ความคิดเห็นที่ 1 อืม...จริง จากคุณ : A Boy From The Moon เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:14:34

ความคิดเห็นที่ 2 จริงค่ะ สังคมเรายังหลุดพ้นจากการเปรียบเทียบไม่ได้ จากคุณ : ขอโทษนะ ที่สวยกว่า เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:21:44

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่าก็มันก็ไม่ใช่เสมอไปหรอกครับ จากประสบการณ์ ทำงานในชีวิต เป็นลูกน้องเขา จนมาเป็นนายเขา จนมาเป็นเจ้าของบริษัทเอง (บริษัทเล็กๆ) บางบริษัท ลูกน้องระดับ ปัญญาชน จบโทนอก แต่เจ้านาย(เจ้าของ) จบ ป.4 บางบริษัท ลูกน้องระดับล่าง ขั้น ปฏิบัติงาน จบ.โท ม.ดัง แต่มาเป็นลูกน้องผม ที่จบตรี ในประเทศ แถมอายุมากกว่าผมอีก บริษัทผมเอง ตอนนี้ก็รับแต่ เด็กที่เวลาสัมภาษณ์ แล้ว คิดว่าทำงานร่วมกันได้ พวกจบมาสูง ม.ดังๆ นี่ผมเจออีโก แรงมานักต่อนักแล้ว ทั้งๆที่ไม่มีประสบการณ์ จริงมาเลย ส่วนตัวผมก็รับแต่เด็กเกรดกลางๆ นะครับ เพราะเกรดสูงใช่ว่าจะเก่งเสมอไป จบแต่ในเกรด A นอนมาทุกตัว แต่ปฏิบัติไม่ได้ หยิบจับอะไรไม่ได้ ผมก็ไม่รับ คุณหนูเข้าทำงานเหมือนกันครับ จากคุณ : turnontable เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:22:47

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นความจริง ที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ เพราะคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสได้เข้าไปเรียน ต่อให้เป็นคนมีประสบการณ์ ถ้าไม่โดดเด่นจริงๆ ก็สู้จบจากสถาบันดีๆไม่ได้หรอก เพราะคนที่จบจากสถาบันดีๆส่วนใหญ่ ก็ทำงานเก่งกว่าอยู่ดี การแบ่งระดับมันเริ่มตั้งแต่การคัดคนเข้าไปเรียนแล้ว จากคุณ : ..... เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:24:00 A:125.24.16.194 X: TicketID:327013

ความคิดเห็นที่ 5 การเหยียดมันมีไปกันทุกที่ ทุกแห่ง ทุกเวลา แม้กระทั่งในผับ ยังมีการเหยียดยี่ห้อของเหล้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเลย หุหุ ของแบบนี้มันต้องให้โอกาส : ) จากคุณ : SuicideJumper เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:33:19

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าคิดว่าเหล้ายี่ห้อไหน กินก็เมาเหมือนกันแล้วล่ะก็ ป่านนี้คงไม่มีใครผลิตเหล้าดีๆออกมาขายเป็นแน่ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:37:20

ความคิดเห็นที่ 7 เด็กเรียนเตรียมอุดม กับเด็กเรียนโรงเรียนวัดบ้านนอกๆแห่งหนึ่ง ยังแตกต่างกันเลยครับ แต่ถ้าพ่อแม่รวยและรู้ว่าลูกตัวเองโง่ ก็จะดันให้เข้าโรงเรียนเอกชน เพื่อให้เทียบเท่ากับโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชนก็รับข้อเสนอนี้เสียด้วย เอากะมันสิ หรือเด็กจุฬาลงกรณ์ ก็เป็นอะไรที่แบบว่าเวินเวอร์มากมาย เหมือนสถาบันนี้จะถูกเด็กรุ่นใหม่ๆทำเสีย เช่นเที่ยวไปดูถูกสถาบันข้างเคียงหรือสถาบันที่ระดับล่างกว่า และเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นจริง และผมก็คิดว่า เด็กจบสถาบันอันดับ1 กับสถาบันไก่กา หรือมหาวิทยาลัยเปิด มันเปรียบเทียบกันไม่ได้จริงๆ จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:39:08

ความคิดเห็นที่ 8 เค้าพูดถึง "ส่วนใหญ่" หรือ "ภาพรวม" ครับ.. ไอ้คำพูดที่ว่า "ไม่เสมอไป" หรือ "มันมีกรณีที" ฯลฯ นี่ จะเอามาพูดทำมัยเหรอครับ ผมงงนะครับ จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:54:37

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ว่าจบมาจากที่ไหนเกรดจะดีเท่าไร ถ้ามาสมัครกับผมแล้วถูกคัดออก ถ้าผมมีเพื่อนที่เป็น อ.สอนอยู่ที่นั่น ผมจะโทรไปบอกเพื่อนว่าสอนมายังไงนี่... จากคุณ : ซุนจื๊อ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:55:34

ความคิดเห็นที่ 10 อย่างที่กะไว้ ว่าต้องมีแบบ คห.3 มาตอบ ก็เข้าใจว่าไม่เสมอไปหนะ แต่แนวโน้มส่วนใหญ่มันเป้นยังไง ก็อย่างงั้นแหละ ยกตัวอย่าง rare case มาก็เท่านั้น ส่วนผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจบ ม. ที่เข้ายากๆ ต้องถูกตราหน้าว่า อีโก้ คุณหนู ปฏิบัติไม่เป็น ทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวกันเลย เพื่อนๆผม คนที่ได้เกรดดีดี เพราะเขาเป็นคนเก่ง และที่สำคัญกว่านั้น มีระเบียบวินัยในชีวิต รู้จักจัดสรรเวลา และมีความรับผิดชอบ ถึงได้เกรดดีดีมา จากคุณ : Mdiic~* เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 12:59:38

ความคิดเห็นที่ 11 เด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ ? แล้วทำไมไม่หาประสบการร์ตอนที่ยังไม่จบ ? จากคุณ : GrooVe_(t -_-)t เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:01:47

ความคิดเห็นที่ 12 Prejudge เป็นเรื่องปรกติในสังคมไทย ดู #3 เป็นตัวอย่างก็ได้ครับ จากคุณ : cdchd เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:02:10

ความคิดเห็นที่ 13 ...เรื่องแบบนี้ ...ถ้าจะให้คุยกันจริงๆ ก็คงยาว ...คุยกัน 3 วัน ก็ยังไม่จบ ...แต่ถ้าจะเอาแบบ สั้นๆ ...ก็ต้องเลือกเอา ว่าจะเอาแบบ "โลกสวย" หรือ "ความจริง" ...ถ้า โลกมันสวย อย่างที่ว่าจริง ...ทั้งเด็ก ทั้งผู้ปกครอง คงไม่ทุ่มเงิน ทุ่มเวลา แห่ส่งลูกตัวเอง ไปเรียนพิเศษเต็มวัน ทั้งเสาร์-อาทิตย์ เพื่ออยากเข้าโรงเรียน-มหาวิทยาลัยดีๆ หรอกครับ ...เอาเวลาอันมีค่า ในวัยเด็ก-วัยรุ่น หมดไปกับ เรื่องไร้สาระ แบบนี้ โดยเค้าไม่รู้เรื่องกันเลยเหรอ ? ...ผมว่า ชื่อเสียงของสถาบัน อาจยังไม่สำคัญเท่ากับ สังคม หรือ connection เพื่อนฝูง ในนั้น ...ซึ่งของพวกนี้ เงินซื้อไม่ได้ ...แม้แต่ เพชร(ในตม) แบบ Steve Jobs ที่ไม่ต้องเรียนให้จบก็ได้ ...ลองไปดูประวัติ ก็ยังต้องการ connection ทางสังคม และ แรงผลักดัน แบบนี้ในระยะแรกที่มหาวิทยาลัย ...เหมือนกับ มหาเศรษฐี หลายคน ที่ยอมซื้อบ้านจัดสรรของโครงการ อยู่ ...ทั้งที่ระดับเขา จะไปปลูกบ้านใหญ่โตเองที่ไหนก็ได้ ได้ออกแบบบ้านที่คุณภาพดีและตรงความต้องการ กว่านั้นเยอะ ...แต่ปัญหาเดียวที่แก้ไม่ตก ก็คือ เงินที่เค้ามีมากมายมหาศาลนั้น กลับซื้อเพื่อนบ้านและสังคมรอบข้าง ไม่ได้ จากคุณ : sungod เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:04:19

ความคิดเห็นที่ 14 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11327032/X11327032.html จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:05:40

ความคิดเห็นที่ 15 ึคนที่รับไม่ได้คนแรก ไม่ใช่นักศีกษาหรือศิษย์เก่าหรอก อาจารย์ในมหาวิทยาลัยนี่แหละ พวกดอกเตอร์แก่ๆที่กำลังเป็นผู้บริหาร จะเป็นกลุ่มแรกที่ออกมาโต้การจัดอันดับ เมืองนอกเขาวัดผลเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเรามองเป็นการหยาม หักหน้ากัน จากคุณ : jaycee เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:07:51

ความคิดเห็นที่ 16 คงเป็นเพราะนิสัยอย่างนึงคือ เห็นใครดีกว่าตัวเองไม่ได้ ใครมีอำนาจก็ได้เปรียบ ที่จะกำหนดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตัดโอกาสคนนั้นคนนี้ อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้สนใจงานด้านวิชาชีพมั่งคับ อยากไปทางด้านวิชาการ เรื่องของงานวิจัย บุคลากรผุ้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาในแต่ละมหาวิทยาลัยมันเลยสำคัญกว่า คะแนนการจัดอันดับ แต่ถ้าทางด้านวิชาชีพผมว่ามันน่าจะมีส่วนมาก เพราะการจัดอันดับมันถือเป็นการประกันความน่าเชื่อถือศักยภาพคนที่จบไปในองค์กรนั้น อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่า การกดคนอื่นให้ต่ำลง ไม่ได้หมายความว่าตัวเองสูงขึ้น จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:10:34

ความคิดเห็นที่ 17 แต่ถ้าอย่างเข้าองค์กรใหญ่ ๆจริง ๆ แนะนำสถาบันชั้นนำที่กล่าวขานกันมา จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:16:38

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องนี้ผมว่ามันก็จริงนะครับ แบบของค.ห.3ก็จริง แต่น้อยกว่า จากคุณ : SteamPower เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:19:01

ความคิดเห็นที่ 19 มันก็ขึ้นกับทัศนคติ ของหัวหน้าสายงานนั้นๆแหละครับ คงบอกไม่ถูกว่าเป็นส่วนใหญ่ หรือส่วนน้อย เพราะโลกมันเปลี่ยนแปลงทุกวัน ยิ่งถ้าเป็นบ.ข้ามชาติ ที่ผู้บริหารฝรั่งลงมาสัมภาษณ์งานเอง อันนี้อันดับมหาลัยในประเทศไม่ค่อยมีผลเท่าไร เพราะเขาดูบุคลิก ทัศนคติ และการทดสอบเฉพาะหน้ามากกว่าจริงๆ (เด็กเกรดสวยจำนวนไม่น้อย ที่สื่อสารภาษาอังกฤษง่ายๆกับฝรั่งตัวจริงไม่ได้เลย) นั่นคือ ชื่อเสียงของสถาบันมันเป็นคะแนนส่วนหนึ่งจริงครับ แต่ไม่ใช่คะแนนทั้งหมด ส่วนการเปรียบเทียบสถาบัน ก็ต้องเข้าใจว่าเรายังไม่ค่อยมีการตรวจวัดเปรียบเทียบ อย่างที่ฝรั่งเขาทำกันจริงๆจังๆ มีแต่ใช้ชื่อเสียงที่วัดค่าไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นที่ีฝังหัวของคนรุ่นเก่า ที่ไม่ได้ลงมามองผลงานวิจัยจริง ว่าสมัยใหม่ บางสถาบันเขาอาจจะแซงไปแล้วก็ได้ ซึ่งบางคณะ ที่วัดผลงานด้วยยอดงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงวารสารนานาชาติ และจำนวนศาตราจารย์ คุณอาจจะแปลกใจว่าสถาบันเก่าแก่ ก็ไม่เคยชนะ อีกสถาบันที่เก่าแก่น้อยกว่าเลยทีเดียว(ขอเว้นชื่อสถาบันไว้) แต่เด็กม.ปลาย และคนนอกวงการกลับยังเชื่อชื่อเสียงเก่าๆกันอย่างเดียว ป.ล. connection เป็นสิ่งที่ต้องสร้างเองครับ ถ้าเป็นอนุบาล ประถม ค่อยหวังผลจากสถาบัน จากเพื่อนร่วมห้่องที่ไม่ต้องขวนขวายที่อื่น แต่ถ้าโตกว่านั้น หัดหาเพื่อนให้เป็น ถ้าคุณมีบุคลิกภาพที่ดี คุณจะมี connection มากกว่าที่ได้มาเพียงเพราะเรียนที่เดียวกันอีกเยอะเลยทีเดียว จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:19:19

ความคิดเห็นที่ 20 ชื่อเสียงของสถาบัน มีผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานจริง ๆ ครับ อันนี้ประสบกับตัวเองมาครับ ยืนยันว่าจริง    แต่ก็นั้นแหละมันเป็นกรอบที่สังคมกำหนดเอาไว้ให้คุณเดิน คนส่วนใหญ่ก็มันจะทำอะไรตามกรอบที่สังคม กำหนดไว้ และกรอบที่ว่านี้ไม่ได้เป็นจริงกับทุก ๆ กรณี การจัดลำดับสถาบันถือว่าเป็นเรื่องมีประโยชน์นะในความเห็นผม แต่ไม่ใช่เอาไปใช้ในทางที่ผิด คิดว่า จบจากสถาบันที่มีชื่อแล้ว ฉันเก่งแล้ว ไม่ฟังใคร ทำตัวเป็นคน EGO สูงอยู่ในองค์กรไปวัน ๆ  อย่าง นั้นมันก็ไม่มีใครเอาครับ ส่วนทำไม "ทำไมคนไทยถึงรับไม่ได้กับการเปรียบเทียบสถาบัน" เพราะคนไทย มักนิยมการแบ่งชนชั้น  แล้วรับไม่ได้หาก ถูกสังคมลดชนชั้นหรือดูถูกจากสังคม รวมไปถึง ขี้อิจฉา ไม่ชอบเห็นใครประสบความ สำเร็จหรือดีเกินตัวเอง   ประมาณนี้ครับ  จากคุณ : LogiEng เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:22:19

ความคิดเห็นที่ 21 คิดว่าสังคมบ้านเรายังแยกคนทำงานเก่งกับคนเรียนเก่งไม่ได้ คนมีประสบการณ์สูง แต่วุฒิไม่สูง แต่ทำงานเก่ง ได้เงินเดือนต่ำกว่าเด็กจบใหม่ที่ไม่รู้งานแต่วุฒิสูงซะงั้น หรือจะมีคนบางจำพวกที่เกรดแย่มากแต่ให้ทำงานจริงเก่งก็มี หรือคนบางคนที่ทำงานไม่ตรงสายแต่เก่งมากๆเก่งกว่าคนจบตรงสายก็มี สถาบันที่ดีก็มีโอกาสเจอคนเก่งเยอะก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด คนส่วนใหญ่ให้คุณค่าของสถาบันมากเกินไปหน่อยก็เท่านั้นเอง จากคุณ : DevilDoll เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:30:54

ความคิดเห็นที่ 23 โลกสวยกันเกินครับ ใช่ครับ ม.ไม่ดังมันก็มีที่ได้ดี แต่มีกี่คนหล่ะ เทียบกับม.ดังๆ เด็กที่เค้าเรียนเก่งสอบเข้ามหาลัยได้เค้าไม่ได้จับฉลากได้นะครับ เค้าต้องตั้งใจเรียนมุมานะมีความพยายามเหมือนกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นคุณสมบัติที่ดีของคนทำงาน จริงอยู่เด็กเก่งมีปัญหาอีโก้ เด็กไม่เก่งถ้ามองจริงๆมันก็มีปัญหาความขยัน การเกเร หรือหัวไม่ถึง เพราะถ้าหัวดีแล้วไม่มีปัญหาใดๆก็คงไปอยู่ในกลุ่มเด็กเก่งไปแล้ว ดังนั้นถ้าคนจบใหม่ไม่มีผลงาน ใครๆคงมองที่สถาบันและเกรดก่อน ส่วนประเด็นเข้าง่ายออกยากผมยิ่งมองว่าไม่แปลกเพราะ ม.ดังๆ มีเด็กเก่งเข้ามามาก คนเก่งเรียนที่ใหนมันก็จบ ดังนั้นคงจบเลยมากมองเผลินๆก็จบง่าย แต่กลับกันบางแห่งไม่ดังมากเข้าง่ายเลยมีคนเก่งไม่เก่งปะปนไป ดังนั้นคนจบก็คือคนเก่งระดับหนึ่ง ส่วนคนที่เข้ามาง่ายๆแต่ความรู้ความพยายามไม่ถึงก้ไม่จบ มองเป็น % จึงมองว่าเข้าง่ายออกยากก็เท่านั้น ส่วนคนมีประสบการณ์แล้วพื้นฐานเป็นเด็กมหาลัยดีก็ยังมีผลอยู่ เพราะงานแรกของเด็กม.ดังเกรดดีมักจะได้งานจากบ.ใหญ่ บ.ดัง ต่างจากเด็ก ม.ธรรมดาที่มักจะได้บ.รองๆลงมาเป็นงานแรก ดังนั้นโปรไฟล์มันก็มักจะดีกว่ากันพอสมควร จริงอยู่ครับที่ทั้งหมดมันมีกรณียกเว้น แหมมคนจบป.6 ยังเป็นเศรษฐีพันล้านเยอะแยะ แต่ผมพูดถึงคนส่วนใหญ่มองตามหลักสถิติ ครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 13:55:58 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 13:55:12 จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:45:08

