 |
หลายๆคนคิดว่า เพราะ รวยเลยรอด
คำถาม : แล้วทำไม บ้านอื่นๆ ทั้งหมู่บ้าน... ไม่รอด
แล้วเขา ก็บอกอยู่ชัดๆว่า ปรึกษาเพื่อนที่เป็น ...สถาปนิก กับ วิศวกร
ไม่ได้พูดเลยว่า ... เพราะ ตัวเองเก่ง
กลับกันเสียอีก ถ้าเขาคิดว่า ตัวเองเก่ง คือ... คิดเอง - ทำเองได้
อย่างนี้
อาจจะ ... ไม่รอด
v v
คนมีพอร์ทเป็นพันล้าน บ้านจะหลังละกี่ล้าน
เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึง ค่าตกแต่งภายใน จะราคา สักเท่าไหร่
เขาต้องประเมิน แล้วว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้น...คุ้มค่า กับ เงินลงทุน
แล้วก็น่าจะต้องมี แผน 2 แผน 3... รองรับ
Speed Boat กับ Jet Ski ปกติ มันควรจะอยู่ที่ไหน
... มองให้ลึกๆครับ
v v
ในคลิป ก็เห็นอยู่ว่า บางบ้าน มีรถ จมน้ำอยู่ 3 คัน
แสดงว่า
น้ำขึ้นเร็วมาก จนขับออกไปไม่ทัน (อาจจะขึ้นมา ในช่วงตอนกลางคืนด้วยซ้ำ)
สิ่งที่เราควรเรียนรู้ คือ อะไร ทำให้บ้านเขารอดอยู่หลังเดียว ... ต่างหาก
แล้วนำไปปรับ หรือ ประยุกต์ใช้ ให้เข้ากับเงื่อนไข ของแต่ละคน แต่ละบ้าน ในแต่ละสถานการณ์
---
ข้างล่างนี้ เป็น บทสัมภาษณ์ ประมาณ 7 -8 ปี ที่แล้ว
^ ^
หมายเหตุ : โปรดอ่านด้วยวิจารณญาน
v v
นายแพทย์ยรรยง กับ ทฤษฎีจำกัดความเสี่ยง
ชื่อของ น.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม โด่งดังขึ้นมาในราวต้นปี 2545
หลังจาก ที่เขาเข้ากว้านซื้อหุ้น บล.ซีมิโก้ จำนวน 5.095 ล้านหุ้น จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10.87%
และใช้เวลาเพียงวันเดียว ขายหุ้นทั้งหมดออกจากพอร์ต
จากนั้น ชื่อของน.พ.ยรรยง ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสร้างราคาหุ้นของหลายบริษัท
กระทั่งมีข่าวอีกว่าหมอใช้ นอมินี เข้าซื้อหุ้น บล.ยูไนเต็ด ร่วมกับ นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ เสี่ยปู่ และเพื่อนร่วมก๊วนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 14% ในโบรกเกอร์แห่งนี้
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้คนในแวดวงตลาดหุ้น ตั้งคำถามว่า
ชายผู้นี้เป็นใคร?
มาจากไหน?
