ความคิดเห็นที่ 1 ตอบความเห็นที่ 4 (กระทู้เดิม) ผมก็อยากให้กำลังใจรัฐบาลที่ทำงานหนักครับ แต่ลองพิจารณาความเห็นของคุณ SunGod ที่ตอบคำถามเรื่องการเพิ่มความเร็วให้น้ำที่กำลังไหลโดยธรรมชาติด้วยความต่างระดับ ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11160814/X11160814.html “...ถ้าตามทฤษฎี มันมีผลทำให้มวลน้ำเคลื่อนที่ได้เร็วจริงครับ แต่มันช่วยได้กี่ % ของการไหลตามปกติของมวลน้ำทั้งหมด (กว้าง x ยาว x ลึก) หรือ คุ้มค่าที่จะทำหรือไม่ ...อันนี้อีกเรื่องนึง ...ถ้าเอาตามตัวเลขที่ รมต.กระทรวงเกษตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวาน ที่คาดการณ์ว่าปริมาณการไหลของน้ำจะเพิ่มเป็นมากกว่า 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หลังจากเขื่อนภูมิพลต้องระบายน้ำออก (นับที่นครสวรรค์ ไม่นับฝนตกสะสมหลังจากจุดนี้) เท่ากับมีปริมาณน้ำ 432,000,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ...และถ้าเอาตัวเลขตาม ความคิดเห็นที่ 5 (ของคุณ ต้นกลเรือ ในกระทู้เดียวกัน) ที่คำนวณว่า เรือจะสามารถช่วยระบายน้ำได้เพิ่มขึ้น 420,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน (เรือที่กองทัพเรือใช้อยู่น่าจะดันน้ำออกได้ชั่วโมงละ 70,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงและเดินเครื่องได้แค่วันละ 6 ชั่วโมง) เท่ากับช่วยได้ 0.1% ของปริมาณน้ำที่ไหลผ่านนครสวรรค์ หรือเทียบง่ายๆแบบคร่าวๆ โดยไม่รวมปริมาณฝนตกจากที่อื่นๆ ว่า น้ำที่ท่วมสูง 1 เมตร ก็จะลดลงจากเดิม 1 มิลลิเมตร ครับ” ผมเลยคิดว่า “งานนี้ เป็นการตำพริกละลายแม่น้ำครับ” จากคุณ : วิศวกรอาวุโส เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 21:11:43 A:110.168.196.50 X: TicketID:332863

ความคิดเห็นที่ 2 ตอบความคิดเห็นที่ 9 (กระทูัเดิม) ถ้าเป็นคลองก็โอเคเลยนะครับ เพราะขอบคลองอยู่ใกล้ แต่ในแม่น้ำความเสียดทานจากสองฝั่งคงมีผลน้อยมากกับการไหลของแม่น้ำเจ้าพระยาโดยรวมครับ ตอบความคิดเห็นที่ 14 (กระทูัเดิม) ภาพที่คุณเอามาแสดง คือ หน้าตัดความเร็วของน้ำตามความลึก ส่วนที่อยู่ใกล้ท้องน้ำ ไหลช้ากว่าเพราะเกิดแรงเสียดทานจากท้องแม่น้ำ เวลาเขาคิด Flow Rate Q=VA ค่าความเร็ว V เขาคิดค่าเฉลี่ยจากการแปรของความเร็วน้ำตามความลืกแล้ว การทำให้ชั้นน้ำที่ผิวมีความเร็วเพิ่มขึ้น มีผลต่อน้ำชั้นข้างเคียงเท่านั้น ไม่สามารถดึงมวลน้ำทั้งพื้นที่หน้าตัดให้เพิ่มความเร็วด้วย การเพิ่มความเร็วเฉพาะบริเวณผิวน้ำก็อาจเพิ่ม V เฉลี่ยอยู่บ้าง แต่โดยสัดส่วนน้อยมากๆครับ และปัญหาคือ ความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้ จะลดลงเมื่อน้ำเคลื่อนไประยะหนึ่ง ถ้าจะทำจริงต้องมีเรือชุดที่ 2 ชุดที่ 3 จนถึงปากน้ำครับ ตอบความคิดเห็นที่ 16 (กระทูัเดิม) รูปที่แสดง (ที่คคห. 33 นำมาใส่ให้ เพราะผมใส่รูปไม่ได้) ไม่ได้เป็นโมเด็ลของกรณีแม่น้ำเจ้าพระยาครับ เป็นการได้จาก Open Channel Flow ที่แสดงผลจากการถูกลมพัดที่ผิวน้ำ ทำให้เกิดเป็นคลื่น Elliptic Wave ซึ่งผมใช้ประกอบเพื่ออธิบายว่า การใส่พลังงานกลเพียงเล็กน้อยที่ผิวน้ำ ไม่ต่างจากกรณีลมพัดให้เกิดคลื่นดังกล่าวขึ้นครับ และไม่เกี่ยวกับ Elastic Material ครับ อันนั้นเป็นของแข็งแล้วครับ ตอบความคิดเห็นที่ 17 (กระทูัเดิม) เป็นความคิดที่ดีครับ พลังงานกลที่ใช้ต้องมีความเหมาะสมกับพื้นที่หน้าตัดของแม่น้ำ และต้องทำเป็นอนุกรม เหมือนนักวิ่งผลัดอย่างที่ผมเปรียบเทียบ จนถึงปากแม่น้ำเลยครับ ความคิดเห็นที่ 18 (กระทูัเดิม) เห็นด้วยครับ จากคุณ : วิศวกรอาวุโส เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 21:14:37 A:110.168.196.50 X: TicketID:332863

