ความคิดเห็นที่ 1 195/65R15 กับ 205/60R15  เป็นยางที่ใช้แทนกันได้  มี load index เท่ากัน ดังนั้นให้เติมลมยางเท่ากัน แต่ถ้าเป็นยางที่มี load index ไม่เท่ากัน  จะมีวิธีแบบนี้ http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V11107583/V11107583.html#5 จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:14:47

ความคิดเห็นที่ 2 เติมลมยางเท่าไหร่ ดูหนังสือคู่มือรถครับ  อย่าเชื่อคนอื่น หน้ายางแคบ-กว้างกว่ากันมีผลต่อการเกาะถนนและอัตราการกินน้ำมันเชื่อเพลิงครับ จากคุณ : หัวโตนะ เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:23:04

ความคิดเห็นที่ 3  คุณ ton99 นักเลงรถห้องรัชดามาตอบให้แล้ว ใช้ Load index ง่ายที่สุด เขาคิดคำนึงถึง แก้มยางสูง/ต่ำ อันมีผลกับความกระด้างเอาไว้และ ฯลฯ เรียบร้อยแล้ว ให้ผู้ใช้รถเติมลมได้ง่าย --ถ้าจะพิจารณาจากความกว้างของหน้ายาง ..เพียงอย่างเดียว ยางกว้าง หรือ แคบ มันมีผลกับพื้นที่ Foot print ไม่เท่ากัน --ถ้ารับโหลดเท่ากัน (น้ำหนักรวมบรรทุก) ยางกว้าง จะเติมลม = น้อยกว่า   --เมื่อพิจารณาจาก "ความสูงแก้มยาง" ที่แตกต่างกัน เช่น 60 หรือ 65 เมื่อแก้มยางขยับตัว ... แก้มยางเตี้ยกว่า (60) จะมีมุมหักงอมากกว่า ส่งผลต่อโครงสร้างยางมากกว่า รวมๆแล้วมีตัวแปรมากกว่า โรงงานไม่ได้พิจารณาจาก ความกว้างของยาง เพียงอย่างเดียว จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:34:11

ความคิดเห็นที่ 4 ผมเคยทดลองประสาชาวบ้าน พิจารณาจากการยุบตัวของยาง ทำให้ลมภายในยางเกิดการอัดตัวแบบ Adiabatic ส่งผลให้ ลมยางร้อนขึ้น ....ยิ่งเติมลมยางน้อยเท่าไร ==> ยางยิ่งร้อนเร็วขึ้นเท่านั้น ใครเคยยางรั่ว คงจะสังเกต ยางจะร้อนจัด ไม่ระวังจะมือพอง ผมทำอย่างนี้ เริ่มต้นถนน บางนา-ตราด แวะปั้มเติมลม  x  psi วิ่งไปชลบุรี วิ่งไปก่อนถึง Volvo หยุดวัดลมยางทีหนึ่ง ถึง Volvo หยุดวัดลมยางทีหนึ่ง ทำอย่างนี้หลายครั้ง จนได้ X psi ลมยางที่เหมาะสม กล่าวคือ วิ่งไปถึงตำแหน่งเดิม ... ลมยาง= ไม่เพิ่มมาก ผมก็เอาตัวเลขนี้ เก็บไว้ใช้ เติมลมยาง รถผมครับ ถ้าจะเอาให้ละเอียดกว่านี้ ต้องคำนึงถึง "ความชื้นของลมที่เติม" ด้วย เจ้านี่มีผลกับการ"เพิ่มขึ้น" ของลมยางมากเอาเรื่อง ปล. ความชื้นลมที่จะเติม ก็ดูจากปั้มลมทีนั่น มีที่ดักความชื้นดีไหม ไม่ต้องละเอียดมาก ลองกันคร่าวๆ พอจับหลักได้ เอาความเข้าใจเป็นสำคัญ ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:41:44

ความคิดเห็นที่ 5 แถมอีกเรื่องนึง  สำหรับยางที่มีหน้ากว้างที่ต่างกัน (ในตลาดยางทุกวันนี้ ยางเบอร์เดียวกัน หน้ายางก็กว้างไม่เท่ากัน  ขึ้นอยู่กับการออกแบบ) ถ้าโครงสร้างยางให้ตัวได้้เท่ากัน  เมื่อเติมลมเท่ากัน  น้ำหนักกดเท่ากัน พื้นที่หน้าสัมผัสยางก็จะเท่ากัน  โดยยางที่หน้ากว้างกว่า จะมีระยะหน้าสัมผัสตามยาวน้อยกว่า จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:43:53

