ความคิดเห็นที่ 1 ค่าก่อสร้างตารางเมตรละ 1000 บาทกับโครงสร้างที่คุณหมอบอกมันทำไม่ได้ครับ ถูกไปคูณหมอมองเเนวทางเเบบถังเก็บน้ำใต้ดินที่โตเกียวใช่ไม๊ครับ เดี๋ยวช่วงบ่ายๆผมขอมาต่อครับ ผมว่าคร่าวๆ ขุดบ่อแต่ละหมู่บ้านหรือตำบลตลอดเเนวน้ำไล่ตั้งแต่เชียงใหม่ลงมา เท่าที่ทำได้ตั้งเเต่ 20-500 ไร่เท่าที่พอจะหาที่ไ้ด้พร้อมเครื่องสูบน้ำน่าจะลงทุนน้อยกว่า หาพื้นที่ที่ไม่ใช้งานมาสร้าง ผนังอุโมงรถไฟเเอร์พอร์ทลิ้งค์ช่วงใต้โรงเเรมโนโวเทลหนา 1 เมตรครับ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 12:18:58 จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 12:14:15

ความคิดเห็นที่ 2 รูปปากทางเข้าเเอร์พอร์ทลิ้งสนามบินสุวรรณภูมิ จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 12:20:41

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าแค่เขาผันน้ำไปเก็บในพื้นที่ ๆ มีปัญหาเรื่อง น้ำ ก็ จบแล้วครับ ว่าแต่ถ้าแก้ปัญหาได้ แล้ว คราวหน้า ผมจะเบิกงบไปซื้ออะไรละครับ จากคุณ : alpha_sss เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 12:52:15

ความคิดเห็นที่ 6 ผมอยากให้มีการขุดแม่น้ำสายใหม่เพื่อรองรับน้ำโดยเฉพาะ โดยเวนคืนที่ดิน2ข้างทางเผื่อไว้ แล้วนำมาพัฒนาในรูปแบบต่างๆ โดยการแบ่งขาย ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการลงทุนไปได้มาก และจะยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่หรือเกิดเมืองใหม่ไปในตัวด้วยนะครับ จากคุณ : MM (ongchai_maewmong) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 12:59:42

ความคิดเห็นที่ 7 สร้างเขื่อนหรือพัฒนาเขื่อน ให้เป็นแบบไฮบริดไปเลยครับ... ไฮบริดผมก็คือ "น้ำ" และ "นิวเคลียส์" ที่บอกว่านิวเคลียส์เพราะมันเป็นตัวทำความร้อนให้น้ำกลายเป็นไอน้ำ หรือ ถ้าสามารถหาอะไรมาระเหยน้ำเป็นไอน้ำได้ก็ดีเลยครับ... เมื่อหน้าใดฤดูกาลไหนน้ำหลากน้ำเยอะก็เปิดแบบสองระบบเลย เพื่อระเหยน้ำไปเสีย อย่างน้อยถ้ามันหมุนเวียนวัฏจักรหละก็ ยังมีเป็นไอน้ำก้อนเมฆในอากาศบ้าง ไม่ใช่น้ำอย่างเดียวที่พื้น... ฝันเสร็จแล้วก็เดินจากไป... จากคุณ : Cocopok เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 13:28:31

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นไปได้หรือไม่ ถ้าเรา ทำแนวถนนสูงขนานกัน ห่าง 500-1000 เมตร  เป็นล่องรับน้ำ ช่วงน้ำหลาก จากเหนือ สู่ทะเล โดยใช้ถนนที่สร้างขึ้น เป็นเส้นทาง รถไฟฟ้าความเร็วสูงเลย   สำหรับเส้นทางที่ตัดถนนสูงให้ ทำเป็นคล้ายประตูสำหรับกั้นนำ้ได้ ช่วงน้ำหลาก และเปิดช่วงปกติ  สำหรับพื้นที่ ระหว่างถนนสูงทั้งสองเส้นทาง ถ้า น้ำไม่มาก ก็สามารถ ทำการเกษตร ได้ ปกติ แต่ ช่วง น้ำ้มา  รัฐจ่ายชดเชยให้ เนื่องจากจะเป็นเส้นทางให้ น้ำผ่านลงทะเล และอาจสร้าง เป็น แนวถนน บางช่วง สามารถ เก็บน้ำไว้ใช้งานเหมือน ฝายน้ำล้น ในพื้นที่ ไม่มีการเพราะปลูก   ในกรณีทำถนนสูงขนาน แม่น้ำตลอดเส้น ก็อาจเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ไม่ทราบ การลงทุนจะคุ้มค่า หรือไม่ แต่ยังคง ใช้ถนนสูง เป็นทางรถไฟความเร็วสูงด้วย จากคุณ : rsco4 เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 13:43:25

ความคิดเห็นที่ 9 ผมเห็นด้วยกันการทำที่กักเก็บน้ำครับ ทุกวันนี้เราแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยการ เร่งน้ำให้ไหลไปทิ้งทะเล พอน้ำหมดก็แล้งกันใหม่ ผมเข้าใจว่าปัจจุบันน้ำไหลลงจากเขาเร็วขึ้นเนื่องจากไม่มีต้นไม้กัน พอน้ำไหลลงมาหมด ก็เกิดน้ำหลากน้ำท่วม พอลงทะเลหมด เราก็เริ่มเข้าสู่การแห้งแล้ง เราควรหาวิธีเก็บน้ำไว้ใช้ให้ได้มากที่สุดครับ ผมมองว่าไม่ต้องทำใต้ดินนะครับ ทำบนดินไปเลย เป็นอ่างเก็บน้ำย่อมๆ จะได้ไม่มีปัญหากับ NGO ผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ทำเป็นอ้างเก็บน้ำ หรือแก้มลิงเล็กๆ ตลอดทางน้ำไหล ก่อนลงทะเล จริงพวกเหมืองเก่าๆ ก็น่าจะพัฒนาเป็นอ่างเก็บน้ำด้วยครับ จากคุณ : วิศวกร ความรู้น้อย เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 13:58:47 A:168.120.4.125 X: TicketID:191297

ความคิดเห็นที่ 10 ที่ญี่ปุ่น เห็นมีระบบเก็บน้ำใต้ดินใหญ่โตมาก เค้าใช้หลักการอะไรล่ะครับ จากคุณ : ซิมเปิ้ลแมน เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 14:06:25

ความคิดเห็นที่ 11 อยากเห็นกระทู้แบบนี้มานานแล้วครับคุณหมอ แหะๆ ผมก็คิดมานานแล้วครับว่าประเทศไทยพื้นที่ที่มีน้ำท่วม มันก็ท่วมอยู่ทุกปี พื้นที่ไหนแล้งมันก็แล้งกันทั้งปีทุกปี  ส่วนตัวผมว่าพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยมันเป็นพื้นที่ที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ให้เกิดน้ำท่วมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะทำยังไงจะทำให้ปัญหามันเบาบางลงไม่ต้องหนักขนาดนี้ได้ และจะทำยังไงที่จะทำให้ระยะเวลาในการท่วมสั้นลง  จริงๆถ้าคิดปริมาณน้ำฝนที่ตกในประเทศไทย ผมคิดว่ามันเป็นปริมาณที่พอเพียงสำหรับการใช้ของคนทั้งประเทศ...ถ้ามีการจัดสรรให้ทั่วถึงทั้งประเทศ ผมเคยคิดว่าน่าจะมีการผันน้ำจากพื้นที่ที่มีน้ำมาก ไปสู่พื้นที่ที่มันแล้ง เช่นจากทางภาคเหนือภาคกลาง ไปสู่ภาคอีสานในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำน่าจะช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยได้ครับ จริงๆ สิ่งที่ผู้มีอำนาจควรทำตอนนี้คือจัดผังเมืองให้ถูกต้องและเคร่งครัดครับ พื้นที่ในเมืองบางพื้นที่ควรจะเป็นพื้นที่รับน้ำ บางเมืองก็ดันเอาไปทำเป็นหมู่บ้านจัดสรร เอาไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม พอถึงเวลาน้ำมา มันก็ไม่มีที่ไปก็ไปเจิ่งนองตามพื้นที่เมืองกันอย่างที่เห็นๆกันอยู่ครับ จากคุณ : ดอนนี่ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 14:24:47

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นด้วยมากๆกับหมอครับ ไม่เห็นด้วยกับโครงการแก้มลิง (ไม่ใช่ไม่จงรักภักดิ์ดีนะครับ อย่าเข้าใจผิด) เพราะโครงการแก้มลิง คือการไปเอาพื้นที่การเกษตรเป็นแอ่งน้ำ ผมเห็นว่าใช้พื้นที่ไม่ถูกต้อง โครงการกักเก็บน้ำได้ประโยชน์คือลดน้ำท่วมในหน้าฝน และมีแหล่งน้ำไว้ใช้ตอนหน้าแล้ง แต่คิดว่าไม่ต้องสร้างมากมากพอให้กักเก็บน้ำตอนหน้าน้ำหลากได้หรอก แต่สร้างระบบระบายน้ำอย่างเร็วๆ เช่นอุโมงค์ส่งน้ำลงทะเลอย่างรวดเร็ว จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 14:45:37

ความคิดเห็นที่ 13 แฮะๆ คร่าวๆ หยาบ ๆที่เคยเห็นตัวเลขแว๊บ เวลาทำบ่อคอนกรีต ราคามเื่มื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว อยู่ที่ ลบ.ม. ละ 1000 บาทครับ(งานโยธาอย่างเดียว) ไม่รวมค่าที่ จากคุณ : pinestand เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 15:19:18

ความคิดเห็นที่ 14 ที่อยากให้สร้างบนผิวดินเพราะว่า 1) ถ้าเก็บไว้ใต้ผิวดินไม่ลึกมาก พื้นที่ด้านบนคงทำเกษตรลำบาก แต่ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าทำบนผิวดิน 2) แต่ถ้าไว้ใต้ผิวดินลึกมากๆ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงกว่ามาก จากคุณ : วิศวกร ความรู้น้อย เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 15:25:57 A:168.120.4.125 X: TicketID:191297

ความคิดเห็นที่ 15 แนวคิดคล้ายเรื่องเขื่อนใต้ดินค่ะ ที่ผ่านมาเห็นการจัดการน้ำผิวดิน แต่ไม่มีใครคิดจัดการน้ำใต้ดินทั้งที่มันช่วยลดผลกระทบได้มากในหน้าน้ำ และช่วยกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งได้ เห็น ดร.ปริญญา นุตาลัย พูดเรื่องนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้วว่าทำได้ (ท่านจบธรณีวิทยาค่ะ) แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจจะทำ ประเทศไทยควรมีกระทรวงน้ำที่ทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำโดยตรงได้แล้ว จะได้มีงบประมาณ และมีคนที่รับผิดและรับชอบเต็มตัวในเรื่องการจัดการน้ำ จากคุณ : หมูอ้วน เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 15:29:11 A:180.183.235.240 X: TicketID:330431