ความคิดเห็นที่ 24 มันเป็นเรื่องจริงครับ เก่งแค่ไหน ไม่จบสถาบันในหัวใจเขา เขาก็ไม่สนอยู่ดี โดนมาจนสอนไปถึงหลานแล้วครับ จากคุณ : ปะเลอะปะเต๋อ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 13:56:37

ความคิดเห็นที่ 25 8 เกียร์เก่ามีอะไรบ้างคะ? จากคุณ : สวย ส่ายสุดๆ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:04:00

ความคิดเห็นที่ 26 แต่มันก็เป็นเรื่องไม่ดีใช่มั๊ยครับ ปิดกั้นโอกาส โดยยังไม่ทันได้เห็นศักยภาพของเขาเลย ขนาดจะไปเขียนใบสมัครเขายังไม่ให้โอกาสเลย จากคุณ : ปะเลอะปะเต๋อ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:05:24

ความคิดเห็นที่ 27 เก่งไม่เก่งวัดได้จากการทำงานครับ โดยส่วนตัวแล้วเด็กที่จบจาก ม ดังจะบริหารจัดการงานได้ดีกว่า  แต่ ม กลางๆ กลับมีความนิ่งและสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่า  จับมารวมๆ กัน ก็จะได้ทีมที่มีความหลากหลายครบเครื่องดีครับ จากคุณ : a fat cat in a hat เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:11:16

ความคิดเห็นที่ 28 มันคือความเป็นจริงของเด็กจบใหม่ครับ จบที่ดีๆหางานได้ง่ายๆ จบที่โนเนมก็หาได้ครับแต่อาจจะช้ากว่าหน่อย ไม่เห็นแปลก จากคุณ : Sawakato เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:28:23

ความคิดเห็นที่ 29 เหล้าไทยเหล้านอกรสชาติมันต่างกันจริงก็ยอมรับ ชื่อเสียงของสถาบันก็มีผลจริงไม่โลกสวยเหมือนกัน แต่คนที่กินเหล้านอกมีศักยภาพกินได้ก็กินไปสิครับใครจะไปว่าอะไร ทำไมต้องมาดูถูกคนกินเหล้าไทยด้วยหล่ะ โอกาสศักยภาพคนเรามันเหมือนกันซะที่ไหน ไอ้ที่มันดราม่ากันอยู่เนี่ยไม่ใช่เพราะจัดอันดับไม่ได้ หรือไม่ยอมรับการเปรียบเทียบหรอก แต่เป็นเพราะว่ามันไม่ได้เปรียบเทียบด้วยผลดีผลเสีย แต่กับยกตนข่มท่านดูถูกดูแคลนคนที่เขาไม่ได้มีโอกาสเหมือนตัวเองต่างหาก ไม่เข้าใจว่าสังคมมันเปลี่ยนไปแล้วหรือ ต้องแรงต้องประชดประชันกันเข้าไว้ ถึงจะดังหรือยังไงกันครับ จากคุณ : เผงซ่า เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:32:19

ความคิดเห็นที่ 30 สถาบันสำคัญมากนะครับ สังคมต่างกันมากจริงๆ (สัมผัสมากับตัวเลย) โดยเฉพาะอาจารย์ การแข่งขัน ความคิด การเข้าถึงข้อมูล แตกต่างกันมาก แต่การเอามาเปรียบเทียบโดยดูแค่สถาบันมันก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอ เพราะบางทีมันก็แตกต่างกันตั้งแต่ฐานะทางสังคมแล้วครับ (จน หรือ รวย ครอบครัวอบอุ่นไหม ฝึกให้รับผิดชอบไหม บลาๆๆ) บางคนเขารักสถาบัน เขาก็ต้องเอาพวกตัวเองเข้าทำงานอยู่แล้วครับ เจอดีบ้างไม่ดีบ้าง มันก็ปนๆกันไป โลกนี้มันเป็นโลกแห่งการแข่งขันครับ โลกของธุรกิจ เขาก็วัดกันที่เงินในกระเป๋า พอบริษัทคุณใหญ่แล้ว มันก็มีทุกมหาลัย แหละครับ ไม่มีเวลามาคิดเรื่องสถาบันหรอกครับ อาจจะยากเรื่องสมัครงานเจอ เล่นเส้น แต่พอคนไม่พอ สถาบันไหนเราก็รับครับ จากคุณ : กินข้าวดูหนังฟังเพลง เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:36:50

ความคิดเห็นที่ 31 ผมไม่รู้หรอกนะครับว่ามันปิดกั้นหรือไม่อย่างไร แต่มันคือความเป็นจริงที่เกิดจริง การดูถูกดูแคลนต่อให้ไม่มีการจัดอันดับมันก็เกิดขึ้นจริงอยู่อยู่ที่คุณจะยอมรับหรือไม่ ผมไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้มันดีนะแต่มันคือความจริงยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ ต่างประเทศเค้าก็ยังแบ่งแยกด้วยมหาลัยเลย จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:38:52

ความคิดเห็นที่ 32 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 8 เกียร์เก่าครับ จากคุณ : hoomupoo เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:55:46

ความคิดเห็นที่ 33 เค้าวัดกันตั้งแต่ อนุบาล แล้วครับสมัยนี้... โรงเรียนรัฐในระดับประถม ไม่มีใครอยากเข้า ไปเ้ข้าเอกชนกันหมด พอมาระดับ ม.ต้น ก็สอบเข้า รร.รัฐฯระดับเทพๆให้ได้ มหาลัยก็เช่นกัน บริษัทที่ทำงานหลังจบก็เหมือนกัน บริษัทห้องแถว จะไปสู้ระดับประเทศได้ยังไง ? อ้อ....บางที เค้าวัดแ่ข่งกันตั้งแต่ "แม่คลอดลูกที่ รพ.ไหน" ด้วยซ้ำไป จากคุณ : ฟหกด2 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 14:56:49 A:203.172.196.35 X: TicketID:323088

ความคิดเห็นที่ 34 เราเห็นด้วยกะคุณ จขกท.นะ เหตุผลเราคงไม่พิมพ์ล่ะ เพราะหลายๆความเห็นตอบไว้ดีแล้ว แต่จะมาให้ความเห็นถึงคนบางจำพวกที่ไม่ฉลาดเท่าไร แต่พยายามที่จะเข้าเรียน ม.ดังๆอย่างเช่น จุฬาให้ได้ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นคณะอะไร คะแนนแย่แค่ไหน คนจำพวกนี้ก็สอบเข้าจุฬาได้จริง แต่เป็นคณะที่คะแนนค่อนข้างต่ำ และพอเรียนๆไปก็ไม่ตั้งใจเรียน เรียนได้คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถ้าเป็นแบบนี้นะ เราว่าเด็กเรียนเก่งจาก ม.ไม่ดัง ยังจะดีกว่าเด็กที่คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินจาก ม.ดังๆ อีก แต่ตรรกะนี้จะใช้ไม่ได้กับคณะที่คะแนนสอบเข้าสูงมากๆๆ เช่น ถ้าเป็นคณะที่คะแนนสูงเสียดฟ้าอย่างวิศวะ จุฬา ต่อให้เด็กที่ได้คะแนนต่ำๆของคณะ เราว่าก็เป็นเด็กเก่งนะ เพราะคะแนนตอนสอบเข้ามหาลัย มันเป็นตัวชี้วัดส่วนนึงแล้ว เรามีกรณีตัวอย่าง เด็กแพทย์ มหิดล กับ เด็กวิศวะ มหิดล ใครๆก็รู้ แพทย์ มหิดล คะแนนสูงเสียดฟ้า วิศวะ มหิดล คะแนนกลางๆเท่านั้น จับมาเรียนวิชาคำนวณเดียวกัน คุณว่าใครได้คะแนนดีกว่า ใครๆต้องคิดว่าเด็กวิศวะ ใช่มั้ย เปล่าเลย เด็กที่เรียนคะแนนท็อปๆในชั้นหนะ เด็กแพทย์ มหิดล เพราะอะไร ก็เด็กมันเก่งอยู่แล้ว หัวดี สอนอะไรก็เรียนรู้เร็ว (อันนี้ เพื่อนเรามาเล่าให้ฟังอีกทีนะ) แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 15:05:34 จากคุณ : groundtruth เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 15:00:45

ความคิดเห็นที่ 35 ผมว่าการเปรียบเทียบมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาไม่ผิดหรอกครับ มันถูกต้องแล้วที่ทุกคนก็ต้องแสวงหาแต่สิ่งที่ดีให้กับชีวิต และการองุ่นเปรี้ยวมันเป็นสิ่งที่มีจริงในสังคม แต่ผมว่าเหตุที่เกิดการทะเลาะไม่ใช่จากการเปรียบเทียบเท่าไหร่ครับ มันอยู่ที่ "มารยาท" ในการเปรียบเทียบต่างหาก สถาบันใคร ใครก็รักครับ ก่อนหน้านั้นเขาอาจจะอยากอยู่ที่ที่ดีกว่านี้แต่หลังจากที่เขาเข้าไปเรียนแล้ว ที่นั่ก็คือสถาบันของเขาครับ หากมีการเปรียบเทียบอะไรเกิดขึ้น และการกระทำนั้นใช้ถ้อยคำที่คนมีมารยาทเขาพูดกัน คงจะดีกว่านี้คงจะไม่ทำให้เกิดการขุ่นเคืองเกิดขึ้นครับ ผมไม่ได้องุ่นเปรี้ยวนะครับ ตอบตามตรงหากมีอะไรที่ดีกว่านี้ที่ผมสามารถจะไขว่คว้าได้ ผมก็คงจะเลือกที่จะไปและคงไม่ผิดหรอกครับที่จะรักจะเชื่อมั่นในสถาบันของนเอง(ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ หรือธรรมดา) แต่ผมคงไม่มองกลับมาที่เดิม หรือที่ที่อยู่ระดับล่างกว่าแล้วพล่ามดูถูกเขาไปทั่วหรอกครับ แล้วสังเกตุไหมหล่ะครับ ว่าทุกครั้งที่มีคำถามเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาเกิดขึ้นต้องทะเลาะกันแทบทุกครั้ง ท่านคิดว่าเกิดจากการอวยสถาบันตนเองอย่างเดียวหรือครับ แต่มันเกิดจากอะไร โตๆ กันแล้วก็ลองคิดดู หรือไม่ก็ลองกลับไปหากระทู้เดิมๆ ที่ทะเลาะกันดูครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 15:31:05 จากคุณ : กลับไปดูกระทู้เดิม (ถุนคุง) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 15:15:09

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นด้วยกับความเห็นหลายๆความเห็นนะครับ แต่ขอล่ะ เวลาเปรียบเทียบกัน ขอให้มี "มารยาท" นิดนึง การพูดข่มกัน การพดทับถมกัน การพูดแข่งกัน การดูถูกัน ลูกฉันเก่งกว่า ลูกเธอเก่งน้อยกว่า ฯลฯ ..... เสียมารยาทที่สุด จากคุณ : deep vein thrombosis เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 15:47:27

ความคิดเห็นที่ 37 ไร้สาระ!     จะสถาบันอะไรก็เถอะเวลาเข้าไปทำงานแล้วไม่ได้เรื่องก็โดนถีบออกมาทั้งนั้นแหละ  ปริญญาน่ะเป็นแค่ใบผ่านให้เข้าไปอยู่ในสายงานที่เราต้องการเท่านั้น  พอถึงเวลาทำงานจริงๆแล้วไม่มีใครมาสนเท่าไหร่หรอกว่าคุณจบจากที่ไหนมา  ต่อให้เกียรตินิยมอันดับ1มีคะแนนสูงที่สุดในรุ่นแต่ทำงานไม่เป็นสับปะรดบริษัทเขาก็ไม่เลี้ยงไว้ทำพันธุ์หรอกครับ (เว้นแต่จะออกมาเป็นเจ้าของกิจการเองก็อีกเรื่องหนึ่ง)     จริงอยู่ที่นักศึกษาหลายคนรักสถาบันที่ตนเองจบมาเป็นอย่างยิ่ง  แต่ก็ไม่ควรเอาเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นเพื่อเหยียดหยามผู้อื่นในวงสนทนา  ความจริงใครก็ตามที่ขยันศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะจบจากสถาบันไหนมาก็มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงานทั้งนั้นแหละครับ  ไม่ใช่ว่าจบจาก "ท็อปไฟว์" ของรัฐบาลมาแล้วจะเป็นเครื่องการันตีว่าคุณจะต้องประสบความสำเร็จไปจนแก่เถ้าซักหน่อย       โลกของธุรกิจและการแข่งขันน่ะมันมีอะไรมากกว่าและโหดร้ายกว่าสิ่งที่คุณเจอมาในมหาลัยมากมายนัก  ดังนั้นอย่าพยายามทำตัวกร่างให้มากไม่ว่าจะกำลังเรียนอยู่ในสถาบันไหน หรือทำงานอยู่ในบริษัทพลังงาน แท่นขุดเจาะน้ำมัน ปูนซีเมนต์อะไรก็ตาม  เห็นหลายคนเหลือเกินชอบคุยโม้โอ้อวดว่าทำงานในบริษัทชั้นนำแล้วไปตั้งแง่ดูถูกคนที่จบจากมหาลัยหรือสายงานอื่นทั้งๆที่มันเป็นชีวิตที่เขาเหล่านั้นเลือกเอง     เพราะเวลาจะขอไปเป็นลูกจ้างเขาน่ะก็ต้องพินอบพิเทาเอาใบปริญญาใส่แฟ้มอย่างดีไปให้เขาดู  แต่เวลาทำงานไม่ได้เรื่องน่ะต่อให้เอาใบปริญญาแปะหน้าไปทำงานหรือตอบคำถาม "รู้มั๊ยท้องฟ้่าสีอะไร" ถูกต้องเขาก็จะเขี่ยคุณออกไปพร้อมจดหมายและเงินก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเป็นเจ้าของกิจการน่ะใบปริญญาของคุณก็กรุณาเอาเก็บเข้าตู้เซฟหรือแขวนข้างฝาไปได้เลย  เพราะเขาคุยกันด้วยภาษเงิน เงิน เงิน และเงิน!เท่านั้น       เวลาคุณจะไปขอเครดิตหรือกู้เงินเขามาหมุนในระบบก็ต้องดูเครดิต สเตทเม้นส์ หรือสมุดบัญชี  พอสั่งของไปไม่มีเงินจ่ายเขาก็ฟ้อง หรือคุณปล่อยของแล้วเขาไม่มีจ่ายก็จะโดนเชิดหนีไป  ตอนนั้นใบปริญญามันก็มีค่าเทียบเท่ากระดาษเช็ดก้นราคาถูกๆใบหนึ่งเท่านั้นเอง  เอาไปแลกเงินมาหมุนก็ไม่ได้เอาไปทวงเงินบรรดาลูกหนี้ที่จ่ายเช็คเด้งก็ไม่มีประโยชน์อันใด     บางครั้งความสุขในชีวิตของคนเรามันไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีเงินเดือนสูงๆ  ทำงานอยู่ในบริษัทที่พอพูดชื่อไปแล้วคนรู้จักกันทั้งบ้านทั้งเมือง  แต่ผมกลับคิดว่าความสุขที่แท้จริงของชีวิตนั้นคือการได้กระทำสิ่งที่ตนเองรักและพอใจมากกว่า  ถ้าได้แบบนั้นต่อให้คุณย้ายไปอยู่ไกลปืนเที่ยงแล้วปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงหมู จับปลาไปวันๆคุณก็จะเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้วครับ! (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 16:05:46

ความคิดเห็นที่ 38 เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน จะเป็นไปได้ยังไง ความชำนาญของครู เทคนิคการสอนของครู รวมไปถึงความครบครันของอุปกรณ์การเรียนการสอน ล้วนแต่มีผลต่อความสามารถของเด็กทั้งนั้น rare case ที่เด็กเก่งจริงในสถาบันที่ไม่ดัง มันก็มี แต่ลองคิดดูว่า ถ้าเด็กคนนั้นได้เรียนในสถาบันที่ "พร้อม" มากกว่า เชื่อได้ว่าต้องเก่งกว่านี้แน่ๆ จากคุณ : oppertunity เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 16:16:45

ความคิดเห็นที่ 39 ที่ จขกท. ว่ามาส่วนใหญ่ก็ถูก ภาพรวมเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราต้องยอมรับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก และคนเราไม่ได้มีโอกาสแค่ครั้งเดียวในชีวิตด้วยEntrance  คนที่พลาดก็เริ่มต้นใหม่ มีมหาลัยที่ดีมีคุณภาพอีกมากไม่ว่าม.เปิดหรือม.เอกชนหรือม.เมืองนอก  เรื่องการทำงานก็เหมือนกันก็เป็นไปได้ว่าเรียนไม่เก่งแต่ทำงานบางอย่างเก่งหรือมีทักษะบางด้าน เพราะชีวิตมันคือภาพรวมทั้งหมด จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 16:21:30

ความคิดเห็นที่ 40 จากประสบการณ์ที่มีลูกน้อง (น้อยมาก ไม่สามารถสรุปทางสถิติได้) ทั้งของตัวเองเพื่อนฝูงในหลายๆบริษัท คิดเหมือนกัน สบาบันมีชื่อ และสถาบัน ที่มีชื่อน้อยกว่า เด็กเพิ่งจบไม่ถึง 2-3 ปี ไม่เอางานเหมือนกันครับ วันๆ เล่นโทรศัพท์ เล่นเนท สั่งงานแค่ไหนทำแค่นั้น เน้นงานเสร็จผิดถูกไม่รู้ ไม่สน ให้หัวหน้าไปแก้งานเอง เน้นเที่ยว (กลางคืน กินข้าว ตจว) ส่วนเรื่องหัวไว สอนงานแล้วเก็ทเร็ว สถาบันมีชื่อ เก็ทเร็วกว่าสถาบันที่ชื่อเสียงด้อยกว่า ครับ จากคุณ : +One Side Love+ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 16:24:14

ความคิดเห็นที่ 41 ผมเห็นด้วยกับการจัดอันดับ มหาวิทยาลัยต่างๆจะำได้ตื่นตัวกันหน่อย จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 16:27:14

