ความคิดเห็นที่ 1 ทำให้สงสัยว่า จริงๆแล้ว ถ้าระดับน้ำเท่ากัน  แต่ปริมาตร น้ำ มันต่างกัน เนื่องจากความกว้าง ของภาชนะที่บรรจุ (กรณีนี้คือ น้ำในแม่น้ำ ) กับ น้ำที่ขัง ระหว่างชั้นกำแพง ตามรูป A กับ B  แรงดันต่อกำแพง เท่ากันหรือไม่ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 14:00:15

ความคิดเห็นที่ 2 แล้ว ถ้า ระหว่างการกั้นกำแพงสองชั้นเอาน้ำ เข้าไปขังระหว่างชั้น มันช่วยดันกำแพงด้านนอกไม่ให้พังได้จริงหรือ หรือ แทนที่จะมาสร้างกำแพงอีกชั้นกักน้ำ สู้เอากำแพง หรือถึงทรายที่จะกั้น เข้าไปติดกำแพงเดิมอีกชั้น อย่างรูป B จะแข็งแรงกว่า คือเห็นหลายที่ รวมทั้งจังหวัดผม และสิงห์บุรี เลือกใช้ แบบ A กันเยอะ พอดีคุณ Waterman เพื่อนเรา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ บอกว่า แบบ B ดีกว่าเลยอยากได้ข้อมูลเชิงวิชาการและทฤษฏี เผื่อไปบอกคนปฏิบัติได้ถูกต้องดีกว่า (ถ้ามันดีกว่าจริง) จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 14:03:23

ความคิดเห็นที่ 3 แต่ ที่แน่ๆ ประโยชน์อีกอย่างของการกั้นกำแพงสองชั้นก็คือ กรณีน้ำเซาะลอดใต้กำแพง เข้ามาในพื้นที่ แห้งด้านใน แต่ก่อนมีคนคอยสูบออก แต่ว่าการสูบออกยิ่งทำให้น้ำมันค่อยๆเซาะดินออกไปและดันออกมาเรื่อยๆจนพัง ทะลาย การก่อกำแพงสองชั้นกักน้ำตรงที่รั่วให้อยู่บริเวณนี้แล้วปล่อยให้ระดับน้ำสูง จนเท่ากับภายนอก แรงดันน้ำจะกดน้ำที่ซึ่มเข้ามาใม่ให้ไหลเข้ามาได้ลดการกัดเซาะได้ดี อันนี้คิดว่า น่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 14:06:11

ความคิดเห็นที่ 4 แต่สงสัยประเด็นข้างบน คับ กำแพงสองชั้นกักน้ำไว้ ช่วยดันกำแพงชั้นนอก กับ สองชั้นติดกันไปเลย อันไหน แข็งแรงดีกว่ากัน รบกวนเซียนๆ ด้วยครับ มีสูตรคำนวนแรงดันน้ำหรือ ทฤษฏีประกอบด้วยก็ได้ครับ น่าจะเป็นแนวทางให้คนที่ปฏิบัติงานเอาไปใช้ได้ถูกต้องตรงงาน มากกว่าการ ลองผิดลองถูก หรือ เค้าบอกต่อๆกันมา อิๆ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 14:07:11

ความคิดเห็นที่ 5 รอฟังด้วยครับพี่หมอเจ อยากรู้เหมือนกัน จากคุณ : seto16 เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 14:12:06

ความคิดเห็นที่ 6 เข้ามา รอฟังด้วยคน ครับผม , หมอ J ถามได้เป็นประโยชน์ เหมาะกัาสถานะการณ์  ดีครับผม ( fluid static นี่เหมือน เป็น วิชา ง่าย แต่หลายๆ ครั้ง  เข้าใจผิดกันมา หลายครา ครับ  )   ผม ขอ อนุญาต  ชิดขวา       รอ master ด้านนี้มาตอบ อิอิ ... จากคุณ : Advil เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 14:34:30

ความคิดเห็นที่ 7 แบบแรกดีกว่า ถ้า.... มีการยึดกำแพงชั้นนอก กับช้ันในเข้าด้วยกัน เช่นใช้เหล็กเส้นยึดด้านขอบบนกำแพง เหตุผลคือ ฐานจะกว้างกว่า จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 14:39:42