ความคิดเห็นที่ 16 ตามแนวทางที่คุณหมอนำเสนอมามีใช้ที่โตเกียวครับ เนื่องจากไม่มีที่จะสร้างแก้มลิงถึงมีค่าที่ดินก็สูงมากๆ ทางออกก็เลยสร้างอ่างเก็บน้ำไว้ใต้ดิน เวลาฝนตกก็ให้ระบายลงไปในอ่างเก็บน้ำแล้วใช้เครื่องสูบขับด้วยเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์เอาออก เหมือนกับแนวทางอุโมงค์ยักษ์ในกรุงเทพเรานี่เอง ขอดีคงไม่ต้องบอกข้อเสียก็คือค่าก่อสร้างมันสูงมากครับเนื่องจากผนังอ่างเก็บน้ำต้องรับน้ำหนักของดินด้านบนอีก และยังต้องเสียพลังงานในการสูบออกที่สูงขึ้นเนื่องจากมีเฮดที่เกิดจากความต่างระดับของผิวน้ำ กำลังในการสูบน้ำ = ความหนาแน่นจำเพาะของน้ำ x อัตราการไหล x ความสูงจากผิวน้ำที่สูบจนถึงปลายทาง ในกระบวนการชลประทานหรือระบายน้ำสิ่งที่เราต้องการคือปริมาณน้ำหรืออัตราการไหล ถ้าไม่จำเป็นเราอยากจะให้มันมีความดันหรือความต่างของระดับผิวน้ำให้ได้น้อยที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียพลังงานในจุดนี้ เอาคนร้อยคนเดินขึ้นตึก 2 ชั้นง่ายกว่าขึ้นตึก 8 ชั้นแน่นอน จากรูปที่ผมโพสท์ในช่วงแรกๆ ความหนาของผนังอ่างเก็บน้ำยิ่งอยู่ลึกก็จะยิ่งหนามาก ในรูปเป็นผนังอุโมงค์ของแอร์พอร์ทลิ้งค์ช่วงเข้าสถานีสุวรรณภูมิมีความหนาอย่างน้อย 1 เมตร ค่าก่อสร้างจะสูงมากถ้ามาทำในพื้นที่ที่ดินแพงเช่น เก็บน้ำใต้พื้นที่เยาวราช หรือ สาธรมันจะดูไม่แพงครับ แต่พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ(ไม่จำเป็นต้องอยู่ริมน้ำ) ราคาถูกกว่าเยอะครับ เวนคืนหรือหาที่ว่างเปล่าของราชการขุดดินสร้างระบบสูบน้ำจะทำได้ง่ายและถูกกว่า ทีนี้ลองมาเข้าเรื่องน้ำท่วมก่อนครับ น้ำท่วมที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้เกิดขึ้นจากน้ำฝนครับอันนี้ทุกคนคงทราบ แต่ผมจะขออธิบายเรื่องน้ำฝนเพื่อปูพื้นฐานคร่าวๆก่อน เพื่อจะได้เข้าใจอานุภาพของน้ำฝน เราวัดปริมาณการตกของฝนเป็นมิลลิเมตร น้ำฝนจะตกเฉลี่ยในพื้นที่ที่ฝนตกเท่าๆกัน สมมุติเราเอาภาชนะที่รูปทรงปลายกับก้นเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นทรงกระบอกหรือทรงใดก็ตามไปวางไว้กลางแจ้งแล้วฝนตกความสูงของน้ำที่สูงขึ้นในภาชนะที่เราไปวางไว้จะเท่ากัน  ถ้าฝนตกเราเอากระบอกไปวัดตอนฝนตกแล้วน้ำสูงขึ้น 50 มิลลิเมตรก็คือปริมาณน้ำฝน 50 มิลลิเมตร หรือ เกือบๆสองนิ้วในหน่วยอังกฤษ หมายความว่า ถ้าฝนตก 50 มิลลิเมตรในพื้นที่ 1 ไร่ มีพื้นที่ 1,600 ตารางเมตร  ก็จะมีปริมาตรน้ำฝนที่ตกลงมา 80 ลูกบาศก์เมตร ยกตัวอย่างคร่าวๆ ของฝนตก 50 มิลลิเมตรซึ่งคือฝนตกขนาดกลางๆทั่วไป บ้านขนาดพื้นที่ 50 ตารางวาก็มีปริมาตรน้ำฝน 10 ลูกบาศก์เมตรแล้วมากกว่าแทงค์น้ำเก็บน้ำในบ้าน 10 เท่า แล้วน้ำปริมาณนี้ไปไหน ในกรุงเทพหรือเขตเทศบาลของแต่ละจังหวัดก็จะไหลลงท่อระบายน้ำแล้วไหลลงคลองลงแม่น้ำสุดท้ายคือไหลออกทะเล พื้นที่ภาคกลางรับน้ำจากภาคเหนือและในเขตภาคกลางเอง สัณฐานของประเทศไทย ภาคกลางจะเป็นแอ่งกระทะ ภาคเหนือสูง ด้านตะวันตกมีภูเขา อีสานเป็นที่ราบสูง ดังนั้นน้ำฝนที่ตกในภาคเหนือก็จะไหลลง แม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีน ลงสู่ทะเล แต่เมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ของเจ้าพระยาแล้ว พื้นที่ภาคเหนือกว่า 93,690 ตารางกิโลเมตรหรือกว่า 58 ล้านไร่มีน้ำฝนมาให้เจ้าพระยาเกือบทั้งหมด วัดพื้นที่ด้านกว้างของภาคเหนือกว่า 360 กิโลเมตร ถูกบีบให้ลงเจ้าพระยาที่กว้างไม่ถึง 500 เมตร สัดส่วนมันเทียบกันไม่ได้เลยครับ ผลที่เห็นก็คือน้ำท่วมอย่างที่เห็นกันอยู่ ณ ปัจจุบัน น้ำในแม่น้ำทั้งสี่สายก็จะมารวมตัวกันแล้วก็เอ่อล้นท่วม นครสวรรค์ ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี อยุธยา ผมสมมุติปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือตกเฉลี่ยประมาณ 1,300 มิลลิเมตร(กำลังหาข้อมูลสนับสนุนอยู่ผมมีถึงปี 51 ปี เลยประมาณของปี 53 ) ถ้าคิดคร่าวๆว่ามันไหลลงทะเลทั้งหมดก็จะมีน้ำปริมาตร 121,797 ล้านลูกบาศก์เมตร ตอนนี้เรามีเขื่อนที่รับน้ำในภาคเหนือคือ เขื่อนภูมิพล 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิต   9,510  ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อน:-)ัด      332  ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแม่กวง    263  ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนกิ่วลม      112 ล้านลูกบาศก์เมตร รวม             23,679 ล้านลูกบาศก์เมตร ปล่อยน้ำทิ้งไป 98,118 (บางส่วนซึมลงดินต้นไม้เก็บไว้แต่ท้ายที่สุดน้ำก็ต้องไหลลงสู่ที่ต่ำครับ) ปริมาณที่ผมใช้คำนวณเป็นเรื่องคร่าวๆให้เห็นภาพแค่นั้นนะครับ (จะให้ละเอียดต้องเป็นข้อมูลของกรมชล กรมอุตุ) หากเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าสัดส่วนของน้ำในเขื่อนกับน้ำที่มีทั้งปีมันต่างกันเยอะ ถึงจะคิดปีที่น้ำไม่ท่วมฝนตกแค่พันกว่านิดๆ ก็ยังต่างกันเยอะครับ เพราะส่วนหนึ่งมันระบายลงอยู่เรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ เราใช้ประโยชน์จากน้ำฝนที่ตกมากได้แค่ 1 ใน 5 แค่นั้นเองที่เหลือเราปล่อยทิ้งไป ถ้าดูตัวเลขนี้ผมคิดว่าถึงเพิ่มแก่งเสือเต้นมาก็ไม่ได้ทำให้ตัวเลขการกักเก็บลดลงได้สักเท่าไรนัก (แต่ก็ควรมีไว้) เขื่อนจะเอาไว้ช่วยในตอนพีค ผมเห็นด้วยกับแนวทางของคุณหมออย่างยิ่งที่เราจะต้องเพิ่มพื้นที่ในการเก็บน้ำฝนจำนวนนี้ไว้ใช้ประโยชน์และเก็บไว้ไม่ให้มันไหลมารวมกันจนท่วมชาวบ้าน วิธีการที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ทางวิศวกรรมก็คือต้องหาแนวทางที่ลงทุนน้อยที่สุดที่ทำให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่สุด โดยส่วนตัวผมคิดว่าควรจะจัดหาพื้นที่สำหรับรับน้ำไล่ตั้งแต่เชียงใหม่ลงมา ให้ได้มากที่สุดไม่จำเป็นต้องที่ละเป็นพันไร่ สิบไร่ยี่สิบไร่ ถ้ามีก็ขุดสร้างแก้มลิงไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้โดยใช้ที่เปล่ารกร้างแล้วเวนคืนมา หรือใช้ที่ของค่ายทหาร หรือของหน่วยราชการที่อยู่ในแนวแม่น้ำหลัก ดินที่ขุดมาก็เอาสร้างแนวคันล้อมเมือง หรือถมในส่วนที่ต่ำที่เคยเกิดน้ำท่วม ต้องทำให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยหมู่บ้านละแห่ง หรือตำบลละ 3-5 แห่ง เป็นเหมือนฟองน้ำที่จะคอยซับน้ำไว้ ผมจะไม่พูดถึงป่านะครับคงเข้าใจดี ป่ารับน้ำได้ในระดับหนึ่งแต่เมื่อมันเกินลิมิตที่ป่าจะรับได้มันก็ล้น อีกแนวทางหนึ่งก็คือต้องสร้างทางด่วนให้น้ำไหลออกทะเลให้เร็วที่สุด เท่าที่ทราบโครงการตอนนี้ก็คือโครงการเจ้าพระยาตะวันตกและตะวันออก แล้วทำประตูน้ำที่ทะเลกันไม่ให้น้ำทะเลผลักไหลย้อนกลับเข้ามาช่วงน้ำขึ้นก็ปิดประตูติดเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ไว้ (ขับด้วยเครื่องยนต์จะลงทุนถูกกว่าไฟฟ้าแต่ค่าพลังงานแพงกว่า) ตอนน้ำขึ้นปิดประตูแล้วใช้เครื่องสูบออกในกรณีที่ระบายไม่ทัน เท่าที่ทราบมาคลองจะกว้าง 200 เมตรลึก 8 เมตร  มีถนนขนาบสองข้างคลองถ้าเป็นไปได้สะพานข้ามคลองผมอยากให้เป็นสะพานแขวนจะได้ไม่มีเสาไปขวางทางไหลของน้ำ อบต.แต่ละตำบลต้องมีข้อมูลน้ำท่วมประจำปีว่าตรงไหนท่วม สถิติความสูงของน้ำต้องหาทางทำคันกั้นน้ำถาวรหากระดับน้ำสูงกว่าแนวคันแล้วคันล้มอย่างเช่นที่อ่างทอง อันตรายครับ ปัญหาของพื้นที่แอ่งกระทะที่น้ำท่วมก็คือมันระบายด้วย gravity ไม่ได้น้ำในแม่น้ำมันสูงกว่ามันต้องสูบออกอย่างเดียวผมยกตัวอย่างกรณีบ้านผมน้ำท่วม http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11099972/X11099972.html เราต้องหาทางสูบออกให้ได้ ซึ่งคนที่จะดูแลต้องเข้าใจเรื่องการสูบน้ำสมมติน้ำท่วม 1,000 ไร่สูง 1.5 เมตร มีปริมาณน้ำ 2,400,000 ลูกบาศก์เมตรก็ต้องหาเครื่องสูบที่เหมาะสมมาสูบซึ่งก็คือเครื่องสูบแบบไหลตามแกน Propeller pump เอาปั๊มหอยโข่งมาสูบไม่ทันครับมันทำงานคนละหน้าที่กัน เทศบาลตำบล หรือ เทศบาลอำเภอที่โดนน้ำท่วมประจำต้องมีแผนติดตั้งปั๊มประเภทนี้ไว้ ออกแบบให้สูบน้ำที่ล้นเข้ามาให้ได้ในเวลา 1-2 วัน ต้องเตรียมไว้ก่อนที่น้ำจะท่วม เวลาน้ำท่วมแล้วจะไปหามาสูบออกมันจะไปหาที่ไหนได้ ในเมื่อมันมีไม่พอกับความต้องการ จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 15:39:41

ความคิดเห็นที่ 17 ตามไอเดียคุณหมอเจ ถ้าทำโครงสร้างคอนกรีตก็น่าจะมีความหนาไม่ต่ำกว่า 30 เซนติเมตรถ้าทำเป็นทรงเหลี่ยมก็จะต้องมีเสารับน้ำหนัก (พอดีผมเป็นเครื่องกลไม่ใช่โยธา) ตารางเมตรละพันบาทไม่พอเเน่ๆตอนนี้ค่าก่อสร้างอาคารตารางเมตรละห้าหกพันบาทเเล้วครับ ถ้าทำโครงสร้างใต้ดินค่าก่อสร้างไม่น่าจะตำกว่าหมื่นบาท ถ้าจะให้โครงสร้างคอนกรีตไม่ต้องมีคานก็ต้องทำเป็นทรงกระบอกเเบบอุโมงค์รถไฟฟ้า หรืออุโมงค์ระบายน้ำกรุงเทพ ผมมีไอเดียอีกอันเผื่อว่าใครจะเอาไว้ใช้งาน เดี๋ยวนี้ท่อ HDPE สามารถทำเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 3 เมตรสามารถสั่งผลิตจากโรงงานเพื่อใช้เป็น APPLICATION ถังเก็บน้ำใต้ดินได้ ท่อ HDPE ไม่ขึ้นสนิมทน UV รับแรงกดได้ในระดับหนึ่ง อายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 50 ปี ท่อ HDPE เส้นเเรกที่วางในโลกเมื่อกว่า 70 ปีที่เเล้วทุกวันนี้ยังใช้งานได้ดีอยู่ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 17:00:16 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 15:56:54 จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 15:51:53

ความคิดเห็นที่ 18 back to basic เครดิต http://sites.google.com/site/gyanendrasinghchauhancom/rain-water-harvesting น้ำฝน =  การดูดซึมที่ผิวดิน + การดูดซึมของรากต้นไม้ + การระเหย + Surface runoff แต่ ตอนนี้ การดูดซึมที่ผิวดิน + การดูดซึมของรากต้นไม้ แทบจะไม่มี เก็บน้ำใต้ดิน น้ำไม่โดนแสง ไม่โดนอากาศ + เน่า เหลือคือ ทำให้มันระเหยโดยเร็วที่สุด (แต่มันก็วกกลับมาเป็นฝนใหม่) จากคุณ : You'll never walk alone เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 16:10:58

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณเพือนๆที่ร่วมแจม  และ มีแนวคิดแตกต่างกันไป ทำให้เกิดไอเดีย ที่คิดต่อยอดไปได้อีกเยอะ โดยเฉพาะคุณต้นกลเรือ ที่ข้อมูล ผมว่ามีประโยชน์มากทีเดียว ส่วนเรื่องโครงสร้างของ ถังเก็บ ผมเองคิดว่า ไม่จำเป็นต้องหนาเหมือนอุโมง ตามรูปความเห็น สอง อันนั้นเป็นโครงสร้างที่ทำหนามากรับการจารจาร ที่ผ่านมากมาย แต่ถ้าผนังขอถังเก็บน้ำใต้ดิน ระดับ ความสูงน้ำประมาณ 2-3 เมตร นี่ผมว่า ความหนาของพื้น และผิวบนระดับไม่เกิน 20 ซม. นี่น่าจะรับได้สบายๆ (จริง แอบคิดว่า 10 ซม.ก็น่าจะสูสี แต่เผื่อเหนียว ไว้อีกหน่อย ก็ได้ ส่วนผนังกั้นนี่ราวๆ 10 ซม.ก็น่าจะโอ) แต่คิดๆ แล้ว ถ้ามันยังมีต้นทุนสูง เบื้องต้นหาที่ริมน้ำ เวณคืนขุดทำบ่อพัก ทำอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เป็นระยะๆ แม้จะเสียพื้นที่เกษตรไปบ้าง  และเสียน้ำระเหยในหน้าแล้ง  แต่ก็มีต้นทุนที่ต่ำ และการขุดอ่างเก็บน้ำระหว่างทางแบบนี้ ก็ยังพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ด้วย อีกเหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนี้คิดคร่าวๆ หาที่ แห่งล่ะราวๆ 100 ไร่ ขุดสระหรืออ่างเก็บน้ำลึกประมาณ 6  เมตร ได้ปริมาตรสระ ราวๆ 10,000 ลบ.ม ต่อไร่ 100 ไร่ก็ได้ 1 ล้าน ลบ.เมตร ต้นทุน ค่าขุด และใช้ดินที่ขุดขึ้นมาปรับพื้นที่รอบๆ ประมาณซัก 1-2  แสนต่อไร่ อย่างนี้ อยู่ราวๆ  10-20 ล้านต่อแห่ง ถ้าทำพันแห่ง พื้นที่รวม หนึ่งแสนไร่ เก็บน้ำได้ 1000 ล้านลบ.เมตร ใช้เงินราวๆ 10000-20000 ล้าน ไม่รวมค่าเวรคืนที่ดิน อันนี้นอกจากได้พื้นที่เก็บน้ำแล้ว ยังได้พื้นที่ ท่องเที่ยว และ แหล่งน้ำสำรอง ไว้ใช้ในหน้าร้อน ซึ่งสามารถ ทำประตูน้ำเชื่อมต่อกับระบบชลประทานต่อไปได้ ใครมีไอเดียอะไร ต่อยอดกันมาได้เลยครับ เผื่อ คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เค้าเห็นความเป็นไปได้ พัฒนาต่อไป บทเรียนความเสียหายที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ล่ะครั้ง อาจจะทำให้ ภาครัฐต้องทบทวน พัฒนา ระบบ และวิธีการต่างๆใหม่ขึ้นมารองรับ กันต่อ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 16:38:41

ความคิดเห็นที่ 20 รูปท่อ HDPE งานถังน้ำใต้ิดิน ตามคอมเม้นท์คุณหมอ ระดับผิวดินสองเมตรบวกกับน้ำผิวดินเวลาฝนตกด้วยผมว่าไม่น้อยเลยครับ ต้องรอเพื่อนๆที่เป็นโยธามาให้ความเห็นครับ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 17:05:25 จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 17:03:49

ความคิดเห็นที่ 21 อีกไอเดียนึงครับปูพื้นบ่อด้วยแผ่น HDPE น้ำจะได้ไม่ซึมลงผิวดินตอนช่วงหน้าแล้งจะได้มีน้ำใช้เต็มที่ จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 17:11:43

ความคิดเห็นที่ 22 แนวคิด เขื่อนเก็บน้ำใต้ดินนั่นเอง แต่น้ำในเขื่อนต้องมีตลอดยิ่งเต็มยิ่งดี หรือ ระบบค้ำยันต้องแข็งแรง ไม่งั้นดินอาจยุบถล่มลงไปได้ เพราะคงต้องทำพื้นที่ว่างใต้ดินขนาดใหญ่ เพื่อเก็บน้ำได้มากๆดังเขื่อนบนผิวดิน แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 17:29:32 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 17:28:56

ความคิดเห็นที่ 23 เขื่อนใต้ดิน จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 17:32:44

ความคิดเห็นที่ 25 ผมเคยคุยกันในโต๊ะทานข้าวว่า เราควรจะเริ่มจากเล็กๆ ก่อนแล้วขยายใหญ่ เมื่อคนเห็นว่ามันใช้งานได้ คนจะต่อต้านน้อย แต่โครงการของรัฐ ชอบทำกันใหญ่ๆ ซึ่งบางครั้งก็ไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้ หลายครั้งคนต่อต้านก็เยอะ เพราะกระทบวงกว้าง เลยคิดต่อว่า น่าจะมีองค์กร หรือ มูลนิธิ ไปซื้อที่ดิน ซัก 40-50 หรือ 100 ไร่ อย่างที่คุณหมอบอก แล้วพัฒนาเป็นแหล่งเก็บน้ำ พอใช้งานได้ดี จะได้มีการพัฒนาที่กว้างขวางขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นคงช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้มากเท่าไร เนื่องจากเป็นจุดเก็บน้ำเล็กๆ แต่จะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งได้ระดับหนึ่ง การเริ่มทำน่าจะเริ่มทำตรงช่วงต้นๆ น้ำเพราะปริมาณน้ำสะสมยังไม่เยอะ จากนั้นค่อยขยายลงมาเรื่อยๆ จากคุณ : วิศวกร ความรู้น้อย เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 17:51:13 A:168.120.4.125 X: TicketID:191297

ความคิดเห็นที่ 26 ข้างบนซ้ำต้องขออภัยครับ เคยไปเยี่ยมชมเหมือง แต่ไม่ทราบว่าพื้นที่เท่าไร แต่หลุมลึกมากๆ น่าจะเป็นหลายๆ สิบเมตร ถ้าเราทำแบบนั้น จะได้บ่อน้ำที่มีความจุสูงมากรึเปล่าครับ จากคุณ : วิศวกร ความรู้น้อย เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 17:53:56 A:168.120.4.125 X: TicketID:191297