ความคิดเห็นที่ 3 ความคิดเห็นที่ 19 การใส่พลังงานกลขับน้ำที่ผิวน้ำ พฤติกรรมไม่ต่างจากการที่ลมพัดทำให้เกิดคลื่น การใช้ Airy Wave Theory หรือ Linear Wave Theory จึงใช้เพื่อการอธิบายได้ แต่ถ้าจะศีกษาจริงก็ต้องใช้ CFD ซึ่งเป็นเรื่องทำไม่ยากอยู่แล้วถ้ามีข้อมูลพอ อีกอย่างหนึ่ง การทำงานของ submersible pump ในทางกล คือ การใส่พลังงานกลให้กับมวลของน้ำที่อยู่บริเวณใกล้ผิวน้ำ (กรณีแม่น้ำ ไม่ใช่คลอง) ถ้าพลังงานกลมีขนาดน้อยมากเมื่อเทียบกับพลังงานจลน์ที่เกิดจากความต่างศักย์ระหว่างต้นน้ำกับปลายน้ำ ผลที่ได้เมื่อเทียบกับการไหลโดยธรรมชาติ จะมีนัยยะสำคัญน้อยมาก และเป็นผลเฉพาะที่ (local effects) เท่านั้น การทดสอบโดยใช้ลูกบอลพลาสติคใช้ไม่ได้ครับ เพราะลูกบอลไม่ใช่อนุภาคของน้ำ เราต้องการดูว่า อนุภาคน้ำ มีการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าจะทำจริง ต้องทำสองกรณีนี้มาเปรียบเทียบกัน โดยใส่สีไอโอดีน หรือ ด่างทับทิมในน้ำเพื่อวัดได้ว่า น้ำที่ใส่สีเคลื่อนที่ไปถึงไหน ครั้งแรกโดยไม่มีการใช้เรือดันน้ำ วัดว่า สีในน้ำจากจุดหนึ่งไปถึงอีกจุดไกลออกไปพอควรใช้เวลาเท่าไร กับครั้งที่สอง โดยใช้เรือดันน้ำแล้ววัดแบบเดียวกัน แล้วดูความแตกต่างของสองกรณี ก็จะรู้ว่า ประสิทธิภาพของการใช้เรือมาดันน้ำเป็นอย่างไร (นอกจากนั้น เราน่าจะเห็นการม้วนตัวของกระแสน้ำในระยะหนึ่งจากจุดที่น้ำถูกปะทะ) ส่วนการพนันเบียร์สองขวด ถ้าเป็นคลองเล็กๆ คุณชนะครับ แต่ถ้าเป็นคลองใหญ่หน่อย คุณก็แพ้แล้ว ไม่เชื่อลองไปหาดูข้อมูลผลการทดสอบที่กรมชลประทานดูได้เลยครับ จากคุณ : วิศวกรอาวุโส เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 21:18:26 A:110.168.196.50 X: TicketID:332863

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบความคิดเห็นที่ 20 21 และ 34 ผมไม่มีอะไรขัดแย้งกับสิ่งที่คุณนำเสนอ เรื่อง Axial Propeller Flow เพียงแต่คุณต้องดู scale ของ flow ที่จะเร่งให้เร็วขึ้น ว่ามันครอบคลุมพื้นที่เพียงแค่ไหน เมื่อเทียบกับพื้นที่หน้าตัดของแม่น้ำเจ้าพระยา และระยะที่มันจะหมดแรงลงด้วย ส่วน Momentum จะคงที่ก็ต่อเมื่อความเร็วคงที่ แต่ในความเป็นจริง ความเร็วน้ำที่คงที่ จะเกิดจากความต่างศักย์ หรือไม่ก็ต้องใส่พลังงานกลต่อเนื่องโดยไม่หยุดครับ ตอบความคิดเห็นที่ 23 เป็นความคิดเห็นที่ถูกต้องครับ แต่เราต้องมีที่โยงเรือที่แข็งแรงด้วย ผลักน้ำไปด้วยแรงเท่าไหร่ ก็ต้องตรึงเรือให้แน่น action = reaction ครับ ตอบความคิดเห็นที่ 29 ใช่เลยครับ ตอบความคิดเห็นที่ 30 ถ้ากรณีปลายน้ำสูงกว่าต้นน้ำ เช่นในกรณีน้ำทะเลหนุน ถ้าเราใช้พลังงานกลสูงพอที่จะขับน้ำออกไป (ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ในกรณีนี้) พอคุณหยุดพลังงานกลเมื่อไหร่ น้ำก็จะไหลทะลักกลับทันที ตอบความคิดที่ 33 ภาพเคลื่อนไหวที่นำมาแสดง เป็นภาพหน้าตัดตามยาวของ open-channel เช่นแม่น้ำ จุดหนึ่งแสดงถึง particle หรือ มวลหนึ่งๆของน้ำที่เคลื่อนที่ไปมา ประกอบเป็นคลื่น 2 มิติ คลื่นลักษณะนี้ เรียกว่า Elliptic Waves เกิดจากการผสมกันระหว่าง longitudinal waves กับ transverse waves ครับ ส่วนคลื่นในเชือกเป็นคลื่นมิติเดียวครับ จากคุณ : วิศวกรอาวุโส เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 21:19:57 A:110.168.196.50 X: TicketID:332863

ความคิดเห็นที่ 5 นอกจากนั้น ขอขอบคุณ คุณ TinyNu ที่แนะนำลิงค์นี้ ที่ผู้เชียวชาญด้านน้ำ ดร เสรี ศุภราทิตย์ พูดถึงเรื่องเรือดันน้ำ (นาทีที่ 7 เป็นต้นไป) http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=-SRkeq1W97c#t=461s จากคุณ : วิศวกรอาวุโส เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 21:24:26 A:110.168.196.50 X: TicketID:332863