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าน้องมีโอกาส เข้าเรียนต่อโท ในมหาลัยดัง โอกาสหางานจะง่ายขึ้นมากครับ แต่สำหรับผม ไม่ทันซะและ ต่อโท เข้าง่ายกว่าตอน ป.ตรีมากครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 16:39:00 จากคุณ : ปะเลอะปะเต๋อ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 16:38:32

ความคิดเห็นที่ 44 ถึง คห.37 ที่ผมพูดหมายถึงสำหรับคนที่จะเดินตามกรอบของสังคมคือ ตั้งใจเรียน > เข้ามหาลัย > เรียนจบ > สมัครงานทำ มันเป็นแบบนี้จริงๆ หลายๆความเห็นก็เห็นตรงกัน แต่ถ้าหากคุณโชคดี มีพ่อแม่คุณที่มีกิจการปูทางไว้ โอเคใบปริญญาก็หมดความหมาย เป็นเพียงกระดาษที่แสดงว่าตัวเองมีความรู้ ความสามารถพอที่จะพูดให้คนอื่นเชื่อถือ และทำตาม แต่สำหรับคนทั่วไปที่จบมาแล้วต้องสมัครงานทำใบปริญญาจำเป็นอย่างยิ่ง เป็นใบผ่านทาง คุณอาจจะดูถูกว่ามันเป็นเพียงแค่ใบผ่านทาง แต่มันมีความหมายสำหรับหลายคนมาก ผมยกตัวอย่าง วิศวกรธรรมดารายได้ Start 16000 บาท กับวิศวกรบริษัทชั้นแนวหน้ารายได้ Start 30000+ รายได้ห่างกันเป็นเท่าตัว โอกาสในการตั้งตัวในการทำธุรกิจ โอกาสหา Connection และคุณภาพชีวิตย่ิอมดีกว่ามาก ผมละเบื่อจริงๆเวลาคนยกตัวอย่าง rare case ขึ้นมา ทำให้ใครหลายคนเขวเป็นอย่างมาก คุณต้องเป็น 1 ในร้อยหรือ 1 ในพันจึงจะมีโอกาสแบบนั้น พวกมาแบบเสื่อผืนหมอนใบ แล้วได้เป็นนักธุจกิจพันล้านมันไม่มีแล้วครับ ตอนนี้เป็นโลกของทุนนิยม วัตถุนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนไม่มีเงิน ไม่มีโอกาสก็ถอยไป ถูกเอาเปรียบเป็นธรรมดา สำหรับคนที่บอกว่าตัวเองพอเพียง ปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงหมู ในบ้านนอกก็มีความสุขแล้วนั้นผมยินดีด้วยครับที่คุณไม่ยึดติด เป็นคนที่เดินนอกกรอบสังคมขีดเส้นเอาไว้ ฉะนั้นก็อย่ามาเรียนมหาลัยเลยดีกว่า ไปทำสิ่งที่ตนเองมีความสุขเถอะ แต่ส่วนใหญ่ไม่เลย กลับเป็นคนที่เหนื่อยล้าและยอมแพ้กับสังคมการแข่งขัน สังคมความทะเยอทะยาน ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความคิดที่เจียมตนเองว่าเรามีแค่นี้ อย่าไปอยากได้เลย เหนื่อยเปล่าๆ แต่พอถูกเอาเปรียบด้วยโลกทุนนิยมก็ออกมาประท้วงโวยวายไม่จบไม่สิ้น แล้วจะมาเรียกร้องคุณภาพชีวิตให้่ได้ดีแบบพวกยุโรป อเมริกา ฝันไปเถอะครับ จากคุณ : คุณชายเทวดา เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 16:56:39

ความคิดเห็นที่ 45 คุณไม่ชอบการถูกเหมารวมไหมล่ะ? นั่นแหละคำตอบ จากคุณ : oryze เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:15:38

ความคิดเห็นที่ 46 เอาจริงเลย บริษัทต่างชาติเข้ามาขยายสาขาในประเทศไทยเค้าไม่รู้จักหรอกครับแปดกงแปดเกียร์อะไรนั้น หัวหน้ามาสัมพาสงานเองครับไม่ได้ใช้ฝ่ายบุคลที่ไหน คำถามแรกเค้าถามว่ามีประสบการณ์หรือป่าวแค่นั้นแหละครับ มีเค้าก็ start เงินเดือนให้สองหมื่นสองแล้วครับ แล้วก็ถามวัดความรู้เกี่ยวกับงานที่ทำเงินก็บวกกเพิ่มไปอีก เค้าไม่เห็นจะสนใจเลยว่าคุณมาจากไหน เค้าไม่ดูด้วยว่า gpa คุณได้เท่าไร รุ่นผมเข้ามาเด็ก แปดเกียร์กันสองสามคน เจอเด็กขอเอ่ยสภาบันหน่อยนะครับมหานคร ทำงานเข้าไป เค้าทำงานได้ดีกว่าพวกเด็กแปดเกียร์เยอะซึ่งรวมถึงผมด้วย ต่างจาก เด็กแปดเกียร์อีกคนทำงานเห้อ ส่วนเด็กจบใหม่แบบผม start เงินเดือนเท่ากันหมดไม่ว่าจะจบจากไหนก็ตาม โปร ปีนึงครับ สำหรับผม สถาบัน กับเกรด มีก็แค่ใบเบิกทาง และรู้สึกว่าจะใช้ได้กับบริษัทในประเทศไทยด้วยครับ แต่สิ่งที่มีผลมากกว่า ก็คือสิ่งที่รุ่นพี่ทำไว้ อย่างไอ้เด็กแปดเกียร์รุ่นเดี่ยวกับผม ผมว่ารุ่นน้องเค้าคงจะทำงานในบริษัทนี้ยากอะครับ จากคุณ : amino OK? เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:25:50 A:125.27.149.124 X: TicketID:314123

ความคิดเห็นที่ 47 แขนงสาขาอื่นผมไม่รู้นะ แต่ถ้าเป็นสาขาผม  ผมว่าจบที่ไหนก็เหมือนกันจริงๆและอยู่ที่ทักษะของเราเองด้วย จากที่เคยเจอกับรุ่นพี่ที่ทำงาน ที่จบจาก8 เกียร์ ซึ่งเข้ามาอยู่เป็นกลุ่มเลย แต่เอาเข้าจริงพวกนี้กลับโชว์ได้แต่ทฤษฏี+ทำดูดี+ดีแต่พูด สุดท้ายจับกลุ่มสถาบันตัวเอง เล่นการเมืองภายในองค์กร คอยสกัดคอยกดเด็กสถาบันอื่นไม่ให้เติบโต  (พอพวกนี้ได้เป็นหัวหน้า พอจะรับเด็กใหม่ก็เลือกเน้นจะรับแต่สถาบันพวกตัวเองอีก) คำว่า"ทฤษฏีจัด ปฎิบัติไม่ได้เรื่อง" มันมีจริงๆครับ สอดคล้องคำว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงานครับ เราอย่าไปเน้นว่าจบจากสถาบันเกรดไหน แล้วจะใช่เสมอไป คนเก่งบางคน เก่งแต่ตอนจะสอบเข้าเรียนสถาบันที่ดีๆ กับอีกกลุ่มที่เรียนสถาบันโนเนม แต่มาSpeedความเก่งตอนหลังหรือตอนจบ เพราะผมเชื่อว่าความเก่ง+ความขยันมันมีอยู่ในทุกคนครับ อยู่ที่คนๆนั้นจะโชว์ออกมาช่วงเวลาตอนไหน จากคุณ : วิดวะอิเลก เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:40:59

ความคิดเห็นที่ 48 เราไม่ได้เป็น อ.พิเศษ ทั้งที่จุฬา ทั้งที่มหิดล นะ (แต่เคยเป็น อ.ที่ปรึกษาร่วม ในงานวิทยานิพนธ์ของเด็กทั้งสองสถาบัน เราเป็น อ.ที่ปรึกษาร่วม ที่มหาลัยอื่นๆด้วย ไม่ใช่แค่ 2 ที่นี้ แต่ไม่ขอยกชื่อสถาบันล่ะ กลัวมีเรื่องอีก) เราไม่รู้ว่าการยกตัวอย่างของเรามันทำให้หลายๆคนรู้สึกไม่ดี เราแค่อยากให้เห็นภาพ เลยยกตัวอย่างสถาบันขึ้นมา คราหลังเรารู้ล่ะว่าห้ามยกชื่อสถาบันขึ้นมา เพราะมันจะเกิดการโต้เถียงไม่รู้จักจบสิ้น จากคุณ : groundtruth เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:06:44

ความคิดเห็นที่ 49 คือผมต้องมองว่า เด็กจบใหม่ ไม่เคยทำงานที่ไหนกันมาก่อน เราจะใช้อะไรตัดสินเด็กครับ แน่นอนคนเราจะมองสถาบันที่จบ และเกรดที่ออกมา แต่เวลาผ่านไปสักสองปี วัดกันที่ความสามารถล้วนๆครับ จากคุณ : คนไร้สมอง เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:16:30

ความคิดเห็นที่ 50 เรื่องบริษัทอินเตอร์ ผมว่ายังไงจบมหาลัยดังยังไงก็ได้เปรียบกว่าแน่นอนน่ะครับ เพราะยังไงhr ก็เป็นคนไทยอยู่ดี และจากที่ผมเคยสัมภาษณ์มา ถึงตัวhrจะจบเมืองนอก เค้าก็เลือกที่มหาลัยก่อนอยู่ดีล่ะครับ ดูง่ายๆอย่างคุณไปสมัครงาน ถึงคุณจะจบเมืองนอก เค้ายังดูเลยครับว่ายูที่คุณจบน่ะมีชื่อเสียงแค่ไหน ไม่ว่าจะเมืองไทยหรือเมืองนอก บ.ดีๆเค้าย่อมต้องการคนที่จบจากมหาลัยดีๆก่อนอยู่แล้ว ของแบบนี้มันต้องดูภาพรวม โอเคว่ามันอาจมีเคสแบบที่คห.ข้างบนบอกมาบ้าง แต่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะเป็นคนนั้น โอกาสมันอาจจะมีแค่ไม่กี่เปอร์เซนต์ แล้วที่บอกว่าบ.ต่างชาติเค้าไม่รู้จักว่าม.ไหนดังนี่ไม่จริงแน่นอน การที่บ.จะเข้ามาลงทุน เค้าย่อมต้องหาข้อมูลให้ครบทุกด้าน ถ้าไม่นั้นคนเกรด3.5เท่ากัน เค้าจะรู้ได้อย่างไรว่า3.5นั้นมันมาตรฐานเท่ากันหรือไม่ เค้าอาจไม่รู้จัก8เกียร์ แต่เค้าต้องรู้ว่าม.ไหนในประเทศนั้นที่มีชื่อในด้านนั้นๆ อย่าว่าเมืองไทยแบ่งแยกสถาบันเลยครับ บ.ดังๆที่เมืองนอกเค้าก็เลือกเหมือนกัน คนที่ทำงาน jp morgan หรือ IMF ยังต้องจบยูดัง เกรดดีเลยครับ จากคุณ : wangaree (wangaree) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:18:56

ความคิดเห็นที่ 51 #37 ไปว่าเค้าไร้สาระได้ยังไงหล่ะครับ เค้ามาพูดถึง "โอกาสได้งาน" ครับ คุณเจไดหนุ่มเล่นไปเปลี่ยนเป็น "โอกาสรักษางาน" นี่ เหตุผลที่เค้ายกมาจะผิด จะไร้สาระ มันก็เพราะน้ำมือคุณเจไดหนุ่มนะครับ บางครั้งมันอาจไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญ แต่เค้าพูดคนละเรื่องกับที่เราคิด หรืออยากพูดนะครับ โปรดพิจารณา จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:50:56

ความคิดเห็นที่ 52 รู้อยู่ว่าเนื่องมาจากกระทู้ไหน จริงๆ ศิษย์ ม.ที่เป็น topic ในกระทู้หลายคนก็ยอมรับว่าเรื่องชื่อเสียงนั้นย่อมสู้ มหาวิทยาลัยเก่าแก่ไม่ได้อยู่แล้ว  ส่วนบางคนที่เยินยอสถาบันตัวเอง (หมายถึง ศิษย์ ม.ใน topic เดี๋ยวคนที่ไม่ใช่จะร้อนตัวใช่เหตุ) อันนั้นก็จะว่าก็ว่ารายคนไปเถอะ แล้วคิดว่าการโพสเหยียบย่ำสถาบันอื่นแบบนี้มันเชิดหน้าชูตาสถาบันของตัวเองนักหรือไร -------------- ห่วยค่ะ อย่าไปเรียนเลย ไม่ดัง หางานในบริษัทใหญ่ๆยาก จากคุณ : mint_la [FriendFlock] [Bloggang] -------------- ความคิดเห็นที่ 53 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ผมอยู่บริษัทพลังงานชั้นนำสัญชาติไทย ขอบอกว่า วิศวกร ที่ผมรู้จักในองค์กร กว่าร้อยคน ไม่มีคนจบจากที่นี้เลย จบป่ะครับ จากคุณ : คุณชายเทวดา เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 11:41:07 [แก้ไข] ถูกใจ : mint_la -------------- ความคิดเห็นที่ 58 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน คห.56 อย่าเสียเวลากรอกใบสมัครเลยครับ HR คงเขี่ยใบสมัครทิ้งตั้งแต่เห็นชื่อสถาบันแล้ว ปล.HR เค้าบอกมาแบบจริืงๆ จากคุณ : คุณชายเทวดา --------------- แล้วยังพาลมาดูถูก คนไทย ด้วยกระทู้นี้อีกต่างหาก ถามว่าผมมีศักยภาพพอที่จะเข้าสถาบันสีชมพูไหม  ผมว่าผมมีแหละ  เพื่อนในห้องเรียนชั้นมัธยมคนที่ได้ที่ 1 เข้าลาดกระบังเรียนจบก็อยู่ในอันดับ 1 ของลาดกระบังเพราะว่าชอบสายวิศวะ และได้โควต้าลาดกระบังเลยไม่เลือกโควต้าแพทย์จุฬา  คนที่ 3 เรียนจบแพทย์จุฬา  ส่วนผมที่ 2 ของรุ่นตอนมัธยมเอาโควต้าที่ ม.ต่างจังหวัด  ไม่ได้สอบเอ็นท์ ผมไม่ได้ว่าเหมารวมสถาบันนะ  เพราะว่าอาจารย์หลายๆ ท่านก็เป็นอาจารย์ที่นั่น หรือจบการศึกษามาจากที่นั่นแหละ  ผมก็เคารพในสถาบันของท่าน เพื่อนที่ไปเรียน ป.ตรี หรือเรียนต่อโทที่นั่นก็หลายคนก็รักใคร่กันดี  แต่ผมหมายถึงคน "ส่วนน้อย" ที่ทำให้เกียรติของสถาบันมัวหมองเพราะ "มารยาท" ของตัวเอง ดีชั่ว อยู่ที่ตัวทำ  สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว   ไม่มีตรงไหนที่เกี่ยวกับสถาบัน เรื่องการจัดอันดับมันก็เหมือนกับกีฬา  จะอันดับสูงอันดับต่ำ ก็ต้องมีน้ำใจนักกีฬา ยอมรับความเหลื่อมล้ำต่ำสูง  เหมือนนักกีฬาซีเกมส์แต่ละชาติก็ส่งนักกีฬามาแข่งขันกันทุกครั้ง  ไม่มีใครบอกว่าแข่งแพ้ตลอดเลยไม่เข้าร่วมดีกว่าจะได้ไม่แพ้ สิ่งที่ผมแสดงความคิดเห็นใน คห. ของกระทู้ต้นเหตุนั้นก็เพียงแต่แชร์ประสบการณ์ตามที่เป็นจริง ไม่ว่าจะจากการทำงาน หรือว่าสภาพการเรียนในมหาวิทยาลัยที่ผมจบการศึกษามา เท่านั้นเอง จากคุณ : rujipars (rujipars_a) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 20:27:18

ความคิดเห็นที่ 53 - การเปรียบเทียบกันด้านวิชาการ การทำงาน   ....ก็อีกเรื่อง ว่ากันไปตามผลงาน - การดูถูกเหยียดหยาม ....ก็เป็นอีกเรื่อง ซึ่งไม่ควรกระทำ ต้องแยกให้ออก อย่าเป็นพวกที่เรียนเพื่อคิดว่ามันจะยกระดับตนให้เหนือคนอื่นได้ "ม.นี้ ห่วยจ้า อย่าไปเรียนจ้า...."  คำว่าห่วยนี่แสดงถึงว่ามันไม่มีดีอะไรเลย  เลยเถิดไปในแง่ลบ ล้วนเป็นคำพูดดูถูก ไม่ดียังไงห่วยยังไงควรชี้แจง จากคุณ : safety first เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 20:29:33

ความคิดเห็นที่ 54 รับได้นะที่ เรียนในมหาลัยไม่ได้อยู่ในอันดับสูงๆ รับได้นะ ที่ทำงานในที่ไม่ไดให้เงินสูงหรืออันดับดีอะไร รับไม่ได้ที่จบในสถาบันที่ดี แต่ทำตัวดูถูกคนอื่น หรือคุณจะบอว่าคุณไม่ได้ดูถูกใคร  อย่างน้อยคุณก็ดูถูกคนที่คิดไม่เหมือนคุณ ทุกคนมีเหตุผลและมีเกียรติในตัวเอง จงภูมิใจในตน แต่อย่าดูถูกในเกียรติของคนอื่น มหาลัยหนูไม่ได้อยู่อันดับต้นๆอะไร แต่หนูมั่นใจมาก  ว่าสอนหนูมาดีไม่แพ้ที่ไหน ไม่ว่าคุณจะเรียนจบที่ไหน ทำงานที่ใด  จงภูมิใจกับมัน แต่อย่าทำให้คนอื่นเสื่อมเกียรติลงจากการกระทำของตน ทุกอย่างมีการคัดสรร  นั่นเป็นเรื่องท่เข้าใจได้ตามกระบวนการของสังคม แต่ก็ไม่ไดหมายความว่า สิ่งที่ไม่อยู่ในเกรดเอ จะไม่มีค่าอะไร เพราะขนาดรำข้าวยังมีประโยชน์ ไม่มีอะไรเหมือนกัน  แต่ก็ไม่มีอะไรต่างกัน จากคุณ : ต้นกก in the sky เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 21:07:31

