ความคิดเห็นที่ 1 วิธีแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ได้ผลที่สุด คือ บางระกำโมเดล ตอนนี้น้ำที่บางระกำโมเดล เริ่มลดแล้ว อีก หนึ่งหรือสองเดือน คงแห้ง จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 20:45:53 A:115.87.165.251 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 2 จุดธูปเชิญแตงกวา วันนี้ยังไม่เห็นเลย เธอเป็นตัวแม่เลยในการต่อต้าน มธ. โมเดลลิ่ง จากคุณ : มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 20:50:32

ความคิดเห็นที่ 3 #2 เขาคนนั้นเคยเห็นดีเห็นงามอะไรด้วยหรือครับ เห็นชอบเสียดสีชาวบ้านไปทั่ว จากคุณ : Moonui เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:09:12

ความคิดเห็นที่ 4 แหม.. ถึงว่า ตะหงิดๆๆ มีคนปักธูปนี่เอง เอาแต่รูปไปพิจารณากันเอาเองละกันนะเจ้าคะ ฮิฮิ จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:11:38

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าคันของ มธ.และait ถูกต้องแล้วนะครับ แค่คันดินกั้นได้นานขนาดนั้นก็เก่งแล้ว อีกอย่างน้ำที่มาขนาดนั้นถึงเป็นคันคอนกรีตผมว่าก็ไม่ไหวหรอก ระยะยาวยังไงก็เสร็จ น้ำต้องการที่อยู่ เราไปไล่เค้าบังคับเค้า เค้าก็พยายามอดทน นานๆก็เลยโมโหบ้าง มนุษย์ไม่มีทางชนะธรรมชาติได้หรอกครับ จากคุณ : เขียนบน iPad (hunter43-1) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:12:48

ความคิดเห็นที่ 6 ทำไมไม่มีคนพูดถึง "สุพรรณโมเดล" บ้างล่ะ จากคุณ : .eAT เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:16:22

ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อใดกล่าวคำว่า ธรรมศาสตร์ แล้วหัวเราะ ผู้นั้นไม่รู้จัก ธรรมศาสตร์ จากคุณ : ซุนจื๊อ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:19:50

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบ คห.4 เค้าเสริมด้านล่างเพื่อลดแรงดันน้ำที่กระทำกับคั้นกั้น ซึ่งแรงดันน้ำจะสัมพันธ์กับความลึก หากไม่เข้าใจลองไปหาอ่านในหนังสือ fluid mechanic ,หรือ hydraulics. ครับ ผมอธิบายไม่เก่ง จากคุณ : เขียนบน iPad (hunter43-1) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:26:00

ความคิดเห็นที่ 9 เอาน้ำดันเพื่อลดปริมาณการใช้ทรายลงครับ น้ำมีความถ่วง 1 g/1 ลบ.ซม. ทราย ประมาณ 2 g/1 ลบ.ซม. ประหยัดทรายได้เยอะเลยครับ  และเวลามันดัน มันก็มีสองแบบแหละครับ ทั้งน้ำล้น กับดันใต้พื้น  ที่เขื่อนแตกๆ กัน ก็เพราะน้ำซึมผ่านเขื่อนดินเข้ามา หรือไม่ก็ลอดมา่ช่องมาที่ฐานกระสอบทรายครับ ส่วนที่มันล้น คือส่วนที่คาดไม่ถึงครับ จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:36:34

ความคิดเห็นที่ 10 ความจริงมันคือ ไม่เป็นดั่งใจ โมเดลต่างหาก ธรรมศาสตร์มาลอกเอาไป จากคุณ : hukdern เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:38:41

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่าแนวคิดเอาน้ำดันน้ำ  ตัวคันเองต้องไม่อ่อนตัวลงเพราะน้ำถึงจะได้ผล  เช่น  คันดินที่มีพลาสติกคลุม  คันคอนกรีต  ถังบรรจุทราย(ถ้ามีรูรัวก็ต้องเอาพลาสติกคลุมอีกนั้นแหละ) วัตถุประสงค์เพื่อเอาแรงดันสู้กับแรงดันเท่านั้นไม่ให้มันโค่นลงมาอันเนื่องมาจากความสูงและฐานไม่กว้างพอ  แต่ถ้ามันจะพังเพราะน้ำเซาะดินที่อ่อนตัวก็คงช่วยไม่ได้ จากคุณ : rujipars (rujipars_a) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 21:43:31