ความคิดเห็นที่ 6 เข้ามาเก็บความรู้เพิ่มเติม มาตอนนี้ผมละเสียดายที่สมัยเด็กๆ โดด fluid ประจำ เรื่องนี้ที่ผมแอบเซ็งคือ หลายๆคนคิดว่าวิธีที่รัฐบาลใช้เป็นวิธีที่ปฏิบัติตามแนวทางพระราชดำริ ซึ่งมันไม่ใช่อะครับ จากคุณ : ปลงไม่ตกซะที เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 21:36:26

ความคิดเห็นที่ 7 อย่างนั้น ใช้เรือดำน้ำได้ไหมครับ ผลักน้ำที่ก้นๆแม่น้ำเลยน่ะ จากคุณ : วิหคน้ำเค็ม เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 21:58:10

ความคิดเห็นที่ 8 คห 6 อาจจะเป็นเพราะเขาเข้าใจทฤษฎีได้อย่างไม่ถูกต้องมากกว่า แต่ผมเองก็แปลกใจว่า หน่วยงานราชการที่ทำงานด้วยกัน น่าจะมีการทักท้วงติง ปรับแก้ไขให้ถูกต้องมากกว่า จขกท รบกวนสมัครสมาชิกด้วยนะครับ จะได้ให้ กิฟท์ได้ แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 54 21:59:11 จากคุณ : นะนะ เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 21:58:32

ความคิดเห็นที่ 9 ผมก็ว่าไม่ไหวไง พอๆ กะให้ชาวบ้านเปิดน้ำประปาทิ้ง แล้วก็มาหาว่าเปนมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ชิ ชิ จากคุณ : แอมแบด เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 22:18:51 A:110.168.160.124 X: TicketID:191178

ความคิดเห็นที่ 10 คห.8 ผมกลับไม่แปลกใจเลย ถ้ามีใครท้วงติง ก็จะมีพวกที่เห็นด้วยบอกว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ โดยไม่มองว่า ไอ้ที่ท้วงติงน่ะ เพื่อไม่ให้เอาเวลาไปเสียกับสิ่งที่ได้ประโยชน์น้อย หรือไม่มีประโยชน์มากกว่า จากคุณ : red buffalo เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 22:20:42 A:223.206.23.223 X: TicketID:119196

ความคิดเห็นที่ 12 อ๊าว โดนลบซะแล้ว จากคุณ : นะนะ เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 22:59:17

ความคิดเห็นที่ 13 ผลทางจิตวิทยาครับ แม้ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ก็เถอะ แต่อาจคุ้มค่าทางการเมือง (รัฐบาลถูกด่าน้อยลง) จากคุณ : mamao เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 23:09:28

ความคิดเห็นที่ 14 โฆษกร้ัฐบาลชี้แจงว่า นายกบอกนักข่าวว่า "ค.ร.ม. อนุมัติให้ซื้อเรือดันน้ำ ไม่ใช่เรือดำ้น้ำ" ดังนั้น เรือดันน้ำต้องดันน้ำได้ ถ้าเรือใช้ดันน้ำไม่ได้ รัฐบาลก็อนุมัติเสียของเปล่าๆสิ จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 23:20:49 A:58.9.141.86 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 15 ประเด็นตอนนี้อยู่ที่การทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ สมมติว่ามี 3 วิธีที่จะนำน้ำออกให้เร็วที่สุด A ทำได้ 10 คะแนน B ทำได้ 5 คะแนน C ทำได้ 1 คะแนน เราคงไม่มานั่งเลือกวิธีว่าวิธีไหนดีที่สุดแล้วเลือกทำแค่อย่างเดียว ใช่หรือเปล่าครับ กับสถานการณ์ ณ วันนี้ ถ้าจะดูว่าคุ้มไม่คุ้ม ควรที่จะมองที่ประสิทธิภาพครับ ก็คือมองที่งบประมาณ ว่าใช้เงินค่าเชื้อเพลิงเท่าไหร่ ต่อการย้ายน้ำขนาดเท่าไหร่ มากกว่าการมองที่ประสิทธิผลครับ จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 23:40:22

ความคิดเห็นที่ 16 น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา พึงมีสติ ขออย่างเดียวอย่าตัดสินใจบน panic จากคุณ : แอมแบด เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 54 23:50:52 A:110.168.160.124 X: TicketID:191178

ความคิดเห็นที่ 17 เอ...... ตกลงว่ายังไงกันล่ะเนี่ย รอคุณต้นกลเรือ และ ผู้รู้ท่านอื่น มาร่วมอภิปรายด้วยละกัน คนนึงบอกได้ อีกคนบอกไม่ได้ ผมเองก็ไม่ได้เรียนทางนี้มาซะด้วย รอเมนต์ต่อๆไปครับ จากคุณ : BLiNDiNG เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 00:52:02

ความคิดเห็นที่ 18 ทำอะไรได้ก็ต้องทำน่ะ มีคนเขารอว่าอยู่ จากคุณ : รักหวานในวันวาน เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 01:18:22

ความคิดเห็นที่ 19 มาให้กำลังใจคุณวิศวกรอาวุโสครับ บ้านเราต้องมีคนแบบคุณเยอะๆครับ ส่วนที่บอกว่าดีกว่าไม่ทำอะไรนั้น ความคิดแบบนี้ทำให้เรามีโครงการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมากมาย สู้เอาเรือที่จะมาดันน้ำไปช่วยคนที่ประสบภัยน้ำท่วมดีกว่า ยังมีคนอีกเยอะมากที่การช่วยเหลือเข้าไปไม่ถึง ตอนนี้ถนนหลายสายก็วิ่งไม่ได้แล้ว ต้องไปทางเรือนี่แหละ จากคุณ : ม้าหงอย เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 10:15:46