นักเลงหุ้นคนนี้ มีความน่าสนใจมากกว่าการเป็นแค่ นักเสี่ยงโชค
น.พ.ยรรยงเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่ดัชนีประมาณ 600 จุด
เคยผ่านวิกฤตการณ์ซัสดัมเมื่อปี 2533
ผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535
เคยผ่านยุคที่ตลาดหุ้นบูมสุดๆ เกือบ 1,800 จุด เมื่อต้นปี 2537
เคยผ่านเหตุการณ์ลอยตัวของค่าเงินบาท ปี 2540
และผ่านยุคตกต่ำที่สุดของตลาดหุ้น ตอนดัชนีลงมาเหลือ 200 จุด เมื่อปี 2541
ไม่เพียงหมอรอดมาได้เท่านั้น แต่พอร์ตของเขากลับขยายเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ในยุคที่อิรักบุกคูเวตเมื่อปี 2533
น.พ.ยรรยงมีพอร์ตเล่นหุ้นเพียงแค่ 1-2 ล้านบาท เท่านั้น
แต่วันนี้พอร์ตของหมอมีมูลค่าเฉียดพันล้านบาท
หมอบอกว่า ปัจจุบันเขาซื้อขายหุ้นเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละกว่า 10,000 ล้านบาท
เริ่มลงทุนด้วยเงิน 5 แสนบาท เรียนจบทันตแพทย์จากรั้วมหิดลใน ปี 2525 และกลายเป็นหมอฟันเด็กที่มีอนาคตรุ่งโรจน์คนหนึ่งของวงการ
โดยเริ่มต้นอาชีพหมอฟัน ด้วยการร่วมทุนกับเพื่อนเปิดคลินิกแถวถนนเทเวศน์
ขณะนั้น หมอมีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2 แสนบาท
แต่หมอกลับคิดว่า อาชีพหมอฟันไม่รวย แค่พอกินพอใช้เท่านั้น
หมอเล่าว่าเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่มีอายุประมาณ 31-32 ปี
สมัยนั้นตลาดหุ้นเปิดครึ่งวันเช้า ช่วงเช้าหมอจะไปเล่นหุ้นช่วงบ่ายก็กลับคลินิก หมอทำอย่างนี้ประมาณ 3-4 ปี ก็ค้นพบว่าการเล่นหุ้น เป็นสิ่งที่ท้าทายกว่าอาชีพหมอฟัน
เพราะโลกของหมออยู่แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็น
ผมชอบเล่นหมากรุก การเล่นหุ้นก็เหมือนการเดินหมาก ต้องใช้ความคิดตลอดเวลา
ก็เลยตัดสินใจ ทิ้งอาชีพหมอฟันมาเล่นหุ้น
ทั้งที่ตอนนั้นรายได้จากการเล่นหุ้น น้อยกว่ารายได้จากการทำฟัน
หมอเล่าให้ฟัง
ตอนที่เริ่มสตาร์ทผมลงเงินไป 500,000 บาท ตอนนั้นเลือกหุ้นที่คิดว่ามี ราคาถูก
ผมจะซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมามากๆ เลือกหุ้นที่มีพี/อี เรโชต่ำ
และซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพาร์ เพราะเราคิดว่าราคาถูก
นั่นคือสิ่งที่หมอบอกว่า เขาเริ่มต้นเล่นหุ้นจากที่ไม่มีความรู้อะไรเลย
ประสบการณ์เล่นหุ้นช่วงแรกๆ จึงไม่ราบลื่น สิ่งที่หมอคิดว่า
ราคาถูก และ ปลอดภัย
กลับตรงกันข้าม
เล่นช่วงแรกเจ๊งมาตลอด จนเหลือเงินอยู่ 180,000 บาท
สุดท้าย ต้องกลับมาทบทวนใหม่แล้วค่อยๆ เรียนรู้
ถ้ามัวแต่ยึดข้อมูลในอดีต สักวันคงหมดตัวแน่!!!
ตามความเห็นของหมอ หุ้นเป็น Dynamic ฉะนั้น 1+1 ในตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องได้ผลลัพธ์เท่ากับ 2 เสมอไป
ทฤษฎีการลงทุนบางครั้งก็ใช้ไม่ได้ แต่ต้องให้ประสบการณ์เป็น ครู
ผมก็กลับมาทบทวนดูว่า ต้องเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ ก็ตั้งเป็นเกณฑ์ว่า เมื่อไรที่เราเล่นหุ้นมีกำไร นั่นแหละ วิธีการที่ถูก
