Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
@ น้ำท่วม ทำเลที่ตั้งเมือง และการจัดการน้ำในเมืองโบราณของไทย [ย้ายจาก : ] ติดต่อทีมงาน

ขอยกบทความจากนักศึกษา ปริญญาโท คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร ชื่อนายสิทธารถ ศรีโคตร มาให้อ่าน..

เนื่องจากเห็นว่ามีประโยชน์ สำหรับผู้ที่อยากทราบว่า อยุธยาของเรา ทำไมจึงเกิดน้ำท่วมมากมายขนาดนี้

และเอ่ยถึงพิธีไล่น้ำ ที่พวกเราสงสัยใคร่รู้ว่าความเป็นมาเป็นเช่นใดด้วยค่ะ (เห็นทะเลาะกันจนจ่าเอาไปเม้าท์แล้ว - -')

http://goo.gl/Eksyz

ป.ล. หากเห็นว่าไม่ตรงห้อง กรุณาอย่าแจ้งลบ แค่บอกให้ย้ายก็น่าจะพอ
ขอบคุณค่ะ

----------------------------------------------------------

"...บริเวณอื้ออลด้วยชลธี  ประดุจเกาะอสุรีลงกา..."



นี่เป็นวลีที่เลื่องชื่อที่สุดที่ใช้อธิบายสภาพพื้นที่ของกรุงศรีอยุธยาวลีหนึ่ง ซึ่งคัดมาจาก "เพลงยาวนิราศเสด็จไปตีเมืองพม่า" ที่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) พระอนุชาธิราชในรัชกาลที่ 1 ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ใน  เมื่อ พ.ศ. 2336...



ในเกาะเมืองอยุธยาในยามฤดูน้ำหลากนั้น ภายนอกเกาะน้ำจะเอ่อท่วมจนเหมือนทะเล แต่ภายในเกาะเมืองน้ำจะไม่ท่วม จะลอยอยู่ประดุจเป็นเกาะกลางทะเล ดังเช่นที่เปรียบเปรยไว้ในคำประพันธ์ข้างต้นครับ... ซึ่งภาพวาดกรุงศรีอยุธยาของชาวตะวันตกบางภาพก็สามารถสะท้อนภาพดังกล่าวได้เป็นอย่างดีครับ...



เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องด้วย ตัวเกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ศัพท์ทางภูมิศาสตร์ (ซึ่งทางโบราณคดียืมมาใช้...555555+) เรียกว่า "สันดินธรรมชาติริมลำน้ำ" (Natural Levee) ซึ่งอยู่สูง เป็นที่ดอนและน้ำจะไม่ท่วม โดยที่นอกจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว เมืองโบราณหลายๆเมืองในสมัยก่อน ก็นิยมสร้างอยู่ในพื้นที่สันดินธรรมชาติริมลำน้ำนี้ เช่น เมืองพิมาย เมืองลพบุรี  เมืองสุพรรณบุรี เมืองกำแพงเพชร เมืองพิษณุโลกสองแคว เมืองพิชัย เมืองฝาง เวียงหริภุญชัย เมืองนครลำปาง เวียงกุมกาม เวียงเชี่ยงแสน ฯลฯ  ซึ่งหากมิเลือกสันดินธรรมชาติริมลำน้ำแล้ว  ก็ยังมีอีกพื้นที่หนึ่งที่ผู้คนในสมัยโบราณนิยมไปตั้งเมืองก็คือ บริเวณ "ลานตะพักลำน้ำ" (Terrace) ซึ่งจะอยู่ในพื้นที่ดอนสูง ถัดออกไปไกลจากลำน้ำ และที่ราบน้ำท่วมถึง (Flood Plain) เมืองที่ตั้งอยู่บนลานตะพักลำน้ำ ก็เช่น เมืองพระนครในกัมพูชา เมืองสุโขทัย เมืองพะเยาเก่า เมืองเชียงใหม่ เมืองบางพาน เมืองทุ่งยั้ง  เมืองเสมา และเมืองโบราณที่ร่วมสมัยทวารวดีเกือบทั้งหมดครับ...