ความคิดเห็นที่ 20 ต้องขอออกตัวก่อนในเรื่องทฤษฎีการไหลเเบบ Open channel ผมไม่ถนัดผมเป็นวิศวกรเครื่องกลไม่เก่งเรื่องชลศาสตร์ ผมถนัดเรื่องการไหลในท่อกับปั๊มและเครื่องยนต์ จากที่ผมคำนวณคร่าวๆเรื่องอัตราการไหลที่ได้จากเรือทักของกองทัพเรือ 5 ลำที่อยู่ที่คลองลัดโพธิ์ว่าได้รวมกันประมาณ 70,000 ลบม./ชม.คิดค่าน้ำมันที่ลิตรละ 30 บาทด้วยค่า Specific fuel consumption ของเครื่องยนต์ดีเซลที่ 220 g/kWhr. ได้ค่าใช้จ่าย 20 สตางค์ต่อการผลักน้ำหนึ่งลูกบาศก์เมตร ผมก็เลยมองว่ามันคุ้มกับการเสียเงินเเค่ 20 สตางค์เเล้วสามารถช่วยผลักดันก้อนน้ำหนัก 1 ตันให้ไม่ต้องอ้อมอีกสิบกว่ากิโลเมตรตรงออกทะเลไปในช่วงน้ำลง คือถ้าทำเเล้วเสียเงิน 20 บาทต่อน้ำหนึ่งตันผมว่าทำไปก็เสียปล่าว ถึงเเม้ตอนนี้ด้วยจำนวนเรือทีมีมันยังน้อยเมื่อเทียบกับน้ำเจ้าพระยาทั้งหมด ผมก็ยังมองว่่ามันดีกว่าไม่ทำอะไรเลยเพราะด้วยเงิน 20 สตางค์ต่อน้ำ 1 ตัน เราไม่มีวิธีสูบน้ำจากเจ้าพระยาออกทะเล หลายๆคนยังคิดว่าเราเอาเครื่องสูบน้ำออกเจ้าพระยาได้แต่ความจริงมันไม่ใช่เราทำได้เเค่รอน้ำลง ถ้าเรือ 5 ลำทำได้วันละ 6 ชั่วโมงได้สีเเสนกว่าตันถ้าจังหวะดีมีน้ำลงมากกว่านี้เวลาทำงานก็มากขึ้น กับอีกช่วงกับการเพิ่มพลังงานเพื่อเอาชนะ Loss ตามคอสะพานผมก็ยังคิดว่าดีกว่าไม่ทำอะไร ยังไงเรือขนาดเรือด่วนเจ้าพระยาถ้าเอาไปดันน้ำก็จะมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานพอๆกันกับเรือทักของกองทัพเรืออย่างมากก็ไม่เกิน 30 สตางค์ต่อน้ำ 1 ตัน ถ้าค่าใช้จ่ายมันสูงผมจะไม่สนับสนุนเลย ประเด็นพวกบูสเตอร์ไฟฟ้า เเบบมิกเซอร์หรืออะไรพวกนี้ผมว่าความสะดวกมันไม่ได้ จะหาบูสเตอร์จากไหน จะต้องเอาเจนไปตั้งบนสะพานต่อสายไฟลงมาข้างล่าง เเล้วจะยึดบูสเตอร์กลางลำน้ำอย่างไรผมว่ามันยากกว่าเรือเยอะ อย่างเรือขนาดเรือทัก หรือเรือด่วนเจ้าพระยามันก็เอาไปช่วยน้ำท่วมไม่ได้อยู่ดี ถ้าไม่ใช้มันก็ต้องจอดขวางลำน้ำอยู่ดีเรือทักกินน้ำลึกสองสามเมตรจะวิ่งเข้าไปช่วยใครได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ก็ต้องอยู่เฝ้าเรือเงินเดือนก็ต้องจ่ายไม่ใช่ จอดเรือไว้เฉย เเล้วจะเอาคนประจำเรือไปช่วยน้ำท่วมได้ หลายคนเข้าใจว่าเดินเครื่องเรือตลอด ย้ำว่าไม่ใช่ครับ เฉพาะน้ำลงเท่านั้นครับ ผมมองว่าจิตวิทยาสำคัญที่สุด ถ้ามองว่าทุกอย่างทำไปก็ไร้ประโยชน์เราก็คาดหวังจากการทำอะไรไม่ได้ ทำคันล้อมเเล้วคันล้อมก็พังน้ำท่วมอยู่ดีอย่างนี้อย่าทำคันล้อมเลยเสียเงินปล่าวอพยพคนเลยดีกว่าไม๊ ผมว่าด้วยวิญญาณของความเป็นมนุษย์มันมีสายเลือดนักสู้อยู่ในตัว ไม่ว่ายังไงฉันก็อยากจะเอาชนะธรรมชาติ ผมว่าหน้าตัดของคลองลัดโพธิ์ถ้าใช้เรือทักที่ใหญ่กว่านี้ขอของการท่าเรือที่เเหลมฉบังสักลำละ 3000 แรงม้ามาสักสามลำก็น่าสนใจ เรือยาวๆอย่างเรือสินค้าเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือฟริเกต ที่อยู่ในเเม่น้ำผมว่ามันควบคุมลำบากต้องใช้เรือที่มีกำลังเยอะแต่สั้นๆ คำตอบก็คือเรือทักถึงจะสะดวก กำลังพลของกองทัพเรือหลายหมื่นคนแบ่งมาไม่ถึงร้อยคนเพื่อดันน้ำคงไม่กระทบต่อภาพรวม อาจารย์เสรีย์ท่านก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน สมัยผมเรียนเมื่อสิบกว่าปีที่เเล้วท่านก็เป็นคนที่พูดทถึงสึนามิคนเเรกๆของเมืองไทยเหมือนกัน มีผลงานวิจัยของอาจารย์เรื่องสึนามิก็มีด้วย พอดีอาจารย์สอนฟลูอิดสำหรับวิศวโยธา ส่วนผมเครื่องกลเลยไม่ได้เรียนกับท่าน เดี๋ยวผมจะหาข้อมูลของใบพัดมาเปรียบเทียบให้ดูเเล้วกันครับ แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 54 23:11:26 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 12:53:06 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 12:39:30 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 11:14:52 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 11:11:50 จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 11:11:02