ความคิดเห็นที่ 27 อ่านข้อมูลคุณต้นกลเรือ เขื่อนที่มีอยู่แล้วเก็บน้ำได้ประมาณ สองหมื่นกว่าล้าน ลบม. ในแต่ละปีจะต้องปล่อยน้ำทิ้งประมาณ เก้าหมื่นกว่าล้าน ลบม. ถ้าทำเป็นถังเก็บน้ำใต้ดิน ไร่หนึ่งเก็บน้ำได้ 4800 ลบม. ถ้าจะเก็บน้ำสักครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ปล่อยทิ้ง  ก็ต้องใช้พื้นที่ประมาณ 10 ล้านไร่  ซึ่งพื้นที่กว้างใหญ่อย่างนี้จะต้องมีสูงต่ำ จะเป็นปัญหาต่อการวางระดับถังครับ และอีกอย่าง ถึงถังจะฝังในดิน แต่จะมีปัญหาในการก่อสร้างอาคารใหญ่ในอนาคต เพราะบริเวณที่ฝังถังไว้ จะตอกเข็มเพื่อทำฐานรากไม่ได้ครับ เห็นด้วยกับ #16 ของคุณต้นกลเรือและ #19 ของคุณหมอเจ หาพื้นที่ให้เหมาะ ทำเป็นแห่งๆ แห่งละหลายพันไร่  ขุดลึกประมาณ 6 เมตร สร้างเป็นอ่างเก็บน้ำ ทำหลายๆแห่ง ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า  และผู้คนในบริเวณนั้น ยังสามารถใช้ประโยชน์ในน้ำได้อีกครับ จากคุณ : บุญถิ่น เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 18:58:44

ความคิดเห็นที่ 28 HDPE อุโมงค์ส่งน้ำเกาะกลางถนนใต้ถนนสายหลักเหนือใต้ออกตก (ไม่ต้องเวรคืนที่ดิน) ถ้าทำได้แบบกริดก็เป็นสิ่งที่ดี + กักเก็บใต้ผิวดิน และบนดินน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ข้อดีของการกักเก็บใต้ผิวดินคือปริมาณการระเหยจะต่ำมาก เราจะมีน้ำใช้ยามหน้าแล้งอย่างเพียงพอ อย่างที่หมอเจบอก ทำเป็นปล่องเล็กๆ หลายๆ ปล่องเป็นโพรงไว้เก็บน้ำเหมือนฟองน้ำคอยซับน้ำส่วนเกินไว้ พรุ่งนี้ผมจะนำเข้า ครม.   เย้ย ตื่นๆ ตื่นได้แล้ว :P แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 19:26:30 จากคุณ : rbko เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 19:25:41

ความคิดเห็นที่ 29 แก้ภัยแล้ง/น้ำท่วม โดยไม่รบกวนธรรมขาตินัก ผมคิดแบบกทม.อุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน เร่งระบายน้ำลงทะเล ในอุโมงค์อาจมีใบพัด ปกติอาจใช้ปั่นไฟ ถ้าน้ำเยอะใช้ไฟเร่งพ่นน้ำออกไป ในตจว.ถ้าแม่น้ำคดเคี้ยว อาจสร้างอุโมงค์ลัดทางน้ำ ช่วงน้ำมาก ใช้ไฟฟ้าเร่งใบพัดพ่นน้ำออกให้เร็ว วิธีนี้คงแก้เฉพาะน้ำท่วม จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 19:39:42

ความคิดเห็นที่ 30 ขอแจมนิดนึง #16 ผมเคยเช็คราคาเครื่องยนต์ขนาดประมาณ 1000Hp ราคาจะสูงกว่า มอเตอร์ไฟฟ้าอย่างน้อย ประมาณ 5 เท่าตัวครับ อีกทั้งยังต้องการ accessories จุกจิกอีกมากมาย รวมๆแล้วน่าจะแพงกว่าไม่น้อยกว่า 6 เท่าตัวครับ ที่อุโมงค์ระบายน้ำโตเกียว http://www.youtube.com/watch?v=H6m0tAnRjLk ใช้ Gas tubine เนื่องจากต้องการกำลังขับสูง และป้องกันปัญหาเครื่องสูบใช้วานไม่ได้เมื่อเกิดไฟฟ้าดับ แม้ว่าโตเกียวจะมีโอกาสไฟฟ้าดับเพียงน้อยนิดก็ตาม เครื่องสูบฯระบายน้ำท่วมสำคัญๆในโตเกียวเลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซลเพราะเหตุผลเรื่องเสถียรภาพเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับเช่นกัน จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 19:45:58 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 31 ผมว่า ยิ่งรบกวนยิ่งท่วมครับ น้ำย่อมใหลจากที่สูงลงที่ลุ่ม ใหลลงแม่น้ำสู่ทะเล แต่คนเรากลับไปสร้างเขื่อน สร้างประตูน้ำ กั้นใว้  กักน้ำใว้ตอนหน้าแล้งดีครับ แต่ตอนหน้าน้ำ ท่านกลับไม่ยอมเปิด เพราะกลัวน้ำจะท่วมที่ท่านอยู่ต่างคนต่างปิด คนอยู่ด้านเหนือน้ำก็ท่วมหนักล่ะครับ สังเกตุใหม น้ำท่วมภาคกลางลงมาหมด แม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านจังหวัดใหนท่วมไปถ้วนหน้า แต่ เมือง กทม กลับไม่ท่วม จากคุณ : mangginoon เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 19:58:00

ความคิดเห็นที่ 32 #30 เครื่องยนต์ราคาเเพงกว่ามอเตอร์ไฟฟ้าครับ เเต่การจะทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าหมุนได้รวมเเล้วเเพงกว่าเครื่องยนต์เยอะครับ เราไม่ได้เดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเดือนครับ เครื่องยนต์ ติดตั้งถังน้ำมัน ระบบระบายอากาศหรืออาจจะใช้น้ำที่สูบมาเป็นตัวระบายความร้อนได้จบ มอเตอร์ไฟฟ้า ต้องมีสายไฟ หม้อเเปลง อินเวอร์เตอร์ ขนาด 1000 เเรงม้าก็ต้องใช้ซอฟสตาร์ท ขนาดนี้ถ้าจะใช้สายเล็กๆ ก็ต้องใช้มอเตอร์ 6600 โวลท์ อุปกรณ์รวมก็ไม่ถูกครับ ค่าสายไฟที่จะต้องเดินจากเมนการไฟฟ้ามาเพื่อจะจ่ายให้มอเตอร์ไม่ใช่น้อยๆแน่นอนครับ เมตรละหลายพันบาทเเน่นอน ผมเคยคำนวณปริมาณน้ำ 4,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีของเเม่น้ำเจ้าพระยาถ้าจะเอาปั๊มสูบขึ้นประมาณ 2 เมตรใช้เเรงม้าประมาณ เเสนเเรงม้านิดๆ ถ้าเราจำเป็นต้องสูบน้ำออก ผมเอาเเค่ครึ่งหนึ่งของเเสนคือ มอเตอร์กำลังรวมขนาดห้าหมื่นเเรงม้า ไฟฟ้ในกรุงเทพกับสมุทรปราการดับเเน่ครับ หรือไม่การไฟฟ้าก็ต้องเผื่อพีคโหลดสำหรับรองรับมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้ครับ โหลดในการหมุนมอเตอร์ที่เกิดการเหนี่ยวนำ้ L มันฉุดเจนเนอเรเตอร์มากกว่าโหลดพวกความต้านทาน พอดีว่าผมเป็นเครื่องกลอาจนะอธิบายลึกๆในทางไฟฟ้าไม่ได้รอเพื่อนๆที่เป็นไฟฟ้ามาอธิบายต่อครับ ส่วนเรื่องราคาเทียบกันทั้สองอย่างผมคอนเฟร์มครับว่าค่าใช้จ่ายรวมไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ผมทำธุรกิจในสายอาชีพนี้อยู่เเล้วเคยติดตั้งงานลักษณะนี้มาพอสมควร(อันนี้ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ) แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 22:07:42 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 20:36:36 จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 20:33:08

ความคิดเห็นที่ 33 ฝากครับ ปัจจัยหนึ่งเลยยย จากคุณ : CaminoReal เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 20:35:07

ความคิดเห็นที่ 34 คห. ๑๒  การไม่เห็นด้วยกับโครงการของพระองค์ท่าน ไม่ใช่การไม่จงรักภักดีครับ ไม่ต้องกังวล ในหลวงท่านตรัสเสมอว่า โครงการของพระองค์ท่านเอง ก็ไม่ได้สำเร็จไปทุกโครงการ  หลายๆโครงการที่ไม่สำเร็จท่านก็ยกเลิกไป ท่านเป็นปราชญ์ครับ รับฟังความเห็นอยู่แล้ว โครงการแก้มลิงเอง  ผมมองว่าใช้พื้นที่เยอะ แต่พักน้ำได้น้อยกว่าที่จะเป็น ถือว่าน่าเสียดาย  แต่มาคิดต่อ  ก็เป็นไปได้ว่า โครงการนี้อาจมองจากประเทศเรามีพื้นที่มาก และเราใช้ประโยชน์จากพื้นที่มากตรงนี้ในการเก็บน้ำ เสียค่าใช้จ่ายไม่มากนัก จริงๆ ถ้ามองก็เหมือนกับให้ รัฐบาลเอาไปต่อยอด ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เพราะรัฐบาลมีหน้าที่โดยตรงในการจัดสรรงบประมาณ ในโครงการใหญ่ๆ จะใช้ในส่วนของโครงการในพระราชดำริ อาจไม่เหมาะนัก  ให้รัฐบาลของประชาชน พิจารณาตัดสินใจน่าจะดีกว่า จากคุณ : ARMS STRONG เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 20:35:19

ความคิดเห็นที่ 35 คห. ๓๑   ก็ กทม เค้ามีระบบป้องกันน้ำท่วมน่ะสิครับ  แล้วทำไม ตจว  ถึงไม่ทำกันบ้าง นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา  เพราะหลายๆคน เอาแต่พูดว่า ตจว ท่วม  ทำไม  กทม มันไม่ท่วม  เอาเปรียบกันนี่นา มันไม่ใช่เรื่องการเอาเปรียบนะครับ  มันเป็นเรื่องของการจัดการ  แต่ละจังหวัด มี งบประมาณ  มี สส  มีองค์กรส่วนท้องถิ่นตอยดูแล ถามว่า ตอนน้ำมันยังไม่มา ถึงไม่จี้ให้ นักการเมืองที่ดูแลจังหวัดท่าน  ดูแลเรื่องนี้ละครับ  ท่านเอาเวลาไปทำอะไรอยู่ ท่านเข้าใจคำว่าประชาธิปไตย กันจริงๆ มั้ย  มันไม่ใช่แค่ท่านมาเรียกร้องจะเอาประชาธิปไตยที่ กทม นะครับ  ท่านต้องเรียกร้องให้  สส  ทำและดูแลผลประโยชน์ แทนท่านด้วย น้ำมันไม่ใช่เพิ่งท่วม ปีนี้  มันท่วมทุกปี  แต่ปีนี้มันมาหนักหน่อย  และก็ไม่รู้ว่าปีหน้าจะหนักกว่านี้มั้ย  ถ้าท่านไม่กดดัน สส ท่าน  ผมก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไรเหมือนกันละ สส ตจว  ฝ่ายรัฐบาล มีมากกว่า สส กทม เยอะครับ  หัดใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง  เราเลือกมาใช้งานนะครับ  ไม่ใช่เลือกมาเคารพ จากคุณ : ARMS STRONG เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 20:43:20

ความคิดเห็นที่ 36 ปัจจุบันนี้ปัญหาคือปริมาณน้ำที่ไหลมาตามแม่น้ำ แต่ว่าระบายไม่ทัน เนื่องจากว่าปริมาณน้ำมันมากกว่าช่องทางระบายน้ำ น้ำที่ต้องระบายทิ้ง (อ้าง #16) 98,000ล้าน ลบ.ม. ถ้าต้องระบายน้ำปริมาณเดียวกันนี้ให้หมดภายใน 7 วัน เท่ากับต้องระบาย = 162,037 ลบม.ต่อวินาที สมมุติ แม่น้ำเจ้าพระยา หน้ากว้าง 200ม. ลึกเฉลี่ย 15ม. พท.หน้าตัด = 3000 ตร.ม. ความเร็วน้ำที่ระบาย 162kลบ.ม./วินาที ต้องเท่ากับ = 54 ม.ต่อวินาที โห.......... งั้นเปลี่ยนแผนเป็น ระบายภายใน 50 วัน ความเร็วน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาต้องเท่ากับ = 7.6ม./วินาที พอไหว แต่เรือเล็กไปไม่รอดแน่ๆ..................น้ำเซาะฝั่งทรุด ชุมชนริมแม่น้ำบ้านพังชัวร์ แต่เอาเหอะ เลขสมมุติ แต่น้ำในแม่น้ำ จะไหลได้เมื่อต้นทางสูงกว่า ปลายทางเรียกว่าพลังงานศักย์ต้นทางได้มั้ย ทางเทคนิคเรียกstatic head สมมุติว่าไม่มีพลังงานจลน์ แล้วต้นทางมันต้องมีความสูง เท่าไหร่ล่ะถึงจะทำหให้น้ำไหลในเจ้าพระยาได้ 7.6ม.ต่อวินาที หรือ 22,700 ลบม.ต่อ วินาที ต้องคำนวน loss ในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อัตราเร็ว 7.6 ม.ต่อวินาที ตัวแปร แม่น้ำกว้างเฉลี่ย 200ม. ลึกเฉลี่ย 15ม. ระยะทางจาก พท.ท่วมขัง ถึงปากน้ำเจ้าพระยา 150กม. Manning formular (ถามกู๋) Hloss = 111.68 meters โหหหววววว........ แปลว่า จะระบายน้ำ 98000ล้าน ลบม.ใน 50วัน จาก พท. ต้นทาง (150กม. จากปากน้ำ) ด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา ต้องยกระดับน้ำที่จะระบายให้สูงขึ้น 111.68 เมตร ด้วยปั้มน้ำ เพื่อให้เจ้าพระยาระบายได้ทัน ผลก็คือล้นอยู่ดี ทำอย่างไรดี ก้อต้องสร้างอุโมคร์ระบายน้ำไต้ดิน ระยะทาง 150กม. จากต้นทาง สมมุติ อุโมงค์คอนกรีต ขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง 40ม. ยาว 150กม. อ้าง Manning formular ที่เป้าหมายเดียวกัน 98000ล้าน ลบ.ม. ต่อวินาที loss = 78เมตร งั้นสร้างอุโมงค์ เส้นผ่าน ศก. ลาดเอียงจากต้นทางถึงปลายทางเป็นเส้นตรง โดยให้ปลายทางที่ปากน้ำลึกไม่น้อยกว่า 78-80 เมตร หรือลึกระดับเดียวกันมาตลอด 80เมตรก็ได้ แล้วติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ที่ระบายน้ำได้รวมทั้งสิ้น 22700 ลบ.ม.ต่อวินาที ที่ เฮดรวม 80เมตร OMG!!!!! ใช้กำลังงานขับน้ำ =0.163*22700*60*78 = 17,316,468 kW = 17.32MW รวมกำลังไฟฟ้าที่ต้องใช้ =กำลังน้ำ/ (pump eff * Motor eff * Transformer eff * ETC eff ) เอ่อ........ ทุกวันนี้โรงไฟฟ้าโรงนึงผลิตไฟฟ้าได้เท่าไหร่นะ หาพื้นที่พักน้ำปริมาณมากเป็นแก้มลิงดีที่สุด แล้วค่อยๆระบายน้ำออกจากแก้มลิง ซึ่งการะบายด้วย gravity คงต้องใช้เวลามากสักหน่อย แต่ถ้าแก้มลิงต่ำกว่าระดับ แม่น้ำเจ้าพระยา ก้อต้องใช้ ปั้มน้ำช่วยอีกแรง สรุป ถ้าไม่หาพท.แก้มลิง ราคาย่อมเยา ก็ต้องใช้นาข้าวช่วยประคับประคองเทวดาเมืองหลวงกันต่อไป ชาวนาจนอยู่แล้วคงจะชิน เทวดาเดินดินบินไปช็อบปิ้ง เหมือนเดิม จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 20:45:04 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าไม่ให้รบกวนธรรมชาติ ก็ต้องรบกวนชาวบ้านซักนิดแหละครับ มองแบบเด็กๆไม่เคยมีประสบการณ์นะครับ -ชาวนา ปลูกข้าวกันเต็มพื้นที่ที่ตนมี (บางคนก็เช่าเอา) ปีละ 2 ครั้ง หน้าแล้งจึงปลูกข้าวนาปรังได้น้อยด้วย -ลองปลูกให้น้อยลงแต่ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยปุ๋ยธรรมชาติ ฯลฯ -แบ่งพื้นที่บางส่วนขุดบ่อปลา (อาจจะทำไม่ได้ในรายที่เช่าพื้นที่) เก็บน้ำไว้ใช้เองในหน้าแล้ง ข้าว 1 ไร่ ใช้น้ำประมาณ 1,600 ลบ.ม./ไร่/ฤดูกาล ดังนั้น ที่ 1 ไร่ 1600 ตร.ม. ขุดลึกทุกๆ 1 เมตร ก็ทำนาได้ 1 ไร่ คงต้องขุดลึกหน่อย แล้วปล่อยปลาไว้ด้วย เพื่อจะได้ไม่เสียพื้นที่ไปเปล่าๆ -สมมติว่าเริ่มขุดให้เสร็จก่อนน้ำ ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล เอาบ่อละ 5 เมตร น้ำมา ก็เอาลงบ่อไปช่วยแบ่งเบาในตัวเอง หน้าแล้งก็มีเก็บไว้ใช้ ข้อดีคือ ต้นทุนน้อยกว่าเอาลงไปใต้ดินแน่ๆ แต่อาจจะทำนาได้น้อยลงไป 1 ไร่ อาจจะให้รัฐจ่ายชดเชยตรงส่วนนี้ประมาณ 800 กก. ต่อไร่ ถ้าเป็นอาชีพอื่นๆก็ปรับตัวเลขตามความเหมาะสมแล้วกันนะครับ แต่ในความเป็นจริง คงไม่มีใครเค้าทำกันมั้งครับ ? ปล.ทำไมเวลาหน้าฝนก็น้ำท่วมหนัก หน้าแล้ง ก็แห้งแล้งสุดๆ ประเทศอะไรกันนี่ ? แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 20:59:44 จากคุณ : Kunzite เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 20:59:02