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องคุมระดับน้ำในกำแพงให้ต่ำกว่าภายนอก ลดแรงดันน้ำของกำแพงภายนอก ถ้าระดับน้ำเท่ากันกำแพงภายนอกก็ไร้ประโยชน์ จากคุณ : pokparkdee เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:09:53

ความคิดเห็นที่ 9 ว่าแต่ทำไมไม่ทำกำแพงกั้นน้ำให้เป็นแบบสีเหลี่ยมคางหมูละครับ เพราะกำแพงแบบปกติส่วนโคนด้านล่างจะรับแรงเค้นมากสุด ถ้าทำเป็นแบบสี่เหลี่ยมคางหมูน่าจะรับแรงดันได้ดีที่สุด อย่างเขื่อนกันซึนามิ หรือแนวเขื่อนกันน้ำบางที่ของญี่ปุ่นนะ แต่เราเอามาทำในแบบที่เล็กลงเท่านั้นเอง จากคุณ : evillcore เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:10:48

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้ากำแพงชั้นแรกกับชั้นสองไม่ได้ยึดติดกันไว้ จำได้ว่า ระยะห่างจากกำแพงหนึ่งไปกำแพงสองจะไม่มีความสำคัญ จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:10:50 A:124.122.153.137 X: TicketID:250855

ความคิดเห็นที่ 11 ประมาณนี้ จากคุณ : pokparkdee เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:14:21

ความคิดเห็นที่ 12 #1 แรงดันน้ำเท่ากันทั้ง A และ B ถ้าแน่ใจว่าทำเขื่อนคอนกรีตแข็งแรงพอและทำพื้นกันน้ำซึมหลังแนวได้ดี ก็ไม่น่าต้องมีแนวคันหินคลุกครับ เหมือนแผงเหล็กที่วัดไชยวัฒนาราม จากคุณ : ท.ทหารอดทน เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:36:17

ความคิดเห็นที่ 13 ขอโทษครับ เผลอคลิ๊กซ้ำ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 54 17:49:02 จากคุณ : ท.ทหารอดทน เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 15:37:54

ความคิดเห็นที่ 14 แรงดันแปรผันตรงกับความลึกของน้ำเท่านั้นครับ (เท่าที่เรียนมาแล้วจำได้ ) จากคุณ : dust su เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 16:20:38

ความคิดเห็นที่ 15 เวลาออกแบบ เขาจะกำหนดระดับน้ำสูงสุดอยู่แล้ว เพื่อนำไปออกแบบให้กำแพงแข็งแรง กำหนดความหนา ระยะฝังลึก ถ้าน้ำสูงสุดถึงสันกำแพง อย่างไรก็ไม่พัง ที่พังส่วนมากจะเกิดจากการกัดเซาะมากกว่าครับ จากคุณ : Mr.pokpak เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 16:30:05

ความคิดเห็นที่ 16 ตาม #11 ผมว่า OK นะ กำแพงริมน้ำ ไม่รับแรงดันน้ำมากเกินไป ส่วนกำแพงชั้นในคือช่วยลดแรงดัน และกันน้ำมุดใต้กำแพงแรก ส่วนการวางกระสอบทำกำแพงก็ตามกระทู้ที่แล้ว จากคุณ : ascertain เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 16:32:31