ความคิดเห็นที่ 21 ผมเองก็จบมาด้านวิศวกรรมเคมี เรื่อง fluid ก็พอถูๆไถๆ ที่คุณต้นกลเรือกล่าวไว้ก็ถูกต้องครับ ถ้ารัฐบาลดำเนินการโดยกำหนดขอบเขตไว้ตามนั้น คือใช้เพื่อเอาชนะ loss ตามคอสะพาน ประตูน้ำ หรือใช้ในคลองเพื่อทำ By pass กระแสน้ำ แต่ที่หน้ากังวลคือ ทางรัฐบาลจะวางเรือไว้ตามนั้นหรือเปล่าครับ เพราะเท่าที่ดูจากข่าว เห็นวางแบบมั่วๆยังไงไม่ทราบครับ หรือภาพข่าวที่ผมเคยเห็นจะเก่าเกินไป ถ้าวางไว้ในตำแหน่งที่ถูก อย่างน้อยก็ยังพอได้งานบ้าง แต่ถ้าใช้เรือผิด วางผิด นี่เหมือนโปรยตังค์ไปกับกระแสน้ำเลยครับ จากคุณ : ปลงไม่ตกซะที เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 11:36:29

ความคิดเห็นที่ 22 กลัวเขาหาว่าเอาเท้าราน้ำ ไม่ออกความเห็นดีกว่า ถ้าอยู่ทางเครื่องกลก็ออกวิทยานิพนธ์ ป. โท ไปเลย ศึกษาทาง CFD เลย ไม่ยากหรอกแค่นี้ ซอฟแวร์อย่างแอนซี๊ด หรือคอมโชน น่าจะทำได้ จากคุณ : AnotherPractitioner เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 12:37:44

ความคิดเห็นที่ 23 เท่าที่ทราบ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ได้กล่าวไว้ชัดเจนนะครับ ว่าการใช้เรือดันน้ำที่ปากแม่น้ำกว้างๆ อย่างแม่น้ำเจ้าพระยา อาจจะไม่ค่อยได้ผล แต่หากทำที่แม่น้ำสายแคบๆ จะสามารถช่วยเร่งการดันน้ำเพิ่มได้ถึง 30% สรุป... ผมเชื่อว่าการใช้เรือดันน้ำถือว่าเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยได้ แต่ควรเลือกจุดที่จะนำเรือไปดันน้ำครับ.... ปล. รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกลศาสตร์ของไหลอันดับต้นๆ ของเมืองไทยนะครับ จากคุณ : BBcool เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 12:44:20

ความคิดเห็นที่ 24 สรุป คือ ต้องใช้ในที่แคบๆ หรือที่ตื้นๆ หรือไม่มีที่แบบว่าทั้ง2อย่าง อะครับ แล้วทางนี้ยังไม่สรุป ทางคนที่จะเอาไปใช้ เค้าสรุป จะเอาไปใช้ตรงไหนกัน แล้วจะลดได้แค่1มิล หรือเปล่า แล้วคุ้ม หรือเปล่า จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 13:43:31

ความคิดเห็นที่ 25 มาแล้วครับ เรือดันน้ำที่คลองลัดโพธิ์ ตามคำร้องของสมาชิกพันทิปและนักวิชาการ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11182204/X11182204.html จากคุณ : นะนะ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 14:42:09

ความคิดเห็นที่ 26 #20 เรือใหญ่ก็ไปตามแม่น้ำใหญ่สิครับ แล้วก็ส่งต่อให้เรือเล็กเข้าไปตามบ้าน เพราะตอนนี้รถบรรทุกเ้ข้าไม่ถึงในหลายพื้นที่นะท่าน ลองดูในข่าวนะท่าน เอาเรือเล็กๆจำนวนมากมาผูกติดกันแล้วดันน้ำ สู้เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยปัญญา จากคุณ : ม้าหงอย เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 14:27:09

ความคิดเห็นที่ 27 มาช้าแต่ยังดีกว่าไม่มา ต่อจาก #3 ครับ ผมอยากให้แยกประเด็นเรื่องพฤติกรรมของการไหลหลังใบจักรเรือ ที่ถกเถียงว่าเป็น แบบ Jet หรือเป็น แบบ Surface Gravity Wave ออกจากประเด็นที่ว่า ลำน้ำใหญ่ หรือเล็ก แล้วการใช้เรือดันน้ำได้ผลต่างกันนะครับ เพราะเรื่องหลังเนี่ย ก๋วยเตี๋ยวน้ำชามใหญ่เล็กขนาดต่างกัน  ใส่พริกช้อนเท่ากันหนึ่งช้อน  มันก็เผ็ดไม่เท่ากันอยู่แล้ว ตามสามัญสำนึก ประเด็นพฤติกรรมการไหลของน้ำหลังใบจักรเนี่ย ผมเข้าใจว่าใบจักรเรือ จะอยู่ในลำน้ำใหญ่ หรือลำน้ำเล็ก มันก็ทำงานไม่ต่างกัน เวลาพิจารณาที่ตำแหน่ง Far Field ถึงใบจักรเรือ อยู่ใต้น้ำไม่มาก ดังนั้นในช่วง Zone of Establishment (ZEF) ขอบบนของอาณาเขต slipstream มันก็จะถูกกำหนดโดย Free Surface ของผิวน้ำ เกิดเป็น Surface Gravity Wave บ้าง แต่ถ้าพิจารณาอนุภาคของน้ำในระดับที่ต่ำลงมา ตั้งแต่เสมอใบจักร หรืระดับที่ลึกกว่านั้น Flow ใน Spiral Slipstream มันก็เ็ป็นไปตามรูปข้างล่างอยู่แล้ว ตราบเท่าที่มันไม่ถูกรบกวนโดยขอบเขตของลำน้ำ ผมถึงคอมเมนต์จขกท. ว่ามันไม่ถูกต้องที่จะบอกว่า อนุภาคน้ำ จะหมุนวนเป็นวงรีอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน คือส่วนผมก็ไม่เคยเรียน Hydraulic, Irrigation มาโดยตรง แต่ผมอ่านพวก Hydrodynamics, Ocean Mechanics, Propeller Design มาบ้าง รวมทั้งเอกสารนี่ด้วย Turbulence Jet: Theory and Models ซึ่งผมว่า เขียนใกล้เคียงกับเคสนี้ที่สุดแล้ว http://www.tvrl.lth.se/fileadmin/tvrl/files/vvr176/lecture5.pdf ลองตรวจสอบ สูตรของ Albertson et al. 1948 ดูด้วยครับ ผมว่า ที่อธิบายว่า อนุภาคน้ำมหาศาลที่อยู่ไกลออกไป กระแทกและผลักอนุภาคของน้ำที่ถูกใบจักรขับให้กลับสวนมาเป็นวงรีไม่รู้จบ แล้วสูตรข้างบน มันจะใช้งานได้อย่างไร? แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 54 04:25:22 แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 01:07:34 จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 01:01:50