ความคิดเห็นที่ 38 #32 ไม่ว่ากันครับ มีเหตุผลทั้งสิ้น ระบบไฟฟ้าถ้าคิดรวมค่าขยายเขตแรงสูงมาด้วยก็แพงอยู่ ในสเกลหนึ่งๆอาจไม่ต่างกันนัก ก็ว่ากันไป ลองคำนวนเล่นๆ ตัวเลข 4000 ลบม.ต่อวินาที สูบขึ้น 2 เมตร ตัด friction loss ทิ้งไป กำลังน้ำ = 0.163 * (4000 m3/sec * 60 sec/min) * (H 2m.) = 78,240kW เท่ากับแสนแรงม้านิดๆ ok แบ่งย่อย เป็น 20เครื่อง เครื่องละ 200 m3/sec ยังไม่มีทีไหนในโลกครับ แบ่งเป็น 40เครื่อง เครื่องละ 100 m3/sec ยังไม่เคยทราบว่ามีนะครับ คงต้องแบ่งเป็น 80เครื่อง เครื่องละ 50 m3/sec อันนี้มีที่ Tokyo http://www.jsce-int.org/civil_engineering/1998/urbanunder.pdf http://blogs.howstuffworks.com/2009/03/02/photos-tokyos-gigantic-g-cans-drainage-system/ จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 21:07:41 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 39 ปล. ให้เครดิต ข้อมูลความลึกของแม่น้ำเจ้าพระยา http://www.thaipoem.com/forever/ipage/board6515.html ความถูกต้องของข้อมูลไม่เกี่ยวนะครับ ลองคำนวนเล่นๆแค่นั้น จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 21:15:55 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 40 ผมคิดว่า...ควรปลูกป่า และอย่าลักลอบตัดต้นไม้ครับ จากคุณ : somngo เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 21:41:39

ความคิดเห็นที่ 41 ปริมาณน้ำที่ผมบอกเป็นปริมาณน้ำที่ออกจากเขื่อนเจ้าพระยาครับ เอามาคิดเล่นๆ เฉยๆ ความเป็นจริงคงไมต้องถึงขนาดสูบน้ำเท่ากับที่มันไหลออกจากเขื่อนเจ้าพระยาหรอกครับ เพียงเเค่ให้มันเกิดการลดระดับให้เกิดการไหลตามธรรมชาติในลำคลองส่งน้ำก็พอครับ เครื่องสูบน้ำตัวขนาดนี้มันเป็นงาน Made to order คนที่ทำขนาดใหญ่ๆก็พวกบริษัทที่ทำ Turbine ใหญ่เช่นที่ใช้ในเขื่อน Mitsubishi ,Hyundai ยกตัวอย่าง Francis Turbine ทีโรงไฟฟ้าสูบกลับลำตะคลองขนาดตัวละ 250 MW มันก็คือปั๊มตัวหนึ่งแต่ผมไม่ทราบ Flow แต่เฮดน่าจะประมาณ 50 เมตร ผมว่าปั๊มตัวขนาดนี้คงหาข้อมูลในอินเตอร์เนทลำบากคงต้องติดต่อผ่านบริษัทผู้ผลิตโดยตรง แต่พอเป็นPropeller pump เฮดน้อยอัตราการไหลก็ต้องมากตามไปด้วย ถ้าผมลองเอาสมการพื้นฐานคิดดูสมมุติประสิทธิภาพ 100% ก่อน แต่ปั๊มตัวใหญ่ผมว่าประสิทธิภาพน่าจะเกิน 85% นะ Q= 273P/TDH Q=  อัตราการไหลหน่วย เป็นลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง TDH = Total dynamic head (รวมLOSS) คิดที่ 2 เมตรน้ำ P = กำลังของปั๊มหน่วยเป็นแรงม้า เอาของเขื่อนลำตะคลอง 250MW = 335,120 แรงม้า อัตราการไหล = 273 x 335,120 / 2 = 45,743,880 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงหรือ 12,706  ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ใครมีเพื่อนอยู่ Mitsubishi Heavy Industries ลองถามดูให้หน่อยครับว่าสร้างได้ไม๊ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 22:05:40 จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 21:56:47

ความคิดเห็นที่ 42 อันนี้ของฮุนได ไม่ทราบขนาดครับเอามาให้ดูเล่นๆ ลักษณะงานเดียวกับที่เราพูดถึง จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 22:03:56

ความคิดเห็นที่ 43 ปริมาณน้ำที่ผมนำเสนอว่ามันเป็นตัวเลขเชิงจินตนาการด้วยเหตุผลครับ น้ำเหลือ 98,000 ล้าน ลบม.มันไม่ไ้ด้มาเวลาเดียวทั้งหมดครับ เป็นปริมาณทั้งปี ตัวเลขจริงๆคงต้องขอจากกรมชลประทานนะครับ เอาเเค่ดูคร่าวๆว่าเราจะจัดการกับน้ำก้อนนี้กันอย่างไรดีครับ จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 22:13:02

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้ามันถ้วมนักก็อยู่กับน้ำไปเลย เป็นวัฏจักรครึ้งบกครึ่งน้ำ ทำบ้านที่ลอยน้ำได้ หรือ ปรับระดับได้ ทำเกษตรจากน้ำ ปลูกพืชน้ำระยะสั้น ทำสาธารูปโภคที่ไม่กลัวน้ำ น้ำท่วม แต่ยังมีไฟใช้เป็นต้น จากคุณ : JengisKhan เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 22:24:11

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าจะทำบ่อคอนกรีตใต้ดิน ความหา 10 ซม. เอาไม่อยู่ครับ หรือถ้าให้เอาอยู่ ก็ทำได้ แต่ต้นทุนก็ไม่ได้แตกต่างกัน(เผลอๆ แพงกว่าแบบทำหนาด้วย) เนื่องจากด้านบน นน.กดทับก็แปรผันตามความลึก ยิ่งลึกมาก นน. ดินก็ยิ่งมาก เอาง่ายๆ พื้นบ้านทั่วไปเรา ออกแบบไว้สำหรับ นน. จรแค่ 150 กก./ตร.ม. ยังใช้พื้นหนา 7 ซม. ขึ้นไปเลยครับ ซึ่งถ้าใช้ที่ 10 ซม. ก็ต้องไปเพิ่มที่กำลังคอนกรีตและจำนวนเหล็กเสริมอยู่ดี นอกจากนั้น ในการออกแบบผนังด้านข้าง ก็ต้องออกแบบในกรณีวิกฤตที่สุด คือไม่มีน้ำอยู่เลย ซึ่งผนังด้านข้างจะต้องรับแรงดันทางด้านข้างของดินค่อนข้างสูงด้วย ยิ่งลึกก็ยิ่งต้องหนา ผมจึงเห็นไปทางความเห็นของคุณต้นกลเรือมากกว่าที่น่าจะทำแก้มลิง โดยขุดดินในที่ที่ขุดได้ไปใช้ สร้างความแตกต่างระดับดินให้มาก เพื่อให้น้ำไปอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดแทน จากคุณ : Redrum เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 22:37:21

ความคิดเห็นที่ 46 #36 ผิดเยอะ แก้ไข 98000ล้านลบม/วินาที --->98000ล้านลบม/50วัน 17,316,Xxx kW จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 23:21:15 A:206.53.152.166 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 47 จะมีใครสักคนใหม ที่เข้าใจเราจริงๆ คนพื้นที่ที่ถูกมองข้าม คนหลายแสนครอบครัว ต้องทนทุกทรมาณ กับน้ำท่วมมากี่ชั่วอายุคน ต้องนั้งมองดูข้าวในนาของตัวเองจมไปต่อหน้าต่อตา มีบ้านแต่จะมีไปทำไมเมื่อทุกวันนี้ยังต้องนอนบนหลังคากับถนน แจกถุงยังชีพแจกไปทำไม เมื่อเวลานี้ ยังไม่มีพื้นดินจะทำกับข้าว แจกเงินคุณจะให้เราเอาเงินพวกนี้มาเพื่ออะไร ทดเเทนสิ่งที่เสียไปหรอ มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่สูญเสียไป ความเจ็บซ้ำน้ำใจ ที่เห็นทุกข์ ของพวกผมเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนไม่กี่กลุ่ม ในวันนี้สิ่งที่พวกเราร้องขอมีเพียงอย่างเดียว คือ ช่วยบอกทีได้ไหม   ว่าจะเอายังไง แก่งเสือเต้นจะสร้างก็สร้างไม่สร้างก็ช่วยหาวิธีช่วยเราหน่อย เราทนมสนานแล้วที่เห็นพวกคุณพูดนู้นดี นั้นไม่ได้ ขอเพียงให้เห็นใจเราบ้าง สักครั้งจริงๆ ปล.ต้องขออภัย จขกท. อย่างสูงที่ตอบไม่ตรงประเด็นกับกระทู้ กระผมเป็นเพียงคนคนหนึ่งในหลายจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อน ความรู้น้อยเพียงมัธยมต้นเท่านั้นอายุเพียง21ปี ไม่มีความรู้อะไรเลย เพียงเเค่รู้สึกว่าไม่มีหน่วยงานใดๆให้ความสำคัญกับเราเลย เพียงอยากถามว่าตอนน้ำยังไม่ท่วมทำไมไม่มีใครพูดถึงเรี่องนี้เลย แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 00:33:53 จากคุณ : เขียนบน ความทุกข์ (Kratos,z) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 00:28:09

ความคิดเห็นที่ 48 คห 33 เค้ารู้จักเขื่อนแบบใหม่ที่เรากำลังพูดกันหรือยัง ว่ามันไม่ทำลายป่าไม้ และไม่ได้ไปไล่ที่ใครทั้งนั้น จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 01:15:45

ความคิดเห็นที่ 49 ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกมั๊ยในกรณีทำที่เก็บน้ำใต้ดิน การคำนวนคราวๆข้างบน คำนวนโดยให้พื้นที่เก็บน้ำว่างเปล่าก่อนน้ำมา   ดังนั้นการออกแบบจึงต้องออกแบบในกรณีที่ไม่มีน้ำอยู่ในอ่างเก็บเลย   อีกทั้งต้องลึกกว่าผิวดินมากพอสมควรเพื่อให้ใช้พื้นที่ผิวดินได้สะดวก ดังนั้นค่าใช้จ่ายต่อตารางเมตร จากคร่าวๆตามที่คุณ pinestand คห.13 บอกมา ขุดทำบ่อ 1000 บ./ลบ.ม. แต่ราคาดังกล่าวไม่มีเพดาน ไม่มีเสาค้ำ และเป็นราคาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ดังนั้นตอนนี้น่าจะ ซัก 5000 บ./ ลบ.ม. จะอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้  ดังนั้นผมเห็นด้วยกับการทำอ่างเก็บน้ำผิวดินย่อยๆ ตลอดแนวแม่น้ำมากกว่าครับ แม้จะทำการปลูกพืชไม่ได้แต่ก็ทำการประมงได้อยู่ แต่ก่อนจะถึงฤดูฝนต้องผันน้ำออกจากอ่างให้ได้มากที่สุดเพื่อรอรับน้ำที่จะมาได้อย่างเต็มที่ จากคุณ : Hibino Kenshin เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 01:49:21

ความคิดเห็นที่ 50 เราคิดได้แค่นี้ 1 หมู่บ้าน 1 อ่าง จากคุณ : bira เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 04:21:56

ความคิดเห็นที่ 51 -ขยายความกว้างของแม่น้ำ คลอง -ขุดคลองขุดแม่น้ำเพิ่ม  จากแม่น้ำสายหลัก  ให้มันแยกไปพื้นที่อื่นๆ  ขุดยาวๆ   แล้วทำอ่างเก็บน้ำเล็กๆไว้เยอะๆ ตามทางที่แม่น้ำไหลผ่านเพิ่ม ค่อยๆขุดกันไป น่าจะมีประโยชน์ในระยะยาว เวลาน้ำท่วมก็เบาลง  แต่มาแรงจริงๆก็ท่วมหมด ทว่ายังไงก็สู้เขื่อนไม่ได้ ในเรื่องชลอความแรง แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 05:49:06 จากคุณ : Don't judge too quickly เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 05:48:37

ความคิดเห็นที่ 52 เข้ามาดู จากคุณ : ผมเอง (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 08:46:22