เมืองที่ตั้งบนลานตะพักลำน้ำนั้นในฤดูแล้งมักจะมีปัญหาขาดแคลนน้ำ ดังนั้นจึงจะต้องมีการสำรองน้ำไว้ใช้ด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำ(สรีดภงค์ในเมืองสุโขทัย) หรือ ชักน้ำจากลำธารสายรองเข้ามาในเมือง(เมืองเชียงใหม่) เพื่อลดการพึงพาน้ำจากแม่น้ำสายหลักครับ (ในกรณีเมืองเชียงใหม่จะมีกฏห้ามตัดไม้บนดอยสุเทพ เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งต้นน้ำที่จะใหลเข้ามาหล่อเลี้ยงเมือง ถึงขนาดมีความเชื่อกันว่า หากตอนดึกสงัด หากอยู่ในกำแพงเมืองเชียงใหม่แล้วไม่ได้ยินเสียงน้ำตกที่เชิงดอยสุเทพ ถือว่าบ้านเมืองจะล่มจมครับ)

ซึ่งในกรณีของกรุงศรีอยุธยา นอกจากพื้นที่ตั้งจะอยู่ในที่ดอนริมลำน้ำตามธรรมชาติแล้ว ชาวอยุธยายังได้ขุดคันดินสูงกว่า 2-3 เมตร เสริมเป็นพนังกันน้ำก่อนที่จะปักเสาไม้ระเนียดด้านบนเพื่อใช้ประโยชน์เป็นกำแพงเมืองอีกประการหนึ่ง (อ้างอิงตามเอกสารของเฟอร์นังด์ เมนเดส ปินโต ทหารรับจ้างชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช และต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงได้ทรงสร้างกำแพงพระนครอย่างใหม่ด้วยการก่ออิฐถือปูน ทั้งนี้เพื่อให้กำแพงมีความแข็งแรงพอที่จะทนทานต่อแรงกระแทกจากกระสุนปืนใหญ่อันเป็นเทคโนโลยีสงครามรูปแบบใหม่ได้นั่นเอง)
นอกจากนั้นก็ได้มีการขุดคลองจำนวนมากในเขตเกาะเมือง (โดยเฉพาะคลองที่ขุดตามแนวเหนือ-ใต้) เพื่อให้น้ำที่ไหลหลากมาจากทางตอนเหนือ ไหลผ่านตัวเมืองไปโดยสะดวกโดยไม่ท่วมขัง เคยมีผู้คำนวณไว้ว่าในเขตพื้นที่เกาะเมืองกรุงศรีอยุธยาที่มีพื้นที่ประมาณ 5,000 ไร่นี้ เคยมีเครือข่ายคลองโยงใยอยู่ภายในที่มีความยาวถึงกว่า 120 กิโลเมตร...!!! ... เช่นนี้สมญา "เวนิสตะวันออก" จึงตกแก่นครแห่งนี้ด้วยประการฉะนี้  

ในส่วนพิธีไล่น้ำ ที่ปรากฏเป็นข่าวเป็นคราวกันนั้น มีปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธี 12 เดือน ที่เคยมีมาแต่สมัยบ้านเมืองยังดีครั้งกรุงศรีอยุธยา บางที ก็เรียกว่า “พิธีไล่เรือเถลิงพิธีตรียัมพวาย” พิธีนี้ จะจัดขึ้นในเดือนอ้าย (ตกประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม) อันเป็นฤดูน้ำหลาก  ส่วนขั้นตอนของการประกอบพิธีนั้นกล่าวกันว่า พระเจ้าแผ่นดินต้องลงประทับเรือพระที่นั่ง พร้อมด้วยพระอัครมเหสีลูกเธอ หลานเธอ และขุนนางผู้ใหญ่ตามเสด็จเป็นขบวนใหญ่
โดยขบวนเสด็จพยุหยาตราชลมารคจากพระนครศรีอยุธยาแล้วล่องตามลำแม่น้ำลงไปทางทิศใต้ เมื่อล่องเรือไปถึงสถานที่ที่กำหนดก็ทำพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาก่อน เช่น ตั้งเครื่องบัดพลีทำพิธีเรียกขวัญสู่ขวัญแม่พระคงคา มีการร้องลำนำเห่กล่อม หลังจากนั้นพระเจ้าแผ่นดิน “เสด็จออกยืน” กลางเรือพระที่นั่ง แล้วทรงถือ “วาลวิชนี” (พัดโบก) ซึ่งก็หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ โบกไปมาเหนือลำน้ำโดยจะโบกในลักษณะจากเหนือลงใต้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้พัดที่ทรงถือและโบกนั้นขอให้เกิดลมมาพัดกระแสน้ำให้ไหลลงทะเลเร็วๆ น้ำจะได้ลดลงนอกจากนี้แล้วในการประกอบพิธีก็อาจจะมีการใช้พระแสงดาบฟาดฟันสายน้ำให้ขาด เพื่อเร่งรัดให้น้ำลดลงอีกด้วย ดังที่ปรากฏอยู่ในคำให้การขุนหลวงหาวัดว่า “พิธีไล่เรือ” หรือ “ไล่น้ำ”

