก็ยังมีชีวิต ในโลกของควอนตัม อะตอมนั้นอยู่ในภาวะทั้งสลายและไม่สลายตามสมการความ่าจะเป็น ดังนั้นแมวก็ต้องทั้งตายไปแล้ว และมีชีวิตอยู่พร้อมๆ กัน จนกว่าเราจะเปิดกล่องดู ฟังก์ชั้นคลื่นเต่า เอ้ย แมวจึงจะ "เลือก" ตาย หรือเป็น http://en.wikipedia.org/wiki/Copenhagen_interpretation http://en.wikipedia.org/wiki/Schr%C3%B6dinger%27s_Cat จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 03:28:55

ความคิดเห็นที่ 2 การตีความแบบที่สอง เป็นแบบที่ผมแอบเชียร์อยู่ลึกๆ คือ แบบมิติ/โลกคู่ขนาน นาย Hugh Everett นำเสนอการตีความแบบนี้ แต่วงการฟิสิกส์ไม่ยอมรับในตอนนั้น จนมาปัจจุบันนักฟิสิกส์หลายคนเริ่มยอมรับแบบทั้งเต็มใจและไม่เป็นใจเท่าไร การตีความแบบโลกคู่ขนานคือ เหตุการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมดในโลกของควอนตัม เกิดขึ้นจริงพร้อมๆ กันทั้งหมด เพียงแต่ "ผู้สังเกตการณ์์" รับรู้ได้แค่เหตุการณ์เดียว ส่วนเหตุการณ์อื่นก็รับรู้ได้โดยผู้สังเกตการณ์ในโลกอื่น แปลว่าณจุดที่เกิด Wave function collapse จริงๆ แล้วประวัติศาสตร์ได้แตกเป็นทางคู่ขนานไป ในกรณีเหมียวของชโรดิงเจอร์ เมื่อเราเปิดกล่องเราเห็นแมวตาย แต่ประวัติศาสตร์ที่แยกออกไป ตัวเราที่แยกออกไป ในโลกที่แยกออกไป ณ เวลาเดียวกัน เปิดกล่องเห็นแมวยังมีชีวิตอยู่ http://en.wikipedia.org/wiki/Many-worlds_interpretation จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 03:42:24

ความคิดเห็นที่ 3 เข้าใจแจกกิ๊ฟ + ขอบคุณครับ ทุกวันนี้มีคนศึกษา Quantum Physics เพียงเล็กน้อย แล้วยกผลการทดลองมาเกทับ โชว์ภูมิเหนือนักวิทย์มากมาย โดยไม่ศึกษาที่มาการแปลผลของมันซะก่อน ผมได้ยินแบบนี้มาตลอด (ซึ่งก็จริง สินค้า quantum ออกมาขายเรื่อยๆ) จนกระทั่งวันนึงได้มีโอกาสเจอกับตัวจนได้ มีคนนึงที่ผมรู้จัก ซึ่งผมเข้าใจมาตลอดว่าเขาเป็นผู้สนใจในวิทยาศาสตร์ ชอบอ้างชื่อไอนสไตน์บ่อยๆ แต่พอผมชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพ เขากลับไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจสักนิดเดียว แม้แต่เรื่องง่ายๆเช่นหลุมดำเป็นอะไร ยังไม่รู้ แล้วพยายามแย้งเรื่องความเร็วแสงกับผม เขานำ Quantum Entanglement มาอ้างว่าสสารสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง หรือ เตคีออน ซึ่งเดินทางเร็วกว่าแสงได้ แล้วให้เผา Theory of relativity ของไอนสไตน์ ทิ้ง เพราะเก่าเกินไปแล้ว ผมก็แย้งไปว่า  Quantum Entanglement ทุกวันนี้มันคืออะไรยังบอกไม่ได้เลย ส่วนเตคีออนนั้นยังไม่มีการค้นพบ แค่ตั้งชื่อไว้เฉยๆ เขาก็นำไปโยงเรื่อง จิตเร็วกว่าแสงของพระพทุธเจ้า ทำให้ทฤษฎีของไอนสไตน์ผิดเต็มๆ พอได้ยินแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะพูดว่าไงละครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 04:08:32 จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 03:44:26

ความคิดเห็นที่ 4 ที่นำเสนอการตีความทั้งสองแบบนี้ เพื่อลองให้วิเครา์ะห์กันดูว่า คำว่า "อนาคต" ในมุมมองของฟิสิกส์เป็นอย่างไร ที่ผมวิเคราะห์เป็นแบบนี้ ถ้ามองแบบโคเปนเฮเกน - การนั่งทางในไปรู้อนาคต ถือเป็นการเปิดกล่องฆ่าแมวหรือไม่ คือถ้าญาณหยั่งรู้อนาคตมีจริง แล้วคุณไปสังเกตการณ์อะไรบางอย่างที่อยู่ในรูปความเป็นไปได้แบบเหมียวของชโรดิงเจอร์ ว่าจะออกหัวหรือก้อย เท่ากับคุณเข้าไปทำให้เป็นอย่างที่คุณเห็นหรือไม่ กรณีนี้ยังไม่เกิด Paradox ขอเก็บเอาไว้วิพาษ์ต่อในเื่รื่องของ Neuroscience ถ้ามองแบบมิติคู่ขนาน - อนาคตแบบนี้ "พยากรณ์" ไม่ได้ครับ ณ ทุกๆ จุดที่มีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้หลายๆ เหตุการณ์ ทุกเหตุการณ์จะเกิดแยกกัน พร้อมกัน ในโลกคนละไป เมื่อคุณทำนายว่าผมจะโดนรถชน ณ เวลา A เมื่อเกิดเหตุการณ์ ณ จุด B โลกได้แยกเป็น B1 และ B2 ในโลกจาก A ไป B1 ผมถูกรถชน คุณกลายเป็นคนหยั่งรู้จริงๆ แต่ในโลกที่จาก A ไป B2 คุณกลายเป็นหมอดูธงหัก อนาคตแบบนี้หยั่งรู้ไม่ได้ครับ อันนี้เกิด Paradox แน่นอน สรุป ถ้าเวลา อดีต ปัจจุับัน อนาคต เป็นต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขา เราไม่มีทางหยั่งรู้อนาคตที่แน่นอนได้ รู้เพียงแค่เหตุการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด แต่ถ้าเวลาเดินทางเป็นเส้นตรงล่ะ ตรงนี้่ที่ Neuroscience จะมาเอี่ยว จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 04:04:35

ความคิดเห็นที่ 5 โอเค เรามาสมมติว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต เดินทางเป็นเส้นตรง เป็นเหตุการณ์เดียว จะควบคุมโดยพระเจ้า หรือกฎแห่งกรรมก็ตามแต่ เราสามารถพยากรณ์ได้หากรู้กระแสกรรม หรือเข้าถึงพระเจ้า ตรงนี้เองที่ Free will หรือว่าเจตจำนงค์อิสะโผล่เข้ามา เจตจำนงค์อิสระคืออะไร มีหลายนิยามมาก แต่นิยามที่สั้นๆ และโดนใจผมมากที่สุดคือ "ถ้าควบคุมปัจจัยทุกอย่างในเอกภพให้เหมือนกันหมด แล้วย้อนเวลากลับไป ณ จุดที่คุณตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณจะสามารถเลือกทำในสิ่งที่ต่างไปได้" บางคนเชื่อว่า "จิต" เป็นตัวควบคุม  Free will คือปัจจัยทางกายภาพทั้งหมดถูกควบคุมให้เหมือนกัน แต่เรามี "จิต" นอกกายที่จะสั่งให้เราทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ตรงนี้เองที่ Paradox เกิดขึ้น ถ้าญาณหยั่งรู้เห็นว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นเส้นตรง พยากรณ์ได้ แปลว่าเราไม่มี Free will เราไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรอื่นๆ ได้ แม้แต่ผู้มีญาณหยั่งรู้เอง ก็ไม่ได้ตัดสินใจฝึกญาณจนหยั่งรู้ แล้วพยากรณ์ออกมาก แต่ถูกประวิติศาสตร์ที่เป็นเส้นตรงบังคับให้ทำเช่นนั้น เมื่อไม่มี Free will ไม่มีอะไรมาตัดสินใจให้เราประพฤติต่างจากประวัติศาสตร์ได้ "จิต" จึงมีก็เหมือนไม่มี จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 04:22:27

ความคิดเห็นที่ 6 ขอพักก่อน เดี๋ยวมาต่อเรื่อง Neuroscience, Free will, จิต และ Dirac equation ต่อ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 04:27:11

ความคิดเห็นที่ 7 มาลงชื่อไว้ก่อนครับ เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ #5 ทำไมผมไม่เคยเฉลียวใจนึกได้มาก่อนนะ! จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 04:42:03

ความคิดเห็นที่ 8 มันมีเรื่องที่เป็รช่องโหว่ ลักลั่น ในศาสนามากมาย เช่น ห้ามสงสัย ต้่องเชื่อโดยบริสุทธฺ์ใจ จึงจะถือว่าดี เป็นคุณธรรมอย่านึง แท้จริงแล้วดูออกได้ง่ายๆ ว่าแนวความคิดนี้ใช้เพื่อปกครองให้ได้ง่ายๆ เท่านั้น จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 05:38:43

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ^ ห้ามสงสัย ไม่อยู่ในศาสนาพุทธนะครับ จากคุณ : [STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 07:49:24 A:58.10.231.25 X: TicketID:267882

ความคิดเห็นที่ 10 เยี่ยมครับ รอคอยกระทู้แบบนี้มานานแล้ว จะได้ถกกันซะทีว่าอนาคตคืออะไร จากคุณ : omega. เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 08:13:47

ความคิดเห็นที่ 11 การตีความมี 2 แบบเหรอครับ เรื่อง Free will โดนใจมากเลยครับ ส่วนตัวผมมีความเห็นว่า Will ของคนก็เป็น Prob Function แบบหนึ่งคือประสบการณ์และสิ่งที่ผ่านมาทำให้ prob ในการตัดสินใจแต่ละเรื่องมากน้อยต่างกัน แต่สุดท้าย Free will ก็จะเป็นตัวเลือกอยู่ดีว่าเหตุการณ์ใดที่เราเลือกเหมือน random number with probability distribution แบบหนึ่ง สุดท้ายยังเกิดแบบสุ่มอย่างมีโอกาสไม่เท่ากัน แต่ความสุ่มนี่คือ Free will ของคน จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 08:16:42

ความคิดเห็นที่ 12 เดี๋ยวก็มีคนมาสอนเรื่อง อภิญโญง อภิญญา อีก จากคุณ : yaithan เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 08:17:26 A:223.207.24.186 X: TicketID:311809

ความคิดเห็นที่ 13 #5 ครับ แล้วถ้าเรา มี free will และมีกระแสกรรมพร้อมๆกันล่ะครับ กระแสกรรม เป็นเครื่อง "ชักจูง" ให้เราทำสิ่งหนึ่งๆ ในขณะที่เรายังมี free will ที่จะเลือกทำหรือไม่ทำตามการชักจูงนั้น โดยสมมุติว่า กรรมหนักจะชักจูงแรง กรรมเบาจะชักจูงเบา และสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนการวิปัสสนา เป็นการเสริมความหนักแน่นของ free will ทำให้สามารถเลือกและตัดสินใจเดินบนเส้นทางในโลกคู่ขนานได้ถูกทาง และการทำนาย เป็นเพียงการมองดูกรรมเท่านั้น ไม่ได้ตัดสินที่ free will โดยเราก็ยังมีมิติคู่ขนานที่สามารถเกิดได้ทุกแง่ทุกมุมพร้อมๆกัน แต่คนทำนายจะมองเห็นเฉพาะเส้นทางที่กรรมลิขิต จึงมีคำพูดในหมู่นักวิปัสสนาว่า "ถ้าฝึกวิปัสสนามาแล้ว ไม่ต้องไปดูหมอ หมอจะทายไม่แม่น" แบบนี้จะยังถือว่ามี paradox หรือไม่ครับ #8 ศาสนาพุทธจริงๆไม่ได้สอนให้ห้ามสงสัยครับ สงสัยเข้าไปแล้วพิสูจน์ให้เห็นเอง ส่วนที่เค้าบอกต่อๆกันมา ว่าต้องไม่สงสัยในพระรัตนตรัย ถือเป็นคุณธรรม ไม่สงสัยจึงจะบรรลุ มันเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง เพราะเค้าเหล่านั้นเชื่อว่าพระพุทธเจ้าพูดจริง ถ้าคุณ"ลองปฏิบัติตาม"แล้ว คุณจะพบเห็นสิ่งเดียวกับพระพุทธเจ้า ทำให้คุณหายสงสัยในตัวและคำพูดของพระรัตนตรัยเอง ไม่ใช่ว่านั่งเฉยๆอยู่ที่บ้านแล้วก็โดนสั่งให้ห้ามสงสัย ส่วนที่มีบางสำนักบอกให้ห้ามสงสัยก่อน จึงจะปฏิบัติสมาธิรูปแบบหนึ่งได้ นั่นเป็นแค่การระงับความคิดใดๆขณะนั่งสมาธิครับ ถ้ามัวแต่สงสัย ความคิดก็จะฟุ้ง ไม่นิ่งซะที จึงให้ดับความสงสัยไปชั่วคราวก่อน จากคุณ : กาลครั้งหนึ่งบนดวงดาวสีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 08:33:34

ความคิดเห็นที่ 14 ปล. ส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าปัจจุบันจะมีผู้หยั่งรู้นะครับ ไม่เชื่อเรื่องเพ่งกรรม แก้กรรม ผมเชื่อแค่สิ่งที่เป็นแกนของศาสนาพุทธเท่านั้น และจากที่เริ่มศึกษามาได้ซักพัก จึงเอาความรู้อันน้อยนิดมาสรุป แล้วลองโพสดู อย่าว่าผมนะครับ อยากถกด้วยจริงๆ จากคุณ : กาลครั้งหนึ่งบนดวงดาวสีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 08:46:30