เมื่อใดที่เราเล่นหุ้นขาดทุน นั่นแหละวิธีการที่ผิด
เขาจึงได้บทสรุปว่า จงทำตามแนวโน้มตลาด อย่าฝืนเอาชนะ
ดังนั้นกฎข้อแรกที่หมอได้เรียนรู้ ก็คือ หุ้นยิ่งขึ้นต้องยิ่งซื้อ หุ้นยิ่งตกต้องยิ่งขาย
เขาเชื่อในตรรกะที่ว่า ในสวรรค์ยังมีสวรรค์ ในนรกยังมีนรก
ทำให้เขาค้นพบว่าวิธีการเล่นหุ้นที่ดีที่สุด ต้องเล่นหุ้น ตามกระแส จึงอยู่รอดในวงการนี้
---
ค้นพบทฤษฎี จำกัดความเสี่ยง
วิกฤติตลาดหุ้นในปี 2533 คือ บททดสอบแรกของหมอ
หมอยังจำได้ว่าวันที่อิรักบุกคูเวต ( 2 สิงหาคม 2533) หมอตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดออกจากพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยง
เหตุการณ์ครั้งนั้น หมอได้ค้นพบหลักการลงทุนที่เรียกว่า
ทฤษฎีจำกัดความเสี่ยง
ซึ่งได้เปลี่ยนวิธีลงทุนของเขาอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่บัดนั้น
หลักคิดของมัน ก็คือ
อะไรที่คุณไม่รู้คือความเสี่ยง อะไรที่คุณรู้คือไม่เสี่ยง
นี่คือหัวใจของการจำกัดความเสี่ยง
ตอนนั้นผมยังเล่นหุ้นไม่เยอะ อยู่ในช่วงของการเรียนรู้
พอร์ตของผมตอนนั้นประมาณ 1-2 ล้านบาท
ช่วงนั้นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มากที่สุด ก็คือ ความระมัดระวัง
เพราะผมเห็นคนล้มตายเยอะ ทุกคนที่เจ๊งหุ้นเหมือนกัน คือ ไม่ยอม Stop Loss
ทำให้ผมเข้าใจว่า ถ้าเราจะอยู่ในวงการนี้ได้นาน เราต้องรู้จักวิธีจำกัดความเสี่ยง
วิธีการของหมอ คือ พยายามทำให้ความเสี่ยงเป็น ศูนย์
โดยวิธีเล่นหุ้นขาขึ้น หยุดเล่นหุ้นขาลง และต้องชิงตัดขาดทุน (Cut Loss)เสียแต่เนิ่นๆ
ก่อนที่ตัวเลขขาดทุนจะบานปลาย
ตอนที่อิรักบุกผมไม่มีหุ้นเลย สมมติว่าวันนี้หุ้นขึ้นผมจะเล่น แต่ถ้าหุ้นลงผมจะหยุดเล่น ผมก็เลยขาดทุนน้อย แต่คนที่คิดว่าพรุ่งนี้จะดีดกลับ ส่วนใหญ่จะเจ๊ง
หมอบอกว่า ปรัชญาการจำกัดความเสี่ยง
อะไรที่ผมไม่รู้ ผมไม่เล่น
เราไม่รู้ว่าสงครามจะยืดเยื้อแค่ไหน สิ่งที่เราไม่รู้ คือความเสี่ยง
ดังนั้นจึงเลือกตัดนิ้วทิ้ง 1 นิ้ว ดีกว่าจะต้องเสียทั้ง 5 นิ้ว
เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่า ยังเหลืออีก 4 นิ้วชัวร์ๆ
ถ้าไม่ยอมตัดทิ้ง จะไม่มีทางรู้เลยว่าจะต้องเสียอีกกี่นิ้ว
นี่คือวิธีคิดของเขา
แต่หมอก็มาพลาดจนได้เมื่อ ซัสดัม ฮุสเซ็น ประกาศจะยอมแพ้
หมอรีบเข้าไปซื้อหุ้นเข้าพอร์ต เพราะเก็งว่าวันที่ซัสดัมประกาศยอมแพ้ หุ้นจะดีดกลับ
แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร
ทีแรกซัสดัมบอกว่าจะยอมแพ้ จู่ๆ ออกมาบอกใหม่ว่าไม่ยอมแพ้แล้ว
หุ้นก็ตก ผมก็ขาย โดยปกติถ้าขาดทุนเกิน 5% ผมจะขาย ก็เลยหุ้นซื้อแพง ขายถูกอยู่ 3-4 ครั้ง ก็กลับมาคิดว่า เล่นอย่างนี้เราเจ๊ง ต้องหยุดเล่น และถอยออกมาตั้งหลัก
หมอบอกว่า การยอมรับข้อผิดพลาดทำให้เขาค่อยๆพัฒนา วิธีเล่นหุ้นขึ้นมาเป็นลำดับ
การเล่นหุ้นโดยส่วนใหญ่มันมีโง่มีฉลาดเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่จะประสบความสำเร็จกับหุ้นอย่าคิดว่าตัวเองฉลาด