ความคิดเห็นที่ 6 195/65/R15 เป็น 205/60/R15 >>>>>>>>>>>>  อาศัยพิจารณาตามหลักคร่าวๆ ที่ผมเล่าข้างบน ตอบว่า ยางสองเส้นนี้ ไม่ต้องทำไรมาก เติมลมเท่าเดิม  OK แล้ว จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:46:16

ความคิดเห็นที่ 7 รูป foot print คห. 5 คุณ ton99 เห็นความแตกต่าง มีรูปด้านข้างไหมครับ ? ถ้ามีรูปด้านข้างจะดีมาก มันจะอธิบายถึงความแตกต่างของ rolling resistance ได้ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:50:15

ความคิดเห็นที่ 8 ^ ^ พาออกนอกเรื่องรถ ไปจักรยาน สักนิด จะบอกว่า ยางจักรยานล้อเล็กๆ พวกเสือหมอบ .... เติมลม 100-120 psi ถ้าเติมลมอ่อน ขี่รู้สึกหนัก จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:53:32

ความคิดเห็นที่ 9 #4 การที่ยาง ที่เติมลมอ่อน ร้อนเร็ว เนื่องมาจาก คุณสมบัติของตัวยางเอง วัสดุโดยทั่วไป เมื่อรับโหลดภายนอก พลังงานจากโหลดนั้นจะแปลงเป็นพลังงานความเครียดสะสมอยู่ในวัสดุ เมื่อ ปลดโหลดออก พลังงานความเครียดจะ ถูกถ่ายเทออกไปหมด เพื่อให้วัสดุกลับไปอยู่ สถานะเดิมก่อนที่จะรับโหลด แต่กับยาง เมื่อ unload จะคืนพลังงานไปไม่หมด หลงเหลือพลังงานบางส่วน และพลังงานที่หลงเหลือเกือบทั้งหมด จะแปลงเป็นความร้อน คุณสมบัตินี้ เรียกว่า hyteresis ครับ (ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากคุณสมบัติ visco elastic อีกที) ดังนั้นเมื่อเติมลมอ่อนยางจะเกิดการ deformation มากกว่า การเติมลมแข็ง ทำให้ความร้อน เกิดขึ้นมากกว่า ประมาณนั้นครับ จากคุณ : Marine Red เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:56:37

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณครับ ผมยังสงสัยเรื่อง load index ว่า มันบอกน้ำหนักสูงสุดที่รับได้ใช่ไหมครับ ทีนี้ถ้าเราบรรทุกน้ำหนักตามค่าที่บอกไว้ ตรงนั้นจะส่งผลต่อหน้าสัมผัสยางอย่างไร ถ้าบรรทุกน้อยกว่าเช่น 50% จะส่งผลต่อหน้าสัมผัสยางอย่างไร เช่น น้ำหนักจะตกที่ตรงกลางมากกว่าขอบ 2 ข้างหรือเปล่า ถ้าเติมที่ maximum ที่บอกหน้ายางจะสัมผัสพอดี อะไรทำนองนี้ครับ จริงๆ ผมอาจจะต้องเปลี่ยนตัวชี้วัดใหม่จาก แรงกดลงที่หน้าสัมผัสพื้นเท่าๆ กัน (ตรงนี้ผมคิดเอาเองครับ) เป็นอย่างอื่นที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมยานยนต์(ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร) เพราะผมเองก็ยังไม่รู้ว่า มันมีความเป็นไปได้ไหมว่า แรงกดที่ footprint มันสามารถจะเท่ากันทั้งหมดได้จริงๆ ไหม จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 10:57:48

ความคิดเห็นที่ 11 จริง ๆ แล้ว คุณสมบัติ ข้อนึง ของยาง เรเดียลคือ มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่สัมผัส หรือ footprint น้อย มาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโหลด หรือ แรงดัน (เทียบกับยางไบแอสนะครับ) ส่วนอื่น ๆ ลองอ่านดูในเวป คนทำยางดูครับ http://www.transport.michelin.co.th/Home/New-Retreaded-Tyres/Tyre-Basics/Right-pressure จากคุณ : Marine Red เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 11:07:15