ความคิดเห็นที่ 15 คห.8 ของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่าน"ไม่เคย"บอกนะครับว่าต้องเชื่อในคำสอนท่านนะ ห้ามสงสัย ท่านจะบอกไว้ว่า เมื่อได้ฟังคำสอนของท่านแล้ว อย่าเพิ่งเชื่อโดยทันที ขอให้นำไป"ปฏิบัติ"ดูก่อน("ปฏิบัติ"นะครับ ไม่ใช่"คิด")เมื่อเห็นผลตามที่ท่านว่าแล้วจึงค่อยเชื่อ ถ้าไม่ได้ผลตามที่ท่านว่าแล้วจะไม่เชื่อก็ตามใจ แต่หลายๆคนจะเข้าใจผิดระหว่าง"การปฏิบัติ"กับ"การคิด" พระพุทธเจ้าท่านเคยเปรียบเทียบไว้ให้พราหมณ์ผู้หนึ่งที่สงสัยว่าทำไมทุกคนที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วทำไมบางคนได้ผลบางคนไม่ได้ผลว่า "การสอนธรรมะของท่านก็เหมือนการบอกเส้นทางการเดินทางไปเมืองแห่งหนึ่งว่าต้องเดินทางอย่างไรจึงจะไปถึงเมืองแห่งนั้น หากผู้ฟังๆแล้วเอาแต่คิดตาม แต่ไม่ยอมออกเดินทาง ก็ย่อมไม่มีทางเดินทางไปถึงเมืองนั้นได้ ผู้ที่เอาแต่นั่ง"คิด"แต่ไม่ได้"ปฏิบัติ"ตามคำสอนของท่านก็ย่อมไม่สามารถรู้ธรรมได้ เหมือนอย่างผู้ที่เอาแต่คิดแต่ไม่ออกเดินทางก็ไม่สามารถไปถึงเมืองที่หมายได้นั่นเอง" จากคุณ : Kudo Kai เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 08:49:09

ความคิดเห็นที่ 16 ตกลงสรุปให้ฟังหน่อยสิครับ ว่า อนาคตถูกกำหนดไว้แล้ว เราแค่เดินตามมัน หรือ อนาคตมันเกิดขึ้นแบบสุ่ม เราเองก็มีส่วนในการควบคุมได้บ้าง จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 08:56:13

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าตามมุมมองที่ผมเคยเสนอไว้ ถ้ามองอนาคต คือ output ของการกระทำต่างๆ ซึ่งเป็น input ถ้าสามารถคาดการณ์ input ได้ ก็สามารถบอก อนาคตได้ ทุกวันนี้ ในกรณีของความเห็นที่ 5 เป็นไปได้ไหมครับ ว่า "Free Will" คือการที่ค่า input หรือตัวระบบไม่สามารถคาดคะเนได้ ทำให้การ คาดการณ์อนาคต เป็นไปได้ยาก ความคิดเห็นที่ 56 [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ผมมองว่า ท่านที่เห็นอนาคตจริงๆ อาจจะเป็นความสามารถในลักษณะของการทำ simulation ก็ได้ การทำ simulation คือการที่บอกอนาคตได้อย่างหนึ่งภายใต้สถานะของระบบ และ input ที่เหมาะสม ท่านที่เห็นอนาคตได้แม่น อาจจะเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจถึงความซับซ้อนของระบบ และพิจารณาถึง input ได้ครบถ้วน แต่การเห็นอนาคต ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกต้องเสมอไป เพราะ ถ้า input เปลี่ยน หรือ ระบบมีการเปลี่ยนแปลง อนาคตที่ predict ได้ก็อาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว จากคุณ : วิศวกร ความรู้น้อย จากคุณ : วิศวกร ความรู้น้อย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 09:22:59 A:168.120.4.125 X: TicketID:191297

ความคิดเห็นที่ 18 ในคัมภีร์ทางพุทธนะครับ แม้แต่พระพุทธเจ้าเมื่อพูดถึงอนาคตก็ยังใช้คำว่าพยากรณ์เลยครับ แปลว่าอนาคตที่พยากรณ์ได้ ไม่ใช่อนาคต 100% แต่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด เหมือนเราเห็นน้ำไหลจากก๊อกลงถังด้วยความเร็วอัตราหนึ่ง เราก็สามารถพยากรณ์ได้ง่ายๆเลยว่าอนาคตไม่นานมันจะล้น แต่อนาคตมันไม่แน่อาจจะมีคนเดินมาปิดก็อก ถ้าเรารู้อีกว่ามีคนอยู่ในบริเวณก๊อกน้ำหรือไม่ เราก็จะทำนายได้แม่นยำขึ้นไปอีก การที่เราจะทำนายแม่นเท่าไหร่ก็ขึ้นกับเรารู้อดีตและปัจจุบันมากเท่าไหร่ เรื่องห้ามสงสัย ศาสนาพุธไม่ได้ห้ามนะครับ ก็เหมือนเวลาคุณเดินบนท่อนไม้ที่พาดผ่านหุบเหว เขาห้ามมองลงไปข้างล่าง มันมีเหตุผลว่าทำไมถึงห้ามมองเพราะทิวทัศน์ข้างล่างอาจจะรบกวนการทรงตัวของเราอาจทำให้พลัดตกลงไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่บนที่ปลอดภัยก็ห้ามมองลงไปด้วย เราสามารถครุ่นคิดตรึกตรองพิจารณาถึงเหตุผลต่างๆได้ แต่การครุ่นคิดอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ถึงจุดหมาย ถ้าจะไปให้ถึงจุดหมายก็ต้องเดินด้วย จากคุณ : spiderman เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 09:24:24 A:124.120.50.164 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 19 โอเคมาต่อครับ เรามาดูเรื่อง "จิต" กัน ในทางศาสนา ทุกศาสนาเชื่อว่า "จิต" กับกายเนื้อเป็นคนละอย่างกัน กายเนื้อแตกสลายได้ จิตเป็นอมตะ กายเนื้อเป็นเหมือหุ่นเชิด ขณะที่จิตเป็นผู้เชิด โยงกับเจตจำนงค์อิสระคือ จิตเป็นตัวกำหนดเจตจำนงนั่นเอง แต่ทางวิทย์ เรามองว่าจิตเป็น "ปรากฏการณ์ของสมอง" ครับ กายเนื้อเป็นคนสารจิต ซึ่งก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของกระแสประสาทในสมอง เอาล่ะ ผมขอสมมติว่ามุมมองของศาสนาถูกแล้วกัน ว่ามีอะไรนอกเหนือกายเนื้อที่ควบคุมเราอยู่ จะโยงไปเรื่องผีเลยก็ได้ ทีนี้ สิ่งที่คนเชื่อต้องตอบปัญหาคือ คุณจะปรับ Dirac Equation อย่างไร Dirac equation เป็นสมการที่ใช้อธิบายพฤติกรรมของอิเล็กตรอน ที่เกิดจากแรงต่างๆ มากระทำในชีวิตประจำวัน เช่น แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า นักฟิสิกส์พิสูจน์กันมานักต่อนักแล้วว่าสมการนี้ถูกต้อง และเพียงพอที่จะอธิบายพฤติกรรมของอิเล็กตรอนในภาวะปรกติ ในชีวิตประจำวันของเรา (ภาวะไม่ปกติ ผมเดาว่าคงเป็นช่วงเสี้ยวของเสี้ยวๆๆๆๆ วินาทีหลังบิ๊กแบง หรือในเจ้าเครื่อง LHC ที่ CERN) ทำไมอิเล็กตรอนถึงสำคัญ เอาง่ายๆ ขณะคุณอ่านกระทู้นี้ แล้วตัดสินใจเอามือขวาขึ้นมาเกาหัวเพราะงง เซลล์ประสาทในสมองได้ส่งกระแสประสาท โดยศักย์ไฟฟ้าในระบบประสาทไปยังกล้ามเนื้อแขนของคุณ ระบบศักย์ไฟฟ้าในร่างกายเรา แม้จะแตกต่างซับซ้อนจากไฟฟ้าที่มากับสายไฟ แต่ก็ใช้อิเล็กตรอนเหมือนกัน ถ้าจิตนอกเหนือกายเนื้อมีจริง คุณต้องตอบให้ได้ว่า จิตสั่งการอย่างไร จับกับอิเล็กตรอนด้วยพลังงานอะไร แม่เหล็กไฟฟ้าเหรอ แรงโน้มถ่วงเหรอ แรงนิวเคลียร์หรือเปล่า ถ้าไม่จับกับอิเล็กตรอน จับกับตัวรับสารสื่อประสาทตัวไหน GABA เหรอ Serotonin เหรอ หรือว่า Dopamine ถ้าอธิบายได้ เรื่องผีมีจริงหรือไม่ก็พิสูจน์ได้ไม่ยากแล้ว http://blogs.discovermagazine.com/cosmicvariance/2011/05/23/physics-and-the-immortality-of-the-soul/ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 09:25:53

ความคิดเห็นที่ 20 กระทู้นี้ดี มีคุณภาพ จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 09:38:54

ความคิดเห็นที่ 21 คนบนโลกมีหลายมุมมอง เอามาเฉลี่ยกัน ตัวผู้พยากรณ์เองก็ต้องเลือกว่าจะใช้มุมมองไหนในการพยากรณ์ ถึงจะปรับมุมมองให้ตรงกัน ก็พยากรณ์ได้แค่เรื่องง่ายๆ และแค่ใกล้เคียงเท่านั้นเอง ไม่ตรงเป๊ะๆทุกเรื่องหรอกครับ เชื่อว่าอิสระระดับหนึ่งเชียวแหละ จากคุณ : ของเล่นใหม่ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 09:53:04

ความคิดเห็นที่ 22 โอเค มาดูเรื่องเจตจำนงค์อิสระกันมั่ง เจตจำนงค์อิสระเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ครับ เวลาเรามองดูหน่วยย่อยๆ ในธรรมชาติ ของทุกอย่างถูกควบคุมด้วยกฎฟิสิกส์และเคมี เช่นน้ำให้ความร้อนน้ำเท่านี้ ณ ความสูงจากระดับน้ำทะเลเท่านี้ น้ำจะเดือดเสมอ น้ำไม่มีเจตจำนงค์อิสระจะเลือกว่าเดือดหรือไม่เดือดหรอกครับ ถ้าเรารู้เหตุปัจจัยทั้งหมด เราจะพยากรณ์ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่สิ่งที่ซับซ้อนขึ้นเรื่องๆ เช่น แบคทีเรีย มีใครบ้างคิดว่าแบคทีเีรียมีเจตจำนงค์อิสระครับ? แต่ระหว่างกระบวนการวิวัฒนาการ เจ้าเจตจำนงค์อิสระดันโผล่ขึ้นมาเฉยๆ นักวิทยาศาสตร์พยายามวิจัยดูว่าเจ้าเจตจำนงค์อิสระมีจริงไหม ถ้ามีจริงเกิดได้อย่างไร ทำงานอย่างไร การทดลองหนึ่งที่ผมเขียนถึงหลายครั้งแล้ว เป็นการทดลองที่ผมอ่านครั้งแรกแล้วเปลี่ยนทัศนคติของผมไปเลย คือการทดลองของ Benjamin Libet ครับ การทดลองโดยย่อคือ เขาจะวัดค่ากระแสไฟฟ้าในสมอง ขณะเดียวกันก็ให้ผู้ทดลองเลือกกดปุ่มในมือซ้าย หรือมือขวา โดยผู้ถูกทดลองจะต้องดูตำแหน่งของนาฬิกา หรือภาพ หรือตัวอักษรที่ฉายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วต้องบอกว่าขณะตัดสินใจว่าจะกด ตำแหน่งของนาฬิกา หรือภาพเป็นอย่างไร ผลปรากฏว่า ผู้สังเกตการณ์รู้ว่าผู้ถูกทดลองจะเลือกปุ่มขวา หรือซ้ายโดยดูผลจากกระแสไฟฟ้าสมอง และผลนั้นรู้ได้เกือบสิบวินาทีล่วงหน้าที่ผู้ถูกทำการทดลองจะบอกว่าตัดสินใจแล้วเสียอีก ตีึความในเบื้องต้นว่า จริงๆ แล้วกายเนื้อเราตัดสินใจทำพฤติกรรมต่างๆ ไปเีรียบร้อยแล้ว แล้วจึงสร้าง "จิต" ขึ้นมาเป็นเจ้าของพฤติกรรมนั้นๆ เป็นการหลอกตัวเองว่าเรามีเจตจำนงค์อิสระ ทั้งๆ ที่จริงทุกอย่างเป็นแค่ปฏิกิิริยาชีวเคมีในสมอง การทดลองของ Libet อันแรก ยังมีข้อกังขามากมาย แต่ันักวิทยาศาสตร์ได้ปรับปรุงให้ซับซ้อนมากขึ้น ใ้ห้ใกล้เคียงพฤติกรรมของเราในชีวิตประจำวัน ผลก็ยังเหมือนเดิม ที่กายเนื้อแจ้งให้ึคนอื่นรู้ก่อนเจ้าของกาย ว่าตัวเจ้าของจะทำอะไร หลายวินาทีก่อนเจ้าของกายนั้นจะรู้ตัว การทดลองนี้สั่นคลอนเรื่องเจตจำนงค์ิอิสระมากครับ แต่มันยังถือว่าอยู่่ในช่วงตั้งไข่ ถ้าเทคโนโลยีพัฒนาไปมากๆ เราอาจจะมีหน่วยกำจัดอาชญากรรมล่วงหน้าแบบหนัง minority report ก็ได้ครับ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 09:57:45

ความคิดเห็นที่ 23 เอาล่ะผมนึกไม่ออกแล้วจะลงอะไรอีก ขอสรุปสุดยอดของความลักลั่นย้อนแย้งไว้แล้วกัน มุมมองของทางศาสนาที่มองว่า จิตนอกกายมีจริง เรามีเจตจำนงค์อิสระที่จะเลือกทำอะไรก็ได้ ถ้าโลกเป็นอย่างนี้จริงๆ การหยั่งรู้อนาคตล่วงหน้าแบบแม่นยำ แทบเป็นไปไม่ได้ ที่่น่าขันคือ โลกในทัศนคติของนักวิทยาศาสตร์ ที่ทางศาสนาต่อต้าน คือ จิตเป็นแค่ปรากฏการณ์ของกายเนื้อ เราไม่มีเจตจำนงค์อิสระ โลกแบบนี้ต่างหากที่ญาณหยั่งรู้ล่วงหน้าแบบแม่นยำเป็นไปได้ สรุปแบบกวนบาทาคือ การ "ฝึกจิต" เพื่อหยั่งรู้อนาคตได้อย่างแม่นยำ ทำได้เมื่อ "จิต" ไม่มีจริง เหอๆๆๆ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:06:56