เพราะตราบใดที่เราคิดว่าตัวเองฉลาด จะไม่พัฒนา
แต่ทุกครั้งที่เรายอมรับข้อผิดพลาด เราก็จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
หมอยึดถือความผิดพลาดเป็น ครู มาตลอด
---
เข้าสู่ยุคเก็บเกี่ยว ในปี 2534
หลังจากตลาดเริ่มนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ แทนการเคาะกระดานซื้อขาย
พอร์ตของหมอก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้น หลังประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี 2540
พอประกาศลดค่าเงิน ผมมองว่าฝรั่งจะเข้ามา
เพราะมันเป็นตรรกะเลยว่าถ้าเงิน 1 ดอลลาร์ เคยแลกได้ 25 บาท แล้วจู่ๆ 1 ดอลลาร์แลกได้ 50 บาท
ต้องมีเงินไหลเข้ามา
ผมฟันธงว่ายังไง ! หุ้นต้องขึ้น
ผมก็มาประเมินว่าถ้าฝรั่งเข้าต้องเล่นแบงก์ใหญ่ ผมก็เข้าเก็บหุ้นกสิกรไทย หุ้นแบงก์กรุงเทพ และวอร์แรนท์กสิกรไทย
เพราะผมมองว่าถ้าหุ้นแม่ขึ้นวอร์แรนท์ก็ต้องขึ้น ตอนนั้นผมได้กำไรมาเยอะมาก
หลังจากนั้น พอร์ตของหมอก็โตขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเมื่อจับจุดได้ว่า ฝรั่งชอบซื้อหุ้นตอนต้นปี
ฉะนั้นปลายเดือนธันวาคม จะซื้อหุ้นเก็บไว้ก่อน
จากประสบการณ์ส่วนใหญ่ต้นปีหุ้นจะขึ้น สมัยก่อนเล่นหุ้นง่ายมาก เงินฝรั่งเข้ามาวันละ 3-4 พันล้านบาท หุ้นตัวไหนขึ้นแรงๆ นั่นแหละฝรั่งซื้อ เราก็เกาะฝรั่ง
เวลาเขาเหนื่อยแรง เราก็ขายออก
ตอนนั้นเวลาฝรั่งเข้าจะซื้อติดต่อกันเป็นอาทิตย์ พอเราซื้อเสร็จเราก็ถือไปเรื่อยๆ
ผมจะจับตามองตลอดเวลา ถ้าฝรั่งเริ่มไม่ซื้อ ผมก็หาจังหวะขายออก
ผมเล่นหุ้นอย่างนี้บางอาทิตย์ได้กำไร 40-50%
หมอบอกว่า ณ เวลานั้นมองกลไกตลาดออกว่าคนนำตลาด คือ ฝรั่ง
จึงเล่นหุ้นตามฝรั่ง
แต่ตอนนี้กลไกที่นำตลาดคือ คนไทย
ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ผมดีมาตลอดเพราะวิธีจำกัดความเสี่ยงของผมถูก
อีกอย่างหนึ่งผมจะเล่นหุ้นเป็นจังหวะ ผมจะเหมือนกับเหยี่ยวที่บินมาโฉบเหยื่อแล้วก็บินไป
รอจังหวะมาโฉบเหยื่ออีกครั้ง ผมจะลงไปเฉพาะชัวร์ๆ
เมื่อไรที่ผมไม่แน่ใจจะหยุดดู และถอนการลงทุน
ทุกวันนี้ น.พ.ยรรยงกล้าพูดว่าเขาเล่นหุ้นเก่งกว่าฝรั่ง
ซึ่งเขามองว่าวิธีการเล่นหุ้นของฝรั่งค่อนข้างหมู
แค่ผมเกาะฝรั่งไปเรื่อยๆ ผมแทบไม่มีความเสี่ยงเลย ผมจะถือคติว่าเข้าพร้อมฝรั่ง แต่ออกก่อนฝรั่ง
ทำ Arbitrage ทุกครั้งที่มีโอกาส
ความเป็นนักแสวงหาโอกาสของหมอ ยังฉายแววโดดเด่น
เมื่อเขาใช้วิธีทำ Arbitrage หรือ การทำกำไรจากสองตลาด ด้วยการเข้าประมูลหุ้นของ ปรส.นอกตลาด แล้วนำมาขายในตลาด
ได้กำไรจากส่วนต่างราคา Discount 20% โดยไม่มีความเสี่ยงใดๆ เลย
ตอนนั้นทุกวันศุกร์ ปรส.จะนำหุ้นอ อกมาประมูล ตัวแรกที่ประมูลคือ หุ้น S-ONE
จำได้ว่าในกระดานราคา 7 บาท ผมใส่ซองประมูล 5.50 บาท กลยุทธ์ของผมจะตั้งราคา
Discount 20% ประมูลไปตามกำลังเงิน 7 ล้านหุ้น 10 ล้านหุ้น
พอเราได้หุ้นวันจันทร์ผมก็ขาย
เวลาแค่เสาร์-อาทิตย์ ยังไงก็จำกัดความเสี่ยงได้อยู่แล้ว
ผมถามว่าความเสี่ยงอยู่ตรงไหน!