ความคิดเห็นที่ 12 อ้อ อีกอย่างครับ แรงกดที่เกิด ในแต่ละ rip มันไม่เท่ากันหรอกครับ (rip คือแนวดอกยาง) ยิ่งในการใช้งานจริง มีการปรับมุม camber มุม toe ทั้งแบบตั้งใจ กับแบบไม่ตั้งใจ (ช่วงล่างไม่ค่อยดี ประมาณนั้น) ยิ่งส่งผลต่อแรงที่กดลงในแต่ละ rip ถ้าจะวัดแรงที่เกิดขึ้นในแต่ละ rip คงต้องใช้โหลด เซลล์ ติดตั้งในแต่ละ rip หรือไม่ก็ ใช้ finite element ช่วย ซึ่ง ก็ไม่ง่ายนัก กับ ใช้เวลาคำนวณค่อนข้างนาน สำหรับการคำนวณแค่ loading จากคุณ : Marine Red เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 11:14:23

ความคิดเห็นที่ 13 เอาภาพประกอบมาครับ จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 11:15:48

ความคิดเห็นที่ 14 ครับ ยิ่งทำการ investigation ไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นว่า ตัวชี้วัดที่ผมให้ไว้เริ่มใช้ไม่ได้แล้ว จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 11:22:09

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าบรรทุกน้อยกว่าเช่น 50% จะส่งผลต่อหน้าสัมผัสยางอย่างไร เช่น น้ำหนักจะตกที่ตรงกลางมากกว่าขอบ 2 ข้างหรือเปล่า ถ้าเติมที่ maximum ที่บอกหน้ายางจะสัมผัสพอดี อะไรทำนองนี้ครับ >>>>>>>> ผมเห็น คห. 11 คุณ ตอบไปแล้ว ลักษณะเด่นของยางเรเดียล โครงหน้ายางส่วนที่สัมผัสพื้นออกแบบให้ footprint เปลี่ยนแปลงได้น้อยมาก ต่างกับลักษณะโครงสร้างยางไบเอส ถ้าสูบลมแข็ง ตรง footprint จะ "โป่งกลาง" จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 15:35:48

ความคิดเห็นที่ 16 คำถาม คห. 13   ตอบ 1) ได้ หรือ ใกล้เคียง   ที่เป็นดังนี้เพราะ ยางเรเดียล ภาษาเยอรมันเรียก  Guertel  "เข็มขัด" โครงยางจะทอเป็น Belt หรือ เข็มขัด รัดรอบวง เจ้าตัวนี่เองที่รัดหน้ายาง ทำให้ foot print ไม่เปลี่ยนตามแรงดันลม 2) +3) เติมลมยาง มากหรือน้อย ไม่มีผลให้ foot print เปลี่ยนมากดังภาพ แรงดันลม มาก หรือ น้อย มีผลกับแก้มยาง "ยุบ มาก หรือ น้อย"  ครับ เหตุผล ดูข้อ 1) แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 54 15:53:12 จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 15:52:05

ความคิดเห็นที่ 17 เอกสารนี้น่าจะอธิบายวิธีที่คุณ ton99 บอกไว้ครับ http://www.toyotires.ca/sites/default/files/loadinflationtable.pdf จากการใช้งานจริงเลยนะครับ รถผม Avanza 1.5 ใช้ยาง Bridgedtone 185/65/R15 88S จะมีข้อความประทับอยู่ที่แก้มยางว่า Max load 560kg AT 44 PSI MAX PRESS มีข้อสงสัยว่าถ้าเปิดตารางจาก link ที่ให้ไป ทำไม Max load ถึงได้ 560kg ที่ 44 PSI ทั้งๆ ที่ Load 560kg น่าจะอยู่ตั้งแต่ 36PSI ตามตาราง หรือว่าถ้าเลย 36PSI ไปแล้ว Max Load จะ steady ไปเรื่อยๆจนถึง 44 PSI ครับ คำถามต่อไปคือ ถ้าเป็นอย่างที่ผมบอก ถ้า Max load มันอิ่มตัวที่ 36PSI แล้วแรงดันที่เกิน 36 PSI (> 36 PSI ถึง 44 PSI) จะมีไว้ทำไม ? หรือว่าบอกไว้ว่าเป็นแรงดันที่สามารถรับได้สูงสุด (ซึ่งไม่เกี่ยวกับ load) ? จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 17:27:47

