 |
เรื่องของความฝันสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องของความเชื่องมงาย ไสยศาสตร์ เวทย์มนตร์ สิ่งลึกลับ ไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง เก็บข้อมูลเป็นระบบ จนเมื่อปี 1900 ฟรอยด์ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ "The Interpretation of Dream" ซึ่งจริงๆแล้วฟรอยด์เขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จก่อนหลายปี แต่รอจังหวะขึ้นศตวรรษใหม่จึงได้ตีพิมพ์ (เอาฤกษ์เอาชัย ว่างั้นเถอะ)
ฟรอยด์เป็นคนแรกที่จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความฝันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยข้อมูลที่ได้ก็มาจากความฝันของฟรอยด์เอง ความฝันของคนไข้ และจากวรรณกรรมเรื่องกราดิวา (Gradiva) ของวิลเฮล์ม เจนเซนส์ (Wilhelm Jensens) ซึ่งฟรอยด์ใช้เป็นตัวอย่างในหนังสือชื่อ "Dreams and Delusion" ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของลักษณะการหลงผิดที่เกิดขึ้นในความฝัน
ข้อสรุปสำคัญในเรื่องของความฝันที่ฟรอยด์ศึกษามีดังนี้
1. ความฝันเป็นเรื่องของความปรารถนาที่ถูกเก็บซ่อน กดดันเอาไว้ในส่วนของจิตใต้สำนึก ที่เมื่อจิตสำนึกอ่อนแรงลงในขณะหลับก็จะถือโอกาสแสดงออกมาในรูปของความฝัน ซึ่งจะมาในรูปของสัญลักษณ์ ความปรารถนาที่เก็บซ่อนไว้ก็จะเป็นความปรารถนาที่ไม่อาจแสดงออกมาได้ในสภาพสังคม ดิบ เป็นสิ่งต้องห้าม เป็นปมใจบางอย่างของผู้ฝัน
ปมฝันที่ว่านี้หากไม่ได้รับการตอบสนอง แก้ไข ก็จะกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างตกค้างในใจ ทำให้เกิดความไม่สบายใจโดยไม่รู้สาเหตุ
2. ความฝันเป็นกลไกช่วยในการประคับประคองเวลานอนให้ยืดยาวออกไป คนที่หิวก็จะฝันว่าได้กินอาหารเพื่อจะทำให้นอนหลับต่อไปได้ (เพราะความหิวถูกตอบสนองในความฝันแล้ว) ซึ่งความเข้มข้นในการตอบสนองนี้ก็จะขึ้นอยู่กับตัวแต่งฝันว่าจะทำอย่างไรจึงจะปรุงแต่งฝันให้พอเหมาะ ไม่เว่อร์มากเกินไป ซึ่งอาจกลายเป็นการทำให้ผู้ฝันตกใจตื่นได้
บางครั้งอาจเกิดอาการฝันร้าย หรือเป็นฝันที่ไม่พึงปรารถนา ซึ่งฟรอยด์กล่าวว่าเป็นการลงโทษผู้ฝันอย่างหนึ่ง เป็นการระบาย ลบล้างความรู้สึกผิดบาปบางอย่างออกไป ซึ่งก็จะทำให้ผู้ฝันหลับได้นานขึ้น (เพราะความรู้สึกผิดบาปนั้นถูกตอบสนอง(ลงโทษ)แล้วในฝันเช่นกัน) หรือบางครั้งก็เป็นการทำงานผิดพลาดของตัวแต่งฝัน
ฟรอยด์ยังใช้การวิเคราะห์ความฝันเป็นส่วนหนึ่งในการทำจิตบำบัดแบบจิตวิเคราะห์ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