ความคิดเห็นที่ 53 #41 ขนาดของเครื่องสูบ จะถูกจำกัดด้วย 1. อัตราการไหลซึ่งสัมพันธ์กับขนาดของตัวเครื่อง: 12706 ลบม./วินาที หารออกแบบให้น้ำไหลออกจากปากท่อส่งด้วยความเร็ว 6 ม./วินาที ต้องออกแบบท่อทางออกเครื่องขนาดเส้นผ่าน ศก. 52ม. Mitsu.Super Heavy Weight ก็ไม่ทำให้ครับ 2. TDH: 2 m. ทำได้แน่นอน 3. กำลังขับ: Gas turbine น่าจะทำได้เยอะ ไม่ทราบขนาด แต่ต้องใช้เกียร์ทดรอบช่วยด้วย จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 08:59:05 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 54 #42 ในภาพ กะด้วยสายตาเทียบกับ gard rail ที่ตัวมอเตอร์ไฟฟ้า คาดว่าท่อส่งน่ะจะไม่เกิน 1.5ม. ทั่วไปออกแบบความเร็วน้ำในเส้นท่อ ไม่เกิน 3ม/วินาที อัตราไหลน่าจะไม่เกิน 5 ลบม.ต่อ วินาที คิดหยาบๆนะครับ แต่ความคลาดเคลื่อน +- ไม่เกิน 30% จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 09:03:10 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 55 เอา คห มาไว้กระทู้นี้อีกอัน ... เมื่อเช้านั่งอ่านกระทู้หมอเจแล้วเห็นด้วยเรื่องการทำเป็นที่เก็บน้ำเล็ก ๆ แต่กระจายไปทั่ว ๆ กัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อชาวนาเองด้วย ในหน้าแล้ง พ่อแฟนเป็นชาวนาอยู่อยุธยาค่ะ อยู่ฝั่งโรจนะ ไม่อยากเล่าเลยว่า น้ำไม่เคยท่วม ทั้ง ๆ ที่ที่อื่น ๆ ท่วมกัน เพราะเป็นฝั่งนิคมอุตสาหกรรม ห้ามท่วม เวลาหน้าน้ำต้องเอาเครื่องสูบน้ำไปสูบ เสียค่าแก๊สมากมาย เพราะต้องสูบออก พอหน้าแล้ง ก็ทำแบบเดียวเอา คือ เอาน้ำเข้า เราเคยคุยกับท่านเหมือนกันเรื่องขุดบ่อใหญ่ ๆ ไว้เก็บน้ำใช้เอง ไม่ต้องไปพึ่งน้ำคลองชล แต่ !!!!!! ที่นาเป็นนาเช่า นี่แหละคือปัญหา ไม่สามารถขุดได้ เลยต้องเสียค่าแก๊สตลอด ทั้งหน้าน้ำและหน้าแล้ง เข้ามาเล่าให้ฟังเพราะนี่คือปัญหาของชาวนาอีกอย่างหนึ่ง คือ อยากทำนะ คิดนะ แต่ทำไม่ได้ เพราะผืนนาไม่ใช่ของเขาค่ะ จากคุณ : chompoo_nice เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 09:20:04

ความคิดเห็นที่ 56 แก้ไขยาก งั้นป้องกันที่ต้นเหตุได้ใหมครับ น้ำท่วมเกิดจากฝนตก  ถ้ามันค่อย ๆ ตก มันก็ระบายทัน แต่ถ้าตกมาทีเดียวพร้อม  ๆ กัน ตกเยอะ ก็ระบายไม่ทัน แล้วก็น้ำท่วม ทางแก้ก็คือ ทำฝนเทียม เรารู้อยู่แล้วว่าน้ำท่วมกันทุกปี พอถึงปีหน้าก่อนหน้าฝน เราก็คอยตรวจดูเมฆ ว่ามีมากน้อยแค่ใหน ถ้ามากไปเราก็ทำฝนเทียมให้มันตกแต่เนิ่น ๆ ให้ระบายไปก่อน ทยอยทำ ในแต่ละพื้นที่ ช่วงใหนเมฆมากก็ทำเยอะหน่อย ช่วงใหนน้อย ก็อาจไม่ต้อง ทำให้ปริมาณของเมฆลดลง อยู่ในระดับไม่มากเกินไปจะทำให้ฝนตกน้ำท่วม พอถึงช่วงหน้า ฝน / มรสุม / มีพายุ มันก็จะตกลงมาไม่เยอะมากเกินไป มันก็จะไม่ท่วมมากมายแบบนี้ พอจะเป็นไปได้ใหมครับ จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 09:47:37

ความคิดเห็นที่ 57 #36 แก้ ใช้กำลังงานขับน้ำ จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 10:13:05 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 58 ^ | ทำไมส่งไปแล้วข้อความมันแหว่งหายไปอ่ะ #36 17,316,468kW = 17.32GW จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 10:14:53 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 59 คิดใหม่ จัดการน้ำ 98000ล้าน ลบ.ม. ใน 50 วัน ระบายด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา พท.หน้าตัด 3000 ตรม. ได้เต็มที่น่าจะ 3ม/วินาที = 38,880ล้าน ลบม.ต่อ 50วัน คงเหลือ 59,000 ล้าน ลบ.ม. แบ่งไปแม่น้ำอื่นๆบ้าง อีกสัก 29,000 ล้าน ลบม.ต่อ 50 วัน ดังนั้น ถ้ายอมให้น้ำท่วม 50 วัน (นาข้าวคงพังหมดแล้ว แต่ สมมุติไปก่อน) ต้องหาที่กักเก็บน้ำให้ได้ 30,000 ล้าน ลบ.ม. ถ้าสร้างบ่อเก็บน้ำขนาด 100ม.*100ม.*10ม = 100,000 ลบม. ต้องหา พท. สร้างให้ได้ 300,000แห่ง ไม่ว่าจะบนดินหรือไต้ดิน ตั้งโจทย์ไว้ก่อน ใครมีไอเดีย สนุกๆในการแก้โจทย์นี้อย่างไร มาแชร์กัน จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 10:30:08 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 60 ตามคุณไก่ว่าครับ เนื่องจากอัตราการไหลสูงก็ต้องใช้ท่อใหญ่เเต่ผมว่าเฮดเเค่สองเมตรนี่ไม่จำเป็นต้องใช้ท่อก็ได้ครับผมยกตัวอย่างของPropeller ที่ติดในโครงสร้างคอนกรีตเป็นตัวอย่างก่อน ถ้าจะทำกันจริงๆ คงต้องแบ่งย่อยออกเป็นหลายๆตัว ไม่งั้น Specific speed มันสร้างไม่ได้แน่อันนี้ก็ต้องว่ากันต่อไปในงานดีไซน์ ส่วนเครื่องยนต์ผมเห็นด้วยกับเเนวทางแก๊สเทอร์ไบน์ ถ้าเราเเบ่งย่อยเป็นตัวละขนาด 5000-10000 เเรงม้าน่าจะมีโอกาสทำได้ เครื่องยนต์ขนาด 5,000 - 10,000 เเรงม้าน้ำหนักมากกว่าแก๊สเทอร์ไบน์เป็นสิบเท่าเเน่ๆ โครงสร้างเขื่อนต้องแข็งเเรงมาก ถ้าเป็นแก๊สเทอร์ไบน์ก็อาศัยให้ปตท.เดินท่อNG มาช่วยหน่อยพอดีผมไม่มีข้อมูลเเนวท่อ หรืออีกทางก็ไปตั้งโรงไฟฟ้าขนาดสัก 120 MW ไว้ใกล้ๆ เขื่อน แต่ถ้าท่อแก๊สมาลำบากแก๊สเทอร์ไบน์ก็ยังใช้น้ำมันได้ครับต้องมี reduction gear รอบเทอร์ไบน์ตัวขนาดนี้น่าจะประมาณ 4,000 rpm ส่วนรอบปั๊มน่าจะไม่เกิน 120 rpm จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 10:48:23

ความคิดเห็นที่ 61 รูปตัวอย่างครับ จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 10:49:50

ความคิดเห็นที่ 62 ผมนึกขึ้นมาได้อีกประเด็นหนึ่ง ตอนนี้ในเรือใช้ระบบขับเคลื่อนเเบบ AZIPOD คนทำตอนนี้ก็มี ABB ALSTOM แล้วก็ของรัสเซีย มันก็คือ propeller ประเภทหนึ่ง(แต่ผมไม่มีข้อมูลเฮด และอัตราการไหล)เนื่องจากในเรือเค้าสนเเรงขับต้องไปคำนวณต่ออีกที ถ้าคุณ Sgt.Oat เข้ามารบกวนช่วยประมาณการอัตราการไหลด้วยครับ ขนาดที่ผลิตมาได้ประมาณ 40,000-50,000 แรงม้า เเล้วสร้างโครงสร้างครอบมันไว้ ที่ด้านปลายของใบจักร มีประตูน้ำกั้นไว้เวลาเดินเครื่องก็เปิดประตูน้ำ ตั้งโรงไฟฟ้าไว้ใกล้ๆ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 11:00:12 จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 10:59:39

ความคิดเห็นที่ 63 หรือสั่งผลิตเป็นรุ่นพิเศษ เอาแก๊สเทอร์ไบน์ขับตรงมันเลยไม่ต้องผ่านเจนเนอเรเตอร์ ผมหลงประเด็นเรื่องหาทางสูบออกที่ปลายน้ำ แต่ยังมีน้ำเหลืออยู่ข้างบนอีกเยอะ จะขนมันมาปากอ่าวยังไง แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 11:06:02 จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:03:22

ความคิดเห็นที่ 64 จากที่บอกแล้วว่าที่บ้านทำนา แต่เช่าที่เขาทำ จะเป็นไปได้ไหมคะ ถ้าจะช่วยแก้ปัญหาด้วยการขุดบ่อเก็บน้ำไว้ตอนหน้าน้ำ แล้วเอาไว้ใช้ยามแล้งด้วย ทำพอจะคำนวณให้หน่อยค่ะว่า ทำนาต่อไร่ต้องใช้น้ำเท่าไหร่ ขุดบ่อ กว้าง*ยาว*ลึก เท่าไหร่ถึงจะพอเก็บน้ำ จะได้เอาไปเสนอพ่อ ขุดไปเลยลงทุนครั้งเดียว ไม่ต้องมากลุ้มใจเสียค่าแก๊สสูบน้ำเข้า-ออกกันตลอด ขอคำแนะนำด้วยนะคะ ถ้าทำได้ดี เพื่อนบ้านทั้งหลายคงทำตามกัน อันนี้ทำเพื่อให้ช่วยรองรับน้ำท่วมด้วยนะคะ ช่วยกันขุดเก็บน้ำไว้ไม่ให้ท่วมอ่ะค่ะ จากคุณ : chompoo_nice เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:05:20

ความคิดเห็นที่ 65 ปริมาณมันเยอะครับ แต่ก็ควรทำ ตัวเลขที่คุณไก่คิดทำบ่อขนาด 100x100x10 เมตร ต้องใช้ 300,000 บ่อครับ จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:08:57

ความคิดเห็นที่ 66 มีอีกประเด็นที่สำคัญอีกอย่างครับ ตามกระทู้นี้เลยhttp://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11130044/X11130044.html จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:13:34

ความคิดเห็นที่ 67 #60 เรื่องท่อใช้เป็นโครงสร้างคอนกรีต ถูกต้องนะครับ ที่ Tokyo เครื่องสูบขนาดใหญ่ก็ใช้โครงสร้างคอนกรีต http://www.neatorama.com/2006/06/24/japans-futuristic-underground-flood-tunnel/ ^ | ข้างบนนี้บอกว่าใช้กำลังขับ 10MW งั้นแต่ละเครื่อง จำกัดที่ gas turbine ขนาด 10,000kWยักษ์ ก็ยังต้องใข้จำนวนมาก จึงจะมีนัยะสำคัญ ในทีวี ท่านที่ออกมาบอกว่า ใช้ propeller เรือ ช่วยดัน ต้องใช้เรือขนาดยักษ์กี่ลำจึงจะมีนัยยะสำคัญ ในการช่วยดันน้ำ ก็คิดคล้ายๆกันล่ะครับ จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:19:43 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 68 พิมพ์ตั้งนาน ข้อความขาดหายเยอะ เอาไหม่ #60, #61 เรื่องท่อใช้เป็นโครงสร้างคอนกรีต ถูกต้องนะครับ ที่ Tokyo เครื่องสูบขนาดใหญ่ก็ใช้โครงสร้างคอนกรีต http://www.neatorama.com/2006/06/24/japans-futuristic-underground-flood-tunnel/ ^ | ข้างบนนี้บอกว่าใช้กำลังขับ 10MW งั้นแต่ละเครื่อง จำกัดที่ gas turbine ขนาด 10,000kW = 0.163*2ม.*Q/ (Pump eff 0.85) Q = 26,074 m3/min = 435 m3/sec ต่อเครื่อง คิดที่ความเร็ว 6 ม.ต่อวินาที (เร็วมาก) ใช้โครงสร้างคอนกรีตสำหรับ propeller เส้นผ่าน ศก. ประมาณ 9.6 เมตร Propeller แบบ Axial flow จะมีขนาด เส้นผ่าน ศก. พอๆกับท่อส่งหรือโครงสร้าง คอนกรีต คือ 9.6m เช่นกัน เชื่อว่ายังไม่เคยมีใครทำ ในทางเทคนิคน่าจะทำได้ แต่ยากหน่อย ยังไม่ต้องคิดว่าคุ้มหรือไม่ ในแง่การลงทุน 1 เครื่อง 435 ลบม.ต่อวินาที 10 เครื่อง 4350 ลบม.ต่อวินาที 20 เครื่อง 8700 m3/sec 30 sets--> 13050 m3/sec 60 sets--> 26100 m3/sec แล้วแต่ว่าจะออกแบบให้ระบายน้ำปริมาณเท่าไหร่ กี่วัน จะห็นว่า propeller pump ขนาดยักษ์ ก็ยังต้องใข้จำนวนมาก จึงจะมีนัยะสำคัญ ในทีวี ท่านที่ออกมาบอกว่า ใช้ propeller เรือ ช่วยดัน ต้องใช้เรือขนาดยักษ์กี่ลำจึงจะมีนัยยะสำคัญ ในการช่วยดันน้ำ ก็คิดคล้ายๆกันล่ะครับ จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:22:20 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 69 http://incli-nation.com/2009/01/14/unbelievable-tokyo-underground-sewer-labyrinth-dreamscape/ ตามลิ้งครับ เก็บได้ 670,000 ลบ.เมตร 240 พันล้านเยน หรือ 72 พันล้านบาท !!!! แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 11:44:40 จากคุณ : StwoIS เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:39:24

ความคิดเห็นที่ 70 http://amazingdata.com/spectacular-underground-drainage-system-in-japan/ จากคุณ : StwoIS เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:41:39

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณเพื่อนๆที่ร่วมแจม เก็บข้อมูลเอาไว้คิดต่อ ได้เยอะเลยครับ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 11:41:53

ความคิดเห็นที่ 72 คุณ StwoIS คห.70  รูปสวยชัดเจนมากครับ จากคุณ : Hibino Kenshin เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 12:02:10

ความคิดเห็นที่ 73 ค่าใช้จ่ายหนึ่งพันล้านบาทต่อการเก็บน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร ผมจิ้มเครื่องคิดเลขผิดไม๊ จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 12:25:50