ความคิดเห็นที่ 18 คำถามต่อไปคือ ถ้าเป็นอย่างที่ผมบอก ถ้า Max load มันอิ่มตัวที่ 36PSI แล้วแรงดันที่เกิน 36 PSI (> 36 PSI ถึง 44 PSI) จะมีไว้ทำไม ? หรือว่าบอกไว้ว่าเป็นแรงดันที่สามารถรับได้สูงสุด (ซึ่งไม่เกี่ยวกับ load) ? >>>>>>>>>  ผมชอบ จขกท มีความสนใจ เข้าใจตั้งข้อสงสัยเจาะลึกลงเรือยๆ กระทรวงศึกษาเคยรณรงค์  สุ.. จิ.. ปุ.. ลิ.. ฟัง คิด ถาม เขียน สมควรสนับสนุนครับ 1) ตัวเลขเติมลมยางใน manual ประจำรถก็ดี หรือ Load Index ก็ดี เขาให้ตัวเลขเป็น "แนวทางกว้างๆ" ให้ผู้ใช้รถปฏิบัติได้ง่ายๆ ... แต่ไม่ใช่ค่าที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเรา .... พูดง่ายๆ เหมือนคุณไปกินอาหารห้องอาหารชั้นเยี่ยม เขายังมีเครื่องปรุง เกลือ น้ำปลาเอาไว้ให้คุณปรุงรส ใช่ไหม ? รถยนต์ก็เหมือนกัน ชิ้นส่วนที่ติดมาจากโรงงาน โรงงานเลือกที่สอดคล้องกับ"ต้นทุน" การผลิต แต่ไม่ได้เลือกชิ้นส่วนที่ดีที่สุด ทำให้เครื่องมีประสิทธิภาพสูงสุด หรอกครับ ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้รถจำนวนมากมีการ โมดิฟาย ให้ "ดีกว่าโรงงาน" อีกหลายชิ้น ตัวอย่าง ที่พบมากเช่น ท่อเขาควาย หรือ Header 2) ที่ถามว่า ถ้าแรงดัน 36 psi รับโหลดได้ max แล้ว ทำไมถึงต้องมี window 36-44 psi เอาไว้ทำไม ? ตอบ เอาไว้เป็นทางเลือกให้ เจ้าของรถ เลือกโดยแลกกับ "ความนิ่มนวล" ซึ่งสัมพันธ์กับลักษณะการใช้งาน วิ่งทางไกลมาก หรือ วิ่งในเมืองมาก เช่น  รถกระบะบรรทุกยางแผ่นของน้อง เติมลม 100 psi ครับ (ยางอีกยี่ห้อ) จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 06:33:51

ความคิดเห็นที่ 19 หลังจากที่ผมดูเอกสารที่ผมทิ้ง link นี้ไว้ให้ http://www.toyotires.ca/sites/default/files/loadinflationtable.pdf ก็พอจะเจอเค้าลางของคำตอบที่ผมถามไว้ส่วนหนึ่งครับ ในรูปที่ 2 หน้า 5 (รบกวนเปิดดูนะครับจะได้เห็นภาพตาม) จะมี graph เปรียบเทียบระหว่างยางแบบ standard กับ reinforced ใน graph ที่ประมาณ 36 PSI ยางแบบ standard จะมี load capacity คงที่แล้ว ในขณะที่ยางแบบ reinforced จะยังคงรับน้ำหนักได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงประมาณ 44PSI ตรงนี้อาจจะเป็นคำตอบว่า ทำไม load inflation table สำหรับยาง standard ถึงหยุดแค่ 36PSI จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 06:47:38

ความคิดเห็นที่ 20 ใน graph ที่ประมาณ 36 PSI ยางแบบ standard จะมี load capacity คงที่แล้ว ในขณะที่ยางแบบ reinforced จะยังคงรับน้ำหนักได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงประมาณ 44PSI ตรงนี้อาจจะเป็นคำตอบว่า ทำไม load inflation table สำหรับยาง standard ถึงหยุดแค่ 36PSI จากคุณ : tennirva   เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 06:47:38     ผมเอากราฟ มาช่วยประกอบ คำถาม จขกท (ไม่ต้องให้กีฟ ก็ได้ครับ เกรงใจ) จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 08:08:59

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบคำถาม คห. 20  ครับ สรุปว่า Reinfoced ... มี ability to carry additional load capacity at higher inflation pressure จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 08:35:31

ความคิดเห็นที่ 22 พูดง่ายๆ ยาง std. เติมลมยางแข็งขึ้น ability to carry load ==> ไม่เพิ่มขึ้น นั่นเอง จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 08:37:21