ความคิดเห็นที่ 25 #16 ในทัศนคติของนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อว่า Free-will มีจริง อนาคตถูกกำหนดมาแล้วครับ เพียงแต่วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอนุญาตให้เรารับรู้เวลาได้แบบเป็นเส้นตรง อดีตไปปัจจุบันไปอนาคต (ถ้าเรารับรู้เวลาเชิง Quantum ละก็เราจะรับรู้อดีตปัจจุบันอนาคตไปพร้อมๆ กัน) แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เราถูกสร้างให้รู้สึกว่าเี่ราควบคุมอะไรๆ ได้ รู้สึกว่าเรามีเจตจำนงค์ที่จะทำอะไรๆ ได้ แต่นี่เป็นสมมติฐานครับ ยังไม่กลายเป็นทฤษฎี ยังอยู่ในระยะตั้งไข่มากๆ ยังสบายใจได้ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:17:05

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้ามนุษย์เราไไม่มี freewill แสดงว่าการกระทำของมนุษย์ไม่ควรจะต้องรับผิดชอบ? ผมเห็นผู้หญิงอยู่ข้างหน้าผม ถ้าตอนนี้ ถ้าผมลุกไปจีบเขา ผมก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ? เพราะอนาคตถูกกำหนดไว้แล้ว ในเชิงควอนตัม ผมจะจีบเธอติดหรือผมจะแห้วล้วนถูกกำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น ต่อให้เราอธิบานว่าอนาคตแตกเป็น tree คล้ายต้นไม้  อะไรหละ เป็นตัวกำหนดว่าเราจะติดหรือไม่ติด ให้ตายสิ ผมไม่ชอบแนวคิดนี่้เลย มันจะก่อให้เกิดคำถาม ใครเป็นคนกำหนดอนาคต พระเจ้าเหรอ ผมไม่ชอบแนวคิดที่มนุษย์ไม่มี freewill เลย ถ้าอนคตคุณจะ ล่มจม ก็หมายคามว่าคุณต้องเดินไปสู่ความล่มจมนั่นโดยไมท่มีทางเลี่ยงสินะครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:28:48

ความคิดเห็นที่ 27 แต่นี่เป็นสมมติฐานครับ ยังไม่กลายเป็นทฤษฎี ยังอยู่ในระยะตั้งไข่มากๆ ยังสบายใจได้ นักวิทยาศาสตร์ก็ควรจะสบายใจได้เหมือนกันครับ เพราะอนาคตมันถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าจะพบ หรือไม่พบ ไม่ต้องพยายาม ต่อให้อนาคตเป็นโลกคู่ขนาน คุณก็สบายใจได้ครับว่า โลกที่คู่ขนานกับเราซักโลกหนึ่งจะค้นพบมันเอง จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:31:23

ความคิดเห็นที่ 28 เป็นอะไรที่ขัดแย้งกันจริงๆ... ส่วนตัวผมเชื่อว่า Free Will ไม่มีจริง ด้วยเหตุผลง่ายๆ (แต่พิสูจน์ไม่ได้) ถ้าผมย้อนเวลาไปดูตัวเองตั้งแต่แรกเกิด เฝ้าดูจนเติบโต โดยไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีต ตัวผมในอดีต จะต้องดำเนินรอยตามผม ทุกการคิดและตัดสินใจ จะเหมือนผมราวกับภาพที่บันทึกไว้ในวิดีโอ เช่นนั้นแล้ว การตัดสินใจของผม ก็จะไม่มีจริง ทุกอย่างถูกกำหนดไว้โดยธรรมชาติ (แต่คงไม่มีทางคาดเดาได้) ======================================== เมื่อเราเลือกที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ ความดี ความชั่ว จึงเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับผม เพราะกรรม ไม่ใช่สิ่งที่เราสร้าง มันมาเอง ดังนั้น ผมจึงเชื่อโดยส่วนตัวว่า ชีวิตไม่มีสาระอะไรเลย ปล. 1 มันเป็นแนวคิด และเป็นความเชื่อส่วนตัว และมันกำลังครอบงำผม ปล. 2 เป็นแค่ความเชื่อส่วนตัวจากสมมุติฐานโง่ๆ ของผมเท่านั้น ไม่ควรเอาไปหักล้างหรือยัดเยียดให้ใคร จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:34:50

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าเรารับรู้เวลาเชิง Quantum คงจะปวดตับพอดู จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:36:12

ความคิดเห็นที่ 30 อีกอย่าง ถ้าเชื่อว่าไม่มี Free Will แล้ว ไม่ต้องติดคุก มันคนละเรื่องกัน Free Will ส่วน Free Will กฎหมายส่วนกฎหมาย กฎแห่งกรรมส่วนกฎแห่งกรรม ข่มขืนผู้หญิง เพราะไม่มี Free Will จริง ข่มขืนผู้หญิง โดนจับดำเนินคดีติดคุก จริง ข่มขืนผู้หญิง แล้วกฎแห่งกรรมเอาคืน (ไม่รู้) ทำความผิด ก็ต้องรับโทษตาม กฎหมาย หรือกฎแห่งกรรม เพียงแต่ว่า ความผิดที่กระทำ มันไม่ได้เกิดจากเจตจำนงค์ที่แท้จริง (เพราะมันไม่เคยมี) ผมจึงเชื่อส่วนตัวว่า ชีวิต กรรม มันเป็นเรื่องไร้สาระ จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:41:15

ความคิดเห็นที่ 31 น่าแปลกใจที่เอาทฤษฏีในเศษกระดาษ ที่เป็นเพียงสมมุติฐาน มาวิเคราะห์ปรากฏการณ์จริง ไปเอามาจากไหนครับ ทฤษฏีจิตอมตะ  จริงแล้วเมื่อเข้าใจเรื่องอนัตตา คุณก็จะพบว่า จิตก็ไม่มีจริงครับ ว่าแต่ศึกษาถึงตรงนี้เหรอยังครับ เรื่องอนาคตังสญาณ ก้เคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่า มันขึ้นกับกระแสกรรม ฝ่ายกุศล อกุศล  แต่ไม่รวม อัพยากฤต การกระทำที่ไม่บุญไม่บาป ไม่สามารถมองเห็นได้ การยกตัวอย่างไปหลายรอบแล้ว เรื่องหลวงพ่อจรัญ เป็นเคสตัวอย่างของจริงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ถ้าใครอยากรู้ให้แวะไปกราบท่านที่สิงห์บุรีครับ และก็ยังมีมีอีกหลายๆเคสที่สามารถพิสูจน์และสัมภาษณ์ได้ในขอบเขตที่เหมาะสม โลกคู่ขนานเป็นทฤษฏีที่พิสูจน์ไม่ได้ครับ มันเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้นเอง ย้ำอีกทีว่าเรื่องเหล่านี้ เกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้วครับ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดเฉพาะในยุคนี้ จึงมีบันทึกอยู่มากมายครับ จะเรียกว่าอ้างตำราก็คงไม่ถูกทีเดียวครับ ถ้าเข้าใจในกฏแห่งกรรม ก็จะรู้จักคำว่า ผลแห่งกรรมเก่า และกรรมใหม่ ในพุทธศาสนามักจะสอนเสมอๆให้ ทำสติให้อยู่กับปัจจุบัน ในความหมายของคำว่า FREE WILL คือเราเป็นตัวกำหนดชีวิตด้วยกรรมของตน แต่ไม่ 100% เพราะต้องสัมพันธ์กับผลของกรรมเก่าที่ตนเองสร้างเอาไว้ด้วย ยกตย. ง่ายๆ สมมุตว่าคุณไปจีบสาวคนหนึ่ง คุณต้องใช้ความพยายาม มีการตั้งเจตนา และนี่ก็คือกรรมปัจจุบันที่คุณกำหนดเอง แต่เพราะผลของกรรมเก่าทำให้คุณเกิดมาหน้าตาขี้เหร่ หรือหล่อได้ใจ มันจึงเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ หรือแม้แต่ทฤษฏีพยากรณ์ศาสตร์ทั้งหลายก็อาศัยสถิติ มาเกี่ยวข้อง แต่เพราะมีกรรมปัจจุบันมาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โอกาสที่จะทำนายถูกนั้นมันลดลง เรื่องอนาคตังสญาณเป็นประสบการณ์ที่สามารถศึกษาได้ไม่ยากครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:43:08

ความคิดเห็นที่ 32 จุดผิดพลาดของทฤษฏีโลกคู่ขนาน คุณก็ยกมาเองว่า โลกหนึ่งแมวตาย โลกหนึ่งแมวมีชีวิตอยู่ แล้วมันจะเรียกโลกคู่ขนานได้ยังไงครับ เอาทฤษฏีความน่าจะเป็นมาใช้ไม่ได้หรอกครับ เพราะความน่าจะเป็นไม่ได้มีแค่ สองโลก เช่น ในบ่อนแห่งหนึ่ง เล่นโยนลูกเต๋า 6 ด้าน ก็แปลว่าต้องมี 6 โลกใช่ไหมที่ขนานกัน เพราะผลของเหตุการณ์มันต่างกัน หรือถ้ามีลูกเต๋าสองลูก 6+6 ก็แปลว่าความน่าจะเป็นหรือเงื่อนไขที่เป็นไปได้ก็เพิ่มทวีคูณ ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้เลยครับ กับความซับซ้อนของโลกที่ไม่ได้มีทางเลือกของเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กัน โลกคู่ขนาน มันเป็นเพียงแค่ทฤษฏีในกระดาษ ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:54:15

ความคิดเห็นที่ 33 ... จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 10:55:03

ความคิดเห็นที่ 34 สงสัยเรื่องการทดลองของ Libet ครับ จากที่บอกว่า "..และผลนั้นรู้ได้เกือบสิบวินาทีล่วงหน้าที่ผู้ถูกทำการทดลองจะบอกว่าตัดสินใจแล้วเสียอีก" คือ ผู้ถูกทดลองตัดสินใจแล้วว่าจะกดปุ่มไหน แล้วจึงแจ้งผู้ทดลองหรือเปล่า เพราะเท่าที่อ่านดู ถ้าเป็นผมเป็นผู้ถูกทดลองก็คงจะทำตามขั้นตอนคือ ดูนาฬิกา เลือกปุ่ม แจ้งผู้ทดลอง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ กระแสไฟฟ้ามันก็ย่อมเกิดขึ้นก่อนที่ผู้ถูกทดลองจะแจ้งการตัดสินใจของตัวเองอยู่แล้ว ผมคิดว่าถ้า Free Will จะมีอยู่จริง พื้นฐานของมันควรจะมาจากกลไกในระดับควอนตัม เหมือนอย่างเรื่องแมวของชโรดิงเจอร์ แล้วมีกลไกที่แปลงจากความไม่แน่นอนในระดับควอนตัมนั้นให้มาเป็นผลทางคลาสสิค เช่น อาจมีกล่อง 2 กล่อง กล่อง 1 มีค่าเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว กล่อง 2 ค่าเป็นศีลธรรม เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจว่าจะคอร์รับชันหรือไม่ สมองก็ส่งสัญญาณไปทริก 2 กล่องนี้ กล่องไหนที่สารกัมมันตรังสีสลายตัวก่อน สมองก็เอาผลนั้นมาตัดสินใจอีกที จากคุณ : Naibruda เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 11:04:47

ความคิดเห็นที่ 35 ไปเจอมาทู้นี้ ถ้าเข้าใจอะไรผิดรบกวนแก้ให้ด้วยนะครับ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/04/Y10504669/Y10504669.html หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม หลวงพ่อจรัญทำนายว่า.....อาตมาจะมรณภาพวันที่ 14 ตุลาคม 2521 เวลาเที่ยง 12.45 น. ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย เมื่อถึงเวลานั้น หลวงพ่อจรัญท่านก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ คอหักจริงๆ แต่ท่านไม่ตาย ด้วยเหตุที่หลวงพ่อจรัญได้สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมาก และแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น ไก่เหล่านั้นให้อภัย ท่านจึงแค่คอหัก แต่ไม่ตาย -------------------------------------------------------------------------- ถ้าหลวงพ่อรู้ล่วงหน้าได้จริงแม่นยำขนาดนั้น แล้ววันนั้นเวลานั้นใช้ free will กำหนดให้ตัวเองไม่เดินทางออกนอกวัด จะเกิดเหตุการณ์รถคว่ำไหมครับ ปล. แก้ไข link เพราะยาวเกินไป แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 11:28:04 จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 11:21:12

ความคิดเห็นที่ 36 จิตเร็วกว่าแสง  ก็เป็นเพียงคำอธิบาย โดยอ้างอิงจาก การมองเห้นนั้น ต้องอาศัยแสงมาช่วย สร้างเหตุหนึ่งด้วยอกุศลกรรม ผลของกรรมยังไม่ส่งผลทันที สมุมติว่าผลแห่งกรรมนั้นเกิดขึ้นอีก 10 ปีข้างหน้า การที่จิตไวกว่าแสงนั้น ย่อมสอดคล้องกับทฤษฏีการมองเห็น แต่เนื่องจากตลอด 10ปีที่ผ่านมา สำนึกในความผิดมาตลอด ทำกุศลกรรมสะสมสม่ำเสมอ แต่เนื่องจากกระแสแห่งอกุศลกรรมที่กระทำนั้นมีกระแสที่แรงมาก กรรมปัจจุบันก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนผลกรรมได้เลย   ปรากฏการณ์ที่คนนั่งสมาธิ (ในปัจจัยที่จิตปราศจากกิเลส จิตตั้งมั่น) แล้วเห้นภาพแสดงให้เห็น หรือแม้แต่เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น ก็คือปรากฏการณ์ที่ทำซ้ำได้ และทำกี่ครั้งก็ได้ผลเหมือนกันมาตลอด 2000 กว่าปี ทั้งหมดนี้ ถ้าอธิบายด้วยการ อุปมาเกี่ยวกับคลื่นแล้ว เสมือนหนึ่งการปรับตัวรับสัญญาณให้มีความถี่เดียวกัน  การทำจิตให้ละเอียดในระดับภพภูมิเดียวกัน ส่วนจะพิสูจน์ว่าจิตเร็วกว่าแสง ได้ชัดเจนก็คงต้องสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในอนาคต จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 11:29:40