ความคิดเห็นที่ 17 #1 ภาพนั้น แรงดัน ใน A & B เท่ากันครับ จขกท.ดูภาพจาก คห.ที่ 11 ประกอบนะครับ ภาพนี้ยังผิดอยู่ตรงที่ไม่ได้วาด เส้นความดันจากน้ำระหว่างสองกำแพง ผลักไปทางขวาเข้าหากำแพงชั้นนอก ถ้ามองภาคตัดนั้น จะเห็นว่าโครงสร้างของกำแพงเป็นคานยื่นแนวตั้ง (Cantilever) กำแพงจะพังเมื่อความเค้นดัดในกำแพง หรือความเค้นเฉือนที่ฐาน มีมากเกินไป ทีนี้แรงที่กระทำต่อกำแพงไม่ได้มีแค่ Hydrostatic เสียทีเดียว แต่ มี Hydrodynamic ด้วย เนื่องจากความเร็วของน้ำ (เนื่องจากกระแสน้ำ) ที่ปะทะเข้ากำแพงชั้นนอก ดังนั้นการสร้างกำแพงสองชั้นจึงให้ผลดีกว่าในแง่ภาระของฐานราก เพราะแรงดัน Hydrostatic ของน้ำที่ขังอยู่ชั้นใน ไปหักล้างกับแรงดัน Hydrostatic จากน้ำภายนอก  ดังนั้นกำแพงด้านนอก มีหน้าที่รับแต่ Hydrodynamic แทบจะล้วนๆ (0.5 x density x vel.^2) ส่วนกำแพงด้านใน ก็ใช้รับแรงดัน Hydrostatic เท่านั้น ตามความสูงของน้ำส่วนที่ขังเอาไว้ คำนวณเล่นๆ ระดับน้ำชั้นใน และภายนอก สูง 2 เมตร  ความเร็วน้ำที่ปะทะตั้งฉากกับกำแพงด้านนอก 4 m/s กำแพงยาว 100 เมตร ภาระของฐานรากกำแพงชั้นนอก แรงเฉือน 2,011 kN โมเมนต์ 1,341 kN ภาระของฐานรากกำแพงชั้นใน แรงเฉือน 1,640 kN โมเมนต์  3,280 kN เนื่องจาก Hydrostatic นั้น คำนวณได้แม่นยำ ไม่เหมือนกับแรงปะทะของน้ำ ซึ่ง ไม่ทราบความเร็วที่แน่นอน  การมีกำแพงสองชั้น ยังช่วยกระจายความเสี่ยง  เพราะถ้ากำแพงชั้นแรกพังไปแล้ว ชั้นที่สองยังเหลืออยู่ ในขณะที่แรงน้ำปะทะ ถูกชะลอลดลงไปแล้ว  การจะสร้างกำแพงชั้นใน แถวใหม่ ก็มีความเป็นไปได้ แต่ถ้ามีกำแพงแค่ชั้นเดียว จบแล้วก็จบกัน ไม่มี Reliability จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 16:33:19

ความคิดเห็นที่ 18 กรณีน้ำเซาะ ใต้ฐานกำแพงนั้น เวลาออกแบบตัวกำแพงต้องฝังลงไปในดินส่วนนึงครับ ด้านหลังกำแพงต้องขุดดินออก แล้วปูด้วย Geotextile กันไว้ครับ จากคุณ : Mr.pokpak เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 16:33:56

ความคิดเห็นที่ 19 ของคุณ Sgt.Oat ภาระของฐานรากกำแพงชั้นนอก -->>> อันนี้คือติดแม่น้ำใช่หรือเปล่า แรงเฉือน 2,011 kN โมเมนต์ 1,341 kN ถ้าใช้ ผมคิดว่า แรงจาก Hydrostatic ถูกหักล้างจากน้ำด้านในแล้วครับ ภาระของฐานรากกำแพงชั้นใน แรงเฉือน 1,640 kN --->> น่าจะเป็น 2,011 kN โมเมนต์  3,280 kN --->> น่าจะเป็น 1,341 kN-m จากคุณ : Mr.pokpak เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 16:46:58

ความคิดเห็นที่ 20 ประสบการณ์ตรงไม่มี เข้ามารอฟังด้วยคนครับ อ่านแต่ละความเห็นแล้ว ผมต้องกลับขึ้นไปดูรูปใหม่ สับสนอันไหนชั้นในชั้นนอก สบสนตัวเอง ฮิๆ จากคุณ : ผมเอง (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 16:57:50

ความคิดเห็นที่ 21 ผมมองในแง่การจัดการ  ทำห่างกันจัดการง่ายกว่า ต้องทำ 2 ชั้นเพราะ  กำแพง+กระสอบทราย ยังมีน้ำรั่วเข้ามาได้บ้าง  ต้องคอยสูบออก จึงต้องมีชั้นดินทึบอีก 1 ชั้น ทำห่างกัน ตามรูปแรก ให้รถบรรทุกมาดั้มดินต่อกันเป็นแนว   เอารถแบคโฮ  อยู่ด้านในโกยดินขึ้นไป + ตบหน้าดินให้แน่น (ไม่แน่ใจว่าตอนทำจริงเค้าทำอย่างไง) ตอนเก็บก็ง่าย  ใช้รถตักมาตักขึ้นรถบรรทุก  ย้อนกลับตอนทำแนว ไล่ตักให้สั้นลง ทำติดกัน  ถมดินอัดเข้าไปที่กำแพง   ถ้าวางแนวรถตั้งฉากกับกำแพง  ก็ต้องโกยดินไปโปะกำแพงเยอะ ถ้าวางแนวรถขนานกับกำแพง ต้องระวังดินร่วงลงแม่น้ำ   ตอนถมดินอัดเข้าไปที่กำแพง  เสี่ยงกับกระสอบทรายพังอีก ที่คุณ Waterman (LN106) โพสว่า  เรียง 2 ชั้นติดกันดีกว่า ผมอ่านแล้วหมายถึง ชั้น 2 ใช้กระสอบทรายครับ   ไม่ใช่คันดิน จากคุณ : CocoaChocolate เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 17:29:59