ความคิดเห็นที่ 12 ประทานโทษเจ้าค่ะ ประหยัดตรงไหนกันคะ น้ำดันน้ำ ต้องใช้กระสอบทราย สองแนวเป็นอย่างน้อย เปลืองทรายเข้าไปใหญ่ สู้เอามาโปะคันกั้นแรกให้มันสูงๆ และแข็งแรงขึ้น ยังจะดีซะกว่า ------------------------- ตอบ #8 ปกติเขาก็ทำฐานแผ่ ส่วนฐานกว้างกว่าส่วนยอด เพื่อรับแรงดันอยู่แล้ว อันนี้มันเบสิกมากๆ ใครๆเขาก็รู้กัน ------------------------- ถ้าพูดเรื่องน้ำมุดดิน ทำให้ดินอ่อนตัว  การทำคันสองชั้นเอาน้ำใส่ตรงกลาง ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะดินชุ่มน้ำทั้งสองด้าน สามารถพังได้จากทั้งสองด้าน หนักกว่าเก่าอีก >"< ------------------------- พูดเรื่องแรงดัน ลองเขียนเวคเตอร์ไดอะแกรมดูนะว่า แรงมันผลักกันตรงไหน อย่างไร ยิ่งพูดว่า เอาแรงดันมาดันกันไม่ให้โค่น แต่ผลมันกลับกัน มันจะยิ่งโค่นง่ายขึ้น เพราะแรงที่กระทำต่อกัน เยื้องศูนย์กัน ทำให้มีจุดหมุน ยิ่งโค่นง่ายขึ้นเข้าไปใหญ่ ------------------------- โมเดลนี้ ผิดพลาดตั้งแต่แนวคิดแล้ว ผิดทั้งหลักฟิสิกส์ ผิดทั้งหลัก dynamics จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 22:00:50

ความคิดเห็นที่ 13 ผมว่ารูปแรกกับรูปที่สองมันแย้งกันนะครับ ยังไงช่วยอธิบายเพิ่มด้วย ขอบคุณครับ จากคุณ : เขียนบน iPad (hunter43-1) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 22:27:42

ความคิดเห็นที่ 14 แย้งตรงไหนเอ่ย ไม่พูดมาเลยล่ะ มันก็ภาพไดอะแกรม กับภาพถ่ายจริง นิ ต่างกันแค่นี้เอง เอามาลงให้ดูว่า ที่มันพังๆน่ะ ส่วนใหญ่พังเพราะน้ำล้นคันเท่านั้นเอง เมื่อมันล้นคันไปสักพัก กระแสน้ำจะพัดกระสอบทรายอันที่แข็งแรงน้อยที่สุดให้หลุดไปเป็นช่อง น้ำก็จะเฮโลไปลงที่ช่องนั้น เกิดแรงผลักสูงขึ้น ตามกฏของเบอร์นูลี่ ยิ่งทำให้กระสอบทรายชิ้นถัดมาร่วงหล่น ฉีกปากแผลให้กว้างขึ้นๆ จนในที่สุด ถ้าไม่สามารถปะผุได้ทัน คันกั้นก็ถึงกาลอวสาน ว้า..คิดต่อเอาเองล่ะกัน ง่วงแระ นอนดีฝ่า จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 22:59:03

ความคิดเห็นที่ 15 หลัก ๆ เลยที่แนวกันน้ำพังมักจะมีสองสาเหตุนะครับที่ผมเจอ 1. น้ำสูงกว่าแนวกั้น 2. แนวแตกเนื่องจากถูกกัดเซาะ โดยเฉพาะคันดิน เวลาโดนน้ำเซาะดินจะหลุดไปตามน้ำ อันนี้รวมถึงดินปนทรายด้วย ผมไปช่วยทำแค่ที่แนวคลองระพีพัฒน์ ไม่ได้เห็นว่าที่ธรรมศาสตร์ใช้วัสดุอะไรนะครับ แนวคลองระพีพัฒน์มีปัญหาเพิ่มขึ้นเมื่อน้ำหลังแนวกั้นสูงขึ้นมา เพราะฐานล่างโดนน้ำหลังแนวกั้นเซาะอีกแรงเพราะกระสอบทรายที่ใช้เป็นดินปนทราย ต้องเสริมแนวกั้นตลอดเวลา เรื่องปล่อยน้ำดันน้ำถ้าให้ได้ผลดี ๆ น่าจะใช้กับวัสดุที่ไม่ถูกน้ำกัดเซาะง่าย ๆ แบบดินหรือดินปนทรายนะครับ ส่วนความสูงน้ำหลังแนวกั้นไม่แน่ใจว่าควรใช้เท่าไหร่ จากคุณ : เหรียญเงิน เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:02:16