ความคิดเห็นที่ 37 ผมอ่านแล้วเข้าใจมาตลอดจนถึง คห. 31-32..... รู้สึกงงๆครับ โดยเฉพาะ คห. 32 อ่านแล้วงงว่าคุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย.... จากคุณ : Munch เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 11:35:20

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าหลวงพ่อรู้ล่วงหน้าได้จริงแม่นยำขนาดนั้น แล้ววันนั้นเวลานั้นใช้ free will กำหนดให้ตัวเองไม่เดินทางออกนอกวัด จะเกิดเหตุการณ์รถคว่ำไหมครับ .... กฏแห่งกรรม มันมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนมากครับ กระแสกรรมปัจจุบันต้องแรง มากครับ จึงจะเอาชนะผลกรรมได้ คำว่า Free will จึงใช้ไม่ได้ในสถานการณ์จริง เพราะอารมณ์ขณะนั้น ถ้าต้องการหนีกรรมจริง ก็จะมีกรรมอื่นมาแทนครับ เพียงแต่ลำดับของกรรมจะเลือนออกไปครับ ยังไงก็ต้องรับผลของกรรมนี้ครับ   ....ใน ครั้งพุทธกาล พระสารีบุตร และภิกษุอื่นๆ ต่างไม่ได้ให้พรเณรบวชใหม่คนหนึ่ง ให้มีอายุยืน เพราะวิบากกรรมของเขาต้องตาย ถึงฆาตแน่ พระสารีบุตรได้เล็งเห็นว่า เณรผู้นี้จะมรณะในอีก 7 วัน ท่านจึงอนุญาตให้เณรกลับไปเยี่ยมบ้าน เพื่อโปรดบิดามารดา และญาติโยมทางบ้านเป็นครั้งสุดท้าย  นั่นคือแผนที่ชีวิตชุดเดิมของเณรบวชใหม่ เมื่อ เพลาผ่านไปเจ็ดวัน เณรได้กลับมายังอารามเหมือนเดิม พระสารีบุตรเองแปลกใจว่า เพราะเหตุใดเณรคนนั้นไม่ตาย ท่านจึงได้สอบถามเณรว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทางไปและกลับ เณรได้แถลงไขว่า ระหว่างทางที่ไปนั้น ได้พบปลาจำนวนหนึ่งตกคลักในหนองน้ำที่ใกล้แห้ง จึงได้เอาจีวรช้อนขึ้นมาไปปล่อยในแหล่งน้ำที่ใกล้ๆ ด้วยญาณแห่งพระ สารีบุตร ท่านก็ทราบได้ว่า ปลาเหล่านั้น คืออดีตเจ้ากรรมนายเวรของเณรผู้นั้นเอง และเมื่อเณรได้นำปลาไปปล่อยในแหล่งน้ำ เท่ากับว่าได้ทำบุญต่ออายุให้กับตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวรนั้น จึงได้อโหสิกรรมให้เณร กรณีจะเห็นชัดว่า FREE WILL ของกรรมปัจจุบันเหนือกว่าผลของกรรมเก่า จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 11:38:26

ความคิดเห็นที่ 39 #Munch   อะไรที่ถูกต้องก็เห็นด้วย  อะไรที่ผิดพลาดก็ไม่เห็นด้วยครับ ไม่ได้เหมาเข่งสรุป ขาวหรือดำ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 11:45:20

ความคิดเห็นที่ 40 อ่านแล้วเหมือนดู final destination ผมสมมติเคสที่หลวงพ่อไม่ต้องไปทำอะไรที่เกี่ยวกับวิญญาณของสัตว์อื่นเลยนะครับ นั่งนิ่งๆอยู่ในวัดแบบนั้น ถ้าเป็นตามเคสที่กล่าวมาจริง ก็หมายความว่าหลวงพ่อไม่ได้มรณภาพวันนั้นเพราะท่านแผ่เมตตาให้ไก่ถูกไหมครับ โอเค ลองมาดูว่าถ้าเป็นกรณีที่นับจากวันที่หลวงพ่อทำนายอนาคตวันมรณภาพตัวเอง ท่านไม่ได้แผ่เมตตาให้ไก่เลย จนมาถึง ณ เวลา 12.00 วันที่ 14 ตุลาคม 2521 ถ้าหลวงพ่อนั่งสมาธิดูอนาคตอีกรอบ ท่านก็ควรจะต้องเห็นเหตุการณ์มรณภาพแบบเดิมถูกไหมครับ เพราะไม่ได้ไปแก้กรรมไว้ หลังจากเที่ยงตรง ท่านก็กำหนดตัวเองให้ไม่ออกไปนอกวัด และไม่แผ่เมตตาด้วย ถามว่าท่านจะมรณภาพด้วยเหตุการณ์รถคว่ำหรือไม่? แล้วเท่าที่อ่านนี่เหมือนกับว่าจะต้องไปแก้กรรมที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันเท่านั้นถึงจะช่วยเลื่อนวันมรณภาพออกไปได้ ผมอ่านตรงนี้แล้วสงสัยว่ามันขัดแย้งกันเองหรือไม่ 'หรือแม้แต่ทฤษฏีพยากรณ์ศาสตร์ทั้งหลายก็อาศัยสถิติ มาเกี่ยวข้อง แต่เพราะมีกรรมปัจจุบันมาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โอกาสที่จะทำนายถูกนั้นมันลดลง' ก็เพราะกรรมปัจจุบันมาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นโอกาสความเป็นไปได้ทำนายอนาคตที่ยิ่งไกลย่อมเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น เหมือนทำนายอากาศ จะแม่นยำที่ช่วงเวลาใกล้ๆ เพราะรู้ค่าตัวแปรต่างๆมากกว่าอนาคตที่ไกลออกไปที่คาดเดายากเพราะควบคุมตัวแปรไม่ได้ จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:00:12

ความคิดเห็นที่ 41 ขออภัยท่าน Geneticist ด้วยนะครับ ที่ทำประเด็นเขวเล็กน้อย จะขอหยุดการ discuss เรื่องกรรมไว้ ณ ที่นี้ แล้วเดี๋ยวไว้ว่างๆจะขอแสดงความเห็นเรื่อง free will และทฤษฎีควอนตัมต่อไป จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:05:16

ความคิดเห็นที่ 42 คห. 39 เปล่าครับ คือผมเข้าใจที่คุณจะสื่อครับ แต่ผมอ่านที่คุณอธิบายแล้วงงสุดๆเลย ช่วยอธิบาย free will ในความเห็นของคุณแบบละเอียดๆได้รึเปล่าครับ จากคุณ : Munch เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:06:38

ความคิดเห็นที่ 43 จุดข้อถกเถียงเรื่อง free will จริงๆ แล้วไม่ใช่ ตัว "free will" แต่เป็นความหมายของ free will ที่แต่ละคนตีความ ตัวอย่าง อุณหภูมิ 26 องศา C ที่ทำงานบ่นหนาว แต่ผมบอกว่า กำลังสบายดี ผมทนอุณหภูมิแบบสบายๆ ได้ที่ 20 องศา C แค่นี้ความหมายของคำว่า "หนาว" ของคนก็ไม่เท่ากันแล้ว ------------------------------------------------------------------------- "เจตจำนงอิสระ" ในความคิดแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน สำหรับผู้ที่ยึดถืออัตตา ตนเป็นใหญ่ ย่อม ระบุให้ทางเลือกของตนเป็นเจตจำนงอิสระ สำหรับ ผู้ที่ยึดถืออนัตตา ความไม่เที่ยงเป็นใหญ่ ย่อมระบุ ให้ทางเลือกของคนไม่ใช่เจตจำนงอิสระ เพราะจากอดีตจนปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ 100% แม้แต่คนเดียว นักวิทยาศาสตร์ ส่วนหนึ่งจึงเชื่อว่า คนเราไม่มีเจตจำนงอิสระ จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:09:16

ความคิดเห็นที่ 44 ไม่มีใครบนโลกนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่คุณเลือกในเวลานั้นเกิดจากเจตจำนงตนเอง หรือว่าเกิดจากปัจจัยอื่นมาดลใจ ในที่นี้ไม่ได้โยนไปถึงสิ่งลึกลับเหนือปาฏิหาริย์ อาจจะเกิดจากเหตุปัจจัยความกลัวที่เคยเรียนรู้มา เช่น จับตู้เย็นเคยโดนไฟดูด ก็เลยกลัวฝังหัวมา เวลาเดินผ่านตู้เย็นก็เลย ไม่กล้าที่จะเปิดตู้เย็น ซึ่งอันนี้ ถ้าตัดสินโดย อัตตาย่อมบอกว่านี่เป็น เจตจำนงอิสระของเขา แต่ถ้านักวิทย์อาจจะเรียกว่า พฤติกรรม แบบมีเงื่อนไข จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:17:42

ความคิดเห็นที่ 45 ยกย่องคุณ Venture จริงๆครับ ที่มีความพยายามและความอดทน ที่จะอธิบายฟ้าให้"ปลา"ฟัง ผมไม่มีความอดทนขนาดนั้น เจอทฤษฎีเศษกระดาษมาอธิบาย Freewill ว่าไม่มี หรือกรรมไม่มี ผมก็เลิกความพยายามแล้วครับ เอาเวลาอันมีค่าของผมไปกินคริสปี้ครีมดีกว่า นับถือใจคุณจริงๆครับ ผมเชียร์อยุ่นะครับ สู้สู้น้า!!! จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:48:34

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้าอนาคต กำหนดไว้ว่า ผมจะถูกหวยในวันที่ 1 ตุลาคม แต่ผมไม่ได้ชื้อหวย แล้วผมจะถูกหวยได้อย่างไร ? จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:49:48

ความคิดเห็นที่ 47 #31 ตกลงคำว่า "กรรม" คือกฏแห่งจักรวาลหรือครับ กฏแห่งกรรมเปรียบได้กับกฏทางฟิสิกส์ที่มนุษย์์เข้าใจหริอปล่าว จากคุณ : Navy Seal เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:52:47 A:202.28.68.33 X: TicketID:330598

ความคิดเห็นที่ 48 นายพงษ์นั่งอ่านมู้นี้ว่า Freewill ไม่จริง ทุกอย่างเหมือนถูกกำหนดแล้ว ได้พงษ์อยากจะค้านเรื่องนี้และคิดว่า ถ้ากรูจะออกไปจูบหญิงตรงหน้า กรูก็ตัดสินใจเองนี่หว่า นายพงษ์จึงรวมความกล้าและออกไปจูบหญิง เพื่อพิสูจน์ทฤษฎี นายพงษ์ทำสำเร็จจึงป่าวประกาศว่า Freewill มีจริงนะเว้ย กรูพึ่งตัดสินใจไปจูบหญิงที่ไม่รู้จักอยู่แหมบ ๆ แต่ถ้ามองอีกทางก็จะพบว่า สิ่งที่ทำให้นายพงษ์ตัดสินใจจูบหญิงที่ไม่รู้จัก เนื่องจากนายพงษ์อ่านมู้นี้และอยากพิสูจน์ นายพงษ์หื่นโดยส่วนตัวและอยากลองจูบหญิงอยู่แล้ว นายพงษ์มีความกล้าบ้าบิ่น และประกอบกับสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการเคลื่อนไหวระดับควอนตัมของอะตอมนายพงษ์ ทำให้นายพงษ์คิดว่า Freewill ไม่จริงและออกไปจูจุ๊บอย่างดูดดื่มซะงั้น ... ส่วนตัวอ่านเรื่องควอนตัม + นิยายวิทย์มาเล็กน้อย เชื่อเหมือนกันว่า Freewill ที่แท้จริงนั้นไม่มี เนื่องจากจิตจริง ๆ เป็นเพียงความคิดในสมอง ซึ่งเกิดจากการทำงานของเซลล์ ซึ่งการทำงานของเซลล์เกิดจากปฏิกริยาเคมี ซึ่งปฏิกริยาเคมีเกิดจากปฏิสัมพันธ์ของอนุภาคและแรงทางฟิสิกส์ ซึ่งอาจจะมีเหตุผลย่อย ๆ ลงไปอีก แบบที่มนุษย์อย่างเรายังหาเหตุผลไม่ถึง Freewill เป็นเพียงความคิดของมนุษย์ที่อยากจะคุมสิ่งต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ ความคิดเรื่อง Freewill ก็ถูกกำหนดมาแล้วเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์อันซับซ้อนของอนุภาคในจักรวาล อนาคตไม่มีสาระสำคัญใด ๆ เนื่องจากถูกกำหนดไว้แล้ว จริง ๆ ความคิดที่ว่าอนาคตไม่มีสาระสำคัญ ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องถูกคิดขึ้นมาเช่นกัน โอย พูดไปพูดมางง ฮา ฮา สุดท้ายมนุษย์เดินตามชะตากรรมของกฏธรรมชาติ ของจักรวาล เหตุผล ผลเหตุเชื่อมโยงกันไปมา ผลกระทบของกาเลกซี่ที่อยู่ออกไปร้อย ๆ ล้านปีแสง ก็อาจกระทบชะตากรรมเราอยู่ไม่ว่าจะในอดีต หรือปัจจุบัน ไป ๆ มา ๆ เริ่มไร้แก่นสารละ เรื่องของจขกท.เกี่ยวกับผู้ที่รับรู้อนาคตได้ ผมว่าถ้าหมอดูโดยทั่วไป น่าจะรับรู้จากการใช้ศาสตร์ที่เก็บความน่าจะเป็นมาจากอดีต ผสมกับประสบการณ์ของตัวเองในการตัดสินชะตาชีวิตของบางคน แน่นอนว่าต้องมีเครื่องมือที่ใช้ในการคัดกรองพฤติกรรมที่น่าจะถูกต้องที่สุดจริง ๆ ถ้าเอาหมอดูไทย ไปดูคนอูกานด้า ก็คงดูไม่ออก เอาหมอดูดวงทะเบียนรถไทย ๆ ไปดูรถสเปนก็คงคนละเรื่อง จากคุณ : hellmoon เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:55:26

ความคิดเห็นที่ 49 คนโง่ย่อมหลงในความคิด จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:57:27