แต่ก่อนนั้นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จทรงเรือพระที่นั่งในเวลาน้ำขึ้น “รับสั่งให้น้ำลด แล้วทรงพระแสงฟันลงไป น้ำก็ลดตามพระราชประสงค์” ที่ต้องมีพิธีเช่นนี้ก็เพื่อไล่น้ำที่ท่วมท้องทุ่งให้ราษฏรได้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวในนาที่กำลังสุกพอดีเกี่ยวครับ อนึ่ง พิธีนี้ไม่ได้ทำกันทุกปีนะครับ แต่จะทำกันเฉพาะในปีที่เกิดน้ำหลากลงมากเกินจนสร้างความเสียหายแก่นาข้าวครับ พิธีกรรมนี้อาจจะช่วยไล่น้ำไม่ได้จริง แต่ก็นับว่าเป็นพิธีที่สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ราษฎรในสมัยก่อนเป็นอย่างมากครับ


แม้กรุงศรีอยุธยาจะตั้งอยู่บนสันดินธรรมชาติริมลำน้ำทำให้น้ำไม่ท่วมในบริเวณเกาะเมือง แต่ก็ใช่ว่าทุกเมืองที่ตั้งอยู่บนสันดินธรรมชาติริมลำน้ำจะรอดพ้นจากการถูกน้ำท่วมเสมอไป เพราะต้องพิจารณาถึงสภาพของสันดินธรรมชาตินั้นด้วยว่ามีความคงตัวและสูงพอที่จะตั้งเมืองได้ฤๅไม่ ซึ่งเมืองโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ตั้งบนสันดินธรรมชาติริมน้ำที่ไม่คงตัวและไม่สูงพอจนเกิดปัญหา น้ำท่วมซ้ำซากจนต้องละทิ้งเมืองไป ก็คือ “เวียงกุมกาม” ครับ

เมืองนี้เป็นเมืองโบราณที่พญามังราย ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1829 โดยโปรดสร้างเมืองในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความยาวประมาณ 850 เมตร ไปตามแนวทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และกว้างประมาณ 600 เมตร ตัวเมืองยาวไปตามลำน้ำปิงสายเดิมที่เคยไหลไปทางด้านทิศตะวันออกของเมือง และให้ขุดคูเวียงทั้ง 4 ด้านโดยให้ระบายน้ำจากแม่น้ำปิงให้เข้าขังในคูเมือง (ดังนั้นในสมัยโบราณตัวเวียงกุมกามจะตั้งอยู่บนฝั่งทิศตะวันตกหรือฝั่งเดียวกับเมืองเชียงใหม่ แต่เชื่อกันว่าเนื่องจากกระแสของแม่น้ำปิงเปลี่ยนทิศทาง จึงทำให้เวียงกุมกามเปลี่ยนมาตั้งอยู่ทางฝั่งด้านตะวันออกของแม่น้ำดั่งเช่นปัจจุบัน) ถือเป็นเวียง (เมือง) ทดลองที่สร้างขึ้น ก่อนที่จะมาเป็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีระยะห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพียงประมาณ 5 กิโลเมตร