ไม่มีเลย แต่ไม่เห็นมีใครมาประมูลแข่ง
หมอเล่าว่า มีประมูลทุกศุกร์ ผมก็ได้เงินทุกศุกร์ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม! ไม่มีคนซื้อ ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้ของดีไปหมดแล้ว ตอนหลังเหลือแต่หุ้นที่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง แต่ผมก็ยังประมูลเพราะเห็นว่าราคามันถูก
หลังจากนั้นเขาก็ยังทำกำไรจากหุ้นที่ถูกทำ เทนเดอร์ออฟเฟอร์ อีกหลายครั้ง
ด้วยวิธี Arbitrage เหมือนเดิม
ตัวที่ผมคิดว่าน่าสนใจที่สุดคือ GSS เขาทำเทนเดอร์ฯในราคา 155 บาท
ณ วันที่ประกาศมีราคา Discount อยู่ 25% ภายในระยะเวลา 3 เดือน
ผมได้ผลตอบแทนชัวร์ๆ 25% โดยไม่มีความเสี่ยง
.แล้วทำไม! ผมจะไม่ลงทุน
---
ขาดทุน 30 ล้านบาท มากที่สุดในชีวิต
ในวงการค้าหุ้น บางคนอาจจะมองเขาว่าเป็น นักฉวยโอกาส
แต่หมอมองตัวเองว่าเป็น นักแสวงหาโอกาส มากกว่า
ทุกเช้า หมอจะตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อให้เวลา กับการนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ และเลือกหุ้นตัวที่เชื่อว่านักเล่นหุ้น จะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
แต่หมอจะไม่ค่อยใส่ใจ กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากนัก
แต่จะให้ความสนใจกับหุ้นที่มี ข่าวดี มากกว่า
โดยปกติเขาจะไม่เคยหัวเสียเมื่อหุ้นตก
เพราะหมอบอกว่าเวลาหุ้นตก
.ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยมีหุ้น!
ผมจะหัวเสียมากที่สุด ตอนที่เรารู้สึกว่าตัวเองโง่มากกว่า
มีเรื่องโง่อมตะที่หมอชอบเล่าให้ใครฟังบ่อยๆ
ตอนซื้อหุ้น FAS (บล.เอกเอเซีย ขณะนั้นมี กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นกรรมการผู้จัดการ)
เป็นความโง่ที่ผมประทับใจที่สุด คือ โง่เพราะอ่านภาษาอังกฤษผิด
ข้อแรก ผมเข้าใจว่าให้เอา 2 หุ้น FAS ไปแปลงเป็น 1 หุ้น S-ONE
ข้อสอง สามารถแลกเป็นเงินได้ในราคา 280 บาท
ผมก็คิดว่าข้อที่ 1 กับข้อที่ 2 ทำแบบไหนก็ได้ กะว่าจะทำ Arbitrage
ผมซื้อไปประมาณ 100 กว่าล้านบาท ตอนนั้นหุ้น FAS ตกไป 25%
ผมขาดทุนไป 30 ล้าน มากที่สุดในชีวิต
ผมก็คิดว่าทำไม! หุ้นมันถึงตกทุกวัน
เราก็ไปโทษคนอื่น ว่าทำไม! มันโง่จังว่ะ
หุ้นตกแล้วไม่ซื้อ
กำไรเห็นๆ
ที่ไหนได้ พอโทรศัพท์ไปถามที่ S-ONE
เขาบอกว่า คุณอ่านภาษาอังกฤษผิด
งานนั้น ผมบอกตัวเองว่าโอโห้!