ความคิดเห็นที่ 55 ผมเพิ่งรู้วันนี้เองนะครับ ว่าคนเรา สามารถเอา อันดับของสถาบันมาใช้ดูถูกกันได้ คนเราสามารถ เอาฐานเงินเดือนมาเบ่งทับใส่กันได้ คนเราสามารถ เอาหน้าที่การงาน มาข่มอีกฝ่ายนึงได้ จากคุณ : turnontable เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 22:21:16

ความคิดเห็นที่ 56 แล้วแต่การปลูกฝังของแต่ละที่นะ เพื่อนวิศวะ ม.ช. ผมเคยถามมันว่าวิศวะที่ไหนดีที่สุดในประเทศ มันบอกไม่รู้ แต่ที่วิศวะม.ช. ไม่เหมือนใครใรประเทศ หรือถ้าไปถามเด็กโจ้เกี่ยวกับการสมัครงาน จะบอกว่าถ้าไปสมัครบรษัทโจ้ ต่อให้เกียรตินิยมจากจุฬาฯ แต่ถ้า้ราเป็นโจ้ เรามีโอกาสทำงานมากกว่า แต่ที่แน่ๆเพื่อนผมที่เรียนกิจกรรมบำบัดบอกว่า กิจกรรมบำบัด ม.ช. เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 22:57:18

ความคิดเห็นที่ 57 ขออนุญาตเติมเชื้อเพลิงนิดนึง จะได้เป็นกระทู้ดราม่าค่ะ ถ้าเราบอกว่า... เราด่ามหาลัยที่เราเรียนจบมาอ่ะ จะโดนด่ามั้ยคะ ไม่ได้เหยียบย่ำ ดูถูกมหาลัยอื่นด้วยนะ อิอิอิ แต่กำลังจะบอกว่า ถ้าใครมาด่ามหาลัยเราก็อย่าโกรธเลยค่ะ คิดซะว่าติเพื่อก่อ อยากให้มหาลัยของตัวเองพัฒนามากกว่านี้ค่ะ เนี่ยนะ ขนาดส่งรีซูเม่ ไปหลายๆบริษัท ยังโดนเขี่ยทิ้งเลย บางทีนะ เพื่อนๆที่เรียนที่อื่นก็ได้งานทั้งๆที่เกรดน้อยกว่าแต่อยู่มหาลัยดีกว่า เราก็เลยคิดว่า ไม่อยากให้ คนรุ่นหลังๆ จะต้องเป็นแบบเรา ถ้าได้คะแนนดีๆ จะมีเกณของแต่ละปีก็เอามาดูได้ว่า คะแนนที่ไหนสูงกว่า คนแย่งกัีนเลือก เพราะอะไร เราปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นความจริงของสังคมบ้านเรา  ลองดูกิฟของจขกท ก็รู้แล้วว่ามีคนคิดแบบเรา ไม่ได้คิดกันอยู่แค่คนสองคน เรื่องการรับสมัครงานเป็นเรื่องจริง ที่ทุกๆคนในที่นี้ก็รู้อยู่แก่ใจ ในรุ่นน้อยคนจะได้อยู่บริษัทใหญ่ มีบางคนก็ใช้เส้นฝากเอา เอาเงินยัดเข้า บางคนเก่งมากๆก็มีโอกาส แต่เราเป็นคนไม่เก่ง เกรดก็ไม่ค่อยดีค่ะ แล้วเราจะมีที่ยืนตรงไหน งานก็แย่งกัน อยากได้งานก็ต้องทนรับเรตเงินเดือนน้อย บางที่ก็มีแต่สีอื่นๆเต็มไปหมด ขนาด คนรับยังบอกว่า ที่นี่สี... ไม่รับคนนอกค่ะ เป็นไงคะ ฟังแล้วช๊อกไหมคะ ที่พูดมาก็เพราะ เราก็คิดเหมือน #52 ค่ะว่า "แชร์ประสบการณ์ตามที่เป็นจริง ไม่ว่าจะจากการทำงาน หรือว่าสภาพการเรียนในมหาวิทยาลัยที่ผมจบการศึกษามา เท่านั้นเอง " ว่าแต่วิทยาศาสตร์ตรงไหนเหรอคะ ??? จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 23:12:50

ความคิดเห็นที่ 58 จริงๆแล้วผมเรียนตรี2ใบนะ ยังรู้เลยว่าแต่ละที่มันไม่เหมือนกัน ถามว่าอันไหนคือมาตรฐานของประเทศ ถ้าที่ผมจบใบ แรกคือมาตรฐาน ที่ผมเรียนอยู่มันต่ำกว่ามาตรฐานหรือ หรือถ้าที่ผมเรียนใบที่2คือมาตรฐาน แล้วที่ผมเรียนใบแรกมันเหนือมาตรฐานหรือไง นับเฉพาะเนื้อหาในหลังสูตร แค่นี้มันก็ไม่เท่ากันแล้ว จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 23:19:52

ความคิดเห็นที่ 59 #34 ตัวอย่างของคุณ มันผิดไปคนละเรื่อง เพราะเทียบกันคนละสาขาวิชาแล้วครับ คำถามคือ จะมีบ.ทีไ่หนรับหมอมาทำงานวิศวกร? เก่งคำนวณตอนปี 1 มันคนละเรื่องกับการเรียน 4 ปีเต็มๆนะครับ จริงอยู่ถ้าคนเก่งไปเรียนอะไรก็อาจจะเรียนรู้ได้เร็ว แต่มันก็คนละเรื่องเดียวกันอยู่ดี แนวโน้มของแต่ละสถาบันมันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ คือคณะที่คะแนนสูงก็มีแนวโน้มจะเป็นที่รวมของเด็กที่สอบเก่งกว่าคณะที่คะแนนสอบน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด ยิ่้งถ้าเป็นบางสาขาเช่นวิทยาศาสตร์ ก็จะมีเด็กที่เก่งมากๆคะแนนสูงระดับต้นๆของประเทศ มาเลือกเรียนเพราะความชอบผ่่านระบบสอบตรง ทั้งๆที่คะแนนผ่านเข้าหมอได้สบาย แต่คะแนนสอบเข้าเฉลี่ยของคณะอาจจะต่ำเตี้ยติดดินก็ได้ มันเลยเหมารวมไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้าจะเทียบความสามารถของสถาบันในการสร้า่งผลงานในสาขานั้นๆก็ต้องเทียบที่สาขาวิชาเดียวกันสิครับ วัดกันด้วยปริมาณงานวิจัยและจำนวนศาสตราจารย์กันนี่แหละ ที่สากลเขาสนใจกัน(แต่บ้านเราไม่ค่อยกล้ายกมาเทียบกัน เพราะบาสาขา มันไม่ได้เป็นไปตามชื่อเสียงที่คนนอกเข้าใจ) มหาวิทยา่ลัยไม่ได้มีไว้แค่จัดทดสอบเรียงคะัแนนสอบ ent นะครับ :P ส่วนคนที่อยากจะเข้าสถาบันดังๆ แม้จะต้องยอมเรียนคณะที่คะแนนไม่สูง หรือไม่ใช่คณะที่ตั้งใจ อันนี้ก็คงว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาใช้ชื่อเสียงสถาบัน เป็นหลักในการเลือกเรียน มากกว่าเลือกเรียนสิ่งที่ตัวเองชอบ เขาก็ต้องรับผิดชอบเส้นทางชีวิตของเขาเองนั่นแหละ คนนอกจะไปตัดสินแทนว่าอะไรดีไม่ดีได้อย่างไร? จริงๆต้องแยกว่า ถ้าบ.ไทยๆ ทัศนคติของ hrก็แบบนึง บ.ข้ามชาติก็แบบนึง อันนี้ว่าตามประสบการณ์ตรง เพราะบ.ข้ามชาติ หัวหน้าฝรั่ง แม้กระัทั่งระดับ director อาจเป็นผู้ลงมาสัมภาษณ์งานของคนระดับวิศวกรด้วยตัวเองอยู่เป็นประจำ เขาจะเป็นคนกำหนดเกณฑ์ให้ hr คัดกรองมาเอง(เกณฑ์กว้างมากๆ) และกำหนดกรอบการทดสอบด้วยตัวเองด้วยซ้ำ (hr ทำแค่ทดสอบพวกจิตวิทยา กับทักษะทางภาษา) ตรงนี้แหละที่ทำให้ชื่อเสียงของสถาบัน อาจมีผลน้อยลง และส่วนที่จะเป็นการตัดสินที่สำคัญ ก็คือความสามารถของตัวคุณเองล้วนๆมากกว่า ที่พูดมาก็เห็นด้วยนะ ว่า้ถ้าสอบได้คะแนนดีๆ เรียนในสถาบันเก่าแก่มีชื่อเสียง มันก็ได้อะไรหลายๆอย่างมากกว่าที่อื่นจริง ได้สังคมดีๆ(โดยไม่ต้องขวนขวายเอง) ได้คะแนนพิเศษตอนหางานทำ(โดยเฉพาะกับองค์กรหัวเก่าๆ) แต่โลกจริงเขาไม่ได้ดูกันแค่ส่วนนี้ส่วนเดียว มันประกอบกับหลายๆส่วน ผมเลยงงกับบางคคห.ที่พูดราวกับว่า ชื่อเสียงของสถาบันเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของการทำงานในชีวิตเลยซะขนาดนั้น ราวกับว่าถ้่าไม่ได้จบสถาบันดัง จะไม่มีโอกาสเงยหน้าในชีิวิตกันเลย? มันเป็นแค่เส้นทางนึงที่น่าสนใจ แต่ก็มีอีกหลายเส้นทางที่ไปได้เช่นกัน ไม่งั้นเด็กบ้านเราตอน ent ไม่ติดคงต้องฆ่าตัวตายกันให้หมดแล้วล่ะครับ ทำงานไปสักห้าปีสิบปี เจอเพื่อนร่วมงานที่หลากหลาย ในองค์กรขนาดใหญ่ สุดท้ายก็จะลืมสิ่งที่เคยเอามาโอ้อวดเบ่งกันตอนที่ ent ติดใหม่ๆ หรือตอนเรียนจบใหม่ๆกันเองนั่นแหละครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 23:31:31 จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 23:26:40

ความคิดเห็นที่ 60 บางคนบูชาใบจบมากกว่าความรู้ ส่วนเรื่องการเปรียบเทียบของสถาบัน คุณจบจากสถาบันดีๆ คุณแค่มีต้นทุนที่สูงกว่าแค่นั้นเอง แต่ผมทุนน้อยกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะน้อยกว่าตลอดชีวิตซะหน่อย จากคุณ : pisutkasin เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 23:43:33

ความคิดเห็นที่ 61 เข้ามาฮา ฮ่าๆๆๆๆๆ ผมเรียนเกษตร ว.เกษตรและเทคโน.. ไม่เห็นต้องทำให้ใครเดือดร้อนเลยครับ มีความสุขดี เรียนก็สนุกด้วย ได้ลงพื้นที่ เรียนเพื่อหาความรู้+ปฏิบัติ ให้สามารถพึ่งตนเองได้ในข้างหน้าก็พอแล้วครับ จากคุณ : tawansu เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 23:47:14

ความคิดเห็นที่ 62 สมัยผม ent คณะวิศวะเหมือนกัน คนที่ได้คะแนนต่ำสุดของสถาบันมีชื่อเสียง ยังคะแนนสูงกว่าคนที่ได้คะแนนสูงสุดของสถาบันทั่วๆไป แล้วพวก ม. เอกชน ที่รับคน ent ไม่ติดเข้าไปเรียน มันจะไปเหลืออะไร ต่อให้เรียนหลักสูตรเหมือนกัน พอจบออกมาก็เทียบกันไม่ได้อยู่ดี เพราะคุณค่ามันอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่ตำรา ถ้าคุณเรียนสถาบันไม่ดี กัดฟันเรียนให้จบ แล้วไปชุบตัวเมืองนอกเถอะ อย่าไปฝันว่าจะได้รับโอกาสเท่ากับคนที่จบสถาบันดีๆเลย จากคุณ : ..... เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:04:33 A:125.24.16.194 X: TicketID:327013

ความคิดเห็นที่ 63 ผมเรียนวิศวะ ทำงานสายวิศวะ และก็มีโอกาสสัมภาษณ์เด็กที่จบวิศวะมาจากหลาย ๆ มหาลัย 1. บริษัทผมมีข้อสอบข้อเขียนให้ทำ ถ้าทำได้เยอะ จะมหาลัยไหน ผมก็เรียกสัมภาษณ์ 2. มหาลัยมีผลแน่นอนครับ เด็กได้เกรดเท่ากัน แต่คนละมหาลัย ผมคิดในใจเลยว่าเด็กมหาลัยเก่งกว่า 3. เด็กจากข้อ 2 ผมเรียกสัมภาษณ์ทั้งสองคนใครมีแววก็ได้งานครับ แค่นั้น 4. ผมเคยเจอทั้งแบบทำคะแนนข้อเขียนได้ดี สัมภาษณ์ดี แต่ทำงานไม่เก่ง และก็แบบทำคะแนนได้ปานกลาง สัมภาษณ์ปานกลาง แต่เห็นความตั้งใจ ก็ทำงานได้ดี 5. เลือกคนมาเยอะ ก็เข้าใจว่าบางทีก็เลือกผิด บางทีก็เลือกถูก แต่ส่วนใหญ่ก็ทำงานได้ดีนะ จากคุณ : basicguy เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:07:56

ความคิดเห็นที่ 64 #34 เพื่อนหลอกแล้วครับ เด็กที่มหิดล sec แพทย์ไม่ได้เรียนรวมกับวิศวะครับ และลองไปเปิดคะแนนสอบเข้าปีหลังๆดูซิว่าที่บอกว่าเด็กวิศวะที่นี่ระดับกลางๆนั่นจริงมั้ย จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:12:33

ความคิดเห็นที่ 65 เอาเฉพาะในพันทิปนะ ถ้าเป็นนิสิตนักศึกษาจบใหม่จากมหาลัยท้อปๆ โดนด่า ไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้าลองไปแตะสถาบันรองๆ จะโดนรุมกินโต๊ะทันที หาว่าเอาสถาบันมาเล่น จบจากไหนไม่สำคัญหรอก ประสบการณ์ต่างหากที่สำคัญ สรุปในพันทิปมหาลัยดังโดนด่าได้ มหาลัยไม่ดังโดนด่าไม่ได้ ไม่เชื่อลองไปค้นดู จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:16:39

ความคิดเห็นที่ 66 โดนมาเหมือนกัน แค่โทรไปถามนะว่า ตำแหน่ง...ยังรับสมัครอยู่ไหมคะ (สมัครประมาณฝ่ายบุคคล) เค้าตอบกลับมา--จบที่ไหน เรา--จบจาก...ค่ะ เค้า--งั้นสมัครทางเน็ตมาเลย ทำเป็นมั้ย เรา--ค่ะ วางสายอย่างมึนงงๆๆ เฮ้ย เหมือนไปขอข้าวเค้ากินเลยหรอเนี่ย แล้วก็กรอกไป จนป่านนี้ก็ไม่ตอบกลับมาเลย ฮ่าๆๆ จากคุณ : puangchan เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:18:15

ความคิดเห็นที่ 67 สำหรับการทำงานเราว่าการจบจากม.ดังๆ เป็นแค่กุญแจหนึ่งในการไขประตูค่ะ ต้องยอมรับว่า กุญแจนี้ไขประตูได้หลายบานซะด้วยซิ เพราะหลายๆที่ก็อยากจะอ้าแขนรับ ขณะที่คนจบจากมอ.ไม่ดัง ก็มีกุญแจ แต่มันไขประตูได้น้อยบาน เพราะฉะนั้นเรียกว่ามีโอกาสดีกว่าก็คงถูกแหละค่ะ แต่ในระยะยาว ก็ต้องวัดกันที่ฝีมือนะ^^ จบมอ.ดัง + ทำงานดี = เพอร์เฟค ไอ้หมอนี้เก่งจริงไม่อิงนิยาย ทำงานเช่นคนปกติทั่วไป (แต่อาจจะได้ทำในที่บริษัทที่มีชื่อเสียงมากกว่าคนจบมอไม่ดัง) จบมอ.ดัง + ทำงานไม่ได้เรื่อง = จบมาได้ไงวะ ทำงานไม่ได้ความ จบมอ.ธรรมดา + ทำงานดี = โอเคเลยนะเนี้ย มีโอกาสก้าวหน้า จบมอ.ธรรมกา + + ทำงานปานกลาง = ได้งานเช่นคนปกติทั่วไป จบมอ.ธรรมดา + ทำงานไม่ได้เรื่อง = ไอ้ห่วยประจำบริษัท จะเห็นว่าในแง่การทำงานเราว่ามันไม่ต่างกันหรอก(ระยะยาวอะนะ) แต่สำหรับใบเบิกทาง ยอมรับว่าชื่อเสียงมหาลัย + เกรด มันเป็นกุญแจเปิดทางชั้นยอดเลยละ จากคุณ : Piccalo_koz เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:25:37