ความคิดเห็นที่ 50 นึกถึง Source Code ตะหงิดๆ จากคุณ : Eakiji Onisuka เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:57:48

ความคิดเห็นที่ 51 ก็เพราะกรรมปัจจุบันมาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นโอกาสความเป็นไปได้ทำนายอนาคตที่ยิ่งไกลย่อมเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น เหมือนทำนายอากาศ จะแม่นยำที่ช่วงเวลาใกล้ๆ เพราะรู้ค่าตัวแปรต่างๆมากกว่าอนาคตที่ไกลออกไปที่คาดเดายากเพราะควบคุมตัวแปรไม่ได้ ...ต้องทำความเข้าใจเรื่องกระแสกรรมก่อนครับ ถ้ากระแสกรรมปัจจุับันเบาบาง ยังไงก็เปลี่ยนผลของกรรมเก่าไม่ได้ครับ .....แต่ถ้ากระแสกรรมปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดอโหสิกรรมต่อกัน กรรมปัจจุบันมีกระแสทีแรงกว่า กรรมเก่าอาจจะเลื่อนออกไป หรือเบาบางลงได้ครับ ....คุณสร้างกรรมหนักวันนี้ ยังไงผลของกรรมต้องเกิดขึ้นเสมอครับ ไปตามลำดับความแรงของกรรมนั้นๆ ผล มารออยู่ล่วงหน้าแล้วครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:01:05

ความคิดเห็นที่ 52 ความคิดเห็นที่ 46 ในความคิดผมน่ะ เส้นโลกจะถูกแบ่งแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง เส้นโลกเดิม > คุณซื้อหวย > คุณถูกหวย > รวย พอคุณรู้ถึงอนาคตแบบนี้แล้วคุณคิดจะเปลี่ยนแปลงมัน เส้นโลกใหม่ > ไม่ซื้อหวย > ไม่รวย ตัวตนในโลกเดิมของคุณก็ยังคงอยู่ แต่คุณได้สร้างตัวตนใหม่ในโลกคู่ขนานขึ้นมา ปล.คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีต เพื่อให้มีผลต่ออนาคตได้ แต่คุณสามารถบิดเบือนมัน เพื่อสร้างโลกใหม่ขึ้นมา El Phy Congroo จากคุณ : ด.ช.แม่น เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:04:04

ความคิดเห็นที่ 53 แค่รู้สึกดีๆ กับปัจจุบันก็พอแล้วครับ กรรมเก่า กรรมใหม่ ไม่สน อดีต อนาคต ไม่สน ปัจจุบันดี อนาคตดี (เหตุปัจจัย) ไม่สนใจ ปัจจุบันแย่ อนาคตแย่ (เหตุปัจจัย) ไม่สนใจ คิดดี คบคนดี เหตุปัจจัยย่อมดี ผลก็ย่อมดี (อนาคต) แต่ก็ไม่สนใจ คนไม่ดี คบคนเลว เหตุปัจจัยไม่ดี ผลก็ย่อมแย่ (อนาคต) ไม่สนใจเช่นกันครับ รู้สึกดี เท่ากับ กำไร รู้สึกแย่ เท่ากับ ขาดทุน รู้จักพอ คือ ที่สุดของมนุษย์แล้วครับ จากคุณ : เนนก เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:07:04 A:125.24.82.247 X: TicketID:324733

ความคิดเห็นที่ 54 ถ้าคิดว่าเราฉลาด เราจะโง่ ถ้าคิดว่าเราโง่ เราจะฉลาด ผู้ฉลาดที่แท้จริงคือผู้ตรัสรู้เท่านั้นครับ จากคุณ : เนนก เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:08:01 A:125.24.82.247 X: TicketID:324733

ความคิดเห็นที่ 55 #45 ทฤษฏีใส่กรอบขึ้นห้าง(หรือขึ้นหิ้ง) ทุกตัวก็ผ่านจากเป็นเศษกระดาษมาก่อนทั้งนั้น ประเด็นไม่ได้ทำสำคัญว่ามันเป็น ทฤษฏีใส่กรอบขึ้นหิ้งหรือเป็นเศษกระดาษ ถ้ามันอธิบายปรากฏณ์การณ์ได้ครอบคุม domain ของมัน + มีหลักฐานหรือการทดลองมาสนับสนุน สามารถทำซ้ำได้ หรือคาดเดาผลการทดลองได้ ก็ถือว่าโอเค สำหรับผมนะ จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:10:30

ความคิดเห็นที่ 56 #51 เรื่องกรรมผมไม่เข้าใจว่า... ทำไมคนทำชั่วถึงไม่โดนกรรมตอบแทนทันที ทำไมต้องมีการรอการใช้กรรม ทำให้คนๆนั้นทำชั่วเพิ่มอีก จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:13:53

ความคิดเห็นที่ 57 ความคิดเห็นที่ 32 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน จุดผิดพลาดของทฤษฏีโลกคู่ขนาน คุณก็ยกมาเองว่า โลกหนึ่งแมวตาย โลกหนึ่งแมวมีชีวิตอยู่ แล้วมันจะเรียกโลกคู่ขนานได้ยังไงครับ เอาทฤษฏีความน่าจะเป็นมาใช้ไม่ได้หรอกครับ เพราะความน่าจะเป็นไม่ได้มีแค่ สองโลก เช่น ในบ่อนแห่งหนึ่ง เล่นโยนลูกเต๋า 6 ด้าน ก็แปลว่าต้องมี 6 โลกใช่ไหมที่ขนานกัน เพราะผลของเหตุการณ์มันต่างกัน หรือถ้ามีลูกเต๋าสองลูก 6+6 ก็แปลว่าความน่าจะเป็นหรือเงื่อนไขที่เป็นไปได้ก็เพิ่มทวีคูณ ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้เลยครับ กับความซับซ้อนของโลกที่ไม่ได้มีทางเลือกของเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กัน โลกคู่ขนาน มันเป็นเพียงแค่ทฤษฏีในกระดาษ ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับครับ ... จากข้อมูลนี้ ก้ฉีกเศษกระดาษทิ้งได้แล้วครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:14:54

ความคิดเห็นที่ 58 โดยส่วนตัวผมเชื่อเรื่องกรรมนะ แต่จะเชื่อโดยปัจจัยอะไรก็ช่าง แต่ผมว่า จขกท. เขาพยายามวิเคราะห์กันในเชิงวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์นะ แน่นอนเมื่อก่อนมนุษย์ไม่รู้หรอกว่าโลกกลม ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักสังเกตและหาเหตุผลมาประกอบและอธิบายสิ่งต่างๆ แน่นอนว่าความเชื่อก็คือความเชื่อ อาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้างปะปนกันไป ที่ผมว่าจุดประสงค์หลักของกระทู้นี้น่าจะเป็นการอธิบายในเชิงฟิสิกส์มากกว่านะ อย่าได้หลงประเด็นกันไปเลย... จากคุณ : Navy Seal เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:21:09 A:202.28.68.33 X: TicketID:330598

ความคิดเห็นที่ 59 #51 เรื่องกรรมผมไม่เข้าใจว่า... ทำไมคนทำชั่วถึงไม่โดนกรรมตอบแทนทันที ทำไมต้องมีการรอการใช้กรรม ทำให้คนๆนั้นทำชั่วเพิ่มอีก จากคุณ : bakasama ----------------------- ทำไมคุณไม่คิดว่า เขาทำทั้งกรรมดีและไม่ดีครับ แต่กรรมดีที่เขาทำก็ส่งผลให้เขามีความสุขได้ครับ กรรมไม่ดีนั้น เมื่อได้ช่อง ก็ส่งผลทุกรายครับ ตราบใดที่คุณไม่รู้อดีตชาติของเขา หรือติดตามกรรมตั้งแต่เด็ก ก้ต้องคิดว่า คนเราทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีครับ เสมอครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:21:12

ความคิดเห็นที่ 60 ที่ผมว่าจุดประสงค์หลักของกระทู้นี้น่าจะเป็นการอธิบายในเชิงฟิสิกส์มากกว่านะ อย่าได้หลงประเด็นกันไปเลย .................ประเด็นถ้าเอาแค่ประเด็นฟิสิกส์ เรื่องความน่าจะเป็นของโลกขนาน ก็ต้องฉีกทิ้งแล้วครับ ส่วนเรื่องที่เขาเอาประสบการณ์ของจริงมาเล่าให้รู้กัน มันก็คือข้อมูลจริงครับ เพียงแต่จะยอมรับกันหรือไม่เท่านั้นเอง เรื่องของฟิสิกส์เป็นเพียงขอบเขต สับเซตของการอธิบายความจริงมากกว่าครับ และข้อมูลที่ถูกกันก็คือ เอาปรากฏการณ์มาเป็นตัวตั้ง แล้วเอาทฤษฏีในกระดาษมาวิเคราะห์ ก็สรุปได้ทันทีว่า ทฤษฏีโลกคู่ขนาน เป็นเรื่องจินตนาการเพ้อฝันครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:25:31

ความคิดเห็นที่ 61 คุณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือ จึงเชื่อว่า ทำดีไม่ได้ดี จากคุณ : เนนก เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:26:13 A:125.24.82.247 X: TicketID:324733

ความคิดเห็นที่ 62 #19 อธิบายมวล โต้ตอบกับ มวลด้วยแรงโน้มถ่วงได้ ทำไมจะ อธิบายว่าจิต โต้ตอบกับมวล ด้วยคู่แรงจิต-มวล ไม่ได้หละ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:29:26

ความคิดเห็นที่ 63 เอ่อ ผมว่าชื่อทฤษฏีเค้าก็ว่าไว้อยู่แล้วนะว่า Many-worlds interpretation -*- คำว่า มิติ/โลกคู่ขนาน ท่าน Geneticist อาจจะเลือกคำมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายกว่ามั๊งครับ นิยามที่ตรงจริงๆน่าจะเป็น พหุโลก มากกว่า อย่าไปใส่ใจกับคำให้มาก แต่ให้ลองดูตรงเนื้อหาจะดีกว่า แล้วนี่ก็เป็นเพียงทฤษฏีเท่านั้น ตอนนี้มันยังไม่มีทฤษฏีอะไรที่อธิบายควอนตัมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทฤษฏีนี้เป็นหนึ่งในทฤษฏีที่นักวิทยาศาสตร์หลายๆท่านยกขึ้นมาครับ ดังนั้นมันอาจจะใช่ หรือไม่ใช่ก็ได้ นักวิทยาศาสตร์จะไม่ปฏิเสธทฤษฏีความเป็นไปได้อะไรล่วงหน้าหากยังหาทฤษฏีที่สมบูรณ์แบบกว่ามาอธิบายไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็สอนมาไม่ใช่เหรอครับว่าอย่าเชื่อด้วยเพราะเข้าได้กับทฤษฎีของตน ให้ลองตรองดูความคิดของบุคคลอื่นด้วย ทฤษฏีพหุโลกดูซับซ้อนเกินไปกว่าที่จะเกิดขึ้นจริงหากวัดจากสามัญสำนึกเรา แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 13:34:31 จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:33:21

ความคิดเห็นที่ 64 ผู้ที่หลงจะหาทางกลับยากที่สุด ยากกว่าโทสะ หรือโลภะ คิดได้ แต่ต้องมีสติด้วยนะครับ จะได้ไม่หลุด หลง ไปกับสิ่งที่หลอกล่อเราอยู่ จากคุณ : เนนก เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:38:44 A:125.24.82.247 X: TicketID:324733

ความคิดเห็นที่ 65 #22 ผลสรุป คือ สำนึกรู้ในการตัดสินใจ ช้ากว่าสัญญาณในสมอง ได้ถึง10วิ สมมติว่า สัญญาณในสมอง ยืนยัน การตัดสินใจ100% จะไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งคือ จิต เกิดขึ้นมาก่อน สัญญาณในสมอง อีกที จริงๆ พุทธก็สอน เรื่องลูปของจิต ขณะที่ดูภาพ ซ้ายขวา เกิดผัสสะ สัญญา เวทนา หลายต่อ หลายๆรอบ กว่าจะเกิดมาเป็น กรรม ผมว่า ยังมีการตัดสินใจจริงๆ หลายต่อหลายๆครั้ง และยังมีช่วงเวลาเหลื่อมอยู่ ระหว่างกรรมในครั้งแรก กับการตัดสินใจในครั้งสุดท้าย ถ้าจะให้ยืนยัน คือ กรรมในครั้งแรก ต้องมาจาก จิต การตัดสินใจในครั้งแรก กรรมในครั้งสุดท้าย ต้องมาจาก จิต การตัดสินใจในครั้งสุดท้าย สัญญาณในสมอง ได้บ่งบอกหรือไม่ว่า เกิดผัสสะ สัญญา เวทนา หลายต่อ หลายๆรอบ ก่อนจะเป็น กรรม ขึ้นมา ผมติดตามมาแต่คราวก่อนๆแล้วครับ คราวนี้มารายละเอียด ให้เข้าใจได้ดีขึ้น ขอบคุณนะครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 13:45:39 จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:40:16

ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อคิดย้อนอดีตกลับไป เชื่อว่า หลายๆ ครั้ง หลายๆ คนจะเสียใจ และคิดว่า "ถ้าตอนนั้นเราทำแบบนี้ เราไม่ทำแบบนั้น เรื่องราวน่าจะดีกว่านี้" ถ้าพิสูจน์แน่นอนแล้วว่า free will ไม่มีจริง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียใจกับอะไรเลย เพราะเราก็ต้อบสนองกับสิ่งแวดล้อม ไปตามสภาวะที่มันเป็น ก็เท่านั้น ยังไงก็ต้องเป็นแบบนั้น ต่อให้ย้อนเวลาไปได้จริง เราก็จะตอบสนองแบบเดิม เพราะสภาวะทั้งภายใน และภายนอก เป็นแบบเดิม เหมือนต้มน้ำ ภายใต้สภาวะที่กำหนด ยังไงมันก็เดือด เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เว้นแต่ เอาตัวเราในปัจจุบัน ไปแทนตัวเราในอดีต แบบนี้สิ จึงจะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ได้ เพราะสภาวะภายในเปลี่ยนไป เป็นคนละคนกับตอนนั้น เหมือนต้มน้ำ ภายใต้สภาวะที่กำหนด แต่แอบใส่เกลือลงในน้ำไป น้ำเลยเดือดยากกว่าเก่า ผมเองเชื่อว่า จิตวิญญาณ ไม่มีนะครับ มันเกิดจากการทำงานของสมองเรา คิดง่ายๆ ว่า ตอนที่เราหลับสนิท ตอนนั้นเราอยู่ไหน เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว นั่นเพราะสมองเราชัทดาวน์อยู่ พอมันสตาร์ทขึ้นมาใหม่ จิต และสติของเราจึงกลับมา ตอนเรากินเหล้าก็เหมือนกันครับ สมองถูกแอลกอฮอล์รบกวน ทำให้เรามีพฤติกรรมเปลี่ยนไป กลายเป็นคนละคน กินมากๆ ก็สลบไปเลย ไม่มีสติ ไม่มีจิต ไม่มีวิญญาณอะไรเลย ทุกอย่างมันอยู่ที่สมอง ถ้าสมองตายก็คือจบ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:40:45