- Free Association - Dream Analysis - Analysis of Resistance - Analysis of Transference - Interpretation
ในส่วนของ Dream Analysis นั้นก็ยังแบ่งย่อยออกเป็น - Manifest Content - Latent Content
Manifest Content เป็นเนื้อหาของความฝันที่ตรงกับความปรารถนาที่ถูกเก็บกด ไม่มีการแต่งฝัน แปลเป็นสัญลักษณ์ใดๆ เช่น อยากกินไอศกรีมก็จะฝันถึงไอศกรีม ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในวัยเด็ก
Latent Content เป็นเนื้อหาความฝันที่ถูกปรุงแต่งแล้ว เนื้อหาความฝันจะไม่สื่อออกมาตรงๆแต่เป็นรูปของสัญลักษณ์มากกว่า
ในการแปลความหมายของฝันนั้นมีรายละเอียดหลายประการ ซึ่งอย่างน้อยที่สุดจะต้องเข้าใจว่า ตัวแต่งฝันจะปรุงแต่งความฝันให้มีความนุ่มนวลมากที่สุด แต่ก็อาจแปลกประหลาดมากที่สุด บางครั้งมีการย่นย่อเนื้อหาเสียจนไม่เห็นเค้าโครงเดิม หรือดัดแปลงเป็นสัญลักษณ์ หรือจัดวางเรื่องราวอย่างเหลือเชื่อ (Contamination) ภาพแปลกๆสุดสุดของฝัน ฟรอยด์เรียกว่าเป็นอาการหลงผิด (Delusion) คล้ายอาการคนไข้โรคจิตด้วย (กิติกร มีทรัพย์, 2549)
ตัวแต่งฝัน (Dream Work) มีหน้าที่ปรับปรุง ตกแต่งความฝันให้มีความนุ่มนวล พอเหมาะพอดีต่อการตอบสนองความปรารถนาโดยไม่มากหรือน้อยเกินไปจนทำให้ผู้ฝันตกใจตื่น เป็นการประคับประคองให้ผู้ฝันหลับได้นานขึ้น โดยมีชั้นเชิงในการปรุงแต่งให้ออกมาในรูปของสัญลักษณ์ ซึ่งฟรอยด์แบ่งออกเป็นสองประเภท
- สัญลักษณ์สากล (Universal Symbol) - สัญลักษณ์ท้องถิ่น (Local Symbol)
ซึ่งสัญลักษณ์ท้องถิ่นก็จะแตกต่างกันออกไปตามความเชื่อและวัฒนธรรมที่ผู้ฝันมีอยู่เป็นสำคัญ ส่วนสัญลักษณ์สากลนั้นก็จะมีการแปลความหมายไปในทางเดียวกันตลอดไม่ว่าจะมีความเชื่อแบบไหน หรือมีวัฒนธรรมอย่างไรก็ตาม
แต่บางครั้ง ตัวแต่งฝันเองก็มีการทำงานพลาด อาจตกแต่งฝันให้โชคดีมีสุขมากเกินไป หรือสยดสยอง น่าหวาดกลัวมากเกินไป บางครั้งอาจลืมเปลี่ยนฝันเป็นสัญลักษณ์ กลายเป็นฝันตรงๆ ปรารถนาอยากมีเพศสัมพันธุ์กับหญิงสาว แทนที่จะแปลฝันเป็นเรื่องของการขี่ม้า ก็กลายเป็นฝันตรงว่าได้ร่วมรักกับหญิง กลายเป็นฝันเปียก (Wet Dream) ไปเสียอย่างนั้น
การที่ตัวแต่งฝันตกแต่งฝันให้ออกมาเป็นฝันร้าย ฟรอยด์เชื่อว่าเป็นการลบล้างความผิดบาปที่ติดค้างอยู่ในใจของผู้ฝัน เมื่อถูกลงโทษด้วยการฝันร้าย ความรู้สึกผิดบาปถูกลบล้างคลี่คลาย ความทุกข์ใจจากความผิดบาปนั้นหายไป ผู้ฝันก็จะผ่อนคลายและสามารถหลับต่อไปได้นานขึ้น
จากคุณ |
:
aramis_s
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ต.ค. 54 15:03:32
|
|
|
|
 |