ความคิดเห็นที่ 23 แล้วสรุปว่า เติมเท่าไหร่ แล้วไม่เกินเท่าไหร่ ถึงจะดี หว่า งงครับ จากคุณ : Give Gust เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 08:54:15 A:101.108.26.230 X: TicketID:267783

ความคิดเห็นที่ 24 ตอนนี้ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนว่า 1. ถ้าเปลี่ยนขนาดยางและยึดตามแรงดันลมยางจากคู่มือผู้ใช้รถ(Owner's manual) ให้ดูอย่างที่คุณ ton99 บอกไว้ (รายละเอียดลองอ่านจากข้างบนครับ) 2. ขอบเขตที่ชัดเจนในตอนนี้คือ การหา maximum load capacity วิธีคือ เอา load index ที่ประทับอยู่แก้มยางมาเปิดใน load inflation table ว่าเราควรจะเติมเท่าไหร่ดี ปัญหาที่ผมเองยังหาคำตอบอยู่คือ ถ้าเราไม่ได้บรรทุกที่ maximum load capacity เช่น เติม 36 PSI บรรทุกได้ 560kg ถ้าบรรทุกจริง 560kg ถือว่าไม่ต้องมีอะไรให้สงสัย บรรทุกเต็มพิกัดกันไปเลย (จริงๆ ก็คงไม่ควรใช้เต็มประสิทธิภาพขนาดนั้น) แต่ถ้าบรรทุกต่ำกว่า เช่น 200kg, 300kg เราจะควรลดแรงดันลงไหม เพื่อชดเชยกับ load ที่ไม่ได้ใช้เต็มพิกัด ? ยังมีคำถามอีกมากมายครับที่สามารถตั้งขึ้นมาได้แล้วน่าสนใจ เช่น 1. ถ้าบรรทุกที่ maximum โดยวัดน้ำหนักที่ตกที่ยางแต่ละเส้น จะปลอดภัยไหมถ้าเกิดเหตุการณ์ รถขึ้นสะพานสูง ? เพราะอาจทำให้ weight distribution เปลี่ยนไป (น้ำหนักตกลงล้อหลังมากขึ้น ชั่วคราว พอลงทางราบน้ำหนักก็จะเปลี่ยนมาตามเดิม ตรงนี้น้องๆ ที่เรียนฟิสิกส์อยู่คงร้อง อ๋อ นึกถึง mg.sin(Theta), mg.cos(Theta) ) 2. ถ้าตาม owner's manual ระบุแรงดันไว้น้อยกว่า แรงดันที่ให้ load capacity แล้วเราสามารถเติมลมที่เกินจากนั้นได้ไหม ? จริงๆ แล้วทางผู้ผลิตรถยนต์ระบุแรงดันนั้นไว้เพื่อกันไว้สำหรับ maximum load ของ shaft, joint, ect. อย่างนั้นหรือเปล่า ? พูดให้เข้าใจง่ายๆว่า ยางน่ะรับได้น้ำหนักปริมาณหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว ชิ้นส่วนรถมันรับได้ไม่ถึง ผู้ผลิตจึงระบุแรงดันไว้ค่าหนึ่งที่เหมาะสม (ตรงนี้ผมสันนิษฐานเอง) เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ? 3. เวลาเกิดอุบัติเหตุ จะมีเจ้าหน้าที่วิทยาการละเอียดถึงขึ้น ตรวจว่า คุณเติมลมยางตามที่ผูผลิตกำหนดไหม ? บรรทุกเกินพิกัดไหม ? ทำให้ระยะเบรกมากกว่าปกติ จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ จะโทษใคร ? คนเติมลงยางที่โรงงาน ? หรือคนขับรถบรรทุก (ที่ขับด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท) ? จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 09:52:21

ความคิดเห็นที่ 25 เจ้าของกระทู้มีจินตาการกว้างขวางมาก จากหลักฟิสิกส์ กำลังจะออกทะเล เอ้ย ไปเรื่องกฏหมาย จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 15:42:00

ความคิดเห็นที่ 26 มี link มาฝากเพิ่มครับ เกี่ยวกับหลักการทางฟิสิกส์ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ http://hpwizard.com/car-performance.html จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 16:22:53

ความคิดเห็นที่ 27 จาก link ที่ให้ไว้จะมีหัวข้อ hill climbing ที่ผมพูดถึง และจะมีหัวข้อ rolling resistance ที่คุณ TinyNu บอกไว้ด้วยครับ จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 16:24:36