ความคิดเห็นที่ 22 เอาชั้นติดกันไปเลยครับ จะให้รับแรงเท่าๆทั้งสองแผ่นทำไม สู้ให้มันเป็นอันเดียวกันซะ ความแข็งแรงจะได้คูณสอง ยกเว้นก็แต่ว่าแค่แผ่นเดียวมันแข็งแรงเพียงพอ ถ้าเป็นแบบนี้จะทำยังไงก็ได้ ในคห.1 ถ้าความสูงเท่ากัน แรงดันที่กระทำเท่ากัน และถ้าพื้นที่เท่ากัน แรงที่กระทำก็เท่ากัน Note: F=PA (F แรงที่กระทำ, P แรงดัน, A พื้นที่) P=pgh  (p ความหนาแน่น, g แรงg, h ความสูง) ประนี้มั้ง mechanics ก็ลงหลุมไปหมดแล้ว ผิดขออภัย เอาแบบนี้สิ แน่นอน จากคุณ : สมุดจด เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 17:38:24

ความคิดเห็นที่ 23 ที่ทำกันแบบสองชั้น ตามรูปหัวกระทู้  ก็มีประโยชน์ ถ้าน้ำเซาะใต้ฐานเข้ามา ดูจะอุดได้ง่ายกว่า และปริมาณน้ำที่ไหลเข้ามาก็จะกัดเซาะได้ยากขึ้น น้ำก็จะรั่วเข้ามาได้น้อยกว่า ที่แน่ๆ น้ำในแม่น้ำไม่ได้อยู่นิ่งๆ  เขื่อนชั้นแรกจะรับแรงปะทะจากคลื่นที่เรือแล่น ส่วนกำแพงชั้นที่สองเป็นตัวรับแรงดันน้ำที่อยู่นิ่งๆ เพียงอย่างเดียว ตอนน้ำท่วมบ้านผม ก็เคยวางแนวกระสอบทรายไว้ชั้นเดียว เป็นรูปสื่เหลี่ยมคางหมู  ตอนน้ำท่วมนิ่งๆ ก็เอาอยู่   พอรถวิ่งผ่านเท่านั้น เกิดคลื่นน้ำกระแทกกระสอบทรายล้มเลย  ซึ่งความแรงของคลื่น จะมากหรือน้อย ก็แล้วแต่ใจของคนขับรถ จากคุณ : นายเดชา เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 18:34:40

ความคิดเห็นที่ 24 กันเหนียวมั้งเจ้าคะ น้ำซึมรั่วกำแพงชั้นแรกมา ก็ยังพอมีเวลาให้อุดปะ หรือสูบได้ทัน จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 18:50:30

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่มีประสบการณ์เลยครับ และเพิ่งจะรู้ด้วยว่ากำแพงกั้นน้ำทำ 2 ชั้นจะดีกว่าครับ ความเห็น #1 นั้นตอบไม่ได้นะครับ แต่คิดว่าน้ำหนักของน้ำส่วนใหญ่จะกดลงพื้น ส่วนแรงดันด้านข้างน่าจะใกล้เคียงกันครับ เมื่อแรงดันด้านข้างใกล้เคียงกัน กำแพงกั้นน้ำด้านนอก เมื่อรวมกับน้ำที่ขังอยู่ภายใน จะกลายเป็นกำแพงหนาขึ้น ช่วยกันดันกำแพงชั้นในให้แข็งแรงเพิ่มขึ้นครับ จากคุณ : บุญถิ่น เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 18:54:48