ความคิดเห็นที่ 28 จากคำอธิบายของจขกท. ดูเหมือนจะพยายามสื่อว่า flow rate หลังใบจักร ที่ไกลออกไปนั้น ไม่เพิ่มแล้ว เพราะน้ำช้ามากมายที่อยู่ไกลออกไปคอยบล๊อคอยู่ สุดท้ายเกิดแต่คลื่น วนเป็นวงรีอยู่นิ่งๆ และคนไม่รู้เห็นคลื่นวิ่งออกไปเรื่อยๆ ก็ว่าถูกหลอก มันไม่ได้เพิ่ม flow rate เลย แต่ผมจะพูดอีกอย่างว่า flow rate น่ะมันเพิ่ม แต่มันอยู่ใต้ผิวน้ำซึ่งมองไม่เห็น ส่วนคลื่นที่เห็นน่ะ มันเป็น loss ของใบจักร และมันเป็นคนละประเด็นกับ flow rate ที่เพิ่มขึ้นเลย ไม่น่าจะเอามาเชื่อมโยงกัน ลองดูรูป Wake ท้ายเรือ ประกอบกับ Diagram ข้างบน แล้วพิจารณาอีกทีละกันครับ จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 01:27:59

ความคิดเห็นที่ 29 ส่วนที่ จขกท.กล่าวว่า "ถ้าพลังงานกล (จากใบจักร) มีขนาดน้อยมากเมื่อเทียบกับพลังงานจลน์ที่เกิดจากความต่างศักย์ระหว่างต้นน้ำกับปลายน้ำ ผลที่ได้เมื่อเทียบกับการไหลโดยธรรมชาติ จะมีนัยยะสำคัญน้อยมาก และเป็นผลเฉพาะที่ (local effects) เท่านั้น" ผมเห็นด้วยครับ ถ้าใบจักรทำให้อัตราการไหลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไม่มีนัยสำคัญ ทั้งๆ ที่ระดมค่าใช้จ่ายเรือไปมากมาย อย่างนั้นวิธีนี้ก็ไม่คุ้มค่า ใช้การไม่ได้ แต่จะทราบได้อย่างไรว่าไม่มีนัยสำคัญเลย ถ้าไม่กดเครื่องคิดเลขดู ด้วยข้อมูล Input ถูกต้อง ที่จะใช้งาน ผมเป็นคนแรกๆ ในกระทู้เก่าๆ ที่ลองเคาะตัวเลขดู ครั้งแรกสุดเลยผมเคาะเล่นๆ ไว้ที่ประมาณ 30 ลำ สำหรับเจ้าพระยา ซึ่งมันก็ทำไม่ได้ในทางปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่า 30 ลำ ไม่ได้ แค่10 ลำ จะช่วยบ้างไหม  อันนั้นผมก็ไม่แน่ใจ เพราะมันเป็น Grey Area แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 02:47:45 จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 01:57:01

ความคิดเห็นที่ 30 เรื่องทดสอบอนุภาคของน้ำจริงๆ ก็คงเป็นการยาก ไม่ได้กินเบียร์ฟรีง่ายๆ เพราะลูกบอลพลาสติก ทำได้แค่ประมาณความเร็วของกระแสน้ำรอบๆ ลูกบอล ส่วนสีหรือ ไอโอดีน มันก็มองไม่เห็นอยู่ดี มันละลายหมด จางหมดที่ท้ายใบจักร ดูไม่ทัน และดูไม่ออก เว้นเสียแต่ทำในห้องแลป และสเกลทุกอย่างให้เล็กลง แล้วใช้สารละลายเรืองแสงพิเศษ แต่ก็อีกนั่นแหละ ความสนใจของเรา มันไม่ควรจะอยู่ที่อนุภาคน้ำ เม็ดใดเม็ดหนึ่ง แต่คือ ความเร็วน้ำเฉลี่ยตลอดหน้าตัดของลำน้ำซึ่งก็คือ อัตราการไหล ว่าเพิ่มขึ้นมีนัยสำคัญหรือไม่ และยั่งยืนไปไกลขนาดไหน ส่วนรูปคลื่น ที่เอามาลง ของ Dr. Daniel A. Russell อันนั้นเป็นรูปของคลื่นน้ำจากการผสมคลื่นตามยาวและขวาง ไม่ได้เป็นคลื่นผสมกับกระแสน้ำ หรือ Flow จาก Jet นะครับ http://www.ffn.ub.es/~albert/ones/wavemotion.html คลื่นแบบที่มีแต่คลื่นล้วนๆ ไม่มีกระแสน้ำ (อัตราการไหล) แบบนี้ สร้างด้วยใบจักรไม่ได้ครับ ต้องสร้างจาก แผงกำเนิดคลื่น อย่างในรูป ถ้าเปลี่ยนมาใช้ใบจักรปั่นใต้ผิวน้ำ เล็กน้อย มันจะได้ทั้งคลื่นและ Jet จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 02:44:17