ความคิดเห็นที่ 28 จุด max load กับ จุด max pressure มันจะคนละจุดกันครับ ยางปกติ standard load เมื่อเติมลมมากขึ้นก็จะรับหน้ำหนักได้มากขึ้น จนรับน้ำหนักได้สูงสุดที่ 36 psi   ที่แรงดันสูงจากนี้ก็จะไม่สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่านี้ โดยแรงดันที่ใช้  จะต้องไม่เกินแรงดันสูงสุดที่กำหนดเอาไว้  อาจจะ 44 psi หรือ 51 psi แล้วแต่รุ่นยาง ในช่วงแรงดันตั้งแต่ 36 psi ขึ้นไป  จะมีประโยชน์ในการช่วยลดความร้อนของโครงสร้างยาง ที่จะเิกิดขึ้นในกรณีที่บรรทุกหนักแล้วใช้ความเร็วสูง เช่น สำหรับยาง speed rate H  สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 210 km/h แต่ที่แรงดัน 36 psi  ยางจะสามารถรับน้ำหนักสูงสุดได้ที่ความเร็วแค่ 160 km/h ที่ความเร็วสูงกว่า 160 km/h  ทุกๆ 10 km/h  จะต้องเติมลมยางเพิ่ม 1 psi ตัวอย่าง 160 km/h  36 psi 170 km/h  37 psi 180 km/h  38 psi 190 km/h  39 psi 200 km/h  40 psi 210 km/h  41 psi สำหรับยาง speed rate V ที่สามารถใช้ความเร็วที่สุดกว่า คือ 240 km/h ก็จะเริ่มเพิ่มลมตั้งแต่ 160 km/h เหมือนกัน ตัวอย่าง 160 km/h  36 psi 170 km/h  37 psi 180 km/h  38 psi 190 km/h  39 psi 200 km/h  40 psi 210 km/h  41 psi แต่ถ้ายางมี max press ที่ 41 psi ก็จะเติมลมสูงสุดได้แ่ค่นี้ หลังจากจุดนี้ความสามารถในการรับน้ำหนักของยางจะลดลง 220 km/h  41 psi  max load จะลดลงเหลือ 97% 230 km/h  41 psi  max load จะลดลงเหลือ 94% 240 km/h  41 psi  max load จะลดลงเหลือ 91% จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 18:47:52

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ ton99 มีที่มาไหมครับ อยากเข้าไปอ่านละเอียดอีกครั้งครับ จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 22:42:01

ความคิดเห็นที่ 30 เอกสารที่น่าสนใจอีกตัวครับ http://www.tiresafety.com/images/Tire%20Replacement%20Manual.pdf http://www.cjtire.com/pdf/Tire%20Identification.pdf แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 54 22:51:24 จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 22:45:25

ความคิดเห็นที่ 31 http://www.tirerack.com/tires/tiretech/techpage.jsp?techid=72 ในเว็บนี้รู้สึกว่า max load เขาจะต่างไปหน่อย คืออยู่ที่ 35 psi จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 16:42:09

ความคิดเห็นที่ 32  จาก คห. 24 1)--ปัญหาที่ผมเองยังหาคำตอบอยู่คือ ถ้าเราไม่ได้บรรทุกที่ maximum load capacity เช่น เติม 36 PSI บรรทุกได้ 560kg ถ้าบรรทุกจริง 560kg ถือว่าไม่ต้องมีอะไรให้สงสัย บรรทุกเต็มพิกัดกันไปเลย  >>>>>>>>>>  ....  ที่จริง คุณน่าจะสงสัย กรณี- ขับขึ้นสะพาน เรามิต้องคอยปรับลมยางล้อหลังหรือ อิอิ ------------------------------------------------------------- 2)-- แต่ถ้าบรรทุกต่ำกว่า เช่น 200kg, 300kg เราจะควรลดแรงดันลงไหม เพื่อชดเชยกับ load ที่ไม่ได้ใช้เต็มพิกัด ? >>>>>>>>>>>>>>>  คำตอบ ...ในทางปฏิบัติ เราไม่ต้องคอยปรับ "เพิ่ม - ลด" แรงดันลมยาง ซะละเอียดขนาดนั้น  แต่ถ้าคุณจะทำจริงๆ ก็ทำได้  แต่ไม่มีความจำเป็น เพราะ แรงดันที่เติมเกินไว้ มันไม่มีผลอะไรมากมาย นอกจากแลกกับความนุ่มนวล ผมให้แง่คิดอีกอย่าง เช่น หัวเทียนมีเบอร์ร้อน  และ เย็น คนขับรถคงไม่ต้องคอยเปลี่ยนหัวเทียน ร้อน หรือ เย็น ตามสภาพการขับขี่หรอกครับ   จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 08:28:46