ความคิดเห็นที่ 74 ผมขอยกที่ผมตอบในกระทู้นี้มาอีกอันนะครับhttp://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11129590/X11129590.html ต้องขออธิบายเรื่องสุพรรณด้วยครับ ห้องหว้ากอคือห้องที่คุยด้วยเหตุผลไม่ใช่ต้องป้อมด่ากันหรือกะเเนะกระแหนใคร ขออธิบายเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่นับกรณีเรื่องประตูน้ำพลเทพนะครับ ถ้าลองศึกษาระดับความสูงต่ำของพื้นที่ ด้านฝั่งตะวันตกจะเป็นที่สูงสังเกตุจากชื่อก็ได้ครับ ดอนเจดีย์ชื่อก็บอกเเล้วว่าเป็นที่ดอน แนวฝั่งที่ติดกับกาญจนบุีรีไปจนถึงอุทัยธานีมีระดับสูงกว่าเเนวด้านตะวันออก ระดับจะลาดมาทางฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นที่ลุ่มแม่น้ำท่าจีนพื้นที่ของสุพรรณที่จะมีน้ำท่วมได้ก็คือแนวริมแม่น้ำท่าจีนตลอดเเนว ซึ่งแนวริมเเม่น้ำท่าจีนก็ได้รับผลกระทบมาพร้อมกับที่ชัยนาท ตามข่าวก็เช่นตลาดร้อยปี แต่ลักษณะพื้นที่ของชัยนาท สิงหบุรี อ่างทอง เปรียบเสมือนแก้มลิงที่รับน้ำจากภาคเหนือทั้งภาค ดูคำอธิบายของผมได้ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11126177/X11126177.html ภาคเหนือทั้งภาคพื้นที่รับน้ำฝนเกือบเเสนตารางกิโลเมตร ไหลมารวมกันที่จุดเดียวคือเเอ่งนี้ผลที่ได้ก็คือน้ำท่วมใหญ่และเราไม่สามารถจะระบายออกอย่างรวดเร็วได้เนื่องจากข้อจำกัดของขนาดเเม่น้ำที่มีอยู่ คำถามต่อมาทำไมสุพรรณถึงมีน้ำตลอด จริงๆต้องพูดว่าภาคตะวันตกมีน้ำใช้ตลอด จากที่ผมกล่าวมาเบื้องต้น ที่สูงทางด้านฝั่งตะวันตกมีกาญจนบุรี บางส่วนของอุทัยธานี สุพรรณด้านตะวันตก ด้านล่างมี นครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม มีเขื่อนสามเขื่อนใหญ่คือ เขื่อนศรีนครินทร์ เก็บน้ำ 17,745 ล้าน ลบม. เขื่อนวชิราลงกรณ์ เก็บน้ำ 8,860 ล้าน ลบม. เขื่อนกระเสียว ที่สุพรรณ เก็บน้ำได้ 390 ล้าน ลบม. รวมกันได้ 26,995 ล้าน ลบม. มากกว่าเขื่อนในภาคเหนือทั้งภาคอีกครับ พื้นที่ของกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม มีไม่กี่จังหวัดแต่ปริมาณน้ำที่จะเอามาใช้มากกว่าเขื่อนในภาคเหนือทั้งภาค ซึ่งเขตชลประทานของเขื่อนในภาคเหนือก็คือ เขตภาคเหนือเเละภาคกลางด้านตะวันออกซึ่งพื้นที่ชลประทานมากกว่า แต่น้ำน้อยกว่าหน้าเเล้ง ลพบุรีที่ดอนๆถึงไม่ค่อยจะมีน้ำใช้ และยังต้องกันน้ำบางส่วนเพื่อเป็นน้ำประปาให้กรุงเทพใช้ด้วย การเเบ่งน้ำจากด้านตะวันตกมาใช้ก็สิ้นสุดที่เเนวเเม่น้ำท่าจีน ถ้าจะเอาใช้ก็ต้องทำอุโมงค์ลอดใต้เเม่น้ำท่าจีนมาเสริมต่อ ตอนนี้มีอุโมงค์ของการประปาอยู่ที่อำเภอบางเลน แต่ยังน้อยไปสำหรับการชลประทาน นอกจากนี้ระยะขจ้ดจากเขื่อนศรีนครินทร์ถึงอ่าวไทยเเค่ 150 กิโลเมตรมีแม่น้ำระบายน้ำถึงสองสายคือท่าจีนและเเม่กลองไม่นานน้ำก็ไหลลงทะเลหมดครับ เราต้องหาทางออกทางวิศวกรรมเพื่อแก้ปัญหา ปัญหาคือน้ำฝน แก้ด้วยเพิ่มพื้นที่เก็บ เเละการระบายน้ำ ถ้าต้องย้ายเมืองเพื่อหนีน้ำท่วม อายเนเธอร์เเลนด์ครับ เค้าอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลยังหาทางแก้ไขได้ เราเเค่เจอน้ำฝนต้องสู้สิครับถึงจะถูก จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 12:28:21

ความคิดเห็นที่ 75 จากแนวความคิด เรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยการทำอุโมงค์ใต้ดิน เพื่อกักเก็บน้ำ ถ้ามีปัญหาเรื่องโลกร้อนล่ะ ? จะแก้ไขยังไง ผมคิดว่า ใกล้ถึงยุคที่มนุษย์ต้องย้ายลงไปอยู่ใต้ดินแล้วมั้ง อย่าพยายามแก้ปัญหาหนึ่งเพื่อสร้างอีกปัญหาหนึ่ง จากคุณ : ชีวิตจะรุ่งอย่ามายุ่งกับผม เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 12:38:14

ความคิดเห็นที่ 76 สูบน้ำออกจากถังเเล้วย้ายลงไปอยู่ได้เลยไงครับง่ายนิดเดียว จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 12:57:23

ความคิดเห็นที่ 77 #70, #73 Giant Temple ที่เห็นมีหน้าที่เป็นบ่อรับน้ำไกล้ปากแม่น้ำ ซึ่งมีเครื่องสูบฯ ขนาดใหญ่ 50ลบม.ต่อวินาที อัตราการระบายน้ำรวม 200ton/sec หรือ 200ลบม.ต่อวินาที ดังนั้น เอาค่าก่อสร้าง/ปริมาตรความจุเลยคงจะได้ตัวเลขที่น่าตะลึงเกินไป ตอนระบายน้ำ น้ำไหลเข้า ที่ปากอุโมงค์ต้นทาง ในตัวเมืองห่างออกไป 6.4กม. ในอัตราเดียวกับที่สูบออก คือ 200ลบม.ต่อวินาที หรือ 17,280,000ล้าน ลบ.ม ต่อวันครับ ปีนึงระบายต่อเนื่องสัก 45 วัน จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 13:21:44 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 78 - -' ข้อความขาดอีกแล้ว #70, #73 Giant Temple ที่เห็นมีหน้าที่เป็นบ่อรับน้ำไกล้ปากแม่น้ำ ซึ่งมีเครื่องสูบฯ ขนาดใหญ่ 50ลบม.ต่อวินาที อัตราการระบายน้ำรวม 200ton/sec หรือ 200ลบม.ต่อวินาที ดังนั้น เอาค่าก่อสร้าง/ปริมาตรความจุเลยคงจะได้ตัวเลขที่น่าตะลึงเกินไป ตอนระบายน้ำ น้ำไหลเข้า ที่ปากอุโมงค์ต้นทาง ในตัวเมืองห่างออกไป 6.4กม. ในอัตราเดียวกับที่สูบออก คือ 200ลบม.ต่อวินาที หรือ 17,280,000ล้าน ลบ.ม ต่อวันครับ ปีนึงระบายต่อเนื่องสัก 45 วัน = 777,600,000 ลบม.ต่อปี สมมุติใช้งานสัก 15 ปี (ยังไม่คิดค่าพลังงานและค่าบำรุงรักษา) = 11,664,000,000 ลบม. อ้าง #69 ค่าก่อสร้างต่อหน่วยการจัดการน้ำ 72,000,000,000 / 11,664,000,000 = 6.173 บาทต่อ ลบ.ม. ครับ เอาเข้าจริงๆ ตัวอุโมงค์มันมีอายุนับร้อยปี ส่วนเครื่องสูบ ดูแลดีๆ ก็ใช้ได้ไม่น้อยกว่า 20ปีล่ะครับ จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 13:22:40 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 79 ความรู้ทางนี้ผมก็น้อย แต่เข้าใจว่าให้สร้างอะไรใหญ่ๆ ในบ้านเรามีความขัดแย้งสูงในหลายๆ ด้าน แม้จะเป็นไปได้ แต่ก็คงเกิดขึ้นในระยะยาวมากๆ ยิ่งต้องใช้ทุนมหาศาล ก็ยิ่งขัดแย้งมหาศาล สุดท้ายชาวบ้านก็คงจะต้องเดือดร้อนกันทุกๆ ปีจากนี้ เป็นไปได้ไหมครับ ที่เราจะรู้ จะดักทางการมาของพายุได้ก่อน แล้วเร่งระบายน้ำที่กักเก็บไว้ออกไป ให้เหลือพื้นที่เขื่อน พื้นที่อ่างต่างๆ มากพอจะเก็บน้ำที่มาก้อนใหญ่ๆ ในแต่ละปี ระหว่างนี้ก็ทำควบคู่ไปกับการพัฒนาวิธีสร้างแหล่งเก็บน้ำ ที่เสนอว่าเป็นเขื่อนใต้ดิน อันนี้ผมก็เห็นด้วยนะ ยังไงบ้านเราทำการเกษตรเป็นหลัก ควรทำอย่างยิ่ง และตั้งกระทรวงพัฒนาทรัพยากรน้ำมาจัดการเรื่องนี้ไปเลย แก้ปัญหาดาบหน้าเอาแต่ละปี มีแต่เสีย ชาวบ้านก็เดือดร้อน การส่งออกก็เสียหาย ข้าวของแพงหมด บ้านพัง อะไรพินาศ ควรแบ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กับการแก้ปัญหาระยะยาว เฉพะหน้านี่ก็สร้างโมเดลของแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ เอามาแชร์กัน เอาน้ำปล่อยเข้านา แล้วจะช่วยเหลือชาวนาอย่างไร ต้องให้ชาวนาปลูกข้าวช่วงไหน ดูการมาของพาุยุ ดูทรัพยากรน้ำจัดสรรให้เพียงพอ เพราะเวลาแล้งก็แล้งซะน่าเห็นใจ แล้วถ้าน้ำมา น้ำท่วม ต้องแก้ปัญหาอย่างไรทันที อยากให้เป็นไปได้แบบนี้จังครับ จากคุณ : น้องหยิก เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 13:36:10

ความคิดเห็นที่ 80 แก้ไข #78 200m3/sec จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 14:06:14 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 81 ^ ^ !>< ทำไมแหว่งตาหลอดดดดดด 200 ลบม.ต่อวินาที เท่ากับ 17,280,000 ลบม. จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 14:10:50 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 82 200 ลบม.ต่อวินาที เท่ากับ 17,280,000 ลบม.ต่อวัน จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 14:11:26 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 83 เสียดายที่นักการเมืองไม่เล่น pantip จากคุณ : จับได้โดยละม่อม Return เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 14:16:04

ความคิดเห็นที่ 84 ทำเมกะโปรเจคปลูกป่าไม้ ป่าโกงกาง ดีมั้ยครับ.. เราควรอยู่ร่วมกับธรรมชาติ หยุดทำลายธรรมชาติได้แล้วครับ.. ... จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 15:16:16 A:202.44.8.100 X: TicketID:324733

ความคิดเห็นที่ 85 คห 35 คุณ ARMS STRONG เห็นคุณให้ความเห็นลักษณะนี้หลายครั้งแล้วจะบอกว่า คนต่างจังหวัดก็อยากได้เขื่อนป้องกันเหมือนกรุงเทพแต่ 1 พท แก้มลิง พท เกษตร ต้องเอาใว้รับน้ำเพื่อลดปริมาณยอดน้ำที่จะไหลลงกรุงเทพ ไปเรียกร้องยังไงเค้าก็ไม่ทำเขื่อนให้เหมือนกรุงเทพหรอก 2. ชาวบ้านเจ้าของสวนเจ้าของนาต่างก็ทำคันดินปกป้องพื้นที่ตัวเองตามกำลังทั้งนั้นแต่มันต้องใช้เงิน ต้องถามคุณต้นกลเรือละว่าหมดไปเท่าไหร่ 3ท้องถิ่นไม่มีเงินพอที่จะทำหรอกครับ เอาแค่ป้องกันเขตเทศบาลยังแทบไม่ได้เลย ขนาดกรุงเทพยังใช้เวลาเป็น 10 ปีกว่าจะมีคันรอบ 4 คอยดูสิพอน้ำลงมาถึงปทุม นนท์เมื่อไหร่ ก็จะได้เห็นม็อบไปพังคันกั้นน้ำกรุงเทพกันบ้าง แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 15:44:22 จากคุณ : pokparkdee เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 15:42:48

ความคิดเห็นที่ 86 ประเด็นสำคัญอยู่ที่ไม่ใช่กรุงเทพรอดเพราะกรุงเทพมีคันกั้นน้ำ ที่รอดเพราะน้ำส่วนนึงถูกผันลงนาเพื่อคุมปริมาณน้ำที่ผ่านกรุงเทพ เข้าใจประเด็นนะครับ จากคุณ : pokparkdee เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 15:47:23

ความคิดเห็นที่ 87 ไม่ต้องโทษใครครับเรื่องนี้ ต้องโทษนโยบายการจัดการน้ำที่ผิดพลาดมาหลายสิบปี การเชื่อว่าวิธีแก้มลิงคือสิ่งสุดยอดประเสริฐหาที่เปรียบ ทำให้เราขาดโซลูชั่นอื่นในการแก้ปัญหา คนรุ่นใหม่ในกรมชลรู้ดีครับว่าไม่มีทีไหนเค้าแก้ปัญหาโดยการเอาน้ำไปท่วมที่นึงเพื่อปกป้องที่นึง ทางออกคือต้องทำคลองลัดเพื่อระบายน้ำลงทะเลโดยเร็ว การเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กแทบไม่ได้ช่วยอะไร แต่จะช่วยเรื่องน้ำแล้งได้มากครับ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 16:02:31 จากคุณ : pokparkdee เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 16:01:01

ความคิดเห็นที่ 88 #84 อันนี้ผมไม่ได้กะเเนะกะแหนนะครับ ป่าโกงกางคือป่าริมทะเลครับ ถ้าจะปลูกป่าต้องไปปลูกตั้งเเต่เชียงใหม่แม่ฮ่องสอนครับ ป่าช่วยซับน้ำได้เป็นความจริงครับ แต่จริงที่มันซับได้ในระดับไหนครับ อันนี้ผมไม่มีข้อมูลจริงๆ ถ้ามันเกินลิมิตมันก็ต้องล้นออกมา ผมสมมุติเกิดมีหย่อมความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือทำให้ฝนตกเฉลี่ย 300 มิลลิเมตร ผมคิดว่าด้วยอัตราขนาดนี้ป่าซับไม่ได้หมดเเน่ๆมันต้องมีน้ำที่ไม่สามารถจะซับลงดินได้ก็ต้องเป็นส่วนเกินอยู่ดี ถ้าสมมุติผมให้ซับได้ครึ่งนึงซึ่งผมคาดว่าคงไม่ถึงเเน่ ถ้าฝนตกเฉลี่ย 150 มิลลิเมตรทั้งภาคเหนือก็มีน้ำฝน 14 ล้านลูกบาศก์เมตรเเล้วครับ ใช้รถบรรทุกน้ำขนาด 12 ลูกบาศก์เมตรขนก็ต้องใช้วิ่งล้านกว่าเที่ยวกว่าจะขนหมด นี่แค่ฝนเบาะๆ 150 มิลลิเมตรนะครับ ตกขนาดกลางๆสักสามสี่วันติดก็ได้เเล้ว การปลูกป่าเป็นสิ่งดีที่ควรทำครับ แต่ความจริงอีกด้านคือมันช่วยได้ในระดับหนึ่งไม่ได้ทั้งหมด ผมเปรียบเทียบอย่างนี้เเล้วกัน ทุกคนคงไม่เถียงว่าในสมัยพระนเรศวรมีป่าไม้สมบูรณ์กว่าตอนนี้หลายเท่า แต่ทุกปีก็มีฤดูน้ำหลากขนาดไล่กองทัพพม่ากลับบ้านได้หลายครั้งในประวัติศาสตร์ซีงก็คือหลักฐานว่ามีน้ำท่วมสูงจริงในอดีตกว่า 400 ปีมาเเล้วซึ่งตอนนั้นป่าก็สมบูรณ์ อุโมงค์เเบบโตเกียวผมว่าถ้าสร้างในบ้านเราคงถูกกว่านี้หลายเท่า อีกเเนวหนึ่งตามแผนถ้าขุดเจ้าพระยาสองความยาว 240 กิโลเมตร กว้าง 200 x 8 ต้องใช้พื้นที่ 30,000 ไร่มากกว่าพื้นที่โชคชัยฟาร์มนิดหน่อย เปรียบเสมือนได้อ่างเก็บน้ำขนาด 384 ล้านลูกบาศก์เมตรที่ระบายน้ำได้มาอีก จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 16:03:01

ความคิดเห็นที่ 89 ความคิดเห็นที่ 65    ปริมาณมันเยอะครับ แต่ก็ควรทำ ตัวเลขที่คุณไก่คิดทำบ่อขนาด 100x100x10 เมตร ต้องใช้ 300,000 บ่อครับ จากคุณ : ต้นกลเรือ  100 X100 เมตร = 10000 ตรม. = 6 ไร่กว่าๆ แล้วลึก 10 เมตร ค่าขุด บ่อล่ะ 3 แสนน่าจะไม่อยู่นะคับ แค่คิดค่า ตักดิน  10000 X 10 = 1 แสนคิว คิวล่ะ สามบาท นี่ก็ไม่ได้ แล้วครับ ผมว่า ถ้าไซซใหญ่ขนาดนั้น อาจจะต้อง คูณ 5-10  แต่ได้หน้าดิน ไปใช้เยอะเหมือนกัน อาจจะปรับภูมิทัศน์แถวนั้นได้สบายๆ แถวบ้านผม ถ้างานๆเยอะๆ นี่ถอย Bacho มาออกรับงานกัน เองเลยคุ้ม อิๆ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 16:20:52