ความคิดเห็นที่ 68 มันต่างอยู่แล้วละครับ สภาพแวดล้อมคุณภาพ คนเรียน คุณภาพคนสอน คุณภาพเครื่องไม้เครื่องมือ แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างนะ จริงอยู่ ถ้า เอาตามเนื้อๆมาชนกัน ยังไงสถาบันดีกว่าก็ต้องได้เปรียบ แต่นั่นกำลังจะเอาจุดแข็งของอีกที มาชนกับจุดอ่อนของอีกที สถาบันที่รองๆ การเรียนจะไม่เข้มข้น จะไม่ลงลึกไปทุกวิชา ทำให้มีเวลาเหลือมากพอที่จะอยู่กับสิ่งที่เรารัก ลงลึกกับมันด้วยตัวเราเองได้ดีกว่า คนที่อยู่สถาบันรอง ต้องยอมรับว่า เราเป็นรองและหาจุดแข็งอื่นไปสู้ ยกตัวอย่างตัวเอง เรียนวิทยากรคอม ใน มหาลัยรองๆ ถ้าพูดถึงอนาคต เราเดินตัวเปล่า ไปขึ้นสนามต่อสู้ ยังไงๆก็สู้ไม่ได้แน่ๆ เพราะฉะนั้นต้องใช้จุดได้เปรียบจากที่ เราเรียนเบากว่า เรียนง่ายกว่า มีเวลามากกว่ามาสร้างจุดแข็ง เราก็ต้องอ่านหนังสือเอง ลงลึกในเฉพาะเรื่องที่เราชอบ ที่เราอยากเป็น และเมื่อขึ้นสนามต่อสู้ เค้ามีอาวุธเป็นสถาบัน แต่เรามีอาวุธเป็น port เป็นงานที่เราทำเป็นชิ้นเป็นอัน port เราดี port เราเจ๋ง เก่งเฉพาะด้าน จะเอาอะไรไปแพ้ พวกเก่งจับฉ่ายแต่ในหนังสือละ ^^ จากคุณ : ปีศาจตาเดียว เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:27:09

ความคิดเห็นที่ 69 การจัดอันดับเป็นสิงที่ดี มันทำให้เกิดการแข่งขัน และรู้จักสถานะ ของตัวเอง ^^ จากคุณ : ปีศาจตาเดียว เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:29:53

ความคิดเห็นที่ 70 มันก็เหมือนบอกว่า เมืองไทยมีความเสมอภาค ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเท่ากันหมด แต่ความจริงคือ ... จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 00:33:19

ความคิดเห็นที่ 71 #55 ไปอยู่ไหนมา โลกสวยจังนะครับ จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 01:15:45

ความคิดเห็นที่ 72 ไม่ค่อยยอมรับความจริงมั้งครับ เวลาพูดผมก็พูดตรงๆ จบที่ดีกว่า มีโอกาสได้งานดีกว่า นี่คือเรื่องจริง ส่วนจะได้งานดีกว่าเพราะความสามารถหรือเพราะค่านิยมผิดๆ ใครจะไปรู้ล่ะครับ มันก็อยู่ที่ความฉลาดของ HR ของบริษัทนั้น ซึ่งแต่ละที่ก็ไม่เท่ากัน บางที่ HR คัดคนไม่เป็นก็มี อย่าลืมว่าคนที่เลือกเรามันก็มนุษย์เหมือนๆ เราันั่นแหละ เค้าก็ไม่ได้เทพแบบมองทะลุจิตใจตัดสินคนได้แม่นยำ 100% จากเพียงแค่สัมพาดไม่กี่นาทีหรอก บางทีก็ต้องใช้วิธีมักง่ายแต่ได้ผลในระดับนึงอย่างตัดสินจากมหาลัยไปเลยนั่นแหละ ซึ่งถ้าคุณเห็นว่าบริษัทที่มี HR แบบนี้ไม่ได้เรื่องเลย คุณก็ย้ายบริษัทสิ ไม่งั้นก็ลองไปเป็น HR เองเลยถ้ารู้วิธีตัดสินคนได้ดี มีคนมากมายอยากได้อยู่แล้ว ใครว่าเีรื่องนี้ไม่ยุติธรรม ผมขอแย้งกลับได้มั้ย มันยุติธรรมมาก ถ้าคนที่ออกตัวเร็วสละเวลาอ่านหนังสือตั้งแต่มัธยมปลาย ได้รับโอกาสในสังคมมีเท่ากับคนที่ออกตัวช้ามัวแต่เที่ยวเล่นพึ่งมากลับใจหลังเรียนมหาลัย อันนี้สิไม่ยุติธรรมของแท้ แต่โอกาสน้อยก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 01:52:52 จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 01:49:47

ความคิดเห็นที่ 73 ถ้าคนสองคน ไม่เคยผ่านการทำงานมาเลย เวลาสอบสัมภาษณ์ก็มีคะแนนที่เท่ากัน ขอถามว่าจะใช้อะไรตัดต่อสินดี ? จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 02:02:04

ความคิดเห็นที่ 74 พูดถึงการไม่ยอมรับความจริง สถาบันเก่าแก่ชื่อดัง บางครั้งก็ไม่ยอมรับผลการจัดอันดับเสียเองนั่นแหละครับ ลองดูปีก่อนนู้น ที่หน่วยงานของไทยเจ้านึง จัดอันดับสถาบันในไทยเป็นครั้งแรก แล้วสถาบันเก่าแก่ไม่ได้อันดับ1 ก็มีคนออกมาโวยวายกันว่าจัดอันดับไม่ตรงกับความรู้สึกของคนดู(?) โดยไม่ได้มองในรายละเอียดว่า เกณฑ์การประเมินเขาชี้วัดด้วยปริมาณงานวิจัย และจำนวนศาสตราจารย์ นั้นก็แพ้เขาจริงๆ(เกณฑ์นี้เลียนแบบเมืองนอก) หรือเราควรจะช่วยกันออกเกณฑ์การจัดอันดับอะไรที่เหมาะกับสังคมไทย โดยไม่ต้องลอกเกณฑ์จากฝรั่ง? (ถ้าแบบนั้นแล้วสากลจะยอมรับหรือเปล่าอีก?) สุดท้ายแล้วเราจะยอมรับการจัดอันดับจริงๆจังๆ หรือจะยอมรับเฉพาะการจัดอันดับด้วยความเชื่อจากชื่อเสียงเก่าๆกันอย่างเดียวดี? ป.ล. ขอยกเว้นการจัดอันดับ ที่ใช้เกณฑ์ประเภทจำนวนหน้าเวบของสถาบัน โดยไม่ดูจำนวนงานวิจัย ที่น่าจะเป็นหน้าที่หลักของการศึกษาระดับอุดมศึกษานะครับ มันฟังดูเหมือนการปั่น SEO ชอบกล จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 02:08:10

ความคิดเห็นที่ 75 เค้าเีรียกว่าการคัดเกรด โดยภาพรวม มหาวิทยาลัยดีๆ การที่จะสอบเข้าก็จะยาก คนที่สอบเข้าได้ส่วนใหญ่จึงเป็นคนเก่ง มหาวิทยาลัยเกรดรองๆลงมา คนที่สอบได้ก็เก่งน้อยกว่า คนที่สอบได้มหาวิทยาลัยเกรดดีๆ แต่ก็มีที่คนเก่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆไม่ได้ ก็มาเลือกมหาวิทยาลัยรองๆลงมา และก็มีคนเก่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้ แต่ไม่ค่อยขยัน สุดท้ายก็จบมาแบบเกรดไม่ดี  ดังนั้นการดูว่าจบจากที่ไหนจึงเป็นการมองภาพรวมเบื้องต้น ว่ากว่าที่เค้าจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้นั้น ก็ต้องเป็นคนเก่ง  แต่จะให้ดูจริงๆ ต้องดูที่ความสามารถของแต่ล่ะคน นั้นซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการเลือกคน จากคุณ : เดี่ยวจัง เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 02:21:21

ความคิดเห็นที่ 76 จริงๆค่ะ เราเคยเป็น HR ไม่ใช่ไม่อยากรับนะ คนข้างบนเขาสั่งมาอีกที จากคุณ : ชีวิตนิรันดร์ เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 02:43:37

ความคิดเห็นที่ 77 ผมเห็นคล้ายคุณ 4 จุดนะ มองภาพรวมจากประสบการณ์ผมเองสายวิศวกร ถ้า ม รัฐกับเอกชนนั้น มีความแตกต่างกันแน่นอน แต่ถ้า ม รัฐ ด้วยกันก็แค่มีผลตอนสมัครงานครั้งแรกในชีวิตเท่านั้นครับ แล้วที่จริง ก็ไม่ได้มีผลต่างขนาดไปพลิกชีวิตอะไร บางคนเข้า ม ดังไม่ได้ตอน ป ตรี ก็ไว้ไปสอบเข้าตอน ป โท ก็ยังทัน เมื่อสังเกตคนรอบตัวผมที่ได้ดิบได้ดี มีเกินครึ่งที่ไม่ได้จบมหาลัยท็อป 3 ท็อป 5 บริษัทที่ผมเคยทำงานมา สมัยก่อนรับแต่วิศวะจุฬามากมาย (ด้วยเงินเดือนเริ่มต้นที่สูงกว่าที่ปูนและปตท) พอผ่านไปห้าหกปี คนที่ถูกเลือกเป็นเมเนเจอร์ก็คละเคล้ากันไปหลายสถาบัน คอนเน็คชั่นก็มีส่วนมากทีเดียว เพราะคนรุ่นผมที่ได้ดิบได้ดีจริงๆ ส่วนใหญ่กลับเป็นพวกกลุ่มมหาลัยทางใต้ที่มีคอนเน็คชั่นดีๆ กับบริษัทน้ำมันต่างประเทศ และอีกพวกคือพวกที่ได้ทำ SAP แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 03:00:41 จากคุณ : today_newspaper เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 02:58:29

ความคิดเห็นที่ 78 ผมว่าการจัดอันดับจริงๆ จังๆ เราก็ยอมรับมานานแล้วนะครับ ดูได้จากที่มหาลัยหลายที่โฆษณาอันดับของตัวเอง เพียงแต่มันมีหลายเจ้ามาก แล้วเกณฑ์ก็ไม่เหมือนกัน ทุกที่ก็โฆษณาเจ้าที่จัดแล้วตัวเองออกมาดีนั่นแหละ แต่เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจนะว่าทำไมเมืองไทยจะต้องจัดอันดับเองอีกรอบถ้าจะเลียนแบบเกณฑ์ต่างประเทศจริงๆ ในเมื่อเมืองนอกจัดมาให้แล้ว (และมหาลัยมีชื่อเก่าแก่ก็แพ้ในหลายด้านแล้วช่วงหลังที่ผ่านมา นโยบายใหม่พยายามตีตื้นออกมาเยอะทีเดียว) จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 03:02:46

ความคิดเห็นที่ 79 ตอนเข้างานเกี่ยวครับ ผมเองจบสวนดุสิตมา เกรดไม่ได้ขี้เหร่ด้วย จบรปศ.มา เดินต๊อกต๋อยอยู่ครึ่งปี ได้งานเป็นเสมียนในร้าน ขายส่งกระดาษฟรอยด์ร้านเล็กๆ ทำไป4เดือนแฟนเลิก เพราะอนาคตไม่สวย ผมก็เฮิร์ทเลยลาออกมา แต่ผมเป็นคนหัวคิดสร้างสรรค์ ชอบการดีไซน์ ชอบคอมพิวเตอร์ ตอนแรกผมไม่มีใครสนับสนุนเลยครับ ผมรับจ้างออกแบบเว๊บไซท์ รายได้ดีครับ ทำครั้งนึงได้มาพัน2พัน แต่นานๆทีมีคนจ้างที อาทิตย์2ครั้ง ก็อยู่ไม่ได้ ผมเลยไปเห็นช่องทางการทำadครับ ผมเริ่มเรียนรู้การทำseo การ adword ผมเปิดเว๊บไซท์ดูดวง หวย พระเครื่อง 2เว๊บ และ เปิดเว็บใต้ดิน เป็นเว๊บบอร์ด (เว๊บโป๊นั่นแหละ) 2เว๊บ แรกๆผมจ้างเขาทำก่อน ดันเว๊บให้ติดหน้าแรก ผมคิดไม่ผิด เพราะ คนเราชอบอะไรที่มันมัวเมา โลกีย์ สิ่งที่บันเทิงเริงใจ อิอิ แล้วผมก็ค่อยเรียนรู้ไป แล้วขยันหาเว๊บไซท์ให้มาติดadเว๊บเรา ตอนนี้ ขึ้นๆลงๆ หน้า1หน้า2 บ้าง ขยันปั่นคีย์เวิร์ดตัวเองหน่อย มันก็ขึ้นมาอีก ตอนนี้ ผมเดินอยู่ห้าง โอนค่าแอดมาให้แล้วนะครับ ไปนอนเก้าอี้หาดชายทะเล โอนมาแล้วนะครับ หรือ กำลังสโตกอยู่หน้าคอมโทรมารับเขียนเว๊บไซท์ใช่มั้ยครับ ตอนนี้ผมคิดอยากทำเกี่ยวกับด้านhosting หรือ เปิดเซิฟเกมส์ออนไลน์บ้าง ทำโฮสต์ทุนน่าจะหนัก ส่วนเกมส์ผมหาเช่าเซิฟอยู่ น่าทำๆ ทำไปด้วยเกรียนไปด้วย เป็นGMเอง อำนาจคงล้นเหลือ55555+ นั่งๆนอนๆ เดินไปเดินมา เวลาว่างเหลือเฟือ ขนาดน้ำท่วมบ้านชั้น1 ยังไม่อดอยาก รายได้ ไม่ขอบอก แต่เพื่อนผมที่จบจุฬา คนนึงจบเนติ รายได้ยังสู้ผมไม่ได้ ถ้าบอกว่ารายได้ประมาณผู้บริหารที่ทำงานมาสัก30ปี แถมความสบาย ผมสบาย ชิวๆกว่าเยอะมากๆ ไอน์สไตน์พูดถูกที่ว่า "จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้" ส่วนของผมขอบอกไว้ยังงี้ดีกว่า "จินตนาการ สำคัญกว่าใบปริญญา" จากคุณ : พิก เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 03:26:34 A:58.9.45.238 X: TicketID:334856

ความคิดเห็นที่ 80 ^ ^ แต่งานที่คุณทำ ไม่มีความมั่นคงเลย แถมยังเป็นธุรกิจที่ค่อนไปในทางสีเทา ไม่มีความมั่นคงในการขอสินเชื่อใด ๆ ค่ะ และวิธีการแสดงเหตุผล ก็ส่อถึง.... จากคุณ : .... (แฟนนายแบบ) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 05:31:46

ความคิดเห็นที่ 81 เรื่องสถาบันนี่ถือเป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่ แน่นอนว่าจบจากสถาบันดีๆก็อาจมีโอกาสมากกว่า แต่ก็มีหลายเคส ที่จบจากสถาบันดีๆ แล้วกลับเป็นปัญหา - จบจุฬา แล้วเค้าไม่รับ เพราะเจ้าของบริษัทเคยถูกกีดกัน เพราะไม่ได้จบจุฬา - จบจุฬาแล้วเค้าไม่รับ เพราะรุ่นพี่ก่อวีรกรรมเอาไว้ เห็นบริษัทเล็กๆเป็นทางผ่าน ทำงานได้ไม่นานชิ่งไปรับงานใหม่ที่บริษัทอื่น บริษัทเสียหาย ต้องหาคนมาทำแทน เลยกำหนดนโยบาย จบจุฬา ไม่รับ - เศรษฐกิจตกสะเก็ด ไล่คนจบจุฬาก่อน เพราะพวกนี้มักเงินดือนสูง ประหยัดรายจ่าย - เศรษฐกิจตกสะเก็ด ไม่รัับคนจบจุฬา เพราะพวกนี้มัี้ักเรียกเงินเดือนสูง รับคนจากมหาลัยอื่นก่อน - จบวิศวะจุฬา แต่ตกงาน เพราะพวกที่แห่เรียนวิศวะ จบออกมาแล้วแย่งงานกันเอง ต้องหัวกระทิถึงจะรอดตัว - เกียรตินิยมแต่ตกงาน เก่งขนาดนี้ ทำไมมาทำงานกับบริษัทเรา เห็นเป็นทางผ่านเปล่า เรียนเก่งอย่างเดียวหรือเปล่าทำงานกับคนอื่นได้เปล่า จากคุณ : imanust_261204 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 05:43:26