ความคิดเห็นที่ 33 1. ถ้าบรรทุกที่ maximum โดยวัดน้ำหนักที่ตกที่ยางแต่ละเส้น จะปลอดภัยไหมถ้าเกิดเหตุการณ์ รถขึ้นสะพานสูง ? เพราะอาจทำให้ weight distribution เปลี่ยนไป (น้ำหนักตกลงล้อหลังมากขึ้น ชั่วคราว พอลงทางราบน้ำหนักก็จะเปลี่ยนมาตามเดิม >>>>>>>>>>> ปลอดภัย ครับ เพราะ ตัวเลข PSI  @ max Load  เขาได้คิดเรื่องขึ้นเนินไว้แล้ว และไม่มีใครจะให้ตัวเลข แรงดัน @ พื้นราบ เท่านั้น ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 08:32:54

ความคิดเห็นที่ 34 2. ถ้าตาม owner's manual ระบุแรงดันไว้น้อยกว่า แรงดันที่ให้ load capacity แล้วเราสามารถเติมลมที่เกินจากนั้นได้ไหม ? จริงๆ แล้วทางผู้ผลิตรถยนต์ระบุแรงดันนั้นไว้เพื่อกันไว้สำหรับ maximum load ของ shaft, joint, ect. อย่างนั้นหรือเปล่า ? พูดให้เข้าใจง่ายๆว่า ยางน่ะรับได้น้ำหนักปริมาณหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว ชิ้นส่วนรถมันรับได้ไม่ถึง ผู้ผลิตจึงระบุแรงดันไว้ค่าหนึ่งที่เหมาะสม (ตรงนี้ผมสันนิษฐานเอง) เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ? >>>>>>>>>>> เติมเกินได้ เช่นพวกกระบะบรรทุกยางพาราแผ่น หรือ รถผลไม้ จะเติมลมกันเป็น 100 psi โรงงานอาจจะเผื่อ shaft ฯลฯ นั่น เราไม่ทราบ ไม่อยากให้เดามาก ถ้าโรงงานจะคิดเผื่อความแข็งแรงของชิ้นส่วน เขาควรระบุไว้ตรงๆที่ max load บรรทุกซึ่งเจ้าของรถเข้าใจได้ทันทีและชัดเจน จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 08:39:11

ความคิดเห็นที่ 35 3. เวลาเกิดอุบัติเหตุ จะมีเจ้าหน้าที่วิทยาการละเอียดถึงขึ้น ตรวจว่า คุณเติมลมยางตามที่ผูผลิตกำหนดไหม ? บรรทุกเกินพิกัดไหม ? ทำให้ระยะเบรกมากกว่าปกติ จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ จะโทษใคร ? คนเติมลงยางที่โรงงาน ? หรือคนขับรถบรรทุก (ที่ขับด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท) ? >>>>>>>>>> ข้อนี้ จขกท มีจินตนาการกว้างไกล เข้าไปเรื่องกฏหมาย ผมแนะนำ อย่าเพิ่งถามไกลเกินไป จะหาข้อสรุปไม่ได้ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 08:41:30

ความคิดเห็นที่ 36 อืม จริงด้วยครับ ถ้าบรรทุกเต็มพิกัด เวลาขึ้นเนิน ลงเนิน น้ำหนักก็จะตกมากขึ้นในล้อหน้า ล้อหลัง ตอนนันผมยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ครับ จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 10:21:20

ความคิดเห็นที่ 37 เห็นความสนใจจริง ของ จขกท แล้ว อยากให้ช่วยกันเพิ่มเติมข้อมูลต่อครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 54 09:39:10

ความคิดเห็นที่ 38 สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งครับ เราจะวัดน้ำหนักอย่างไรได้ง่ายๆ อ้อมๆ โดยไม่ต้องยกรถขึ้นเครื่องชั่ง คล้ายๆแบบที่คุณ TinyNu ทดลองวิ่งแล้วดูแรงดันที่เปลี่ยนไป อะไรทำนองนั้น เช่น อาจจะยอมเสียเวลาครั้งหนึ่ง load น้ำหนักแล้วหาความสัมพันธ์อะไรสักอย่าง เช่น ความสูงของซุ้มล้อ vs. weight, ระยะทางที่รถหยุดสนิทหลังจากปล่อยไหลที่เกียร์ว่าง vs. weight และอื่นๆ จากคุณ : tennirva เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 54 20:45:29