ความคิดเห็นที่ 90 เห็นข่าวชอบเอาจากพันทิปไปอ้างๆบ่อย แสดงว่าไม่เคยเข้าหว้ากอ เข้าเเต่ ห้องอื่นย จากคุณ : varitpum2 เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 16:42:23

ความคิดเห็นที่ 91 หมอเจคะ จาก คห 64 ช่วยคำนวณให้หน่อยว่า ถ้าอยากทำจริง ๆ ต้องใช้บ่อขนาดเท่าไหร่ ต่อ พื้นที่นา 1 ไร่คะ จะเอาตัวเลขมาลองคำนวณดูว่าไหวไหมเรื่องต้นทุน ถ้าไหวจะให้พ่อทำค่ะ นาแปลงใหญ่มี 80 ไร่ (เช่าเขา) ต้องใช้บ่อขนาดเท่าไหร่คะ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : chompoo_nice เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 16:44:39

ความคิดเห็นที่ 92 ขอบคุณคุณหมอมากครับ ผมเองก็คิดอยู่ในใจมานานแล้วเหมือนกัน ว่าจะทำยังไง ส่วนตัวก็คิดออกแค่ว่า เราต้องผันน้ำที่มันมีมากในช่วงนี้ ออกไปเส้นทางใหม่ๆ เส้นทางใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แม้น้ำสายเดิมที่เรามี วิธีก็คือ - ขุดแม่น้ำใหม่ - ขุดหรือลอกคลองชลประทานใหม่ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อพื้นที่การเกษตรใหม่ๆด้วย - สร้างอ่างเก็บน้ำตามลักษณะพื้นที่ เลี่ยงเลี่ยงกันตัดต้นไม้เยอะๆ อาจจะเชื่อมต่อกันด้วยระบบท่อ ทั้งหมดทั้งปวงที่พูดมา ทำมาแล้วครับ ทำมานาน แต่เป็นการทำเพื่อกินงบประมาณ ที่ขุดไว้ก็ตื้นๆ ทำในพื้นที่ๆไม่ได้รองรับน้ำจริงๆ ไม่มีการสำรวจ การประเมิณอย่างมีมาตรฐาน มีแต่โยนเงินลงมา(เสียเปล่า) ไม่ได้ทำในเชิงคุณภาพ เพราะฉะนั้น ถ้าแก้ปัญหาเรื่องการทุจริต การสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานออกไป เราก็จะได้แหล่งเก็บน้ำคุณภาพดี และหลายๆโครงการ ก็สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ ผมมองว่า จดที่จะผันน้ำออกไป ก็ทำไล่ลงมาเลย ตั้งแต่ตอนเหนือ ออกมาภาคกลาง บางจดอาจจะใช้เป็นสถานีสูบน้ำขนาดใหญ่ บางจุดใช้การขุดแบบวนเวียน หลายปีที่ผ่านมา ปัญหาตรงนี้ มันถูกเหยียบทับไว้ ทั้งๆที่มันสำคัญกว่าตัวเลข GDP ซะด้วยซ้ำ ผมว่า แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 17:04:06 จากคุณ : หน่วยต่อสู้อากาศยาน เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 17:02:20

ความคิดเห็นที่ 93 อ่านๆ มา... ค่อนข้างเห็นด้วยกับการทำแหล่งเก็บน้ำกระจายไว้หลายๆ ที่.. ถ้ามาว่ากันถึงเรื่องที่ตั้ง ความเห็นผมว่ามันน่าจะเอาไปไว้ในพื้นที่กลางๆ ค่อนไปทางต้นน้ำ เพื่อดักน้ำไว้ก่อนที่จะลงมาถึงบริเวณที่ลุ่ม ที่จะโดนน้ำท่วม และพื้นที่ทางค่อนไปทางต้นน้ำเหล่านี้ มักจะเกิดปัญหาแล้งในระยะหลังตามมา ดูกรณีอย่างสุพรรณบุรีที่มีท่านนึงยกตัวอย่างมา ว่า ลุ่มน้ำฝั่งตะวันตกมีระบบชลประทานกันน้ำเอาไว้ในระดับสูงเยอะแล้ว จึงไม่เข้ามากระทบกับที่ลุ่มของสุพรรณบุรีด้านตะวันตก เพราะงั้น น่าจะสร้างแหล่งเก็บน้ำไว้เยอะๆ ตามลำน้ำสายต่างๆ ทางภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคอีสานด้านตะวันตก... จากคุณ : Wobbegong เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 17:15:30

ความคิดเห็นที่ 94 คุณชมภู่มีนา 80 ไร่ ตามข้อมูลการทำนาให้เลี้ยงน้ำสูง 10 เซนติเมตรต้องใช้น้ำ 80 x 1600 x 0.1 = 12,800 ลบม. ผมให้เผื่อไว้ที่ 18,000 ลบม. ถ้าใช้ที่ 3 ไร่ก็ต้องขุดลึก 4 เมตรครับ ค่าขุดลบม.ละสัก 50 บาท ต้องจ้างรถสิบล้อมาขนด้วยนะครับ  = 900,000 บาท ผมว่าใช้แก๊สสูบมาคุ้มกว่าครับ ถึงเอามาไว้ในบ่อมันก็ต้องสูบจากบ่อเข้านาอีกครับ รอบๆบ้านผมที่สามพรานก็มีนาเยอะ พ่อตาผมเลี้ยงปลาสลิดแล้วก็มีนาด้วยเหมือนกัน จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 17:19:52

ความคิดเห็นที่ 95 #87 ทำคลองลัด เป็นทางออกที่แก้ได้ โดยไม่ต้องงพึ่งแก้มลิงหรือ กลับไปที่โจทย์ 98000 ล้าน ลบม. อย่างที่ผมลองคำนวน head loss คร่าวๆ ที่ระยะทาง 150 กม. ซึ่งหากทาบไม้บรรทัดเป็นเส้นตรงจากปากน้ำเจ้าพระยา จะขึ้นไปถึงแถวๆ สิงห์บุรี ซึ่งเป็นช่วงที่ปัญหาสะสมรวมกันมาจาก ปิง วัง ยม น่าน จากการคำนวนคร่าวๆใน #59 ซึ่งคิดง่ายๆว่าแม่น้ำเป็นเส้นตรงราวกับไม้บรรทัด ก็ยังตัองใช้เวลาถึง กว่า 50 วันในการระบายน้ำออก 68000ล้าน ลบม. ดังนั้น อีก 30000ล้าน ลบม. ก็ยังต้องใช้เวลาอีกกว่า 20 วัน รวมๆแล้วมันต้องท่วมอย่างน้อย 2 เดือนครึ่ง โดยที่ไม่มีพายุเติมน้ำมาอีก นี่ไงล่ะครับ แม่น้ำที่ตัดตรงเป็นไม้บรรทัด ท่วม 2เดือนครึ่ง ขุดแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มอีกสาย ก็ยังต้องท่วม 1 เดือนกว่าๆ นาข้าวตายเหมือนกัน ถ้าจะไม่ทำแก้มลิง ก็ขอโซลูชั่นอื่นครับ จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 17:32:52 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 96 ตอบคุณ ชมภู่นา ด้วยคน การขุดบ่อ นี่ ถ้าแถวบ้านผม งานไม่มาก คิดค่าขุดกัน ราวๆ คิวล่ะ 30 บาท แต่ก็มีค่าขนดินไปทิ้งด้วย (แต่ปกติ ถ้าขุดหน้าแล้ง พวกรถขุดเค้ารับจ้างถมดินด้วย ค่าขนเค้าก็ไปคิดเอากำไร จากคนถมที่ ได้อีกต่างหาก เผลอๆ ถ้าที่เราใกล้ที่เค้าต้องการถมดิน ขุดให้ฟรี ยังได้ อิๆ ) แต่ทั่วไปก็คิดกันราวๆคิวล่ะ 30 ถ้างานมากหน่อย ก็น้อยกว่านั้น การขุดดิน ถ้าไม่ได้เอาไปทิ้งที่อื่น เราต้องการบ่อเก็บกักน้ำ เอาดินจากที่ขุดปรับเป็นคันทำขอบบ่อ และปรับพื้นที่รอบๆ ขึ้นมาสูงหน่อยก็ได้ เหมือนกัน แต่ การทำบ่อแบบนี้ ถ้าคิดว่า ไปแทนน้ำจากชลประทานจะประหยัดค่าไฟปั๊มป์น้ำมันคงไม่ได้ เพราะว่าบ่อส่วนใหญ่จะลึกกว่า แปลงนา ต้องสูบน้ำขึ้นมาใช้ เช่นกัน เหมือนกับเอาจากลำคลอง แต่ว่ามันช่วยให้เรามีน้ำสำรองไว้ ถ้าน้ำจากชลประทานไม่พอ แล้ว เรายังอาจจะได้ประโยชน์จากการเลี้ยงปลาได้ สำหรับกรณีทำบ่อพวกนี้เพื่อ ใช้เป็นที่พักน้ำกรณีน้ำบ่าท่วมหน้าน้ำ ต้องมีมาตรการเหมือนกันว่า พอใกล้หน้าน้ำ และมองเห็นว่า น้ำจะมาก ต้องรีบทำการพร่องน้ำในบ่อ ปล่อยน้ำออกมา ให้ไหลไปลงทะเลก่อน เพื่อเหลือ พื้นที่รับน้ำ ไว้รอน้ำที่จะมา คือ มีทั้งสต๊อค และ พื้นที่รับน้ำด้วย ไม่งั้นเก็บน้ำไว้จนเต็มตลอด ก็รับน้ำเพิ่มช่วยลดน้ำท่วมไมได้ เหมือนเขื่อนเก็บกักน้ำก็ต้องพร่องน้ำ ไว้รอรับน้ำก่อนฤดูฝน เช่นกัน จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 17:34:07

ความคิดเห็นที่ 97 การแก้ปัญหาน้ำท่วม ต้องมีอย่างน้อยสามอย่างครับ 1 ระบบระบายน้ำ 2 อ่างเก็บน้ำทุกรูปแบบ เพื่อลดความใหญ่โตของระบบระบายน้ำ ถ้าไม่มีอ่างเก็บน้ำจำเป็นต้องมีระบบระบายน้ำขนาดใหญ่มาก ๆ เพื่อรับมือช่วงน้ำสูงสุด แต่ลดลงได้เมือมีอ่างช่วย 3 ระบบพยากรณ์อากาศ เพื่อลดความใหญของ ระบบระบายน้ำ และ อ่างเก็บน้ำ ระบบยพาการณ์อากาศที่แม่น สามารถบริหารน้ำได้ง่าย ทำให้ความจำเป็นต้องมีอ่างน้ำขนาดใหญ่ และ ระบบระบายขนาดใหญ่ ลดลง ตรงข้าม กับคนอื่นเรื่องอ่างเก็บน้ำ ผมเห็นว่าบางกระณีอ่างเก็บน้ำไม่ได้ช่วยเรื่องน้ำท่วมเลย คือถ้าน้ำเต็มอ่างแล้ว มันก็ต้องระบายออก เช่นสถานการตอนนี้ เขื่อนช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพราะมันเต็มความจุแล้ว สรุปว่ามันต้องมีให้ครบองประกอบทั้งสามอย่าง จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 17:43:29

ความคิดเห็นที่ 98 ปลูกต้นนี้ไว้ซึมซับ น้ำ ในแก้มลิง Baobabs store water inside the swollen trunk (up to 120,000 litres / 32,000 US gallons) 1 ต้นเก็บน้ำได้ 120 ตันแต่อายุหลักพันปี ปลูก 10 ปี เก็บได้ 0.1 ตัน(สมมุติ) จำนวนมากๆ ต่อไร่ พออายุ 20 ปี ก็โค่นทิ้งบางส่วนให้ไม่หนาแน่น ทำซ้ำไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแก้มลิง หน้าเเล้งก็ไม่ต้องปล่อยน้ำเข้าให้ต้นมันผอมๆ http://en.wikipedia.org/wiki/Adansonia จากคุณ : Chaos dragon เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 17:59:08

ความคิดเห็นที่ 99 อืม...... ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องน้ำเท่าไหร่ แต่ผมว่าปริมาณน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยามันไม่น่าจะมากขนาดนั้นนะครับ ดูข้อมูลย้อนหลังได้ที่ http://irrigation.rid.go.th/rid12/Waterchoapaya/wre1.html ถ้าคำนวนใหม่ ตัวเลขอาจจะน้อยลงนะครับ จากคุณ : recombination เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 18:06:36

ความคิดเห็นที่ 100 ถ้าประเทศนี้มีรัฐบาลที่จะทำอะไรใหญ่ๆ แล้วระดมความคิดคนแบบจริงๆ ประเทศนี้เจริญไปมากแล้วครับ ทุกวันนี้ไม่ว่ารัฐบาลไหน ก็ฟังแค่พวกตัวเอง พรรคร่วมตัวเอง และผมเชื่อว่า พวกนักการเมือง ส่วนใหญ่โง่กว่าพวกเราอีก เรื่องอะไรที่ก้าวหน้าเทคโนโลยี โอเคบางทีพวกเค้าอาจจะเก่งเรื่องการปกครองกว่าพวกเรา แต่ความเจริญมันไม่ได้พัฒนาจากเรื่องพันนั้น จากคุณ : ปังปอนด์ป่วน เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 18:56:09

ความคิดเห็นที่ 101 กระทู้น่าสนใจจริง ๆ ครับ จากคุณ : @power เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 19:43:13

ความคิดเห็นที่ 102 คือเป็นไปได้ไหมครับ ที่จะเชื่อมระบบ เขื่อนและชลประทานทั่วประเทศเข้าด้วย กันทั้งหมดคือ ถ้าเขื่อนไหนน้ำน้อย ก็สามารถสูบน้ำจากเขื่อนน้ำมากไปใส่ เขื่อนน้ำน้อยได้เช่นปีก่อนเชื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำ แค่ 60 % ในขณะที่ ป่าสักชลสิทธิ ล่อเข้าไป 120% นอกจากนี้ การย้ายน้ำจากภาคกลางไปภาคตะวันออก เพื่อสนับสนุนแหล่งน้ำใน เขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออกในหน้าแล้ง หรือการส่งน้ำจากภาคกลางไปยัง พื้นที่ภาคอีสานด้วยระบบท่อ และแทงค์น้ำแบบน้ำมันเป็นต้น แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 20:35:07 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 20:34:46 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 20:34:13

ความคิดเห็นที่ 103 ^^ ภาคตะวันออก ก็ท่วม จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 21:11:10

ความคิดเห็นที่ 104 แวะมาดู ดีใจ ที่กระทู้นี้ มีพัฒนาการจากกระทู้ที่แล้ว เยอะมาก กระทู้ก่อนๆ มีแต่พวก ตามน้ำ เอะอะ ก็สร้างเขื่อนอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สน เขื่อนคือพระเจ้าหนึ่งเดียวของพวกเขา เอาข้อมูลภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ มาให้ดู ก็มองไม่เห็น ขอเขื่อนเท่านั้น ก็เพราะประเทศเราไม่ได้รวย เงินมีจำกัด ถ้าเอาไปทุ่มกับสิ่งที่ แก้ปัญหาไม่ได้ ไปซะหมด แล้วไม่เหลือมาให้ใช้แก้ตัว ในการสร้างสิ่งที่มันแก้ปัญหาได้ตรงจุดจริงๆ ก็คงได้แต่บ่นเสียดาย ไปจนตาย ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีเงินเก็บขึ้นมาใหม่ตั้งตัวใหม่ได้ เมื่อไหร่ ที่คนโดนน้ำท่วมจะพ้นจากสภาพแย่ๆที่เกิดประจำทุกปี ใครมองว่าผมเป็นพวก วิชาการ ไม่ยอมไปดูโลกความเป็นจริง ไม่เข้าใจความเดือดร้อนชาวบ้าน จะแย้งว่า บ้านผมก็น้ำท่วม จนต้องย้ายบ้านหนี แต่ไม่ใช่ทุกคนจะย้ายบ้านหนีได้ บางคนหนีไม่ได้ นั่นน่ะ นรกของจริง จากคุณ : Detonator_Pao_ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 22:45:24