ความคิดเห็นที่ 31 และนี่คือ ทิศทางการคลื่นที่ของอนุภาคน้ำแบบคร่าวๆ เวลาปล่อย Jet ที่ใต้ผิวน้ำอย่างที่ควรจะเป็น ในร่องน้ำที่ตื้นซึ่งจะมีการไหลวนใต้น้ำอยู่ในช่วงห่างจากใบจักรไม่มากในตอนแรก แต่เป็นคนละเรื่องกับ Surface Gravity Wave แน่นอน อัตราการไหล จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางห่างออกมาจากแหล่งกำเนิดของ jet จนกระทั่งมันถูกบังคับโดยขอบเขตของลำน้ำ ในทางกลับกัน Energy flux หรือ Momentum flux มัน ก็ลดลงเรื่อยๆ แต่ทว่า เราก็สนกันที่อัตราการไหลมากที่สุด อยู่ดี ที่มา http://faculty.ksu.edu.sa/Samir%20Ead/Papers/Surface%20Jets%20in%20Shallow%20Tailwater.pdf จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 04:29:54

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณ คุณ Sgt.Oat ที่ช่วยอธิบายการไหลหลังใบจักรเรือแบบ Jet ผมไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับทฤษฎี Spiral Slipstream แต่ขนาดของ Jet Stream ที่เกิดจากเรือหางยาว หรือแม้แต่เรือใหญ่ในลำน้ำเจ้าพระยา แทบจะไม่มีผลอะไรกับมวลส่วนใหญ่ของแม่น้ำ ประเด็นที่ผมพยายามแนะให้คิด คือ เราต้องไม่หลง Scale ของสิ่งที่เราทำอยู่ ขนาดของลำน้ำใหญ่หรือเล็กมีความสำคัญมาก เพราะเรือที่นำมาดันคลองต้นโพธิได้ผล เพราะขนาดพื้นที่หน้าตัดคลองไม่ได้ใหญ่หลวงอะไรเทียบกับเรือ แต่เอาเรือมาดันแม่น้ำเจ้าพระยา แม้จะทำให้เกิด Spiral Slipstream ที่หลังใบจักร ก็มีผลน้อยมากต่อการพามวลของน้ำส่วนใหญ่ให้เคลื่อนที่ไปได้ เรากำลังพูดถึงพริกว่า ถ้าใส่ชามก๋วยเตี๋ยวก็คงมีผลให้เผ็ดขึ้น แต่ถ้าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แม้เผ็ดแค่ไหน ก็ไม่มีผลเป็นนัยสำคัญต่อน้ำในแม่น้ำ เสียดาย คนระดับปฏิบัติการบางคน ไม่เข้าใจโจ่ทย์ ไม่เข้าใจบริบทของความเป็นจริง พยายามใช้น้ำพริกที่อยู่ในชามก๋วยเตี๋ยว มาอธิบายกับน้ำในแม่น้ำ คุณถามว่า "ทราบได้อย่างไรว่าไม่มีนัยสำคัญเลย ถ้าไม่กดเครื่องคิดเลขดู ด้วยข้อมูล Input ถูกต้อง ที่จะใช้งาน" ผมเอาการคำนวณง่ายๆของคุณ Sungod มาให้ลองพิจารณาดู (ถ้ากำลังกลจากเรือ พาน้ำไปถึงปากอ่าวได้จริง) ."..ถ้าเอาตามตัวเลขที่ รมต.กระทรวงเกษตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวาน ที่คาดการณ์ว่าปริมาณการไหลของน้ำจะเพิ่มเป็นมากกว่า 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หลังจากเขื่อนภูมิพลต้องระบายน้ำออก (นับที่นครสวรรค์ ไม่นับฝนตกสะสมหลังจากจุดนี้) เท่ากับมีปริมาณน้ำ 432,000,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ...และถ้าเอาตัวเลขของคุณ ต้นกลเรือ ที่คำนวณว่า เรือของกองทัพเรือขนาดใหญ่สามารถช่วยระบายน้ำได้เพิ่มขึ้น 420,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน (เรือที่กองทัพเรือใช้อยู่น่าจะดันน้ำออกได้ชั่วโมงละ 70,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงและเดินเครื่องได้แค่วันละ 6 ชั่วโมง) เท่ากับช่วยได้ 0.1% ของปริมาณน้ำที่ไหลผ่านนครสวรรค์ หรือเทียบง่ายๆแบบคร่าวๆ โดยไม่รวมปริมาณฝนตกจากที่อื่นๆ ว่า น้ำที่ท่วมสูง 1 เมตร ก็จะลดลงจากเดิม 1 มิลลิเมตร ครับ” แล้วอย่างนี้ ไม่ใช่ตำพริกละลายแม่น้ำหรือครับ จากคุณ : วิศวกรอาวุโส เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 15:35:15 A:203.159.2.253 X: TicketID:332863

ความคิดเห็นที่ 33 บ่อกุ้งพื้นที่3ไร่ ใส่แอร์เจ็ท 2ตัว ใบพัดโตประมาณ 2นิ้ว น้ำยังเวียนรอบบ่อ ใบจักรเรือตั้ง60-70นิ้ว แนวเพลาใบจักร ชี้ลงเล็กน้อย เอาเรือเข้าแถวสัก 3 แถว ขวางแม่น้ำ ห่างกันประมาณ 500เมตร น่าจะเพิ่มความเร็วน้ำได้หลายเท่า จากคุณ : พบ หนทาง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 18:53:00 A:118.172.245.70 X: TicketID:106387