ความคิดเห็นที่ 39 ระยะทางที่รถหยุดสนิทหลังจากปล่อยไหลที่เกียร์ว่าง vs. weight และอื่นๆ >>>>>>>>>>>>  สวัสดี จขกท   น่าชมเชยความคิดที่จะหาคำตอบด้วยวิธีการง่ายๆ ซึ่งผมเคยหา Totall resistance ง่ายๆ โดยวิ่งที่ความเร็ว 50 km/h แล้วปล่อยไหล่จนหยุด จะได้ระยะทาง ... นำไปหาค่า Total resistance นำมาคิดหา HP เครื่องยนต์ที่จะใช้ คำนวณ traction แต่ละเกียร์ vs resistance ออกมาสนับสนุนใบเสนอราคา repower รถบรรทุกคันหนึ่ง จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 54 10:15:49

ความคิดเห็นที่ 40 แนวคิดของ จขกท ที่จะใช้วิธีหา นน. โดยคิดจากการยุบตัวของรถ ก็เป็นแนวคิดที่เป็นไปได้ แต่การหาน้ำหนักรถ หรือ น้ำหนักรวมตัวรถ เราทำได้ง่าย จากการชั่งโดยตรง รถเก๋งผมเอง ก็ไปขอชั่งที่กองทะเบียน (สมัยก่อนอยู่ตรงพหลโยธิน ตรงข้ามอีซุซู) ถ้าเป็นรถบรรทุก ก็ขอชั่งได้ที่ด่านชั่งนน. หรือ ขอตำรวจทางหลวงที่ไปดักจับนน. ชั่งก็ได้ง่ายกว่าครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 54 10:19:22

ความคิดเห็นที่ 41 ก่อนจะไปไกลมาก อยากสรุปประเด็นกระทู้นี้เสียก่อน ประเด็นถามว่า ถ้าเปลี่ยนยางใหญ่ขึ้น จะเติมลมอย่างไร ? คำตอบ 1) ดูจาก Table Load / Inflation ของยางนั้น จะได้ค่าลมยาง @ น้ำหนัก 2) ค่าลมยาง ควรเลือกให้ "สูง" ดีกว่า เพราะมีผลต่อ rolling resistance จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 54 10:27:15

ความคิดเห็นที่ 42   ลมยาง แข็ง-อ่อน มีผลต่อ Rolling Resistance จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 54 13:01:32

ความคิดเห็นที่ 43 ถ้ามองด้านข้าง จะเห็นได้ชัด จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 54 13:02:46

ความคิดเห็นที่ 44 ดังนั้น เมื่อดูตารางหา "ค่าลมยาง@นน." ได้ตัวเลขลมยางออกมาเป็น  X psi ในทางปฏิบัติ เราอาจเติม X+1 หรือ X+y psi ได้ตามความเหมาะสม ตัวอย่างง่ายๆ ที่ข้างประตูรถ บอกแรงดันลมยาง 2 ค่า คือ วิ่งเร็ว และ วิ่งในเมือง เราอาจเลือกเติมลมยางแบบวิ่งเร็ว (ซึ่งแรงดันมากกว่า) เติมแข็งจะได้ประโยชน์ช่วยลด rolling resistance และ ลดความร้อนยางได้ดีกว่า แต่เราต้องแลกกับ ความนิ่มนวล และผลกระทบกับชิ้นส่วนช่วงล่าง(บ้าง) จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 54 13:12:12

ความคิดเห็นที่ 45  ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้บอกให้ทำนอกตำรา นอกลู่นอกทางนะครับ ที่ผมเล่าข้างบนเพื่อเสริมความเข้าใจ ให้เลือกเติมลมยางได้อย่างเหมาะสม fine tuning ให้เหมาะสมกับความต้องการของเราโดยเฉพาะ โดยอิงตำรา  คือ นำตัวเลขที่อ่านได้จาก "ตารางลมยาง"ของโรงงาน ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 54 13:26:44

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้า จขกท มีรถจักรยาน อยากทดลอง rolling resistance ให้เติมลมยางอ่อนๆ สัก 20-25 psi VS 60 psi ทดลองขี่ดู จะสัมผัสได้ชัดเจน เติม 60 psi ขี่เบาแรงกว่ากันเยอะ ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 54 13:40:25