ความคิดเห็นที่ 105 ตอบคนที่อยากขุดสระเก็บน้ำเพื่อการเกษตร ถ้าจะขุดสระสำหรับการเกษตร คิดคร่าวๆ ข้าวใช้น้ำ ตลอดฤดูกาลประมาณ ๑,๕๐๐ -๒,๐๐๐ มิลลิเมตร ผักวันละประมาณ ๕-๗ มิลลิเมตร ข้าวโพดวันละประมาณ ๕-๘ มิลลิเมตร สมมติจะปลูกข้าว ๑๐ ไร่ ก็จะใช้น้ำ (๒,๐๐๐ มิลลิเมตร/๑,๐๐๐) x (๑๐ ไร่ ๑,๖๐๐) เท่ากับ ๓๒,๐๐๐ ลบ.ม. (ใช้น้ำจากสระอย่างเดียว) ถ้าจะขุดสระจะต้องเผื่อขนาด เพราะสระน้ำจะสามารถใช้น้ำได้เพียง ๗๐-๘๐% ดังนั้นจะต้องขุดสระความจุ ๔๐,๐๐๐ ลบ.ม. ค่าขุดอ้างจากราคาน้ำมัน ๓๐ บาทต่อลิตร ก็ประมาณ ๒๗-๓๐ บาท ไม่รวมค่าขนดิน ขนาดสระประมาณ ๘๐ x ๘๕ x ๖ เมตร หรือประมาณ ๔ ไร่ ได้ค่าขุดสระประมาณ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท เหลือ พ.ท. ปลูกข้าว ๖ ไร่ถ้าภาคกลางปลูกข้าวพันธุ์ปทุม หรือพิษณุโลก ผลผลิตโดยเฉลี่ยประมาณ ๘๐ ถัง หรือ ๘๐๐ กก. รวมก็ ๔.๘ ตันต่อ ๖ ไร่ ตันละประมาณ ๘,๕๐๐ บาท ได้กำไรไร่ละประมาณ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ บาท จึงได้กำไรครั้งละ ๒๐,๐๐๐ บาท ทั่วไปภาคกลางทำนาปีละ ๒ ครั้ง ดังนั้นไดกำไรปีละ ๔๐,๐๐๐ บาท (นาไม่ล่ม น้ำไม่ท่วม) แค่เลี้ยงตัวก็แย่แล้ว การปลูกพิชเชิงเดี่ยว ความเสี่ยงมากกว่าเยอะครับ ลองค้นหาคำว่า ๑ ไร่ ๑ แสน คุ้มกว่า พอจะมองเห็นหนทางอยู่รอดได้บ้าง ขอประทานโทษที่ตอบมาไม่ตรงคำถามหมอเจ สำหรับคำถามหมอเจ ผมจุกอก จากคุณ : ผมเอง (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 22:56:16

ความคิดเห็นที่ 106 ทำเป็นคลองได้มั้ย สร้างคลองที่ค่อนข้างถี่ เอาดินที่ได้มาถมริมคลอง ให้เป็นแบบเวนิซ ไปเลย เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว และ รับน้ำตอนน้ำมา จากคุณ : รบมิพัก รักมิยั้ง เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 23:14:33

ความคิดเห็นที่ 107 1. สำรวจหน้าตัดลำน้ำที่ต้องใช้ในการระบาย ตัวหลักก็แม่น้ำเจ้าพระยาว่า ถ้าต้องการให้มีการระบายเต็มตลิ่งจะระบายได้เท่าไหร่ ตรงจุดไหนเป็นคอขวดก็ขยายให้มีความจุลำน้ำเพิ่มมากขึ้น 2. หน้าตัดในข้อ 1 จะได้ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่าง ความลึกกับอัตราการไหล ซึ่งเรียกว่า Rating Curve เมื่อได้เจ้า Curve ตัวนี้ ก็จะสามารถประเมินได้ว่าหากต้องการให้ระบายน้ำตามที่กำหนด พนังหรือเขื่อนกันน้ำ จะต้องมีระดับอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่ใช่ทำสะเปะสะปะแบบที่ทำกันอยู่ตอนนี้ 3. แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นร่องระบายสายหลัก มีแม่น้ำบางปะกง และท่าจีนขนาบอยู่ 2 ข้าง คลองส่งน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา มันเป็นคลองส่ง คือต้นคลองใหญ่ ปลายคลองเล็ก พอระบายน้ำเข้าคลองพวกนี้มากๆ มันก็จะล้นทะลักเข้าท่วมพื้นที่ปลายคลอง จึงต้องปรับปรุงคลองพวกนี้ให้สามารถทำหน้าที่ระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการขยายขนาดคลองให้ระบายน้ำที่ปลายคลองได้เท่ากับที่ต้นคลองรับ พร้อมทั้งต่อปลายคลองไปลงแม่น้ำบางปะกง กับท่าจีน ซะให้เป็นเรื่องเป็นราว 4. การบริหารจัดการเขื่อน ต้องมีหน่วยงานสั่งการและรับผิดชอบหน่วยเดียว และต้องจัดการตลอดปี ไม่งั้นก็จะเหมือนเขื่อนสิริกิต์ ที่ดันเก็บน้ำตั้งแต่ต้นฤดูฝน ปลายมิถุนาโน่น โดยไม่จัดการพร่องน้ำให้สอดคล้องกับ Rule Curve เพียงแค่อยากจะสร้างสถิติเก็บน้ำให้มากที่สุด (จนชาวบ้านบางระกำ shipหาย) เพราะพอเข้าสิงหาก็ตาลีตาเหลือกระบายเนื่องจากความจุเกิน Rule Curve จนควบคุมไม่ได้ พอระบายลงเต็มน้ำน่าน น้ำยมที่ไม่สามารถควบคุมปริมาณได้(จนกว่าจะมีแก่งเสือเต้น) ก็ถูกอั้นให้ระบายลงแทบไม่ได้ แล้วค่อยมาประกาศว่าตามการแนะนำของกรมชลประทาน หาจำเลยไม่ได้แต่ชาวบ้านเดือดร้อน แถมอีกนิด หากพร่องน้ำซะตั้งแต่ตอนนั้น ช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือนกันยา น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาก็คงหายไปราว 25% อีกเรื่องนึง หากใครดูรายงานปริมาณน้ำในเขื่อน จะเห็นว่าเขื่อนที่ดูแลโดยกรมชลประทาน เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาณน้ำสามารถเกิน 100% แต่เขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เช่นเขื่อนสิริกิต์ น้ำไม่ถึง 100 ซักที นั่นแหละครับ การบริหารที่ไม่มีความเสี่ยง ชาวบ้านจะเดือดร้อนยังไง ช่างหัวit มีใครทราบเหตุผลไหมครับว่า ปริมาณน้ำเข้าอ่างจะเท่ากับปริมาณน้ำที่ระบาย แต่อัตราการไหลเข้าอ่างกับระบายออกจากอ่างไม่เท่ากัน น่ะครับ 5. การก่อสร้างพนัง ไม่ว่าจะเป็นคันดิน หรือกำแพงคอนกรีต ก็ควรจะทำให้มีหลักวิชาหน่อย ไม่ใช่นึกเอาแบบที่เป็นอยู่ ซึ่งเดี๋ยวก็พัง เดี๋ยวก็พัง 6. ในส่วนของจังหวัด และอำเภอ ก็ควรจะมีข้อมูลระดับพื้นที่ สำมะโนประชากร (ที่เพิ่งทำไปเมื่อปีที่แล้ว) เพื่อเป็นข้อมูลว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติ ที่ใดเสียหายมากที่สุด ราษฏรในพื้นที่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่ ต้องช่วยเหลือยังไง ไม่ใช่ มาคอยนั่งลุ่นว่า ตูจะประกาศให้เขตไหนเป็นเขตภัยพิบัติ จะได้เบิกงบประมาณโดยสะดวก เรือท้องแบน น่ะมีสำรองไว้บ้าง เต๊นท์อีก ท่วมที เบิกที ปีหน้าท่วมก็เบิกใหม่ของเก่าอยู่ไหน กระสอบทรายชาวบ้านซื้อใบละบาทกว่าๆ จัดซื้อใบละ สามบาทสี่บาท ยังไม่พออีกเหรอ 7. หลังแนวป้องกันก็ต้องต่อเชื่อมร่องระบายน้ำ ไม่ต้องเป็นถึงอุโมงค์ดัมมี่เอ๊ย อุโมงยักษ์ดอก แค่ร่องเปิดก็พอ ทั้งนี้ก็เพื่อรวบรวมน้ำ(ฝน) ไปสูบที่บ่อสูบเดียว จะได้ติดตั้งเครื่องสูบที่มีประสิทธิภาพหน่อย ม่ายช่ายหอยโข่งติดเครื่องยนต์ น้ำไหลแรงกว่าท่อประปาแตกหน่อยนึงอ่ะนะ ในเมืองใหญ่ๆ มักโดนยัดเยียดบ่อบำบัดน้ำเสียรวม ก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็ดีนะ 8. สำหรับ Flood Way นั้น ผมว่า มันเหมาะสำหรับเมืองใหญ่ เพื่อรองรับน้ำฝนที่ตกในเมือง แต่ของเรา คู คลองเยอะแยะ เชื่อมให้เป็นโครงข่าย ก็น่าจะพอ (นะ) ปอลิง เวลาผมออกแบบอ่างเก็บน้ำ หากไม่ติดข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ กับข้อกำหนดความสูงของเขื่อนที่กรมกำหนดมา ปริมาณน้ำที่เก็บกัก ผมประมาณที่ ไร่ละ 1,000 ลูกบาศก์เมตร แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 54 03:09:03 จากคุณ : Waterman (LN106) เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 02:56:07

ความคิดเห็นที่ 108 มาต่อ ขอบคุณข้อมูลคุณต้นกลเรือ น้ำปริมาตร 121,797 ล้านลูกบาศก์เมตร ตอนนี้เรามีเขื่อนที่รับน้ำในภาคเหนือคือ เขื่อนภูมิพล 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิต 9,510 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อน:-)ัด 332 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแม่กวง 263 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนกิ่วลม 112 ล้านลูกบาศก์เมตร รวม 23,679 ล้านลูกบาศก์เมตร ปล่อยน้ำทิ้งไป 98,118 (บางส่วนซึมลงดินต้นไม้เก็บไว้แต่ท้ายที่สุดน้ำก็ต้องไหลลงสู่ที่ต่ำครับ) จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 11:33:52 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 109 98,000 Mil.m3 ลองคิดตาม #107 จัดการเรื่องคลองให้ดี คลองมีแล้วก็ปรับปรุง ไม่มีก็ขุดเพิ่มให้เชื่อมกันเป็นโครงข่ายต่อกันถึงแม่น้ำบางปะกง,เจ้าพระยาและท่าจีน สมมุติ ทำคลองแล้ว จำนวน 2000 คลอง Wide 15m. x Deep 6m. x Long 200,000m. x 2000nos. = volume 36,000,000,000 m3 หรือ 36,000ล้านลบม. แม่น้ำเจ้าพระยา Wide 200m x Deep 15m x Long 300,000 m. = volume 900,000,000 m3 หรือ 900ล้าน ลบม. แม่น้ำท่าจีน Wide 100m x Deep 15m x Long 325,000m = volume 487,500,000 m3 หรือ 487.5ล้าน ลบม. แม่น้ำบางปะกง Wide 100m x Deep 15m. x Long 230,000m = volumn 345,000,000 m3 หรือ 345ล้าน ลบม. รวมความจุ 37,732ล้าน ลบม. สมมุติ ก่อนฝนตกทุกแม่น้ำลำคลอง มีน้ำอยู่เพีง 20% ของความจุ คือ 7,546ล้าน ลบม. เหลือความจุสำหรับน้ำฝน 30,186ล้าน ลบม. ยังมีน้ำที่ต้องระบาย อีก 98,000Mil.m3-30186Mil.m3= 67,814ล้าน ลบม. จากข้อมูล http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/267966.html น้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา สูงสุด 3900 ลบม.ต่อวินาที ^ | อาจมีการควบคุมการไหลของน้ำ งั้นคำนวณใหม่ ให้ความเร็วน้ำที่ไหลในแม่น้ำเป็น 3m/sec (อย่างเร็วแรง และอาจท่วมเขตอุสาหกรรมบางแห่ง และเขตเศรษกิจกรุงเทพฯ ยังไม่ต้องสนใจ) แม่น้ำเจ้าพระยา พท.หน้าตัด 3000ตรม v=3m/s , Q = 9000ลบม/วินาที แม่น้ำท่าจีน พท.หน้าตัด 1500ตรม v=3m/s, Q = 4500ลบม/วินาที แม่น้ำบางปะกง พท.หน้าตัด 1500ตรม v=3m/s , Q = 4500ลบม/วินาที เนื่องจากแม่น้ำในคลองย่อยทุกสายจะระบายลงสามแม่น้ำหลักอยู่ดี ดังนั้น น้ำ 67,814ล้าน ลบม. จะไหลผ่าน สามแม่น้ำหลักนี้ลงทะเล ด้วยอัตรา 18,000ลบม.ต่อวินาที หรือ 1,555,200,000ลบม.ต่อวัน หรือ 1,555ล้านลบม.ต่อวัน รวมใช้เวลาระบายลงสู่ทะเล 44 วัน 44วัน 44วัน 44วัน น้ำท่วม สูง??? บริเวณภาคกลาง น้ำที่ล้นเหลือจากความจุในคลอง 2000 สายและแม่น้ำหลัก 3 สาย จำนวน 67,814ล้าน ลบม. หากยอมให้ท่วมบ้านเรือนและนาข้าวอย่างทั่วถึง เป็น พท. 200กม*200กม. หรือ 40,000,000,000ตรม หรือ 40,000ล้าน ตารางเมตร จะท่วมสูงถึง 1.7ม. และลดลงเรื่อยๆ ตามลำดับไปจนถึง วันที่ 44 แต่ในความเป็นจริง พท. ที่ปล่อยน้ำเข้ามีเท่าไหร่ ยิ่ง พท. ท่วมขัง น้อยน้ำยิ่งสูง สรุปว่าต้องทำคลอง เก่า+ใหม่ ขนาด 15ม ลึก 6 เมตร ยาว 200กม. จำนวน 6710 สาย น้ำจึงจะไม่ท่วมเลย แต่เดี๋ยวก่อน เราจะต้องใช้ พท.เท่าไหร่ล่ะ ในการทำคลอง คิดไปคิดมา นี่มันใช้คลองเป็นแก้มลิงนี่นา สุดท้าย มันก็ต้องใช้ บ่อ บึง คลอง บ่อไต้ดิน อ่างเก็บน้ำ หรือเขื่อน เพือ retaining อยู่ดี มันก็ระบบแก้มลิงน่ะแหละ จากคุณ : ไก่gosobig เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 12:13:18 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 110 เข้ามาเล่า เฉยๆ บ้านผมอยู่บางบอนชายๆเขตติดสมุทรสาคร เคยมีโครงการที่ลือกันมาสมัยนายกบรรหาร ว่าจะมีโครการขุดแม่น้ำเจ้าพระยาสอง ซึ่งต้นสายจะแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาแถวๆบางไทร หรือปทุมธานี จำไม่ได้ และปลายทางมาลงที่สมุทรสาคร ซึ่งตามแนวที่ว่า บ้านผมจะโดนเข้ากลางบ้าน หรือไม่ก็เฉียดๆ แต่โครงการนั้นก็พับเงียบหายไป ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็น โครงการจริงๆหรือเป็นข่าวลือ ไม่ทราบว่ามีผู้ใดเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างครับ แล้วถ้ามี มันจะดีไหมในระยะยาว...เผื่อฟลุก จะมีบ้านริมน้ำ.. จากคุณ : Eakiji Onisuka เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 12:43:00