เราโคตรโง่เลยว่ะ
---
เงินเป็นแค่ วัตถุ ใช้ซื้อความสุขไม่ได้
ไม่น่าเชื่อว่า เบื้องหลังนักเลงหุ้นพันล้านอย่างน.พ.ยรรยง กลับเรียบง่าย เป็นนักเล่นหุ้นติดดิน
จนอาจจะเรียกว่า หลุดกรอบ วิถีชีวิตของคนรวย ตรงข้ามกับวิธีคิดที่เฉียบคม และอยู่ในขั้นปราดเปรื่องคนหนึ่งของวงการ
ผมว่าความสุขมันไม่ได้อยู่ที่สิ่งของ ไม่ใช่ว่ามีบ้านใหญ่แล้วจะนอนหลับ มันไม่เกี่ยว ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเงินคุณซื้อได้
ตอนนี้ผมอายุ 44 ปี อย่างมากผมก็อยู่ได้อีก 30 ปี
ยังไงผมตายไป เงินผมก็ยังเหลือ หมอบอก Biz&Money ไว้อย่างนั้น
คำนิยาม ความสุข ของน.พ.ยรรยง จึงแตกต่างจากหลายคน
หมอบอกว่า นักเล่นหุ้นทั่วไปที่เขารู้จักส่วนใหญ่ จะอยู่ในกรอบทั่วๆ ไป
แต่สำหรับผมจะหลุดกรอบออกมา อย่างเช่น เมืองนอกผมจะไม่ไปเลย
จำได้ว่าเคยไปไกลสุด คือ สิงคโปร์ ผมชอบเที่ยวเมืองไทยมากกว่า
ผมชอบการเดินป่าเป็นชีวิตจิตใจ ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ
.นี่แหละคือความสุขของผม
วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หมอชอบไปดูหนัง
แต่วันธรรมดาหลังตลาดหุ้นปิด ทุกเย็นหมอชอบไปวิ่งที่สวนลุม
เขาให้เหตุผลว่าบรรยากาศก็ดี และไม่ต้องเสียตังค์
วันไหนที่หุ้นตก ก็จะวิ่งหลายรอบหน่อย!
แต่หมอไม่ชอบไปตีกอล์ฟ และจะเข้าฟิตเนสเป็นบางครั้ง แต่จะไม่เลือกที่เป็นของฝรั่ง (ที่อยู่ในตึกที่หมอเล่นหุ้น) ซึ่งเขาบอกว่า ค่อนข้างจะ Anti ฝรั่งในเรื่องนี้
โดยชีวิตส่วนตัวหมอบอกว่า ตัวเองเป็นคนใช้เงินไม่เก่ง
10 ปีที่แล้วผมใช้เงินยังไง! วันนี้ก็ยังใช้เงินยังงั้น
ปรัชญาของผมคิดว่าความสุขมันไม่ได้อยู่ที่เงิน
การที่ผมทำเงินได้มาก เป็นเพราะผมชอบงานทางด้านนี้
ผมจะภูมิใจทุกครั้งที่ผมชนะมันมากกว่า
แต่การใช้ชีวิตกลับตรงกันข้าม ยกตัวอย่างนาฬิกาทุกวันนี้เขาใส่ไซโก้เรือนละ 9 พันบาท
ถ้าเป็นเพื่อนๆ เขาก็ใส่โรเล็กซ์ ตัวผมไม่เคยให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้
ผมมองว่าคุณค่าในตัวผม มีค่ามากกว่าพวกเสื้อผ้า รองเท้า หรือนาฬิกามาก
ผมเดินไปไหน คนที่รู้จัก เขาก็รู้ว่า ผมรวยอยู่แล้ว
ดังนั้น ไม่มีความจำเป็น ต้องใส่ของแพงๆ เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าผมรวย
หมอยังกล่าวอีกว่า
สไตล์การใช้ชีวิต จะเน้นแบบง่ายๆ ชอบซื้อเสื้อผ้าลดราคา และรถที่ใช้ทุกวันนี้ ก็เป็นรถเก่า