ความคิดเห็นที่ 82 คห.80 ครับ ผมไม่กลัวครับ มีความรู้ด้านการแอดwordโฆษณาในกูเกิล ถ้าหัวไบร์ทๆหน่อย เราทำได้หลายอย่าง เช่น -รับadword สมมุติ คีย์เวิร์ดละ 2000 รับประกันขึ้นตลอดเดือน ทำได้ แต่ยังขี้เกียจทำ555 เพราะว่าต้องรับผิดชอบของคนอื่น ทำให้คนอื่นผมว่าทำเว๊บตัวเองเพิ่มยังดีซะกว่า -คุณว่า เว๊บใหม่มาตลอด คนอื่นทำได้ ก็ถูก แต่เราก็ทำเว๊บใหม่เพื่อเพิ่มรายได้เราได้เช่นกัน -มีเทคนิคนี้ทำได้หลากหลาย ผมจะทำเป็นเว๊บขายของ2hand ก็ได้ เป็นสื่อกลางให้คนมาซื้อขาย แล้วเก็บกินค่าโฆษณา หรือ เราเป็นนายหน้าช่วยโปรโมตสินค้าก็ได้ ขายได้เราก็ได้% เพราะอย่างพระเครื่อง ตอนแรกผมก็เฉยๆ แต่พอเราเปิดเราก็ต้องศึกษา มีร้านนึงที่มาลงadผม เขาให้ผมลงโฆษณาพระ เหรียญ ที่บอร์ดให้เขา ประมาณว่าเว๊บมาสเตอร์การันตี พอมาคนมาเช่าเขาก็แบ่งเปอร์เซนต์ให้ผม เรื่องโดนปิดเหรอ เว๊บโป๊ผมเคยโดนปิดมาหลายหน ปิดก็เปิดใหม่ ปิดทีก็ส่งเมลให้สมาชิกทราบว่าย้ายไปไหน ทำseoดัน2-3เดือนก็ขึ้นหน้าแรกได้แล้ว ส่วน เว๊บหวย ดูดวงไม่เคยโดนปิดเพราะไม่ผิดกม. ผมขายเลขเด็ดด้วยนะผ่านเว๊บผม คนบ้าหวยเขายอมจ่ายตัวละ500ก็จ่าย ที่ยังไม่เคยลองคือเปิดเซิฟเกมส์ROเถื่อน แต่อันนี้อยากเปิดสนองนี๊ดมากกว่า คือ อยากเป็นจีเอ็มกับเขาสักครั้ง คิดมาเดือนนึงแล้ว แต่ยังหาเซิฟดีๆราคาไม่แพงลงไม่ได้เลย ผมทำมา4ปีแล้ว ไม่เห็นมันจะตันตรงไหน เฮียหยงแกทำเว๊บประมูลมาเป้นสิบปี ปัจจุบันมีแต่กระทู้ขุดเซิฟเวอร์ กระทู้ดักเกรียนไปวันๆ โฆษณาเดือนๆนึงเว๊บแกได้เท่าไหร่ก็คิดดูนะครับ ถึงอีกหน่อยถ้ามันตันจริงๆผมก็ไม่กลัวเงินเก็บผมมีเยอะเพราะวันๆผมก็อยู่บ้าน ไม่ได้ไปไหน ตัวคนเดียว เอาทุนไปทำอะไรก็ได้ แต่ผมคงทำสิ่งที่ผมชอบไปเรื่อยๆ ไม่มีเจ้านาย ไม่ยุ่งวั่นวายกับสังคมออฟฟิศ ไม่ต้องแข่งขันกับใคร แค่แข่งขันกับเรตติ้งเว๊บอย่างเดียว555+ ปล.ผมยอมรับว่าเกรียน ปัจจุบันอายุ33แล้ว ใครบอกว่าผมเกรียนผมชอบนะ ทำไมน่ะเหรอ ถ้าผมไม่เกรียนคงไม่กล้าทำอะไรเกรียนๆที่ทำเงินได้ เพราะคนไม่เกรียนจะทำอะไรตามเส้น เรียน ทำงาน มีลูก มีรถ บ้าน แก่ตาย จะทำอะไรก็คิดแบบคุณแหละ ไอ้นี่ไม่ดี ไอ้นั่นสีเืทา ทำแบบนี้มันเกรียน เดินตามเส้นทางตรงแหน่ว555+ ปล.2 ผมผู้ใหญ่เกรียน เอาความเกรียนนำหน้า เจ๊งไม่กลัวเจ๊งมาเยอะแล้ว ผมเคยลงทุนเอาของมาขายออนไลน์มาก่อน สรุปเจ๊งไป3ครั้ง ตั้งแต่เสื้อผ้า ขายนาฬิกา และ ขายอุปกรณ์ไอที จมทุน ตอนนั้นผมเลิกกับแฟน เอาของมาลง 3 ครั้ง เจ๊งตลอด จนผมได้ความคิดตอนไปนั่งฟังเสื้อเหลืองพูด 555ไม่รู้ว่าเกี่ยวยังไง แต่มันทำให้ปิ๊งอะไรขึ้นมา เหมือนไอแซค นิวตัน เห็นแอปเปิลตกลงจากต้น อะไรประมาณนั้น เราต้องขายอะไรที่มันจับต้องไม่ได้ ผมมาคิดทักษิณรวยจากอะไร สัมปทาน โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ สัญญาณ อืม อากาศ ได้เงินเป็นเป็นนาที. เมื่อผมมีความคิด หลังจากเห็นแอดตามweb นี่แหละ ผมเลยทำขึ้นมา จนทำมาเรื่อยๆผมได้ความคิดขึ้นมาว่า สิ่งที่จับต้องไม่ได้ ก็คือเลข 0 กับ 1 นี่แหละ 5555 ขายAD ก็เลข 0 1 หรือ สิ่งที่ผมจะทำ คือ เปิดเซิฟเกมส์ ขายอะไร เลข 0 1 เหมือนกับทักษิณที่จับอากาศเป็นเงินนั่นแหละ ไม่มีทางจมทุนไปกับของ แล้วก็จริงอย่างที่คิดจริงๆ จากคุณ : pig เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 07:00:25 A:58.9.94.239 X: TicketID:334856

ความคิดเห็นที่ 83 รายได้ หลังจากเรียนจากเรียนจบ ออกมาทำงาน ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิต แต่ ความภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนเอง ในวิชาชีพของตนเอง ในสิ่งที่ตนเองได้สร้างสรรค์เพื่อสังคม เป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในชีวิตที่ลูกหลานจะภูมิใจต่อไปได้ จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 07:22:01

ความคิดเห็นที่ 84 ในความทรงจำของผม ทรานสคริปท์ กับปริญญาใช้แค่ตอนเข้างานบริษัทแรกๆ ผ่านไป 2 บริษัท ไม่ได้ใช้แล้ว และไม่เคยมีใครถามอีกเลยว่าจบมาจากไหน เพราะเค้าจะถามหาแต่ ความเชี่ยญชาญเฉพาะในสายงาน เคยผ่านกรณีสาหัสในสายงานนั้นๆมามากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญ ทุกคนต้องเติบโต ต้องพร้อมจะรับความรู้ใหม่เสมอๆ เพราะความรู้ไม่ได้มีแต่ในมหาวิทยาลัย เวลาแค่ 4-5 ปี ไม่ทำให้คุณเป็น จีเนียส หรืออัจฉริยะ ได้หรอกครับ จากคุณ : คนมาบแค เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 07:26:13

ความคิดเห็นที่ 85 อยากให้ทุกปีมีการจัดอันดับ 10อันดับ ของแต่ละคณะ เช่น ปี 59 วิศวะ อันดับ 1 ม. .... อันดับ 2 ม. .... ... อันดับ 10 ม. .... แพทย์ อันดับ 1 ม. .... อันดับ 2 ม. .... ... อันดับ 10 ม. .... เป็นต้น แล้วก็ใส่เหตุผลว่า Ratingจากอะไร   หน่วยงานไหน  เปิดเผยข้อมูลจัดอันดับไปเลย ส่วนตัวผมว่าจัดอันดับมันทำให้คนน้องๆเค้าโฟกัสง่ายขึ้นนะครับ   สมัยผมจะเอนท์ โฟกัสแค่ จุฬา (แห้วT T)  มธ.( ^^ ) จากคุณ : skywedding เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 07:27:38

ความคิดเห็นที่ 86 ในชีวิตผมทุกวันนี้ สินค้าชนิดเดียวกันตัวเดียวกันแต่มีหลายผู้ผลิต ด้วยระยะเวลา ถ้าอยากได้สินค้า ผมไม่มานั่งศึกษาหรือยอมเสียตังค์ซื้อสินค้านั้นมาทดลองก่อนหรอก อย่างน้อยยี่ห้อหรือผู้ที่เคยใช้สินค้านั้น ๆ มาแล้วเป็นตัวชี้นำ ฉันใด.. จากคุณ : Poifhai@Thailand เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 07:33:07

ความคิดเห็นที่ 87 คนไทยเปรียบเทียบกันแบบนี้ 1. บ้านใ:-)กว่า - ขับรถอะไร 2. ลูกใครเรียนมหาลัย 3. มหาลัยอะไร ในข้อ 3. มหาลัยอะไร - คงไม่แปลกที่หลายๆท่านจะยึดเอาฐานข้อมูลเดิมที่ว่า มหาลัยเก่าแก่ และสร้างสมขื่อเสียงมานาน จะได้เปรียบ เหตุผล - คนอื่นๆก็คิดอย่างนี้ - การสอบเข้าเรียนทำได้ยากกว่า - มีโอกาสได้เพื่อนที่มีโอกาสก้าวหน้าด้านการงาน - สมัครงานง่ายกว่า แต่การเรียนมหาลัยดัง ก็ช่วยเรื่องหลักๆได้แค่นี้ ไม่ได้ช่วยรับประกันว่า เด็กที่จบมหาลัยดังจะทำงานเปนและได้คุณภาพ -------------------------------------------------------------------- หลายๆท่านอาจทนไม่ได้กับการเปรียบเทียบ แต่ผมชอบนะ ขอการเปรียบเทียบแบบแฟร์ๆก็แล้วกัน จะได้รู้ว่า เราอยู่ตรงไหนในประเทศไทยแล้ว จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 07:45:41

ความคิดเห็นที่ 88 ผมจบวิศวกรรมตอมพิวเตอร์ มทส. รุ่น 11 มีเพื่อนเป็นวิศวคอม 100 กว่าคน วิศวกร มทส. ก็หลายสิบคน มีเพื่อนจบจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ลาดกระบัง พระนครเหนือ มช มข เกษตรฯ เรียนนอกก็มี ฯลฯ มีเพื่อนเป็นหมอ พยาบาล ปปช ตำรวจ ทหาร ดร. มีเพื่อนขายผัก ติดการพนัน แต่ทุกคนก็ไม่เคยดูถูกผม ดูถูกกันเลยนะครับ งานผมก็มีทำ หนี้ผมก็เยอะ มันก็แตกต่างกันนะครับ ว่าจบจากไหน แต่สำหรับผมและเพื่อนมันไม่ต่างเลย ปล.คิดถึงทุกคนที่ผมรู้จัก เพื่อนๆที่ดูถูกสถาบันอื่น ถ้าเจอผมที่ไหนก็:-)น้ำลายใส่ผมได้นะครับ จากคุณ : กั๊กมทส.cpe#11หรือเบิ้ม3/1รยว (หวานกะหล่ำดอก) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 07:50:11

ความคิดเห็นที่ 89 ต้นเรื่อง http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11327032/X11327032.html เจ้าของกระทู้ไม่ผิดหรอกครับที่คิดว่าการเปรียบเทียบเป็นสิ่งที่สมควร การเปรียบเทียบ มันให้เกิดการพัฒนา ทำให้เรารู้ว่าอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ มันถูกต้องแล้วครับแต่ "บางคน" ย้ำนะครับ "บางคน" อาศัยตรงนี้ในการดูถูก ผู้อื่น ว่าตนมาจากสถาบันที่ดีกว่า อันดับดีกว่า ใช้คำเหยียดหยาม ถึงสถาบันคนอื่น พอมีคนไม่เห็นด้วยก็ออกมาหาความชอบธรรมด้วยการตั้งกระทู้ ถามว่าทำไมเวลามีการเปรียบเทียบรับไม่ได้ ?!?! ถามจริงครับ ... ที่มานั้นคุณเปรียบเทียบจริงๆ หรือ ... จึงมีคำถามที่ว่า คนที่เขาจบมาจากที่ไม่ดีเท่าคุณ คุณภาพอาจจะไม่ได้เท่าที่คุณคิดว่าคุณมี เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรักสถาบันเขาหรือ กระทู้ที่มีน้องมาถามก็ไม่มีใครเลย ที่บอกว่าสถาบันนี้ดีกว่าที่อื่นที่สุด ไม่มีใครเทียบ มีแต่ศิษย์เก่าเข้ามาให้คำแนะนำ ใช่ครับมันมีคำชักจูงมากมาย แต่ก็ไม่มีคำไหนที่ไปกระทบกระเทียบกับที่อื่นเลย แต่จู่ๆ ก็มีท่านสองท่านผ่านมา แล้วก็ ........ (ไปอ่านเอาเองแล้วกัน) แล้วสุดท้ายก็เกิดกระทู้นี้ขึ้น ... อย่างที่บอก เปรียบเทียบไม่ผิดมันอยู่ที่ "มารยาท" ครับ กระทู้นู้นยังไม่มีใครเลยที่ออกมากระทบไปที่อื่น แต่พอผู้สูงส่งอย่างเจ้าของกระทู้เขามาก็ .... นะ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 08:09:11 จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 07:56:47

ความคิดเห็นที่ 90 ข้อมูลเปรียบเทียบ ผมก็ชอบนะ ไว้เป็นไกด์ไลน์ แต่พออ่านกระทู้ต้นเรื่อง ประเด็นมันกลับกลายเป็นเรื่องมารยาทในสังคม มากกว่า จากคุณ : ไครว้า เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 08:05:00 A:203.156.87.30 X: TicketID:252022

ความคิดเห็นที่ 91 นี่แหละนะนิสัยคนไทย อย่าว่าแต่คนละสถาบัน สถาบันเดียวกัน คนละคณะยังดูถูก แบ่งแยก... สรุปแล้วไม่ว่าอณูไหนของสังคมก็ดูถูกเปรียบเทียบกันหมด เกิดอะไรขึ้น ? จากคุณ : immeeLy เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 08:08:02

ความคิดเห็นที่ 92 คือผมอ่านหลายๆคนแล้วมันไม่ใช่อะครับ เเต่ละคนพยายามจะบอกว่ามหาลัยอื่นยังไงก็ด้อยคุณภาพกว่า ผมไม่ได้ยึดติดสถาบันอยู่แล้วครับเเต่ผมจะมองในความคิดของผม หลายๆคนเอาเเต่บอกว่าไม่ได้เหยียดเเต่สุดท้ายก็ยกเหตุผลต่างๆนาๆว่าสุดท้ายก็สู้เเปดเกียร์เก่าไม่ได้อยู่ดี lคะแนนต่ำสุดมหาลัยนั้นยังได้มากกว่าสูงสุดของอีกมหาลัย สุดท้ายก็เหยียดอยู่ดี มันใช้ได้กับสายงานคุณนั้นเเหละครับหรือในภาพรวมที่คุณเป็นคนมองเอง เปรียบเทียบได้ครับคุณจะเปรียบเทียบอะไรก็เรื่องของคุณอยู่แล้ว เเต่คุณไม่ได้เป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ว่าควรจะเป็นแบบนั้นเเบบนี้ ใครจบจากไหนผมก็ยังมองว่าเหมือนกันอยู่ดี และมันเป็นความคิดของผมและนั้นก็เป็นความคิดคุณ คือผม:-)โคตรเกลียดเลยไอ้พวกที่ชอบเคลมว่าตัวเองเหนือกว่ามหาัลัยดีกว่าเหนือกว่า คนแบบนี้ใคร:-)ก็เกลียดไอพวกที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น จากคุณ : หลบเวลา เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 08:20:43

ความคิดเห็นที่ 93 น่าแปลกใจที่มหาวิทยาลัยสุดโก้ (ขนาดบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ผูกขาดอยู่สถาบันเดียว...จริงๆ เหรอ... ok  แหละ  ถึงจริงผมก็ไปว่าอะไรเขาไม่ได้)  ไม่ได้สอนให้คนพูดจาภาษาสุภาพชนหรือไง  ไปพูดจาให้คนเขาด่าเลยมาต้องมาตั้งกระทู้หาพวก อ่อ ส่วนมหาลัยผมที่มีศิษย์เกรียนๆ แบบนี้ (เป็นศิษย์มหาลัยนี้จริงดิ!) ก็ต้องขอไว้อาลัยให้กับสถาบันของผมเองด้วย แทนที่จะตั้งใจพัฒนาตัวเองและทำเกียรติของสถาบันการศึกษาของตัวเองให้เป็นที่ปรากฎ กลับมาเหยียบย่ำกันเองซะงั้น  ต่างกันลิบลับรุ่นพี่รุ่นแรกๆ หลายคนที่พยายามสร้างชื่อเสียงตั้งแต่วันที่มหาวิทยาลัยยังแทบจะไม่มีใครรู้จัก บอกแล้วว่ามันขึ้นกับบุคคลจริงๆ  สถาบันเป็นปัจจัยส่วนน้อย รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชนิพนธ์  ไว้ครับ "ฝูงชนกำเนิดคล้าย         คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ       แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน        กันหมด ยกแต่ชั่วดีกระด้าง         อ่อนแก้ ฤๅไหว" แปลให้ จะได้ไม่สับสน  "คนเราเกิดมารูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กัน ไม่ได้มีอะไรต่างกันมากมาย  ทางด้านวิชาการความรู้น่ะเรียนได้เหมือนกัน แต่กริยาและสันดานนั้นเปลี่ยนแปลงยาก"  คำว่า สันดาน  บางท่านอาจจะว่าหยาบคาย  หรืออาจจะคิดเลยเถิดไปว่าไม่บังควรที่จะแปลพระราชนิพนธ์แบบนี้ (หรือเปล่า)  แต่คำว่าชั่วดี ที่ว่าแก้กันยากนั้นมันน่าจะหมายถึงสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในบุคคล ไม่ใช่การกระทำชั่วครั้งชั่วคราว อะไรที่ฝังลึกขนาดนั้น  ถ้าว่าภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่ายๆ ก็คงจะเป็นคำนี้แหละครับ  บางคนมีการกระทำชั่วแบบชั่ววูบหรือหลงผิด แก้ไขได้อาจจะไม่นับว่าเป็นคนชั่ว  คนชั่วอาจจะทำดีในบางครั้ง แต่ก็มีความเคยชินในการทำชั่ว   ไม่ได้ว่าใครเรื่องชั่วดีหรอกครับ  จริงๆ แล้วเน้นเรื่องกริยา "กระด้าง-อ่อน" มากกว่า ผมว่านักเรียนมัธยมโดยเฉพาะมัธยมปลายน่ะ ไม่ได้โง่เง่าไม่รู้จักว่าเมืองไทยมีสถาบันอะไรบ้างหรอก  อันดับต้นๆ น่ะคนส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นยังไง  เขามาถามผมก็เล่าให้ฟังว่าในนั้นเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้าชอบก็มา  ถ้าไม่ชอบก็ตัดตัวเลือกทิ้งไปเลยก็ไม่ว่ากัน ผมเป็นคนหนึ่งที่รับไม่ได้กับหลายความเห็นของบางคนในกระทู้ต้นเหตุ  ไม่ใช่รับไม่ได้กับการเปรียบเทียบจัดอันดับที่มีมาตรฐาน  ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจหรอกว่ามหาวิทยาลัยที่ผมรักจะอยู่ในอันดับสูงหรือต่ำกว่าสถาบันที่มีชื่อเสียงเก่าแก่แต่ที่รับไม่ได้เนี่ย  ก็มีคนอยู่สองประเภทที่ผมกล่าวถึงในบรรทัดแรกๆ ของ คห.นี้นั่นแหละ ถ้าพูดจากันดีๆ ทำนองว่า... บริษัทใหญ่ๆ หลายที่มองถึงสถาบันเป็นตัวตัดสินไม่ว่าจะในขั้นแรกหรือเป็นตัวตัดสินถ้าคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ตำแหน่งงานที่น้องจะเป็น candidate อาจจะหายไป 20-30% (กี่ % ก็แล้วแต่เถอะ  สมมติ) ถ้าน้องมีโอกาสลองหาทางเข้ามหาวิทยาลัยชื่อเสียงดังๆ ไว้ก่อนจะดีกว่า ...   อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาโลกน่ะ  คนเรามีความพึงพอใจและความทะเยอทะยานไม่เท่ากัน  ถ้ามีใครมาด่าคุณเพราะความเห็นแบบนี้ผมจะช่วยคุณด่ากลับ  และให้กิฟสวนกระแสด้วยเอ้า แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 08:46:59 จากคุณ : rujipars (rujipars_a) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 08:39:11