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าเสริมคันสูงก็ไม่มีเสถียรภาพ มันก็พัง ปริมาณน้ำทั้งหมดไม่ว่าทำคันสูงแค่ไหนมันก็ล้นอยู่ดี หรือไม่มันก็ไหลอ้อมไป ในความเป็นจริงมันช่วยได้แค่ชะลอเวลาแค่นั้นเอง ที่จริงมันผิดพลาดมานานแล้ว เราจะเอามดไปสู้กับช้างได้ยังไง อีกอย่างตอนนี้ไม่ใช่เวลามาว่าใครผิดหรือถูก ทุกท่านที่มีความสามารถ เราต้องช่วยกันหาทางออกให้ประเทศของเราครับ จากคุณ : เขียนบน iPad (hunter43-1) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:05:52

ความคิดเห็นที่ 17 จำได้ว่า ธรรมศาสตร์โมเดล สามารถป้องกันแนวคันดินทรุดจากน้ำกัดซึ่งแนวกั้นน้ำส่วนใหญ่พังเพราะเหตุนี้นิคะ ส่วนถ้าน้ำล้น แต่คันดินไม่พัง แสดงว่าน่าจะแข็งแรงมากนะ ? (^^ น้ำล้นคันดินก็ไม่แปลก เพราะน้ำมามากแล้วคันดินต่ำไป...) (ปล.สงสัยเฉยๆ เค้าเรียนฟิสิกส์มานิดเดียว อย่าว่าเค้านะ >_<") จากคุณ : นภฝัน เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:08:04

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าใช้น้ำดันน้ำต้องเป็นคันดินแบบ rigid body ถ้าจะไปก็ต้องไปทั้งแผง = = จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:22:05

ความคิดเห็นที่ 19 .. มันเป็นแบบนี้ครับ ปล. หากจะเทียบเรื่องวัสดุที่ใช้ทำคันกั้น ต้องเทียบแบบ apple-apple คือ ถ้าหินคลุก ก็หินคลุกกันทั้งคู่  และด้วยปริมาณหินเท่ากันด้วย ถ้ากระสอบทราย ก็กระสอบทรายกันทั้งคู่  และด้วยจำนวนกระสอบทรายที่เท่ากันด้วย แต่ถ้าเอาดินโคลนมาถมเป็นคันดิน อย่าทำ เสียเวลาเปล่า  ยกเว้นน้ำไม่สูงเกิน 50 cm. แต่ถ้าน้ำสูง 3 เมตร  เอาเวลาไปแพ็คของดีกว่า  (นี่พูดถึงเฉพาะกรณีใช้ดินโคลนนะครับ) แก้ไขตัวเลขนะครับ ตัวเลข F1 ที่อยู่ข้างบน  ให้เป็น 600 N. ทั้งคู่ .. แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 54 23:27:10 จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:24:19

ความคิดเห็นที่ 20 รูปใน คห 12 นั้นมันที่ พระจอมเกล้าพระนครเหนือครับ ไม่ใช่การดันน้ำอะไรทั้งนั้น เป็นการทำทางให้น้ำไหลลงคลอง ตรงกลางมหาลัย http://www.pantip.com/cafe/news/topic/NE11231411/NE11231411.html จากคุณ : หมากฝาด เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:30:09

ความคิดเห็นที่ 21 จากรูปก็แสดงว่าคันกั้นแข็งแรงดีครับ.. ที่เหลือปัจจัยก็คือ มวลน้ำที่มากเกินทรัพยากรแต่ละแห่งจะกั้นได้... จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:40:18

ความคิดเห็นที่ 22 สุพรรณโมเดลไม่ได้ผลครับ เพราะสุพรรณก็น้ำท่วม  ก่อน กทม. ร่วมเดือนด้วยเหมือนกัน ยกเว้นหูหนวกตาบอด  ฟังเค้าว่ากันมาว่าสุพรรณไม่ท่วมนั่นแหละ จากคุณ : ปืนเถื่อน เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:42:57

