ความคิดเห็นที่ 1 นั่นสิ  สงสัยหมือนกันค่ะ จากคุณ : keng_beauty เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 16:57:15

ความคิดเห็นที่ 2 นั่นสิ สงสัยเหมือนกัน น่าจะวัดจากม่านตา เวลาตาปรับโฟกัสภาพที่ให้มองมังครับ จากคุณ : @==ไข่ดำ==@ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:05:47

ความคิดเห็นที่ 3 มองไปในเครื่องนั้นแล้วเห็นอะไรกันบ้างอ่ะ เราเห็นเรือใบ   มันมีหลายรูปไหมหว่า? แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 17:08:01 จากคุณ : สวย ส่ายสุดๆ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:07:36

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าเราไม่ร่วมมือ ไม่โฟกัสสายตาให้เห็นภาพชัดเจน โฟกัส แสงมันก็ไม่ได้ตกที่ Retina พอดี ค่าสายตาที่วัดได้ มันก็คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง อ่ะ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:08:11

ความคิดเห็นที่ 5 ลองไปดูกระทู้นี้นะครับ ^_^ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/11/X9890500/X9890500.html http://www.smartvision-thailand.com/service.html http://en.wikipedia.org/wiki/Optometry (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:17:04

ความคิดเห็นที่ 6 สาวแว่น... จากคุณ : @==ไข่ดำ==@ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:25:20

ความคิดเห็นที่ 7 ^^ ^^ ^^ @==ไข่ดำ==@ จากคุณ : siwakorn.lsb เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:36:11

ความคิดเห็นที่ 8 #3 ผมเห็น ทุ่งหญ้าและมีบ้าน 1 หลังตรงกลางครับ จากคุณ : มวยมีค่าย เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 18:19:29

ความคิดเห็นที่ 9 บอลลูนลอยกลางทุ่งหญ้า จากคุณ : hinghoi เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:23:40

ความคิดเห็นที่ 10 เครื่องมืออัตโนมัติที่ใช้วัดสายตา ว่าสั้น ยาว เอียง เรียกว่า Auto refractometer ครับ หลักการ ก็จะดูแสงที่เข้าไปตกกระทบแล้วสะท้อนออกมาจากจุดโฟกัสที่จอตา (retina) ครับ อันนี้เป็นหลักการหนึ่งในการ refraction หรือวัดสายตาครับ ในอดีต จะใ้ช้เครื่องมือที่เรียกว่า retinoscope ในการวัดค่าสายตาคลาดเคลื่อนครับ (Refractive error) คือใช้หลักการแสงที่เป็นแนว เข้าไปหักเห แล้วตกกระทบ สะท้อน ออกมาจากจอตาครับ จะมีแสงสะท้อนออกมาให้มองผ่าน retinoscope เป็นแสงที่เรียกว่า aganist กับ with ครับ ถ้าเป็น against คือแสงไปในทิศตรงข้าม คือว่า แสงนั้นหักเห และสะท้อนกลับก่อนถึงจอตา เรียกว่า เป็น สายตาสั้น ต้องเพิ่มเลนส์ที่มีค่าลบเข้าไป และถ้าเป็น with คือแสงเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน คือ แสงนั้นหักเหและสะท้อนกลับ หลังจอตา เรียกว่าเป็นสายตายาว ต้องเพิ่มเลนส์ค่าบวกเข้าไปครับ อธิบาย เปล่าๆ เข้าใจยากครับ ต้องดูภาพประกอบครับ (เดี๋ยวไปหาก่อนนะครับ) จริงๆ มันมีหลายวิธีการครับ เช่น Placido disc, Scheimpflug camera ซึ่งเป็นวิธีการวัดความโค้งของกระจกตาครับ เรียกว่า keratometry ครับ ความโค้งกระจกตา เป็นปัจจัยหนึ่งในการเกิดสายตาคลาดเคลื่อนครับ แต่ค่าที่ออกมาจากเครื่องวัดสายตา (refraction) จะเป็นค่าความคลาดเคลื่อนโดยรวมทั้งหมดครับ แต่เครื่องมือที่วัดสายตาส่วนใหญ่ จะวัดได้เฉพาะค่า refraction จะมีบางเครื่องในรพ.หรือคลินิกตาใหญ่ๆ ที่วัดได้ทั้งค่า refraction และ keratometry ครับ ที่ต้องอ้างอิงคำศัพท์เทคนิคมากมาย เพื่อให้สามารถไปค้นหาเพิ่มเติมได้ครับ เพราะตาม wikipedia หรือในกูเกิ้ลทั่วๆไป จะมีรูปอธิบายหลักการพวกนี้อย่างละเอียดมากมายครับ รูปที่เห็นในเครื่อง ที่คลินิกผมใช้เป็นรูปบอลลูนครับ แต่ก็มีเรือใบ บ้าน อย่างที่คคห.ก่อนหน้าว่ากันครับ ทั้งหมด คือเหมือนเป็นจุดให้โฟกัสภาพครับ เป็นภาพ perspective เหมือนการมองไกลครับ จะได้ให้มองไกลๆ ไม่เพ่งครับ การเพ่ง ทำให้เกิด accommodation reflex หรือกระบวนการเพ่งครับ ทำให้ค่าสายตาเป็นลบมากขึ้น ในเด็กๆ อาจเพ่งมากขึ้น ทำให้ค่าที่วัดจากเครื่องอัตโนมัตินี้ คลาดเคลื่อนได้ถึง -2 ถึง -3 ได้เลยครับ ดังนั้น ค่าที่ได้จากเครื่องอัตโนมัติ จึงเป็นค่าคร่าวๆครับ ค่าที่จะใช้ในการตัดแว่นจริงๆ จะได้จากค่า subjective refraction หรือการลองเอาเลนส์แว่น มาเสียบๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วมองจนกว่าจะชัดครับ จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:23:42