ความคิดเห็นที่ 94 555 กิจกรรมบำบัดมช.เป็นที่ 1 ในประเทศไทย มันจริงซะยิ่งกว่าจริงก็มันมีอยู่ที่เดียวมาตั้งนาน มหิดลเพิ่งเปิดได้ไม่กี่ปีนี่เอง ยังต้องเอาอาจารย์จากมช.ไปสอนอยู่เลย 555 เรื่องใบปริญญาเป็นแค่ใบผ่านทางน่ะจริง แต่บางครั้งใบปริญญาจากบางสถาบันก็เปิดทางได้ดีกว่าบางสถาบัน จริงก่ ส่วนคุณภาพ ผมคงตอบไม่ได้ แต่เรื่องการจัดอันดับนี่มันมีหลายอย่างครับ เป็นเรื่องยากมากที่จะจัดอันดับได้ถูกต้องจริงๆ ว่ากันง่ายๆเลย ดูเกณฑ์ที่ใช้วัด แล้วเอาตรงนั้นมาเป็นตัวตั้งครับ การประเมินทุกอย่างก็ทำกันแบบนี้ ผมยกตัวอย่างการประเมินอาจารย์ก็แล้วกัน เพราะเป็นการจัดอันดับในตัวด้วย (คะแนนมากก็ได้เงินเดือนเพิ่มมาก) ต้องมีงานครบ 5 ด้าน นำมาถัวกันไม่ได้ ถ้าทำด้านหนึ่งเกิน แต่ด้านหนึ่งขาด คะแนนจะสู้คนที่ทำพอดีๆทุกด้านไม่ได้ (แม้ว่าชั่วโมงการทำงานคนแรกจะมากกว่าคนหลังก็ตาม) ไม่มีการวัดในเรื่องประสิทธิภาพการสอน (ส่วนหนึ่งนศ.ประเมินไม่ตรงกับความเป็นจริง) เรื่องจิตพิสัย 30% ก็เป็นเรื่อง subjective คนประเมินก็ไม่อยากให้ใครต่ำ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนสอบสวน แถมมันยังเป็นคนกันเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 08:46:45

ความคิดเห็นที่ 95 มันเป็นค่านิยมของคนไทย แต่ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้มีความแตกต่างกันมากมาย อยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า จากคุณ : LAPD21 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 09:00:09

ความคิดเห็นที่ 96 ผมว่าเจ้าของกระทู้เข้าใจผิดประเด็น การที่จบสถาบันดี ที่ถูกยอมรับ นั้น เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าทำงาน ก็จริงส่วนหนึ่งครับ แต่มันไม่จริงทั้งหมด แต่คนเราจะเก่งหรือไม่เก่งหรือเป็นอะไร มันไม่ได้วัดแค่การศึกษาว่าคุณจบที่ไหน หรือบางที การศึกษาไม่ได้เ็ป็นตัววัดด้วยซ้ำ!!สถาบัน มันอาจไม่ได้สำคัญหรือจำเป็นสำหรับทุกคน(คือ ในยุคนี้มันอาจจำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่ คนแบบเจ้าของกระทู้ แต่มันยังมีอีกหลายคน ที่ไม่จำเป็นสำหรับเค้า แต่เค้าก็ดีด้วยตัวเค้าเองได้) ผมคงไม่ต้องยก ไอน์สไตน์ หรือ สตีฟ จ็อบ มาเป็นตัวอย่างหรอกนะครับ คือคนเรา ที่เค้าเก่งได้ด้วยตัวเองก็เยอะแยะไปบนโลก หรืออย่างคุณตัน อิชิตัน(จบป.4หรือไงนี่ละไม่แน่ใจ) แต่ทำไม เค้ารวยกว่าใครหลายๆคนในประเทศนี้ หรือ เจ้าของสาหร่ายเถ้าแก่น้อย ไม่ได้เรียนต่อมหาลัยด้วยซ้ำ!!(และผมเชื่อว่าเค้ารวยกว่าคนเรียนจบมหาลัยเจ๋งๆส่วนใหญ่ของประเทศนี้!!แต่ผมก็เข้าใจว่า คนแบบที่ผมว่ามา ไม่ได้มีมากนัก แต่มันก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันมีนะ!!) เพราะงั้น การศึกษาหรือสถาบัน มันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเสมอไป(คือมันอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนแบบคุณ แต่อย่าลืมว่า คนเราไม่เหมือนกันทุกคนนะครับ โอกาสในชีวิต วิถีทางในชีวิตมันต่างกันไป) ประโยคที่ว่า"เีรียนที่ไหนก็เหมือนกัน อยู่ที่ตัวเราเอง" ผมว่า ที่สุดแล้ว มันอยู่ที่ตัวเราเองครับ จริงๆคำว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ก็ยังไม่สำคัญ สำคัญที่สุดคือตัวเราเอง!! จะไขว่คว้าอะไรแค่ไหน ความรู้ ไม่ได้อยู่แค่ในสถาบัน นั่นคือความจริง การเรียน มันเรียนรู้ได้ตลอดทุกที่ ทุกเวลา ไม่จำกัดอยู่ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น ถ้าตัวเราพยายามด้วยตัวเอง ผมว่า สถาบันไม่จำเป็นด้วยซ้ำไป(แต่ค่านิยมของคนทุกวันนี้มันเป็นแบบนั้น) สถาบัน เป็นแค่ตัวส่งเสริมครับ คนเราจะเก่งได้อยู่ที่ตัวเอง ต่อให้สถาบันมันดีแค่ไหน แต่คนที่เข้าเรียนมันไม่ขยัน ไม่ตั้งใจ ไม่พยายาม ต่อให้เข้าเรียนได้ ก็ไม่มีประโยชน์ครับ อีกอย่างต่อให้คุณจบสถาบันดีๆมา แต่คุณทำงานไม่เอาไหน คุณเก่งแค่ไหนเค้าก็ไม่เอาหรอกครับ!! การที่เค้ารับเข้างาน ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นจุดตัดสิน ว่าคุณเก่งแล้ว ้ผมยกตัวอย่าง ถ้าคุณจบสถาบันดี เค้ารับเข้าทำงาน แต่ทำได้เดือนสองเดือน ถูกไล่ออก แบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ หรือเค้ารับทำงานก็ได้แค่งั้นๆเป็นลูกน้องเค้าทั้งชาติ แต่คนที่จบสถาบันงั้นๆ แต่ตัวเค้าเก่ง เค้าตั้งใจ ไปทำงานองค์กรเล็กๆแต่อีกหน่อย สามารถทำงานดี ขยับหน้าที่ตัวเองเป็นเจ้าคนนายคนได้ องค์กรก็ใหญ่โตตามไปด้วย ชีวิตมันดูกันยาวๆ ไม่ได้ดูแค่ว่า จบสถาบันไหนหรอกครับ แต่สุดท้ายอยู่ที่"ตัวเราเอง"ครับ ไม่ได้อยู่ที่สถาบัน มันเป็นแค่องค์ประกอบครับ!! อีกอย่างคนเรา มัน"พัฒนาตัวเอง"ได้ครับ ไม่ใช่ ว่า จบสถาบันก็หมายความว่าคุณหยุดพัฒนาแล้ว คนบางคนจบไปแล้ว เค้าก็พัฒนาได้อีกครับ เจ้าของกระทู้ต้องเข้าใจว่า สถาบันเป็นแค่"ปัจจัย"ครับ คนเราเรียนรู้ได้พัฒนาได้เสมอ จริงที่สุดคือตัวเราเอง!! แต่ผมยอมรับว่าการจบสถาบันดี มีชื่อเสียงกว่า ก็มีโอกาสมากกว่าอยู่ส่วนหนึ่ง ชื่อชั้นดีกว่า แต่การมีชื่อชั้นดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป!! ก็เหมือนมวยชื่อชั้นดี อยู่ค่ายมวยดัง มาชก กับ มวยรอง ละครับ มวยชื่อดี ค่ายดี ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินลงจากเวที อย่างผู้ชนะเสมอไป!! ปล. เจ้าของกระทู้ก็อาจจะเบื่อและบอกว่าัมันเป็น rare case อีก!! แต่คุณไปดูคนติดอันดับรวยของประเทศนี้ได้เลย ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจบสูงปรี๊ดดดดดครับหรือจบสถาบันมีชื่อเสียงระดับท็อปของประเทศ  แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น มันก็ไปเกี่ยวกับคำว่า "เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน อยู่ที่ตัวเองนั้นละ!!"  อีกอย่างมันต่อเนื่องกัน คุณจะมาบอกว่า เรียนที่ไหน-การรับเข้าทำงาน แล้วจบ มันไม่ได้ครับ เพราะ ชีวิตจริง เวลาคุณได้งาน คุณก็ต้องทำงาน ทำงานแล้วก็ต้องมีผลงาน(จะดีจะแย่อีกเรื่องหนึ่ง) มันต่อเนื่องกัน คุณจะบอกว่า มันไม่เกี่ยวไม่ได้ และ คนทั่วๆไปของประเทศนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เรียนมหาลัยมีชื่อเสียงระดับท็อปของประเทศ คนที่มีโอกาสเรียนมหาลัยระดับท็อปถือเป็นส่วนน้อยครับ อีกอย่างผมฝากไว้นิดนึง การเรียนจบที่ไหน แล้วการได้เข้าทำงาน ไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จของคนนั้นๆเลยครับ อย่าเข้าใจผิดๆ!! มันต้องดูกันยาวๆครับ แต่สำหรับผม ตัวเราเอง สำคัญกว่า สถาบันเยอะครับ คุณจะจบสถาบันพระเจ้ามาจากไหน สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวคุณเองละครับ!! แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 09:26:49 จากคุณ : JOkerVirus เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 09:01:52

ความคิดเห็นที่ 97 เค้าไม่ใช่รับไม่ได้กับการเปรียบเทียบ เค้าคงรับไม่ได้กับการดูถูกกันมากกว่า ถ้าจัดสถาบันมาก่อนสิ่งอื่นใด ก็ไม่ต้องสัมภาษณ์กันหรอกครับ ที่เค้าสัมภาษณ์กันเพราะเค้า ดูอย่างอื่นประกอบ (ในภาพรวมตามที่กล่าวถึงกัน) จะยอมรับได้ไหม๊ว่า โอกาสในการได้งานขึ้นอยู่กับหลายอย่างประกอบกัน ถ้าจะบอกว่า resume ของเด็กสองคนจาก ม ดังกับ ม ไม่ดังวางคู่กัน แล้วเด็ก ม ดังถูกเรียกก่อนก็ไม่ใช่โอกาสได้งาน แต่เป็น โอกาสในการสัมภาษณ์แค่นั้นเอง จากคุณ : - B i g T o w - เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 09:30:32

ความคิดเห็นที่ 98 คอมเม้นท์นอกประเด็น  แต่เกี่ยวกับ คห. ในกระทู้นี้แหละ เพิ่งเห็น "แต่เราเป็นคนไม่เก่ง เกรดก็ไม่ค่อยดีค่ะ แล้วเราจะมีที่ยืนตรงไหน"...  พูดจริงหรือครับ คนไม่เก่ง เกรดไม่ดีแล้วจะเข้าสถาบันชื่อเสียงดีได้อย่างไร  มีสถาบันที่ให้โอกาสคุณเรียนและจบการศึกษาก็นับว่าดีแล้ว แต่นี่... มาด่าสถาบันห่วยอีก  เฮ้อ  ขอไว้อาลัยซ้ำอีกสามรอบ รุ่นพี่มัธยมผมนะ  เรียนมัธยมก็เกรดงั้นๆ แต่ไปเรียนที่นี่เกรดเกิน 3 สวนทางกับที่หลายๆ คนบอกว่าเกรดมัธยมเท่าไหร่หาร 2 หาร 3 กันเลย เพื่อนอีกคน(จบมหาวิทยาลัยมีชื่อ จากทางใต้  ยกตัวอย่างเรื่องบริษัท ไม่เกี่ยวกับสถาบันที่จบ ไม่ต้องลากไปเข้าเรื่องสถาบัน) จบตรีมาสอบสัมภาษณ์ที่บริษัทที่ผมเคยทำงาน หน่วยงานเดียวกับผมนี่แหละ ครั้งแรกยังไม่ผ่าน  แต่ใฝ่รู้มาก  ไปทำงานบริษัทเล็กๆ อยู่ปีนึง แล้วมาสมัครใหม่ก็ได้งาน ต่อมาย้ายไปบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่รายหนึ่งของเมืองไทยแล้วก็ออกไปทำ SI ที่วางระบบให้กับบริษัทโทรคมนาคม ตอนนี้กำลังจะร่อนทั่วภูมิภาคแถวเอเชียใต้ไปจนถึงเอเชียตะวันออก  แล้วแต่ว่าบริษัทมีโปรเจ็คที่ไหนบ้าง รุ่นพี่มหาวิทยาลัยอีกคนจบโทรคมนาคมตอนนี้ก็ทำงานกับ SI รายใหญ่อีกราย ก็ทำงานในระดับภูมิภาค (หลายๆ ประเทศ ไม่ใช่ภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้) จะยกตัวอย่างมากไปกว่านี้ก็จะยืดยาวเกินไป   ถ้าจะบอกว่าคนที่ไม่ได้เริ่มต้นกับมหาวิทยาลัยหรือบริษัทที่มีชื่อเสียงแล้วรุ่งได้เป็นส่วนน้อย   ลองคิดต่อไปอีกหน่อยว่าคนที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยชื่อเสียงชั้นหัวกะทิ  หรือบริษัทใหญ่ๆ ที่คนแข่งกันเข้านั้นก็เป็นส่วนน้อยเหมือนกัน  ย้อนไปถึงมัธยม คนที่ได้เรียนห้อง king ก็เป็นส่วนน้อย  หรือคนที่เข้าเตรียมอุดมได้ก็เป็นส่วนน้อย บางทีจังหวะการเติบโตหรือโดดเด่นของคนมันไม่เหมือนกัน  ตอนมัธยมยังไม่เก่ง เข้าสถาบันดังไม่ได้  เข้าที่ทำงานสุดไฮโซไม่ได้  แต่ถ้าได้มีโอกาสเรียน หรือได้งาน เติบโตไปเรื่อยๆ เขาอาจจะไปรุ่งตอนไหนก็ได้   ถ้าบังเอิญเขาพัฒนาตัวเองได้เร็วตั้งแต่มัธยมต้น ก็เข้าเตรียมอุดมได้  ถ้าพัฒนาตัวเองได้เร็วตอนอยู่ ม.ปลาย ก็เข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้  ถ้าพัฒนาตัวเองได้เร็วตอนทำงานบริษัทเล็กก็ทำงานบริษัทใหญ่ได้  อันนี้ว่ากันตามกระแสหลักที่คนจำนวนมากใฝ่ฝันกัน  ส่วนแนวทางที่สมถะ ไปทำไร่ไถนาแล้วมีความสุขก็อีกแนวหนึ่ง แบบนี้แล้วจะไปโทษสถาบันห่วย หรือเริ่มงานที่บริษัทเล็กเลยไม่รุ่ง ไม่น่าจะถูกเรื่องแล้วล่ะ  สุดท้ายแล้วก็คือทำตัวเองให้ดีที่สุด  พอใจในสิ่งที่ตนเองทำได้ หาได้  ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ  ถ้าพอเพียงได้จะมีความสุขได้ทันที แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 09:38:36 จากคุณ : rujipars (rujipars_a) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 09:35:46

ความคิดเห็นที่ 99 ถ้าเรียนมัธยมยังไม่ขยัน ให้เกรดสวยๆ สอบได้ที่ ม.ดังๆ ในมหาวิทยาลัย ยังไม่ขยันให้เกรดดีๆ แล้วจบมา แล้วรับมาทำงาน มันจะขยันทำงานเหรอ ?? เกรดที่เค้าได้ สถาบันที่เค้าได้เข้า นั่นก็เป็นผลของพยายามของเค้า มันเป็นเครื่องการันตี ความพยายามของเขา นั่นก็ช่วยบ่งบอกได้ระดับนึงแล้วว่า ตอนเรียนเค้าเป็นคนขยันแค่ไหน ซึ่งมีผลแน่ๆ ในการสมัครงาน การเรียนสถาบันดีๆ เกรดสวยๆ มันก็ช่วยส่งเราไปที่เส้น Start ที่นำชาวบ้านไปก่อนไกลแล้ว จากคุณ : Tempkor (temp_ver2) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 09:37:36