ความคิดเห็นที่ 67 ถ้ารูปประกอบรูปแรกไม่เกี่ยวกับกระทู้ แล้วสมาชิกท่านนั้นจะให้กิ๊ฟได้ยังไงหละครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:43:01

ความคิดเห็นที่ 68 ผมก็ว่า จขกท. ศึกษาศาสนามาน้อยไปหน่อย เอาไปปนกะหลักศาสนามั่วๆตามหนังผีไปได้ จริงๆแล้วศาสนาพุทธอาจจะเป็นปรัชญาแรกๆ สุดเลยก็ได้ ที่คิดว่ามนุษย์ไม่มีฟรีวิล ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ส่วนจิตวิญญาณเขาก็บอกว่าเกิดจากร่างกายประกอบกับความเหมาะสมต่างๆ "เกิดเป็นสภาวะที่รับรู้" เท่านั้น ไม่ได้บอกว่าเป็นวิญญาณแยกออกมาจากร่างแบบหนังผี จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:49:43 A:180.183.97.190 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 69  เยี่ยมมากครับ คุณ Geneticist จากคุณ : 447 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:50:24

ความคิดเห็นที่ 70 Many-worlds interpretation พระพุทธเจ้าก็สอนมาไม่ใช่เหรอครับว่าอย่าเชื่อด้วยเพราะเข้าได้กับทฤษฎีของตน ให้ลองตรองดูความคิดของบุคคลอื่นด้วย ทฤษฏีพหุโลกดูซับซ้อนเกินไปกว่าที่จะเกิดขึ้นจริงหากวัดจากสามัญสำนึกเรา แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ครับ .............ก็จากตรรกะที่ยกมานั่นไงครับ มันหักล้างได้หมดแล้ว งั้นลองถามกลับบ้าง คุณว่ามีโลกที่เป็นแบบนั้นกี่โลกครับ ในเมื่อ การตัดสินทางเลือกความน่าจะเป็นของมนุษย์แต่ละคน แต่ละเหตุการณ์มีไม่เท่ากัน เอามาสัมพันธ์กัน ถ้าเอาทฤษฏีความน่าจะเป็นมาหักล้าง ก็เป็นไปไมได้แล้วครับ เอาเฉพาะโยนลูกเต๋าสองลูก คุณคิดว่าต้องมีกี่โลกครับที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น สมมุติใน 1 วัน คนหนึ่งคนมีให้เลือกตัดสินใจ 1000 เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์มีอีก 10 ทางเลือก อันนี้ยังไม่นับรวมความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆอีกทวีคูณ การที่จะมีโลกมารอไว้ก่อน ทราบจำนวนเหตุการณ์ทางเลือก มันคือเป็นศูนย์ครับ แต่ถ้าเอาไปแต่งหนังสือการ์ตูนแบบโดราเอมอน ก็พอทำใจได้ครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 13:55:12 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:50:55

ความคิดเห็นที่ 71 กรณีจักรวาลกำหนด นิพพาน จะมีความสามารถในการคำนวณสูงสุด สามารถทำนาย ผู้นิพพานทุกท่าน ในผู้นิพพานทุกท่าน จะมีกรอบหนึ่งที่ต้องทำ ซึ่งจะถือว่า ไม่มีเจตจำรงค์เสรี ด้วยกรอบนี้ก็ได้ แต่จะไม่ข้ามไปกรอบที่เป็น อ นิพพาน ผู้ อ นิพพาน จะมีความสามารถในการคำนวณ ต่ำกว่า จึถูก อีกฝ่ายพยากรณ์ มาได้ แม้ การกระทำของ ผู อนิพพาน คือ บุคคลทั่วๆไป จะสามารถ ถูกทำนายโดย ผู้ที่สามารถคำนวณสูงกว่าได้ หรือโดย ผู้นิพพาน ด้วยความแม่นยำ100% แต่โดยตัวบุคคลทั่วๆไปคนนั้นเอง (ที่ยังไม่นิพพาน) เขาจะคำนวณ หรือ ทำนายตัวเองไม่ได้ จึงถือว่า มีเจตจำนงค์อิสสระ เทียบกับตัวเองอยู่ ปล. ก็จะมางงๆตรง นิยาม เจตจำนงค์อิสสระ นี่แหละ แต่ทำไม มีจิต ต้องมี เจตจำนงค์อิสสระ อะไรนี่ด้วย จิตแปลตรงๆว่า ตัวรู้ ไม่แน่ใจว่า จะต้องแปลไปถึงว่า ตัวตัดสินใจ ด้วยป่าว จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:54:04

ความคิดเห็นที่ 72 ถ้าทางควอนตัม2 พูดถึงจักรวาลมวลขนานก็จริง แต่การผัสสะด้วยจิต คือ จะมีเส้นทางเหลือ เส้นทางเดียว ที่คุณเข้าไปวัดเท่านั้น จิตไม่ได้ขนานไปกับมวล และจักรวาลขนานอื่น ที่จิตไม่ได้เข้าไปวัด บอกไม่ได้ ว่ามี จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:57:57

ความคิดเห็นที่ 73 สมมุติว่า ณ เวลา t0 จิตคุณเห็นว่า เหตุการณ์ A (ซึ่งคาดการณ์ไม่ได้ )  จะเกิดขึ้นแน่นอน ในเวลา t2   แต่เมื่อเวลา t1 คุณได้ทำเหตุการณ์ B จึงเป็นเหตุให้ไม่เกิดเหตุการณ์ A แต่ทำให้เกิดเหตุการณ์ C แทน น่าคิดคือว่า ณ เวลา t0 นั้น คุณเห็นหรือเปล่าว่า คุณต้องทำ B เพื่อไม่ให้เกิด A แล้วจะเกิด C หรือที่คุณ เลือกทำ B เพราะเจตนาเพื่อไม่ให้เกิด A และ ณ เวลา t0 นั้นจิตคุณเห็นหรือไม่ว่า ณ เวลา t1 คุณจะทำ B แล้วเกิด C นั่นคือว่า เวลา t0 คุณเห็นกี่เหตุการณ์ คุณสามารถเข้าไปดูในแต่ละกิ่งก้านได้ไกลขนาดไหน จะทำให้เกิด ผีเสื้อขยับปีก ต่ออนาคตได้ไปถึงตรงไหน คิดแล้วยิ่ง งง เพราะการประมวลผลขนาดนั้น มันจะจับจุดได้ตรงไหนว่าคือเหตุการณ์จริง.. จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 13:59:13

ความคิดเห็นที่ 74 ควอนตัม1 เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับ เจตจำนงค์อิสสระ อย่างมาก ต้องเจาะให้ลึกไปอีก ในเบื้องต้นผมอธิบายไปตาม#71 จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:02:15

ความคิดเห็นที่ 75 ผมเลือก ผมรับรู้ว่าเลือก แต่จริงๆ สมองสั่งผมให้เลือก โดยสั่งให้ผม คิดว่าผมเลือกด้วยครับ จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:06:06

ความคิดเห็นที่ 76 ก่อนเวลา t0  สร้างกุศลกรรมหนัก จับหนูทดลอง  ทำการทดลอง ทรมาน จนตาย t0 - การเห็นเหตุการณ์ในอนาคตที่เกิดที่ t2  จะเห็นเฉพาะเรื่องที่เป็นกุศล อกุศกรรม เท่านั้นครับ ส่วนเรื่องอัพยากฤตธรรม นั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆครับ  (การเห็นนั้นจะเห้นสองเหตุการณ์คือขณะทำอกุศลกรรมและผลของกรรมที่จะเกิดขึ้น มีความสัมพันธ์กัน) t1 - มีการสร้างกรรมใหม่เกิดขึ้น t2 - คือภาพเหตุการณ์ที่เห็น โดยสัมพันธ์กับกฏแห่งกรรม ณช่วงเวลาก่อน t0 t3 - ผลของเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แปรตามความสัมพันะ์ของ t1  ซึ่งจะมากหรือน้อยก้ได้ หรืออาจจะไม่มีผลสัมพันธ์กับกรรมเก่าเลยก็ได้ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 14:21:00 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:20:20

ความคิดเห็นที่ 77 คุณ venture ครับ คุณสรุปเอาเองว่าโลกคู่ขนานมี infinity รูปแบบไม่ได้ เพราะมันเยอะไป อันนี้คือความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ในความเป็นจริงเป็นไปได้ครับที่โลกเราอาจมีเหตุการณ์ขนาดกันถึงอินฟินิตี้แบบ ทอยลูกเต๋า 1 ครั้ง เกิด 12 โลก ทอย 2 ครั้งเกิด 144 โลกก็เป็นไปได้ครับ อย่าลืมว่าจำนวนดวงดาวแล้วโมเลกุลของจักรวาลเราก็นับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ถ้าคุณเอาเหตุที่ว่ามันเยอะไปจึงเป็นไปไม่ได้มาล้าง อ้างแบบนี้ไม่สมเหตุสมผลครับ เราเป็นแค่มดตัวเล็กๆ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล อะไรที่คุณมองว่ามันเยอะ อาจจะถือว่าน้อยก็ได้หากมองในระดับจักรวาลและความจริงของพิภพเรานี้ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 14:31:27 จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:30:19

ความคิดเห็นที่ 78 แบบนี้ การไปอ่าน ไปศึกษาประวัติ ของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย ต่างๆ นาๆ ก็คงจะไร้ประโยชน์ เพราะเราไม่มีทางทำแบบเขาได้ เราคงต้องประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ในแบบของเราเองล้วนๆ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:30:35

ความคิดเห็นที่ 79 จะทอยลูกเต๋าล้านหน้ามันก็มีจักรวาลรอรองรับทั้งล้านหน้านะแหละครับ เพราะมันคือมัลติเวิร์ส ในเมื่อมันมีได้หลายจักรวาลแล้วมันถูกอะไรกำหนดเหรอว่าจำเป็นต้องมีจำนวนน้อยๆ? และเรื่องมัลติเวิร์สก็ไม่ได้ขัดอะไรกับหลักศาสนพุทธ ทำไม คห.70 ถึงต้องมาฟันธงว่าไม่มีครับ? จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:37:05 A:180.183.97.190 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 80 ผมว่าทฤษฎีโลกคู่ขนานก็น่าสนใจ เพราะผมเชื่อว่ายังก็มีความสัมพันธ์เชิง ความคิด เนื่องจากว่าไม่จำเป็นเสมอที่ต้องระบุจำนวน  เพราะว่ายังไงมันคงไม่มีใครนับได้ ความคลาดเคลื่อนเกิดได้เสมอ แม้กระทั่งการทับซ้อนของมิติ ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้แน่ชัด  แม้กระทั่งทุกวันนี้เอกภพ เองยังมีการขยายตัวอยู่เสมอ  ก็ยังหาขอบเขตไม่ได้แต่เราสามารถรู้ถึงการขยายตัว บางอย่างแค่รู้ว่ามี ก็แสดงถึงการยับยั้งความเชื่อได้บางกรณี ให้ขบคิดเสมอๆ จากคุณ : จอมโจรโลมาผู้น่ารัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:40:48

ความคิดเห็นที่ 81 ขออธิบายเรื่องกฏแห่งกรรมตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคนะครับ ผมคาดว่าคงไม่มีคนอ่าน กฏแห่งกรรม เนื้อแท้คือการหมุนเนื่องแห่งเจตนา โดย เราจะเริ่มพิจรณาตรงใหนก็ได้ในลูป กรรม คือการที่เราเลือกกระ ทำ (จำไว้เลยนะครับว่ากรรมในทางพุทธ คือ สิ่งที่เราทำ ไม่ใช่บาปกรรม) วิบาก คือผลของกรรมที่เกิดจากกรรม คือสิ่งที่เราทำ กิเลส คือความต้องการ เมื่อเราเจอวิบาก เราก็จะเริ่มคิดได้ กรรมดี ให้ผลดี กรรมชั่ว ให้ผลเลว เป็นแรงผลักดันให้เราเลือกทำกรรม ต่อไป สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งคือ ศาสนาพุทธ ไม่มีกรรมแรก เหมือนศาสนากลุ่มเทวนิยม (อดัมกินแอบเปิล) ทุกอย่างเป็นวงรอบอยู่อย่างนี้ ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย นี่คือ กฏแห่งกรรม เห็นใหมครับ กฏแห่งกรรมในคัมภีร์พุทธแท้ ต่างจากความเชื่อในปัจุบันอยู่เยอะเลย จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:45:59

ความคิดเห็นที่ 82 คิดไปก็เท่านั้น... จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:46:31

ความคิดเห็นที่ 83 ความจริงทฤษฎีมัลติเวิร์สมันก็ตามชื่อนะ มีได้หลากหลายมากมาย มากในที่นี้มันมากจริง ๆ เอาแค่อนุึภาค 1 อนุภาค ก็มีจุดที่น่าจะเคลื่อนตำแหน่งไปได้ไม่รู้จบแล้ว ยังไม่นับอีกว่าอนุภาคในจักรวาลมีอีกกี่ล้านๆๆๆๆ.... อนุภาึค ที่ยกตัวอย่าง ๆ แมว นั่นเป็นตัวอย่างที่ทำให้เข้าใจง่าย ๆ นะผมว่า จากคุณ : hellmoon เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:50:44