ความคิดเห็นที่ 34 ผมว่าข้อมูลของคุณ Sungod ยังไม่ครบถ้วน โอเค ระบุมาว่า อัตราการไหล หลังเขื่อนภูมิพล มีมากกว่า 5000 ลบ.ม.ต่อวินาที แต่ไม่ระบุนะครับ การจะป้องกันน้ำท่วม ในจุดที่สนใจ ต้องคุมอัตราการไหลให้ ต่ำกว่า กี่ ลบ.ม.ต่อวินาที ถ้าตั้งเป้าว่า จะระบายน้ำ 5000 ลบ.ม.ต่อวินาที ให้ได้จริงๆ นั่นเท่ากับทำเกินไปหรือเปล่า? เพราะน้ำจากต้นทางจะเหือดหายวับ เห็นแต่ก้นแม่น้ำแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ส่วนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือเปล่า ด้วยผลคำนวณของคุณต้นกลเรือ ผมก็คอนเฟิร์มให้ไม่ได้ เพราะเขาก็มีสมมติฐานด้วยทฤษฏีสูบน้ำต่างระดับของเขา (ถ้ากลับไปดูรายละเอียดที่เขาแสดงไว้ในกระทู้เก่า) ซึ่งผมไม่เชี่ยวชาญ แต่ข่าวเมื่อ 2 ชม.บอกว่า การใช้เรือในแม่น้ำเจ้าพระยาตรงสมุทรปราการ สามารถเพิ่มอัตราการไหลได้ถึง 5 ล้านลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งถ้าไม่มีตรงนี้ ปล่อยให้ไหลตามธรรมชาติ จะเป็นอย่างไร? มันต่างกันราว ครึ่งไม้บรรทัดเลยใช่หรือเปล่า? จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 22:51:22

ความคิดเห็นที่ 35 ผมกำลังไปหาหนังสือวิศวกรรมชลศาสตร์มาอ่านครับ จะได้เชื่อมโยงทฤษฎีกันได้ แต่ตอนนี้ขอยกของในบ้านหนีน้ำก่อนครับ อีกสองวันคงเสร็จ ตอนนี้ผมไปลากเรือสปีดโบ้ทมาจากบ้านที่สามพรานรอรับน้ำท่วมแถวนนทบุรีอยู่ ถ้าเกิดอุบัติเหตุท่วมขึ้นมาจริงๆจะได้ช่วยเหลือกันได้บ้าง ผมยังพอมีความเชื่อมั่นอยู่บ้าง รูป Effect ของ mixer ขนาดไม่กี่กิโลวัตต์มันให้ผลในการผสมน้ำได้พอสมควร จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 23:58:50

ความคิดเห็นที่ 36 ค.34 ประเด็นในข่าวที่บอกว่าเพิ่มอัตราการไหลได้ถึง 5ล้าน ลบ.ม. นั้น ผมไม่ได้ดูรายละเอียดในข่าวนะครับ แต่คิดเฉยๆว่า นั่นคือค่าที่ได้จากการใช้เรือผลักดันอย่างเดียวรึป่าว หรือรวมค่าการระบายของกระแสน้ำตามธรรมชาติและการระบายของกรลประทานเข้ามาด้วย จากคุณ : konggy เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 20:06:07 A:61.90.116.101 X: TicketID:266682

ความคิดเห็นที่ 37 ที่ จขกท. บอกว่า สำหรับแม่น้ำยาวๆ มันไปได้ไม่ไกลมันก็จะหมดแรงซะก่อน. แต่ที่มันหมดแรงเพราะมันถูกน้ำปลายๆ ต้านอยู่ใช่ไหม, แต่ตอนที่ต้านกัน ไอ้น้ำปลายๆ มันก็จะรับแรงต่อไปไงครับ เพราะ action = reaction, ถึงแม้ต้นน้ำจะอ่อนแรงลง แต่นั่นเพราะมันส่งแรงต่อให้ปลายน้ำ หรือ ถูกปลายน้ำดูดซับแรงไป ดังนั้น ปลายน้ำที่ดูดซับแรงไปก็จะมีความเร็วเพิ่มขึ้นแทน. ยังไง momentum เฉลี่ยรวมทั้งระบบก็ต้องเท่าเดิม ไม่งั้น momentum มันจะหายไปไหนได้. ยังไงถ้าเป็นการดันน้ำจากที่สูงสู่ที่ต่ำ มันก็ควรจะได้ผล แปรผันตามสัดส่วนของพลังงานที่ใช้ไป, โดยไม่เกี่ยวกับว่า แม่น้ำใหญ่ เล็ก ลึกตื้น. จากคุณ : อานนท์ ศรีเจริญชัย เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 54 17:16:56

ความคิดเห็นที่ 38 ตอบ ค.36 "เฉพาะที่ใช้ กทม.เป็นทางผ่านระบายน้ำจะระบายน้ำได้ปริมาณเท่าไหร่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คาดว่าจะระบายได้วันละ 150 ล้านลูก บาศก์เมตร และเมื่อรวมกับการใช้เรือดันน้ำแล้ว จะได้วันละ 200 ล้านลูกบาศก์เมตร" http://m.thairath.co.th/content/pol/210720 200 - 150 = 50 ล้านลูกบาศก์เมตร ไม่รู้เหมือนกันว้าอัดกำลังลงไปในเรือ รวมกันกี่ MW แล้ว จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 54 22:47:26

ความคิดเห็นที่ 39 แล้วรูปใน ค.31 Fig.1 ตรงใต้ jet stream ละครับ ที่แม่น้ำมีระดับความลึกมากๆ eddy loss ตรงนั้น จะมากน้อยแค่ไหน จากคุณ : konggy เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 54 00:32:39 A:58.9.189.117 X: TicketID:266682