ความคิดเห็นที่ 100 #99 เห็นด้วยครับ ให้กิฟเพื่อแสดงว่าผมเห็นด้วย ด้วยใจจริง มันเป็น logic ที่คนรับสมัครหลายคนที่มอง ส่วนคนที่อะไรก็ไม่ดีสักอย่าง  แล้วยังแสดงทัศนะแย่ๆ สงสัยจะเกิดยาก  ไม่ได้ทางวิชาการก็ต้องเก่งในการเข้าสังคม ยกตัวอย่างท่านหนึ่ง วัยกลางคนแล้ว  สมัครงานเป็นเซลส์ในบริษัทแห่งหนึ่ง  ผู้บริหารสูงสุดถามว่าคุณทำอะไรได้บ้าง  ผู้สมัครบอกตามตรง.. เรื่องงานผมไม่เก่งสักอย่างครับ  แต่เรื่องกิน เที่ยว เล่น ผมถนัด  ปรากฎว่าได้งาน   เพราะงานตำแหน่งนี้มันต้องเน้นเทคแคร์ผู้บริหารระดับสูงของลูกค้าอย่างเดียว ผมไม่ได้ชื่นชมวิธีการแบบนี้นะ  แต่ว่ามันก็เป็นความจริงของชีวิต  เหมือนที่ HR บริษัทดังเลือกสถาบันนั่นแหละ ต้องขอยืมคำพูดท่านผู้ว่า กทม. สักหน่อย  "...เพราะผมเข้าใจชีวิต..."  ไม่ได้ชื่นชอบอะไรท่าน หรือพรรคการเมืองเป็นการส่วนตัว  แต่เป็นคำพูดที่โดนใจ  เราต้องเข้าใจชีวิตครับ จะได้ลดการตีโพยตีพายและโทษปี่โทษกลอง จากคุณ : rujipars (rujipars_a) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 09:51:13

ความคิดเห็นที่ 101 คห. 96 ผมไม่แน่ใจว่าคุณได้อ่านความเห็นบนหัวกระทู้ หรือว่าอ่านภาษาไทยไม่เข้าใจ ผมไม่ได้บอกว่าถ้าคุณจบสถาบันดี เกรดสวยแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิต ผมแค่อยากจะฝากบอกว่า ถ้าหากคุณจบใหม่แล้วอยากได้ทำงานบริษัทใหญ่ๆ มันคง ค่าตอบแทนดี เลือกสถาบัน Top3 เถอะครับ แล้วที่ว่าจบสูง สถาบันดี ทำงานห่วยทำงานไม่เป็น มันก็มีครับแต่เป็นส่วนน้อย แต่ว่าพวก เกรดต่ำ สถาบันธรรมดา ทำงานห่วย ทำงานไม่เป็นอันนี้มีเยอะกว่าชัวร์ๆ ผมรับรอง จากคุณ : คุณชายเทวดา เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 10:39:29

ความคิดเห็นที่ 102 เราต้องยอมรับความแตกต่างของคน  เรื่องแนวคิดเรื่องทัศคติกับสถาบัน ใครลองทำแบบสำรวจออกมาก็จะรู้ เรื่องคะแนนตอนEntrance มันก็ออกมาเรียงให้อยู่แล้วแต่เป็นในเรื่องผลสอบเท่านั้น ทำงานเก่งไหม ความสามารถในการทำงานแปรผันตรงกับคะแนนตอนEntranceไหม อันนี้ต้องศึกษา ประสบความสำเร็จในชีวิตไหม ก็ต้องคุยกันยาวแล้วว่าอะไรคือประสบความสำเร็จ ทีนี้ก็ไปศึกษาต่ออีกกว่ามีความแปรผันตรงกับชื่อเสียงมหาลัยหรือผลคะแนนตอนEntranceไหม สุดท้าย ความเป็นมนุษย์ ได้ทำความดี ทำประโยชน์อะไรแก่สังคมบ้าง เป็นคนดีไหม ดูถูกคนอื่นไหม ยอมรับความาแตกต่างและความเก่งของคนอื่นหรือเปล่า นอกจากนี้ทักษะในชีวิตมันมีหลายด้าน บางคนอาจจะไม่ได้เรียนมหาลัยดังแต่เป็นคนเก่ง ทำงานเก่ง เก่งเรื่องสังคม เป็นคนดี...ทั้งหมดนี้ต้องศึกษาและวิจัย  ตอนนี้เท่าที่เห็นให้ความเห็นกันมา เป็นแต่เพียงความคิดตัวเอง อคติบ้าง ไม่ยอมรับบ้าง มองภาพรวมบ้าง มองข้อยกเว้นมาเป็นจุดใหญ่บ้าง สรุป ต้องยอมรับว่าคนเราแตกต่าง มหาลัยก็แตกต่าง ทำงานก็แตกต่างอีก บางคนเรียนเก่งอาจทำงานไม่เก่งเป็นต้น บางคนเรียนดีแต่ไม่เป็นคนดีเป็นต้น จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 11:44:24

ความคิดเห็นที่ 103 "คนไม่เก่ง เกรดไม่ดีแล้วจะเข้าสถาบันชื่อเสียงดีได้อย่างไร  มีสถาบันที่ให้โอกาสคุณเรียนและจบการศึกษาก็นับว่าดีแล้ว แต่นี่... มาด่าสถาบันห่วยอีก  เฮ้อ  ขอไว้อาลัยซ้ำอีกสามรอบ" คนไม่เก่ง เกรดไม่ดี ก็เข้าได้ไงคะ ก็เพราะเข้าสถาบันไม่ดังไงคะ คะแนนตอนเข้าเท่าไหร่ หาดูในเนตได้ คะแนนไม่ถึงก็เข้าสถาบันดังไม่ได้ ยังจะงงว่า ตกลงโดนดูถูกจากสถาบันชื่อดัง ยังไม่เข้าใจอีก  ไว้อาลัยให้ตัวเองดีกว่าไหมง่ะ กลับไปอ่านใหม่ สามรอบ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 11:55:16 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 11:46:45

ความคิดเห็นที่ 104 ^ ^ รู้สึกคุณจะย้ำมากมายนะครับ เรื่อง ดังไม่ดัง ดูถูกไม่ดูถูก แล้วจะให้เขาใจอะไรเหรอครับ แล้วให้เราทำยังไงเหรอครับ "ก้มหน้าก้มตาอย่างเดียวว่า แหม ไอ้เรามันต้อยต่ำจริงๆ ดูสิผู้สูงส่งทั้งหลายเขาอุตส่าห์สละเวลามาดูถูกเราแล้ว ใครอย่ามาถามข้อดีสถาบันเรานะ เพราะไอ้การที่เราสู้เขาไม่ได้ เราก็ก็ไม่ควรจะไปบอกใครเลยว่าเราก็มีดี ท่านที่มาจากสถาบันสูงส่งเขาไม่อนุญาต ? " คุณต้องการแบบนี้หรือครับ มีปัญหาอะไร หรือปมอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หรือเปล่าครับ ถึงได้ย้ำไปย้ำมาแต่เรื่องพวกนี้ หรือว่านี่เป็นเพียงอย่างเดียวที่คุณสามารถเอาไปพูดอ้างกับคนอื่นได้ เพื่อลบหรือปิดบังอะไรบางอย่างของคุณ สังเกตุไหมครับ ว่าหลายๆ ท่านที่เขาเข้ามาตอบไม่มีใครที่ล่วงไปถึงสถาบันอื่นเลย มีไม่กี่คนที่เข้ามาตอบ แล้วแต่ละคำที่สำรอกออกมาไม่ได้แสดงถึงภูมิความรู้ที่บอกว่ามาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง หรือเป็นผู้มีความรู้สมควรเคารพเท่าไหร่เลย (ไม่ใช่แค่ในกระทู้นี้แน่ๆ) หรือว่ามันเป็นแค่การยืมมือคนอื่นมาด่า เพื่อบำบัดความใคร่ที่จะดูถูกคนอื่นของกลุ่มคนบางพวก สถาบันให้ความรู้ครับ แต่บางครั้งมารยาท และปมทางจิตใจ มหาลัยจะมีชื่อเสียงขนาดไหนก็ไม่สามารถขัดเกลาได้ทุกคนเสมอไป ... คุณว่ามั้ย ^^ อ่านข้อความนี้รอบเดียวคงเข้าใจ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 12:36:03 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 12:34:21 จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 12:31:24

ความคิดเห็นที่ 105 ภาพประกอบความเข้าใจ จากกระทู้ต้นเรื่อง http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11327032/X11327032.html จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 12:41:40

ความคิดเห็นที่ 106 อันนี้ของเจ้าของกระทู้ จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 12:42:26

ความคิดเห็นที่ 107 อยากดราม่า ละสิ   จากกระทู้ต้นเรื่อง  ผมว่าไม่มีใครที่จะด่า จขกท เลยนะ  มีแต่คนยอมรับว่า มทส.พึ่งเปิดใหม่  และไม่มีใครไปดูถูกมหาลัยเก่าแก่เลยสักคนเดียว   ต้องการลากกระทู้เพื่อมาหาพวกโจมตี มทส. มากกว่า  ต่ำมากความคิด จากคุณ : knightdevil เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 13:37:05

ความคิดเห็นที่ 108 #103 ใครเข้าใจช่วยแปลไทยเป็นไทยให้ผมเข้าใจที Ok เข้าขั้นดราม่าเต็มขั้นตามความต้องการของบางคนแล้วหล่ะ  แต่ไม่ยักเห็นใครเข้ามาปูเสื่อพร้อมชามมาม่าเหมือนบางกระทู้แฮะ อ้างอิงจากกระทู้นี้แหละ ----------------------------- ความคิดเห็นที่ 57 ขออนุญาตเติมเชื้อเพลิงนิดนึง จะได้เป็นกระทู้ดราม่าค่ะ ถ้าเราบอกว่า... เราด่ามหาลัยที่เราเรียนจบมาอ่ะ จะโดนด่ามั้ยคะ ไม่ได้เหยียบย่ำ ดูถูกมหาลัยอื่นด้วยนะ อิอิอิ แต่กำลังจะบอกว่า ถ้าใครมาด่ามหาลัยเราก็อย่าโกรธเลยค่ะ คิดซะว่าติเพื่อก่อ อยากให้มหาลัยของตัวเองพัฒนามากกว่านี้ค่ะ เนี่ยนะ ขนาดส่งรีซูเม่ ไปหลายๆบริษัท ยังโดนเขี่ยทิ้งเลย บางทีนะ เพื่อนๆที่เรียนที่อื่นก็ได้งานทั้งๆที่เกรดน้อยกว่าแต่อยู่มหาลัยดีกว่า เราก็เลยคิดว่า ไม่อยากให้ คนรุ่นหลังๆ จะต้องเป็นแบบเรา ถ้าได้คะแนนดีๆ จะมีเกณของแต่ละปีก็เอามาดูได้ว่า คะแนนที่ไหนสูงกว่า คนแย่งกัีนเลือก เพราะอะไร เราปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นความจริงของสังคมบ้านเรา  ลองดูกิฟของจขกท ก็รู้แล้วว่ามีคนคิดแบบเรา ไม่ได้คิดกันอยู่แค่คนสองคน เรื่องการรับสมัครงานเป็นเรื่องจริง ที่ทุกๆคนในที่นี้ก็รู้อยู่แก่ใจ ในรุ่นน้อยคนจะได้อยู่บริษัทใหญ่ มีบางคนก็ใช้เส้นฝากเอา เอาเงินยัดเข้า บางคนเก่งมากๆก็มีโอกาส แต่เราเป็นคนไม่เก่ง เกรดก็ไม่ค่อยดีค่ะ แล้วเราจะมีที่ยืนตรงไหน งานก็แย่งกัน อยากได้งานก็ต้องทนรับเรตเงินเดือนน้อย บางที่ก็มีแต่สีอื่นๆเต็มไปหมด ขนาด คนรับยังบอกว่า ที่นี่สี... ไม่รับคนนอกค่ะ เป็นไงคะ ฟังแล้วช๊อกไหมคะ ที่พูดมาก็เพราะ เราก็คิดเหมือน #52 ค่ะว่า "แชร์ประสบการณ์ตามที่เป็นจริง ไม่ว่าจะจากการทำงาน หรือว่าสภาพการเรียนในมหาวิทยาลัยที่ผมจบการศึกษามา เท่านั้นเอง " ว่าแต่วิทยาศาสตร์ตรงไหนเหรอคะ ??? จากคุณ : mint_la [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 23:12:50 [แก้ไข] ถูกใจ : kedinvent ----------------------------- คือจากก #57 พูดอย่างนี้ "ถ้าเราบอกว่า... เราด่ามหาลัยที่เราเรียนจบมาอ่ะ จะโดนด่ามั้ยคะ ไม่ได้เหยียบย่ำ ดูถูกมหาลัยอื่นด้วยนะ อิอิอิ แต่กำลังจะบอกว่า ถ้าใครมาด่ามหาลัยเราก็อย่าโกรธเลยค่ะ คิดซะว่าติเพื่อก่อ อยากให้มหาลัยของตัวเองพัฒนามากกว่านี้ค่ะ" แบบนี้ mint_la เขาแสดงตัวว่ามาจาก มทส. ใช่หรือไม่  ไม่ได้ดูถูกมหาวิทยาลัยอื่นแต่ดูถูกมหาวิทยาลัยตัวเองใช่ไหม จากอีกกระทู้นึงก็มาบอกว่า มทส.ห่วย  แสดงว่าจะโทษว่าสถาบันห่วยข้าพเจ้าเลยหางานยากถูกไหม  แถมยังว่า "บางคนเก่งมากๆก็มีโอกาส แต่เราเป็นคนไม่เก่ง เกรดก็ไม่ค่อยดีค่ะ แล้วเราจะมีที่ยืนตรงไหน งานก็แย่งกัน อยากได้งานก็ต้องทนรับเรตเงินเดือนน้อย" แสดงว่าคุณบอกเองว่าคุณไม่เก่ง   ในเมื่อคุณไม่เก่ง คุณเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ได้  แต่ มทส.ยังรับคุณเข้ามาเรียนจนจบออกไปได้  คุณก็เลยตอบสนองด้วยการประณามมหาวิทยาลัยว่า "ห่วย" ใช่ไหม จะบอกว่าคนไม่เก่งอย่างคุณเข้าได้มันเลยเป็นมหาวิทยาลัยที่ห่วยใช่ไหม ที่ผมบอกว่าขอไว้อาลัยก็ตรงนี้แหละ   ไม่ได้ต้องการให้ใครมาชาบูหรือเยินยอหรอก  แต่ว่าศิษย์เนรคุณแบบนี้มันน่าเสียใจจริงๆ ก็ขอให้เจริญๆ ละกันนะครับ  อย่าให้เวรกรรมมันตามทันเร็วนัก จากคุณ : rujipars (rujipars_a) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 14:19:01

ความคิดเห็นที่ 109 ไม่ใชคนไทย ? จากคุณ : ordina เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:10:44

ความคิดเห็นที่ 110 มาขอเล่าประสบการณ์ตรงในสายวิศวะ บางบริษัทก็เรียก recruit เด็กจบใหม่แค่บางที่จริงๆครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าม.อื่นเข้าไม่ได้นะครับ แต่เค้าให้ priority เด็กที่จบในม.ที่เค้ากำหนดก่อน มันเป็นเรื่องจริง ไม่เอาโลกสวย ไม่นับ rare case ถ้าผมมีรุ่นน้องผมก็บอกก่อนหละครับ ไปเรียนม.เก่าแก่ มันมีโอกาสสมัครงานบริษัทใหญ่ๆดีๆได้มากกว่านะ (แต่เกรดคุณก็ต้องสวยอยู่ดี) อย่างผมเอง ตอน ent คะแนนจะเข้าที่ไหนก็ได้ แต่ที่มาที่นี่เพราะได้ทุนเรียน แถมยังได้เงินเดือนอีก ประกอบกับเรียนเป็นอินเตอร์เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กว่าเวลาสมัครงาน แต่มาเจอบางบริษัทไม่รับ recruit นี้ก็แอบเซง จิตตกไปเหมือนกัน บริษัทนี้ไปรับตำแหน่งวิศวะป.ตรีจบใหม่แค่ 2 มหาลัยเท่านั้นเองครับ แถมเป็นบริษัทต่างชาติอีก (แต่หลังจากรุ่นผมปีนึง มีรุ่นน้องได้เข้าไปฝึกงานที่นี่ แล้วก็เริ่ม recruit เด็กคณะผมหลังผมจบได้สองปี) ก็นั่งนึกเซงๆ ทำไมไม่เรียกตรูบ้างฟระ เกรดก็พอโอเค 3.5 ขึ้น ผลงานกิจกรรมก็ไม่ได้ขี้เหล่อะไร หรือว่าไม่เรียกเพราะตรูไม่ได้จบจากม.สีหวาน กะม. สีสดใสฟระ ตอนนั้นอยากเข้าที่นี่มาก แต่ก็ปลอบใจตัวเอง ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะอย่างน้อยก็ได้ที่ SCG กับ P&G แล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำที่ไหนเลย เพราะรับทุนมาเรียนต่อต่างประเทศ ท้ายนี้....มันปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ ว่าเรื่องมหาลัยมีผลค่อนข้างมากในการรับเด็กจบใหม่ โดยเฉพาะพวกบริษัทดังๆ ลองสังเกตจากพวกโรดโชว์เอาเองครับว่าเค้าไปรับเด็กที่ม.นั้นหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ถ้าเราเก่งจริง บริษัทที่ไหนก็รับเราเข้าทำงานครับ ไม่ต้องกังวลจะไม่ได้งาน เพียงแต่อาจจะต้องใช้กำลังมากขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง หากไม่ได้เรียนมหาลัยที่เค้ากำหนดไว้ เว้นเสียแต่เป็นนโยบายจากเบื้องบนสั่งแบนไม่เอามหาลัยนี้ หรืออำนาจมืดจากพวกฝ่าย HR ปล. SCG เน้นรับตำแหน่งวิศวะจากม.รัฐหัวเมืองใหญ่ๆ 3 ที่กับในม.รัฐในกรุง 8 ที่ครับ ไม่ได้มีแต่ม.สีหวานนะครับ ส่วน PTT ผมว่าเด็กม.สีหวานเยอะกว่า SCG อีกนะ แต่ก็พบเจอเด็กม.รัฐอื่นๆ แทรกได้ตามปกติ เพียงแต่ไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ ปล. 2 ปกติบริษัทต่างชาติ prefer เด็กที่จบจากประเทศเจ้าของก่อน เช่น บริษัทญี่ปุ่นจะเรียกรับเด็กที่จบจากญี่ปุ่นก่อนเลยครับ จากคุณ : เฉาก๊วยกะบ๊วยเค็ม - -" เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 17:27:43