เวียงกุมกามนี้ ได้สร้างขึ้นในช่วง 2 ปีหลังจากที่พญามังรายได้ทำสงครามพิชิตกองทัพของพญายีบา พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของอาณาจักรหริภุญชัย และได้ทรงพำนักอยู่ในนครหริภุญชัย (ลำพูน) ในฐานะเป็นนครหลวงแห่งใหม่ของอาณาจักร แต่ทรงมีพระราชดำริที่จะทรงสร้างนครหลวงแห่งใหม่ขึ้นทดแทนนครหริภุญชัย ซึ่งเมืองนั้นก็คือ “เวียงกุมกาม” ทั้งนี้เพื่อให้นครแห่งนี้เป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของอาณาจักรของพระองค์ที่อยู่ในฐานอำนาจของพระองค์อย่างแท้จริง โดยมีการจำลองเอารูปแบบการตั้งเมือง และจำลองเอาพระบรมธาตุสำคัญ (คือ พระธาตุกู่กุด) ของเมืองหริภุญชัย ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางในถูมิภาคแอ่งเชียงใหม่ลำพูนนี้มาก่อน มาไว้ยังเวียงกุมกามด้วย แต่ถึงกระนั้น การณ์ก็หาได้เป็นไปตามพระราชประสงค์
เนื่องด้วยเวียงแห่งใหม่ที่ทรงสร้างขึ้นนั้นมีน้ำท่วมเมืองอยู่เสมอ ซึ่งเราได้ทราบความจากจารึกวัดเชียงมั่น ในเมืองเชียงใหม่ว่า เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าวนี้ พญามังรายจึงทรงต้องไปปรึกษาพระสหาย นั่นก็คือ พญาร่วงแห่งนครศรีสัชชนาลัยสุโขทัย และ พญางำเมืองแห่งพะเยา หลังจากทรงปรึกษากันกับพระสหายแล้ว จึงทรงตัดสินพระทัย ละทิ้งเวียงกุมกาม ไปหาพื้นที่สร้างนครหลวงแห่งใหม่ ในที่สุดจึงได้พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของนครพิงค์เชียงใหม่เป็นนครหลวงแห่งใหม่ ใน พ.ศ. 1839 และเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาต่อมา จวบจนถูกรวมเข้ากับสยามในสมัยรัชกาลที่ 5  