ความคิดเห็นที่ 23 คันดินที่ AIT พัง (ซึ่งไม่เคยเข้าไป ไม่รู้ว่าส่วนนี้กว้างแค่ไหน) แต่คันในมธ.ไม่ได้พังนะ น้ำมันเซาะฐานกำแพง สวทช. เข้ามาอ่ะ เคยเห็นรูปในกระทู้ก่อน เรื่องโมเดลไรนั่นไม่รู้ เพราะไม่เห็นว่าเค้าทำกันอย่างไร หรือกี่ชั้น แต่ฝั่งประตูเชียงราก เขาทำคันดินนอกกำแพงม.ค่ะ (เห็นในทีวี) เดาว่าแต่ละด้านเขาทำคันกั้นน้ำไม่เหมือนกัน เพราะมันกว้าง และตรงที่พังมันมีกำแพงเป็นกำแพงสวทช. และใกล้ทางออกประตูพหลฯติดกับ AIT มีถนนกับคลองกันอยู่ ซึ่งส่วนนี้ไม่รู้ว่าเขากั้นน้ำกันอย่างไร จากคุณ : ยืมเพื่อน (SHeDAMe) เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 00:17:05

ความคิดเห็นที่ 24 .....จากคุณคคห.20.....แสดงว่าแตงกวาลงรูปเพื่อ???...เป็นตย.การแสดงหลักการ จากคุณ : วิหคน้ำเค็ม เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 00:36:06

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าเอาถังใส่น้ำไปตั้งกันน้ำจะได้ผลกว่า ตั้งเป็นคันดินสองใช้แล้วเอาน้ำไว้ตรงกลาง เพราะน้ำที่อยู่ระหว่างคันดินมันก็จะสร้างจุดอ่อนให้คันดิน ชุ่มน้ำ แต่ถ้าใช้กระสอบทรายแทนคันดิน หากวางกระสอบทรายไม่ดี น้ำนั้นจะเป็นตัวหล่อลื่นให้กระสอบทราบสไลด์ตัว  แนวคิดน้ำดันน้ำจะได้ผล ถ้าเราเอาน้ำใส่ภาชนะไปวางเท่านั้นครับ จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 02:04:50

ความคิดเห็นที่ 27 อาจารย์คนที่กล่าวถึงทฤษฎีนี้ คือคุณ ศศิน ครับ มองตามเนื้อผ้ามันได้ผลทั้ง 2 แบบนะ น้ำยิ่งเยอะฐานก็ต้องยิ่งกว้าง(แข็งแรง) ถ้าถามความต่างผมว่าไม่มีครับ  ถ้าอย่างคุณ แตงกวาบอก กั้นที่เดียวเยอะก็แค่ทำฐานกว้างๆ ใหญ่ๆ น้ำมันจะมาได้งครับ?  จะให้ชัวร์ก็หาของมีนน. เช่นก้อนหินมาค้ำ พื้นฐานอีกทีนึง ดูสิมันจะมายังไง  ความดันน้ำมันกระจายออกเป็นวงกลมไม่ได้วิ่งออกแต่ทางคันกั้นน้ำซะที่ไหน ส่วนน้ำดันน้ำ นั่นก็ได้ผลอีกอยู่ดี ยิ่งน้ำเยอะคันกั้นน้ำชั้น 2 ก็ต้องยิ่งต้องมีระยะยาวหน่อยครับ (ไม่ต่างอะไรกับเอาก้อนหินมาค้ำ) แต่เท่าที่เห็นส่วนมากจะทำคันกั้นน้ำแบบ กองๆกันแนวตั้งซึ่งดูด้วยตาเปล่าก็รู้แล้วว่าใช้กันน้ำระดับสูงๆไม่ได้เลย สรุปง่ายๆ ว่าต้องทำแบบพีรามิดไงครับ เค้าแนะนำวิธีนี้ แต่ไม่ได้ปิดกั้นแนวคิดอื่นนี่ครับ ทำไมต้องเถียงกันไปๆมาๆ ประเด็นสำคัญคือ "ผลลัพธ์" ส่วนวิธีการจะเป็นอะไรช่างมันเหอะครับ ปล. คันกั้นน้ำนั้น ใช้ป้องกันแค่สถานที่สำคัญและคุ้มค่าแก่การทำก็พอแล้ว  ปล่อยให้มันไหลลงสู่ที่ต่ำไปเรื่อยๆ แต่ไม่เยอะดีกว่าครับ ต้องบริหารให้เป็น จะอยู่กับธรรมชาติต้องยืดหยุ่นแต่ไม่ยึดติด ยึดหลักพุทธศาสนา มีสติก่อนนะครับทุกท่านอย่าโทสะ ปัญญาจึงเกิด จากคุณ : hahesfha เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 08:00:49