ความคิดเห็นที่ 84 #81 แปลว่าไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือเปล่าครับ? แล้วกรรมดี ให้ผลดี กรรมชั่ว ให้ผลเลวเสมอไปหรือเปล่า อะไรคือนิยามของคำว่าผลดี (ไม่ใช่ติ๊ก!) อย่างถ้าเราไปขโมยของคนอื่นมา เรารวยขึ้น แต่อาจรู้สึกผิดในใจ กับเราบริจาคของให้คนที่ด้อยกว่า เราลำบากเหมือนเดิม แต่รู้สึกดีในใจ จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:55:34

ความคิดเห็นที่ 85 โอยอ่านไม่หมด ขอแสดงความเห็นมั่ง ผมเชื่อเรื่อง determinism คือไม่เชื่อ Free will แต่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทั้ง determinismและ free will มันไม่มีผลอะไรกับเราหรอก เพราะไม่มีใครสามารถคำณวนอนาคตได้ คือถ้าเรามีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากพอ มี ข้อมูลมากพอ มีเครื่องคำณวนมากพอ เราจะคำณวน ทุกอนุภาคในจักรวาลได้ ทั้งในอดีตและอนาคตว่ามันจะไปให้เมื่อ ใหร่ ทำให้เรารู้ว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร แต่เราไม่มีทางคำณวนได้หรอกเครื่องคำณวนต้องใหญ่กว่าจักรวาล ใช้เวลานานกว่าเหตุการณ์จริง สรุปว่าคำณวนไม่ได้ ถ้าคำณวนไม่ได้ มันก็ไม่มีผลอะไรต่อเราเลย จริงมั้ย ถ้าอนาคตถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ไม่สามารถรู้ได้ Free will ไม่มีก็จริง แต่เชื่อไว้ก็มีประโยชน์ เช่น ถ้าเราอยากรวย ถ้าเราเชื่อ ว่าอนาคตกำหนดไว้แล้ว เลยไม่ดิ้นรนก็จนได้ ถ้าเราอยากรวย ถ้าเราเชื่อ Free will เลยขยัน ก็รวยได้ ถ้าเราอยากรวย ถ้าเราเชื่อ ว่าอนาคตกำหนดไว้แล้ว แต่คำณวนไม่ได้ จึงต้องทำตัวไม่เหมือน ว่าอนาคตกำหนดไว้ เลยต้อยขยัน ก็รวยได้ สรุปว่าผมเชื่อเรื่อง อนาคตแบบ Deterministic แต่ความเชื่อนี้ไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติเลย เพราะคำณวนไม่ได้ ดั้งนั้นทางปฎิบัติ เชื่อ Free will มีประโยชน์กว่า งงมั้ย ทำไมต้องเชื่อในความจริง บางทีมีความเชื่อ(ที่ไม่จริง)มีประโยชน์กว่า เช่น เกษตรกรเชื่อเรื่อง แม่พระธรณี(ดิน) ให้ความเคารพดิน บำรุงดิน ไม่ทำลายดิน ก็ทำให้พืชโตดี คนไม่เชื่อ เห็นว่าดินเป็นแค่ดิน ใช้ประโยน์ไม่คิด ทำดินเสีย พืชไม่โต ทั้งที่ความจริง ระบบนิเวศน์ในดินเป็นตัวกำหนด(แต่ชาวนาไม่รู้) ภาษิตฟรั่งว่า รู้น้อยมักเป็นภัย รู้ว่าอนาคตกำหนดไว้แล้ว เลยงอมืองอเท้า ทั้งที่คำณวนไม่ได้ว่าอนาคตรัวเองจะเป็นอะไร ถือว่ารู้นอ้ยแต่เอามาใช้ เลยเป็นภัย จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:00:49

ความคิดเห็นที่ 86 เรื่องมัลติเวิร์สก็ไม่ได้ขัดอะไรกับหลักศาสนพุทธ .....มันขัดกับเรื่องกฏแห่งกรรมไงครับ การที่มีหลายจักรวาล อะไรคิือเหตุ ผลของความสัมพันธ์ของแต่ละจักรวาลครับ ก็ในเมื่อมีผลลัพธืที่แตกต่างกัน แล้วจะมีเงื่อนไขตัดสินใจในเหตุการณ์เหมือนกันได้ยังไง เช่น ทอยลูกเต๋า 6 ด้าน  มี 6 โลกพร้อมกันในเหตุการณ์เดียวกัน แต่หลังจากนั้นจะส่งผลถึง คนที่มาเล่นพนันแตกต่างกันไป โอกาสความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ ขนานกันไปอีก มันก็ต้องไม่ขนานแล้วสิครับ เพราะฉะนั้นมันจะขนานกันตามทฤษฏีได้ก็นับจุเริ่มต้นเท่านั้น จากนั้นไป ตัวแปรเปลี่ยนไปแล้ว ทั้ง 6 โลกจะกลับมาขนานกันอีกแบบ การหา หรม งั้นหรือครับ ไร้สาระจริงๆ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:03:14

ความคิดเห็นที่ 87 จุดเริ่มต้น ของรูปทรงกลม มีกี่ตำแหน่ง กี่ทิศทางก็ นึกเอาเองละกัน และ แต่ละครั้งที่เราเลือกไปเราไปทิศใดทิศหนึ่ง ก็ไปได้แค่ 1 เวลา ย้อนกลับไม่ใด้ และหาก บอกว่าทุกอย่างขนานกัน คงรู้จักคำว่าขนานดีแล้ว ไม่ต้องพูดนะ หากบอกว่าค้นพบมิติคู่ขนานและมีจุดบรรจบจุดแตกไปยังแต่ละมิติมันก็แสดงว่าไม่ขนานกันแล้ว จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:04:03

ความคิดเห็นที่ 88 ผมเชื่อเรื่อง กรรม เจตจำนงค์อิสระ ครับ แต่ท่านจขกท.เขียนได้ดีเลยทีเดียว ขอบคุณครับ ... จากคุณ : ltf06 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:07:55

ความคิดเห็นที่ 89 ขนานไม่ขนานนั่นมันประเด็นย่อย เขาเอามาเล่าตัวอย่างเรื่องแมวเขาเฉยๆ เอาอะไรมาพูดนี่ หลักๆเขาว่ามันแตกแขนงไม่สิ้นสุด ขัดกฎแห่งกรรมอะไรกัน ยังไง? รู้ได้อย่างไรว่ามันไม่มีเหตุให้มีมิติหลากหลาย? ในเมื่อเรายังไม่รู้เลยว่าจักรวาลมันเป็นยังไงกัแน่ ทฤษฎีเขาก็สร้างมา จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่มันยังไม่ขัดแย้งจนเป็นไปไม่ได้นะครับ ถ้ามันขัดแย้งมั่วเขาก็ทิ้งไปนานแล้ว ไม่เป็นทฤษฎีอยู่ถึงตอนนี้หรอก จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:12:22 A:180.183.97.190 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 90 จากการทดลองของ Benjamin Libet ที่จขกท.ว่า "จริงๆ แล้วกายเนื้อเราตัดสินใจทำพฤติกรรมต่างๆ ไปเีรียบร้อยแล้ว แล้วจึงสร้าง "จิต" ขึ้นมาเป็นเจ้าของพฤติกรรมนั้นๆ เป็นการหลอกตัวเองว่าเรามีเจตจำนงค์อิสระ ทั้งๆ ที่จริงทุกอย่างเป็นแค่ปฏิกิิริยาชีวเคมีในสมอง" ตีความได้ว่า "กายเนื้อตัดสินใจก่อนจิต...จิตเพียงแต่รับรู้การกระทำนั้น" เขียนเป็นไดอะแกรมคงเป็น A >> กายเนื้อ >> จิต : A = สิ่งที่ทำให้กายเนื้อตัดสินซึ่งยังไม่มีข้อมูลว่าคืออะไร แล้ว จะเป็นไปได้มั้ย?...ถ้าฝึกจิตจนรับรู้ล่วงหน้าถึวการตัดสินใจของกายเนื้อได้...ถ้าทำได้ถือว่ารู้อนาคตมั้ย? แล้วถ้า A = กรรม กรรม > กายเนื้อ > จิต กรรม ก่อให้เกิดการกระทำของกายเนื้อ? พัฒนาจิต เพื่อเท่าทันกายเนื้อ...เท่าทันกรรม...ศาสนาไหนหนอ? จากคุณ : ผ่านมาแซว (ไผ่แผ่วพริ้ว) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:15:46

ความคิดเห็นที่ 91 #86 ไม่ขัดครับ เพราะในแต่ละทางขนานกรรมเกิดต่าง ผลก็เกิดต่าง ตามที่คุณว่านั่นแหละ ถ้าโลกไหนที่ทอยลูกเต๋าแล้วได้เงิน ก็อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่อนาคตถูกหวย โลกไหนที่ทอยแล้วไม่ได้อนาคตก็อาจจะถูกหวยตามมาให้ได้เงินตามกรรมนั้น ก็อยู่ที่ในแต่ละโลกคนคนนั้นจะปฏิบัติอย่างไรเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ามันแตกตรงจุดเริ่มต้นได้ อนาคตก็เอาแต่ละ 6 โลกนั้นมาเป็นจุดเริ่มต้นใหม่สิครับ มันจะขัดกับกฎแห่งกรรมได้ยังไง แตกออกไปไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้นเอง แล้วสุดท้ายทั้ง 6 โลกไม่ได้กลับมารวมกันจุดเดิมครับ แตกออกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:15:58

ความคิดเห็นที่ 92 สรุปแล้ว มีเหตุการณ์เกิดก่อน การมีอยู่ของโลก  แต่ละโลกจึงผุดขึ้นมาหลังจากมีเงื่อนไขให้ตัดสินใจ  แล้วสุดท้ายทั้ง 6 โลกไม่ได้กลับมารวมกันจุดเดิมครับ แตกออกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดครับ ฮากว่านี้มีอีกไหมครับ การทดลองของ Benjamin Libet  ยังทดลองไม่ครอบคลุมทั้งหมดครับ 1) การทำงานของหัวใจ ร่างกายเขาทำงานไปตามสภาพของชีวเคมีครับ ไม่ได้เกี่ยวกับจิตสั่งการใดๆ แบบนี้จิตทำหน้าที่รู้เท่านั้น 2) แต่เมื่อมีเจตนาเกิดขึ้น มีความพยายามเกิดขึ้น สมมุติว่าฆ่าสัตว์สักตัวหนึ่ง ร่างกายชีวเคมีไม่ได้ทำงานโดยอัตโนมัติครับ แต่จิตคุณนี่แหละที่สั่งการ ตามสภาวะอารมณืในขณะนั้น มีความพยายาม เจตนาให้สัตว์นั้นตาย กรณีแบบนี้ จิตทำสองหน้าที่คือ รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น และสั่งการให้ร่างกายทำงาน ความหมายของคำว่าวิญญาณนั้นจริงๆแล้ว หลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อน ถ้าหูได้ยิน วิญญาณก็เกิดที่หู แล้วส่งไปประมวลผลที่สมอง เกิดการปรุงแต่ง อารมณ์เกิดขึ้นมีการรับรู้ที่จิต ถ้าตาเห็นภาพสาวเปลือย จักษุวิญญาณเกิดที่ตา แล้วส่งไปที่สมองประมวลผล เกิดอารมณ์ปรุงแต่ง มีการรับรู้ที่จิต ตรงที่จิตปรุงแต่ง ก็เกิดอารมณ์ที่เรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ นั่นเอง ไอ้เจ้าอารมณ์นี้ ถ้ามองเป็นรูปธรรมก็คือ ชุดของคำสั่งสื่อกระแสไฟฟ้าที่สั่งการระหว่างเซลล์จากสมอง ให้ร่างกายต่างๆทำงาน แล้วก็มีการบันทึกไว้ที่จิต เกิดกรรมดีกรรมชั่วทางใจ การที่ชาวบ้านบอกว่าเห็นวิญญาณ อันนั้นเรียกว่าเห็นรูปครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:31:02

ความคิดเห็นที่ 93 เจ้ากรรมนายเวรสามารถทำให้คนตายได้ด้วยหรือเนี่ย ความรู้ใหม่ จากคุณ : เพ็ชรสามสี1 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:35:36

ความคิดเห็นที่ 94 #84 ต้องเข้าใจครับว่าพุทธศาสนาไม่มีการแบ่งกรรมดีและกรรมชั่ว สุดท้ายมันก็คือกรรม เรามาปรุงแต่งมันเองว่า กรรมดี คือกรรมที่ส่งผลที่เราปรารถนา กรรมชั่วคือกรรมที่ส่งผลที่เราไม่ปรารถนา พุทธศาสนามองว่า ทุกอย่าง มันคือ หนึ่งเดียวครับ แล้วแตกออกไป ตามการปรุงแต่ง เพราะถ้าคุณศึกษาพุทธศาสนาสูงๆขึ้นไป บุญและบาป มันก้เป็นเครื่องผูกมัดทั้งนั้น มัดโดยสิ่งที่เราไม่ชอบ กับชอบ เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 15:37:35 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:36:22