ความคิดเห็นที่ 26 ความมั่นคงในตัวเขื่อน ที่พิจารณากันหลักๆ ก็ 2 ตัวคือ การต่านทานการเลื่อนตัวในแนวราบ (Sliding) กับการล้มของตัวกำแพง (Overturning) สำหรับ Sliding แรงดันของน้ำที่กระทำต่อกำแพงจะเป็นแรงในแนวราบ มีขนาด 0.5*ความสูงของน้ำที่วัดจากฐานกำแพง(ที่พิจารณา)ถึงผิวน้ำ*น้ำหนักของน้ำที่ความสูงนั้น  ซึ่งกำแพงก็จะต้องมีแรงเสียดทานมากกว่าแรงดันนี้ แรงเสียดทานก็คือ น้ำหนักทั้งหมดของกำแพง*สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานสถิตย์ โดยเมื่อเรียงกระสอบหนาหลายๆ แถว ก็อาจอนุมานว่ามันเป็นชิ้นเดียวกัน ส่วน Overturning แรงดันน้ำจะพยายามหมุนกำแพงให้ล้ม โดยค่าโมเมนต์ = ค่าแรงในแนวราบของ Sliding * (H/3)   ซึ่งตัวกำแพงก็จะต้องมีโมเมนต์ต้าน = น้หนักของกำแพง*ระยะในแนวราบจากจุดหมุนถึง CG ของน้ำหนักของกำแพง (Center of Gravity หาใช่ Computer Graphic เน้อ) สำหรับขนาดของแรงดัน ก็ตามรูปใน คคห. 11 ครับ เพียงแต่ว่า รูปที่ลงอธิบายขาดไปนิดนึง คือ สามเหลี่ยมของแรงดันรูปใหญ่ทางขวามันจะเป็นสามเหลี่ยมก่อน แล้วเอาพื้นที่สามเหลี่ยมเล็กทางซ้ายมาหักลบออก ถึงจะเกิดเป็นสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า ปอลิง ที่วงเล็บว่า (ที่พิจารณา) เพราะในบางครั้งหากรูปร่างของกำแพงเปลี่ยนแปลงไป เช่นเรียงให้ฐานใหญ่เป็นสี่เหลี่ยมคางหมู ก็อาจต้องลอง Trial Error ดู ครับ อีกเรื่องนึงที่มักไม่ค่อยคิดกัน (เพราะไม่รู้) ก็คือ เมื่อคันป้องกันน้ำท่วมค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ แรงดันน้ำที่พยายามจะซึมผ่านเนื้อดินหรือทรายก็จะมากขึ้น ซึ่งอัตราส่วนระหว่างความสูงของน้ำกับระยะทางการไหลนี้เรียกว่า Weighted Creep Ratio ซึ่งค่านี้เป็นตัวชี้ชะตาว่า ฐานรากของทำนบนั้นจะอยู่หรือไป เพราะในเนื้อดินชนิดต่างๆ ก็จะมีค่าต่างกันออกไป โดยเมื่อ WCR มีค่าน้อยกว่าที่กำหนด นั่นหมายถึงว่า เม็ดดินมีโอกาสสูงที่จะหลุดไหลมากับน้ำที่ซึม ซึ่งเมื่อมันหลุดฐานรากก็จะเป็นโพรง จากนั้นก็ใช้เวลาอีกไม่นานน้ำหนักทำนบก็จะกดลงบนฐานทำนบและทำนบก็จะพังลงในที่สุด จากคุณ : Waterman (LN106) เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 18:55:29

ความคิดเห็นที่ 27 ข้อที่น้ำเซาะดินฐาน คิดครับ แต่ผมไม่รู้ว่าการแก้ไขต้องทำอย่างไร ตรงนี้ไม่มีความรู้เรื่องลักษณะแรงกระทำของน้ำครับ ถ้ามันเซาะดินฐานออกมา เราจะแก้ปัญหาอย่างไรครับ จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 19:29:29

ความคิดเห็นที่ 28 #19 ผมไวน์ไป 10 แก้วเมื่อกี้ อาจจะคำนวณผิดบ้าง ต้องขออภัย กำแพงชั้นนอก รับแต่ Hydrodynamic pressure =  1/2 x density x velocity^2 ให้ความเร็วน้ำปะทะ = 4 m/s น้ำทะเล density = 1.025 t/cu.m Hydrodynamic pressure = 1/2 x 1.025 x 4^2 = 8.2 kN/sq.m ถ้าเป็น น้ำจืด density = 1.0 t/cu.m Hydrodynamic pressure = 1/2 x 1.0 x 4^2 = 8.0 kN/sq.m กำแพง ขนาด 2 x 100 = 200 sq.m แรงเฉือน ที่โคน = 8.0 x 200 = 1,600 kN โมเมนต์ = 1,600 x 1 = 1,600 kN.m แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 54 20:30:08 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 54 20:28:05 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 54 19:46:30 จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 19:45:49