ความคิดเห็นที่ 28 รูปแค่แสดงให้เห็นว่า คันกั้นเกือบทั้งหมด ทำได้แค่ประทังเวลาเท่านั้น เพราะยังไงไม่ช้าก็เร็ว น้ำล้นคันกั้นเข้ามาทั้งสิ้น และที่สำคัญ ที่รูปอธิบายได้คือ แนวกระสอบไม่ได้ถูกน้ำดันจนสไลด์ ถึงจะต้องเอาอะไรไปดันไว้ แนวกระสอบมันก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม น้ำล้นก็ล้นไป แต่ตัวกระสอบทรายไม่ได้เลื่อน ไม่ได้สไลด์ออก เพราะแรงดันของน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องเอาน้ำไปดันไว้แต่อย่างใด ถ้าเขื่อนแนวกระสอบพัง เพราะน้ำดันกระสอบทรายเคลื่อนออกจากจากแนว อันนี้สิ ถึงต้องหาอะไรไปดันไว้ที่ฐาน แต่จากหลักฐานที่ปรากฏ ไม่พบว่ามีการขยับของแนวแต่อย่างใด หากแต่ เป็นการน้ำล้นคันกั้นข้ามเข้ามาทั้งนั้น ดังนั้น ยุทธวิธี น้ำดันน้ำ จึงไม่ได้ช่วยอะไร เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และไม่ได้ผลในการยันน้ำแต่อย่างใด ปล. คันกั้นแบบปิรามิด เขาก็ทำกันอยู่แล้วเป็นปกติ ที่ไหนๆเขาก็ทำกันแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวกับ กลยุทธน้ำดันน้ำ แต่อย่างใด ปล2. ความดันน้ำมันกระจายออกเป็นวงกลม อันนี้รบกวนไปเช็คตำรามาก่อนดีไม๊คะ แล้วยิ่งบอกว่า ทั้งวิธีเดิมและวิธีน้ำดันน้ำได้ผลไม่ต่างกัน แล้วจะเปลืองกระสอบทราย ไปทำแนวสองแนวสามทำไมกัน ฮึ เอามาพวกกระสอบทรายนั้น มาเสริมแนวแรกให้สูงขึ้นแข็งแรงขึ้น ยังเป็นประโยชน์กว่า จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 10:42:43

ความคิดเห็นที่ 29 ผมว่าเสนอคุณแตงกวาไปช่วย ศปภ. กันดีกว่ากว่าครับ หลักการเยอะดี ลงมือทำเลยครับ จะได้ช่วยประชาชนอีกเยอะ ดีกว่ามาเยอะอยู่บนีคีย์บอร์ดครับ จากคุณ : โดดแต่พอตัว เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 11:45:45

ความคิดเห็นที่ 30 น้ำดันน้ำ ที่ใช้กันทั่วไปและได้ผลดีในระบบชลประทาน คือฝายยางที่วางบนฐานคอนกรีต จะสูบน้ำเข้าไปในฝายยางจนพองตัว และสามารถเก็บกักน้ำเอาไว้ได้ระดับหนึ่งสำหรับใช้ในฤดูแล้ง แต่น้ำที่มากกว่าสันฝาย ก็ไหลล้นข้ามไปได้ จากคุณ : ภานุพันธ์ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 12:50:25

ความคิดเห็นที่ 31 น้ำดันน้ำ แบบฝายยางชั่วคราวที่ใช้ป้องกันน้ำท่วม ไม่ได้วางบนฐานคอนกรีต ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง จากคุณ : ภานุพันธ์ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 12:53:39

ความคิดเห็นที่ 32 จุดหมุน ไม่เท่าไหร่ จุดหลิม เนี่ยแย่เลย จากคุณ : Waterman (LN106) เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 23:29:55