ความคิดเห็นที่ 95 ผมกลับคิดว่ามันมีอยู่จริงทั้ง Free will และ สิ่งที่กำหนดไว้แล้ว เพียงแต่มันอยู่ใน scope ที่ต่างกัน เหมือนกับทฤษฏี Quantum นั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่พวกเป็นทฤษฏี สัมพันธภาพ หรือ คลาสิกปกติ ก็สามารถทำนาย scope ใหญ่ๆ อย่างจักรวาลได้ พูดง่ายๆคือ สิ่งเล็กๆ เช่นคนในระบบ กับ สิ่งใหญ่ๆ คือ ตัวระบบ "คนในระบบ" แต่ละคนต่างมี Free Will และ "ระบบ" ก็มีแนวโน้มของ "ผลลัพธ์ระบบ" ที่สามารถทำนายได้ ซึ่งถ้า คนในระบบ พยายามจะมี Free Will ที่ขัดกับผลลัพธ์ของระบบ ระบบจะเกิดการตอบสนองบางอย่าง เช่น ขจัด ขัดขวาง ลงโทษ คนที่มี Free Will ที่จะขัดขวางผลลัพธ์ของระบบออกไป ถึงจะมีโอกาสที่การ ขจัด ขัดขวาง ของระบบ อาจจะแพ้ Free Will บ้าง แต่นั้นก็จะเป็นเพียง ชัยชนะระยะสั้นๆ เพราะระบบจะแกว่งตัว มาตอบโต้รุนแรงขึ้น จน Free Will พ่ายแพ้ไป ผลลัพธ์ระบบก็จะเป็นไปในทางที่ระบบกำหนดไว้ ........ เทียบกับ Game Theory นะครับ นักโทษ มี Free Will ที่จะ สารภาพหรือไม่สารภาพ แต่ผลลัพธ์ระบบ มีแนวโน้มจะ สารภาพทั้งคู่ ครับ ----- ปล. ผมชอบแนวคิด ไอสไตน์ ที่ว่า ผลลัพธ์ แมวตายหรือไม่ตาย ไม่ใช่ "ความน่าจะเป็น" หรือ "เป็นและตายพร้อมๆกัน" อย่าง Quantum มันมีอยู่แล้ว แต่เป็นตัวเราเองต่างหากอยู่ในสภาพที่ตรวจสอบมันไม่ได้ ถ้าเทียบก็คือ มันเล็กละเอียด เกินกว่า กายหยาบของเราจะรับรู้ได้ ปล2. การวัดสารเคมีในสมอง มันควรเป็นลักษณะ 1) พูด ให้ผู้เข้าทดลองสร้างเงื่อนไขการกด ซ้าย-ขวา (เริ่มตั้งจิต) 2) สารเคมีในสมองผู้ทดลองเปลียน (ตามจิตที่ตั้ง) 3) กระทำการกด ซ้าย-ขวา ตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อสถานการณ์เงื่อนไขตรง มากกว่านะครับ เหมือนกับการเจอผี 1) จิตเรา เจอ/รับรู้ ว่าผีมา 2) สารเคมีในสมองเปลี่ยน 3） เกิดภาพ กลิ่น เสียง ที่รับรู้ได้เฉพาะตนขึ้น คนที่ไม่มีญาณ หรือ จิตรับไม่ได้ จะไม่เกิด 2) ทำให้ไม่เกิด 3) ไปด้วย การทดลองวัดสารเคมีในสมอง จึงอาจพูดว่าผิดพลาดก็ได้ เพราะ มีแต่ 2) มาก่อน 3） 10 วินาที เป็นการตัด 1) ออกไปตั้งแต่การออกแบบการทดลองแล้ว แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 15:45:12 จากคุณ : Hoo เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:37:35

ความคิดเห็นที่ 96 อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่ พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ของโลก ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึง อาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่า นั้น จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 15:48:23

ความคิดเห็นที่ 97 #94 ผมว่า กรรมชั่ว เป็นทุกข์ กรรมดี ก็ตรงกันข้าม อะนะครับ ทุกข์ไม่ทุกข์นี่ เป็นประเดนหลักของพุทธ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:02:20

ความคิดเห็นที่ 98 #92 คุณคิดว่าฮาเพราะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งหรือเปล่าครับ ไม่เป็นไรครับถ้าไม่โต้แย้งทฤษฎีนี้ก็ตามแต่ท่านจะคิด เพราะมันก็ไม่ได้บอกว่าจริง เพียงแต่เป็นความเป็นไปได้แบบหนึ่งที่ยอมรับกันในหมู่มากของนักวิทย์ควอนตัมที่อธิบายปรากฎการณ์ควอนตัมได้ดีก็เท่านั้นเองครับ ถ้าคุณคิดว่ามันตลกก็ลองหาคำอธิบายอื่นที่จะอธิบายปรากฎการณ์ควอนตัมได้ดีกว่านี้ ถ้ามีก็เสนอได้ครับไม่ได้มีนักวิทย์หรือท่านใดห้าม จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:03:04

ความคิดเห็นที่ 99 #95 ผมให้กิฟเฉพาะส่วนบนนะครับ ประมาณเป็นเรื่องเดียวกับที่ผมอธิบาย ส่วนการทดลองด้านล่าง ขอผ่านนะครับ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:05:19

ความคิดเห็นที่ 100 เจ้ากรรมนายเวรสามารถทำให้คนตายได้ด้วยหรือเนี่ย ความรู้ใหม่ .......อย่าไปเข้าใจแบบนั้นครับ คุณไปฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง  แต่เวลารับผลของกรรมนั้นไม่จำเป็นว่า สัตว์ันั้นจะต้องมาฆ่าคุณกลับ แต่มันจะมีเหตุที่คุณได้รับทุกข์ทรมาน แบบที่คุณทำกับสัตว์ตัวนั้น มากระทำกับคุณ ครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:07:40

ความคิดเห็นที่ 101 #95 แปลว่าท่านคิดว่าเป็นไปได้สำหรับเรื่องการทำนายอนาคตระดับมหภาค อย่างในเรื่อง Foundation ที่กล่าวไว้ว่าฮาริ เซลดอนสามารถทำนายอนาคตระดับมหภาคได้ แต่ไม่สามารถทำนายอนาคตระดับจุลภาคได้ ใช่หรือไม่ครับ? ผมกำลังคิดๆถึงประเด็นนี้อยู่ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน หากเรารู้ตัวแปรสำคัญๆทั้งหมด แต่โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าไม่มี Free will ครับ จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:17:22

ความคิดเห็นที่ 102 ตอบคุณ นักมายากลแห่งรัสเซีย #84 พุทธ มีเป้าหมายแล้วแนวทางทั้งหมด เพื่อการดับทุกข์ สัตว์โลก ล้วนมีทุกข์ หมายถึง ล้วนแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยเฉพาะคน มีทุกข์เป็นพิเศษ เพราะเจ็บด้วยความคิด เป็นประจำ กิเลส ชักนำให้เกิด การเบียดเบียน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ด้วยสมดุลย์ธรรมชาติ มันก็จะชักนำ การเบียดเบียนนั้น กลับมาจนได้ สรุป เราจึงต้องทุกข์ เพราะกิเลส และการเบียดเบียน ปฏิบัติพุทธ แค่ละการเบียดเบียน ก็จะเป็นการดับทุกข์ แต่ยาก ตรงที่มีกิเลสมาดูด มีสุขชั่วคราวมาล่อ (เช่น กาม เป็นต้น) กิเลสบังตา ให้ขาดสติ มีอวิชชา คือ ไม่รู้ว่า ทำอะไร แล้วจะต้องเกิดทุกข์ยังไง ไม่รู้ว่า สิ่งกามเอง ก็ไม่มีตัวตน ต้องดับสลาย ไปติดกับมัน ต้องทุกข์ เมื่อมันสลายไป มันจำเป็นต้องฝึก ไม่ฝึกก็ไม่เห็นอารมณ์ตนเอง ไม่เห็น ก็ไม่รู้ว่าตอนไหนทุกข์ ก็ไม่รู้จักละวาง ตั้งแต่ผัสสะแรก ถมผัสสะเข้าไป จนเมื่อขาดสติ ก็ก่อกรรมใหญ่ๆขึ้นมา ปล. เดี๋ยวถ้าเจอประเดนตามหัวกระทู้ ก้จะกลับเข้าประเดนใหม่นะครับ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:18:37

ความคิดเห็นที่ 103 aLITTLEspaceAround7day ผมซึ้งในรสพระธรรม ของคุณ จริงๆ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:41:34

ความคิดเห็นที่ 104 #101 ก็ในตอนนี้ระดับจุลภาคสุดๆ อย่างควอนตัมทำนายไม่ได้อ่ะครับ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะเราไม่เก่งพอ หรือเพราะธรรมชาติของโลกต้องประกอบด้วยค่าสุ่มและความน่าจะเป็นอยู่แล้วยังไงเสียต้องมีความ non-deterministic อยู่ในจุดเล็กๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังก็สรุปได้ทันทีว่ามนุษย์มี free will free will ในที่นี้ไม่ใ่ช่การควบคุมความคิดตัวเองได้อย่างอิสระ แต่เป็นมนุษย์ความสามารถในการเบี่ยงเบนความคิดให้ต่างจากเดิมได้เมื่อ given ปัจจัยต่างๆ ของร่างกายและประสบการณ์ภายนอกเหมือนกันเป๊ะๆ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ โดยอาจจะมีโอกาสคิดแบบ a ถึง 99% และคิดแบบ b 1% ปัจจัยภายนอกมีผลกระทบเยอะ แต่สุดท้ายก็ยังมีส่วนเล็กน้อยที่เกิดจากการสุ่มของเราเอง ซึ่งอันนี้เป็นแนวคิดที่ผมเชื่ออยู่ มีส่วนเล็กที่ยังเกิดจากการสุ่มของจิตเราอยู่ จิตเราไม่ได้ทำงานตามสมองแต่มีหน้าที่สุ่มอะไรบางอย่างออกมา ปัจจัยภายนอกเป็นตัวกำหนดความน่าจะเป็นในการสุ่มของจิตว่าจะทำให้สมองคิดอย่างไร เช่น ถ้าเกิดเจอหมาตัวนึง ปัจจัยภายนอกจะกำหนดให้ - หยุดดู 99% - เดินผ่าน 1% แลิวจิตเราก็สุ่มเลขออกมาว่าเราจะหยุดดูหรือเดินผ่านอีกทีนึง ซึ่งตรงนี้แหละเป็น free will เล็กๆ ผมเชื่อว่าคนเราไม่ได้มีอิสระสมบูรณ์แบบตามสมอง ความคิดที่ออกมาตรรกะทั้งหมดเป็นผลจากสมอง แต่มีเพียงจุดเล็กๆ ของจิตที่กำหนดว่าสมองเราจะทำงานตามแบบ a b c d e แบบไหนกันแน่ ซึ่งบางทีอาจจะมีโอกาสออก a ถึง 99.9999999% หากปัจจัยภายนอกกำหนดไว้แน่นหนาให้คิดอย่างอื่นได้ยาก แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 16:53:28 จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:46:18

ความคิดเห็นที่ 105 ผลปรากฏว่า ผู้สังเกตการณ์รู้ว่าผู้ถูกทดลองจะเลือกปุ่มขวา หรือซ้ายโดยดูผลจากกระแสไฟฟ้าสมอง และผลนั้นรู้ได้เกือบสิบวินาทีล่วงหน้าที่ผู้ถูกทำการทดลองจะบอกว่าตัดสินใจแล้วเสียอีก ตีึความในเบื้องต้นว่า จริงๆ แล้วกายเนื้อเราตัดสินใจทำพฤติกรรมต่างๆ ไปเีรียบร้อยแล้ว แล้วจึงสร้าง "จิต" ขึ้นมาเป็นเจ้าของพฤติกรรมนั้นๆ เป็นการหลอกตัวเองว่าเรามีเจตจำนงค์อิสระ ทั้งๆ ที่จริงทุกอย่างเป็นแค่ปฏิกิิริยาชีวเคมีในสมอง เป็นตรรกะวิบัติครับ ............เป็นการตีความที่ผิดครับ ทำไมคุณจึงลืมไปว่า ระยะเวลาที่พูดนั้น จะต้องบังคับกล้ามเนื้อ มีความคิดเกิดขึ้นจริง แต่ฃ่วงเวลา 10 วินาทีที่คุณว่าก็คือ ช่วงเวลาการตัดสินใจพูดครับ จิตมีสองสถานะคือ รับรู้และสั่งการ ชีวเคมีในสมองมันทำงานโดยสองระบบคือ ทำงานโดยอัตโนมัติ กับ มีจิตเป็นผู้สั่งการครับ ชีวเคมีในสมองหรือร่างกาย  ตัดสินใจเองไม่ได้ครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:48:00

ความคิดเห็นที่ 106 พิมพ์ภาษาบาลีมาแปลด้วยก็ดีครับ อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เรียนบาลีเป็นภาษาที่สองที่สาม จากคุณ : Shinjitsu เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:48:01

ความคิดเห็นที่ 107 #100 ผมก็เคยได้ฟังมาแบบนี้ แต่ก็สงสัยอยู่ เคยคิดในแง่ของ ขั้วกรรม A มักจะโกรธ เมื่อได้รับ ข้อความ a ทีนี้พอ B โพส aaaaaaaaa มาเป็นชุด C D E F มาเจอเข้า ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร Aมาเจอเข้าก็โกรธแล้ว โกรธอีก เพราะเป็นขั้วกรรมของตน ไม่ยอมละกรรมลง สานกรรม สานโกรธไปเรื่อย เข้าประเดน ทีนี้ B จะรู้สึกอย่างที่ A รู้สึกได้อย่างไร เกือบจะไม่มีคำตอบ แต่พอดีนึกถึงเรื่องนึงที่เคยเขียนไว้ คือ เมื่อผู้ล่า กลับกลายมาเป็นผู้ถูกล่า ความหวาดกลัวในแววตาเหยื่อ จะสะท้อนความรู้สึกนั้น กลับมา รู้สึกเองบ้าง อีกประเดน เพราะเหตุที่ B ไปปล่อย aaaaaaaaaaa ให้ A โกรธบ่อยๆเข้า ขณะที่ B' ปลอบ a'a'a'a'a'a'a' ให้ A สงบลง สมมติ Z  ปล่อย bbbbbbbbbbbbb มา ให้ B โกรธ aaaaaaaaaaaaa*A จะถูกรวมสะท้อนมาตอนนี้ด้วย ขณะเมื่อ Z  ปล่อย bbbbbbbbbbbbb มาให้ B' กลับเป็น  a'a'a'a'a'a'a' *A ที่สะท้อนมาช่วยเสริมแทน สรุป อารมณ์เบียดเบียดมันสะท้อนทุกข์กลับ ให้ติดกับ อารมณ์เมตตา สะท้อนความเบาสบาย ไม่ติดกับทุกข์ กลับมาแทน อืม B กระทำต่อ A เกิดทุกข์สุขที่ A แต่ผลส่วนหนึ่ง ก็สะท้อนเก็บไว้ที่ จิตB อยู่เหมือนกัน ปล. ขั้วกรรมปกติ คือ ทุกข์สุข ที่เกิดขึ้นที่ B เอง  ขณะกระทำ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 17:00:48 จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 16:54:06

ความคิดเห็นที่ 108 กลับมาตอบอีกครั้งว่า Free Will มีครับ แต่มันต้องเข้าใจ ไม่ใช่ ท่องจำ Free Will มีแน่นอนครับเพียงแต่ คนที่เข้าถึง Free Will ได้จริงๆ หายาก จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 17:25:46