อนึ่ง มีเรื่องราวปรากฏในพงศาวดารเหนือว่า พญามังรายแห่งเชียงราย, พญาร่วงแห่งสุโขทัย (ซึ่งน่าจะเป็น บุคคลที่ทางฝ่ายสุโขทัยเรียกว่า “พญารามราช” หรือ “พ่อขุนรามคำแหง”) และพญางำเมืองแห่งพะเยา ได้เป็นสหายกันมาตั้งแต่ครั้งเดินทางจากหัวเมืองเหนือ มาศึกษาวิชาสำหรับกษัตริย์ (จะเรียกว่าเป็นมหาวิทยาลัยสำหรับลูกเจ้าที่จะครองแผ่นดินก็ว่าได้ครับ) ที่สำนักมหาฤๅษี ที่เขาสมอคอน แถบเมืองละโว้ (ลพบุรีในปัจจุบัน) อันเป็นเมืองศูนย์กลางของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างที่อยู่ภายใต้อารยธรรมเขมรที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อนเป็นเวลานานนั่นเอง (ก็ถ้าจะอธิบายด้วยภาษาปัจจุบันก็คือ ทั้งสามพระองค์เป็นนักเรียนนอก ที่’เด็จพ่อ ‘เด็จแม่ สงมาเรียนยังสถาบันการศึกษาในต่างประเทศที่เมืองละโว้ ซึ่งสมัยนั้นก็คงมิต่างจากอ็อกซ์ฟอร์ด, ซอร์บอนน์หรือคอร์แนลในสมัยนี้กระมังครับ ... 5555555555555+)
ซึ่งเมื่อทั้งสามพระองค์สำเร็จการศึกษาจากเมืองละโว้แล้ว ก็ทรงแยกย้ายกลับไปปกครองบ้านเมืองของแต่ละพระองค์ ซึ่งพอพญามังรายจะทรงสร้างนครหลวงใหม่ ปรากฏว่าสมัยเรียนที่ละโว้ ทรงได้เสวย D วิชาการหาทำเลสร้างเมืองหรืออย่างไรก็ม่ายทราบ ปรากฏว่าเมืองที่ทรงสร้างใหม่เกิดน้ำท่วมตลอด ปัญหานี้หนักมากจนต้องเชิญพระสหายที่ได้ A วิชาการหาทำเลสร้างเมือง คือ พญาร่วง และพญางำเมือง มาเพื่อปรึกษาหารือในการสร้างเมืองใหม่ ซึ่งก็คือ นครพิงค์เชียงใหม่   ซึ่งจะสังเกตได้ว่าเมืองสุโขทัย เมืองพะเยาเก่า (ปัจจุบันจมน้ำอยู่ใต้กว๊านพะเยา) และเมืองเชียงใหม่ นั้นสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม คล้ายเมืองพระนครของเขมร ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะ ผู้สร้างสำเร็จการศึกษาวิชาการสร้างเมืองมาจากเมืองละโว้ของเขมร นอกจากนั้น ทำเลในการสร้างเมืองทั้งสามยังตั้งอยู่บน ลานตะพักลำน้ำ (Terrace) ที่เชิงเขา แบบเดียวกับเมืองพระนครอีกด้วย


กลับมาที่เวียงกุมกามครับ ถึงแม้ว่าจะมีการสถาปนานครพิงค์เชียงใหม่แล้ว เวียงกุมกามก็ยังคงมีผู้คน (อดทน) อาศัยอยู่ต่อมาอีกเป็นเวลานาน จากหลักฐานการวิเคราะห์ลำดับชั้นทับถมทางโบราณคดีภายในเวียงกุมกาม พบว่ามีชั้นดินทับถมที่เกิดจากน้ำท่วมหลายชั้น คาดว่าเวียงกุมกามคงจักล่มสลายลงเพราะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2101 - 2317 ซึ่งตรงกับสมัยพม่าปกครองล้านนา พม่าปกครองล้านนาเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงเวียงกุมกามทั้งๆที่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้ น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงมากและสมควรที่จะบันทึกไว้ แต่ก็ไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ใดเลย ผลของการเกิดน้ำท่วมนี้ทำให้เวียงกุมกามถูกฝังจมลงอยู่ใต้ตะกอนดินจนยากที่จะฟื้นฟูกลับมา จนกลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด
สภาพวัดต่างๆ และโบราณสถานที่สำคัญเหลือเพียงซากวิหารและเจดีย์ร้างที่จมอยู่ดินในระดับความลึกจากพื้นดินลงไปประมาณ 1.50 -2.00 เมตร (นึกถึงสภาพดินถล่มที่ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิษฐ์ สิครับ) โดยวัดที่จมดินลึกที่สุดคือวัดอีค่าง รองลงมาคือ วัดปู่เปี้ย และวัดกู่ป่าด้อม แต่อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่า เหตุที่เวียงกุมกามถูกทิ้งร้างนั้นอาจเป็นได้ว่าเกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่าทำให้ผู้คนหลบหนีออกจากเมืองไปก็เป็นได้ครับ



       ซึ่งการเลือกเฟ้นหาพื้นที่ตั้งเมืองนั้น นับแต่โบราณกาลเป็นต้นมา สิ่งที่ผู้คนก็ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงอย่างถึงที่สุดก็คือ “น้ำท่วม” ครับ... อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันก็คงจะไม่มีใครปรารถนาดุจเดียวกันครับ ... ^_^…

แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 54 09:13:29

แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 21:47:29

แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 21:29:39

แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 19:19:07

จากคุณ : ป้าชื่อเห็ดโคน
เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 19:00:21




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com