ความคิดเห็นที่ 11 http://www.youtube.com/watch?v=kAreDffuVCQ คลิปการ์ตูนง่ายๆ ในการแสดงการ retinoscopy ครับ จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:26:14

ความคิดเห็นที่ 12 http://www.mrcophth.com/retinoscopy/retinoscopy.html มีรูปของแสง reflex ที่สะท้อนออกมา เป็น against , with และ neutral ครับ อันนี้เป็นหลักพื้นฐานของการวัดสายตาคลาดเคลื่อนนะครับ (Refractive error) จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:27:47

ความคิดเห็นที่ 13 นี่เป็นหลักการอย่างหนึ่งของเครื่องอัตโนมัติครับ http://www.dfv.com.au/prod_refractors_nidek.htm รุ่นนี้เป็นรุ่นที่่ใช้ที่คลินิกครับ ใช้แสง LED พิเศษแล้วก็่ถ่ายภาพแสงสะท้อนออกมาจาก reflex ที่กระทบกับจอตาครับ แล้วดูความคลาดเคลื่อนของแสงที่สะท้อนออกมาครับ รุ่นนี้เขาก็โฆษณาว่า สามารถส่องผ่านต้อกระจกขุ่นๆเข้าไปได้ และรู้ว่าเลนส์ตาของผู้ป่วยเป็นเลนส์ตาเทียมใสๆ หรือต้อกระจกขุ่นๆครับ รวมถึงค่าสายตาเอียงที่มีความแม่นยำมากขึ้นครับ ซึ่งทั้งหมดนี้ รายละเอียดจะทำโดยการวัดโดย retinoscope ไม่ได้รายละเอียดขนาดนี้ครับ ว่าสายตาเอียง 8 องศา หรือ 72 องศาครับ จะรู้ได้แค่แกนหลัก คือ180 องศา หรือ 90 องศา หรือแกนรองที่ชัดๆ เช่น 45 หรือ 135 องศาครับ เป็นประโยชน์และความสะดวกของเครื่องอัตโนมัติครับ จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:34:28

ความคิดเห็นที่ 14 http://www.vonhoff.ch/download/de/3_Ophthalmologie/01_Refraktion/1_Auto_Refrakto_Keratometer/4_Nidek_AR-360/AR_360A.pdf โบรชัวร์โฆษณาของเครื่องที่คลินิกครับ (คงไม่ได้โดนแบนนะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะมาขายของครับ แค่จะแสดงภาพตัวอย่างนิดๆหน่อยๆครับ...ทั่วไป คงไม่มีคนอยากซื้อเครื่องแบบนี้ มาใช้ที่บ้านกันหรอกนะครับ) จะเห็นภาพอีกด้านหนึ่ง ที่คนวัดจะเห็นครับ ก็จะเป็นรูปลูกตาของผู้ถูกวัดครับ จะเป็นภาพที่ถ่ายผ่านกล้อง infrared ครับ เพื่อไม่ให้มีไฟส่องให้คนถูกวัดแสบตาครับ แต่อย่างที่บอกครับ การวัดด้วยเครื่องอัตโนมัติ ถึงแม้จะแม่นยำ สะดวก รวดเร็ว แต่ท้ายที่สุด ก็ต้องมาลองแว่น ด้วยแว่นที่ใช้ใส่ลองครับ (Trial lens) เพราะค่าสายตาที่วัดได้ออกมา อาจไม่ตรงกับค่าสายตาจริงๆ ก็ได้ หรือว่าถึงแม้ตรง ถ้าใส่แว่นที่วัดได้มาเป๊ะๆ ก็อาจจะงง จนใส่ไม่ได้ก็ได้ครับ และเครื่องอัตโนมัติก็มีข้อจำกัด เช่น คนไข้ที่มีกระจกตาเอียง เบี้ยว ผิดรูปมากๆ เช่นคนไข้ที่มีต้อเนื้อหนาๆ หรือว่าเคยผ่าตัดกระจกตามาก่อน ทำให้มีค่าสายตาเอียงผิดปกติมากๆได้ครับ หรือคนไข้เด็กน้อย ส่วนใหญ่จะตัดที่อายุต่ำกว่า 7 ปี การวัดด้วยเครื่องอัตโนมัติ ก็จะได้ค่าที่สั้นเกินจริงครับ คือมีค่าสายตาเป็น "ลบ" มากกว่าความเป็นจริง ถ้าใส่แว่นตามค่าสายตาที่ออกมาจากเครื่องตรงๆ ก็จะไ่ม่ชัด งง ใส่ไม่ได้ครับ ต้องวัดด้วย retinoscope โดยต้องใช้ยาขยายรูม่านตา (Cycloplegic refraction) ก่อนเสมอครับ คร่าวๆนะครับ ถ้าใครสนใจก็ลอง search ตาม keyword ที่ให้ไว้ได้ครับ จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 19:40:10