ความคิดเห็นที่ 29 .. คำถาม ลักษณะคล้ายๆ กัน ถ้าผมออกแบบ ถังความดัน  พวกถังแก๊ส ประมาณนั้น ถ้าผมใช้เหล็กแผ่นขึ้นรูป 2 ชิ้น ประกบติดกัน  ดังรูปด้านขวา เทียบกับ ใช้เหล็กแผ่นขึ้นรูป 2 ชิ้น  (ความหนาของเหล็กแผ่นเท่ากัน)  แต่ใส่ทรายกั้นระหว่างแผ่นเหล็กไว้ แบบไหนจะรับแรงดันได้มากกว่ากัน ผมตอบแบบใช้ความรู้สึกล้วนๆ ครับ แบบทางด้านซ้าย  น่าจะรับความดันได้มากกว่า เช่นเดียวกัน ตอบแบบใช้ความรู้สึกล้วนๆ กำแพงน้ำแบบสองชั้น  ตามภาพในต้นกระทู้  นั่นแหละ แข็งแรงกว่า .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 21:43:40

ความคิดเห็นที่ 30 ซ่อมได้ จากคุณ : CocoaChocolate เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 54 01:17:51

ความคิดเห็นที่ 31 รูปคห. 1 ความรู้ม.ปลายครับ น่าจะถูก F = P*A    = (P[sub]1[/sub] +P[sub]2[/sub]) / 2 * A    = (0 + pgh)/2 * (hL)    = pg(h^2)L / 2 ปริมาณน้ำไม่ได้มีผลครับ สนใจแค่ความสูงของน้ำ(h) กับความลึกของเขื่อน(L) จึงสรุปว่ารูป A กับ B มีแรงดันเท่ากันครับ จากคุณ : นิว ชะลาล่า เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 54 20:41:28

ความคิดเห็นที่ 32 .. ใครว่าไม่มีผล  ดูรูปนี้ครับ ภาพล่างแข็งแรงกว่า และรับระดับน้ำได้สูงกว่า เพราะเหตุที่  จุดที่พนังกั้นน้ำเสริมนั้น มักจะมีระดับที่ตั้ง  สูงกว่า  พนังกั้นน้ำด้านติดแม่น้ำ จึงทำให้ระดับน้ำ ที่ก่อให้เกิดแรงดันปะทะ  มีระดับต่ำกว่า ด้วยเหตุนี้  พนังกั้นน้ำ  ด้านติดตัวเมือง  จึงสามารถทนแรงดันน้ำที่ระดับน้ำได้สูงกว่า และแน่นอน  ย่อมรับระดับน้ำได้สูงกว่า  เมื่อเทียบจากลักษณะความหนาของพนังเท่าๆ กัน เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาพนังกั้นน้ำด้านติดแม่น้ำ คุณจะเห็นว่า น้ำที่อยู่ด้านขวามือ ที่ล้นออกมานั้น จะช่วยเสริมแรง  (หรือ พยุง)  ไม่ให้พนังกั้นน้ำพังลงมา เพราะมีแรงกระทำทั้งสองด้าน  ด้วยขนาดที่เท่ากัน เทียบกับการที่ไม่มีพนังกั้นน้ำเสริมแล้ว แบบไหนที่รับแรงดันสูงกว่ากัน .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 54 23:23:13

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณทุกๆความเห็นคับ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 10:51:55