ผมไม่เคยซื้อรถป้ายแดงใช้ เพราะผมมองว่าราคารถใหม่ มันสูงเกินไปสำหรับเมืองไทย
รถยุโรปราคาคันละ 1-2 ล้านบาท ผมรออีก 3 ปี ผมสามารถซื้อมันในราคา Discount 50%
ผมซื้อรถ ผมไม่ได้ขับไปโชว์ใคร แต่ผมจะดูสมรรถนะของมันมากกว่า
ปัจจุบันนี้ หมอใช้รถวอลโว่ 850 ซึ่งเขาบอกว่า ใช้มาแล้ว 6 ปี
ทุกครั้งที่จะซื้ออะไร? หมอจะมองที่ประโยชน์ของมันมากกว่า
ซื้อนาฬิกาค่าของมันอยู่ที่ เวลา
ซื้อรถยนต์ ค่าของมันอยู่ที่ สมรรถนะในการขับ
นี่คือ คอนเซ็ปท์การใช้ชีวิตของผม
อย่างเงินผมได้มาหลายร้อยล้านบาท ผมมี 500 ล้าน หรือมี 1 พันล้านบาทวันนี้ สำหรับผมมันไม่ได้ต่างกัน
มันก็แค่ตัวเลข ยังไง! ผมก็ใช้ไม่หมด
ทุกวันนี้ ส่วนตัวใช้เงินแค่ 1-2 หมื่นบาทต่อเดือน เท่านั้น
เงินที่หามาได้ ส่วนหนึ่งหมอจะแบ่งไปทำบุญ
ตอนนี้ผมเอาไปทำบุญกับมูลนิธิสัตว์ ซื้ออาหารเลี้ยงหมา แมวจรจัดเดือนละ 1 แสนบาท ผ่านมูลนิธิของพี่สาวผม
อีกส่วนหนึ่งก็ตั้งเป็นกองทุนการศึกษา ให้กับเด็ก สถาบันราชภัฏ
เป็นกองทุนประมาณ 5 แสนบาท ถ้าหมดก็ให้มาขอ คือ ถ้าผมทำอะไรเพื่อสังคมได้ ผมก็ทำ มันก็เป็นความสุขอีกอันหนึ่ง
หมอกล่าวว่า ทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่า การเล่นหุ้นเป็นการหาเงิน
ผมไม่เคยมีเป้าหมายว่าจะต้องได้เงินเท่าไร?
แต่ผมคิดว่า การเล่นหุ้นมันเป็นความสุข มันท้าทาย
วันนี้ถ้าผมลงทุนผิด ผมจะต้องไปนอนคิดว่า ทำไม! มันถึงผิด
ความฝันของหมอคือ เป็นเจ้าของ โบรกเกอร์
อยากใช้เวทีนี้ให้ความรู้กับนักเล่นหุ้น
ผมตั้งใจมานานแล้ว ก่อนหน้านี้เคยยื่นประมูล บล.ธนสยาม กับ บล.วชิระ ซิเคียวริตี้ส์ แล้วไม่ได้
จึงเข้ามาเป็นพันธมิตรกับ บล.ยูไนเต็ด
ใจของผมคืออยากเผยแพร่วิธีการเล่นหุ้น
ว่าทำไม! ผมถึงเล่นหุ้นแล้วได้กำไร
จริงๆ แล้วตอนนี้ผมมองเงินเป็นแค่วัตถุอย่างหนึ่ง ผมไม่ได้นอนนับเงินแล้ว มีความสุข
เดี๋ยวนี้มีหลายร้อยล้าน ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม
ยังใส่รองเท้าแตะ มาเล่นหุ้นทุกวัน
เงินสำหรับผม มันก็เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้นเอง
เขากล่าว
---
Ref : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I11260793/I11260793.html
จากคุณ |
:
The Rounder
|
เขียนเมื่อ |
:
2 พ.ย. 54 19:22:36
|
|
|
|
 |