ความคิดเห็นที่ 15 สงสัยนิดนึงค่ะ ทำไมเวลาตัดแว่นตัดเท่าที่วัดเป๊ะไม่ได้ แต่คอนแท็คเลนส์ทำใกล้เคียงได้มากกว่า ปัจจัยอะไรทำให้งงคะ จากคุณ : Akrat เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 21:13:02

ความคิดเห็นที่ 16 contact lens (CL) จะอยู่ใกล้ตามากกว่าครับ ทำให้ภาพที่ได้จากการใส่ contact lens จะชัดกว่าการใส่แว่นครับ ผลของปรากฏการณ์นี้ จะเห็นชัดขึ้น เมื่อค่าสายตามากขึ้น หรือมีสายตาเอียงมากขึ้นครับ ระยะจากตา ถึง แว่น เรียกว่า Vertex distance ครับ ใน contact lens ค่านี้ ไม่มีครับ สายตาสั้น ใส่เลนส์เว้า ทำให้เกิดภาพที่เล็กกว่าความจริงครับ ดังนั้น ยิ่งสายตาสั้นมากขึ้น ภาพที่เกิดจากการใส่แว่น จะเล็กลงมากขึ้นครับ เนื่องจากมีระยะที่ห่างจากลูกตานี่ครับ แต่ CL จะติดกับตาเลย ทำให้ภาพที่ได้ ใกล้เคียงกับขนาดจริงครับ สายตายาว ก็ในทางกลับกันครับ ประมาณคร่าวๆนะครับ สมมติว่า ต้องใส่เลนส์นูน 1,000 หรือเรียกว่า +10.0 Diopters เมื่อใส่แว่น จะทำให้ภาพที่เกิด ใหญ่กว่าความเป็นจริง ราว 30% ครับ คร่าวๆครับ อีกปัจจัยหนึ่ง คือเรื่องสายตาเอียงครับ สายตาเอียงเกิดจาก ความโค้งของกระจกตา ไม่โค้งเท่ากันในทุกแกนครับ ทำให้บางแกน มีภาพไม่ชัด แต่บางแกนชัด การใส่แว่น ต้องใส่แว่นที่มีค่าสายตาเอียง ยิ่งถ้าค่าสายตาสั้น (หรือยาว) มีค่าไม่มาก เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนกับค่าสายตาเอียง แล้วแตกต่างกันไม่มาก ผลต่อสายตาเอียงกับภาพที่ชัดจะมากขึ้นครับ เช่น สั้น 400 เอียง 50 จะไม่ค่อยรู้สึก ถ้าไม่ได้แก้ไขเรื่องเอียงครับ แต่ถ้าสั้น 100 แต่เอียง 50 ต้องแก้เอียงด้วยครับ ไม่งั้นภาพก็ไม่ชัดครับ ใน CL จะแนบกับผิวของกระจกตาครับ ทำให้สามารถทำให้ผิวกระจกตาโค้งสม่ำเสมอ ได้ระดับหนึ่งครับ ทำให้ถ้าสายตาเอียงไม่มากนัก ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขสายตาเอียง ดังนั้น จึงเห็นว่า คนที่ใส่ CL สายตาเอียง (เรียกว่า Toric contact lens) จะมีไม่ค่อยมากนัก ต้องมีค่าสายตาเอียงมากๆ ถึงจำเป็นต้องใส่ครับ หรือเปลี่ยนไปใส่ CL แบบแข็งครับ สรุปว่า ปัจจัยที่ทำให้ใส่ CL แล้วได้ภาพชัดกว่า และอาจจะงงน้อยกว่าใส่แว่น ก็มาจาก -Vertex distance -การแก้สายตาเอียง -ใช้กำลังในการแก้ไขสายตาที่น้อยกว่าได้ ก็ทำให้ภาพชัดได้มากขึ้นได้ครับ คร่าวๆนะครับ ใส่ CL ระวังๆ กันนะครับ ห้ามใส่ค้างคืน ห้ามใส่เกินจากชนิดที่ใส่นะครับ ล้างทุกวันด้วยครับ จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 21:54:42