ความคิดเห็นที่ 34 ความคิดเห็นที่ 1 AและBความดันเท่ากันครับ เพราะมีแค่ Hydrostatic ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าคิดในส่วนของการรับแรงดันจากน้ำนั้นผมว่าใกล้เคียงกัน เพราะแบบ A ก็จะแยกรับแรงแบบ Hydrodynamic ที่ด้านนอก และรับแรงดันแบบ Hydrostatic ที่กำแพงด้านใน ซึ่งเมื่อเทียบกับแบบ B ที่กำแพงรับแรงได้มากกว่าแต่ก็ต้องรับแรงดันจากน้ำ ที่มากกว่าคือ Hydrostatic + Hydrodynamic แต่เมื่อมามองถึงการใช้งานนั้นแบบ A จะสามราถซ่อมแซมกำแพงชั้นนอกได้ รวมถึงหากกำแพงชั้นนอกเริ่มพัง ก็ยังมีกำแพงด้านในช่วยชะลอน้ำ เพิ่มเวลาในการสร้างกำแพงชั้นต่อไปขั้นมาทดแทน วิเคราะห์ดูเท่าที่พอมีความรู้อยู่บ้างนะครับ ไม่รู้ถูกต้องรึป่าว จากคุณ : Kill25 เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 17:26:44 A:125.24.207.181 X: TicketID:199139

ความคิดเห็นที่ 35 ผมว่า กำแพงชิดกัน กับ กำแพงแยกเป็นสองชั้น ทนได้เท่ากัน แต่ถ้ากำแพงทำจากคันดิน หรือกระสอบทราย ไม่ใช่แผ่นเหล็ก กำแพงสองชั้น ก็ต้องทำฐานกว้าง สองฐาน กำแพงสองชั้นแยกกัน จะเปลืองวัสดุมากกว่า   ถ้ามีวัสดุจำกัด เอาไปรวมเป็นกำแพงชิดกันเป็นชั้นเดียวน่าจะหนาและทนทานมากกว่า จากคุณ : ผลึกความคิด เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 54 23:37:39

ความคิดเห็นที่ 36 รูปจากความคิดเห็นที่ 1 คำตอบคือไม่ต่างกันครับ แรงดันน้ำไม่ต่างกัน แรงดันขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำเท่านั้นครับ หาแรงดันได้จาก แรงยมีข้อมูลเพียงที่ให้มา แต่ถ้าถามว่าแรงดันด้านไหนเป้นเท่าไร จะตอบได้ครับ จากคุณ : swiss-man เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 12:18:43 A:110.168.107.66 X: TicketID:333850

ความคิดเห็นที่ 37 รูปจากความคิดเห็นที่ 1 คำตอบคือไม่ต่างกันครับ แรงดันน้ำไม่ต่างกัน แรงดันขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำเท่านั้นครับ หาแรงดันได้จาก แรง = พ.ท. กำแพงที่โดนท่วม x 10,000 x ความลึกน้ำหารด้วย 2 ไอเดียของการใช้น้ำดันน้ำคือดังนี้ครับ มองในแง่ของแรงจากน้ำอย่างเดียวนะครับ ไม่เกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ทำคันนะครับ สมมติมีคันเดียวรับน้ำสูง 3 เมตร คันกั้นนั้นจะมีแรงผลักมาจากน้ำด้านเดียว มันจะรับแรงมากตามสูตรที่ผมให้ไป ถ้ามีแบบ 2 คันกั้น และมีน้ำระหว่างคันทั้งสอง ก็เท่ากับว่าคันกั้นแรกรับแรงดันจากน้ำด้านหน้า แต่มีน้ำด้านหลังมาดันตูดไว้ แรงทั้งสองนี้จะหักล้างกันบางส่วน (แต่ไม่หมดนะครับ) ทำให้คันกั้นแรกรับแรงน้อยลง ภาระที่เกิดกับโครงสร้างก็น้อยลง ภาระที่ลดไปนี้ คันกั้นที่สองเป็นผู้รับไว้ครับ แต่ถ้าเอาน้ำเติมระหว่างคันกั้นให้สูงเท่ากัน คันกั้นแรกจะไม่รับภาระอะไรเลย เพราะหน้าหลังดันเท่ากัน หักล้างกันครับ ทำให้คันกั้นแรกไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากกันคลื่นครับ ส่วนไอเดียที่ จขกท เสนอมาว่าเอามาชิดกันโดยไม่ต้องมีน้ำเลย แล้วถามว่าอันไหนจะแข็งแรงกว่า เป็นเรื่องของการออกแบบโครงสร้างแล้วครับ ไม่อาจจะสรุปได้ว่าอันไหนแข็งแรงกว่าโดยมีข้อมูลเพียงที่ให้มา แต่ถ้าถามว่าแรงดันด้านไหนเป้นเท่าไร จะตอบได้ครับ จากคุณ : swiss-man เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 12:19:16 A:110.168.107.66 X: TicketID:333850